มัทธิว 3 ทรงโปรดปรานท่านผู้นี้

พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา 
1 ในช่วงเวลานั้นเอง  ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มต้นเทศนาในพื้นที่ถิ่นกันดารในยูเดีย  
2 ท่านกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
3 ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้นี้ เป็นคนที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้ากล่าวถึงเมื่อท่านกล่าวว่า
“มีเสียงจากคนหนึ่ง ร้องเสียงดังในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำให้ถนนตรงราบเรียบเพื่อพระองค์’” (อิสยาห์  40:3)

4 เสื้อผ้าของท่านยอห์นทำจากขนอูฐ มีสายคาดหนังรอบเอวของท่าน
ท่านกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร 
5 มีประชาชนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม และพื้นที่ในยูเดีย รวมทั้งจากพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำจอร์แดน
6 พวกเขาสารภาพบาป และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน

7  แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีฟาริสีและสะดูสีมากมายได้มายังที่ ๆ ท่านให้บัพติศมา  ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าชาติงูพิษร้าย ใครเตือนให้เจ้าหนีจากการลงโทษของพระเจ้า? 
8 จงเกิดผลให้สมกับการที่เจ้ากลับใจใหม่ 
9 และอย่านึกไปเองว่า “เรา   มีพ่อคืออับราฮัม” เพราะเราบอกแก่เจ้าว่า พระเจ้าสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 
10 ขวานนั้นวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว  และต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นลง และโยนทิ้งลงในกองไฟ

11 เราให้บัพติศมาแก่เจ้าในน้ำ แสดงการกลับใจของเจ้า แต่หลังจากนี้ไป จะมีท่านผู้หนึ่งที่ทรงฤทธิ์กว่าเราเสด็จมา แม้แต่รองเท้าของพระองค์ เราก็ไม่คู่ควรที่จะถือให้พระองค์  พระองค์ผู้นี้จะบัพติศมาพวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 

12 ทรงถือพลั่วในพระหัตถ์เพื่อจะเก็บกวาดลานนวดข้าว  และเพื่อรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่อาจดับได้  

พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำ
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดน และทรงประสงค์ให้ยอห์นบัพติศมาให้พระองค์
14 แต่ยอห์นพยายามที่จะห้ามพระองค์ไว้ ทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรได้รับบัพติศมาจากพระองค์​
เหตุใดพระองค์จึงมาหาข้าพเจ้าเพื่อรับบัพติศมาเล่า?
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “เวลานี้ให้เป็นไปอย่างนี้เถิด สมควรแล้วที่เราจะทำให้ความเที่ยงธรรมบรรลุผลครบถ้วนด้วยวิธีนี้” ยอห์นจึงยอมทำตามพระองค์
16 ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาเสร็จ พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้ารูปลักษณ์ดุจนกพิราบลงมาประทับกับพระองค์
17 มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ ตรัสว่า
“ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 3:1-6
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นคนสำคัญยิ่งที่มาเตรียมทางให้พระเยซู เขาเป็นลูกชายของปุโรหิตเศคาริยาห์ เกิดในเวลาที่พ่อ แม่ชราแล้ว (อ่านลูกา 1) แต่แทนที่จะเตรียมตัวเป็นปุโรหิตเหมือนกับพ่อ เขากลับออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ในถิ่นกันดาร!
ยอห์น ตระหนักว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาในโลกแล้วก็ตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงของมารีย์ทักทายเอลีซาเบ็ธ ก็ดิ้นด้วยความดีใจในท้องของแม่ด้วย (ลูกา 1:44)ยอห์นกับพระเยซูน่าจะรู้จักกันมาบ้างตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครอบครัวจะไปพบกันระหว่างปีเมื่อมีเทศกาลสำคัญในเยรูซาเล็ม ครอบครัวของพระเยซูมาจากกาลิลีทางเหนือ ส่วนครอบครัวยอห์นจะอยู่ในยูเดียทั้งสองครอบครัวเป็นญาติกัน
เมื่อฟาริสี ถูกส่งมาถามยอห์นว่าเขาเป็นพระเมสสิยาห์ หรือเป็นเอลียาห์ เขาตอบว่า ไม่ใช่… แต่เขาเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’(ยอห์น 1:23) ตรงนี้น่าคิดมาก.. พระเยซูทรงเป็นพระคำและทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1) ส่วนยอห์นเป็นเสียงที่กล่าวพระคำนั้น!
อีกประการ เขากำลังเตรียมทางให้องค์กษัตริย์ สมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์จะเดินทางไปเมืองไหน ก็ต้องมีคนไปล่วงหน้าเพื่อทำทางให้เรียบ คนงานเหล่านั้นมีหน้าที่เตรียมทางให้ตรง ราบเรียบ ยอห์นเป็นคน ๆ นั้น
ยอห์นไม่ได้ประกาศในเมือง เขาไม่เหมือนใครเลย แต่งตัวก็ใช้หนังอูฐ กินอาหารก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กลับมีคนออกจากเมืองไปฟังเขาเทศนาในที่ห่างไกล ไกลจากเมืองมาก อยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นที่ ๆ เขาใช้บัพติศมาคนที่มาฟัง และกลับใจ
การบัพติศมาของยอห์นนี้ เรียกให้คนอิสราเอลเองกลับใจ จากชีวิตบาป และก็มีคนจำนวนมากฟังเขา รับบัพติศมาเตรียมใจที่จะฟังองค์กษัตริย์ที่กำลังมา ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เป็นใคร

มัทธิว 3:7-10
คนที่มาฟังยอห์นนั้น มีทั้งประชาชนชาวอิสราเอล และเหล่าฟาริสี สะดูสี พวกฟาริสีเป็นพวกที่ทุ่มเทชีวิตสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเพิ่มเติมจากบัญญัติต่าง ๆ ของโมเสส เชื่อว่ามีอยู่ราว ๆ 6000 คนในสมัยพระเยซู พวกเขาเชื่อการอัศจรรย์ทุกอย่าง และมีชีวิตวุ่นอยู่กับการทำดี การทำตามหลักต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมา
ส่วนพวกสะดูสีมักมีเชื้อสายจากปุโรหิต มีจำนวนน้อยกว่า ไม่เชื่อการอัศจรรย์ใด ๆ มีอำนาจทางการเมืองมาก ทั้งสองพวกนี้เกลียดกัน แต่ต่อมามีศัตรูคนเดียวกันคือ พระเยซู ทั้งฟาริสีและสะดูสีต่างเชื่อว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ไม่มีใครดีเท่าตัว มีความภูมิใจในการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลอย่างพิเศษ พวกเขาติดตามศาสนายิวอย่างเคร่งครัดโดยต่างก็มีความคิดแบบของตน แต่แทนที่ยอห์นจะเคารพพวกเขา กลับเรียกพวกเขาต่อหน้าประชาชนว่า เป็นชาติงูพิษที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ !!
ดังนั้น ยอห์นจึงเตือนสติพวกเขาให้มีกรอบความคิดใหม่ คิดอย่างเดิมไม่ได้ ต้องกลับใจจริง ๆ อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานอับราฮัมแล้วพระเจ้าจะยอมรับเขา จะเห็นได้ว่ายอห์นเน้นชีวิตที่กลับใจจากบาป เขาไม่ได้กล่าวถึงการที่ต้องทำตามกฎแบบฟาริสี
.การทำพิธีจุ่มน้ำชำระของยอห์นนี้ เพื่อแสดงว่า คน ๆ นั้นยอมรับผิด และกลับใจจากทางเดิมของตนแล้ว เป็นบัพติศมาที่ยอห์นทำให้ได้ แต่ยอห์นได้เตือนว่า พระองค์ที่ทรงฤทธิ์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟ…
การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? โยเอลเคยบอกไว้ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน (โยเอล 2:28-29) และคนที่จะให้คือผู้ที่ทรงฤทธิ์กว่ายอห์นเสียด้วย
ยอห์นอธิบายว่า เหมือนกับการแยกข้าวดีข้าวเสียออกจากกัน พระเจ้าจะทรงแยกคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอธรรมที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าออกจากกันในวันพิพากษาของพระองค์ (มาลาคี 3:3)

มัทธิว 3:13-17
การบัพติศมาของยิวโดยทั่วไปที่ทำให้คนต่างชาติ เป็นการจุ่มตัวลงในน้ำต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นการบอกว่า พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในศาสนายิว เป็นคนที่เชื่อพระเจ้าแบบคนยิว ..
แล้วพระเยซูก็ทรงมาพบกับยอห์น และรับบัพติศมาทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเหมือนคนที่มารับ แต่ทรงบอกยอห์นเองว่า เป็นสิ่งที่พระองค์สมควรทำ ดังนั้นความหมายของการบัพติศมาของพระเยซูน่าจะสื่ออะไร?
พระเยซูทรงมาในโลกอย่างผู้เที่ยงธรรม ไม่มีบาปใดติดมา และพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใด แต่เวลานี้ พระองค์กำลังจะทรงบอกยอห์นว่า เราจะให้ท่านบัพติศมาให้เรา ราวกับว่า เราเป็นมนุษย์ทั่วไปที่เป็นคนบาป … (2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า (ผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า))
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหลังจากการจุ่มน้ำของพระเยซูก็คือ
พระเจ้าเสด็จมาในรูปลักษณ์ดุจนกพิราบ และตรัสต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ต่อหน้ายอห์นว่า “ ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”
เหตุการณ์นี้ ยอห์นให้ความมั่นใจกับทุกคนเต็มร้อยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่มีข้อกังขาเหลืออยู่เลย (ยอห์น 1:33-34)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 31* มาระโก 1:3-8; โยชูวา 14:10
2* ดาเนียล 2:44; มาลาคี 4:5-6
3* อิสยาห์ 40:3; ลูกา 1:76
4* มาระโก 1:6; เลวีนิติ 11:22; 1 ซามูเอล 14:25-16
5* มาระโก 1:5

6* กิจการ 19:4, 18
7* มัทธิว 12:34; 1 เธสะโลนิกา 1:10
9* ยอห์น 8:33
10* มัทธิว 7:19
11* ลูกา 3:16; กิจการ 2:3-4

12* มาลาคี 3:3; มัทธิว 13:30
13* มาระโก 1:9-11; มัทธิว 2:2216* มาระโก 1:10; อิสยาห์ 11:2; 42:1; ยอห์น 1:32
17* ยอห์น 12:28; สดุดี 2:7

ทิตัส 3 สิ่งที่ดีเลิศ

ทิตัส 3:1-2
จงเตือนให้พวกเขายอมฟังผู้ปกครองและเจ้าบ้านผ่านเมือง
ให้เชื่อฟัง และพร้อมที่จะทำงานสุจริตทุกอย่าง
อย่าพูดให้ร้ายผู้ใด หลีกเลี่ยงการวิวาท อ่อนโยน และแสดงความสุภาพต่อทุกคน


ทิตัส 3:3
ในอดีต เราก็เคยโง่เขลา เราไม่เชื่อฟัง
เราถูกหลอก และเป็นทาสสิ่งต่าง ๆ ที่ร่างกายเร่าร้อนหาและมีความสุขกับมันเราใช้ชีวิตในการทำชั่ว และอิจฉาเขาไปทั่ว
มีคนที่เกลียดชังเรา และเกลียดชังกันและกัน


ทิตัส 3:4-5
แต่เมื่อความดีและความรักมั่นคงของพระเจ้าพระผู้ช่วยของเราปรากฏขึ้นพระองค์ทรงช่วยเราไม่ใช่เพราะความดีที่เราทำอย่างถูกต้องกับพระองค์ แต่เพราะพระกรุณาของพระองค์ ทรงชำระเราทำให้เราเป็นคนใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทิตัส 3:6-7
พระองค์ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เราอย่างล้นเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเมื่อเราได้
รับการประกาศว่าเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้าด้วยพระคุณของพระองค์แล้วเราก็มีความหวังใจที่จะรับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก

ทิตัส 3:8
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ไว้ใจได้ และข้าต้องการให้เจ้า กล่าวย้ำแก่พี่น้องถึงสิ่งเหล่านี้จริง ๆ เพื่อคนที่เชื่อในพระเจ้าจะมีชีวิตที่ระมัดระวัง ใช้ชีวิตในการทำดี สิ่งเหล่านี้ดีเลิศ และจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน


ทิตัส 3:9
แต่ขอให้อยู่ห่าง ๆ การโต้เถียงที่โง่เขลาและการพูดเรื่องลำดับวงศ์วานที่ไม่มีประโยชน์ รวมไปถึงการโต้แย้ง และการทุ่มเถียงเรื่องบทบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่มีประโยชน์อันใด และไม่ได้ช่วยใครเลย!


ทิตัส 3:10-11
หลังจากที่ได้เตือนมาแล้วครั้งหรือสองครั้ง ก็ขอให้หลีกเลี่ยง ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่สร้างความแตกแยกอีกต่อไป เจ้ารู้อยู่ว่า คนเช่นนี้ เป็นคนชั่ว และบาปหนา ความบาปของพวกเขานั้น
กล่าวโทษพวกเขาเอง


ทิตัส 3:12-13
เมื่อข้าได้ส่งอาร์เทมาสหรือทีคิกัสมาหาเจ้านั้น เจ้าจะพยายามมาหาข้าที่นิโคบุรีเพราะฤดูหนาวปีนี้ข้าตั้งใจจะพักที่นี่ จงทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อช่วยทนายความเศนาส และอปอลโลในการเดินทางของเขา เพื่อว่าเขาจะได้มีทุกสิ่งที่จำเป็น ไม่ขาดสิ่งใด

ทิตัส 3:14-15
คนของเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในการทำสิ่งดีเพื่อเตรียมสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเพื่อว่าพวกเขาจะไม่เป็นคนไร้ประโยชน์
ทุกคนที่อยู่กับข้า ขอฝากความคิดถึงมาด้วย ขอฝากความคิดถึงไปยังทุกคนที่รักเรา ที่มีความเชื่อเดียวกัน
ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคน

อธิบายเพิ่มเติม

ทิตัส 3:1-2
พวกเขาในที่นี้ก็คือ พี่น้องชาวครีตที่เชื่อ ที่อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง อย่าลืมว่า เดิมนั้นพวกเขาเป็นคนที่ใช้วาจาให้ร้ายคนอื่นเสมอ ชอบชวนตี และเป็นคนที่ไร้มารยาท ศีลธรรม แต่เมื่อเขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขาแล้วก็อย่ากลับไปเป็นคนแบบนั้นอีก จะเห็นว่า ท่านเปาโลเน้นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่กลับไปกลับมา พวกเขาจะต้องมีผลของพระวิญญาณในเรื่องการควบคุมตนเองให้ได้
ทิตัส 3:3
ท่านเปาโลได้ยอมรับให้ทิตัสและพี่น้องที่อ่านจดหมายนี้ฉบับนี้ทราบว่า ในอดีต ท่านและทิตัสก็เป็นเหมือนกับพี่น้อง ทั้งโง่ ไม่เชื่อฟัง ถูกหลอกติดกับของกิเลสตนเอง ชีวิตทำชั่ว ขี้อิจฉา และเกลียดชัง เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลก็เป็นแบบนี้ก่อนที่จะมารู้จักพระเจ้า ท่านทำให้โลกของคริสเตียนปั่นป่วนไปหมดเพราะความที่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนยิวจึงหันไปเชื่อพระเยซูกันมากมาย ทำไมจึงติดตามคำสอนของเหล่าอัครทูตที่การศึกษาน้อย
ทิตัส 3:4-5
ท่านเปาโลยืนยันว่า พี่น้องจะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากอดีต และการเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้เพราะพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้เป็นคนใหม่ด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยความพยายามของพวกเขาเอง พระกรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปอย่างพวกเรา ทำให้เราที่เข้ามาเชื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง สำหรับคนที่เคยชั่วร้าย มาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดเจนมาก
ทิตัส 3:6-7
ท่านเปาโลกำลังบอกเราการที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เข้ามาประทับในชีวิตของผู้เชื่อเมื่อเขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงมาในชีวิตเพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้ให้เราก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ (ยอห์น 14-16) สมัยก่อนพระเยซูจะเสด็จมานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบพระวิญญาณให้ผู้เชื่อแบบนี้ และเมื่อ ทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม (เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า) เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก
ทิตัส 3:8
ท่านเปาโลต้องการให้ทิตัสสอนย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ดี เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่พวกเขาอยู่ การทำดีไม่ได้เป็นเหตุให้พี่น้อง
รับความรอด แต่เป็นเพราะพวกเขารับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จึงส่งผลให้ชีวิตของเขาแตกต่างเป็นประโยชน์กับชุมชน เราจะเห็นการงานของ
ผู้รับใช้มากมายที่ไม่ได้แค่ประกาศข่าวประเสริฐ แต่มีการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล โรงพิมพ์ ฯลฯเพื่อพัฒนาคนและพื้นที่
ทิตัส 3:9
เราฟันธงได้เลยว่า เมื่อเกิดการโต้แย้งที่ต้องการแค่เอาชนะ ไม่ใช่ต้องการหาคำตอบแท้จริง สิ่งที่จะเกิดตามมา คือความเกลียดชัง แบ่งเป็นสองฝ่าย
และกลายเป็นสงครามระหว่างสองฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตอนที่โต้เถียงกันนั้น แต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนเองคิดถูกที่สุด แม้ว่าจะจนตรอกก็ยัง
ยืนหยัดในกรอบความคิดเดิมที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ดังนั้น การโต้เถียงที่โง่เขลาจึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง การคุยกันด้วยความรักเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ทิตัส 3:10-11
จะเห็นว่า สำหรับท่านเปาโลแล้ว จุดสำคัญของเรื่องคือการที่พี่น้องในเกาะครีตจะต้องฉลาด ใช้ปัญญาโดยการไม่เกี่ยวข้องกับใครก็ตามที่มีแนวโน้มจะ
สร้างความแตกแยกระหว่างพี่น้องในคริสตจักร คนที่จะสร้างความเจริญที่เก่ง มีปัญญา สามารถพัฒนาชุมชนโดยที่ให้มีความแตกแยกน้อยที่สุดได้
การอธิบายให้เข้าใจ ทำตัวอย่างให้เห็น แทนที่จะใช้เสียงดังสุด ใช้คำหยาบคายสุดอย่างที่ใช้กันในหมู่นักเดินประท้วงทุกวันนี้
ทิตัส 3:12-13
เมืองนิโคบุรี หรือนิโคโพลิสเป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของกรีซ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะครีตพวกเขาจะต้องเดินทางไปมาหาสู่กันทางเรือ ดังนั้น
จึงต้องมีเสบียง เสื้อผ้าที่เหมาะสมให้สำหรับทุกคนที่เดินทาง ท่านเปาโลมีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ที่มีอาชีพต่าง ๆ ทั้งชายและหญิง จะเห็นว่า ไม่ว่าท่านไปที่ไหนก็มีปัญหากับผู้ที่ถือศาสนายิว แต่เมื่อใดพวกเขากลับใจเชื่อ ก็จะกลายเป็นเหมือนผู้ช่วยในด้านต่าง ๆ ของท่าน
ทิตัส 3:14-15
ท่านเปโตรเคยกล่าวถึงการที่จะมีชีวิตอย่างคนมี ประโยชน์ให้กับตนเองแผ่นดินของพระเจ้าและ คนอื่นๆใน 1เปโตร2:5-8จากข้อ 5 มาเรื่อย เป็นคำแนะนำว่าจะต้องเพิ่มชีวิตด้วยอะไรเป็นขั้น เป็นตอนชัดเจนมากถ้าชีวิตของเรามีเป้าหมาย มีวินัยในการที่จะสร้างชีวิตเพื่อเป็นประโยชน์ เราก็จะไม่เป็นคนอยู่นิ่งเฉยไปวันๆจะไม่เป็นคนหายใจทิ้งแต่..ทุกสิ่งที่ทำจะเกิดเป็นผลดี

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เปโตร 2:13; โคโลสี 1:10
3* 1โครินธ์ 6:11
4* ทิตัส 2:11; 1 ทิโมธี 2:3
5* โรม 3:20; ยอห์น 3:3
6* เอเสเคียล 36:26

7* โรม 8:17, 23-24
8* 1 ทิโมธี 1:15
9* 2 ทิโมธี 2:23
10* มัทธิว 18:17
12* กิจการ 20:4
13* กิจการ 18:24


ทิตัส 2 พฤติกรรมที่เหมาะสม

ทิตัส 2:1-2
แต่ท่านจะต้องบอกทุกคนว่า ควรทำอย่างไรเพื่อที่จะติดตามคำสอนที่แท้จริง สอนชายสูงอายุให้รู้จักควบคุมตัวเอง เป็นคนที่น่านับถือ มีปัญญา มั่นคงในความเชื่อ ในความรัก และมีความอดทน


ทิตัส 2:3-4
เช่นเดียวกัน สอนสตรีสูงอายุใหัปฏิบัติตนเป็นคนที่น่าเคารพ ต้องไม่ใส่ร้ายผู้อื่นหรือดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน แต่ให้สอนสิ่ง
ที่ดี เพื่อว่าจะได้สอนหญิงสาวให้รักสามี
และรักลูก ๆ ของตน

ทิตัส 2:5-6
และให้เธอเป็นคนที่ควบคุมตนเอง บริสุทธิ์ ดูแลบ้านได้ดี เป็นคนมีน้ำใจ และเชื่อฟังสามี 
เพื่อจะไม่มีใครมาวิจารณ์
คำสอนที่พระเจ้าประทานแก่เราได้


ทิตัส 2:7-8
เช่นเดียวกัน ให้หนุนน้ำใจชายหนุ่มให้รู้จักควบคุมตนเอง ตัวเจ้า ก็ขอให้เป็นตัวอย่างในเรื่องการทำดี เมื่อเจ้าสอนก็ขอให้สอนด้วยความซื่อตรง มีเกียรติ ให้พูดจริง เพื่อว่าจะไม่มีใครมากล่าวหาเจ้าได้ แล้วคนที่ต่อต้านเจ้าจะละอายใจเพราะไม่มีผู้ใดที่จะมาพูดให้ร้ายเราได้


ทิตัส 2:9-10
ส่วนกลุ่มคนที่เป็นทาสนั้น ก็ควรเชื่อฟังนายของพวกเขาทุกเวลา พยายามที่จะทำให้เขาพอใจ ไม่ใช่พูดจาโต้กลับนาย
อย่าเป็นคนขโมย แต่จะต้องทำให้เจ้านายได้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนไว้ใจได้ เพื่อว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะทำให้ได้เห็นถึงคำสอนอันทรงเกียรติของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทิตัส 2:11-12
เพราะพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยทุกคนให้รอดได้ปรากฏแก่มนุษย์ทั้งปวง
พระคุณนั้นสอนเราให้ใช้ชีวิตในยุคนี้ด้วยการควบคุมตนเอง อยู่ในทางของพระเจ้าโดยหันออกจากชีวิตที่ไร้พระเจ้า จากตัณหาของโลก


ทิตัส 2:13
เราควรมีชีวิตเช่นนั้น ในขณะที่เรารอคอยความหวังที่เป็นสุข
และการเสด็จกลับมาด้วยพระสิริของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา


ทิตัส 2:14
พระองค์ประทานชีวิตของพระองค์แก่เรา เป็นการจ่ายราคาเพื่อไถ่เราจากความชั่วทั้งสิ้น และเพื่อทำให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะทำสิ่งดี

ทิตัส 2:15
จงบอกสิ่งเหล่านี้ และหนุนใจพี่น้องและตักเตือนให้เขาได้รู้ถึงสิ่งที่ยังผิดพลาดในชีวิตด้วยสิทธิอำนาจ อย่ายอมให้ใครมาดูหมิ่นเจ้าได้


ทิตัส 2:1-2
ผู้เชื่อในคริสตจักรจะต้องได้รับการสอนให้มีชีวิตการกระทำซึ่งเป็นที่ถวายพระเกียรติ มีความเชื่อถูกต้อง และการกระทำก็สอดคล้องกับความเชื่อ
นั้น ในบทนี้ เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเอาใจใส่ที่จะช่วยให้พี่น้องมีพฤติกรรมที่บริสุทธิ์สะอาดสมกับเป็นผู้เชื่อ เป็นชีวิตที่แตกต่างจากชาวครีตทั่วไป
แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เป็นแสงสว่างให้แก่ชาวครีตเป็นเหมือนเกลือให้กับชุมชนชาวเกาะนี้
ทิตัส 2:3-4
สมัยก่อนนั้น อายุสี่สิบกว่าก็ถือเป็น ผู้หญิงสูงอายุแล้ว เพราะสถิติการเสียชีวิตนั้น เร็วกว่าสมัยนี้มากสิ่งสำคัญที่ท่านเปาโลเตือนก็เป็นเรื่องของการนินทา
ซึ่งมักจะเป็นการใส่ร้ายคนอื่นอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัวไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ เสียเวลาไปโดยไร้ค่าสิ่งดี ๆ ที่พวกเธอต้องตั้งใจทำคือ การส่งต่อคำสอนที่ดีสำหรับชีวิตครอบครัวให้กับคนที่เป็นหญิงสาว ให้เอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นอย่างดี
ทิตัส 2:5-6
เป้าหมายของชีวิตคริสเตียนที่ท่านเปาโลย้ำมาก ๆ คือการมีชีวิตที่ไร้ที่ติ เพื่อว่าคำเทศนา คำสอนจะไม่เป็นที่ครหานินทาได้ ท่านเปาโลทำให้เราเห็นว่า
พระคำของพระเจ้านั้นอยู่สูงเหนือชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะวางไว้บนโต๊ะเฉย ๆ หรือแค่โหลดเข้ามาในโทรศัพท์แต่ไม่เคยอ่านเลย การมีพระคำ
การมีคำสอนของพระเจ้าในชีวิต และทำตามนั้นเป็นพระพรใหญ่หลวง เราเห็นนักเทศน์มากมายที่มีข้อตำหนิเพราะปากกับการกระทำแตกต่าง
ทิตัส 2:7-8
อีกแล้วที่ท่านเปาโลย้ำให้สอนการควบคุมตนเองซึ่งในสังคมภายนอกไม่มีเลย การมั่วสุมทางเพศเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น แถมมีศาสนาที่มั่วเพศขณะทำพิธีทางศาสนาด้วย สิ่งที่ชายหนุ่มคริสเตียนต้องระมัดระวังคือ ต้องควบคุมจิตใจ ความคิด การกระทำของตน มีความซื่อตรง มีเกียรติ พูดจริง ทั้งหมดนี้ จะต้องทำโดยไม่ให้ใครมาตำหนิได้สำหรับเราแล้ว เราต้องถามตัวเองว่า คนอื่นที่เข้ามาเจอเรานั้น ไว้วางใจเราในเรื่องต่าง ๆ หรือไม่
ทิตัส 2:9-10
เป้าหมายชีวิตของทาสที่เข้ามาเชื่อพระเจ้านั้นก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มาเชื่อ พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตไม่เหมือนทาสทั่วไปที่ท้าทาย ขโมย ไว้ใจยาก พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าในตัวพวกเขา ต้องทำให้เจ้านายได้สัมผัสกับชีวิตที่มีพระเจ้า การเชื่อฟังเจ้านาย การไม่ย้อนเจ้านายกลับ ตัวท่านเปาโลเองมองเห็นว่าทาสคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเจ้าใต้เจ้านายที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกัน ควรได้รับการปฏิบัติดีจากเจ้านายด้วย
ทิตัส 2:11-12
แต่ก่อนนี้ พระคุณของพระเจ้ามีให้กับชาวยิวเท่านั้นมาบัดนี้พระคุณโดยองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เป็นพระคุณทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะ
เป็นชนชาติใดเมื่อเชื่อพระเยซู ก็จะได้รับความรอดคำกล่าวนี้ทำให้ทิตัสซึ่งเป็นคนต่างชาติ และรับใช้ในหมู่ชาวเกาะที่เป็นคนต่างชาติเช่นกันได้รับความ
มั่นใจในพระคุณของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาต้องระวังในการใช้ชีวิตก็คือเรื่องเดียวกับที่บอกมาแล้วคือควบคุมตนเอง และหันจากโลก
ทิตัส 2:13
ความหวังที่เป็นสุขนี้ใช้คำกรีกว่า มาคาริออส μακάριος ซึ่งใช้อธิบายสภาพฝ่ายวิญญาณที่มีสวัสดิภาพ รุ่งเรือง เรามีความยินดีลึกซึ้ง มีความพอใจที่เป็นสุขเพราะความยินดีนั้นมาจากการมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คำ ๆ นี้ใช้อธิบายถึงคนที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ได้รับพระคุณ และความชื่นชมของพระเจ้าในชีวิต นอกจากนั้นเรายังรอคอยพระเจ้าเสด็จกลับอย่างมีสง่า
ราศีด้วย
ทิตัส 2:14
พระคำตอนนี้ เหมือนกับหนังสือเอเฟซัส 2:8-10 ความรอดมาถึงเราได้เพราะพระคุณพระเจ้าและความเชื่อที่เรามีในพระองค์ เกิดขึ้นได้เพราะ
พระเจ้าประทานให้เรา ไม่มีใครอวดในความดีของตนเองได้เลย แต่เมื่อเราได้รับความรอดจากพระเจ้าแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่ขวยขวาย เร่าร้อน
ที่จะทำสิ่งดีให้กับชุมชนรอบข้าง และโลกของเรา สิ่งดีที่เราแต่ละคนทำนั้น แตกต่างกัน เป็นสิ่งดีที่พระเจ้าทรงเตรียมให้แต่ละคน 
ทิตัส 2:15
การเป็นผู้ที่จะช่วยนำคนอื่นให้เติบโตในพระเจ้านั้นไม่ใช่อยู่นิ่ง ๆ แต่เป็นการทั้งบอกกล่าว ทั้งหนุนใจทั้งตักเตือน ใช้การสื่อสารที่เพื่อน พี่น้องของเรา
จะได้เข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้า และต้องเป็นการทำด้วยสิทธิอำนาจจากพระเจ้าด้วยยิ่งกว่านั้น อย่าทำตัวให้ใครดูหมิ่นได้เลย การประพฤติตัวของผู้ที่สอนคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนคอยสังเกต และหากติดลบ ก็จะไม่มีใครต้องการฟังและนับถือ

พระคำเชื่อมโยง

5* 1 ทิโมธี 5:14; 1โครินธ์ 14:34; โรม 2:24
7* 1 ทิโมธี 4:12; เอเฟซัส 6:24
9* 1 1 ทิโมธี 6:1
11* โรม 5:15

13* 1โครินธ์  1:7; โคโลสี 3:4
14* กาลาเทีย 1:4; ฮีบรู  1:3, 9:14; อพยพ15:16
15* 2 ทิโมธี 4:2

มัทธิว 2 ดวงดาวและความฝัน

โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
1 หลังจากที่พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด   ก็มีโหราจารย์ จากประเทศทางทิศตะวันออก เดินทางมายังนครเยรูซาเล็ม  (คนเหล่านี้เขาเป็นทั้งนักดาราศาสตร์ เป็นปราชญ์ และเป็นปุโรหิตที่ทำนายฝันโดยใช้ดวงดาวเป็นตัวนำ) 
2 พวกเขาถามว่า “ทารกที่มาเกิดเพื่อเป็นกษัตริย์ของยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราเห็นดวงดาวของท่านในทางตะวันออก และเราเดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์”
3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดรู้เรื่องนี้ ท่านก็รู้สึกกลัว ว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ชาวเมืองเยรูซาเล็มก็เป็นเหมือนกัน 
4 เฮโรดจึงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย  และเหล่าธรรมาจารย์ ถามพวกเขาว่า พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์) มาเกิดที่ใด
5 พวกเขาตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย มีผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า :
6  ‘ส่วนเจ้านั้น เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์เอ๋ย เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยให้หมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์เลย  เพราะจะมีผู้ปกครองท่านหนึ่งมาจากเจ้า ท่านเป็นเหมือนผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอล’ 

แผนลวงของเฮโรด
7 แล้วเฮโรดจึงเรียกเหล่าโหราจารย์มาพบเป็นส่วนตัว ท่านสอบถามจนรู้แน่ว่า ดวงดาวนั้นปรากฏขึ้นเวลาใด
8 จากนั้นก็ส่งโหราจารย์เหล่านี้ไปยังเบธเลเฮม กล่าวว่า “ขอให้พวกท่านไปตามหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้ว ก็กลับมารายงานให้ข้าเพื่อว่าข้าจะไปนมัสการท่านเช่นกัน”
9 หลังจากที่ได้รับฟังคำของกษัตริย์แล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาตามมาจากตะวันออกก็เคลื่อนที่นำพวกเขาไปจนกระทั่งดาวหยุดเหนือที่ ๆ องค์พระกุมารประทับอยู่

10 เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาว พวกเขาก็ปีติยินดีมาก
11 พวกเขาเข้าไปในบ้าน และเห็นพระกุมารพร้อมกับมารดาของพระองค์ คือมารีย์ และเขาก็ได้ก้มลงแล้ว นมัสการพระองค์ แล้วเปิดกล่องนำของขวัญถวายพระองค์ เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ
12 แต่พระเจ้าทรงเตือนเหล่าโหราจารย์ ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหาเฮโรดอีก ดังนั้น พวกเขาจึงกลับประเทศของเขาด้วยเส้นทางอื่น

13 หลังจากที่เหล่าโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน กล่าวว่า “จงลุกขึ้น และพาพระกุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังตามค้นหาพระกุมารเพื่อประหารพระองค์”
14 ในคืนนั้นเอง โยเซฟลุกขึ้น และพาองค์ทารกน้อยกับมารดาเดินทางไปยังประเทศอียิปต์
15 โยเซฟอาศัยอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ที่เกิดขึ้นดังนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เราได้เรียกลูกชายของเราออกจากอียิปต์” (โฮเชยา 11:1)

เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่า เหล่าโหราจารย์รู้ทันความตั้งใจของท่าน ท่านก็โกรธนัก จึงสั่งทหารไปประหารเด็กชายทั้งหลายในเมืองเบธเลเฮมและหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยคำนวนจากช่วงเวลาที่ได้ยินสิ่งที่โหราจารย์เล่าให้ฟัง
17 จึงเป็นจริงตามที่เยเรมีย์ผู้เผยพระดำรัสกล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงคร่ำครวญในรามาห์ (เป็นจุดที่ยิวถูกส่งออกไปเป็นเชลย เยเรมีย์ 40:1) เป็นเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ ราเชลร้องไห้ถึงลูก ๆ ของเธอ เธอไม่ยอมรับคำปลอบใจใด ๆ เพราะลูก ๆ ได้จากไปแล้ว​(เยเรมีย์​ 31:15)

กลับจากประเทศอียิปต์
19 หลังจากที่เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับโยเซฟในความฝัน ขณะที่เขายังอยู่ในอียิปต์
20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาองค์พระกุมารและมาดากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอลได้แล้ว เพราะคนที่พยายามตามล่าชีวิตของพระกุมารนั้น ตายไปแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล
22 แต่เขาได้ยินว่า อารเคลาอัสได้ขึ้นปกครองแคว้นยูเดียแทนบิดาคือเฮโรดที่ได้สิ้นชีวิตไป เขาก็กลัวที่จะไปอยู่ที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝัน จึงเดินทางต่อไปในเขตกาลิลี
23 ไปอาศัยในเมืองนาซาเรธ ดังนั้นจึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ” (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)

เบื้องหลังเรื่องราว

มัทธิว 2:1-6 โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม  ใกล้ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของเมืองนี้มีความหมายว่า บ้านขนมปัง หรือบ้านแห่งอาหาร พระเจ้าทรงให้ทั้งโยเซฟ มารีย์เดินทางมาเพื่อลงทะเบียนสำมะโนครัว    และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เขาเตรียมลูกแกะสำหรับการถวายเครื่องบูชา ลูกแกะตัวเล็ก ๆ ที่เกิดใหม่จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าเก่าของเหล่าเลวี ดังนั้นเมื่อมีการบันทึกว่า เราจะพบว่า เขาเน้นการที่พระเยซูทรงถูกหุ้มห่อด้วยผ้าขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการที่วันหนึ่งพระองค์จะถูกประหารเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาป

จากบ้านเมืองที่ไกลจากอิสราเอลมาก เราไม่ทราบว่า โหราจารย์เหล่านี้มาจากประเทศใด แต่สิ่งที่เรารู้คือว่า เขาเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า และรู้ด้วยว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดโดยดูจากดวงดาวที่เคยมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า  โหราจารย์เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า ในที่ ๆ ห่างไกล ยังมีคนที่เชื่อพระเจ้า และแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ พวกเขาพร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อตามหาพระองค์ ใครจะรู้บ้างว่า เขาอาจจะเป็นคนที่เคยตกไปเป็นเชลยเหมือนอย่างคนรุ่นดานิเอลก็เป็นได้  คนเหล่านี้เห็นดวงดาวของพระเมสสิยาห์ และเขาก็ตามมาเพื่อถวายความเคารพ ถวายหัวใจ ถวายนมัสการ และถวายของขวัญแด่พระองค์ (กันดารวิถี 24:17)

เฮโรดเป็นกษัตริย์ปกครองโดยอำนาจของโรม ในช่วง 34-4 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเป็นชาวเอโดม  เป็นกษัตริย์ที่เก่ง ฉลาด มีความรู้ในการสร้างอาคาร มีความสนุกกับการที่จะได้สร้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองที่สุดโหดด้วย  พร้อมที่จะฆ่าได้ทุกคนที่ขวางทาง

ขณะที่โหราจารย์มาเยี่ยมพระกุมาร พวกเขาก็เข้าใจว่า เป็นกษัตริย์ก็น่าจะอยู่ในวัง แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่… พวกเขาทำให้เฮโรดกังวลเป็นอย่างมากเมื่อรู้เรื่องของกษัตริย์ยิวที่มาเกิด…อย่างแรกที่คิดคือ ต้องกำจัดกษัตริย์ผู้นี้  จากข้อสี่เราจะเห็นว่า เฮโรดพอมีความรู้เรื่องพระเมสสิยาห์อยู่บ้างเขาไม่สบายใจมาก ต้องกำจัดองค์กษัตริย์ผู้นี้ให้ได้! ดูสิ ..พระบุตรพระเจ้ามาบังเกิด ก็ถูกปองร้ายตั้งแต่ต้น ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้พักเลย พร้อมที่จะทำลายตลอดเวลา!!

เมื่อเฮโรดถามปุโรหิต พวกเขาเองก็รู้เช่นกันว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดในเบธเลเฮม … ในขณะที่โหราจารย์เดินทางจากแดนไกลมาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์น้อย  เฮโรดกับปุโรหิต ธรรมาจารย์กลับมีความคิดอีกอย่าง.. 

มัทธิว 2:7-12 แผนลวงของเฮโรด
เฮโรดฉลาดมาก ไม่ได้แสดงความกังวลให้โหราจารย์เห็นเลย เขาสอบถามจนแน่ใจว่า ศัตรูที่อาจมาทำลายอำนาจของเขาผู้นั้น เป็นใครอยู่ที่ไหนกันแน่ แทนที่จะส่งคนไปกำจัดพระเยซูตัวน้อยเลย ก็ปล่อยให้โหราจารย์ไปก่อน ไปดูให้แน่.. แล้วค่อยไปจัดการ ไม่ให้เสียคน เสียเวลา แถมยังผูกมิตรกับโหราจารย์อีกด้วย นี่ไง..ความปราชญ์เปรื่องของเฮโรด

พบองค์กษัตริย์ที่ดาวนำมา
โหราจารย์เดินทางต่อ ดวงดาวนั้นก็พาพวกเขาไปต่อจนถึงสถานที่ซึ่งครอบครัวของพระเยซูอาศัยอยู่ เราไม่ทราบว่า จากวันที่พระองค์ประสูติ จนถึงวันนี้ผ่านมานานเท่าไรจริง ๆ แต่จากที่เราเห็นว่า เฮโรดสั่งประหารเด็กสองขวบลงมา ก็น่าจะห่างจากวันที่พระองค์ประสูติพอสมควร ดูความเชื่อของโหราจารย์ มหัศจรรย์!! พวกเขาเชื่อเพียงเห็นเด็กคนหนึ่งที่เขารู้ในใจว่า ใช่แน่.. เขาไม่มีความสงสัย

พวกเขาต้องเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์เดิม รู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมาเป็นอย่างดี ในขณะที่เหล่าผู้นำทางศาสนายิวกังวล โกรธเกรี้ยวที่พระเมสสิยาห์ซึ่งก็เป็นผู้ที่ชาวอิสราเอลรอคอยมาบังเกิด พวกเขากลับมาก้มลง คุกเข่านมัสการ ถวายของขวัญแด่พระองค์ ทั้ง ๆ ที่ยังทรงเป็นเด็ก อยู่ในบ้านธรรมดา มีพ่อแม่เป็นชาวบ้าน ไม่ได้แสดงการอัศจรรย์ให้เห็น แต่พวกเขาไม่ได้สงสัย กลับมั่นใจว่า พวกเขาได้พบองค์กษัตริย์ที่แท้จริง ดวงดาวที่นำมาและหยุดในที่ ๆ ใช่นั้น เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว (อิสยาห์ 49:7)

มัทธิว 2:13-15 การปกป้องจากพระบิดา
จากนั้น พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้โหราจารย์กลับไปรายงานสิ่งใดแก่เฮโรด พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า กลับไปทางอื่นอย่างที่พระเจ้าทรงเตือน … แล้ว พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ มาบอกโยเซฟในความฝันอีกครั้งให้หนีไปอียิปต์ทันที โยเซฟเองก็ไม่รอช้า ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ทันที

ช่วงเวลาที่โยเซฟออกเดินทาง ก็เป็นเวลาที่โหราจารย์กลับบ้าน และเวลานั้น เฮโรดก็กำลังรอคอยคำตอบจากโหราจารย์ด้วย .. ครอบครัวเล็ก ๆ ออกเดินทางไปช้า ๆ ในความมืด ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เกิดมา แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดนี้ พระเจ้าได้ตรัสล่วงหน้ามาแล้วว่าจะเกิดขึ้น (โฮเชยา 11:1)เราเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างพระเยซูกับอิสราเอลคนของพระเจ้าหรือไม่? ชีวิตของพระเยซูนั้น สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกมาจากความเป็นทาส และสะท้อนให้เห็นชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกจากความบาปและความตาย

มัทธิว 2:16-18 เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
การไม่กลับมาของโหราจารย์ทำให้เฮโรดโกรธยิ่งนัก 

สิ่งที่ทำได้คือ คำนวนเวลาแล้วก็สั่งประหารเด็กชายอายุสองขวบลงมา … พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เช่นกันใน เยเรมีย์​ 31:15  เฮโรดไม่ได้รู้เลยว่า องค์กษัตริย์ผู้ที่เขาพยายามสังหารนั้น ไม่ได้อยู่ในหมู่เด็กชายเหล่านั้น  และเมื่อฆ่าล้างเด็ก ๆ สำเร็จ เขาก็รู้สึกสบายใจ  เห็นไหม ว่าโหดขนาดไหน?

มัทธิว 2:19-23 กลับจากประเทศอียิปต์
ไม่นานเฮโรดก็สิ้นชีวิต พระเจ้าก็ทรงสั่งโยเซฟผ่านทูตสวรรค์ในความฝันอีกครั้ง เขาก็พาครอบครัวกลับมา โดยหลีกเลี่ยงลูกชายเฮโรดที่ขึ้นครอง จึงเดินทางไปอาศัยในนาซาเร็ธ (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)น่าแปลกที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์เติบโตในเมืองที่ผู้คนดูหมิ่น คนมักจะถามว่า มีอะไรดีที่มาจากนาซาเร็ธบ้าง? ผู้คนมักคิดว่าตนเองดีกว่าคนชาวนาซาเร็ธ

ในขณะที่เราแสวงหาสิ่งดีที่สุดให้กับตัวเอง พระบิดากลับทางวางพระบุตรไว้ในจุดที่คนเมิน…
พระเยซูทรงเติบโตมาพร้อมกับอาชีพที่รับต่อมาจากโยเซฟคือ เป็นช่างไม้ พระองค์ทรงดูแลครอบครัวเพราะเป็นเหมือนลูกชายหัวปี พระเจ้าทรงเตรียมพระเยซูเช่นนี้ และใครก็ตามที่รู้สึกต่ำต้อย ให้ดูว่าองค์กษัตริย์ที่จะครองใจมนุษย์ทรงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเลิกที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้แล้ว

พระคำเชื่อมโยง

1* มีคาห์ 5:2; ลูกา 2:4-7; ปฐมกาล 25:6
2* ลูกา 2:11; กันดารวิถี 24:17
4* 2 พงศาวดาร 36:14; 34:13; มาลาคี 2:7
6* มีคาห์ 5:2; ยอห์น 7:42; วิวรณ์ 2:27

7* กันดารวิถี 24:17
11* อิสยาห์ 60:6
12* มัทธิว 1:20
13* มัทธิว 2:16
15* โฮเชยา 11:1

18* เยเรมีย์ 31:15
20* ลูกา 2:39; มัทธิว 2:16
22* มัทธิว 2:12,13,19; ลูกา 2:39
23* ยอห์น 1:45-46; ผู้วินิจฉัย 13:5