ฮีบรู 4 พระสัญญาแห่งการพัก

4:1 ดังนั้น ในขณะที่พระสัญญาเรื่องการเข้าสู่ที่พักของพระเจ้ายังคงใช้ได้อยู่
เราก็จงระวัง (จงเกรงกลัว) ที่จะไม่ให้มีใครสักคนพลาดไปจากการพักนี้
4:2 เพราะเราเองก็ได้รับข่าวประเสริฐเหมือนอย่างพวกเขา แต่เนื้อหาที่เขา
ได้ยินกลับไม่มีคุณค่าสำคัญแก่พวกเขา เพราะเขาได้ยินแต่ไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้า
ตรัสกับเขา
4:3 บัดนี้ เราที่เชื่อได้เข้าไปสู่การพักนั้น แต่สำหรับผู้อื่น พระเจ้าตรัสว่า
“เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธของเราว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา” แม้ว่าราชกิจของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก
4:4-5 มีตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงวันที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์”และอีกครั้งหนึ่งในข้อความข้างต้น
พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา”

4:6 ที่ยังคงเป็นอย่างนี้คือ บางคนจะได้เข้าสู่การพักของพระองค์ และเหล่าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐในครั้งก่อน ไม่ได้เข้าไป เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
4:7 พระเจ้าจึงทรงกำหนดอีกวันขึ้นมาอีกครั้งโดยเรียกว่า “วันนี้”หลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว พระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านดาวิดเหมือนที่ได้ตรัสไว้ก่อนว่า “วันนี้ หากท่านได้ยินเสียงของพระองค์ ก็อย่าทำใจแข็ง”
4:8-10 เพราะหากโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าพัก พระเจ้าก็คงจะไม่ได้ตรัสถึงวันอื่นอีกในภายหลัง จึงมีวันสะบาโตให้คนของพระเจ้าได้พัก เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การพักของพระเจ้า ก็ได้พักจากงานของเขาเหมือนกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจของพระองค์

เห็นตนเองจากพระคำของพระเจ้า

4:11 ดังนั้นให้เราพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าสู่การพักดังกล่าวเพื่อจะไม่มีใครพลาดไปเพราะทำตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา
4:12 เพราะพระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิตและมีอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคม สามารถแทงลึกลงไปในจิตและวิญญาณ ทั้งข้อต่อและไขกระดูก สามารถวินิจฉัยทั้งความคิดและความมุ่งหมายในใจ 
4:13 ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างจะหลบซ่อนจากพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ทุกอย่างถูกเปิดเผย ถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ที่เราต้องถวาย
คำรายงาน

องค์มหาปุโรหิตผู้ทรงเมตตา

4:14 ดังนั้น ในเมื่อเรามีองค์มหาปุโรหิตผู้ทรงผ่านสวรรค์มาแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในคำที่เรายอมรับด้วยปาก
4:15 เพราะเรามิได้มีองค์มหาปุโรหิตที่ไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่เรามีพระองค์ผู้ทรงถูกลองใจ เหมือนพวกเราทุกอย่าง ถึงอย่างนั้น
พระองค์ก็ทรงไร้บาป
4:16 ให้เราเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อว่าเราจะได้รับ
พระเมตตาและพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามที่จำเป็น

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 4:1
น่าแปลกที่เราได้ยินเรื่องของการที่คนอิสราเอลใจแข็ง และการที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปยังดินแดนแห่งการพักของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงล้มเลิกการพักดังกล่าว “ยังคงใช้ได้อยู่” เท่ากับว่าใช้ได้กับคริสเตียนยิวที่อ่านหนังสือฮีบรู และยังใช้ได้กับพวกเราที่เชื่อด้วย การพักดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนธรรมดาหรือแผ่นดินแต่หมายถึงการที่ผู้เชื่อจะได้มีส่วนในชีวิตนิรันดร์กับพระองค์เป็นการพักตลอดไป

ฮีบรู 4:2
การได้ยินข่าวประเสริฐส่งผลสองทาง คือทางหนึ่งไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ อีกทางคือการแยกออกจากพระองค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับคนที่ได้ยินนั้นเชื่อหรือไม่เหมือนกับที่ท่านเปาโลได้กล่าวว่าข่าวประเสริฐเป็นกลิ่นอันหอมหวานสำหรับคนที่เชื่อ แต่เป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับคนที่ไม่รับ2 โครินธ์ 2:15-17 เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนได้รับผลจากการตัดสินใจของตนว่า จะรับหนทางของพระเจ้าหรือไม่รับ

ฮีบรู 4:3 (สดุดี 95:11)
ชัดเจนว่า มีคนสองพวกที่ผู้เขียนจะพูดถึงบ่อย ๆคือคนที่พระเจ้าทรงให้เข้าสู่การพัก กับคนที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าสู่การพักนั้นทำไมพระเจ้าทรงโกรธ? มันก็น่าอยู่หรอก เพราะว่าพระองค์ทรงทำราชกิจของพระองค์เพื่อมนุษย์ให้พวกเขาทั้งมีความสุขและได้ประโยชน์กับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และยังทรงยื่นความสัมพันธ์สนิทให้กับเขา แต่พวกเขากลับเมินพระองค์ รับแต่เพียงความสุขแต่ไม่ได้รับพระองค์ผู้ประทานความสุขนั้น

ฮีบรู 4:4-5
พระเจ้าทรงกล่าวถึงการพัก ซึ่งมีความหมายถึงราชอาณาจักรของพระองค์ การที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือชีวิตของผู้ที่เชื่อ พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลาก็จริง แต่พระองค์ทรงสงวนวันหนึ่งไว้ที่คนของพระองค์จะไดัพักจากงานประจำ และเข้ามาติดสนิทกับพระองค์ ข้อนี้พูดถึงวันที่เจ็ด .. เป็นการพักสะบาโต คนยิวเข้าใจทันทีว่า คำ ๆ นี้มีความหมายถึงอะไรบ้าง

ฮีบรู 4:6
การพักดีที่สุดคือการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู ศาสนาต่าง ๆ พยายามให้คนมีการพัก ทำสมาธิ เขาฌาณ เป็นการทำให้พ้นทุกข์ ให้พักใจ แต่ในการทำอย่างนั้น ไม่ได้มีใครเข้ามาแบ่งปันสุขทุกข์ที่กำลังเผชิญ การพักในพระเจ้านั้นแตกต่าง เพราะพระเยซูเป็นผู้ประทานสันติสุขในการพักนั้น ยอห์น 14:27

ฮีบรู 4:7
พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคำว่า วันนี้ หลายครั้ง ในครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับคนยิวว่า อย่าดื้อดึง อย่ากบฏต่อพระเจ้า พระคำตอนนี้มาจากสดุดี 95 ซึ่งกษัตริย์ ดาวิดเองได้เผชิญกับการช่วยเหลือและการลงโทษของพระเจ้าด้วยตัวท่านเอง เมื่อท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงตักเตือนด้วยชีวิตของลูกชายของท่าน ดาวิดจึงเข้าใจดีว่า การใจแข็งนั้น ส่งผลร้ายอะไรให้กับ
ชีวิตบ้าง ท่านเตือนแล้ว ก็ฟังเถอะ

ฮีบรู 4:8-10
เรื่องการพักดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำนักหนาว่า คนที่เชื่อในพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีโอกาสพัก การเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้คนหนึ่ง ๆ ได้พักสงบกับพระเจ้า แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้อะไรต่าง ๆ มากมาย การพักผ่อนในพระเจ้าไม่ได้มีเฉพาะวันที่พระเจ้าพักจากราชกิจ แต่เป็นการพักที่คนของพระเจ้าได้ทำต่อสืบเนื่องกันมาจนปัจจุบัน การพักวันสะบาโต เป็นพักที่มีนัยสำคัญคือเราได้พัก พร้อมกับมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า

ฮีบรู 4:11
เรื่องของการพักที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยคิดกันเท่าไร ยิ่งโลกทุกวันนี้ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสพักเลย สมอง สายตาหูของเราทำงานตลอดเวลาเพราะจอดำที่อยู่ข้างตัว สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา แต่จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมันทำให้เราไม่ขยัน ไม่มีความพยายามที่จะพักกับพระเจ้า ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อหรือไม่เชื่อฟังเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการที่เราไม่สนใจคำเตือนของพระเจ้าเลย

ฮีบรู 4:12
พระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนคำของคนทั่วไป เพราะเป็นพระดำรัสที่มีชีวิต นั่นคือเมื่อเรามาอ่านพระคัมภีร์ เท่ากับเรากำลังฟังสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสกับเราโดยตรง พระคำเป็นดั่งบุคคล ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ และยังมีอานุภาพเหนือเรา
ด้วย บางครั้งอ่านแล้วเจ็บแปลบปลาบเข้าไปลึกมากเพราะพระคำมองเห็นใจของเราทะลุปรุโปร่ง เราไม่อาจปิดบังความคิดของเราไว้จากพระคำของพระเจ้าเลย ล้อมเราไว้หมด..

ฮีบรู 4:13
แม้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ถ้าคิดนั้นบาป พระคำของพระเจ้าสามารถเข้าไปและรักษาความคิดบาปนั้นได้ เมื่อเรายอม และขอความช่วยเหลือจากพระองค์การที่เราต้องถวายรายงานต่อพระเจ้านั้น เป็นสิ่งน่ากลัวหากเรายังมีบาปอยู่ในชีวิต การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจึงจำเป็นต่อชีวิตในภายภาคหน้าของเรา เราต้องมาหาพระองค์ขอทรงลบบาปทั้งสิ้นที่เราไม่ต้องการตีแผ่ให้ใครได้รับรู้!

ฮีบรู 4:14
พระคำข้อนี้ และข้อต่ำ ๆ ไปจะกล่าวถึงพระเยซูในฐานะที่ทรงเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ พระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นหลายอย่างในชีวิตของเรา ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงที่สละชีวิตของพระองค์ ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางไปยังเป้าหมายคือชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปและที่สำคัญ ทรงเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อเราเราไม่ต้องไปสารภาพบาปกับมนุษย์คนใด แต่เรามาหาพระเยซู แล้วเราจะได้เข้าถึงองค์พระบิดา

ฮีบรู 4:15
ทุกคนที่เป็นมนุษย์ แม้ว่าคนๆ นั้น มีหน้าที่ปุโรหิตหรือในสมัยนี้ เป็นอาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ต่างมีความอ่อนแอ และแข็งแรงในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน และมีโอกาสที่จะชนะหรือแพ้การทดลองที่ผ่านเข้ามาแต่ละชั่วโมงไม่เท่ากันด้วย พระเยซู
องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย ที่ไม่แพ้การทดลองอย่างมนุษย์ทั่วไป พระองค์นี้ที่ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเรา เราจึงมีความมั่นใจว่า เราจะผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยพระองค์

ฮีบรู 4:16
เราจึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยตัวเองอย่างมั่นใจไม่ต้องหวังพึ่งคนกลางที่เป็นมนุษย์ เมื่อสารภาพบาป เราก็สารภาพกับพระเจ้าโดยตรง ณ ที่นั้นเราจะได้รับพระเมตตา และพระคุณของพระเจ้าที่มนุษย์คนใดไม่อาจให้ได้ ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้พิพากษาอย่างยุติธรรมด้วย เราเป็นคนบาปตกอยู่ในบาป ถ้าหากเราไม่ได้มารับ มาพบ
พระบัลลังก์แห่งพระคุณ เราจะไหวหรือ??

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 12:15
3* สดุดี 95:11
4* ปฐมกาล 2:2
5* สดุดี 95:11
7* สดุดี 95:7-8

8* โยชูวา 22:4
11* 2 เปโตร 1:10
12* สดุดี 147:15; อิสยาห์ 49:2; เอเฟซัส 6:17; 1 โครินธ์ 14:24-25

13* สดุดี 33:13-15; 90:8; โยบ 26:6
14* ฮีบรู 2:17; 7:26; ฮีบรู 10:23
15* อิสยาห์ 53:3-5; ลูกา 22:28
16* เอเฟซัส 2:18

สุภาษิต 23 อย่าเห็นแก่กิน

คำกล่าวที่ 7
1 เมื่อเจ้านั่งรับประทานอาหารร่วมกับผู้ครองเมือง
ขอให้เจ้าระมัดระวังว่า มีอะไรวางอยู่ตรงหน้าเจ้า
2 ให้เอามีดจ่อคอหอยตัวเองไว้
หากว่าเจ้าเป็นคนเห็นแก่กิน
3 อย่าไปโลภอยากได้ของโอชะของเขา
เพราะอาหารเหล่านั้นเป็นสิ่งลวง
คำกล่าวที่ 8
4 อย่าตรากตรำทำงานจนหมดแรงเพื่อที่จะร่ำรวย
จงฉลาดพอที่จะยับยั้งตนเองไว้
5 แค่เจ้า ชายตามองความมั่งคั่ง มันก็หายไป
เพราะมันติดปีกของมันเอง บินลับฟ้าไปเหมือนนกอินทรี
คำกล่าวที่ 9
6 อย่าไปกินอาหารของคนตระหนี่
และอย่าไปอยากกินอาหารที่ดูอร่อยของเขา
7 เพราะในใจของเขานั้นจะคอยคิดราคาตามไปเสมอ
เขาพูดกับเจ้าว่า “มากินและดื่มเถอะ”
แต่ใจของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
8 เจ้าจะอาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปเพียงนิดหน่อย
และเสียดายคำพูดที่เจ้าได้พูดยกย่องเขา
คำกล่าวที่ 10
9 อย่าไปร่วมวงสนทนากับคนโง่
เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาที่เจ้ากล่าวออกมา
คำกล่าวที่ 11
10 อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่
หรือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของลูกกำพร้าพ่อ
11 เพราะองค์พระผู้ไถ่ของเขาทรงเข้มแข็ง
จะทรงว่าความต่อสู้เจ้าให้เขาด้วยพระองค์เอง


คำกล่าวที่ 12
12 จงให้ใจของเจ้าใส่ใจคำตักเตือน
และให้หูของเจ้าตั้งใจฟังคำแห่งความรู้
คำกล่าวที่ 13
13 อย่ายับยั้งการฝึกวินัยให้เด็ก
แม้เจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
14 หากเจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว
เจ้าจะช่วยวิญญาณของเขาจากแดนตาย
คำกล่าวที่ 14
15 ลูกเอ๋ย หากใจของเจ้ามีปัญญา
ใจของเราก็จะยินดีจริง ๆ
16 ส่วนลึกของใจเราจะยินดียิ่งนัก
เมื่อเจ้าพูดสิ่งที่ถูกต้อง
คำกล่าวที่ 15
17 อย่าหลงไปอิจฉาคนบาป
แต่จงตั้งหน้ายำเกรงพระเจ้าตลอดไป
18 เพราะมีอนาคตให้แน่
และความหวังของเจ้าจะไม่ถูกตัดออกไป

คำกล่าวที่ 16
19 ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟัง และเป็นคนฉลาด
และรักษาใจของเจ้าให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง
20อย่าไปร่วมวงกับคนขี้เหล้าและคนตะกละกินเนื้อ
21 เพราะคนขี้เหล้าและคนตะกละจะกลายเป็นคนยากจน
และความง่วงเหงาทำให้เหลือแต่ผ้าขี้ริ้วพันตัว
คำกล่าวที่ 17
22จงฟังพ่อที่ให้กำเนิดเจ้ามา
และอย่าดูหมิ่นแม่ของเจ้าที่ชราแล้ว
23 จงซื้อความจริงไว้ อย่าขายความจริงนั้นไป
จงซื้อปัญญา คำสอน และความเข้าใจ
24 พ่อของคนเที่ยงธรรมจะยินดีมาก
และพ่อที่มีลูกซึ่งมีปัญญาก็จะชื่นชมกับลูกของเขา
25 ขอให้พ่อและแม่ของเจ้าได้ยินดี
และขอให้เธอที่ให้กำเนิดเจ้านั้นได้ชื่นใจ
คำกล่าวที่ 18
26 ลูกชายเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถิด
และให้สายตาของเจ้านั้นชื่นชมกับทางของเรา
27 เพราะหญิงโสเภณีนั้นเป็นดั่งหลุมลึก
และคนเป็นชู้ก็เป็นบ่อที่คับแคบ
28 เธอซุ่มตัวอยู่เหมือนโจร
และเพิ่มจำนวนชายที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา


คำกล่าวที่ 19
29 ใครที่เจอความทุกข์? ใครที่เศร้าใจ?
ใครที่ต้องเจอกับการวิวาท? ใครมีเรื่องร้องทุกข์?
ใครต้องบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุ? ใครที่ตาแดงก่ำ?
30 ก็คือคนที่จมปลักกับเหล้าองุ่น
คนที่ทดลองชิมเหล้าผสม
31 อย่าไปจับตาดูเหล้าองุ่นเมื่อมันยังมีสีแดง
เมื่อมีฟองส่องประกายวับในแก้ว
และลื่นลงคอง่าย ๆ
32 ในที่สุดมันจะฉกกัดเหมือนงู
และพ่นพิษออกมาดั่งงูพิษ
33 ตาของเจ้าจะมองเห็นภาพหลอน
และความคิดของเจ้าจะสับสนอลเวง
34 เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนลอยกลางทะเล
เหมือนคนที่นอนอยู่บนยอดเสากระโดงเรือ
35 เจ้าจะพูดออกมาว่า
“พวกเขาฟาดข้า แต่ข้าก็ไม่เห็นจะเจ็บเลย
เขาทุบตีข้า แต่ข้าก็ไม่รู้สึกอะไร
เมื่อไรหนอที่ข้าจะสร่างเมา และจะไปดื่มอีกสักแก้ว?”

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 23

4* 1 ทิโมธี 6:9-10; โรม 12:16
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:9
7* สุภาษิต 12:2
9* มัทธิว 7:6
11* สุภาษิต 22:23

13* สุภาษิต 13:24
17* สดุดี 37:1; สุภาษิต 28:14
18* สดุดี 37:37
20* อิสยาห์ 5:22
22* สุภาษิต 1:8
23* มัทธิว 13:44

24* สุภาษิต 10:1
27* สุภาษิต 22:14
28* สุภาษิต 7:1229* อิสยาห์ 5:11-12;
ปฐมกาล 49:12
30* เอเฟซัส 5:18; สดุดี 75:8
35* เยเรมีย์ 5:3 ; เอเฟซัส 4:19

สุภาษิต 22 คำกล่าวจากคนมีปัญญา

1 ชื่อเสียงที่ดีนั้นน่าปรารถนายิ่งกว่าความมั่งคั่ง
การเป็นที่โปรดปรานก็ดีกว่าเงินและทอง
2 สิ่งหนึ่งที่คนรวยคนจนเป็นเหมือนกัน
นั่นคือ พระยาห์เวห์ทรงสร้างพวกเขามา
3 คนฉลาดเห็นอันตรายแล้วก็หลบให้พ้น
แต่คนเขลากลับก้าวออกไปและต้องเผชิญกับผลที่ตามมา
4 รางวัลของความถ่อมใจและความยำเกรงพระยาห์เวห์
คือความมั่งคั่ง เกียรติยศ และชีวิต
5 หนามและกับดักเรียงรายอยู่ในทางของคนหัวแข็ง
คนที่ระวังรักษาใจของตนจะอยู่ห่างจากทางนั้น
6 จงฝึกฝนอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป
และเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะไม่พรากไปจากทางนั้น
7 คนมั่งคั่งปกครองคนยากจน
และลูกหนี้ก็จะเป็นทาสรับใช้เจ้าหนี้ของเขา
8คนที่หว่านความอยุติธรรมจะได้เก็บเกี่ยววิบัติ
และอำนาจที่โกรธเกรี้ยวของเขาจะถูกทำลาย


9 คนที่มีน้ำใจจะได้รับพระพร
เพราะเขาได้แบ่งอาหารให้กับคนยากจน
10 จงไล่คนช่างเยาะออกไป แล้วความขัดแย้งจะจากไป
แม้กระทั่งการวิวาท และการดูหมิ่นก็จะหยุดลงด้วย
11 คนที่รักใจบริสุทธิ์ และวาจาอ่อนโยน
จะได้กษัตริย์มาเป็นเพื่อน
12 พระเนตรของพระยาห์เวห์ทรงปกป้องความรู้
แต่ทรงลบล้างคำพูดของคนไม่ซื่อตรง
13 คนเกียจคร้านกล่าวว่า
“มีสิงโตอยู่ข้างนอก! ฉันจะถูกมันฆ่ากลางถนน!”
14 ปากของหญิงที่เป็นชู้นั้นเหมือนหลุมลึก
คนที่พระเจ้าทรงพิโรธจะตกลงในหลุมนั้น
15 มีความโง่อยู่ในใจของเด็ก
แต่การฝึกวินัยด้วยการตีสอน
จะไล่ความโง่นั้นออกไปไกลจากตัวเขา
16 การกดขี่คนยากจนเพื่อทำให้ตนมั่งคั่ง
หรือการมอบของกำนัลให้แก่คนรวย
จะนำสู่ความยากจนเป็นแน่



คำกล่าวของคนมีปัญญา สามสิบข้อ
คำกล่าวที่ 1
17 จงเอียงหูของเจ้าฟังคำของคนมีปัญญา
และใส่ใจในความรู้ของเรา
18 เพราะเมื่อเจ้ารักษามันไว้ในใจก็เป็นความชื่นใจ
โดยให้เจ้าพร้อมที่จะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
19 เพื่อว่าเจ้าจะวางใจในองค์พระยาห์เวห์
เราสอนให้เจ้าเรียนรู้ในวันนี้ ใช่แล้ว เจ้านั่นเอง
20 เราไม่ได้เขียนคำกล่าวสามสิบข้อให้เจ้าหรือ
เป็นทั้งคำปรึกษา และความรู้
21 เพื่อทำให้เจ้ารู้จักคำที่เป็นจริงซึ่งวางใจได้
และเจ้าจะได้ตอบให้กับคนที่ส่งเจ้าไป?
คำกล่าวที่ 2
22 อย่าปล้นคนยากจนเพราะเขายากจน
และอย่าขยี้คนที่ยากไร้ที่ประตูเมือง
23 เพราะพระยาห์เวห์จะทรงว่าความให้กับพวกเขา
และจะทรงยึดคืนจากคนที่ปล้นพวกเขามา

คำกล่าวที่ 3
24 อย่าเป็นเพื่อนกับคนที่โกรธง่าย
และอย่าไปสังสรรค์กับคนที่ใจร้อน
25 เพราะเจ้าอาจไปเลียนแบบเขา
และทำให้ตนเองติดกับดัก
คำกล่าวที่ 4
26 อย่าไปให้คำสัญญาใด ๆ
หรือประกันคนหนึ่งคนใด
27 หากเจ้าไม่มีอะไรจะจ่ายค่าชดใช้
ทำไมจะให้เขามายึดเตียงนอนของเจ้าไปเล่า?
คำกล่าวที่ 5
28 อย่าเคลื่อนย้ายหลักเขตที่เก่าแก่
ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ปักเอาไว้
คำกล่าวที่ 6
29 เจ้าเห็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานของเขาไหม?
เขาจะได้รับใช้เหล่ากษัตริย์ เขาจะไม่ต้องรับใช้คนธรรมดาทั่วไป

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 22

1* ปัญญาจารย์ 7:1
2* สุภาษิต 29:13; โยบ 31:15
3* สุภาษิต 27:12
6* เอเฟซัส 6:4
7* ยากอบ 2:6
8* โยบ 4:8

9* 2 โครินธ์ 9:6; สุภาษิต 19:17
10* สดุดี 101:5
11* สดุดี 101:6
13* สุภาษิต 26:13
14* สุภาษิต 2:16; 5:3; 7:5; ปัญญาจารย์ 7:26
15* สุภาษิต 13:24; 23:13,14

21* ลูกา 1:3-4; 1 เปโตร 3:15
22* อพยพ 23:6
23* 1 ซามูเอล 24:12
24* สุภาษิต 29:22
26* สุภาษิต 11:15
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 19:14; 27:17

ฮีบรู 3 มั่นคงจนจบ

พระบุตรทรงซื่อตรง




3:1 ดังนั้น เหล่าพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้มีส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงใส่ใจ จดจ่อที่พระเยซูผู้ทรงเป็นองค์อัครทูต และมหาปุโรหิตซึ่งเรารับว่าเราเชื่อพระองค์
3:2 พระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสส
ซื่อตรงต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า
3:3 เหตุว่าพระเยซูทรงสมควรที่จะรับเกียรติยิ่งใหญ่กว่าเกียรติของโมเสส
ดังที่ผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติกว่าตัวบ้าน
3:4-5 และบ้านทุกหลังก็จะมีผู้สร้างแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสซื่อตรงในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานเรื่องต่าง ๆที่พระเจ้าจะตรัสในเวลาต่อมา 
3:6 แต่พระคริสต์ทรงซื่อตรงในฐานะบุตรชายที่ทรงครอบครองบ้านของ
พระเจ้า และเรานี่แหละคือบ้านของพระเจ้า หากเรายืนหยัดใน
ความมั่นใจ และความยินดีในความหวังอย่างมั่นคงจนถึงที่สุด

ภักดีต่อพระสุรเสียง

3:7-8 ดังนั้น ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้คือ
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจแข็งเหมือนครั้งที่เจ้าได้ดื้อรั้นต่อเราในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นกันดาร
3:9-11 เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ทดสอบและลองดีกับเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าราชกิจของเราคืออะไรในสี่สิบปีนั้น
เราจึงกริ้วต่อคนรุ่นนั้น และเรากล่าวว่า
“ใจของพวกเขาโน้มเอียงที่จะหลงผิดเสมอ
และไม่รู้จักหนทางของเรา
เราจึงสาบานในความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าในการพักของเรา”

ให้กำลังใจกันในวันนี้

3:12-13 พี่น้องทั้งหลาย จงระวังระไวว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านมีใจโฉดชั่ว และไม่เชื่อแล้วหันหลังไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
แต่จงให้กำลังใจกันทุกวันตราบเท่าที่เรียกว่า
“วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีใครสักคนในพวกท่านใจแข็งไปเพราะการล่อลวงของบาป

3:14-15 เราได้มามีส่วนร่วมกับพระคริสต์
หากเรามั่นคงในความเชื่อมั่นที่เรามีแต่ต้นจนถึงที่สุด
ตามที่มีการกล่าวไว้ว่า “วันนี้ หากว่าเจ้าได้ยิน
พระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำให้ใจของเจ้าแข็งกระด้างเหมือนในวันที่เจ้ากบฏ”

ความล้มเหลวของคนในถิ่นกันดาร



3:16-17 ใครนะที่เป็นคนที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้พาออกมาจากอียิปต์หรอกหรือ? แล้วพระเจ้าทรงโกรธใครเป็นเวลาสี่สิบปีเล่า? ไม่ใช่คนที่ทำบาป แล้วร่างของพวกเขาก็ล้มตายในถิ่นกันดารหรอกหรือ?

3:18-19 แล้วพระเจ้าทรงปฏิญาณกับใครว่าจะไม่ได้เข้าที่พักของพระองค์
ถ้าไม่ใช่คนที่ขาดการเชื่อฟัง? ดังนั้น เราจึงเห็นว่า ที่พวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อ

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 3:1
ผู้มีส่วนในการทรงเรียก กับคำว่า สหาย ใน 1:9 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ผู้เขียนให้เราตั้งใจ พินิจพิจารณาความซื่อตรงขององค์พระเยซู ผู้ทรงเป็น
ทั้งอัครทูตและปุโรหิต พระคำตอนนี้ย้ำว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อจะทำให้โลกได้รู้จักพระบิดา (ยอห์น 14:7)และเป็นตอนเดียวที่เน้นถึงตำแหน่งของพระองค์ทั้งสองตำแหน่งคือผู้ที่ถูกส่งมา และในฐานะปุโรหิต ทรงผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ฮีบรู 3:2
คนยิวที่เป็นคริสเตียนเป็นคนได้รับจดหมาย พวกเขาเห็นว่าโมเสสเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่าใครผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระเยซูกับโมเสส ว่า
ทั้งสองต่างชื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาสิ่งที่โมเสสได้ทำในสมัยของท่านต่างเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู ท่านทั้งสองเป็นผู้ดูแลที่ซื่อตรงในงานของท่าน( 1 โครินธ์ 4:2, กันดารวิถี 12:7, ฮีบรู 2:17)
ฮีบรู 3:3
ตัวบ้านในที่นี้คือชุมชนของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสร้างขึ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างบ้านหรือครอบครัว หรือชุมชนของผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง โมเสสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้เชื่อเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างอย่างที่พระเยซูทรงทำ เอเฟซัส 2:19-22 “สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก”
ฮีบรู 3:4-5
สิ่งที่โมเสสได้สร้าง ต่างชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา ท่านเป็นผู้รับใช้ที่สร้างพลับพลาขึ้นตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ท่านเป็นผู้ดูแล “บ้าน”
ของพระเจ้าหรือชุมชนอิสราเอลในเวลานั้น โดยที่ทุกสิ่งที่ท่านทำชี้ไปยังราชกิจของพระเยซูที่ทรงสร้าง ดูแล “บ้าน” ของพระเจ้าในสมัยของ
พระองค์ คือทั้งคนอิสราเอล และคนต่างชาติที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้า คนของพระเจ้าจากโมเสสถึงปัจจุบัน คือ บ้าน ที่กล่าวถึง
ฮีบรู 3:6
นี่ไง พวกเราที่เชื่อ คือบ้านแท้ของพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ คือสมาชิกแท้ในครอบครัวยิ่งใหญ่นี้ การมีคริสตจักรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระคริสต์ประทับอยู่กับกลุ่มผู้เชื่อทรงเป็นพระบุตรที่เป็นศีรษะของชุมชนนี้ โคโลสี 1:18 และพระองค์ยังทรงเป็นศิลามุมเอกด้วย (เอเฟซัส 2:19-22)
คริสตจักร เป็นคนกลุ่มที่มั่นใจ มั่นคงในองค์พระเยซูผู้เป็นบุตรชายที่ครองบ้านจนถึงที่สุด
ฮีบรู 3:7-8
พระคำตอนต่อไปนี้ พระเจ้าตรัสถึงการพักผ่อนฝ่ายวิญญาณ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมรีบาห์ และมัสสาห์ในถิ่นกันดาร (ฮีบรูเอาคำมาจากสดุดี 95
เหตุการณ์จริงบันทึกไว้ที่ อพยพ 17) เรื่องของเรื่องคือ หากพระเจ้าตรัส ก็อย่าดื้อ อย่าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนพระบัญชาของพระองค์ วันแห่งการ
ทดสอบครั้งนั้น มีมาเพื่อคนอิสราเอล แล้วพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ เพราะพบว่า พวกเขาไม่ได้วางใจ ไม่เชื่อฟัง บ่น ว่า ยั่วยุเหมือนเดิม
ฮีบรู 3:9-11
พระเจ้าทรงให้พวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญา แต่พวกเขากับปฏิเสธ เพราะกลัวคนในพื้นที่ซึ่งดูตัวใหญ่ น่ากลัว มากกว่าที่จะเกรงกลัวพระเจ้าที่
ทรงนำเขามาตลอดสี่สิบปี พวกเขาเห็นการอัศจรรย์มากมาย คนเป็นล้านที่ต้องการน้ำพระเจ้าก็ประทานน้ำให้อย่างมากมายไม่ใช่เพื่อให้คนดื่มกินคนละนิดละหน่อย แต่ประทานให้อย่างล้นเหลือ ถึงกระนั้นพวกเขายังไม่สำนึกในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงช่วยพวกเขามาโดยตลอด

ฮีบรู3:12-13
มีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ใครคนหนึ่งห่างไปจากทางของพระเจ้า เพื่อนต้องคอยดูเพื่อนว่า มีอะไรบ่งว่าเขากำลังจะออกจากทางของพระเจ้า และการเตือนสติ การอธิษฐานเผื่อจะต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปจนกู่ไม่กลับ เพราะหากเขาไปไกลแล้ว การจะช่วยให้กลับมาในทางของพระเจ้าก็ยากขึ้นไปอีก ผู้เขียนฮีบรูจึงเตือนสติเราให้ช่วยกันระวังระไว

ฮีบรู 3:14-15
อย่างที่เราบอกว่า การเริ่มต้นดีไม่ได้หมายความว่าจะจบดี เคล็ดลับคือ เราต้องพากเพียรบากบั่น ในการแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราอย่าไปเชื่อว่า ในพระเจ้ามีความรู้แค่นี้ก็พอ รู้แค่กางเขนคริสตมาส อีสเตอร์ก็พอ ในพระเจ้ามีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราต้องไม่ยอมให้ใจของเราแข็งกระด้างไป ใจแข็งเกิดจากการได้ยินเสียงของพระเจ้าแล้วทำเฉยเมย ไม่นำพา ขอให้เราได้เป็นดินดีที่เกิดผลในสวนแห่งความเชื่อ

ฮีบรู 3:16-17
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดารเพื่อไปสู่ดินแดนที่ทรงสัญญาก็จริง แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของพระองค์นั้น เพื่อพวกเขาจะ
ได้เข้ามาอยู่กับพระองค์ มีการพักอย่างนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอียิปต์สู่คานาอัน เป็นเรื่องเดียวกันกับชีวิตของเราที่ออก
จากบาปไปสู่การพักพิงในพระเจ้า ผ่านถิ่นกันดารผ่านการช่วยเหลือของพระเจ้า แล้วเราเองต้องตัดสินใจว่าจะวางใจพระองค์ไปจนสุดทางหรือไม่

ฮีบรู 3:18-19(อ่านกันดารวิถี 14 เพิ่มเติม)
อิสราเอลที่ตายเป็นเบือในถิ่นกันดาร เป็นเพราะการที่พวกเขาไม่เชื่อฟังนั่นเอง อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า? อะไรที่ทำให้คิดว่า
พระเจ้าทรงทำผิดไปหมด? ใจขอบพระคุณไม่มี ขอบ่น ขอสู้ ขอทะเลาะกับโมเสส บ่นด่าว่าท่านตลอดมา พวกเขาดื้อดึง ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าชวนกันต่อต้าน จนกระทั่งโมเสสก็ไม่ไหว อารมณ์ชั่ววูบที่ตอบโต้พวกเขาทำให้ท่านเองก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินคานาอัน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 110:4
2* กันดารวิถี 12:7
3* เศคาริยาห์ 6:12-13
4* เอเฟซัส 2:10

5* ฮีบรู 3:2; อพยพ 14:31; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18-19
6* ฮีบรู 1:2; 1โครินธ์ 3:16; มัทธิว 10:22
7* กิจการ 1:16; สดุดี 95:7-11

15* สดุดี 95:7-8
16* กันดารวิถี 14:2, 11, 3017* กันดารวิถี 14:22-23
18* กันดารวิถี 14:1019* 1โครินธ์ 10:11-12