2 โครินธ์ 12 เข้มแข็งด้วยพระคุณ

2 โครินธ์ 12:1-2
ข้าจำต้องอวดต่อ แม้ว่าไม่เกิดประโยชน์แต่ข้าจะพูดถึงนิมิต และการสำแดงของพระเจ้าต่อไป คือข้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสาม ซึ่งเขาไปทั้งร่างหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่พระเจ้าทรงทราบ
2 โครินธ์ 12:3-4
ข้ารู้ว่าเขาคนนี้ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ แต่จะไปทั้งร่างหรือไม่ข้าไม่ทราบแต่พระเจ้าทรงทราบ เขาได้ยินถ้อยคำที่บอกคนอื่นไม่ได้ เป็นคำที่ไม่อนุญาตให้มนุษย์พูดถึง

2 โครินธ์ 12:5-6
ข้าจะอวดเรื่องของเขาคนนี้ แต่ข้าจะไม่อวดเรื่องตัวเอง นอกจากจะอวดเรื่องความอ่อนแอของข้า แม้ว่าข้าอยากจะอวด ข้าก็ไม่ใช่คนโง่เพราะ ข้าจะพูดความจริง แต่ข้าจะไม่อวด เพื่อจะไม่มีใครยกข้าเกินกว่าที่เขาได้เห็นสิ่งที่ข้าทำหรือได้ยินสิ่งที่ข้าพูด

2 โครินธ์ 12:7-8
และเพื่อว่าข้าจะไม่ยกตัวจนเกินไป เนื่องจากการสำแดงที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าในหลาย ๆ สิ่ง ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้า เป็นทูตจากซาตานคอยรังควาญ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้ายกตน ข้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าถึงสามครั้ง ให้หนามนี้หลุดออกไป

2 โครินธ์ 12:9
แต่พระองค์ตรัสกับข้าว่า “พระคุณที่เรามีให้เจ้านั้นเพียงพอแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธิ์เดชของเราก็เต็มบริบูรณ์ ณ ที่นั้น” ดังนั้นข้าจึงจะอวดความอ่อนแอทั้งหลายของข้ามากขึ้น เพื่อว่าฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้า

2 โครินธ์ 12:10
เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าจึงพอใจกับความอ่อนแอ การถูกดูหมิ่น ความทุกข์ยากลำบากการถูกข่มเหง และในภัยพิบัติ เพราะว่าครั้งใดที่ข้าอ่อนแอ ครั้งนั้น ข้าก็จะเข้มแข็งขึ้น
2 โครินธ์ 12:11
ข้าเป็นคนโง่ไปแล้วสินะที่อวดอย่างนี้ที่เป็นไปเพราะพวกท่านบังคับให้เป็น ข้าสมควรได้รับการยกย่องจากท่าน ข้าไม่ได้ด้อยกว่าพวกอัครทูตพิเศษเหล่านั้น แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนวิเศษมาจากไหน

2 โครินธ์ 12:12
สิ่งที่พิสูจน์ความเป็นอัครทูตแท้ของข้า ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดในหมู่พวกท่านแล้ว นั่นคือ ข้ามีความทรหดอย่างสูง ทำหมายสำคัญต่าง ๆ การอัศจรรย์ และงานแห่งฤทธิ์เดชทั้งหลาย

2 โครินธ์ 12:13
ข้าได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ทัดเทียมคริสตจักรอื่นอย่างไรหรือ? มีสิ่งเดียวคือ ข้าไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระของท่าน ถ้าเป็นความผิดนี้ ข้าก็ขออภัยด้วย
2 โครินธ์ 12:14
ตอนนี้ข้าเตรียมตัวที่จะมาเยี่ยมท่านเป็นครั้งที่สาม และจะไม่ให้เป็นภาระของท่าน เพราะข้าไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกท่าน แต่ที่ต้องการคือตัวท่าน เพราะว่า ไม่สมควรที่ลูกจะจัดหาให้พ่อแม่ แต่พ่อแม่ต่างหากที่ควรจัดหาให้ลูกๆ
2 โครินธ์ 12:15-16
ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่ง และมอบตัวเองจนหมดเพื่อเห็นแก่ท่าน ในเมื่อข้ารักพวกท่านมากขึ้น พวกท่านจะรักข้าน้อยลงหรือ? พวกท่านเห็นว่า ข้าไม่ได้เป็นภาระของท่าน แต่ยังมีคนบางคนพูดว่า ข้าเป็นคนเจ้าเล่ห์
และใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อลวงท่าน

2 โครินธ์ 12:17-18
ข้าจะเอาเปรียบพวกท่านผ่านคนที่ข้าส่งไปเยี่ยมพวกท่านหรือ?ข้าขอให้ทิตัสไปพร้อมกับพี่น้องอีกคน
ทิตัสเอาเปรียบท่านหรือ? ทั้งเราและเขาได้ปฏิบัติด้วยจิตใจที่มีเป้าหมายเดียวกัน วิธีการเดียวกันมิใช่หรือ?
2 โครินธ์ 12:19
ท่านอาจคิดอยู่ตลอดมาว่า เราแก้ตัวกับท่าน แต่ที่จริง เราพูดต่อพระพักตร์ของพระเจ้าในฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ว่า ทุกสิ่งที่เราทำ ก็เพื่อประโยชน์ของพวกท่าน

2 โครินธ์ 12:20
ข้าเกรงว่า เมื่อข้ามาถึงท่าน อาจพบว่าพวกท่านไม่เป็นอย่างที่ข้าอยากให้เป็นและพวกท่านพบว่า ข้าไม่เป็นอย่างที่ท่านอยากให้เป็น คือ อาจมีการทะเลาะริษยากัน ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ว่าร้ายนินทา ทั้งหยิ่งจองหอง ก่อความวุ่นวาย
2 โครินธ์ 12:21
ข้ากลัวว่า เมื่อข้ามาอีก พระเจ้าอาจจะทรงทำให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าพวกท่าน และอาจจะต้องเสียใจที่หลายคนได้ทำผิดและไม่กลับใจจากความสกปรก เรื่องการล่วงประเวณี และความลามกที่พวกเขาจมปลักอยู่นั้น 

2 โครินธ์ 12:1-2
ตอนนี้ท่านเปาโลยังอยู่ในเรื่องของการอวด ยังไม่จบ และถึงแม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร แต่ก็ขออวดต่อไป .. พระคำตอนนี้แปลกมาก เพื่อเห็นแก่ชาวโครินธ์ ท่านจะชี้แจงว่า ท่านแตกต่างจากเหล่าครูสอนผิดที่พวกเขาหลงตามไปอย่างไรที่เคยอวดเรื่องภัยต่าง ๆ ความรักที่ท่านมีต่อพวกเขา คราวนี้ขออวดเรื่องนิมิต การสำแดงที่พระเจ้าทรงให้กับท่าน แล้วแทนที่จะบอกว่าเป็นตัวเอง กลับว่าท่านรู้จักชายคนหนึ่ง สิบสี่ปีมาแล้ว.. 

2 โครินธ์ 12:3-4
ตรงนี้ ท่านน่าจะหมายถึงตนเอง เนื้อหาของนิมิตไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ท่านเปาโลพยายามบอกคือ พระเจ้าทรงให้ได้ยินคำที่บอกต่อไม่ได้ เป็นความลับ เขาคนนี้ได้ไปถึงสวรรค์ พบกับพระเจ้าตรง ๆ ท่านต้องการสื่ออะไร? ..”อันที่จริง ข้าได้ไปพบพระเจ้าในสวรรค์แล้วด้วย

2 โครินธ์ 12:5-6
เขาคนนี้ คือ ท่านเปาโลเองตอนนี้ สิ่งที่ท่านเปาโลกำลังอธิบายคือ การที่ท่านเห็นนิมิต เห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดง ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกว่าตัวเองเหนือคนอื่น แต่กลับทำให้ได้เห็นตัวเองว่า อ่อนแอเพียงไรมากขึ้นอีก ประสบการณ์ที่ท่านมีกับพระเจ้า ความใกล้ชิดกับพระองค์นั้นได้ทำให้ท่านเห็นตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว เป็นคนที่ยิ่งต้องการพระเจ้ามากกว่าที่เคยอีก นี่เป็นตัวอย่างของคนพบพระเจ้าจริง 

2 โครินธ์ 12:7-8 
และพระเจ้าก็ทรงช่วยให้ท่านไม่เป็นคนที่จะมองคนอื่นต่ำกว่า หรือรู้สึกตนเองเป็นคนพิเศษของพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงให้มีบางอย่างในร่างกายของท่าน ทำให้เจ็บปวด หรือเป็นอุปสรรค แม้ว่าท่านเองขอให้พระเจ้าเองออกไป แต่ก็ไม่ได้พระเจ้ายังทรงให้มีขวากหนามเล็ก ๆ นี้ในตัว ดังนั้น ผู้ที่เชื่อพระเจ้าจึงต้องมองทุกอย่างให้ทะลุว่าบางครั้ง อะไรที่เป็นลบ มันอาจเป็นเครื่องมือช่วยให้เราไม่ทำผิดต่อพระเจ้าก็เป็นได้ 

2 โครินธ์ 12:9
ท่านเปาโลไม่ได้บอกเราว่าหนามที่ท่านมีอยู่ในตัวนั้นคืออะไร แต่มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้ซาตานทำในตัวท่านเพื่อเป้าหมายที่สูงกว่านั้น และพระองค์ยังทรงอธิบายด้วยว่า พระคุณที่ทรงให้กับท่านนั้นพอเพียงที่จะทำให้ใช้ชีวิตต่อไปได้. พระคำข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ช่วยคริสเตียนจำนวนมากผ่านความทุกข์ยากต่าง ๆ มาได้

2 โครินธ์ 12:10
พระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านเปาโลเจอกับอุปสรรคบางอย่างในตัวท่าน ที่จะช่วยให้ท่านไม่กลายเป็นคนเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองยอดกว่าใคร (จากที่ท่านอวดให้พี่น้องได้เห็นเพื่อสู้กับครูสอนผิดทั้งหลาย)
เราเห็นชัดว่า ท่านเหนือชั้นกว่าพวกนั้นมากแต่พระเจ้าทรงใช้หนามนี้ กั้นไม่ให้ท่านยกตัว ให้ท่านมีมุมมองแตกต่างจากคนทั่วไป ท่านพอใจที่จะอ่อนแอ และขอบพระคุณสำหรับสิ่งนั้น นี่เป็นกุญแจแห่งความเข้มแข็ง

2 โครินธ์ 12:11
ท่านเปาโลถูกบังคับให้อวด เนื่องจากพี่น้องไม่เข้าใจว่า ท่านคือผู้รับใช้ตัวจริงที่พระเจ้าทรงส่งมาสิ่งที่ท่านเปาโลกำลังทำคือ การทำเป็นตัวอย่างให้ พวกเราเห็นว่า ปัญญาแห่งไม้กางเขน ไม่ได้อยู่ที่ ความเก่งของผู้รับใช้ ท่านยอมเป็นคนที่ดูโง่ และอ่อนแอ เพื่อพี่น้องจะได้เห็นว่า พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ใหญ่สุด 

2 โครินธ์ 12:12
การที่ท่านเปาโลมีความอดทนอย่างสูงต่อความยากลำบาก และยังมีการทำหมายสำคัญ มีฤทธิ์ของพระเจ้าประกอบในคำสอน (ดูจากกิจการ 9 เป็นต้นไป) พิสูจน์ว่าท่านเป็นคนของพระเจ้าตัวจริง

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:13
ท่านเปาโลลงท้ายว่า ทุกอย่างที่ทำให้คริสตจักรอื่น ๆ ท่านทำกับพี่น้องในโครินธ์เหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำอย่างเดียวคือการรับเงิน รับความช่วยเหลือจากพวกเขา (เป็นเพราะพวกเขามัวแต่ไปให้เงินกับพวกครูสอนผิดเหล่านั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นการส่งเสริมให้ความรู้ผิดเข้ามาในคริสตจักร)ในสมัยโครินธ์ หากใครสอนเก่ง พูดดีมีโวหารน่าฟังก็จะร่ำรวยจากเงินบริจาคของผู้ฟัง

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:14
เวลานี้ ท่านเปาโลได้ย้ำความรักความห่วงใยของท่านต่อพี่น้องอีก เตรียมจะมาเยี่ยม และขอไม่เป็นภาระแก่พวกเขาเลย ท่านมองว่า ตนเองเป็นเหมือนพ่อแม่ที่ต้องจัดหาให้ลูก ครั้งแรกที่มาก็คือ การสร้างชุมชนคริสเตียนเป็นคริสตจักรโครินธ์ ครั้งที่สองมาแล้ว มีเรื่องเสียใจ แต่แล้วเตรียมมาครั้งที่สาม ท่านต้องการตัวพวกเขาให้มารู้จักพระเจ้ามาขึ้น กลับมาหาพระองค์ไม่ได้ต้องการสิ่งของใด ๆ

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:15-16
ในขณะที่พี่น้องชาวโครินธ์ เชื่อข่าวลือว่าท่านเปาโลไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวท่านเองกลับเลือกที่จะทุ่มเทชีวิตให้กับพวกเขาอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าจะมีผู้รับใช้คนหนึ่งยอมเสียหน้า ยอมเสียใจยอมอวดตัวทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการอวด ยอมเป็นคนโง่ในสายตาของคนทั้งเมือง ท่านยอมสละทุกสิ่ง มอบตัวให้หมดเพื่อจะให้พี่น้องได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ได้พ้นจากคนที่หลอกลวงพวกเขา นี่คือผู้รับใช้พระเจ้าตัวจริง!

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:17-18
แม้แต่คนที่ท่านเปาโลส่งไปคือทิตัสและอีกคนที่จะไปช่วยสอนเรื่องของพระเจ้า และดูแลเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทน ท่านเปาโลเน้นย้ำเลยว่า ท่านและผู้รับใช้ที่ท่านส่งไปไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องการเงินเหมือนคนอื่น ๆ ที่ทำกับพวกเขา แม้จะมีคนกล่าวหาว่าท่านล่อลวงพวกเขา ท่านก็ยังพยายามที่จะให้พวกเขาเข้าใจ
ให้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร “รักแท้มีแต่จะให้”

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:19
ท่านเปาโลพอจะมองออกว่า พวกเขาจะคิดอะไรบ้าง ท่านก็คิดไปล่วงหน้าให้แล้วเช่นกัน ท่านกำลังบอกชัดเจนว่า นี่ไม่ได้แก้ตัวในเรื่องใดๆแต่ต้องการให้พี่น้องเข้าใจว่า ท่านทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขาจริง ๆ น่าแปลกที่ท่านเปาโลถูกมองไร้ค่า ไม่เหมือนกับคนที่มาคิดราคาค่าพูดแบบแพง ๆ บางทีคนเราในโลกโบราณหรือวันนี้เหมือนกัน ตรงที่ว่า เห็นของฟรีเป็นของไม่มีค่า

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:20
สิ่งที่อยู่ในหัวใจของท่านเปาโลก็คือ ต้องการสร้างคริสตจักรให้เป็นเจ้าสาวที่ไร้มลทิน ถวายแด่พระเจ้า แต่ความจริงที่อาจเจอคือ ความเละเทะ วุ่นวายในคริสตจักร ท่านกลัวว่า สถานการณ์ต่าง ๆ ในคริสตจักรอาจจะไม่ได้ดีขึ้น แต่เป็นแย่ลง ที่ท่านเป็นห่วงขนาดนี้เพราะหัวใจของท่านเป็นห่วงเหมือนที่พ่อแม่เป็นห่วงชีวิตของลูก ๆ ที่เดินออกนอกทางดี แต่หันไปทำตามใจตัวเองอย่างที่เขาพอใจและคิดว่าให้ความสุข

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:21
ท่านกังวลไปถึงว่า อาจมีหลายคนไม่ได้กลับใจเลยทั้ง ๆ ที่ท่านเองเฝ้าบอกแล้วบอกอีกให้เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนนิสัย เดินตามทางของพระเจ้า ไม่ใช่ตามทางชีวิตเดิม สิ่งที่ท่านเขียนในจดหมายสิ่งที่ท่านเป็นห่วงอาจไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพี่น้องเลย แต่กลับกลายเป็นว่า งานที่ท่านทำลงไปนั้น ไม่ส่งผลดี เสียเวลา เสียความรู้สึก ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจะรู้สึกทั้งอับอายและเสียใจพร้อม ๆ กันไป

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 16:9; 18:9; 22:17-18; 23:11; 26:13-15; 27:23; กาลาเทีย 1:12; 2:2
2* โรม 16:7 ; กิจการ 22:17
4* ลูกา 13:43
5* 2 โครินธ์ 11:30
7* เอเสเคียล 28:24; โยบ 2:7
8* มัทธิว 26:44
9* 2 โครินธ์ 11:30 ; 1 เปโตร 4:14

10* โรม 5:3; 8:35; 2 โครินธ์ 13:4
11* 2 โครินธ์ 5:13; 11:1, 16; 12:6; 11:5; 1โครินธ์ 3:7; 13:2; 15:9
12* โรม 15:18; กิจการ 15:12; 14:8-10; 16:16-18; 19:11-12; 20:6-12; 28:1-10
14* 2 โครินธ์ 1:15; 13:1-2; 1โครินธ์ 10:24-33; 4:14

15* 2 ทิโมธี 2:10; 2 โครินธ์ 6:12-13
16* 2 โครินธ์ 11:9
18* 2 โครินธ์ 8:18
19* 2 โครินธ์ 5:12; โรม 9:1-2 ; 1โครินธ์ 10:33
20* 1โครินธ์ 4:21
21* 2 โครินธ์ 2:1, 4; 13:2; 1โครินธ์ 5:1


2 โครินธ์ 11 มาแข่งกันอวด

2 โครินธ์ 11:1-2
ข้าขอให้พวกท่านอดทนต่อความเขลาของข้า แต่ความจริงคือ ท่านกำลังทนให้อยู่แล้ว เพราะข้านั้น หวงท่านอย่างที่พระเจ้าทรงหวง เพราะข้าได้หมั้นหมายท่านไว้กับสามีคนเดียว เพื่อจะถวายพวกท่านเป็นพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์

2 โครินธ์ 11:3
แต่ข้ากลัวนักว่า จากที่งูเคยใช้อุบายล่อลวงเอวาอย่างไรความคิดของท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปจากการอุทิศถวายตัวที่จริงใจและบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์เช่นกัน


2 โครินธ์ 11:4
ถ้าหากว่า มีใครคนหนึ่งมาและประกาศเรื่องพระเยซูแบบที่เราไม่ได้ประกาศนั้น หรือหากท่านได้รับวิญญาณอื่นซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับหรือหากท่านรับข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับ ท่านก็ยังอดทนฟังได้ดีจริง ๆ 


2 โครินธ์ 11:5-6
เพราะข้าเองก็รู้ว่า ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าคนสอนที่ท่านเรียกว่า “อัครทูตเหนือชั้น” เหล่านั้นแม้ว่าข้าไม่ได้มีโวหารดี แต่ข้าก็มีความรู้แน่นตามที่ท่านเองก็เห็นจากเราในทุกเรื่องที่เราทำอยู่แล้ว

2 โครินธ์ 11:7-8
ข้าทำผิดอะไรไปหรือ? ที่ได้ถ่อมตัวลงเพื่อยกท่านขึ้น ในการที่ข้าประกาศ
ข่าวประเสริฐของพระเจ้าโดยไม่คิดเงิน ข้าเองได้ทำตัวเหมือนปล้นคริสตจักรอื่นเพราะข้าได้รับเงินถวายจากเขามาเพื่อรับใช้พวกท่าน


2 โครินธ์ 11:9
เมื่อข้าอยู่กับท่านและขัดสนต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระกับใคร เพื่อพี่น้องจากมาซิโดเนียได้จัดหาสิ่งที่ขาดให้ ข้าทำตัวไม่ให้เป็นภาระของท่านในเรื่องใด ๆ และจะทำตัวอย่างนี้ต่อไป

2 โครินธ์ 11:10-11
เท่าที่ความจริงของพระคริสต์ดำรงในข้าเช่นไร ก็จะไม่มีใครในแคว้นอาคายามาปิดปากไม่ให้ข้าอวดเรื่องนี้เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร?
ข้าพเจ้าไม่รักพวกท่านหรือ? พระเจ้าทรงทราบดีว่า ข้ารักพวกท่าน

2 โครินธ์ 11:12-13
งานที่ข้าทำอยู่ ข้าจะทำต่อไป เพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนช่างฉวยโอกาส
โอ้อวดว่า เขาก็ทำงานในลักษณะแบบเดียวกับพวกเรา
เพราะคนพวกนี้เป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่ไม่ซื่อตรง ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์

2 โครินธ์ 11:14-15
ที่จริงการทำอย่างนี้ไม่แปลก เพราะซาตานเองยังปลอมตัวเป็นทูตแห่ง
ความสว่าง ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คนของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ความเที่ยงธรรม ท้ายสุด พวกเขาจะได้รับสนองตามการกระทำของตนเอง

2 โครินธ์ 11:16-17
ข้าขอย้ำเตือนว่า ใครอย่าคิดว่าข้าโง่แต่หากท่านคิดเช่นนั้น ก็ขอให้ยอมรับข้าอย่างคนโง่เถิด เพื่อข้าจะได้อวดบ้างเวลาที่ข้าอวดเช่นนี้ ข้าไม่ได้พูดตามแบบขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่พูดอย่างคนโง่ที่อวดดี

2 โครินธ์ 11:18-19
เพราะคนทั้งหลายมากมายต่างพากันอวดตามเนื้อหนัง ข้าก็จะอวดบ้าง
การที่ท่านยินดีอดทนต่อคนโง่ เป็นเพราะพวกท่านฉลาดสินะ
2 โครินธ์ 11:20
เพราะว่า เมื่อมีใครทำให้ท่านเป็นทาส หรือใครมาทำให้ท่านเป็นเหยื่อ หรือมีใครยกตัวขึ้นเหนือคนอื่น หรือตบหน้าท่าน ท่านช่างยอมอดทนต่อพวกเขาจริง ๆ

2 โครินธ์ 11:21
ข้าเองละอายใจจริง ๆ ว่าพวกเราอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้แต่หากใครกล้าอวดเรื่องใด ข้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน นี่ข้าพูดในฐานะเป็นคนโง่
2 โครินธ์ 11:22
พวกเขาเป็นคนเชื้อชาติฮีบรูรึ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน
พวกเขาเป็นชนชาติอิสราเอลหรือ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน
เขาเป็นลูกหลานอับราฮัมหรือ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน


2 โครินธ์ 11:23-24
เขารับใช้พระคริสต์หรือ?ข้าทำได้ดีกว่าพวกเขาเสียอีก นี่ข้าพูดเหมือนคนเสียสติ ข้าเองถูกจำคุกมากกว่า ถูกโบยนับครั้งไม่ถ้วนเกือบตายหลายครั้ง พวกยิวเฆี่ยนข้าห้ารอบ รอบละ สามสิบเก้าครั้ง




2 โครินธ์ 11:25-26
ข้าถูกตีด้วยท่อนไม้สามครั้ง ถูกหินขว้างรอบหนึ่ง ต้องเจอกับเรือแตกสามครั้งลอยคอกลางทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่งข้าเดินทางเสมอ เจอภัยในแม่น้ำ จากโจร จากคนชาติเดียวกันเอง แล้วยังเจอภัยจากคนต่างชาติ ข้าเจอกับภัยพิบัติทั้งในเมือง ในป่า ในทะเล รวมถึงพี่น้องจอมปลอม

2 โครินธ์ 11:27-28
ข้าทำงานตรากตรำ ทนต่อความลำบากอดหลับอดนอนเสมอ บ่อยครั้ง ไม่มีกินต้องทนความหนาว เปลือยกาย ยิ่งกว่านั้น ยังมีความกดดันอื่น ๆ คือ
ข้าห่วงใยคริสตจักรเป็นประจำทุกวัน

2 โครินธ์ 11:29-30
แล้วข้าไม่รู้สึกอ่อนแอตามไปด้วย ?ใครบ้างที่ถูกชักชวนให้หลงทาง
แล้วข้าไม่เดือดร้อนใจ?ถ้าข้าจำต้องอวด ข้าก็จะอวดถึงสิ่งที่แสดงว่าข้าอ่อนแอ
2 โครินธ์ 11:31-33
พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ทรงทราบว่า ข้าไม่ได้มุสา ผู้ว่า-ราชการเมืองดามัสกัสของกษัตริย์อาเรทัสให้คนเฝ้าเมืองไว้เพื่อจับกุมข้า แต่มีคนเอาข้าใส่กระบุงใหญ่และหย่อนลงทางช่องหน้าต่างกำแพงเมือง ข้าจึงพ้นเงื้อมมือของเขามาได้

อธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 11:1-2
ท่านเปาโลรู้ดีว่า พี่น้องชาวโครินธ์มองท่านอย่าง เหยียดๆ อยู่แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อที่จะเลิกเตือนสติ สั่งสอนพวกเขา ท่านบอกตรง ๆ ว่า
ท่านหวงแหนพวกเขายิ่งนัก ไม่ต้องการให้เขาตกอยู่ในการล่อลวงใด ๆ จากเหล่าครูสอนผิดทั้งหลาย พวกเขากำลังเผชิญกับคำสอนผิดอย่าง
อย่างไม่รู้ตัว ท่านบอกตรง ๆ ว่าต้องการถวายพวกเขาแด่พระเจ้าอย่างไม่มีมลทินใด ๆ เลยหวังให้พวกเขาอยู่ในคำสอนที่ถูกต้องที่สุด

2 โครินธ์ 11:3
การที่ผู้เชื่อที่เคยถวายตัวอย่างจริงใจในความบริสุทธิ์จะถูกล่อลวงให้หลงไปนั้น ไม่ได้ยาก หากเขาคนนั้นไม่ได้มีพื้นฐานในพระคำของพระเจ้า
อย่างมั่นคง เขาจะมองไม่ออกว่าใครเป็นคนพูดจริง หรือพูดเท็จ คนที่หลอกลวงมักมีโวหารดีน่าเชื่อถือ ทำให้หลงตามไปได้ง่าย ๆ แล้วยุคนี้
ก็มีนักเทศน์ นักพูดให้ติดตามมากมายในแพลทฟอร์มต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย ที่จะสังเกตว่าใครเป็นใครยากยิ่งกว่าสมัยก่อนเสียอีก!!

2 โครินธ์ 11:4
ตอนนี้ ท่านเปาโลจะต้องเผชิญกับความโง่เขลาของพี่น้องที่ชอบฟังคนสอนผิด เราจะเห็นว่าท่านก็มักใช้คำประชดประชันแต่ในเวลาเดียวกันก็บอกให้รู้ว่าท่านเป็นห่วงเพียงไร พี่น้องชาวโครินธ์มักถูกหลอกจากคนที่พูดเก่ง โวหารดีแต่ เป็นพวกที่บิดเบือนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ความที่พวกเขาดูดีนี่เองทำให้พี่น้องตกหลุมพรางทั้ง ๆ ที่พวกเขาสอนแตกต่างไปจากท่านเปาโล


2 โครินธ์ 11:5-6
อย่าลืมว่าวัฒนธรรมพื้นฐานของชาวโครินธ์คือยกย่องคนพูดเก่ง ท่านเปาโลต้องชี้แจงว่าแม้ท่านพูดไม่น่าฟัง พูดตรงไปตรงมา แต่ท่านมีความรู้เรื่องของพระเจ้าอย่างถูกต้อง มั่นคง รู้จริง รักจริง ไม่ใช่เป็นคนหลอกลวง สิ่งที่พิสูจน์คือทุกอย่างที่ท่านทำลงไปเพื่อพวกเขาท่านยืนยันกับพวกเขาว่า ท่านไม่ด้อยไปกว่าคนที่เป็น “อัครทูตที่เหนือชั้น” ดังนั้น เราทุกคนต้องระวังที่จะไม่ตกหลุมพรางอย่างพี่น้องโครินธ์

2 โครินธ์ 11:7-8
ความพยายามของท่านเปาโลที่จะช่วยพี่น้องชาวโครินธ์นี้ดูเหมือนจะพลิกกลับ ทำให้ท่านด้อยค่าทั้ง ๆ ที่ท่านประกาศคำของพระเจ้าโดยไม่ได้ค่าจ้าง เงินถวายใด ๆ จากพวกเขา กลับกลายว่าที่ไม่ต้องเสียเงิน กลายเป็นของตาย ไร้ค่า ( โลกกรีกโรม จะยกย่องและจ่ายเงินให้กับนักพูดเก่งๆ)ซึ่งท่านเปาโลมองว่า พรกิตติคุณเป็นสิ่งที่เราได้มาเปล่า ๆ ต้องให้เปล่า ๆ ความคิดของท่านสวนกระแสนิยมในสมัยนั้น 

2 โครินธ์ 11:9
ท่านเปาโลมีผู้ที่สนับสนุนเป็นอย่างดีคือ พี่น้องจากคริสตจักรในมาซิโดเนียซึ่งอยู่ทางเหนืออย่างเช่นคริสตจักรฟีลิปปี เธสะโลนิกาเป็นต้น (โครินธ์อยู่ในแคว้นอาคายาตอนใต้) ส่วนพี่น้องในโครินธ์กลับมองไม่เห็นความเอื้อเฟื้อของพี่น้องในมาซิโดเนีย และความตั้งใจดีของเปาโล กลับมองเป็นคนไม่มีค่าเสียอย่างนั้น และให้ความสำคัญกับเหล่าคนที่ต้องการประโยชน์จากตนเวลาไม่เข้าใจอะไร คนเราก็ไม่เข้าใจจริง ๆ

2 โครินธ์ 11:10-11
ท่านเปาโลไม่รับเงินจากคนโครินธ์เพื่อช่วยในการเดินทางใช้ชีวิตในการประกาศ เพราะท่านไม่ต้องการเป็นเหมือนพวกที่เข้ามาสอนเพื่อเห็นแก่เงิน เห็นแก่ตัวเอง อีกอย่างการที่ท่านจะรับเงินจากคนบาปทำให้สิทธิอำนาจในการตักเตือนพวกเขานั้นลดลงไป (ความเห็นของ Ambrosoaster จากCommentary on Paul’s Epistles) ท่านกำลังบอกว่า การท่านไม่ได้เอาเงินจากเขา ไม่ได้หมายความว่าท่านขาดความรัก

2 โครินธ์ 11:12-13
คนที่เป็นครูเดินทางเข้าไปสอนในคริสตจักรโครินธ์ เร่ร่อนมาจากที่ต่าง ๆ เป็นพวกที่ไม่ได้มีหลักการเดียวกับท่านเปาโล ท่านจะไม่ปล่อยให้พวกเขาโอ้อวดได้ หลักการในการทำงานรับใช้ของท่านเปาโลนั้นชัดเจนและแตกต่างจากคนเหล่านั้นมาก ท่านจึงกล่าวว่า ท่านจะทำแบบนี้ต่อไปทำไปเรื่อย ๆ จนพี่น้องเห็นว่า ใครเป็นใคร ใครคือผู้รับใช้แท้จริงของพระเจ้า ใครคือคนที่เข้ามาหลอก

2 โครินธ์ 11:14-15
ท่านเปาโลพยายามชี้แจงให้พี่น้องได้เห็นว่าในเมื่อซาตานยังทำตัวเป็นคนดีได้ ทำไมลูกน้องของมันจึงจะทำไม่ได้ แต่คนที่หลอกลวงคนอื่นจะต้องรับผลตอบสนองตามการกระทำของตนเรื่องนี้ คนไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยเชื่อ ซาตานเองไม่ค่อยมาหาเราในหน้าตา ท่าทางแบบอย่างของซาตานหรอก มันมาหาเราด้วยการ
ปลอมตัวเสมอ

2 โครินธ์ 11:16-17
คำพูดของท่านเปาโลตอนนี้ ประหลาดพอควรท่านกำลังต้องการอวดแบบคนโง่เสียด้วย ดูเหมือนว่า ไม่มีทางอื่นแล้วที่จะช่วยให้พี่น้องเข้าใจความจริงนอกจากวิธีนี้ ท่านกำลังบอกว่า หากพวกครูสอนผิดคิดว่าท่านไร้ปัญญา ก็ขอให้รับท่านอย่างนั้น พวกเจ้าเป็นพวกขี้อวด ข้าก็จะอวดให้ฟังสักนิด เราจะมาดูกันว่า การอวดของท่านเป็นอวด หรือเป็นการพูดตามความเป็นจริง

2 โครินธ์ 11:18-19
ที่ท่านเปาโลต้องอวด ก็เป็นเพราะนี่เป็นวัฒนธรรมกลุ่มของพี่น้องโครินธ์ พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากผู้คนยุคใหม่ที่ชอบโชว์ ชอบอวดขึ้นไปบน
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าตัวเองจะมีแบบนั้นจริงหรือไม่ ก็ไม่สนใจ เพราะคนอื่นที่ดูเขาจะเชื่อตามที่เราอวด ในเมื่อพวกเขาฟังครูสอนผิดโอ้อวดโน่นนี่ได้ท่านเปาโลก็จะอวดให้ดูสักประเดี๋ยวหนึ่ง

2 โครินธ์ 11:20
แปลกมาก ที่พี่น้องยอมต่อครูสอนผิดเหล่านั้น ทั้งที่ พวกเขาทำตัวเหนือพี่น้อง ทำตัวเป็นคนที่ดีกว่า ถึงกับตบหน้าพวกเขา ต่อว่าพวกเขาอย่างรุนแรง แต่พี่น้องก็ยอมให้อย่างประหลาด ที่จริง โลกทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น มีพวกที่พยายามให้เราคิดตามพวกเขา ข่มขู่ให้พูดเหมือนกัน คิดอย่างเดียวกัน เราเห็นแบบนี้ทั่วโลกเลย

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 11:21
สิ่งที่ท่านเปาโลจะกล่าวต่อไป เป็นสิ่งที่ท่านรู้สึกว่าเป็นความโง่เง่าที่ท่านจะพูดอย่างนั้น แต่มันไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้พี่น้องชาวโครินธ์เข้าใจแล้ว ครั้งนี้เป็นการสอนอย่างที่ครูเองรู้สึกโง่เง่ามากไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีทางอื่น ท่านจึงพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ข้าพูดในฐานะคนโง่ท่านรู้สึกละอายใจที่ท่านอ่อนแอเกินไปที่จะเอาเปรียบพี่น้องอย่างที่พวกครูสอนผิดกระทำ เป็นวิธีการที่อันตรายพอสมควรทีเดียว 

2 โครินธ์ 11:22
ไม่ว่าครูสอนผิดจะอวดอ้างว่าเขามีส่วนดี ส่วนสำคัญตรงไหน ท่านเปาโลก็มีเช่นกัน ไ่ม่ด้อยกว่า ท่านเริ่มจากเชื้อชาติ ชนชาติ ความเป็นลูกหลาน
อับราฮัม เราซึ่งอยู่ในยุคใหม่ที่ไม่มีความผูกพันกับตระกูลมากเท่ากับคนสมัยก่อนอาจไม่เข้าใจว่าในสังคมยิวนั้น ที่มา ครอบครัว เชื้อชาติของแต่ละคน เป็นตัวกำหนดสถานะในสังคมของพวกเขาจะรู้จักคนหนึ่งต้องถามว่ามาจากครอบครัวไหนนามสกุลอะไร สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น

2 โครินธ์ 11:23-24
ถ้าจะพูดถึงการรับใช้ ท่านเปาโลบอกว่าท่านเหนือชั้นกว่ามาก พวกครูสอนผิดไม่ได้เจอการถูกโบย การถูกเฆี่ยนอย่างที่ท่านพบเจอตรงนี้เป็นการอวดแบบว่า ท่านเปาโลเองเจอมามากกว่า (ที่เป็นอย่างนั้นเพราะท่านซื่อตรงต่อพระคำของพระเจ้า ไม่มีการยอมพูดในสิ่งที่ผิดต่อน้ำพระทัย) ส่วนพวกครูสอนผิดนั้นสามารถ
กล่าวคำที่ลื่นไหล ฉธบ. 25:1-3 นี่เป็นจำนวนครั้งที่จะลงโทษสูงสุดในการเฆี่ยน ยิวลดไปหนึ่งเผื่อทำเกิน


2 โครินธ์ 11:25-26
เหตุการณ์ที่ท่านเปาโลกล่าวมานี้ เป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้โดยท่านลูกาในหนังสือกิจการ 27 พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์รวมทั้งตัวท่านเปาโลเอง และเราจะเห็นภาพชัดเจนในกิจการว่า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะเป็นที่ต้อนรับของคนจำนวนมาก แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่รับพระคำของพระเจ้าไม่ได้ และต้องตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรง การต่อต้านไม่ว่าจะเกิดอย่างไร ท่านเปาโลเจอมาหมด

2 โครินธ์ 11:27-28
ความทุกข์ยากทั้งปวงนั้น ไม่ได้ทำให้ท่านเปาโล เดือดร้อนเป็นส่วนตัวเลย ท่านพร้อมที่จะรับแบกความรุนแรงเหล่านั้น โดยถือว่า เป็นกางเขนที่ต้องแบก เป็นสิ่งที่คู่กันกับการประกาศพระนาม แต่สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์คือ ชีวิตของพี่น้องผู้เชื่อพวกเขาเป็นผู้ที่มีค่าในสายตาของท่าน เป็นผู้ที่ท่านต้องการถวายพระเจ้าอย่างมีเกียรติ นี่เป็นความแตกต่างของท่านกับครูสอนผิดเหล่านั้นไม่ทราบว่าพวกเขาตระหนักสิ่งนี้ไหม

2 โครินธ์ 11:29-30
ข้อความตอนนี้ทำให้เราได้เห็นความห่วงใยของท่านเปาโลที่มีต่อคริสตจักรแบบว่า ยอมทุกอย่าง อย่าลืมว่าท่านเคยเป็นฟาริสีที่เก่งระดับต้น ๆ ของยิวมาก่อน ท่านเคยข่มเหงคนของพระเจ้ามาก่อน แต่ตอนนี้ยอมที่จะให้ใครๆ มองว่า เป็นคนอ่อนแอ ไร้ค่าก็ได้ ขอเพียงให้พี่น้องได้กลับมาคืนดี รักพระเจ้า ติดตามพระองค์ ดำเนินชีวิตเป็นที่พอพระทัยท่านแลกทุกอย่างในชีวิตได้กับชีวิตของพี่น้อง 

2 โครินธ์ 11:31-33
ถ้าเรากลับไปอ่านกิจการบทที่ 9เราจะเห็นว่า ความกระตือรือร้นของท่านเปาโลทั้ง ๆ ที่เป็นผู้เชื่อใหม่นั้น ทำให้ท่านเองต้องเสี่ยงชีวิตมาตั้งแต่แรกที่เข้ามารู้จักพระเจ้า การที่ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านยังยืนยันด้วยว่า ท่านพูดตามความจริงที่เกิดขึ้น คงยังไม่มีครูสอนผิดคนไหนที่กำลังสู้กับท่านเปาโลสามารถอวดได้ถึง
ขนาดนี้ เพราะไม่มีคนไหนที่จะยอมให้ตนเองตกในอันตรายเพราะพูดความจริงอย่างท่านเปาโล

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 โครินธ์ 11:4, 16, 19
2* กาลาเทีย 4:17; โฮเชยา 2:19; โคโลสี 1:28; เลวีนิติ 21:13
3* ปฐมกาล 3:4, 13; เอเฟซัส 6:24
4* กาลาเทีย 1:6-8
5* 2 โครินธ์ 12:11
6* 1 โครินธ์ 1:17; เอเฟซัส 3:4; 2 โครินธ์ 12:12
7* 1 โครินธ์ 9:18
9* กิจการ 20:33; ฟีลิปปี 4:10
10* โรม 1:9; 9:1;1 โครินธ์ 9:15
11* 2 โครินธ์ 6:11; 12:15
12* 1 โครินธ์ 9:12

13* ฟีลิปปี 1:15; 3:2
14* กาลาเทีย 1:8
15* ฟีลิปปี 3:19
17* 1 โครินธ์ 7:6
19* 1 โครินธ์ 4:10
20* กาลาเทีย 2:4; 4:3, 9; 5:1
21* 2 โครินธ์ 10:10; ฟีลิปปี 3:4
22* ฟีลิปปี 3:4-6
23* 1 โครินธ์ 15:10; กิจการ 9:16; 1 โครินธ์ 15:30
24* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:3; 2 โครินธ์ 6:5

25* กิจการ 16:22-23; 21:32; 14:5, 19; 27:1-44
26* กิจการ 9:23-24; 13:45, 50; 17:5, 13; 14:5, 19; 19:23; 27:42
27* กิจการ 20:31; 1 โครินธ์ 4:11; กิจการ 9:9; 13:2-3; 14:23
28* กิจการ 20:1829* 1 โครินธ์ 8:9, 13; 9:22
30* 2 โครินธ์ 12:5,9,1031* 1 เธสะโลนิกา 2:5; โรม 9:5
32* กิจการ 9:19-25


มาระโก 6 อัศจรรย์ที่เกิดแล้วเกิดอีก

ชาวเมืองเดียวกัน

1 จากที่นั่น พระเยซูเสด็จไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
โดยมีศิษย์ไปกับพระองค์ด้วย 
2 พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสอนในศาลาธรรม คนที่ได้ฟังพระองค์มากมายรู้สึกประหลาดใจ กล่าวกันว่า “ผู้นี้ได้สิ่งที่พูดมาจากไหนกัน?   สติปัญญาของเขานั้นเป็นแบบไหนนะ?  และเขาทำการอัศจรรย์แบบนั้นได้อย่างไร? 
3 เขาเป็นช่างไม้ไม่ใช่หรือ? เป็นลูกชายของมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส  กับซีโมนนี่นา พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?”  แล้วพวกเขาก็เริ่มขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระคำของพระเจ้านั้น จะขาดการนับถือเฉพาะในหมู่ญาติพี่น้อง และเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา”
5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำการอัศจรรย์ใด ๆ ยกเว้นทรงวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยสองสามคนให้หาย
6 และทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ  แล้วทรงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านรอบ ๆ นั้น 

การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง

7 แล้วพระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองมาหาพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว
8 พระองค์ทรงสั่งไม่ให้นำสิ่งใดไปนอกจากไม้เท้าเพื่อช่วยเดินทาง ไม่ต้องนำอาหาร ย่าม หรือเงินติดเอวไป
9 ให้สวมรองเท้าไปด้วยแต่ไม่ให้เอาเสื้ออีกตัวไป
10 และพระองค์ตรัสกับพวกเขา “เมื่อเจ้าเข้าไปในครอบครัวใด ก็จงอยู่กับเขาจนกว่าเจ้าจะออกจากพื้นที่นั้น
11 หากใครไม่ตอนรับเจ้า ไม่ฟังเจ้า ก็จงสลัดผงจากเท้าของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปจากที่นั่น เพื่อเป็นพยานต่อต้านเขา”

(** เราขอบอกเจ้าว่า โทษของเมืองโสโดม และโกโมราห์ยังจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น)
12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และประกาศให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรกลับใจเสียใหม่
13 พวกเขายังขับผีมากมาย และรักษาโรคให้กับคนป่วยโดยการเจิมด้วยนำ้มัน

การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องที่กล่าวมานี้ เพราะผู้คนรู้จักพระนามของพระองค์ไปทั่ว
และพวกเขาพูดกันว่า “ท่านคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย ดังนั้นท่านจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ได้15 ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ท่านคือเอลียาห์”บางคนกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้กล่าวพระคำเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านยอห์นที่ข้าตัดหัวไป ฟื้นขึ้นมาจากตาย!”
17 เพราะเฮโรดเอง ได้สั่งจับยอห์น ล่ามโซ่และขังเขาไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ภรรยาของน้องชายที่เฮโรดแต่งงานด้วย
18 เพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาภรรยาของน้องมาเป็นของตน!”
19 เป็นเพราะอย่างนี้ นางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น ต้องการที่จะฆ่าเขา แต่นางทำไม่ได้
20 เนื่องจากเฮโรดเองกลัวยอห์น และปกป้องเขาไว้ เฮโรดรู้ว่ายอห์นเป็นผู้เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์ เมื่อท่านได้ยินคำของยอห์น ท่านจะรู้สึกประหลาดใจ งุนงงมาก แต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเสมอ

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง วันนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดของเฮโรด มีการเลี้ยงขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเหล่าผู้นำในแคว้นกาลิลี
22 เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ ทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจมาก กษัตริย์จึงตรัสกับเธอว่า “ให้เธอขอสิ่งที่ต้องการมา แล้วเราจะให้เธอ”
23 กษัตริย์สัญญาว่า “ไม่ว่าเธอจะขอสิ่งใด เราจะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาว่า “หนูควรขออะไรดี?” มารดาตอบว่า “ขอหัวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
25 เด็กสาวรีบกลับมาหากษัตริย์ ทูลว่า “หม่อมฉันต้องการศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
26 กษัตริย์เป็นทุกข์ใจนัก แต่เป็นเพราะเขาสาบานแล้วต่อหน้าแขกเหรื่อ จึงไม่อาจขัดใจเธอได้
27 ท่านจึงสั่งให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นเข้ามาทันที โดยส่งเขาไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
28 เขานำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็เอาไปให้มารดา

งานเลี้ยงที่ไม่คาดฝัน

30 ในช่วงเวลานั้น อัครทูตก็รวมตัวกันรอบ ๆ พระเยซู และเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาไปทำ และสั่งสอน
31 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมากับเรา ไปหาที่พักสงบ และให้เราพักผ่อนสักหน่อย” เนื่องจากว่ามีคนไป ๆ มา ๆ มากมายและพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร
32 ดังนั้นพวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน ไปยังที่สงบ
33 แต่มีหลายคนเห็นพวกเขาลงเรือไป และจำได้ว่าเป็นใคร พวกเขาจึงวิ่งออกจาเมืองต่าง ๆ และไปถึงที่หมายก่อนเสียอีก34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ ก็ทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงสงสารพวกเขานัก เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนเขาหลาย ๆ อย่าง


35 เวลาล่วงเลยไปนาน ดังนั้นศิษย์จึงมาหาพระเยซูทูลว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก และตอนนี้ก็เย็นแล้ว
36 ขอพระองค์ทรงปล่อยผู้คนไปตาม เมืองและหมู่บ้านรอบๆ จะได้ซื้ออาหารกินขอรับ”
37 แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เขาทูลถามว่า “จะให้เราออกไป และจ่ายเงินสองร้อยเดนาริอันเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขาหรือขอรับ?”
38 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปดูสิว่า มีขนมปังสักกี่ก้อน”หลังจากที่ไปตรวจดู พวกเขากลับมา “มีขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขอรับ”
39 พระเยซูจึงทรงสั่งให้เขาจัดให้ประชาชนนั่งเป็นกลุ่ม ๆ บนทุ่งหญ้าเขียวสด
40 ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งกันเป็นกลุ่ม ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
41พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และเงยพระพักตร์ไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และฉีกขนมปังออก จากนั้นทรงส่งต่อให้กับศิษย์ เพื่อแจกให้กับประชาชน แล้วทรงแบ่งปลาทั้งสองตัวให้ทุกคนได้จนทั่วถ้วนหน้า
42 พวกเขาได้กิน และอิ่มกันทุกคน
43 พวกศิษย์ได้เก็บเศษขนมปังและปลาได้ถึงสิบสองตะกร้า
44 มีผู้ชายรับประทานขนมปังทั้งสิ้นห้าพันคน!

เดินมาแบบนี้ได้อย่างไร?

45 จากนั้นทันที พระเยซูทรงให้ศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดาล่วงหน้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งให้ประชาชนกลับไป
46 หลังจากที่ลาพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 ค่ำแล้ว เรืออยู่กลางทะเล และพระเยซูทรงอยู่ผู้เดียวบนฝั่ง

48 พระองค์ทรงเห็นพวกศิษย์พยายามที่จะกรรเชียงเรือต้านลมที่มาปะทะ ประมาณช่วงใกล้เช้า (ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า) พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขา ทรงเดินบนน้ำ พระองค์กำลังจะทรงเดินผ่านพวกเขาไป
49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนน้ำ พวกเขาก็ร้องลั่นออกมา คิดว่า พระองค์เป็นวิญญาณตนหนึ่ง
50 ทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัวกัน แต่พระองค์ตรัสทันทีว่า “กล้าเข้าไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวไปเลย!”
51 จากนั้นทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมแรงก็ผ่อนลง พวกศิษย์ต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และพวกเขายังใจแข็งนัก

แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!

53 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว ก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเกนเนซาเร็ธ
54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระเยซูได้
55 พวกเขาจึงวิ่งไปทั่วแคว้น แล้วแบกคนป่วยมาบนที่นอน ไปยังที่ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์เสด็จไป
56 และไม่ว่าพระองค์ทรงไปที่ไหน จะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทพวกเขาจะเอาคนป่วยมาที่ย่านตลาด และทูลขออนุญาตแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ และคนที่ได้แตะก็หายป่วยทั้งหมด

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 6:1-6
ใคร ๆ ก็ปฏิเสธพระเยซู
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซทรงกลับไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
เมื่อทรงสอนในธรรมศาลา พวกที่มาฟังกลับประหลาดใจว่าทรงมีปัญญาล้ำเลิศนัก แต่..กลับมีกิริยาวาจาดูหมิ่นเมื่อนึกได้ว่าเป็นลูกชายของคนรู้จัก เป็นลูกชายมารีย์ซึ่งเป็นแม่บ้านกับโยเซฟช่างไม้ พระเยซูไม่ใช่ผู้ที่ ไม่ร่ำเรียนมาแบบธรรมาจารย์ โดยประเพณีแล้ว ไม่น่าจะมาสอนได้ในศาลาธรรมเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตนรู้จักพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย
พระคำตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่ใครคนหนึ่งมารับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังถูกเพื่อนบ้านพี่น้องไม่ยอมรับ พระองค์ถึงกับประหลาดพระทัยกับการที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ จริงสิ พระองค์ทรงมีฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเต็มด้วยสติปัญญาล้ำ แต่มนุษย์เดินดินกลับไม่เชื่อในพระองค์ น่าประหลาดใจจริง ๆ

มาระโก 6:7-13 การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
พระเยซูทรงใช้ศิษย์ออกไปเป็นคู่ และประทานสิทธิอำนาจเหนือผี
ไม่อนุญาตให้เอาของพะรุงพะรังไป แต่มุ่งหน้าประกาศ ชวนให้คนกลับใจจากบาป พวกเขาจะต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู ซึ่งในสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ประกาศก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ได้รับประโยชน์จากการประกาศนั้นทรงให้เขาขับผี รักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมาก ในสมัยนั้น ศัตรูสำคัญของการมีชีวิตคือ ทั้งบาป ผี และโรคร้ายและถ้าใครไม่ต้อนรับก็สลัดผงที่เท้าตอนจากมา เป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นความผิดของพวกเขาเองที่เขาไม่ยอมที่จะกลับใจ

มาระโก 6:14-28
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาระโกได้บรรยายเรื่องความตายของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นการถูกประหารที่ดูเหมือนไร้เหตุผลอันสมควรอย่างมาก เพราะเกิดจากความอาฆาตแค้นของเฮโรเดียส ที่ยอห์นกล่าวว่า เฮโรดทำผิดที่มาเอาเธอซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย มาเป็นของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงที่มีผู้ชายเต็มงานและมีผู้หญิงสาวคอยปรนเปรอ ทุกคนเมาเหล้า และเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย
และแล้วเฮโรดก็ตกปากสัญญากับสาวน้อยลูกสาวนางเฮโรเดียสว่าจะให้รางวัลถึงครึ่งอาณาจักร (มีความหมายว่าให้ได้มาก แต่ก็จำกัด) เพราะเธอเต้นรำเร้าใจมาก
รางวัลที่เธอต้องการจากเขานั้น ไม่ใช่จากความต้องการจริง ๆ ของเธอแต่เป็นของมารดา นั่นคือศีรษะของยอห์น และความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าแขกทั้งหลาย เฮโรดจำต้องให้ตามที่เธอขอ

มาระโก 6:30-44
แล้วอัครทูตต่างรายงานตนหลังจากที่ออกไปประกาศและรักษาคนให้หายโรคตามที่พระเยซูทรงส่งออกไป พวกเขาตื่นเต้นที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น และคนธรรมดาอย่างเขาก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิษฐานรักษาโรคให้คนด้วย
เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ก็ควรจะมีการรายงานให้รับรู้ เพื่อแนวหลังจะได้อธิษฐานเผื่อ เพื่อทราบความก้าวหน้า
แต่แล้วจากนั้นพระเยซูกลับชวนพวกเขาให้หนีออกไปพัก .. พระองค์ทรงรู้ดีว่า พวกเขาเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว พวกเขาอาจตื่นเต้น แต่การพักผ่อนก็สำคัญ ทรงชวนให้พักสักหน่อย… พระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาทำงานต่อ แต่ให้พัก
การหนีออกไปจากประชาชนครั้งนี้ไม่เป็นผล เพราะมีคนเห็นจึงพากันไปจากเมืองต่าง ๆ โดยวิ่งไปจนถึงอีกฝั่ง เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้น โอกาสที่จะพักจึงไม่มีอีก ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ยากจน เจ็บป่วย มีผีเข้า ถูกรังควาญโดยเหล่ามาร เขาถูกเอาเปรียบจากพวกธรรมาจารย์ ที่สั่งสอนสิ่งที่ไม่จำเป็น สั่งสอนสิ่งที่เป็นคำของมนุษย์ไม่ใช่คำจากพระเจ้า
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างแรกคือ ทรงสอนพวกเขา… เราอย่าลืมว่า ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน คนที่หลงทางต้องการคำสอน คำหนุนใจ คำแนะนำอย่างถูกต้อง

หากเราดูการอัศจรรย์ของพระเยซู การเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์นกล่าวถึง เพราะเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ต้องจดจำจริง ๆ ทรงมีคนห้าพัน ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว ขณะที่คนห้าพัน (ซึ่งยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) กำลังหิว พระเยซูทรงเปลี่ยนอาหารจำนวนที่น้อย กลายเป็นจำนวนมากมหาศาลแล้วยังมีเหลืออีกสิบสองตะกร้า นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดไป เพราะพวกเขากินอิ่มจริง ๆ จากจำนวนห้าพันคนเหล่านี้ วันหนึ่งข้างหน้า จะมีบางคนที่กลายเป็นคนที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระนามต่อไป

ก่อนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้น มีการคุยกันระหว่างพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ คนหนึ่งเสนอให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารเอง พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาเลี้ยง แต่อีกคนกลับพูดทำนองว่า จะให้จ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อเลี้ยงพวกเขาหรือ ซึ่งคำพูดนี้ถ้าเราฟังเผิน ๆ จะรู้ว่า คนพูดรู้สึกเสียดายเงิน รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องจ่ายขนาดนี้กับอาหารมื้อเดียว
แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือความคิดความเข้าใจทั้งหมด
ทรงให้เขาไปตามหาอาหารที่มีอยู่.. แน่นอนที่มีบางคนเอาอาหารมา แต่คนนั้นก็ต้องยอมให้ด้วย
เมื่อได้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา เมื่อทุกคนนั่งเป็นระเบียบ
พระเยซูทรงรับอาหารนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ไปหาองค์พระบิดาในสวรรค์ …. พระบิดา กับพระบุตรจะทรงทำการยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนนับหมื่น ..ทรงขอบพระคุณด้วยรู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงฉีกขนมปังออก และแบ่งปลาออกไป ใช้เวลาที่ทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ ได้กล่าวขาน ได้รับขนมปังและปลา ได้อิ่มพุง
เหตุการณ์ตอนนี้ สมกับคำในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของฉัน… พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะให้ฉัน …

และอาหารที่แจกยังเหลืออีกทำให้พวกศิษย์ได้กินต่ออีกมื้อหรือสองมื้อ
พระพรของพระเจ้าเกินความเข้าใจ เกินคาด และหากเราอยู่ใกล้ ๆ พระเจ้า เดินไปกับพระองค์ เราก็จะมีประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ด้วยได้ไม่หยุดเหมือนกัน

มาระโก 6:45-52
พระเยซูทรงเดินบนน้ำ
หลังจากที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์แบบทำให้ตาลุกวาวไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน พระเยซูทรงสั่งให้ศิษย์ลงเรือไปก่อน โดยที่ยังทรงส่งคนทั้งหลายแทนพวกเขาด้วย แต่แล้ว เมื่อคนไปหมด
พระเยซูก็ทรงขึ้นภูเขาเพื่อไปอธิษฐาน
แน่นอนที่ว่าทรงเหนื่อยมาก ถ้าเป็นเราก็ขอพักก่อนแล้วกัน แต่พระเยซูคงมีสิ่งที่อยากจะสนทนากับพระบิดาตามลำพังแน่นอน เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง .. พระองค์มีพลังมากแต่ไม่ทรงลืมที่จะหันกลับไปสนทนากับพระบิดาเลย เชื่อว่าพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อทั้งศิษย์ ประชาชน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ทรงเห็นศิษย์ที่พยายามกรรเชียงเรือต้านลม ทรงมองเห็นจากที่ไกล หรือทรงเห็นด้วยวิธีพิเศษเราไม่ทราบ แต่ทรงตั้งพระทัยเดินบนน้ำไปหาพวกเขาสบาย ๆ เหมือนเดินบนดิน
เวลาพวกเราเจอปัญหาหนัก ๆ ก็อย่างนี้แหละ และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเห็น
เมื่อศิษย์บนเรือเห็นพระเยซูดำเนินมาบนน้ำ ก็ตกใจมาก คิดว่าเป็นผี… แต่พระองค์ทรงปลอบใจว่าเป็นพระองค์เอง ..​ ดูสิว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้น้ำสงบก่อนเสียอีก ทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขาลมจึงสงบ

มาระโกได้เขียนว่า เมื่อพระเยซูขึ้นเรือไป ลมก็เบาลง พวกศิษย์อัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง เพราะใจแข็งนัก ทำไมจึงเขียนคำคอมเม้นท์เช่นนี้?

พวกศิษย์ยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องที่พระเยซูทรงทำ เขายังมองไม่เห็นว่า การเลี้ยงคนมากมายนั้น คือการที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามที่จำเป็น ตามที่ผู้คนมีความต้องการ เป็นเราเองก็อาจจะตื่นเต้น แต่ไม่เข้าใจพระดำริของพระเจ้าทั้งในเรื่องขนมปังและการดำเนินบนน้ำ

คำว่าเข้าใจ ภาษากรีกว่า ซูนนีเอมี .. หมายถึงวิเคราะห์ หาความเข้าใจ สรุปผล ส่วนคำว่าใจแข็งนั้นคือ โพโรโอ หมายถึงแข็ง ทำให้แข็งเป็นหิน เท่ากับมีกรอบความคิดที่ขยายออกมาใหม่ได้ยาก เพราะยังมีความคิดเก่า ๆ ที่ติดแน่นอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนได้

มาระโก 6:53-56
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
ตอนแรก ตั้งใจไปที่เบธไซดา แต่แล้วการมีพายุทำให้พวกเขาไปจอดเรือที่เกนเนซาเรธซึ่งอยู่อีกด้าน (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกาลิลี) เป็นเมืองที่ทำการเกษตรเป็นหลัก
มาระโกได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพบประชาชนว่า พวกเขาจำพระองค์ได้ทันที แล้วก็พากันวิ่งไปป่าวร้องให้รู้ว่า พระเยซูกำลังไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไป
พระเยซูทรงไปทั้งตามหมู่บ้าน เมือง ชนบท และตลาด ทุกแห่งมีคนมารุมล้อมพระองค์
ที่สำคัญ แค่ขอแต่เพียงชายเสื้อ พวกเขาก็หายโรคแล้ว มหัศจรรย์เหลือเกิน!

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 4:16-30; มัทธิว 13:54-58
2* ยอห์น 6:42; 7:15 กิจการ 4:13-14;
3* มัทธิว 12:46; 11:6
4* ยอห์น 4:44
5* ปฐมกาล 19:22; 32:25
6* อิสยาห์ 59:16; มัทธิว 9:35
7* มาระโก 3:13-14; ปัญญาจารย์ 4:9-10
9* เอเฟซัส 6:15
10* มัทธิว
11* มัทธิว 10:14;
13* ลูกา 9:7-9
14* ลูกา 19:3715* มาระโก 8:28; มัทธิว 21:11

16* ลูกา 3:19
18* เลวีนิติ 18:16; 20:21
20* มัทธิว 14:5; 21:26
21* มัทธิว 14:6; ปฐมกาล 40:20
23* เอสเธอร์ 5:3, 6; 7:2
26* มัทธิว 14:929* 1 พงศ์กษัตริย์ 13:29-30
30* ลูกา 9:1031* มัทธิว 14:13; มาระโก 3:20
32* มัทธิว 14:13-21
33* โคโลสี 1:6
34* มัทธิว 9:36; 14:14; กันดารวิถี 27:17; ลูกา 9:11
35* มัทธิว 14:15
37* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
38* ยอห์น 6:9

39* มัทธิว 15:35
41* ยอห์น 11:41-42; มัทธิว 15:36; 26:26
45* ยอห์น 6:15-21
46* ลูกา 5:16
48* ลูกา 24:28
49* มัทธิว 14:26
50* มัทธิว 9:2; อิสยาห์ 41:10
51* สดุดี 107:29; มาระโก 1:27; 2:12; 5:42; 7:37
52* มาระโก 8:17-18; 3:5; 16:14
53* มัทธิว 14:34-36
56* มัทธิว 9:20; กันดารวิถี 15:38-39

2 โครินธ์ 10 อวดพระเจ้า

2 โครินธ์ 10:1-2
ข้า เปาโล ขอร้องพวกท่านด้วยพระทัยอ่อนโยนและพระเมตตาของพระคริสต์ แม้ท่านคิดว่า ข้าเป็นคนถ่อมตัวต่อหน้า แต่กลับใจกล้าเมื่ออยู่ห่างไกล.. คือข้าขอร้องท่านว่า เมื่อข้ามาอยู่ต่อหน้าท่านก็อย่าให้ข้าต้องใจกล้าอย่างที่คิดไว้เพื่อจัดการคนที่ใส่ร้ายว่า เราใช้ชีวิตตามโลกเหมือนคนทั่วไป

2 โครินธ์ 10:3-4
เพราะแม้ว่าเราใช้ชีวิตในเนื้อหนัง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบโดยวิธีเดียวกับโลกเพราะอาวุธที่เราใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่อาวุธแบบโลก แต่เป็นอาวุธที่เต็มด้วยฤทธิ์เดชจากพระเจ้าซึ่งสามารถทำลายป้อมแข็งแกร่งของศัตรูได้

2 โครินธ์ 10:5-6
คือทำลายเหตุผลโต้แย้งและความเห็นที่เย่อหยิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบ
ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านความรู้ของพระเจ้า และปราบให้ความคิดทุกอย่างให้สยบลงเพื่อมาเชื่อฟังพระคริสต์ เราก็พร้อมลงโทษการกระทำที่ไม่เชื่อฟังทุกอย่าง เมื่อท่านเชื่อฟังครบถ้วนแล้ว

2 โครินธ์ 10:7
ท่านมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามที่เห็นด้วยตา หากใครมั่นใจว่า เขาเป็นคนของพระคริสต์ เขาก็ควรคิดย้ำอีกทีว่าเราก็เป็นคนของพระคริสต์เท่ากับเขา
2 โครินธ์​ 10:8-9
ถึงแม้ว่าข้าจะอวดมากไปหน่อยถึงสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานแก่เรา
เพื่อเสริมสร้างท่านไม่ใช่ที่จะฉุดท่านให้ต่ำลง
ข้าไม่ละอายในเรื่องนั้นข้าไม่อยากให้ดูเหมือนว่า ข้ากำลังขู่ท่านด้วยจดหมาย

2 โครินธ์ 10:10-11
เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นหนักแน่นมีพลังมากจริง แต่ตัวเขาดูอ่อนแอ พูดก็ไม่เก่ง” ขอให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่า เราพูดในจดหมายเมื่อเราอยู่ไกลอย่างไรเราก็จะทำอย่างนั้นเมื่อเราอยู่กับท่าน
2 โครินธ์ 10:12
เราไม่กล้าพอที่จะแบ่งชั้น หรือเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเป็นเครื่องวัดและเปรียบเทียบกันเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีสติปัญญา

2 โครินธ์ 10:13-14
อย่างไรก็ดี เราจะไม่อวดเกินขอบเขต แต่เราจะอวดเท่าที่อยู่ในวงจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เรา ท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย เราไม่ได้อวดเกินไปเพราะเราเป็นพวกแรกที่นำข่าวประเสริฐของพระคริสต์มายังพวกท่าน
2 โครินธ์ 10:15
เราไม่อวดเกินเขตจำกัดนั้น ไม่ได้อวดเรื่องงานของคนอื่น แต่เราหวังว่า เมื่อความเชื่อของท่านเจริญขึ้น งานของเราจะขยายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่พวกท่าน

2 โครินธ์ 10:16
เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในพื้นที่นอกเหนือไปจากพื้นที่ของท่านเพราะเราไม่ประสงค์ที่จะอวดถึงงานที่คนอื่นได้ทำสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น
2 โครินธ์ 10:17-18
ให้คนที่อวด จะอวดเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะไม่ใช่การอวดตัวเองจะทำให้คนอื่นยอมรับ แต่เป็นคนที่พระเจ้าทรงชมเชย

อธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 10:1-2
พี่น้องชาวโครินธ์กล่าวหาว่า ท่านเปาโลเป็นคนที่มีสองมาตรฐาน และยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไป ท่านขอร้องให้พี่น้องยอมรับในสิทธิอำนาจการเป็นอัครทูตของท่าน ในส่วนที่ท่านจะสามารถสอน เตือนสติพวกเขา พวกเขาเข้าใจท่านตามใจคิด โดยไม่ได้พิจารณาว่าท่านเป็นอย่างไรจริง ๆ ศัตรูของเปาโลคือพวกที่สอนผิด พยายามทำให้พี่น้องหลงเชื่อว่า ท่านเมื่ออยู่ไกลกล้าเขียนโน่นนี่ แต่พอมาใกล้ ๆ ก็หงอ

2 โครินธ์ 10:3-4
ท่านเปาโลไม่ได้ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ใส่ร้ายท่านแบบคนทั่วไป ​โลกอาจใช้วิธีการแก้แค้น การประจานขู่ให้กลัว แต่พระเจ้าทรงมี
วิธีให้เราจัดการกับเหตุการณ์ผิดปกติด้วยอาวุธที่มาจากพระองค์ ท่านมีอาวุธจากพระเจ้าที่จะสยบความคิดต่าง ๆ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางพระเจ้านั่นคือท่านใช้ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องทำลายอาวุธของศัตรู (ข่าวประเสริฐนี่คือทุกอย่างที่มาจากพระคำของพระเจ้า)

2 โครินธ์ 10:5-6
พระคำตอนนี้ มีสำหรับโลกปัจจุบันที่เต็มด้วยความวุ่นวายสับสน การชี้นำชีวิตให้หลงไปจากทางที่ดี ด้วยสื่อต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาหาเราแต่ละคนอย่างมากมาย ไม่มีการหยุด ความคิดของโลกค่อย ๆ กร่อนชีวิตของมนุษย์ไปทุกวันโรงเรียนกลายเป็นที่เด็ก ๆ ได้รับความคิดที่ต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าทุก ๆ วัน แต่เราต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างเข้าใจ ไม่ใช่ใช้การตอบโต้ที่มีแต่จะสร้างความเกลียดชัง

2 โครินธ์ 10:7
คนที่เป็นครูสอนผิดที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักรจะมีภาพลักษณ์ข้างนอกดูดี ในขณะที่ท่านเปาโลไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาดี หรือคำพูดเอาใจใคร แต่
เป็นคำแห่งความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ท่านเป็นคนที่ใคร ๆ มองแล้ว ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นอาจารย์ที่ควรเคารพ แต่ว่า พวกเขามองท่านแค่เปลือกนอกเท่านั้น ท่านจึงบอกคนเหล่านั้นว่าถ้าหากตัวเองคิดว่าเป็นคนของพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนกัน ไม่ด้อยไปกว่าเขา 

2 โครินธ์​ 10:8-9
ท่านเปาโลไม่ต้องการให้พี่น้องคิดว่า ท่านเขียนจดหมายมาขู่พวกเขาเรื่องความเชื่อ แต่ที่ท่านต้องเน้นย้ำเรื่องสิทธิอำนาจแห่งอัครทูต ก็เพื่อให้เขา
รู้ว่า ท่านไม่ได้พูดเล่น ๆ แต่ท่านมีสิทธิอำนาจแห่งอัครทูตก็เพื่อสอน แนะนำ หนุนใจให้พวกเขาได้จำเริญขึ้นในทางของพระเจ้า ให้เขามีความมั่นใจในข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนแปลงชีวิต พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนชีวิตจากการประกาศข่าวประเสริฐที่มีฤทธิ์เปาโล

2 โครินธ์ 10:10-11
การรับใช้ของเปาโลนั้น ตรงไปตรงมา ไม่มีการพูดกลับไปกลับมา ไม่ว่าพูดตอนอยู่ต่อหน้า หรือเมื่อเขียนจดหมายมา ก็ยังคงเรื่องเดิม ความ
ห่วงใยเดิม ความรักเดิม มีคนกล่าวหาว่าท่านเขียนอย่าง ทำอย่าง ในจดหมายดูขึงขัง แต่เมื่อเจอกันต่อหน้ากลับไม่ได้เรื่อง … ท่านกำลังตอบโต้คนเหล่านั้นว่าท่านไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา เราทุกคนเช่นกัน ต่อหน้าลับหลังต้องเหมือนกัน ..ตรงไปตรงมา 

2 โครินธ์ 10:12
การรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่เป็นการแข่งกันรับใช้ แต่เป็นการทำหน้าที่ต่าง ๆ กันเพื่อแผ่นดินของพระองค์ การรับใช้ที่มีการเปรียบเทียบ โบสถ์ใคร
ใหญ่กว่า โบสถ์ใครมีกลุ่มเซลมากกว่า เซลไหนใหญ่สุด อะไรแบบนี้ ไม่มีในหัวใจของท่านเปาโลและจะต้องไม่มี เพราะเป็นเรื่องของการไร้ปัญญาเราอยากให้พระเจ้ามองเรามาและชื่นชมในการรับใช้ไปด้วยกัน หรือขุ่นพระทัยที่เราแข่งกัน? 

2 โครินธ์ 10:13-14
สิทธิอำนาจของผู้รับใช้พระเจ้ามีขอบเขตจำกัดไม่ใช่นึกจะใช้สิทธิไปทั่วได้ ที่ท่านเปาโลมีสิทธิเหนือพี่น้องชาวโครินธ์ เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่
ตั้งคริสตจักรนี้ขึ้นมาโดยการทรงนำของพระเจ้าท่านจึงมีสิทธิในการตักเตือน สั่งสอน ดูแลชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา พี่น้องในคริสตจักร
เองก็ต้องรับรู้ว่า ใครเป็นผู้ที่ดูแลปกป้องพวกเขาใครเป็นผู้ที่รับผิดชอบพวกเขา อย่างนี้จึงเป็นคริสตจักรที่แข็งแรง

2 โครินธ์ 10:15
ท่านเปาโลจึงไม่ได้ไปยุ่งเรื่องงานรับใช้ของผู้รับใช้ท่านอื่น ไม่ได้ไปอวดงานของคนอื่น เราจะเห็นจากข้อเขียนของท่านว่า ใจจริงของท่านเปาโลคือ
ต้องการให้พี่น้องรู้จักพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น ต้องการให้มีคนได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่เดิม ปัญหาในคริสตจักรที่เกิดขึ้นคือ มีคนที่คอยทำให้คนขาดความเชื่อถือในตัวท่านไม่หยุดหย่อนแต่ที่นี่ก็เป็นที่รักของท่านไม่ว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้เพียงไร

2 โครินธ์ 10:16
ตรงนี้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า จะไม่มีการล้ำเส้นกัน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการช่วยเหลือกันระหว่างคริสตจักร ความตั้งใจของท่านในการประกาศคือ เพื่อให้คนได้รู้จักพระเจ้าได้กลับใจใหม่ โดยขยายออกไปจากคริสตจักรโครินธ์เอง ไม่ใช่ไปแย่งพี่น้องของคนอื่น ๆ ไม่ใช่ไปเอาความสำเร็จของผู้รับใช้ท่านอื่นมาเป็นของตน ความสำเร็จของคริสตจักรในยุคแรกนั้นมีหลายคนช่วยกันทำไม่ใช่ท่านเปาโลคนเดียว

2 โครินธ์ 10:17-18
แล้วท่านก็มาจบที่พระคำจากพระคัมภีร์เดิมที่ว่า ให้อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้อวดว่า เรารู้จักพระองค์จาก เยเรมีย์ 9:24 เราต้องมาคิดกันดูว่า เราอยากให้พระองค์ตรัสคำนี้กับเราหรือไม่ ..ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ซื่อตรง ให้มาร่วมยินดีกับนาย… ( มัทธิว 25:23 ) สรุปคือ อยากให้คนชมหรืออยากให้พระเจ้าชม
เราเตรียมได้แต่ตอนนี้

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:1; 1 เธสะโลนิกา 2:7
2* 1โครินธ์ 4:21
4* เอเฟซัส 6:13; 1 ทิโมธี 1:18; กิจการ 7:22; เยเรมีย์ 1:10
5* 1โครินธ์ 1:19

6* 2 โครินธ์ 13:2, 10; 7:15
7* ยอห์น 7:24; 1โครินธ์ 1:12; 14:37; 1:23
8* 2 โครินธ์ 13:10; 7:14
10* กาลาเทีย 4:13; 2 โครินธ์ 11:6
12* 2 โครินธ์ 5:12

13* 2 โครินธ์ 10:15
14* 1 โครินธ์ 3:5-6
15* โรม 15:20
17* เยเรมีย์ 9:24
18* สุภาษิต 27: 2;โรม 2:29