โฮเชยา 12 คดีฟ้องร้องเอฟราอิม

ทบทวนอดีต
1 เอฟราอิมวิ่งไล่ตามลม และไล่ตามลมตะวันออก
เขายังคงเพิ่มพูนการมุสาและความรุนแรง 
เขาไปทำสัญญากับอัสซีเรีย
แล้วยังส่งน้ำมันมะกอกไปยังอียิปต์
 2 พระยาห์เวห์ทรงมีข้อฟ้องร้องยูดาห์
พระองค์กำลังจะลงโทษยาโคบตามวิถีทางของเขา
พระองค์ทรงตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา 

3 ในครรภ์มารดา เขาก็ฉวยส้นเท้าของพี่ชาย
และเมื่อเติบโตขึ้นมาเขาก็ได้สู้กับพระเจ้า
4 ยาโคบได้สู้กับทูตสวรรค์ และเอาชนะท่านได้
เขาร้องไห้อ้อนวอนขอเมตตา
พระองค์ทรงพบเขาที่เบธเอล
และต่อมาพระเจ้าได้ตรัสกับเขาที่นั่น 

 

ทบทวนอดีต
12:1 กลับไปยังบาปอย่างเดิม เอฟราอิมแทนที่จะกลับใจแต่กลับไปทำสิ่งที่ยิ่งยากขึ้นไปอีก  เขาไปทำสัญญาไมตรีกับทั้งอียิปต์ และอัสซีเรีย  การส่งน้ำมันมะกอกไปนั้น เป็นสัญญาว่าจะซื่อตรงต่ออียิปต์ 

12:2 พระเจ้าทรงบอกวิธีการตัดสินลงโทษของพระองค์ นั่นคือ ตัดสินตามการกระทำของพวกเขา
พระองค์ทรงกล่าวถึงยาโคบ ..

12:3-4 นั่นคือ ยาโคบเองได้ทำตัวคดโกงมาตั้งแต่อยู่ในท้อง(ปฐมกาล 25:26)  นี่เป็นสิ่งที่สื่อว่า เขาต้องการเป็นพี่หัวปี   แล้วเขาก็หลอกพ่อว่าเขาเป็นเอซาว เพื่อจะได้พรลูกหัวปี (ปฐมกาล 27:35-36)
ต่อมาก็สู้กับทูตสวรรค์ของพระเจ้า และยังเอาชนะได้ด้วย ไม่ยอมให้ไปนอกจากจะอวยพรเขาก่อน (ปฐมกาล 32)  ในวันนั้น เขาขอเมตตาจากพระเจ้า นี่แสดงว่าเขาตระหนักแล้วว่า  ชีวิตของเขาต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้า  และเมื่อเขาขอ เขาก็ได้พรจากพระเจ้า(ปฐมกาล 32:29) 
เป็นคนกล้าที่จะขอ

5  พระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์จอมทัพ
พระนามที่ควรจดจำคือพระยาห์เวห์ 
6 แต่เจ้าต้องกลับมาหาพระเจ้าของเจ้า
ผดุงรักษาความรักและความยุติธรรม
และวางใจหวังใจในพระเจ้าของเจ้าเสมอไป 

12:5 แล้วพระเจ้าก็ทรงประกาศขึ้นมาว่า ทรงเป็นองค์จอมทัพ พระนามคือพระยาห์เวห์  
12:6 ทรงเรียกให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า กลับไปหาความรัก ความยุติธรรม และการวางใจพระเจ้า 

7  พวกพ่อค้าใช้ตาชั่งไม่เที่ยง
เขาโกงกับมือเลยทีเดียว 
8 แต่เอฟราอิมกล่าวว่า
“ดูสิ ฉันร่ำรวยขึ้นมามากแค่ไหน
ฉันทำขึ้นมาด้วยตัวเอง
ไม่มีใครมาพบความชั่วหรือบาป
จากแรงงานของฉันเลย” 

12:7-8  คนที่ขายของแล้วโกงต่อหน้าต่อตา ก็เป็นเหมือนคนที่โฮเชยากำลังพูดถึง ซึ่งไม่ได้มีแค่ในยุคนั้น แต่มีทุกวัน ทุกเวลา เกิดขึ้นในโลก  พ่อค้ายิวจำนวนไม่น้อยที่โกงซึ่ง ๆ หน้าโดยที่ลูกค้าไม่รู้ตัว แถมยังอวดด้วยว่า ตนเองฉลาดหลักแหลม  พอใจในวิธีการของตัวเองเพราะทำให้ตนรวยขึ้นมา 

9 เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ตั้งแต่ครั้งเจ้าอยู่ในอียิปต์ 
และเราจะให้เจ้ากลับไปอยู่ในเต็นท์อีกครั้ง
เหมือนเวลาที่มีเทศกาลตามที่กำหนดไว้ 
10 เรากล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัส
และให้จินตภาพแก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เรามอบปริศนาผ่านผู้เผยพระดำรัส
11 ในเมื่อกิเลอาดเต็มด้วยความชั่ว(เทวรูป)
ทั้งหมดไร้ค่าและจะสูญสิ้นไปเป็นแน่ 
พวกเขาถวายวัวผู้ในกิลกาล
แต่แท่นบูชาของเขา
จะกลายเป็นแค่กองหินบนทุ่งที่ไถแล้ว
.

12:9 พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเขาตั้งแต่ที่อยู่ในอียิปต์  พระองค์จะให้เขากลับไปอยู่อย่างคนเร่ร่อนอีกก็ได้   คล้ายกับเทศกาลอยู่เพิง  เพื่อให้เขาไม่ลืมว่า เขามาจากไหน พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาอย่างไร  ทรงช่วยพวกเขาขนาดไหนจนกระทั่งเติบโตเป็นชนชาติอิสราเอล 

12:10 พระองค์ทรงเตือนด้วยว่า ทรงส่งผู้เผยพระดำรัสมาไม่หยุดหย่อน  พวกเขามีทั้งพระดำรัส มีนิมิต กล่าวคำด้วยปริศนาแก่คนอิสราเอล  ถึงขนาดนี้แล้ว ผู้คนก็ยังไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 

12:11 เหตุการณ์ที่เกิดในกิเลอาดนั้น เป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่า พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน
ที่กิลกาลพวกเขาก็ถวายเครื่องบูชาอย่างไม่อั้น
พระเจ้าทรงใช้เมืองทั้งสองมาพร้อม ๆ กันเพื่อบอกถึงความชั่วที่เกิดขึ้นในทั้งประเทศ และพระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า แท่นบูชาเหล่านั้นก็แค่กองหิน ไม่มีค่าอย่างที่พวกเขาเข้าใจ

ทเรียนจากบรรพบุรุษ
12 ยาโคบหนีไปยังแผ่นดินอารัม
อิสราเอลทำงานเพื่อจะได้ภรรยา
เขาเลี้ยงดูฝูงแกะเพื่อจ่ายเป็นค่าตัวของเธอ 
13  พระยาห์เวห์ทรงนำอิสราเอลจากอียิปต์
โดยผู้เผยพระดำรัสท่านหนึ่ง
และทรงให้ผู้เผยพระดำรัสนั้นดูแลพวกเขา
14  เอฟราอิมได้ยั่วยุพระองค์
ดังนั้น พระยาห์เวห์ของเขาจะปล่อยให้ความผิด
เนื่องจากการนองเลือดตกอยู่กับเขา
และจะทรงตอบสนอง
เพราะเขาหมิ่นประมาทพระองค์ 


บทเรียนจากบรรพบุรุษ
12:12 ไม่รู้หรือว่า ยาโคบซึ่งเป็นบรรพบุรุษนั้น เป็นคนที่หนีความผิดไปยังแดนไกล และทำงานเพื่อจะได้มีภรรยา ทำงานที่ต่ำต้อยในสายตาของผู้คน คือการเลี้ยงแกะ เขาเป็นคนเร่ร่อน เมื่อไปอยู่อียิปต์ ครอบครัวของเขาจึงกลายเป็นชนชาติใหญ่โตขึ้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 26:5)

12:13 แต่พวกเขาถูกข่มเหง   จนกระทั่งทรงส่งโมเสสไปนำพวกเขาออกมา และให้ดูแลจนกระทั่งได้เข้ามายังแผ่นดินที่ทรงสัญญา  แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังผู้รับใช้ของพระเจ้า (ข้อ 10)   ตั้งแต่สมัยของโมเสสเรื่อยมา เขาไม่รู้ว่า คนที่พระเจ้าทรงส่งมานั้น ช่วยดูแล ป้องกันไม่ให้พวกเขากลับไปเป็นทาสอีก อิสราเอลทั้งชาติยั่วยุพระเจ้าให้กริ้ว พวกเขาไร้ความกตัญญู เป็นคนทั้งโอหัง และโง่เขลา

พระคำเชื่อมโยง

1* โยบ 15:2-3; 2 พงศ์กษัตริย์ 17:4 ;
อิสยาห์ 30:6
2* มีคาห์ 6:2
3* ปฐมกาล 25:26; 32:24-28
4* ปฐมกาล 28:12-19; 35:9-15
5* อพยพ 3:15

6* มีคาห์ 6:8
7* อาโมส 8:5
8* วิวรณ์ 3:17
9* เลวีนิติ 23:42
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:13

11* โฮเชยา 6:8; 9:15
12* ปฐมกาล 28:5;29:20,28
13* อพยพ 12:50-51; 13:3
14* เอเสเคียล 18:10-13; ดาเนียล 11:18

โฮเชยา 11 รักที่ไม่ยั้งหยุด

พระเจ้าทรงดีต่อพวกเขามาตั้งแต่ต้น
1 เมื่ออิสราเอลยังเป็นเด็ก เรารักเขา
เราเรียกลูกชายของเราออกมาจากอียิปต์ 

2 ยิ่งเรียกพวกเขามากเท่าไร
เขายิ่งหนีห่างไปจากเรามากเท่านั้น
พวกเขาเฝ้ากราบไหว้บูชาบาอัล
และเผาเครื่องบูชาให้รูปเคารพต่าง ๆ

3  เราเอง เป็นผู้ที่สอนให้เขาเดิน
เราอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขนของเรา 
แต่พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่า
เราเป็นผู้บำบัดรักษาเขา
4 เราได้นำพวกเขาไปด้วยสายใยของมนุษย์ 
ด้วยเชือกแห่งรักสำหรับพวกเขา
เราคือผู้ที่ปลดแอกจากคอของพวกเขา
เราก้มลงป้อนอาหารให้พวกเขา

พระเจ้าทรงดีต่อพวกเขามาตั้งแต่ต้น
11:1 เมื่ออิสราเอลยังเป็นเด็ก เมื่อเขาเริ่มต้นจากครอบครัวยาโคบ และมีจำนวนมากขึ้น พระเจ้าก็รักแล้ว  พระองค์ทรงถือว่า ทรงเป็นพระบิดาของพวกเขา พวกเขาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ พระเจ้าทรงไถ่พวกเขาออกจากอียิปต์และนำเข้ามาอยู่ในพันธสัญญาของพระองค์ เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กัน คำว่า ลูก มีความหมายถึงว่า เป็นผู้รับมรดก เราจะเห็นความเอาใจใส่ ห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อพวกเขาพิเศษกว่าชนชาติใด

11:2 แต่เมื่อพระเจ้าเรียก ก็มีอำนาจอื่นที่พยายามจะนำให้เขาออกจากพระเจ้า เขาออกไปจากพระพักตร์พระองค์ และสิ่งที่เรียนจากบัญญัติโมเสสในเรื่องการนมัสการ การถวายเครื่องหอม ก็กลับเอาไปใช้กับบาอัล  และรูปเคารพ สิ่งที่ควรถวายพระเจ้ากลับเอาไปให้สิ่งที่ไม่มีชีวิต 

11:3 พระเจ้าทรงกระทำกับพวกเขาในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดา ” เราสอนเดิน เราอุ้ม เรารักษา …” แม้กระทั่งเมื่อป่วย พระองค์ก็ทรงรักษา แต่พวกเขาไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย

11:4 เรานำไปด้วยสายใยมนุษย์ เชือกแห่งรัก คือพวกเขาต้องได้รับคำสอนที่จะช่วยให้เขาอยู่ได้ พระองค์ให้เขามีขอบเขตการใช้ชีวิตที่เหมาะสม
ในฐานะคนที่มีเสรีภาพ ไม่เป็นทาสของอียิปต์อีกต่อไป
ทรงน้อมพระกายลงมาป้อนพวกเขา แสดงถึงความใกล้ชิดอย่างยิ่ง


พระหัตถ์ที่เข้มงวด
5  อิสราเอลจะไม่กลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
แต่กษัตริย์อัสซีเรียจะปกครองเหนือพวกเขา
เพราะพวกเขาไม่ยอมกลับใจ
6  จะมีดาบกวัดแกว่งทั่วเมืองต่าง ๆ 
มันจะทำลายและผลาญประตูเมืองของพวกเขา
ทำให้แผนการของเขาย่อยยับไป
7 ประชากรของเราตั้งใจหันไปจากเรา
แม้ว่าพวกเขาร้องเรียกถึงองค์ผู้สูงสุด
แต่ไม่มีความจริงใจเลย

พระหัตถ์ที่เข้มงวด
11:5 เป็นเพราะเขาไม่ใส่ใจพระองค์ ไม่กลับใจ ไม่ฟังพระสุรเสียง พวกเขาจะได้นายใหม่เป็นอัสซีเรียที่โหดกว่าอียิปต์
คำว่ากลับใจในที่นี้ ฮีบรูว่า שׁוּב ชูฟ หมายถึงการกลับมาอีกครั้ง หันกลับมา พวกเขาไม่ยอมหันกลับมาหาพระเจ้า จึงต้องไปอยู่ใต้อัสซีเรีย

11:6 พวกเขาเจอศัตรูที่บุกเข้ามาทำลายเมืองต่าง ๆ ไม่ใช่เมืองเดียว แต่เป็นจำนวนมาก ศัตรูเหล่านี้มาสกัดแผนการที่พวกเขาทำต่อเหล่ารูปเคารพทั้งหลาย

11:7 เขาเคยชินกับการที่จะออกไปจากพระเจ้า  ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่เอาพระเจ้า เราเห็นภาพนี้ในโลกยุคใหม่ชัดเจน ไม่มีความแตกต่างกัน การร้องหาพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่า ใจสำนึกผิด พวกเขาเพียงต้องการประโยชน์จากพระองค์

พระทัยสงสารขณะที่ทรงลงไม้เรียว
8 โอ เอฟราอิม เราปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?
โออิสราเอล เรายกเจ้าให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนอัดมาห์ได้อย่างไร?
เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับเศโบยิมได้อย่างไร? 
ใจของเราฉีกขาดอยู่ข้างใน
ความเมตตาของเราถูกเร้าขึ้นมา
9  เราจะไม่ลงโทษเจ้าตามความกริ้วของเรา
เราจะไม่ทำลายเอฟราอิม

เพราะเราคือพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
เราเป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางเจ้า
และเราจะไม่มาพร้อมกับความสยดสยอง

พระทัยสงสารขณะที่ทรงลงไม้เรียว
11:8-9  จะปล่อยไปได้อย่างไร ?  พระทัยพระเจ้า!! พระเมตตาของพระเจ้าถูกเร้าขึ้นมา พระองค์ไม่อาจจะทำลายพวกเขาจนสูญสิ้นไปหมด
เป็นความรักที่กดไว้ไม่ได้   
เมืองอัดมาห์ และเมืองโศโบยิม เป็นเหมือนเมืองพี่น้องของโสโดม โกโมราห์ (ปฐมกาล 10:19; 14:1-4; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23) .. ไม่ได้กลับใจ แต่ถูก ทำลายแบบไม่เหลือสักคน เหลือแต่ซาก ไร้สิ่งมีชีวิต

พระเจ้าทรงเปลี่ยนใจว่า จะไม่ทรงลงโทษ ตามความกริ้ว ….
เพราะถ้าตามความกริ้ว เอฟราอิมจะไม่เหลือ
ความเมตตาถูกเร้าขึ้นมา …​พระองค์จะทรงสำแดงความอดกลั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางอิสราเอล พระองค์จะไม่ทรงลงโทษจนกระทั่งไม่เหลือ


พวกเขาจะกลับมา
10 พวกเขาจะติดตามพระยาห์เวห์ 
พระองค์จะทรงส่งพระสุรเสียงดั่งสิงโต
เมื่อพระองค์ทรงคำรามนั้น
ด้วยตัวสั่นสะท้าน 
ลูก ๆ ของพระองค์จะกลับมาจากทิศตะวันตก
11 พวกเขาจะตัวสั่นเทาเหมือนกับนกจากอียิปต์ 
และเหมือนกับนกพิราบจากอัสซีเรีย
แล้วเราจะพาพวกเขากลับไปยังบ้านเกิด
พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนี้ 

ล้อมพระองค์ด้วยการโกหก
12  เอฟราอิมล้อมเราด้วยคำมุสา
วงศ์วานอิสราเอลล้อมเราด้วยการหลอกลวง
ยูดาห์ยังคงออกจากทางของพระเจ้า
และไม่ซื่อตรงต่อองค์ผู้บริสุทธิ์ 

พวกเขาจะกลับมา
11:10-11 พระองค์จะทรงลงโทษเขาเหมือนสิงโตที่ฉีกขย้ำเหยื่อ (5:14). แต่ในอนาคต พระองค์จะทรงใช้เสียงคำรามเรียกพวกเขากลับมา เสียงคำรามนั้นคืออะไร? การที่พวกเขาเป็นเหมือนนกจากอียิปต์ จากอัสซีเรีย เป็นภาพของการหนีกลับมา ในอนาคต ผู้คนจะกลับมายังแผ่นดินอิสราเอลเหมือนนก .. คิดถึงการกลับมาสู่อิสราเอลด้วยเครื่องบิน .. พอถึงตอนนี้ เราเห็นภาพว่า โฮเชยาไม่ได้พูดถึงอนาคตอันใกล้ของรุ่นเขา แต่ยังพูดถึงอนาคตล่วงหน้าหลายพันปีของพวกเขาด้วย

ล้อมพระองค์ด้วยการโกหก
11:12 อิสราเอลไม่ได้กลับใจจริง   ข้อนี้เป็นเหมือนข้อที่หนึ่งในบทต่อไป
พระเจ้าตรัสว่า เอฟราอิมมุสาต่อพระองค์ไม่ยั้งหยุด พยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ ทรงถูกคนเหล่านี้ล้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะทรงมองไปทิศใดก็เจอแต่คนที่คดโกง ไม่ซื่อตรง ทั้งอิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์ทางใต้ไม่ได้ต่างกันเลย
พระองค์ทรงเป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับทรงเป็นเหมือนกับพวกเขา ต่ำกว่าพวกเขาอีก เพราะคิดว่าจะหลอกพระองค์ได้

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 2:15; อพยพ 4:22-23
2* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:13-15
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 1:31; 32:10-11;
อพยพ 15:26
4* เลวีนิติ 26:13; สดุดี 78:25
5* โฮเชยา 7:16; 8:13
6* โฮเชยา 13:16; 10:14

7* เยเรมีย์ 3:6-7; 8:5
8* เยเรมีย์ 9:7; ปฐมกาล 14:8; 19:24-25
9* กันดารวิถี 23:19
10* โยเอล 3:16
11* อิสยาห์ 11:11; 60:8; เอเสเคียล 28:25-26; 34:27-28
12* วิวรณ์ 3:21

โฮเชยา 10 หลงทางเพราะมั่งคั่ง

ผลองุ่นและลูกวัว
1 อิสราเอลเป็นเถาองุ่นดก
ออกผลแผ่ออกไป ยิ่งมีผลดกเท่าไร
ก็ยิ่งสร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งแผ่นดินอุดมเกิดพืชพันธุ์ดีขึ้นเท่าไร
พวกเขาก็ยิ่งตกแต่งเสาหินมากขึ้นเท่านั้น  
2 จิตใจของพวกเขาแบ่งออกไป
บัดนี้ พวกเขาต้องรับโทษ 
พระยาห์เวห์จะทรงทำลายแท่นบูชา
 และทำลายเสาหินของพวกเขา 
 3  เวลานี้ พวกเขากำลังกล่าวว่า
“เราไม่มีองค์กษัตริย์!
เพราะเราไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์
แต่หากว่าเรามีกษัตริย์ ท่านจะทำอะไรให้เราได้เล่า?
 4 พวกเขาใช้คำพูด
กล่าวคำสาบานลวงขณะที่ทำสัญญาร่วมมือกัน 
ดังนั้น จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้น
ราวกับวัชพืชพิษในทุ่งนาที่ไถแล้ว
5 ผู้ที่อาศัยในสะมาเรีย
ต่างกลัว”รูปลูกโคแห่งเบธอาเวน” 
ความจริงคือ
ผู้คนจะร้องคร่ำครวญถึงความอลังการของมัน
พวกปุโรหิตคลั่งไคล้รูปนั้นจนตัวสั่น
เพราะพวกมันจะต้องจากพวกเขาไปเป็นแน่
6 เทวรูปนั้นจะถูกนำไปยังอัสซีเรีย
เป็นเครื่องบรรณาการถวายให้กับกษัตริย์นักรบ
เอฟราอิมจะต้องอับอาย
อิสราเอลจะต้องละอายที่ไปปรึกษากับเทวรูปนั้น 

ผลองุ่นและลูกวัว
10:1 การเริ่มต้นของชนชาติอิสราเอลนั้นดูงดงาม พระเจ้าทรงเปรียบพวกเขาเหมือนองุ่นลูกดก
พระเจ้าทรงอวยพระพรเขา แต่แล้ว สิ่งที่พลิกคือ
ยิ่งรวย กลับยิ่งไปสร้างแท่นบูชาถวายบาอัล  ปักเสาหิน แทนที่จะรักพระเจ้ากลับห่างพระองค์  เขาตอบแทนพระเจ้าอย่างน่ารังเกียจมาก

10:2 นี่เป็นการบ่งบอกใจที่ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า มีความหมายว่าใจที่แยกออก สองใจ  แต่พระเจ้าทรงแจ้งชัดเจนว่า จะทรงทำลายสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น

10:3 ช่วงนั้นน่าจะเป็นการล้มเหลวของกษัตริย์อิสราเอล กษัตริย์องค์สุดท้ายที่พวกเขาแต่งตั้งขึ้นมาเองคือ โฮเชยาโอรสของเอลาห์ (ไม่ใช่โฮเขยาที่เขียนหนังสือเล่มนี้) (อ่าน 2 พงศ์กษัตริย์ 17)

10:4 โดยรวมแล้ว ประชาชนไม่ถือสัจจะเป็นหลักในการทำธุรกิจ ติดต่อกัน พวกเขาทำสัญญาแต่แล้วก็โกง หักหลังกัน  พระเจ้าทรงเปรียบพฤติกรรมเหล่านี้เหมือนกับวัชพืชที่เกิดในทุ่งที่ไถแล้ว ซึ่งไม่ควรจะเกิด การคดโกงเป็นเหมือนวัชพืชที่ลามเข้าไปในสังคม

10:5 เทวรูปลูกโคแห่งเบธอาเวนเป็นสิ่งที่ผู้คนคลั่งไคล้ เหมือนกับเหล่าคนชอบเช่าพระ พวกเขามองเห็นว่ามันงดงาม น่าดู ใจของพวกเขาก็กระสันหารูปเหล่านี้  

10:6 เมื่ออัสซีเรียเข้ามาโจมตีอิสราเอล สิ่งที่พวกเขาสนใจจะเอาไปคือเทวรูปต่าง ๆ
พวกเขาเป็นคนที่สนใจรูปเคารพอยู่แล้ว และถือว่าเป็นของบรรณาการด้วย  และสิ่งที่น่าอับอายสุดๆ ก็คือ พวกเขาละทิ้งพระเจ้าไปปรึกษารูปเคารพที่ถูกแบกไปอัสซีเรีย  และยังถูกอัสซีเรียกวาดไปเป็นเชลยอีก  (โฮเชยา 5:13; 7:8-11; 8:9-10)
หากอิสราเอลไปแบกแอกร่วมกับใคร พวกเขาก็ต้องตามความเชื่อของคนเหล่านั้นด้วย  เพราะความเชื่อกับการเมืองนั้นแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันในสมัยโบราณ การไปเป็นไมตรีกับพวกเขาเท่ากับก้มหัวให้กับพวกเทพที่ประเทศเหล่านั้นนับถือ 

กษัตริย์ที่หายไป
7 กษัตริย์แห่งสะมาเรียจะถูกตัดออกไป
เหมือนกิ่งไม้ที่ล่องลอยไปบนผิวน้ำ 
8  สถานบูชาบนที่สูงแห่งอาเวน
ซึ่งเป็นบาปของอิสราเอล จะต้องถูกทำลาย
จะมีพืชหนาม พุ่มหนามเกิดเลื้อยขึ้นคลุมแท่นบูชาของพวกเขา พวกเขาจะกล่าวแก่ภูเขาว่า “จงปกคลุมเราไว้”
พูดกับเนินเขาว่า “ช่วยล้มทับเราเถิด

กษัตริย์ที่หายไป
10:7 ราชวงศ์ที่เคยโด่งดัง เป็นที่นับถือจะหายไปราวกับกิ่งไม้ ไม่มีใครจำได้อีก ไม่ใช่หายไปช้า ๆ แต่ไปอย่างรวดเร็ว

10:8 อัสซีเรียจะเป็นผู้ทำลายที่สูงซึ่งอิสราเอลสร้างไว้ที่อาเวน  พระเจ้าเคยบัญชาให้พวกเขาทำลายที่สูงเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่เชื่อฟัง (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:2-3)  อัสซีเรียจึงทำให้ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ ที่เหล่านี้จะกลายเป็นที่ร้างเปล่า  อิสราเอลจะเห็นและเริ่มกลัวการลงโทษของพระเจ้า  เรียกร้องให้ช่วยปกปิดพวกเขาไว้ (ลูกา 23:30; วิวรณ์ 9:6)
 

อิสราเอลแพ้เพราะบาป
9 “อิสราเอลเอ๋ย เจ้าทำบาปมาตั้งแต่สมัยกิเบอาห์ 
และเจ้าก็ยังทำแบบนั้นไม่หยุด
สงครามไม่ได้จัดการคนที่ทำการอธรรมในกิเบอาห์หรือ?
10 เราจะลงโทษพวกเขาตามที่เราเห็นควร
ชาติต่าง ๆ จะรวมตัวกันต่อสู้พวกเขา
และจับเขาจำจองเพราะความผิดบาปสองกระทงของพวกเขา” 
11 เอฟราอิมเป็นลูกวัวที่ถูกฝึกอย่างดี  มันชอบนวดข้าว
แต่เราจะวางแอกลงบนคออันงดงามของมัน
เราจะให้เอฟราอิมแบกแอกไป
ยูดาห์เป็นผู้ไถดิน ยาโคบจะเป็นผู้ไถกลับหน้าดิน

10:9 ตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย อิสราเอลได้ทำบาปชั่วมากและก็ชินชากับการทำบาปนั้น (ผู้วินิจฉัย 19-20; โฮเชยา  9:9) พระเจ้าทรงสอนพวกเขาในสงครามครั้งนี้ แต่พวกเขาไม่จำ

10:10  พระเจ้าจะทรงลงโทษเขาในเวลาของพระองค์ ทรงใช้ชาติอื่น ๆ เข้ามาจัดการกับบาปของพวกเขา  มีความเห็นเรื่องบาปผิดสองกระทงนี้ อาจจะเป็นบาปที่กิเบอาห์ และที่เบเธล หรือเป็นบาปผิดที่ละทิ้งพระเจ้า แล้วหันไปหารูปเคารพ ซึ่งส่งผลให้เกิดบาปอีกมากมาย

10:11 ลูกวัวชอบนวดข้าวเพราะเป็นงานเบา และได้กินข้าวไปด้วยเวลานวด  แต่มันจะมีแอกมาวางไว้..เป็นภาพของอิสราเอลที่จะถูกต่างชาติบังคับให้ทำงานหนัก  ไม่เว้นแม้ยูดาห์และที่ใช้คำว่ายาโคบคือหมายถึงทั้งชาติ
ในบริบทนี้ การนวดข้าวคือการรับใช้พระเจ้า ส่วนการไถดินคือการลงวินัยจากพระเจ้าที่พวกเขาต้องเผชิญผ่านหายนะของชาติและการเป็นเชลย

12 จงหว่านความเที่ยงธรรมให้พวกเจ้าเอง
และเกี่ยวเก็บรักมั่นคง 
จงไถพรวนดินที่ถูกทิ้งเอาไว้
นี่เป็นเวลาที่จะแสวงหาองค์พระยาห์เวห์
จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
และเทความเที่ยงธรรมลงมาให้เจ้าเหมือนกับสายฝน 

13 เจ้าได้ปลูกความชั่วช้า
และเก็บเกี่ยวความอธรรม
เจ้าได้กินผลของความมุสา
เพราะเจ้าเชื่อวางใจทางของตนเอง
และทหารจำนวนมากของเจ้า
14 เสียงกระหึ่มของสงครามดังขึ้นต่อสู้ประชากรของเจ้า
และป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้า
จะถูกทลายลงในวันแห่งสงคราม
เหมือนกับที่ชัลมันทำลายเบธอาร์เบลในการต่อสู้
แม่ ๆ และลูก ๆ ของพวกเธอถูกฟาดจนกลายเป็นชิ้น ๆ !

15  เบธเอลเอ๋ย มันจะเกิดกับเจ้าเช่นนั้น
เพราะความชั่วสุดขั้วของพวกเจ้า
ยามรุ่งอรุณ
กษัตริย์แห่งอิสราเอลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง 

10:12 ในขณะที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษพวกเขานั่นเอง ความห่วงใยของพระองค์ก็พลุ่งขึ้น พระองค์ทรงบอกวิธีการที่พวกเขาจะไม่พินาศ
ให้กระทำสิ่งที่เที่ยงธรรม คือหว่านสิ่งดีทุกอย่างต่อกันและกัน เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับรักมั่นคง หรือพระกรุณาคุณของพระเจ้าคืนมา  โฮเชยาเตือนให้พวกเขากลับใจ  (ภาษาฮีบรูสำหรับการหว่าน การปลูก คือ ซารา זָרַע)
ดินที่ยังไม่ไถนั้น เป็นดินแข็ง ที่แห้งแล้งมานาน เป็นดินที่ไม่อาจซึมซับความชื้นจากฝนได้ดี ดังนั้นพระเจ้าทรงเตือนให้เขาไถพรวน กลับดินนั้น ซึ่งก็หมายถึง หัวใจของพวกเขาเองที่ต้องจัดการ หัวใจที่แห้งแล้ง แข็งกระด้างต่อพระเจ้า (เยเรมีย์ 4:3) ใจที่ห่างเหินจากฝนแห่งรักมั่นคงของพระเจ้า ใจที่ไม่สารภาพบาป แต่เก็บสะสมบาปไว้นั้น ทำให้ใจกระด้างเหมือนดินแห้ง   การไถพรวนจิตใจคือ การแสวงหาพระเจ้า แสวงหาพระองค์อย่างสุดใจ และเมื่อนั้น พระเจ้าจะทรงช่วยให้พวกเขารับสิ่งดีจากพระองค์ ไม่ใช่น้อย ๆ แต่เหมือนกับสายฝนที่ตกเทลงมา (โฮเชยา 2:19, 6:3)
(ภาษาฮีบรูสำหรับการไถพรวนดิน คือ เนียร נִיר เป็นการไถ ทำร่องดิน พรวนดิน)
 
10:13แทนที่จะปลูกดีเพื่อเก็บเกี่ยวผลที่ดี พวกเขากลับหว่านลม เก็บเกี่ยวพายุ (โฮชยา 8:7)  การที่พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองทำถูกต้อง เชื่อว่าทหารจะช่วยได้ เป็นความเชื่อในความไม่แน่นอน ไม่ได้วางใจพระเจ้าสำหรับความอยู่รอดของชาติ ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะวางใจพระองค์  นี่เป็นบทเรียนของทั้งระดับชาติ ระดับบุคคล ทั้งในโลกโบราณ และปัจจุบันวันนี้!

10:14 ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นอย่างทันควัน เห็นได้ชัด โฮเชยาบอกมาแล้วว่า ถ้าเขาไม่วางใจพระเจ้า จะเกิดอะไรขึ้น  ชัลมันที่กล่าวถึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคนไหน อาจเป็นกษัตริย์ของอัสซีเรีย หรือของโมอับ  แต่สงครามครั้งนั้นเป็นสงครามที่น่าสะพรึงกลัวมากเพราะศัตรูทำร้ายประชากรอย่างโหดเหี้ยม

10:15 โฮเชยาเตือนอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีกษัตริย์ของอิสราเอล (อาณาจักรเหนือ) หลงเหลืออยู่เลย พวกเขาหายไปอย่างรวดเร็วด้วย เป็นเพราะพวกเขาทำบาปซ้อนบาป ทำแล้วทำเล่าโดยไม่คิดจะกลับตัวกลับใจ  คำว่าเบธเอลในที่นี้หมายความรวมถึงอิสราเอลทางเหนือทั้งหมด และสิ่งที่โฮเชยากล่าวก็เป็นความจริงในเวลาต่อมา (แม้กษัตริย์ทางใต้ต่อมาจะถูกกวาดไปบาบิโลน แต่ก็ยังมีบางคนในพวกเขาที่หลงเหลือและยังสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งพระเยซูคริสต์ )

พระคำเชื่อมโยง

1* เนหะมีย์ 2:2; เยเรมีย์ 2:28
2* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:21
4* อาโมส 5:7
5* โฮเชยา 8:5-6; 13:2; 9:11
6* โฮเชยา 5:13
8* โฮเชยา 4:15; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:34; ลูกา 23:30

9* โฮเชยา 9:9
10* เยเรมีย์ 16:16
11* มีคาห์ 4:13
12* เยเรมีย์ 4:3; โฮเชยา 6:3
13* สุภาษิต 22:8; โยบ 4:8; กาลาเทีย 6:7-8
14* โฮเชยา 13:6
15* โฮเชยา 10:5,7

โฮเชยา 9 จะได้เร่ร่อน

อย่ายินดีไปเลย
1 อิสราเอลเอ๋ย อย่ายินดี 
อย่าตะโกนเฉลิมฉลองอย่างชาติอื่น ๆ
เพราะเจ้าทำตัวสำส่อน ละทิ้งพระเจ้าของเจ้า
เจ้ารักค่าจ้างของหญิงโสเภณี ตามลานนวดข้าวทุกแห่ง 
2 ลานนวดข้าว และบ่อย่ำองุ่น
ไม่อาจเลี้ยงดูประชากรให้อยู่รอดได้
และเหล้าองุ่นใหม่ก็ทำให้ผิดหวัง 
3 พวกเขาจะไม่ได้อาศัยในแผ่นดินขององค์พระยาห์เวห์ 
เอฟราอิมจะกลับไปอียิปต์
และพวกเขาจะกินอาหารมลทินในอัสซีเรีย
4 พวกเขาจะไม่ได้เทเหล้าองุ่นบูชา
ถวายองค์พระยาห์เวห์
และเครื่องบูชาต่าง ๆ ของพวกเขา
ก็ไม่ได้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์
มันกลายเป็นเหมือนขนมปังของผู้คร่ำครวญ
ทุกคนที่กินเข้าไปจะเป็นมลทิน
เพราะขนมปังของพวกเขา
จะช่วยทำให้เขาหายหิวเท่านั้น 
มันจะไม่เข้ามาในพระนิเวศขององค์พระยาห์เวห์ 
5 แล้วเจ้าจะทำอะไรบ้างในวันเทศกาลที่กำหนด ทำอะไรในวันเทศกาลขององค์พระยาห์เวห์?
6 เพราะถึงแม้พวกเขาจะหนีให้พ้นจากความพินาศ
อียิปต์ก็จะรวบพวกเขาไว้
เมมฟิสจะฝังศพของพวกเขา
ต้นหนามจะงอกขึ้นมาในเครื่องเงินที่มีค่า
หนามจะงอกในเต็นท์ของพวกเขา

อย่ายินดีไปเลย
9:1 พระเจ้าทรงเตือนอิสราเอลว่า ไม่ต้องทำตัวร่าเริงเหมือนชาติอื่น สภาพของเขาอาจจะยังดูดี แต่  การที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าการเล่นชู้กับรูปเคารพและกับชาติต่าง ๆ เป็นสิ่งที่กำลังนำความวิบัติมาให้พวกเขา 

9:2 พวกเขาไปตามลาดนวดข้าว และบ่อย่ำองุ่นเพื่อทำพิธีไหว้รูปเคารพที่น่ารังเกียจ  เพราะคิดว่า เหล่านั้นนำความสมบูรณ์มาให้ และยังตอบสนองความใคร่ของพวกเขาด้วย   ดูจากคำของโฮเชยา เหมือนกับว่าเขากำลังเทศนาให้กับผู้คนที่เข้ามาเฉลิมฉลองกัน

9:3 นอกจากพระเจ้าจะทรงให้เกิดการกันดารอาหารแล้ว พระองค์ยังจะส่งเขาไปเป็นเชลยในอัสซีเรียด้วย
พวกเขาจะได้กินอาหารมลทิน (เรื่องอาหารเป็นเรื่องที่คนอิสราเอลเคร่งครัดในการกินให้ถูกต้องตามบทบัญญัติมาก) ที่พระเจ้าทรงเรียกอียิปต์ก่อนเพื่อว่าจะบอกให้พวกเขารู้ว่า พวกเขาจะเจอสิ่งที่บรรพบุรุษเคยเจอ ไม่มีอิสรภาพต่อไป  จะได้ตายในแผ่นดินที่ไม่สะอาด (อาโมส 7:17)

9:4 ในเมื่อพวกเขาละทิ้งการถวายเครื่องบูชาอย่างถูกต้อง  พระเจ้าไม่ทรงรับเครื่องบูชาของพวกเขา  (โฮเชยา 8:13) เขาก็จะไม่มีโอกาสถวายเครื่องดื่มบูชา หรือเครื่องบูชาอื่น ๆ (ให้เราคิดถึงการนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเราพูดถึงการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้)

9:5  เมื่อพวกเขาต้องตกไปเป็นทาสต่างแดน วันเทศกาลต่าง ๆ ที่พวกเขาเคยทำด้วยกัน เคยฉลองกันอย่างมีความสุขที่จะทบทวนความดีของพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีโอกาสทำอีก   จะไม่มีการรับสิ่งที่พวกเขาจะถวาย เพราะไม่มีจะถวายด้วย

9:6 ภาพที่โฮเชยาบรรยายนั้น ชัดเจนมาก พระเจ้าตรัสถึงอียิปต์ เมมฟิสเป็นเมืองในอียิปต์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องปิรามิด หลุมฝังศพ  ในแผ่นดินอียิปต์นั้นจะมีต้นหนามงอกขึ้นในเต็นท์ของทาส  เลื้อยไปในเต็นท์นั้น 

ดูหมิ่นผู้รับใช้
7 วันแห่งการลงโทษมาถึงแล้ว
วันแห่งการเอาคืนมาถึงแล้ว 
อิสราเอลควรจะตระหนักรู้
เหล่าผู้เผยพระดำรัสนับเป็นคนโง่
 และคนที่บอกว่าพระเจ้าดลใจเขา
กลับเป็นคนวิกลจริต
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความผิดบาป
และความเกลียดชังของเจ้ามีมากนัก
 8 ผู้เฝ้ายามของเอฟราอิมอยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า
ผู้เผยพระดำรัสเผชิญกับดักในทุกที่ ๆ เขาไป 
มีความเกลียดชังฝังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า 
9 พวกเขาตกต่ำเพราะการกระทำที่ต่ำตม
เหมือนสมัยกิเบอาห์ 
พระเจ้าจะทรงระลึกถึงความผิดบาปของพวกเขา
พระองค์จะทรงลงโทษบาปของพวกเขา

ดูหมิ่นผู้รับใช้
9:7  คนอิสราเอลไม่ได้ให้เกียรติผู้รับใช้แท้จริงของพระเจ้าเลย ไม่ได้เคารพแถมยังดูหมิ่นว่าเป็นคนโง่ คนบ้า  เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็นพระเจ้า พวกเขาทำบาปมากจนบาปบังพระเจ้าแท้จริงออกไปจากตาของพวกเขา  อ่าน 2 พงศ์กษัตริย์ 9:11 จะเห็นภาพนี้ชัดเจน และแน่นอนพวกเขาย่อมมองเห็นโฮเชยาเป็นเหมือนคนโง่เช่นกันที่ง้อโกเมอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความผิดทั้งชาติที่มีต่อพระเจ้านั้น จะมีการลงโทษ ไม่มีใครหนีได้

9:8  ขณะที่เอฟราอิมหรืออิสราเอลพยายามทำตัวเป็นปุโรหิตของเทพโค เทพบาอัล  พวกเขาก็พยายามทำร้ายผู้รับใช้แท้จริงของพระเจ้า เพราะคนเหล่านี้พูดในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะฟัง  

9:9 เรื่องที่เกิดขึ้นในกิเบอาห์ซึ่งเป็นเมืองที่คนเผ่าเบนยามินอาศัยอยู่  อยู่ในผู้วินิจฉัย 19  มีฆาตกรรมเกิดขึ้นและส่งผลให้เกิดสงครามที่เกือบจะทำให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์เบนยามิน  (ผู้วินิจฉัย 20 )

ประชากรที่ลดจำนวนลง
10 “เราพบอิสราเอลเป็นเหมือนองุ่นในถิ่นกันดาร 
เราเห็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า
พวกเขาเป็นดั่งมะเดื่อผลแรกในฤดูแรก
แต่พวกเขาไปยังบาอัลเปโอร์
อุทิศถวายตัวเองให้กับความอับอาย
และกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ
เหมือนกับสิ่งที่พวกเขารัก
 11 เกียรติของเอฟราอิมจะบินหนีไปราวกับนก
ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งครรภ์ ไม่มีการปฏิสนธิ
12 ถึงแม้พวกเขาจะเลี้ยงลูก
เราจะพรากลูก ๆ ไปจากพวกเขา
ใช่แล้ว วิบัติแก่พวกเขา เมื่อเราละจากพวกเขาไป !
13 เราเห็นเอฟราอิมที่เหมือนกับไทระ
มันถูกปลูกไว้ในทุ่งหญ้า
แต่เอฟราอิมกลับพาลูก ๆ ของเขาไปให้กับผู้ประหาร”
14 โอ พระยาห์เวห์ ขอโปรดประทาน..
พระองค์จะประทานสิ่งใด?
ประทานแก่ครรภ์ที่แท้งลูก และอกที่ไร้น้ำนม

ประชากรที่ลดจำนวนลง
 9:10 หลายครั้งในพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงมองอิสราเอลด้วยความรัก ทรงยินดีในพวกเขาเหมือนกับที่ทรงเห็นองุ่นในทะเลทราย หรือต้นมะเดื่อผลแรก  ลองนึกถึงความดีใจของเราถ้าเห็นสิ่งนั้น  แล้ว (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10)

ในหนังสือกันดารวิถี 25 เล่าว่า พวกเขาไปยังบาอัลเปโอร์ก่อนที่จะเข้าไปยังแผ่นดินที่ทรงสัญญา และทำสิ่งที่น่าขยะแขยงในสายพระเนตรพระเจ้าอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำตามอย่างคนต่างชาติทั้งไหว้รูปเคารพและทำกิจกรรมทางเพศโจ่งแจ้งน่าละอาย แต่ไม่รู้สึกอายเลย
พระเจ้าทรงรังเกียจเขาเหมือนกับทรงรังเกียจรูปเคารพ 

9:11 พระเจ้าจะให้พวกเขากลายเป็นหมัน ขาดลูกหลาน เป็นชาติที่จะมีคนน้อยนิด  พระเจ้าจะไม่ทรงทวีจำนวนของพวกเขา

9:12 พวกเขามองเห็นพระเจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่จะรักและช่วยพวกเขาเสมอ แต่เมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ และทำร้ายพระองค์อย่างตั้งใจ พระองค์ทรงไปจากเขา  คำนี้..น่ากลัวมาก อย่าทำอะไรที่ทำให้พระเจ้าต้องจากเราไปเลย

9:13 เมืองไทระเป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ พระเจ้าทรงมองอิสราเอลเหมือนกับทุ่งหญ้าเขียวขจี
แต่แล้ว อิสราเอลกลับทำให้ลูกหลานของพวกเขาหลงทาง นี่เป็นเหตุให้พระเจ้าต้องจัดการกับพงศ์พันธุ์ของพวกเขาเหมือนอย่างที่ทรงจัดการกับไทระ (อาโมส 1:9-10)

9:14 โฮเชยาอธิษฐาน หลังจากที่เห็นว่า การทำให้ตระกูลทั้งหลายกุด ไม่มีลูกหลานอีกต่อไป เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก อิสราเอลจะไม่เหลือเลยหรือ? 

วันที่พระเจ้าทรงเริ่มชัง
15 “ความชั่วของพวกเขาปรากฎที่กิลกาล
เพราะเราเริ่มชังพวกเขาที่นั่น
เราจะไล่พวกเขาออกจากพระนิเวศของเรา
เพราะความบาปชั่วของเขา
เพราะการกระทำโหดร้ายของพวกเขา
เราจะไม่รักพวกเขาอีกต่อไป
เหล่าผู้นำต่างเป็นคนที่กบฏ
16 เอฟราอิมถูกทำให้ล้มลง
รากของพวกเขาก็แห้งไป
เขาไม่อาจออกผลได้
แม้ว่าพวกเขาจะมีลูกหลาน
เราก็จะประหารลูก ๆ ที่พวกเขาทะนุถนอม” 
17 พระเจ้าของข้าพเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา 
เพราะพวกเขาไม่ฟังพระองค์​
พวกเขาจะกลายเป็นคนเร่ร่อนท่ามกลางชาติต่าง ๆ

วันที่พระเจ้าทรงเริ่มชัง
9:15 สามข้อต่อไปนี้ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเริ่มที่จะชังคนอิสราเอลแล้ว .. พระองค์ตัดสินพระทัยว่าจะไม่รักพวกเขาต่อไป  ในตอนนี้พระองค์จะทรงไล่เขาออกจากทั้งพระนิเวศและแผ่นดินของพระองค์ 

9:16 พระเจ้าทรงย้ำเรื่องการที่จะประหารลูกของพวกเขา  พระเจ้าจะทรงทำให้คนที่อวดดีต่อพระองค์ไม่เหลือ .. (มาลาคี 4:1)

9:17  โฮเชยาบอกเตือนอีกครั้งว่า  เพราะเขาไม่ฟัง เพราะพวกเขาปฏิเสธพระองค์ พระองค์จะปฏิเสธพวกเขา และทำให้ลูกหลานเอฟราอิมที่เหลืออยู่นั้นต้องเร่ร่อนไปตามชาติต่าง ๆ ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์  มีชนชาติอิสราเอลที่ไปตั้งถิ่นฐานในชาติต่าง ๆ จริง และพวกเขาก็ถูกกดขี่จากรัฐบาลหรือประชาชนในประเทศต่าง ๆ นั้นจริง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:62-64; เลวีนิติ 26:33)

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 22:12-13; เยเรมีย์ 44:17
3*เลวีนิติ 25:23; โฮเชยา 7:16; 8:13
เอเสเคียล 4:13
4* เยเรมีย์ 6:20; โฮเชยา 8:13
6* อิสยาห์ 5:6; 7:23
7* อิสยาห์ 10:3; เพลงคร่ำครวญ 2:14;
มีคาห์ 2:11

8* เอเสเคียล 3:17; 33:7
9* โฮเชยา 10:9; ผู้วินิจฉัย 19:22
10* เยเรมีย์ 2:2; อิสยาห์ 28:4; กันดารวิถี 25:3; สดุดี 81:12
12* เฉลยธรรมบัญญัติ 31:17

13* เอเสเคียล 26-28
14* ลูกา 23:29
15* โฮเชยา 4:15; 12:11; อิสยาห์ 1:23
16* โฮเชยา 5:11
17* เศคาริยาห์ 10:6;  เลวีนิติ 26:33