โฮเชยา 14 บท
โฮเชยา 1 การแต่งงานที่น่าพิศวง
อาโมส 9 บท
นาฮูม 3 บท
เศฟันยาห์ 3 บท

อ่านพระคัมภีร์ มีคำอธิบายสั้นๆ และพระคำเชื่อมโยง
โฮเชยา 14 บท
โฮเชยา 1 การแต่งงานที่น่าพิศวง
อาโมส 9 บท
นาฮูม 3 บท
เศฟันยาห์ 3 บท
เรื่องของการให้
1 จงระวัง เมื่อเจ้าทำดี อย่าทำต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้พวกเขาเห็น หากเจ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์
2 ดังนั้น เมื่อเจ้าให้ของแก่คนยากจน อย่าทำตัวเหมือนพวกที่หน้าซื่อใจคด พวกเขามักเป่าแตรในศาลาธรรม ตามถนนเพื่อคนจะได้เห็นและชื่นชมตัวเขา เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รางวัลไปแล้ว
3 ดังนั้น เมื่อเจ้าให้แก่คนยากคน
อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร
4 เจ้าควรให้แก่ผู้อื่นอย่างลับ ๆ พระบิดาของเจ้าทรงเห็นสิ่งที่เจ้าทำเป็นการลับจะทรงให้รางวัลแก่เจ้า

พระเจ้าทรงสอนเรื่องการอธิษฐาน
5 เมื่อเจ้าอธิษฐาน อย่าทำตัวเหมือนคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาชอบยืนในศาลาธรรม และตามมุมถนน และอธิษฐานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว
6 เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าควรเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของเจ้าผู้ที่ไม่มีใครเห็นได้ พระบิดาทรงเห็นว่าเจ้าได้ทำอะไรในที่ส่วนตัวนั้น และพระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า
7 “และเมื่อเจ้าอธิษฐานอย่าทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการพูดซ้ำไปซ้ำมา จะเป็นคำที่ได้ยิน
8 อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะพระบิดาของเจ้าทรงรู้ถึงความจำเป็นของเจ้าก่อนที่เจ้าจะทูลขอ

ทรงสอนเรื่องการอธิษฐานต่อพระบิดา
9 ดังนั้นเมื่อเจ้าอธิษฐาน ควรอธิษฐานอย่างนี้ว่า
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์
10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์
11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย 12 ขอทรงอภัยบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้อภัยให้แก่คนที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
13 ขออย่าทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยกู้ให้พ้นจากมารร้าย
(ราชอาณาจักร ฤทธานุภาพ และพระเกียรติสิริตระการเป็นของพระองค์เป็นนิตย์ อาเมน)
14 เพราะหากเจ้ายกโทษให้กับผู้อื่นที่ทำผิดต่อเจ้า พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะทรงยกโทษให้เจ้าเช่นกัน
15 แต่หากเจ้าไม่ยกโทษให้ผู้อื่น พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ก็จะไม่ยกโทษบาปเจ้าเช่นกัน
ทรงสอนเรื่องการนมัสการพระเจ้า
16 เมื่อเจ้าอดอาหาร (เพื่ออธิษฐาน) อย่าทำหน้าเศร้า หดหู่เหมือนกับคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาทำหน้าดูเศร้าหมองเพื่อให้คนรู้ว่า กำลังอดอาหารอยู่ เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รับรางวัลของเขาไปแล้ว
17 ดังนั้นเมื่อเจ้าอดอาหาร จงพรมน้ำมันบนหัวของเจ้าและล้างหน้า
18 ใคร ๆ จะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังอดอาหารอยู่ แต่พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในที่ลี้ลับทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ พระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า

พระเจ้าทรงสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ
19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองในโลกซึ่งแมลงและสนิมทำลายได้ และโจรสามารถบุกเข้ามาและฉกชิงเอาไปได้
20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ซึ่งไม่อาจถูกทำลายโดยแมลงหรือสนิม และโจรไม่อาจบุกเข้าไปและฉกชิงเอาไปได้
21 ทรัพย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย

ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
22 ดวงตาเป็นดั่งตะเกียงของร่างกาย หากสุขภาพดวงตาของเจ้าดี ร่างกายก็จะเต็มด้วยความสว่าง
23 แต่หากสุขภาพดวงตาไม่ดี ชั่วร้าย ร่างกายก็จะเต็มด้วยความมืด และหากแสงเดียวที่เจ้ามีเป็นความมืดแล้ว ความมืดในตัวเจ้าจะมืดมนเพียงไหน!
24 ไม่มีใครสามารถเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้จริง เขาจะเกลียดนายคนหนึ่ง และรักอีกคน หรือจะสวามิภักดิ์ต่อนายคนหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกคน ดังนั้น เจ้าจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและความมั่งคั่งพร้อมกันไม่ได้
อย่ากังวลไป
25 “ดังนั้น เราขอบอกเจ้าว่า อย่าเป็นกังวลเรื่องอาหารหรือน้ำที่จำเป็นเพื่อต่อชีวิต หรืออย่ากังวลเรื่องเสื้อผ้าที่เจ้าต้องการ ชีวิตนั้นมีค่ายิ่งกว่าอาหารและร่างกายก็สำคัญกว่าเสื้อผ้า
26 จงพิจารณาดูนกในอากาศ มันไม่หว่าน ไม่เก็บเกี่ยวหรือสะสมอาหารในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน และเจ้าก็รู้ว่า ตัวเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกทั้งหลาย
27 มีใครในพวกเจ้าที่สามารถต่อชีวิตให้ยืนยาวไปอีกสักศอกด้วยความวิตกกังวลเล่า?
28 “แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงดูว่าดอกพลับพลึงในทุ่งหญ้างอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย

29 แต่เราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่ในความสง่างามสูงส่งของกษัตริย์โซโลมอน ก็ยังไม่ได้งามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
30 หากพระเจ้าทรงตกแต่งดอกไม้ในทุ่งซึ่งมีชีวิตวันนี้ แต่วันต่อมาจะถูกโยนเผาไฟ พระเจ้าจะไม่ทรงตกแต่งเจ้ายิ่งกว่านั้นอีกหรือ โอ.. เจ้าคนที่มีความเชื่อน้อยนิด
31 อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร?’ หรือ ‘เราจะดื่มอะไร?’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’
32 เพราะคนที่ไม่รู้จักพระเจ้านั้น ต่างตามหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงรู้ว่าเป็นความจำเป็นของเจ้า
33 จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และพระประสงค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะประทานสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าเอง
34 ดังนั้นเจ้าต้องไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีสิ่งที่วันพรุ่งนี้ต้องดูแล แต่ละวันก็มีเรื่องทุกข์ร้อนใจพอเพียงแล้ว
มัทธิว 6:1-4
ความคิดเรื่องการให้ของพระเยซูแตกต่างจากโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะใคร ๆ ก็อยากดูดี เป็นคนใจกว้าง เมตตาต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงมีการให้แบบที่โด่งดัง มีวิธีการสร้างอีเวนท์ให้ผู้คนได้เห็นว่า กลุ่มของฉัน ครอบครัวของฉัน ตัวฉัน ทำอะไรเพื่อใครบ้าง ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งเห็นชัดแจ้งว่า ใครได้รางวัลจากโลกไปแล้ว
ในโลกโบราณนั้นการให้ของแก่คนยากจนเป็นความดีที่ทุกคนยกย่อง และก็มีคนโอ้อวด แต่พระเจ้าให้เราทำในที่คนไม่เห็น เราไม่ต้องบอกใคร แต่พระเจ้าทรงเห็น ดังนั้น พระองค์จะทรงเป็นผู้ประทานรางวัล
น่าเสียดายที่คนช่างอวดจะได้รับรางวัลที่อาจมีความสุขในวันที่ได้ แต่ไม่นานทุกคนก็จะลืมไป ต่างจากรางวัลที่พระเจ้าประทานซึ่งยั่งยืนเป็นนิตย์
**คำ “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า” ในภาษาเดิมว่า อาเมน
มัทธิว 6: 5-8
เรื่องการทำดีอีกเรื่องคือการอธิษฐานต่อพระเจ้า คนที่หน้าซื่อ ๆ แต่ใจคดนั้น ชอบประกาศตัวให้รู้ว่า เขาอธิษฐานอย่างไรบ้าง ดังนั้นวิธีการของพวกเขาคือ ต้องไปยืนในศาลาธรรม ตามมุมถนนให้คนได้เห็น ได้ชื่นชม
แต่พระเจ้าทรงให้เราอธิษฐานโดยไม่มีใครเห็น .. พระองค์ทรงเห็น และทรงสัญญาประทานรางวัลให้ เรื่องนี้สุดยอดเลย เมื่อเราอธิษฐานส่วนตัว แม้จะเป็นคนเดียว พระเจ้าก็ทรงตอบ
อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าอธิษฐานแบบสวด กล่าวคำซ้ำ ๆ ที่คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์มีพลัง เพราะนั่นไม่ใช่พลังแต่กลับเป็นคำซ้ำที่ไร้ความหมาย พลังมาจากการอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาจาก การอธิษฐานอย่างร้อนรน (ยากอบ 5:16, โรม 8:26-27)
มัทธิว 6:9-13
คำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวกนั้น แบ่งเป็นสองตอนสำคัญ ช่วงแรกเป็นการมุ่งที่องค์พระเจ้าพระบิดา ช่วงที่สองเป็นเรื่องของพวกเรา
พระเยซูทรงสอนให้เรามุ่งใจไปที่พระเจ้าก่อนตนเอง เริ่มต้นด้วยคำว่า พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้กล่าวว่า พระบิดาของฉัน (คนเดียว) พระเยซูทรงให้เรารู้ว่า คนทั้งโลกที่เชื่อในพระองค์นั้น เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์ คือขอให้ทุกคนในโลกนี้ได้เคารพพระนามของพระองค์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนควรจะเคารพพระนามยิ่งใหญ่นี้
ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ เมื่อไรที่พระเมสสสิยาห์คือพระเยซูทรงมาครองครอง เท่ากับแผ่นดินนั้นมาตั้งในโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นคำอธิษฐานดังกล่าวจะสำเร็จ นั่นหมายความถึงพระองค์ทรงปราบบาปทั้งสิ้นให้หมดไป ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์ ตอนนี้พระเยซูประทับในสวรรค์
ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
ต่อมาเป็นคำของเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการเลี้ยงดูของพระเจ้า
คือ อาหารประจำวัน การที่พระเจ้าจะทรงชำระบาปทั้งสิ้น (โดยที่มีเงื่อนไขว่า เราได้อภัยคนที่ทำผิดต่อเราด้วย เรื่องนี้ต้องสำคัญมากเพื่อจะไม่มีอะไรมาขัดขวางคำอธิษฐานของเรา เพราะบาปสามารถกั้นคำอธิษฐานของเราได้ อิสยาห์ )
คำขอสุดท้ายเป็นการขอเพื่อพระเจ้าจะทรงให้เราพ้นจากศัตรูที่คอยวนเวียนพยายามจับคนที่มันจะกัดกินได้ เรื่องนี้ เราควรอธิษฐานทั้งเผื่อตนเองและเพื่อน ๆของเราที่อาจถูกมารรังควาญ เผื่อเด็กเล็ก ๆ ที่เขาจะพ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พวกเขาเจอระหว่างอยู่ที่โรงเรียน อยู่กับเพื่อน
จบคำอธิษฐาน
แล้วจบคำอธิษฐานด้วยการยกย่องพระเจ้า ให้เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ตระการของพระองค์
มัทธิว 6:14-15
เรื่องการยกโทษเป็นสิ่งที่ทำแสนยากแสนเย็น เพราะเมื่อใครทำผิดต่อเรา เราก็มักคิดซ้ำย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเขาทำไม่ดี เขาตั้งใจ เขาไม่ซื่อฯลฯ แต่พระเจ้าทรงให้เราลืม และยกโทษให้ ไม่หาทางแก้แค้น แต่ลืมไป แถมยังสอนให้เราอธิษฐานเผื่อเพื่อเขาจะได้สิ่งดีที่สุด (มัทธิว 5:44)
มัทธิว 6:16-18
จะอดอาหารอธิษฐานก็อย่าไปทำให้ใครเขารู้ แน่นอนมีบางครั้งที่เราทำการอธิษฐานอดอาหารเป็นกลุ่มเพื่อรวมพลังเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ไม่ว่าจะทำเดี่ยวหรือทำกลุ่ม แรงจูงใจข้างในนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมองพระเยซูถึงกับบอกให้เราแต่งตัว ทำผม พรมน้ำมันให้ดูดี เป็นการปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่า เรากำลังอดอาหารอธิษฐานอยู่
มัทธิว 6:19-21
เรื่องทรัพย์สมบัติ การที่บอกว่า อย่าสะสม.. หมายถึงอย่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในชีวิต แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราทำแล้วมีรางวัลจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะใจเราให้ความสำคัญกับสิ่งใด เราก็จะหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น
การรักเงินทองเป็นรากแห่งความชั่วสารพัด (1 ทิโมธี 6:10) และยากอบก็ได้เตือนว่าวันหนึ่งคนมั่งมีจะพบวิบัติแบบที่หายนะเกิดขึ้นกับทรัพย์แสนรักของพวกเขา และสิ่งเปล่านั้นจะเป็นหลักฐานว่า เขาใช้ชีวิตในโลกแบบไหน (ยากอบ 5:1-3)
อีกด้านของการสะสมทรัพย์นี้คือ ความตระหนี่ที่ไม่ยอมแบ่งให้ใคร การที่ใครคนหนึ่งมีมากมาย ก็เพื่อเอื้อเฟื้อกับคนอื่นด้วยวิธีต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้เปล่า การสร้างงาน การสร้างคนมีคุณภาพ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอย่างเป็นสุข มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี
มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี
มัทธิว 6:24
การเลือกระหว่างสองนาย ก็เหมือนการเลือกระหว่างทรัพย์ในโลกกับทรัพย์ในสวรรค์ เหมือนกับการเลือกสว่างหรือมืด (ความมั่งคั่งที่ว่านี้ ในภาษาเดิมเรียก มาโมนา μαμωνᾶ หมายถึงความร่ำรวย เงิน ทรัพย์สมบัติ ) เราทุกคนต้องเลือกว่าจะรับใช้ใครให้ชัดเจน การมีสองใจพระเจ้าไม่รับ
มัทธิว 6:25-26
ข้อนี้ต่อมาจากเรื่องการที่เราต้องเลือกพระเจ้าองค์นิรันดร์ เหนือการตามหาทรัพย์สมบัติที่แมลงแทะกินได้ พระเยซูทรงบอกให้เราไม่ต้องกังวลกับการเลี้ยงชีวิต นี่ไม่ได้หมายความว่า เราอยู่เฉย ๆ แต่พระเจ้าทรงให้เราทำงานพร้อมไปกับการไว้วางใจพระองค์ นกในอากาศออกไปหาหนอนก็จริง แต่มันก็อยู่ใต้การเลี้ยงดู การจัดหาของพระเจ้า (สดุดี 147:9)
มัทธิว 6:27-28
คนบางคนไม่เข้าใจว่า ความกังวลเป็นเหมือนตัวร้ายที่กัดกร่อนใจที่มั่นคงของเรา มันเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นเพื่อน ทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาล้วนสร้างความกังวลใจได้ทั้งสิ้น ผู้คนที่ฟังพระเยซูอยู่นั้น เป็นคนยากจน ไม่ใช่แค่หาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีขอทาน แม่ม่ายที่ขาดคนเลี้ยงดู พระเยซูทรงบอกเขาชัดเจนว่า พวกเขามีความหมายต่อพระเจ้า ทรงดูแลนก ทรงดูแลดอกหญ้าที่ขึ้นตามทุ่ง จะทรงดูแลพวกเขายิ่งกว่านั้นอีก!
มัทธิว 6:29-30
สำหรับพระเยซูแล้ว ดอกไม้นี้ยังสวยกว่าความสง่างามขององค์กษัตริย์ที่ทรงเครื่องแต่งกายเต็มยศ คนที่ฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไรกับคำตรัสนี้ กษัตริย์ยังไม่งามเท่าและถ้าเรามองแบบคนสมัยใหม่ ในระดับไมโครแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่านอกจากความความภายนอกแล้ว ความละเอียดซับซ้อนของโครงสร้างดอกไม้ภายในนั้นงดงามจริง ๆ เป็นงานศิลปะที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้เลย
ดอกไม้ในทุ่งที่คนไม่เห็นค่า มีอายุแสนสั้น แต่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้ายังทรงตกแต่งมันอย่างงดงาม พระเจ้าจะทรงตกแต่งคนที่รักพระองค์ให้งามยิ่งกว่า และอย่าลืมว่าความงามดังกล่าวไม่ใช่แบบแฟชั่น ตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นความงามที่พระเจ้าทรงปรุงแต่งให้ เป็นความงามที่ยั่งยืน
มัทธิว 6:31-32
มีคนบอกว่า จะหมดความกระวนกระวายได้ก็คือ ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้รู้ว่า พระเจ้าทรงจัดหาให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต่างมีคำพยานเรื่องการจัดหาของพระองค์เสมอมา
มัทธิว 6:33-34
แล้วพระเยซูทรงจบด้วยเคล็ดลับสำคัญคือ ในแต่ละวันให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และนำ้พระทัยของพระเจ้าก่อน นั่นคือ ให้พระองค์ได้ตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ ให้เราได้นมัสการพระองค์ ขอบพระคุณตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่จะออกไปทำอะไร เป็นความเรียบง่ายที่หากทำทุกวันแล้ว เราก็จะมีวินัยที่ดีในการแสวงหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมทั้งปัญญา ความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ทุกด้าน ดีเกินความคาดหมายของเราเสียด้วยซ้ำ
1* มัทธิว 23:5
2* โรม 12:8 ;มัทธิว 6:5
3* ยอห์น 7:4
4* ลูกา 14:12-14; เยเรมีย์ 17:10
5* ลูกา 18:10-11
6* มัทธิว 14:23
7* ปัญญาจารย์ 5:2; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:26
8* โรม 8:26
9* ลูกา 11:2-4; มัทธิว 5:9, 16; มาลาคี 1:11
10* มัทธิว 26:42
11* สุภาษิต 30:8
12* มัทธิว 18:21
13* 2 เปโตร 2:9; ยอห์น 17:15
14* มาระโก 11:25
15* มัทธิว 18:35
16* อิสยาห์ 58:3-7
17* รูธ 3:3
18* มัทธิว 6:4, 6
19* สุภาษิต 23:4
20* มัทธิว 19:21
21* โคโลสี 3:1-3
22* ลูกา 11:34-35
23* 1 ยอห์น 2:11
24* ลูกา 16:9, 11, 13
25* ลูกา 12:22
26* ลูกา 12:24
27* ลูกา 12:25-26
28* มัทธิว 6:25
29* 2 พงศาวดาร 9:20-22
30* ลูกา 12:28
31* 1 เปโตร 5:7
32* มัทธิว 6:8
33* 1 ทิโมธี 4:8
มัทธิว 6

1 เมื่อพระเยซูทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงขึ้นไปบนภูเขา ประทับนั่งลง เหล่าศิษย์ก็มาหาพระองค์
2 และพระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาดังนี้
3 ความสุขเป็นของคนที่รู้ว่า
จิตวิญญาณของตนเองยังบกพร่องอยู่
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
4 ความสุขเป็นของคนที่เศร้าโศก
เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบใจ
5 ความสุขเป็นของคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6ความสุขเป็นของคนที่หิวกระหายอยากที่จะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะเขาจะได้อิ่มเต็มที่
7 ความสุขเป็นของคนที่มีใจเมตตา
เพราะเขาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน
8 ความสุขเป็นของคนที่ใจบริสุทธิ์
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า

9 ความสุขเป็นของคนที่สร้างสันติ
เพราะเขาจะได้ชื่อว่า เป็นลูกของพระเจ้า
10 ความสุขเป็นของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
11 ความสุขเป็นของเจ้าเมื่อใคร ๆ ดูหมิ่นเจ้า ข่มเหงเจ้า
และกล่าวใส่ร้ายเจ้าเนื่องจากเรา
12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของเจ้านั้นมีมากมายในสวรรค์
เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มาก่อนหน้าเจ้าเช่นกัน
13 เจ้าทั้งหลายเป็นเกลือของแผ่นดินโลก แต่หากเกลือขาดรสชาติไปแล้ว
จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร?
เกลือนั้นจะไร้ประโยชน์นอกเสียจากจะโยนทิ้งไปให้คนเดินเหยียบย่ำ

14 เจ้าทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งบนภูเขาไม่อาจถูกปกปิดไว้ได้

15 เช่นเดียวกับคนที่จุดตะเกียง เขาจะไม่วางตะเกียงไว้ใต้ตะกร้า
แต่จะวางไว้บนที่ตั้ง เพื่อให้แสงส่องไปให้ทุกคนในบ้าน
16 เช่นเดียวกัน จงให้ความสว่างของเจ้าส่องให้คนทั้งหลายได้เห็น
เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของเจ้า และสรรเสริญพระบิดาของเจ้าผู้ประทับในสวรรค์

17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างบัญญัติหรือคำของผู้เผยพระดำรัส เรามิได้มาเพื่อล้มเลิกสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อทำให้สำเร็จ
18 เพราะเราบอกความจริงแก่เจ้าว่า
จนกระทั่งวันที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจะสิ้นสุดไป(ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินยังคงอยู่)จะไม่มีตัวหนังสือเล็ก ๆ หรือสักขีดเดียวที่จะหายไปจากบัญญัติจนกว่าทุกสิ่งสำเร็จตามที่บันทึกไว้

19 ดังนั้น ใครก็ตามที่ละเมิดบัญญัติแม้เป็นข้อเล็ก ๆ ข้อหนึ่งข้อใด และสอนให้คนอื่นทำเช่นนั้นด้วย จะถูกเรียกว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์
20 เราบอกเจ้าว่า
หากความดีของเจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีแล้ว
เจ้าจะไม่มีวันที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้เลย
21 เจ้าเคยได้ยินคำที่สอนในสมัยโบราณว่า ’อย่าฆ่าคน’
และ ‘ผู้ใดฆ่าคนจะถูกพิพากษาลงโทษ
22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของเขาจะต้องได้รับการพิพากษา
เช่นกัน ผู้ใดกล่าวกับพี่น้องว่า
‘เจ้าไม่มีค่า!’
จะถูกพิพากษาที่สภาแซนเฮอดริน
แต่คนใดที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่!’ จะต้องเจอกับไฟนรก
23 ดังนั้น หากเจ้ากำลังจะถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและจำได้ว่า มีพี่น้องที่ยังมีเรื่องค้างคากับเจ้า
24 ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่แท่นบูชา และไปคืนดีกับเขาก่อน
แล้วจึงกลับมาถวายเครื่องบูชาของเจ้า

25 จงตกลงกับฝ่ายตรงข้ามของเจ้าระหว่างทางที่ไปศาลโดยเร็ว
เพื่อว่าเขาจะไม่ส่งตัวเจ้าให้กับผู้พิพากษาเพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ซึ่งจะโยนเจ้าเข้าเรือนจำ
26 เราบอกความจริงเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้ออกมาเป็นอิสระ
จนกว่าเจ้าจะจ่ายคืนเงินแม้สตางค์สุดท้ายทั้งหมดเสียก่อน
27 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’
28 แต่เราขอบอกเจ้าว่า หากใครคนหนึ่งมองผู้หญิงด้วยใจใคร่ในตัวเธอ
ก็ได้ล่วงประเวณีกับเธอในใจของเขาแล้ว

29 หากดวงตาข้างขวาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาปก็จงควักมันออกมา และโยนทิ้งไปเพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะบางส่วนไปแทนที่ร่างกายทั้งร่างจะถูกโยนลงในนรก
30 และหากมือขวาของเจ้าทำให้ทำบาป ก็จะตัดมันออกทิ้งไป
เพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปแทนที่จะเสียงทั้งร่างกายลงไปในนรก

31 ยังมีคำกล่าวว่า ‘ใครที่หย่าภรรยาของตนจะต้องมอบใบหย่าให้’
32 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยา
ยกเว้นการผิดศีลธรรมทางเพศ เท่ากับทำให้เธอเป็นคนผิดประเวณี
และคนที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้ว ก็ผิดประเวณีด้วย

33 พวกเจ้าได้ยินคำที่กล่าวในสมัยโบราณว่า‘อย่าเสียคำสัญญา แต่จงทำตามสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ’
34 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าสาบานเลย
ไม่ว่าจะสาบานต่อสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า
35 หรือสาบานต่อแผ่นดินโลก
เพราะนั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า
หรือสาบานต่อนครเยรูซาเล็ม เพราะนครนี้เป็นนครขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
36 และเจ้าก็ไม่ควรสาบานด้วยหัวของเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถทำให้ผมของเจ้าขาวหรือดำไปได้
37 จงให้คำว่าใช่ เป็นใช่ และคำว่าไม่ เป็นไม่ตามจริง สิ่งที่พูดเกินมาจากนั้นมาจากมารร้าย
38 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’
39 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าไปสู้กับคนชั่ว
ถ้าใครตบแก้มขวาของเจ้า ก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย
40 หากใครยื่นฟ้องเจ้า และเอาเสื้อชั้นในของเจ้าไป ก็จงให้เสื้อนอกไปด้วย
41 และหากมีใครบังคับให้เจ้าเดินไป 1 กิโลเมตร ก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร
42 จงให้ แก่คนที่ขอจากเจ้า และอย่าเมินหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากเจ้า

43 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า’ และ ‘จงเกลียดชังศัตรูของเจ้า’
44 แต่เราบอกเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเจ้า
45 เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นลูก ๆ ของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์
เพราะพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ส่องแสงให้กับทั้งคนชั่วและคนดี และทรงส่งฝนให้กับทั้งคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม
46หากเจ้ารักเพียงคนที่รักเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลหรือ?เหล่าคนเก็บภาษี ก็ทำอย่างนั้นมิใช่หรือ?
47 และหากเจ้าทักทายเฉพาะพี่น้องของเจ้าเจ้าได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น ๆ เล่า?
แม้แต่คนต่างชาติก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ?
48 ดังนั้น เจ้าจงเป็นคนที่ดีพร้อมทุกด้านเหมือนอย่างที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อมทุกประการ

มัทธิว 5:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงเตือนว่า ให้กลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว และพระองค์ก็ทรงอธิบายให้รู้ว่า ชีวิตที่วางใจ กลับใจเชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างไร ผู้คนที่เข้ามาฟัง ก็ตั้งใจฟังมาก พวกเขาฟังแล้วก็เชื่อ เพราะพระองค์ทรงสอนต่างจากธรรมจารย์ในศาลาธรรมที่สอนเอาแต่ให้พวกเขาประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่าง ๆ มากมาย พวกเขาเห็นเลยว่า พระองค์ไม่เหมือนธรรมาจารย์เหล่านั้น (มัทธิว 7:28)
มัทธิว 5:3-12
ผู้ที่มาฟังพระเยซูส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองที่ยากจน พวกเขาถูกควบคุมความคิดโดยเหล่าธรรมาจารย์ และกำลังอยู่ในสภาพเมืองขึ้นของโรมด้วย เมื่อได้ยินคำสอนที่ประหลาด เช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องตั้งใจฟัง และพยายามที่จะเข้าใจ
:3 คนบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าเป็นในศาสนายิว ก็จะถูกดูหมิ่น แต่พระเยซูตรัสว่าจะมีความสุขเพราะแผ่นดินสวรรค์คือ การที่พระเจ้าทรงครอบครองใจ สุภาษิต 3:34 ก็บอกเรามาก่อนหน้าด้วยว่า พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง
:4 คนที่โศกเศร้าเสียใจ ในศาสนายิว ก็จะเสียใจมากขึ้น เพราะถูกทับถม คนไทยเราก็คอยหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีต่าง ๆ แต่กับพระเยซู กลับได้การปลอบใจจากพระเจ้า
:5 คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะยิ่งถูกกดลงมากขึ้น แต่กับพระเยซู พวกเขาจะได้รับเกียรติ เหมือนกับในสดุดี 37:3
:6 คนที่อยากถูกต้องกับพระเจ้า เมื่ออยู่ในศาสนา ก็จะต้องบังคับตน ประพฤติตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามาแสวงหาพระเจ้า เขาจะอิ่มเต็มที่ได้รับอย่างที่ปราถนา ไม่ใช่โดยความพยายามส่วนตัว แต่โดยการใกล้ชิดกับพระเจ้า รับพลังจากพระองค์
:7 คนที่เมตตา ในศาสนายิว ก็จะได้รับการยกย่องจากคน แต่พระเจ้ากลับบอกว่า เขาจะได้รับความเมตตาตอบจากพระองค์
:8 คนใจบริสุทธิ์ ในศาสนายิว จะรู้สึกเป็นคนดี ดีกว่าคนอื่น แต่พระเยซูจะทรงให้เขาได้สัมผัสกับพระเจ้ามากขึ้น รู้จัก เข้าใจพระองค์มากขึ้นทุกวัน
:9 คนที่สร้างสันติ ในหมู่พี่น้อง เป็นคนที่ไม่ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามให้เกิดความปรองดอง ความร่วมมือ ความรักกันและกัน คนแบบนี้ หายากมาก มีที่ไหน เขาก็เหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า
:10-12 เมื่อคนใดก็ตามถูกข่มเหง ซึ่งไม่ใช่แค่ร่างกาย จิตใจ แต่บางครั้งถึงกับชีวิต แต่เขายังทนได้ ไม่ยอมก้มหัวทำผิดต่อพระเจ้า คนเหล่านี้มีรางวัลในสวรรค์รออยู่ และพระเจ้ากลับบอกให้เขายินดี ทั้งหมดนี่เป็นคำสอนบอกทางแห่งความสุขที่แตกต่างจากโลกราวฟ้ากับเหว
มัทธิว 5:13-16
คนของพระเจ้าเป็นเหมือนเกลือที่ทำหน้าที่รักษาไม่ให้เน่าเสีย ให้รสชาติ ซึ่งผู้เชื่อของพระเจ้าจะต้องเป็นคนช่วยรักษาสังคมให้ดี ไม่เน่าเสียไปจากทางของพระเจ้า อีกอย่างที่เกี่ยวกับเกลือ ในอิสราเอลมีเกลือบางอย่างที่ผสมกับแร่ธาตุอื่น ๆ ทำให้ความเค็มหายไปผสมกับแร่อื่น ๆ เหล่านั้น เกลือประเภทนี้เขาเอาไว้เทเป็นทางเดิน
:14และในชีวิตของเขาจะต้องเป็นแสงสว่าง เป็นพยานให้กับคนที่ยังไม่รู้จักแสงสว่างคือ พระเยซูคริสต์
:16 ที่น่าสนใจคือ ใคร ๆ จะเห็นแสงสว่างได้จากการกระทำที่ดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ผลที่ได้คือ เขาจะสรรเสริญพระบิดา ผู้ประทับในสวรรค์
มัทธิว 5:17-20
:17 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงมาเพื่อให้หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จผล รวมทั้งหนังสือผู้พยากรณ์ทั้งหลายด้วย ระบบการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป พระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก
ถ้าเราได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่า ทุกเล่มมีสิ่งที่ชี้ให้เราซึ่งเป็นคนยุคศตวรรษที่ 21 ได้เห็นว่า คำทำนายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นจริงทั้งสิ้น
คำสอนทั้งหลายของพระเยซู ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายคำสอนเดิม แต่เพื่อทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
:18 ความจริงแล้วพระเจ้าทรงยกย่องพระคำของพระองค์มาก ดังนั้นทุกคำเป็นจริง และจะเกิดขึ้นตามที่บอกไว้ ไม่มีพลาดเลย สดุดี 138:2b
เพราะว่า พระองค์ทรงยกพระนามและพระดำรัสของพระองค์ขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด
:19 การเป็นผู้สอนคนอื่น จึงเสี่ยงมากที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์ หากว่า ไปสอนในสิ่งที่ผิดพลาด…
:20 ข้อนี้ เหมือนพระเยซูกำลังจะบอกว่า ไม่มีใครที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเพราะความดีได้เลย…แม้กระทั่งธรรมาจารย์และฟาริสี ก็ยังไม่ผ่าน
มัทธิว 5:21-26
:21-22 ต่อไปนี้ พระเยซูจะทรงเริ่มด้วยคำว่า เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า .. แล้วทรงบอกว่า พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนั้น (ทั้งหมดหกเรื่อง) เราจะเห็นว่า การโกรธนั้น เป็นพื้นฐานของการฆ่าคน พระองค์ทรงเริ่มที่ให้เราจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นก่อน คนที่ช่างโกรธจะต้องเจอกับปัญหามากมายตามมา และที่สุดคือไฟนรก แสดงว่า เรื่องความโกรธจนแสดงออกมาเป็นวาจาที่น่ารังเกียจนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องระมัดระวังให้มาก
:23-24 ถ้าจะเข้าเฝ้าพระเจ้า พร้อมกับยังมีปัญหากับพี่น้อง ก็ขอให้จัดการคืนดีเสียก่อน
:25-26 เวลาเจอคดีความ ก็ให้รีบไกล่เกลี่ยก่อนถ้าทำได้ จะได้ไม่เจอกับโทษที่ทำให้ลำบากไปกว่าที่เป็นอยู่
มัทธิว 5:27-28 อย่าลืมว่า ในสังคมยิว การเป็นชู้คือบาปที่หนักหนาสาหัสมาก (อพยพ 20:14) เป็นการละเมิดร่างกายของอีกคน และละเมิดสัญญาการสมรส เป็นการทำลายครอบครัวหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ การสมรสในสายตาของยิวเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลด้วย (มาลาคี 2:14) เหนือไปกว่านั้น พระเยซูตรัสว่า ยังไม่ได้ลงมือกระทำ แค่มองก็ผิดแล้ว!! นั่นหมายถึงว่า เราต้องมีใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่มีสิ่งที่สกปรกแอบอยู่ข้างใน ใครมองไม่เห็นแต่พระเจ้าทรงเห็นหมด! พระเจ้าทรงประสงค์คนที่มีมือสะอาดใจบริสุทธิ์ (สดุดี 24:4) ทรงสั่งให้เรารักษาใจสุดความพยายามเลยทีเดียว (สุภาษิต 4:23)
มัทธิว 5:29-30 พระเยซูตรัสถึงดวงตาขวา มือขวา มีความหมายว่าสำคัญกว่า ดวงตาเป็นตัวสร้างความอยาก มือเป็นตัวลงมือทำ คำว่าควักออกเสีย ตัดออกเสียเพื่อให้เห็นว่า การที่จะมีความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องสละสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้มันนำเราไปสู่ความบาป
มัทธิว 5:31-32
การมีใบหย่าทำให้ผู้หญิงคนที่หย่าแล้วมีสิทธิแต่งงานใหม่ พระเจ้าทรงช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องถูกหย่าโดยไร้เหตุผลที่สมควร สำหรับสังคมโบราณ การมีครอบครัวเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงโบราณจะไม่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนสมัยนี้ เธอจึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดู แสดงว่า เวลานั้นก็มีการหย่าร้างกันไม่น้อย แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสทำให้เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการหย่าร้าง เพราะไม่ควรที่ใครจะให้คนที่สมรสเป็นหนึ่งเดียวกันแยกจากกัน (มาระโก 10:8)
มัทธิว 5:33-37
โมเสสเคยบอกถึงพระบัญชาของพระเจ้าว่า หากใครสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำที่เขาลั่นวาจาไว้ (กันดารวิถี 30:2) แต่พระเยซูทรงสอนว่า ไม่ให้สาบาน อ้างโน่นอ้างนี่ แต่ให้พูดด้วยความจริง ทุกอย่าง
มัทธิว 5:38-42
:38 มีกฎการตัดสินความว่า ให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน ในเฉลยธรรมบัญญัติ 19:20 เพื่อให้การลงโทษนั้นเหมาะกับความผิด (ซึ่งเป็นกฎสำหรับการปกครอง การตัดสินความของผู้มีอำนาจ) แต่ในจุดนี้ พระเยซูกำลังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝ่ายที่อาจเกิดมีปัญหากันขึ้น
:39 พระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กำลังกล่าวถึงคนสองคนที่มีปัญหากันว่า ควรจะตัดสินอย่างไร สิ่งที่เห็นคือ พระองค์ไม่ให้คนสองฝ่ายแก้แค้นกันและกัน (ในสังคมยิวสมัยก่อนนั้น เวลายิวทะเลาะกันเมื่อไร ก็จะรุนแรงมาก ๆ แถมยังจะเอาคนในครอบครัว หรือตระกูลเข้าไปร่วมการต่อสู้ส่วนตัวด้วย ) เมื่อมีปัญหา ก็ขอให้รีบจบก่อนที่จะลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่
มัทธิว 5:43-45
เข้าไปดูคุณรามิน เขาอ่านมัทธิว 5 แล้วพบความแตกต่างจากความเชื่อเดิมของเขา
https://www.youtube.com/watch?v=ShA-bWaW3LU
มัทธิว 5:46-47
คนยิวจะเกลียดคนเก็บภาษีมาก เพราะเป็นลูกน้องโรม มาขูดรีดชาวยิวด้วยกันเอง แต่พระเยซูกลับทรงสอนให้พวกเขา ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี นี่เป็นหัวใจที่ไม่มีอคติ สิ่งที่พระองค์ทรงบอกคนที่ฟังอยู่ และเราทุกคน คือการมองผู้อื่นด้วยสายตาของพระเจ้า พระองค์ประทานสิ่งดีให้กับทุกคน แล้วเราจะทำอย่างนั้นกับคนที่เราคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับ ได้หรือไม่
มัทธิว 5:48
พระเยซูทรงบอกให้ผู้ฟังเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระบิดาในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาทรงแจ้งผ่านพระเยซูให้รู้แล้วว่า อะไรดี อะไรเหมาะ ดังนั้นเมื่อผู้ที่เชื่อพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระดำรัสเท่ากับพวกเขากำลังเดินตามวิถีที่ดีพร้อม.. อาจจะยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กำลังก้าวไป.. และพระวิญญาณทรงเป็นกำลังให้เปลี่ยนแปลง
1* มาระโก 3:13 2* มัทธิว 7:29
3* ลูกา 6:20-23
4* วิวรณ์ 21:4
5* สดุดี 37:11; โรม 4:13
6* ลูกา 1:53; อิสยาห์ 55:1; 65:13
7* สดุดี 41:1
8* สดุดี 15:2;24:4; 1โครินธ์ 13:12
9* ฮีบรู 12:14
10* 1 เปโตร 3:14
11* ลูกา 6:22; 1 เปโตร 4:4
12* 1 เปโตร 4:13, 14; กิจการ 7:52
13* ลูกา 14:34
14* ยอห์น 8:12
15* ลูกา 8:16
16* 1 เปโตร 2:12; ยอห์น 15:8
17* โรม 10:4
บรรณานุกรม
18* ลูกา 16:17
19* ยากอบ 2:10
20* โรม 10:3
21* อพยพ 29:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:17
22* 1 ยอห์น 3:15; ยากอบ 2:20; 3:6
23* มัทธิว 8:4
24* โยบ 42:8
25* ลูกา 12:58-59; อิสยาห์ 55:6
26* มัทธิว 18:34
27* อพยพ 20:14; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:18
28* สุภาษิต 6:25
29* มาระโก 9:43; โคโลสี 3:5
30* มาระโก 9:43
31* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
32* ลูกา 16:18
33* มัทธิว 23:16; เลวีนิติ19:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:23
34* ยากอบ 5:12; อิสยาห์ 66:1
35* สดุดี 48:2
36* ลูกา 12:25
37* โคโลสี 4:638* อพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21
39* ลูกา 6:29; อิสยาห์ 50:6
40* ลูกา 6:29
41* มัทธิว 27:32
42* ลูกา 6:30-34
43* เลวีนิติ 19:18; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:3-6
44* ลูกา 6:27; โรม 12:20; กิจการ 7:60
45* โยบ 25:3
46* ลูกา 6:32
47* ลูกา 6:32
48* โคโลสี 1:28; 4:12; เอเฟซัส 5:1
โรม 2:1
ดังนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย หากท่านคิดว่า จะตัดสินกล่าวโทษคนอื่นได้ ก็คิดผิดแล้วเพราะเมื่อท่านกล่าวโทษเขา เท่ากับว่าท่านกำลังกล่าวโทษตนเองด้วย เพราะท่านที่กล่าวโทษคนอื่นนั้น ก็ยังคงกระทำสิ่งเดียวกัน

โรม 2:2-3
และเรารู้ว่า การที่พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษคนที่ทำผิดเช่นนั้นก็สมควรแล้ว มนุษย์เอ๋ย เมื่อท่านกล่าวโทษคนที่ทำผิดเหมือนตัวท่านเอง คิดหรือว่าตนเองจะรอดตัวจากการพิพากษาของพระเจ้าไปได้?

โรม 2:4
หรือว่าท่านดูหมิ่นพระกรุณาคุณความอดกลั้น ความอดทนอันมหาศาลของพระองค์ โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่า พระกรุณาคุณนั้นมีเป้าหมายที่จะนำให้ท่านได้กลับใจ?

โรม 2:5
แต่เป็นเพราะท่านเองดึงดันและยังคงไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงสะสมโทษทัณฑ์ของท่านนั้นให้พอกพูนเตรียมไว้สำหรับวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ในวันนั้น ทุกคนจะเห็นการพิพากษาอันยุติธรรมของพระองค์

โรม 2:6-7
พระเจ้าจะตอบแทนทุกคนตามการกระทำของเขา ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับคนที่พากเพียรบากบั่นใช้ชีวิตทำความดี เพื่อตามหาพระเกียรติสิริตามหาเกียรติยศ และชีวิตที่เป็นอมตะ

โรม 2:8-9
ส่วนคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเชื่อฟังความจริง และหันไปติดตามเชื่อความชั่ว จะได้เผชิญกับการลงโทษ และพระพิโรธจะมีความยากลำบาก และการต้องทนทุกข์ยากกับทุกคนที่ทำความชั่ว
แก่คนยิวก่อน และคนกรีกด้วย

โรม 2:10-11
แต่พระเจ้าจะประทานศักดิ์ศรี เกียรติยศและสันติสุข แก่ทุกคนที่ทำความดี แก่คนยิวก่อน และคนกรีกด้วยเพราะว่า พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง

โรม 2:12
และคนที่ทำบาปจะพินาศ แม้ว่าพวกเขาไม่มีบทบัญญัติ ทุกคนที่ทำบาปโดยมีบทบัญญัติจะถูกพิพากษาด้วยบทบัญญัตินั้น

โรม 2:13-14
เพราะเพียงแต่ได้ยินบทบัญญัติ ไม่ได้ทำให้คน ๆ หนึ่งเป็นคนเที่ยงธรรมได้ แต่คนที่ฟังทำตามบทบัญญัติต่างหากที่ถูกนับว่า เป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อคนต่างชาติที่ไม่มีบทบัญญัติ ได้ทำตาม
กฎในจิตสำนึกของเขา เขามีกฎของตนเอง แม้ว่าไม่มีบทบัญญัติ

โรม 2:15-16
พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่า บทบัญญัติถูกจารึกไว้ในใจพวกเขาอยู่แล้ว เพราะมโนธรรมของเขาเป็นพยาน และความคิดที่ขัดแย้งในใจก็จะเป็นตัวกล่าวหาหรือปกป้องเขาในวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับในใจมนุษย์ ตามข่าวประเสริฐที่ข้าประกาศผ่านองค์พระเยซูคริสต์

โรม 2:17-19
แล้วท่านล่ะ? ท่านเรียกตัวเองว่าเป็นยิววางใจในบทบัญญัติของโมเสสและอวดว่าท่านใกล้ชิดพระเจ้า รู้จักพระประสงค์ของ
พระเจ้า และเห็นด้วยกับสิ่งที่สำคัญเหนือกว่า เพราะท่านได้เรียนรู้จากบทบัญญัติท่านคิดว่า ท่านเป็นคนนำทางคนตาบอด เป็นสว่างให้กับเหล่าคนที่อยู่ในความมืด

โรม 2:20-21
ท่านคิดว่า ท่านจะบอกให้คนโง่เขลารู้ว่าอะไรถูกต้อง และยังเป็นครูสอนเด็ก ๆ การที่ท่านมีบทบัญญัติทำให้ท่านคิดว่า ท่านรู้ทุกสิ่ง และมีความจริงทั้งสิ้นในเมื่อท่านสอนคนอื่น แล้วจะไม่สอนตัวเองเลยหรือ? ท่านห้ามคนอื่นขโมยแล้ว
ท่านขโมยหรือเปล่า?

โรม 2:22-24
ท่านกล่าวว่า ไม่ควรมีใครทำผิดประเวณีแล้วท่านล่ะ ทำผิดประเวณีหรือไม่? ท่านชังรูปเคารพ แต่ได้ปล้นพระวิหารไหม? ท่านอวดว่ามีบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ท่านดูหมิ่นพระเกียรติ ด้วยการละเมิดบทบัญญัติของพระองค์หรือเปล่า? ตามที่มี
บันทึกไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นในหมู่คนต่างชาติก็เพราะท่าน”

โรม 2:25-26
หากว่าท่านทำตามบทบัญญัติ การเข้าสุหนัตของท่านก็มีคุณค่าแต่หากท่านละเมิดบทบัญญัติ ก็เหมือนกับว่าท่านไม่ได้เข้าสุหนัตเลย ดังนั้นเมื่อ คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทำตามบทบัญญัติ เท่ากับว่า เขาได้เข้าสุหนัตแล้วใช่ไหม?

โรม 2:27
พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายร่างกาย แต่เชื่อฟังบทบัญญัติ จะกล่าวโทษพวกท่านที่ละเมิดบทบัญญัติทั้ง ๆ ที่มีบทบัญญัติ
ซึ่งเขียนไว้ พร้อมได้เข้าสุหนัตแล้วด้วย

โรม 2:28-29
คนที่เป็นยิวแค่ภายนอก ไม่ใช่ยิวแท้การเข้าสุหนัตแค่ทางกายไม่ใช่สุหนัตแท้คน ๆ หนึ่ง จะเป็นยิวแท้ได้ก็เมื่อเขาเป็นยิวภายใน นั่นคือ เขาเข้าสุหนัตแท้ซึ่งเป็นการทำสุหนัตในจิตใจโดยพระวิญญาณไม่ใช่โดยบทบัญญัติที่เขียนไว้ คนที่ทำ
เช่นนี้จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า ไม่ได้รับจากมนุษย์

โรม 2:1
ส่วนใหญ่แล้ว คนเรามักคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นเสมอ มักไม่เห็นความผิดของตน แต่เห็นความผิดของคนอื่น เราจะเห็นชัดในหมู่นักการเมืองและ
ในโซเชียลมีเดีย แต่ถ้ามองรอบ ๆ ตัวแล้ว เราก็จะเห็นชัดด้วยว่า คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละ การที่ท่านเปาโลได้เตือนสติ ทำให้เราจะต้องระมัดระวัง
ที่จะไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคด แต่มองทุกอย่างตามความเป็นจริง และระวังที่จำไม่กล่าวโทษ ให้ร้ายผู้อื่น ให้ดีคือระวังตัวให้มาก ๆ
โรม 2:2-3
พระเจ้าจะทรงลงโทษคนทำผิดอยู่แล้ว ตามความเป็นจริง จึงไม่มีใครพ้นจากโทษของพระเจ้าไปได้ ในประเทศเผด็จการ ผู้ปกครองมักมีอำนาจเหนือ
กฎหมาย แต่ทางของพระเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าคนที่กล่าวโทษคนอื่น หรือคนที่ทำผิด เพราะในความจริงของชีวิต
มนุษย์ ไม่มีใครที่ไร้ผิดเลย พระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกอย่าง (อิสยาห์ 45:19 เราคือพระเจ้า เราพูดความจริง เราแจ้งสิ่งที่ถูกต้องให้รู้)
โรม 2:4
ที่พระเจ้าไม่ทรงลงโทษเราอย่างทันที เพราะพระองค์พอพระทัยที่จะให้เรากลับใจมากกว่าที่จะรับโทษ เมื่อรับโทษแล้ว ไม่อาจหันกลับ เปลี่ยนสถานการณ์ได้ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้มีชีวิตนิรันดร์ ที่ไม่ใช่อยู่ในความมืด แต่ ได้ชื่นชมในสิ่งที่ทรงสร้าง ได้เรียนรู้ และอยู่กับพระองค์ตลอดไป
โรม 2:5
วันแห่งพระพิโรธ หรือเรียกว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันพิพากษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านเปาโลเตือนไม่ให้เราดื้อดึงทำบาปสะสม เราได้รับคำเตือนแล้ว ควรจะฟัง และคิดให้ดีว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต ดูเหมือนว่า พระเจ้าทรงมีคลังเก็บข้อมูลการกระทำของมนุษย์ ปัญญาจารย์ 12:14 ย้ำเตือนเรื่องนี้
โรม 2:6-7
คนเราทำดีได้เสมอไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แต่คนดีที่ไร้พระเจ้า ก็ไม่อาจจะได้รับชีวิตนิรันดร์เพราะเขายังไม่ได้รับการประกาศจากพระเจ้าว่า
เป็นคนของพระองค์ เขายังป็นคนบาปที่ไม่รอดเพราะเขายังไม่ยอมรับว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะลบล้างบาปของเขาได้ คนที่เชื่อพระเจ้าและติดตามการดี
คือคนที่เชื่อและเชื่อฟัง เขาเป็นคนที่จะได้ค่าจ้างตามงานที่ได้ทำ (1 โครินธ์ 3:8) พระเจ้าทรงเตือนผู้ที่เชื่อพระองค์แล้วว่า เขาควรใช้ชีวิตอย่างไร
โรม 2:8-9
ในข้อก่อนหน้านี้ กล่าวถึงรางวัลสำหรับคนทำดีที่ใช้ชีวิตหาพระสิริ เกียรติ และชีวิตอมตะ และในข้อนี้บอกถึงคนที่ไม่ยอมฟังความจริง ชอบข่าวปลอมหันไปเชื่อความชั่วร้าย (ความจริงคืออะไรหรือ ? ….พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต) เมื่อไม่ฟังสิ่งที่พระเยซูทรงเตือนและติดตามความมุสาที่มีอยู่เต็มโลก อันตรายแห่งพระพิโรธของพระเจ้าก็รออยู่
โรม 2:10-11
ลำเอียงคือ การที่ให้ประโยชน์ เข้าข้างคนใดคนหนึ่งเพราะฐานะ ตำแหน่ง เชื้อชาติ ความสามารถ หรือเป็นเพราะรักมากเป็นพิเศษ พระลักษณะของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงเที่ยงธรรม สิ่งใดที่ได้ตรัสว่าจะทรงทำ ก็จะทรงทำแน่นอนโดยไม่ได้ทรงลำเอียง เราจึงสบายใจได้ว่า หากอยู่ในเงื่อนไขของพระเจ้าแล้ว เราก็ปลอดภัย ได้รับความยุติธรรมคนที่ติดตามพระองค์จากข้อ 7 จะได้รับ ศักดิ์ศรี เกียรติยศ และสันติสุขแน่
โรม 2:12
ยังมีคนในพื้นที่ห่างไกล คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้า คนที่ไม่เคยรู้เลย เมื่อทำบาป เขาจะถูกพิพากษาตามความรู้แบบที่มีในใจของเขา เราเห็นว่าชนเผ่าต่าง ๆ มากมายก็มีกฎของพวกเขาเองที่ใช้เพื่อทำให้สังคมของพวกเขายืนยงอยู่ได้ ครอบครัวที่อยู่ห่างไกลไม่เคยสัมผัสกับคนอื่น ๆ เขาก็ต้องมีกฎในใจของเขาที่จะช่วยให้เขาอยู่ต่อไปได้ พวกเขาที่ไม่มีบัญญัติ พระเจ้าก็จะทรงพิพากษาตามนั้น แต่คนที่มีก็อีกเรื่อง
โรม 2:13-14
พระคำข้อ14 ชัดเจน ชนเผ่าทั้งหลาย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สามารถสืบทอดชนเผ่าและสายพันธุ์มาจนถึงวันนี้ได้ เพราะในใจของพวกเขายังมีความรักความผูกพัน มีความไว้ใจกัน ความชื่อตรงต่อกันสิ่งเหล่านี้คือ ความดีต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่อย่าลืมว่าในเวลาเดียวกันก็มีความโหดร้าย การเอาเปรียบกัน การเห็นแก่ตัวเห็นแก่เผ่าของตน เหล่านี้ ทำให้เราเห็นชัดว่า ในใจของทุกคนมีสิ่งที่บอกความถูกผิดอยู่แล้ว
โรม 2:15-16
เมื่อเราทำผิด ใจก็จะฟ้องให้รู้ว่าทำผิดไป มโนธรรมนี้จะบอกคน ๆ หนึ่งว่าเขาทำผิดหรือถูก เมื่อใครคนหนึ่งตั้งใจที่จะละเมิดกฏ ความขัดแย้งในใจจะเกิด
ขึ้น และถ้าเขาฝืนที่จะไม่เชื่อฟัง หลายครั้งเข้าก็จะกลายเป็นด้านชาต่อมโนธรรมที่มีอยู่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เปาโลขอให้เขาอย่าเฉยเมยต่อมโนธรรมในใจนี้ บางครั้งเราเรียกมโนธรรมนี้ว่า จิตสำนึก ความลับในใจ คือแรงจูงใจที่ส่งผลให้เราทำผิดหรือถูก (1 ทิโมธี 4:2)
โรม 2:17-19
การเรียกคนอิสราเอลว่า ยิว เพราะมองว่า พวกเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัม แผ่นดินของพวกเขาในขณะนั้น ถูกปกครองด้วยโรม โดยมีการแต่งตั้งผู้ว่า
เข้ามาปกครองตามพื้นที่ต่าง ๆ ยิวก็ยังดำรงความเชื่อในศาสนายิวอย่างเคร่งครัด ในช่วงสี่ร้อยปีระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่นั้นพวกเขาได้มีการเขียนกฏต่าง ๆ เพิ่มเติมมากมายเป็นกฏเล็ก กฏน้อยที่บังคับให้ผู้คนทำตาม พวกเขาจึงเกลียดพระเยซูนักที่ทรงต้านความเคร่งไร้ค่านี้
โรม 2:20-21
เป็นเพราะพวกเขารู้บทบัญญัติเป็นอย่างดี ทั้งที่มาจากโมเสส และที่พวกเขาเขียนกันขึ้นมาใหม่ด้วย จึงเข้าใจว่า ตัวเองรู้มาก พวกเขาได้ทำระบบการ
ศึกษาของเด็กชายชาวยิวอย่างมั่นคงจนกระทั่งทุกวันนี้ เด็ก ๆ จะต้องเข้าเรียนพระคัมภีร์อย่างเข้มข้นแต่ปัญหาที่ท่านเปาโลชี้ให้เขามองตัวเองคือ
สอนคนอื่นแล้ว สอนตัวเองหรือเปล่า เป็นเรื่องเดียวกับที่ท่านเขียนมาก่อนหน้านี้ใน 2:1-2 ทั้งหมดคือการมองตัวเองอย่างถูกต้องก่อนอื่นใด
โรม 2:22-24
ประเมินจากรายการคำถามทั้งหมดของท่านเปาโลเท่ากับว่าคนยิวที่ยังไม่ได้กลับใจก็ต้องรู้สึกหนาวเลยทีเดียว ท่านไม่สอนตัวเอง ท่านขโมยไหม?
ทำผิดประเวณีหรือไม่? ได้ปล้นพระวิหารไหม?ละเมิดบัญญัติไหม? สรุปว่า พวกเขาทำตัวเลวร้ายอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องการปล้นพระวิหารก็คือ
เก็บเงินภาษีพระวิหารแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ประเมินจากที่ท่านเปาโลพูด พวกเขาน่าจะมีเอี่ยวการขายรูปเคารพด้วย เฉลยธรรมบัญญัติ 7:25
โรม 2:25-26
คนยิวมองว่าตนเองเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก และคนใดในหมู่ยิวทำสุหนัต เท่ากับได้รับความรอดแล้ว พวกเขาคิดเอาเองว่า พิธีกรรมพร้อมความเป็นยิวจะทำให้รอดแต่ท่านเปาโลยืนกรานชัดว่า ถ้ายิวจะคิดว่า ตนเองมีทั้งบัญญัติ และสุหนัต จะรอดได้ ความจริงคือ ไม่มีใครในหมู่ยิวสักคนสามารถผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติไปได้ การที่ท่านกล่าวเช่นนี้อาจทำให้เราลืมไปคิดว่า เรายังรอดด้วยการรักษาบัญญัติได้
โรม 2:27
ไป ๆ มา ๆ คนยิวที่มีพร้อมทั้งเชื้อชาติยิว และทำพิธีสุหนัต แต่ไม่รักษาบทบัญญัติ ดูท่าจะมาตรฐานต่ำกว่าคนต่างชาติที่รักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพราะคนยิวคิดเหมาเอาว่า ชีวิตนิรันดร์เป็นของตายสำหรับพวกเขาเอง การที่บอกว่า กล่าวโทษนั้น คงไม่ใช่คนต่างชาติมากล่าวโทษพวกยิว แต่เป็นสภาพที่เห็น ๆ ว่า คนต่างชาติกลับเอาใจใส่พระดำรัสของพระเจ้ามากกว่าคนยิว พวกเขาเทิดทูน และเชื่อฟังมากกว่าคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
โรม 2:28-29
สำหรับท่านเปาโลแล้ว การเข้าสุหนัตทางร่างกาย ด้วยพิธีกรรมที่ผู้คนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่มีความหมาย
เพราะทุกคนจะเข้าสุหนัตแท้จริงคือ ด้วยการรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง มีคนเป็นจำนวนมากที่ตกในความบาปหนา ตกในความชั่วช้า แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขาด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ เขากลับกลายเป็นคนที่รับใช้ผู้อื่น ทุ่มเทให้กับพระเจ้า แสวงหาพระองค์จริงจัง แบบนี้คือ เข้าสุหนัตแท้!!
1* โรม 1:20; มัทธิว 7:1-5
2* สดุดี 9:7-8
3* สุภาษิต 16:5
4* เอเฟซัส 1:7, 18; 2:7; โรม 3:25; อพยพ 34:6; อิสยาห์ 30:18
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:34
6* สดุดี 62:12 ; สุภาษิต 24:12
7* 2 ทิโมธี 4:7-8
8* 2 เธสะโลนิกา 1:8
9* 1 เปโตร 4:17
10* 1 เปโตร 1:7
11* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:17
12* 1โครินธ์ 9:21
13* ยากอบ 1:22, 25
14* โรม 2:12
15* 1โครินธ์ 5:1; กิจการ 24:25
16* มัทธิว 25:31; กิจการ 10:42; 17:31; 1 ทิโมธี 1:11
17* ยอห์น 8:33; มีคาห์ 3:11; อิสยาห์ 48:1-2
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:8; ฟีลิปปี 1:10
19* มัทธิว 15:4
20* 2 ทิโมธี 3:5
21* มัทธิว 23:3
22* มาลาคี 3:8
23* โรม 2:17; 9:4
24* เอเสเคียล 16:27; 36:22; อิสยาห์ 52:5
25* กาลาเทีย 5:3
26* กิจการ 10:34
27* มัทธิว 12:4
28* กาลาเทีย 6:15
29* 1 เปโตร 3:4; ฟีลิปปี 3:3 ; เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6; 1โครินธ์ 4:5