เศคาริยาห์ 4 จินตภาพคันประทีป

นิมิตถึงคันประทีปทองคำ
1 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าก็กลับมาและท่านปลุกข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็งัวเงียเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากนอน

2 “เจ้าเห็นอะไร?” ท่านถาม “ข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคำล้วนขอรับ” ข้าพเจ้าตอบ  “แล้วก็มีอ่างน้ำมันบนยอด และมีตะเกียงเจ็ดดวง โดยมีท่อส่งน้ำมันให้ตะเกียงด้วย”
3 แล้วก็มีต้นมะกอกเทศสองต้นข้าง ๆ ขวาของอ่างน้ำมันด้านหนึ่ง และอีกต้นอยู่ด้านซ้าย
4 “ท่านขอรับ .. สิ่งเหล่านี้คืออะไรกัน?” ข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้า 
5 “เจ้าไม่รู้หรือว่ามันคืออะไร?”ทูตสวรรค์ตอบ “ไม่ทราบเลยขอรับ ท่านเจ้านาย” ข้าพเจ้าตอบ

6 ดังนั้นท่านจึงกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระดำรัสของพระยาห์เวห์ไปถึงเศรุบบาเบล ‘ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เดช แต่โดยพระวิญญาณของเรา’ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส
7 เจ้าเป็นใครกัน เจ้าภูเขาที่ยิ่งใหญ่เอ๋ย?  เจ้าจะกลายเป็นพื้นราบต่อหน้า เศรุบบาเบล    แล้วท่านจะวางศิลามุมเอก  โดยมีเสียงร้องตามมาด้วยว่า “พระคุณ พระคุณแด่หิน”


8 แล้วพระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า
9 “มือทั้งสองของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานให้กับบ้านหลังนี้ และมือของท่านจะทำให้สำเร็จ ดังนั้นเจ้าจึงจะรู้ว่า พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงส่งข้ามาหาเจ้า 
10 ใครดูหมิ่นวันที่มีสิ่งเล็กน้อยเกิดขึ้นคืบหน้าไป?
เพราะพระเนตรเจ็ดดวงของพระยาห์เวห์ ซึ่งมองกวาดไปทั่วโลกจะยินดีเมื่อได้เห็นสายดิ่งในมือของท่านเศรุบบาเบล”

11 แล้วข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ “ต้นมะกอกสองต้นที่อยู่ทางขวาและซ้ายของคันประทีปนั้นหมายถึงอะไรขอรับ?”
12และข้าพเจ้าก็ถามเขาต่อไป “กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกข้าง ๆ ท่อทองคำที่ส่งน้ำมันสีทองไปยังตะเกียงนั้น หมายถึงอะไรขอรับ?”
13 “เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร?” ท่านถาม “ไม่รู้เลยขอรับ” ข้าพเจ้าตอบ
14 ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า “นี่คือผู้ที่ได้รับการเจิมทั้งสองที่จะยืนข้าง ๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งทั่วทั้งโลกนี้”

อธิบายเพิ่มเติม

จินตภาพที่ห้านี้ ทำให้เศคาริยาห์ได้รับรู้ว่า พระเจ้าทรงเสริมพลังให้กับคนของพระองค์เพื่อทำการที่ทรงสั่งให้พวกเขาทำ เศคาริยาห์ เห็นคันประทีปทองคำที่มีอ่างน้ำมัน มีท่อส่งน้ำมันมาจากต้นมะกอกด้านซ้ายและขวา

4:1-6 สภาพของเศคาริยาห์คือยังไม่ตื่นเต็มที่ สิ่งที่เห็นก็เหมือนฝันทำให้รู้สึกงง  แต่เขาก็อธิบายได้อย่างถูกต้องว่าเห็นอะไรในจินตภาพนั้นบ้าง สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือ ไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร  แล้วเขาก็ถามทูตสวรรค์ตรง ๆ ถึงความหมายของทุกอย่างที่เห็น    
คันประทีปทองคำ เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นพยานถึงแผ่นดินของพระเจ้า    ต้นมะกอกนั้นได้ส่งน้ำมันให้กับคันประทีป เท่ากับคันประทีปได้พลังการทำงานมาจากต้นมะกอกนั้นเอง  ภาพนี้ทำให้เศคาริยาห์งงไม่น้อย เขาถามไปเลยว่า นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ว่าเขาและคนอิสราเอลต้องทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา  ด้วยกำลังความคิดของตนเอง แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสั่งนั้นจะสำเร็จได้ด้วยพระวิญญาณของพระองค์ที่ทรงเติมพลังให้คนของพระองค์!
คำตอบนี้เป็นคำตอบของผู้เชื่อทั้งโลก ทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นใครเลย 
และในสถานการณ์นี้พระเจ้าทรงยืนยันให้เศคาริยาห์ทราบว่า การซ่อมสร้างพระวิหารนั้น ถึงแม้คนที่กลับมาทำจะรู้สึกกระตือรือร้นอย่างไรก็ตาม แต่จะสำเร็จได้ด้วยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น 

4:7-9 ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ คือ อุปสรรคที่ประชาชนและคนก่อสร้างต้องเผชิญในการสร้างพระวิหาร (เอสรา 5:3-17) ทั้งกำลังแรงงาน ทั้งการต่อต้านจากศัตรู   การได้วางศิลามุมเอกก็คือเสร็จสิ้นการสร้างแล้ว  และอีกประการคือ การตั้งอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ในอนาคต
คำว่าพระคุณสองครั้งเป็นการเน้นย้ำ การสำนึกในพระคุณที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือในการนี้  การที่พระเจ้าทรงเน้นย้ำพลังของพระวิญญาณทำให้เศรุบบาเบลมีกำลังขึ้นมาก  มือทั้งสองของเศรุบบาเบลเป็นมือที่ทำทุกอย่างให้สำเร็จเป็นการย้ำเตือนการช่วยเหลือของพระเจ้า

4:10  วันที่มีสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นวันที่ใครจะมาดูหมิ่น การสร้างพระวิหาร ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครจะมาดูหมิ่นได้เพราะทุกวันพระเจ้าทรงอยู่ด้วย ทอดพระเนตรดูทั้งโลก 
พระเนตรเจ็ดดวงมีความหมายถึง ความเพียบพร้อม สมบูรณ์  ใครจะมองอย่างไร พวกเรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับโครงการสร้างพระวิหารครั้งนี้  พระองค์ผู้ทรงรู้ทุกสิ่ง อยู่ทุกหนแห่ง และทรงพลังสูงสุด ทรงสนพระทัยการงานของมนุษย์แม้จะเล็กน้อย ทรงอยู่กับงานนี้
พระเจ้าทรงยินดีเมื่อเห็นสายดิ่งในมือของเศรุบบาเบล  เมื่อเห็นศิลามุมเอกถูกวางในที่ของมัน  บัดนี้ คนของพระองค์กำลังทำการที่พระองค์ทรงมอบให้เขาทำแล้ว 

4:11 คำถามของเศคาริยาห์เป็นคำที่อยากถามเช่นกัน ต้นมะกอกทั้งสองได้ผลิตน้ำมันผ่านกิ่งก้านมายังท่อส่งงน้ำมัน ลงมายังคันประทีปเพื่อให้เกิดแสงสว่าง ทั้งกษัตริย์คือเศรุบบาเบล และทั้งปุโรหิตคือ โยชูวา เป็นสองคนที่ได้รับการเจิม   การงานที่ทั้งสองลงมือทำเพื่อพระเจ้า และประชาชนนั้น 
4:12-13 เอ ทำไมแค่นี้เศคาริยาห์ไม่เข้าใจความหมายนะ?
ถ้าคนของพระเจ้าเข้าใจความหมายทันที ก็ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม  ทูตสวรรค์กล่าวว่า กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกนั้น มีความหมายถึงคนที่พระเจ้าทรงเจิม ซึ่งยืนข้าง ๆ พระเจ้า เขาเป็นคนที่ได้รับการเจิมเพื่อทำการที่ได้รับคำสั่งมาเป็นพิเศษ  ทั้งสองก็คือ เศรุบบาเบลและโยชูวานั่นเอง ภายใต้การดูแลของทั้งสอง   อิสราเอลจะได้รับความอุดมสมบูรณ์  อาหารจากผืนดินจะไม่ขาด (3:1-10, 6:9-15)
และทั้งสองนี้ก็เล็งไปถึงพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา ทรงเป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิต ทรงเป็นกิ่งที่เศคาริยาห์เห็นใน 3:8 ; 6:12.  และภาพนี้ยังโยงไปถึงพยานทั้งสองในวิวรณ์  11:3-12 ด้วย
เมื่อพระเจ้าทรงให้คนของพระองค์ ทำราชกิจอันใด ไม่ว่าจะช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะทำโครงการใด ไม่ว่าจะสร้างคริสตจักรของพระองค์ … ทุกอย่าง คนของพระเจ้าจะสำเร็จได้ด้วยพลังจากองค์พระวิญญาณทั้งสิ้น

พระคำเชื่อมโยง

เศคาริยาห์  4
1* เศคาริยาห์ 1:9; 2:3
2* วิวรณ์ 1:12; 4:5
3* วิวรณ์ 11:3-4
6* ฮักกัย  1:1; โฮเชยา  1:7

7* เยเรมีย์ 51:25; สดุดี 118:22; เอสรา 3:10-11, 13
9* เอสรา 3:8-10; 5:16; 6:14-15; เศคาริยาห์ 2:9,11; 6:15
10* ฮักกัย  2:3;  2 พงศาวดาร 16:9
11* เศคาริยาห์ 4:3
14*  วิวรณ์ 11:4 ; เศคาริยาห์ 3:1-7

มัทธิว 14 การเลี้ยงครั้งใหญ่

ประหารท่านยอห์น
1 ช่วงเวลานั้น เฮโรด เจ้าผู้ครองแคว้นกาลิลีได้ยินเรื่องของพระเยซู 2  จึงพูดกับเหล่าคนรับใช้ของเขาว่า “เขาผู้นี้น่าจะเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่คืนชีพจากตาย  เขาจึงมีฤทธิ์ทำการอัศจรรย์ได้ 3 ก่อนหน้านี้ เฮโรดได้จับกุมยอห์น และตรวนเขาไว้ในคุก  ที่เฮโรดทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะนางเฮโรเดียสที่เคยเป็นภรรยาของฟีลิป น้องชายของเฮโรดเอง
4 เป็นเพราะยอห์นได้กล่าวกับเฮโรดว่า “ที่ท่านแต่งงานกับนางนั้นเป็นการผิดบทบัญญัติ”
5 เฮโรดเองต้องการประหารยอห์นเสีย แต่ก็กลัวประชาชนเพราะพวกเขาถือว่า ยอห์นเป็นผู้เผยพระดำรัส
6 ในงานวันเกิดของเฮโรด ลูกสาวของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำต่อหน้าเฮโรดและแขกทั้งหลาย เป็นที่พอใจของเฮโรดมาก
7 ดังนั้น ท่านจึงประกาศสัญญาว่าจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
8 เธอจึงทูลตามที่แม่ของเธอสั่งเอาไว้ว่า “ขอหัวของท่านยอห์นใส่ถาดมาเพคะ” 


9 แม้ว่าตอนนั้นกษัตริย์เฮโรดรู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก แต่เป็นเพราะสัญญาไว้แล้วต่อหน้าแขกทั้งหลาย ท่านจึงบัญชาไปตามที่เธอขอ
10 ท่านส่งทหารเข้าไปตัดหัวยอห์นในคุก
11 และก็วางบนถาดมาให้หญิงสาว  เธอก็ส่งให้แม่ของเธอ 12 ศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วจึงไปรายงานเรื่องราวต่อพระเยซู 

พระเยซูทรงเลี้ยงคนมากกว่าห้าพันคน
13 เมื่อพระเยซูทรงทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระองค์ก็ทรงลงเรือไปและไปยังที่เงียบสงบ เพื่อประทับเพียงผู้เดียว แต่ประชาชนก็ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงเดินตามไปหาพระองค์  14  เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ พระองค์ทรงเห็นประชาชนจำนวนมากรอพระองค์อยู่ พระองค์ทรงสงสารพวกเขา และทรงรักษาคนที่เจ็บป่วย 
15 พอถึงเวลาเย็น พวกศิษย์ก็มาหาพระองค์ทูลว่า “แถบนี้ห่างไกล ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย แล้วก็เย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงปล่อยให้ประชาชนกลับไปเถิดเพื่อพวกเขาจะได้ไปซื้ออาหารตามหมู่บ้านกันเอง
16 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไป พวกเจ้าสิ  จงเลี้ยงอาหารเขาเถิด”
 17 พวกเขาทูลว่า “แต่เรามีแค่ขนมปังห้าก้อน กับปลาสองตัวเท่านั้น”
 18 พระเยซูตรัสว่า “เอามาให้เราเถิด”

 

19 แล้วพระองค์ตรัสให้ประชาชนเหล่านั้นนั่งลงบนพื้นหญ้า  ทรงหยิบขนมปังห้าก้อน กับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ตรัสขอบคุณพระเจ้า
แล้วพระองค์ก็หักขนมปังส่งให้พวกศิษย์ พวกเขานำไปแจกให้กับประชาชน

20 คนทั้งหมดก็ได้กินและอิ่มเต็มที่ แล้วศิษย์ก็เก็บเศษที่เหลือได้อีกเต็มสิบสองตะกร้า  21 จำนวนประชาชนที่กินอาหารครั้งนั้นประมาณ  5000  คน โดยยังไม่ได้นับผู้หญิงและเด็ก!

พระเยซูดำเนินบนผิวน้ำ 

22 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูตรัสให้ศิษย์ของพระองค์ลงเรือข้ามทะเลสาบไปล่วงหน้าพระองค์  ส่วนพระองค์ทรงอยู่ต่อเพื่อส่งฝูงชนเดินทางกลับบ้านไป 23 หลังจากที่ทรงส่งพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาค่ำ
พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว 24 ขณะนั้นเรือก็ออกจากฝั่งไปไกลมาก  เรือถูกคลื่นลมซัดไปเพราะมุ่งหน้าต้านลม
25 ในช่วงยามที่สี่ของกลางคืน (ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า)  พระเยซูดำเนินบนผิวน้ำทะเลสาบไปหาพวกศิษย์
26  เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์ดำเนินบนผิวน้ำเช่นนั้น พวกเขาก็กลัวมาก ตกใจร้องว่า “เป็นผีนี่นา!”
ต่างร้องกันขรมเพราะกลัว
 27 แต่พระเยซูตรัสทันทีว่า “ใจกล้าเข้าไว้ นี่เป็นเราเอง อย่ากลัวไปเลย” 
28 เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์จริง  ขอทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด”
29 พระเยซูตรัสว่า “มาสิ”  เปโตรจึงลงจากเรือและเดินไปบนผิวน้ำ ตรงไปหาพระเยซู
 30 แต่แล้ว เมื่อเขาเห็นลมพัดแรง เขาก็ตกใจและตัวเริ่มจมลง เขาตะโกนว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย!!”


31 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้ได้ทันที พระเยซูตรัสว่า “เจ้ามีความเชื่อน้อยนิด เจ้าสงสัยทำไมกัน?”
32 เมื่อทั้งสองขึ้นเรือแล้ว ลมที่พัดอยู่ก็สงบลง
33 ศิษย์ที่อยู่ในเรือก็ก้มลงกราบนมัสการพระเยซู พูดกันว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแน่นอน!”

การรักษาโรคที่เยนเนซาเรท
34เมื่อข้ามฟากไป พวกเขาก็มาถึงฝั่งที่แคว้นเยนเนซาเรธ
35 พอประชาชนที่นั่นจำพระเยซูได้ ก็ส่งข่าวไปบอกคนอื่น ๆ แถบนั้นว่า พระเยซูเสด็จมา  และพวกเขาก็พาคนเจ็บป่วยมาหาพระองค์ 
36 พวกเขาทูลขอเพียงแตะชายเสื้อคลุมของพระองค์  แล้วทุกคนที่แตะก็หายป่วย (กันดารวิถี 15:38-39)

อธิบายเพิ่มเติม

เรื่องการสั่งตัดหัวท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมามีบันทึกในมาระโก 6:14-29 และลูกา 9:7-9 ด้วย เฮโรดที่ออกคำสั่งผู้นี้ คือ เฮโรด แอนทิพาส ผู้ปกครองแคว้นกาลิลี  ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครองสี่คน (ลูกชายสี่คนของเฮโรดมหาราชคนที่สร้างพระวิหาร)ที่โรมส่งมา  ในข้อ 9 มัทธิวเรียกเฮโรดว่า เป็นกษัตริย์
14:1-2  เฮโรดผู้นี้ สนใจ อยากพบพระเยซูมาก เพราะเขาได้สั่งประหารท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา และเขาสรุปเอาเองว่า พระเยซูเป็นยอห์นคืนชีพมา… เหตุผลคือ เขาได้ข่าวมาว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์มากมาย  ที่เขาอยากพบพระเยซูอาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้  นั่นคือ การที่เขาสั่งประหารท่านยอห์นจากปากของตัวเอง จากนั้นมัทธิวได้ย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังของเฮโรด
14:3-8 เรื่องของเฮโรเดียสค่อนข้างสับสน  เธอเป็นลูกสาวของลูกชายเฮโรดมหาราช และแต่งงานกับฟิลิปน้องชายเฮโรดซึ่งเป็นเหมือนน้าชายของเธอ      แต่ก็ถูกเฮโรดแอนทิพาส น้าชายคนพี่ชวนมาแต่งงานกับเขา สำหรับยิวแล้วเป็นการผิดทั้งเรื่องการแต่งงานระหว่างญาติใกล้ชิด และยังเป็นขู้อีกด้วย ยอห์นจึงเตือนเฮโรด ตรงไปตรงมา เฮโรดไม่พอใจแต่ก็ยังรั้งตัวเองไว้ เพราะกลัวไม่เป็นที่พอใจของประชาชนที่นิยมท่านยอห์น  พวกเขาเห็นว่าท่านยอห์นเป็นผู้เผยพระดำรัสที่เพิ่งมาปรากฏตัวหลังจากที่พระเจ้าไม่ได้ส่งผู้รับใช้อย่างนี้มานานหลายร้อยปี 

สิ่งที่เฮโรดทำได้คือการสั่งจำคุกยอห์น ซึ่งน่าจะเป็นการยุยงจากนางเฮโรเดียสด้วย  จากที่มาระโกบันทึกเอาไว้ พอจะประมาณได้ว่าเป็นอย่างนี้ ที่จริงเธอถึงขนาดต้องการ ฆ่าท่านยอห์น อาฆาตท่านมาก ดูสิว่า ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวขนาดไหน  
วันเกิดของเฮโรด ก็ต้องมีงานเลี้ยง มีผู้ชายเยอะก็ต้องมีผู้หญิงเต้นรำ ซาโลเมคือสาวน้อยที่เป็นลูกสาวนางเฮโรเดียสกับฟีลิป เท่ากับเป็นหลานสาวของเฮโรด ก็มาเต้นรำทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจเหลือเกิน ชมกันทั้งงาน  เฮโรดก็ทั้งเมา ทั้งบันเทิง อดไม่ได้ที่จะอวดอ้างในงานว่าจะให้ทุกอย่างที่ต้องการ ถึงครึ่งอาณาจักรที่ครองอยู่ 

ซาโลเมก็เป็นลูกแสนดี ถามท่านแม่ แม่ได้ทีให้ขอหัวท่านยอห์น   … เห็นความโหดของทั้งแม่และลูกคู่นี้ไหม? อะไรทำให้ทั้งสองกล้าได้ขนาดนี้ ?

14:12 ด้วยความโศกเศร้าอย่างมาก พวกเศิษย์ของท่านยอห์นมาขอศพท่านไปเก็บไว้ในถ้ำ (มาระโก 6:29 )  เป็นศพที่ไร้ศีรษะ  นี่คือจุดจบของท่านยอห์น ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเตรียมทางเพื่อพระเมสสิยาห์  การตายเช่นนี้ เป็นการตายเพราะท่านกล้าที่จะพูดเพื่อให้เฮโรดไม่ทำสิ่งที่ผิด แต่แล้ว ก็ต้องจบชีวิตของท่าน 

ระหว่างสองเหตุการณ์?
14:13 เชื่อว่า พระเยซูทรงทราบเรื่องนี้ก่อนที่ศิษย์จะมาทูลรายงานอยู่แล้ว  และพระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัย ไม่อาจที่จะอยู่กับผู้คนได้  การที่คนของพระเจ้าถูกฆ่าโดยคนทรามเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเองทรงรู้สึก (แบบที่เรามนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้
สดุดี 116:15 กล่าวว่า ความตายของวิสุทธิชนของพระยาห์เวห์มีค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระองค์) พระองค์ทรงแยกไปจากผู้คนเพื่อ ไปอยู่ตามลำพังกับพระบิดา  ทรงลงเรือไป แต่มีบางคนเห็นจึงพากันบอกต่อ  ในช่วงเวลาอย่างนั้น ประชาชนก็ไม่ได้สนใจอะไร พวกเขาต้องการพบพระองค์ ต้องการความช่วยเหลือ  พวกเขาถึงขนาดว่า ไปรอเลยว่า พระองค์จะขึ้นฝั่งตรงไหน
14:14  ถึงจะสะเทือนพระทัย และปรารถนาจะอยู่ผู้เดียวขนาดไหน เมื่อทรงขึ้นฝั่งมา พระองค์ก็ทรงเห็นความทุกข์อยู่ข้างหน้า  ก็ทรงเมตตา สงสาร และทรงรักษาพวกเขาทันที
และเมื่อเราดูในข้อต่อไป พบว่า พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกเขานานมาก 

งานเลี้ยงมากกว่าห้าพันคน
14:15-16   คนที่หายโรค  คนที่ตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ที่มองเห็น คนเดินได้  คนที่ได้ยิน คนที่พูดได้  คนที่พามาเห็นการอัศจรรย์  พวกเขายังไม่ได้อยากไปไหน แต่ขอฟังพระองค์ผู้ทรงทำการยิ่งใหญ่นี้ บอกเรื่องของแผ่นดินของพระเจ้าอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเขาอยู่จนเย็น  ลืมไปว่าตัวเองออกมาไกลบ้านมาก  ศิษย์ของพระเยซูเริ่มกังวลเพราะคนจำนวนมากเหล่านี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย  เขาเสนอพระเยซูว่า ปล่อยให้ประชาชนกลับบ้านได้แล้ว เพราะจะได้ไปหาอาหารตามทาง
แต่พระเยซูกลับทรงให้พวกศิษย์ คิดหาทางเลี้ยงอาหารเขา แทนที่จะปล่อยประชาชนไปอย่างหิวโหย พระเยซูไม่ทรงทำเช่นนั้น แต่ทรงสั่งพวกศิษย์ให้ทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้
14:17-21 จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เป็นไปได้เมื่อพระเยซูได้รับขนมปังกับปลาไม่กี่ชิ้น  พระองค์ทรงหยิบมันขึ้นขอบคุณพระบิดา จากนั้นก็ทรงหักขนมปัง และทรงยื่นปลาให้พวกศิษย์
ทรงทำไปเรื่อย ๆ ราวกับว่า ทุกสิ่งออกมาจากพระหัตถ์ที่เป็นเครื่องผลิตอาหาร!! จนกระทั่งทุกคนได้กินจนอิ่ม ชาย 5,000 คนพร้อมผู้หญิงและเด็ก
เราก็คงต้องเดาว่าน่าจะเกินหนึ่งหมื่นคน  ครอบครัวหนึ่ง ๆ น่าจะมีเด็กไม่ต่ำกว่าสองหรือสามคนมาด้วย 

พายุท้าทายความเข้าใจ
14:22- 33 เราจะได้ยินคำเทศนาที่บอกว่า พวกศิษย์กำลังเจอลมแรง  เรือต้านลมอยู่ พระเยซูก็เสด็จเดินบนน้ำมาหาพวกเขา  พวกเขาตกใจประมาณไปเองว่า เป็นผี  แต่เมื่อเปโตรมองพระเยซูเขาขอเดินแบบพระองค์บ้าง เขาก็เดินบนน้ำได้ แต่เมื่อเห็นคลื่นลมแรง เขาก็ตกใจ เหมือนกับเราที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นพายุในการทำงาน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ ดังนั้น ในชีวิตของเรา  เราต้องยึดมั่นในพระเจ้าไม่ว่าพายุของชีวิตจะมาเพียงไหน … และเมื่อพลาด ก็ขอพระเจ้าช่วย เราต้องมีความเชื่อให้มาก 
แต่ตอนนี้ เราขอมาโฟกัสที่ข้อสรุปของศิษย์ 
สำหรับพระคัมภีร์ตอนนี้ที่มัทธิวได้บันทึกไว้ให้เรา  อย่างหนึ่งที่ชัดเจนทำให้พวกศิษย์สรุปว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
เป็นเพราะอะไร ทำไมการดำเนินบนน้ำของพระเยซูทำให้พวกเขาสรุปอย่างนั้น?
…​เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติได้แบบนี้
และยังมีข้อพระคำที่พวกเขาน่าจะเคยอ่านมาแล้ว
พระองค์แต่ผู้เดียวที่ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกและทรงย่ำเหนือคลื่นทะเล โยบ 9:8  พระมรรคาของพระองค์ผ่านทะเลทางของพระองค์ผ่านห้วงน้ำหลากแม้ไม่เห็นรอยพระบาทของพระองค์ สดุดี 77:19

การดำเนินบนน้ำของพระเยซูจึงพิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่า ทรงเป็นพระเจ้าแน่นอน  จากข้อสรุปของเขาทำให้เรารู้ว่า ก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะคิดว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระดำรัสอย่างท่านยอห์น  พวกเขาประเมินพระองค์ต่ำกว่าความเป็นจริง  แม้พระองค์จะทรงบอกพวกเขา ก็ยังมีบางคนสงสัยอยู่  ต่อมาในมัทธิว 16 เราจะเห็นว่า เปโตรยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมมาเพื่อช่วยโลกให้รอด  แต่… ก็ยังเป็นพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้าแบบที่พวกเขาเข้าใจไปเองว่า จะทรงเป็นนักรบที่ปลดปล่อยเขาจากโรมซึ่งครอบครองอิสราเอลในขณะนั้น

การรักษาโรคที่เยนเนซาเรท
14:34-36 พวกเขาข้ามฟากไปถึงแคว้นเยนเนซาเรธซึ่งเป็นเขตของเฮโรด แอนทีพาสที่สั่งประหารยอห์น  ในหนังสือยอห์น 6:21 กล่าวว่า หลังจากที่ขึ้นเรือไปแล้ว เรือก็ไปถึงฝั่งทันทีเลย
เป็นอัศจรรย์ซ้อนอัศจรรย์   เขตแดนนี้  อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองคาเปอรนาอุม 
ผู้คนต่างมาหาพระองค์ และพวกเขาขอเพียงแตะชายเสื้อคลุมของพระองค์  แค่นั้นพวกเขาก็หายป่วย. ที่น่าสนใจคือ ความเชื่อของประชาชนนั้น ช่างเต็มล้น มากมาย เมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์ของพระองค์ในเช้ามืดวันนั้น
เราจะเห็นการใช้ชีวิตของพระเยซูในช่วงนี้ว่า พระองค์ทั้งทรงอยู่กับศิษย์อย่างใกล้ชิด และพระองค์ก็ทรงอยู่กับประชาชน แต่พระองค์ไม่เคยห่างหายไปจากพระพักตร์พระบิดาและทรงอยู่กันตามลำพังเสมอ

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 14
1* มาระโก 6:14-29
3* ลูกา 3:19-20
4* เลวีนิติ 18:16; 20:21
5* ลูกา 20:6
13* ยอห์น 6:1-2
14* มาระโก 6:36
15* ลูกา 9:12

19* มัทธิว 15:36; 26:26
23* มาระโก 6:46; ยอห์น 6:16
26* โยบ 9:8
27* กิจการ 23:11; 27:22, 25,36
31* มัทธิว6:30; 8:26
33* สดุดี 2:7 
34* มาระโก 6:53
36* มาระโก 6: 5:24-34; ลูกา 6:19

เศคาริยาห์ 3 จินตภาพท่านโยชูวา

จินตภาพเรื่อง โยชูวาผู้เป็นหัวหน้าปุโรหิต 
1 แล้วทูตสวรรค์ก็แสดงให้ข้าพเจ้าได้เห็นปุโรหิตใหญ่คือท่านโยชูวา ยืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ขององค์พระยาห์เวห์ พร้อมกับซาตานยืนอยู่ข้างขวาของท่านเพื่อกล่าวหาท่าน 
2 และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “โอซาตาน! พระยาห์เวห์ทรงตำหนิเจ้าอยู่ ให้พระยาห์เวห์ผู้ทรงเลือกนครเยรูซาเล็มทรงตำหนิเจ้า!  ชายผู้นี้เป็นท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟซึ่งถูกดึงออกมาจากกองไฟมิใช่หรือ?”
3 เวลานั้นโยชูวาสวมเสื้อผ้าที่โสโครกในขณะที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์
4 ดังนั้นทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่คนที่ยืนเบื้องหน้าท่านว่า “จงถอดเสื้อสกปรกของเขาออกเสีย” แล้วท่านกล่าวแก่โยชูวาว่า “ดูสิ เราได้นำความบาปของเจ้าออกไปแล้ว  และเราจะสวมเสื้อผ้าบริสุทธิ์ให้เจ้า”
5 แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า “ให้พวกเขาสวมผ้าโพกศีรษะที่สะอาดให้ท่านด้วย” ดังนั้นจึงมีผ้าโพกศีรษะสะอาดมาสวมศีรษะให้ท่าน และพวกเขาก็สวมเสื้อผ้าให้ท่าน โดยที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ายืนอยู่ที่นั่น 

ผู้เป็นกิ่งจะเสด็จมา
6 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์สั่งโยชูวาดังนี้
7 “พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า ‘หากเจ้าเดินในทางของเรา และรักษาคำสอนของเรา เจ้าก็จะได้ปกครองพระนิเวศของเรา และยังจะดูแลลานพระนิเวศด้วย และเราจะให้เจ้ามีตำแหน่งร่วมกับคนเหล่านั้นที่ยืนอยู่ตรงนี้
8 บัดนี้ จงฟังเรา โอ โยชูวาผู้เป็นมหาปุโรหิต ทั้งเจ้าและผู้ร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า พวกเจ้าเป็นหมายสำคัญสำหรับอนาคต เพราะดูเถิด เรากำลังจะนำผู้รับใช้ของเรามา ท่านคือ “ผู้ที่เป็นกิ่ง”
2 ซามูเอล 7:12,13; อิสยาห์ 4:2; 11:1; เยเรมีย์ 23:5; 33:15; เศคาริยาห์ 6:12
9 ดูหินที่เราได้ตั้งไว้ต่อหน้าโยชูวา บนหินนั้นมีดวงตาเจ็ดดวง  ดูเถิด  เราจะสลักคำจารึกไว้บนหินก้อนนั้น พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ และเราจะกำจัดความผิดบาปของแผ่นดินนี้ภายในวันเดียว 
10 “ในวันนั้น” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ “พวกเจ้าแต่ละคนจะเชิญเพื่อนบ้านมานั่งใต้ร่มเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของตนเอง”

อธิบายเพิ่มเติม

จินตภาพเรื่อง โยชูวาผู้เป็นหัวหน้าปุโรหิต
สามจินตภาพที่ผ่านมา เป็นการเน้นที่เยรูซาเล็มให้เป็นศูนย์กลางแห่งการนมัสการพระเจ้าบนโลกนี้  จะมีคนเป็นจำนวนมากเข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยกัน  ศัตรูของพระเจ้าจะถูกกันออกไป  ส่วนจินตภาพสองภาพต่อไปเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงจัดการกับตัวบุคคล ท่านโยชูวาและทุกคนที่อยู่ในจินตภาพของเศคาริยาห์นี้ เป็นหมายสำคัญสำหรับอนาคต (ข้อ  8)  นี่หมายความอย่างไร?
พระเจ้าเคยสั่งให้อิสราเอลเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระเจ้า (อพยพ 19:6)
ท่านโยชูวาในบทนี้ กำลังเป็นตัวแทนของอิสราเอลที่ซาตานยินดีมากที่จะกล่าวหาเต็มที่ (ทุกปี ปุโรหิตจะนำบาปของคนทั้งชาติมาต่อพระพักตร์พระเจ้าในวันแห่งการลบบาป )  
3:1 ทูตสวรรค์ก็ให้เศคาริยาห์ได้เห็นปุโรหิตใหญ่ในสภาพที่สกปรกไม่น่าดูเลย ขณะเดียวกันก็มีซาตานซึ่งเป็นผู้กล่าวหา หรือผู้ต่อสู้ยืนอยู่เพื่อทำหน้าที่อันเชี่ยวชาญของตน การยืนอยู่ข้างขวาของจำเลยเป็นประเพณีปฏิบัติในศาล   ปุโรหิตโยชูวาท่านนี้ เป็นลูกชายของเยโฮซาดัก ซึ่งกล่าวถึงในฮักกัย 1:1   และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพระวิหารซึ่งเป็นที่ปุโรหิตทำหน้าที่ของพวกเขา  
2 พระเจ้าทรงตำหนิซาตานสองครั้ง ซึ่งมีความหมายว่าตำหนิอย่างรุนแรง  พระเจ้าทรงบอกว่าพระองค์เองที่ทรงดึงท่านออกมาจากกองไฟ เป็นภาพของพระคุณพระเจ้าที่ช่วยให้รอด และชำระให้สะอาดด้วยพระองค์เอง  พระองค์ทรงนำอิสราเอลออกมาจากบาบิโลน พระองค์ยังทรงรักษาเชื้อชาติอิสราเอลนี้ไว้  พระเจ้าทรงเข้ามาแทรกเหตุการณ์ร้าย ทรงเป็นผู้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง 
3 สภาพของท่านโยชูวานี้ สกปรกมากจนไม่สมควรที่จะเป็นปุโรหิต  ในภาษาเดิมมีความหมายเหมือนว่าท่านเต็มด้วยอุจจาระทั้งตัว  และท่านยืนต่อหน้าทูตสวรรค์  แต่ขณะนั้นคงทำหน้าที่ปุโรหิตอยู่อย่างไม่สมควร  และพระเจ้าทรงออกคำสั่งด้วยพระองค์เอง  และจากข้อสี่เราจะเห็นว่า ความสกปรกนั้นก็คือบาปนั่นเอง 
4 ทูตสวรรค์เองให้คนที่อยู่ตรงนั้นถอดเสื้อสกปรกออก และทูตสวรรค์กล่าวชัดว่า เอาบาปออกไปหมดแล้ว แล้วจะสวมเสื้อบริสุทธิ์ให้
5 นอกจากนั้นมีผ้าโพกศีรษะที่สะอาดให้ด้วย …ปกติแล้วผ้าโพกจะมีแผ่นทองคำเขียนติดไว้ด้านหน้า  ว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” (อพยพ 28:36) พระเจ้าเองทรงเป็นผู้ที่ทำให้โยชูวาหรืออิสราเอลเปลี่ยนแปลงจากการตกในความบาปไปสู่ความบริสุทธิ์ 
เราจะเห็นว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้จัดการให้เกิดการชำระให้สะอาด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากพระเจ้าไม่ได้เกิดจากโยชูวาที่ไปล้างออกเอง

ผู้เป็นกิ่งจะเสด็จมา
6 จากนั้นทูตสวรรค์ก็ออกคำสั่งที่สำคัญ ท่านทูตสวรรค์องค์นี้ เป็นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ มีความหมายแบบเดียวกันกับในข้อ 1:11
7 การเดินในทางของเราคือการทำตาม และรักษาคำของพระองค์คือรับใช้อย่างเอาใจใส่ ระมัดระวัง 
ท่านโยชูวาจะได้ทั้งปกครองพระวิหาร  ดูแลลานพระวิหาร จะได้อยู่กับเหล่าทูตสวรรค์  การที่ท่านโยชูวาได้รับการชำระและหน้าที่เหล่านี้ กำลังหมายถึงเวลาที่พระเมสสิยาห์กำลังจะมา 
8ผู้เป็นเป็นกิ่งท่านนี้ คือพระเมสสิยาห์นั่นเอง พระองค์ทรงถูกเรียกว่า เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า (อิสยาห์ 53:11)
ที่เรียกว่า พระองค์ทรงเป็นกิ่งนั้นคือ พระองค์เป็นผู้ที่แตกออกมาจากวงศ์วานของเจสซี (บิดาของกษัตริย์ดาวิด) ทรงเป็นเหมือนหน่อที่แตกขึ้นมา 
การที่โยชูวาและผู้ร่วมงานเป็นหมายสำคัญในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  นั่นคือ ระบบการเป็นปุโรหิตของพระเจ้าจะยังคงอยู่ต่อไป เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำตามพระสัญญาของพระองค์ 
9 ปุโรหิตโยชูวา มีหินตั้งตรงหน้าท่าน เป็นสัญลักษณ์ว่าท่านมีสิทธิอำนาจในฐานะปุโรหิตที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง
ดวงตาเจ็ดดวงมีความหมายถึงการที่พระเจ้าทรงรู้ทุกกอย่างและการปกครองทั้งสิ้น ทุกอณูของเอกภพ (4:10) เป็นพระสัญญาแห่งพลังแห่งพระวิญญาณที่จะประทับอยู่ด้วย (อิสยาห์ 11:2)
การจารึกบนหินเป็นสิ่งที่ทำกันในตะวันออกกลางโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน ศิลามุมเอก  และศิลามุมเอกนี้มีความหมายถึงพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ในพระคัมภีร์  (สดุดี 118:22)
ศิลามุมเอกนั้นเคยเป็นศิลาที่คนอิสราเอลจะเข้าไปหลบภัย (อิสยาห์ 28:16 ) แต่ต่อมากลับเป็นหินที่ทำให้อิสราเอลสะดุด (มัทธิว 21:42) ต่อมาศิลามุมเอกก็เป็นดั่งเสาหลักของคริสตจักร (เอเฟซัส 2:19-22) ในอนาคต ศิลามุมเอกจะทำลายชาติต่าง ๆ ที่ต่อสู้พระองค์ (ดาเนียล 2:35,45)
10 ภาพขององุ่น และมะเดื่อ มีความหมายถึงความสงบสุขในแผ่นดินของพระเจ้าในยุคที่พระเมสสิยาห์จะทรงครอบครอง อิสราเอลจะเชิญเพื่อนบ้านของพวกเขา(คนต่างชาติที่เชื่อพระเมสสิยาห์) มาชื่นชมกับสันติสุขและความอุดมสมบูรณ์  เวลาช่วงที่พระเมสสิยาห์ทรงครองนั้น ผลของการสาปแช่งเพราะมนุษย์ทำบาปจะถูกทำลายไปสิ้น  สวรรค์อย่างเอเดนที่หายไปนั้นจะได้รับกลับคืนมา 

พระคำเชื่อมโยง

เศคาริยาห์ 3
1* ฮักกัย 1:1; สดุดี 109:6
2* ยูดา 9; โรม 8:33; อาโมส 4:11
3* อิสยาห์ 64:6
4* อิสยาห์ 61:10

5* อพยพ 29:6
7* เลวีนิติ 8:35; เฉลยธรรมบัญญัติ 17:9; 12; เศคาริยาห์ 3:4
8* สดุดี 71:7; อิสยาห์ 42:1; 11:1; 53:2
9* เศคาริยาห์ 4:10; สดุดี 118:22; เยเรมีย์ 31:34; 50:20
10* ; อิสยาห์ 36:16

เศคาริยาห์ 2 จินตภาพสายวัด

จินตภาพเรื่องสายดิ่งวัด
1 แล้วข้าพเจ้าก็เงยหน้าขึ้นเห็นชายคนหนึ่งพร้อมกับสายวัดในมือ (เอเสเคียล 40:1–4)
2 ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านกำลังจะไปไหน?” เขาตอบว่า “เรากำลังไปวัดขนาดความกว้างยาวของนครเยรูซาเล็ม”
3 แล้วทูตสวรรค์ผู้ที่กำลังพูดกับข้าพเจ้าก็ออกไป และมีทูตสวรรค์อีกท่านหนึ่งออกมาพบทูตท่านนั้น 
4 กล่าวกับท่านว่า “จงวิ่งไปและบอกชายหนุ่มคนนั้นว่า ‘นครเยรูซาเล็มจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีกำแพง เป็นเพราะมีประชากรมากมายรวมทั้งฝูงสัตว์ในเมือง 
5 เพราะเราเองจะเป็นกำแพงเพลิงโดยรอบเมือง พระยาห์เวห์ทรงประกาศ และเราจะเป็นสง่าราศีในเมืองนั้น’ ”  

ความยินดีของศิโยนและชาติต่าง ๆ ในอนาคต
โฮเชยา 3:1-5 
6“ลุกขึ้น! จงลุกขึ้น! จงหนีออกจากแผ่นดินทิศเหนือ” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ  “เพราะเราได้ทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปราวกับลมทั้งสี่ทิศแห่งฟ้าสวรรค์” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ  
7“ลุกขึ้นเถิด ศิโยนเอ๋ย! เจ้าทั้งหลายที่ไปอาศัยอยู่กับลูกสาวแห่งบาบิโลน”
8 เพราะพระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “หลังจากที่พระองค์ประทานเกียรติแก่เราหรือ เพื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ พระองค์ทรงใช้เรามายังชาติต่าง ๆ ที่ปล้นเจ้า  และทรงใช้เรามาต่อสู้กับชาติต่าง ๆ   ที่มาปล้นเจ้า เพราะใครก็ตามที่แตะต้องเจ้าเท่ากับเขากำลังกำลังแตะต้องแก้วตาของเรา  
9 เราจะยกมือของเราโบกเหนือพวกเขา เพื่อว่าเขาจะได้ถูกปล้นโดยข้ารับใช้ของพวกเขาเอง แล้วพวกเขาจะรู้ว่า  พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงส่งเรามา  

10 ลูกสาวแห่งศิโยนเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความยินดี เพราะเรากำลังจะมาอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ
11ในวันนั้น ชาติหลายชาติจะเข้ามาผูกพันกับพระยาห์เวห์  แล้วพวกเขาจะเข้ามาเป็นประชากรของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่า พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงส่งเรามาให้เจ้า
12 และพระยาห์เวห์ ทรงยึดครองยูดาห์ในฐานะส่วนหนึ่งของพระองค์ในแผ่นดินบริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงเลือกเยรูซาเล็มอีกครั้ง 
13 ประชากรทั้งหลายเอ๋ย  จงนิ่งสงบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงเร้าให้พระองค์เองลุกขึ้นจากที่ประทับอันบริสุทธิ์แล้ว

อธิบายเพิ่มเติม

จินตภาพเรื่องสายดิ่งวัด
2:1-13 : เห็นชายคนที่วัดเยรูซาเล็ม หมายถึงกำลังจะมีการสร้าง พระเจ้าตรัสว่า อิสราเอลจะถูกรื้อฟื้นและมีคนเข้ามาอาศัย  จินตภาพที่สามนี้ เกี่ยวข้องกับจินตภาพที่หกเพราะกล่าวถึงเยรูซาเล็มในด้านที่ต่างกัน ครั้งนี้กล่าวถึงความสำคัญของเยรูซาเล็ม ส่วนจินตภาพที่หก กล่าวถึงบทบัญญัติต่าง ๆ ในเยรูซาเล็ม

2:1-2 ตอนนี้พระเจ้ากำลังสื่อให้รู้ว่า พระองค์กำลังจะสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่   เศคาริยาห์เห็นทูตสวรรค์ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์กำลังจะไปวัดกำหนดขนาดของนครแห่งนี้  และนครแห่งนี้เป็นมรดกที่พระเจ้าประทานให้กับคนของพระองค์ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะรื้อฟื้นสภาพทางกายภาพของเยรูซาเล็ม (1:17) พระองค์จะทรงให้นครแห่งนี้ รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ส่วนเราเองต้องมองต่อไปในอนาคตข้างหน้าว่า พระเจ้าจะทรงทำอะไร (วิวรณ์ 11:1 วัดพระวิหาร วัดแท่นบูชา และนับจำนวนผู้มานมัสการ!)

2:3-4 ทูตที่สนทนาด้วยใน 1:9  แล้วก็มีทูตอีกองค์มาพบกัน แล้วให้วิ่งไป.. นี่คือเรื่องนี้ด่วน  ให้รีบ ไปบอกคนที่กำลังทำรังวัดว่า  ในอนาคต เยรูซาเล็มจะใหญ่มาก เป็นนครที่กว้างขวางเกินคาด  เพราะมีประชากรมากมาย มีฝูงสัตว์ด้วย  นั่นคือขนาดใหญ่มาก  จนล้นออกไปนอกกำแพงเมือง  นี่เป็นนครเยรูซาเล็มในอนาคต เมื่อพระเจ้าทรงมาครอบครอง

2:5 ชาวเมืองจะได้องค์พระเจ้าเองเป็นกำแพง ซึ่งดีกว่ากำแพงใด ๆ พระยาห์เวห์ ทรงเป็นกำแพงไฟที่ดูแลพวกเขา  แล้วศัตรูไหนจะเข้ามาได้จะลุยไฟเข้ามาหรือ?  พระเจ้าในรูปแบบพระสิริตระการ จะทำให้นครเยรูซาเล็มปลอดภัย  ไม่ใช่แค่พระนิเวศที่พระเจ้าจะครอง แต่เป็นทุกตารางนิ้วของนครแห่งนี้ 
ทำให้เราคิดถึงเสาไฟที่ส่องให้ชนอิสราเอลตอนที่ออกมาจากอียิปต์  นครเยรูซาเล็มจะมีพระเจ้าเป็นความงามตระการอย่างที่ไม่มีเมืองไหนจะมีได้
ถ้ามองในแง่ฝ่ายวิญญาณ คิดถึงผู้เชื่อแต่และคนและคิดถึงพระเยซูองค์เมสสิยาห์แล้ว เราพบว่า เรามีองค์พระเจ้าทรงปกป้องชีวิตของเราทุกวัน ทรงเป็นกำแพงล้อมรอบชีวิตของเรา พระองค์จะสถิตในใจของเราด้วยเหมือนอย่างที่บอกว่า เราทั้งหลายเป็นพระวิหารของพระเจ้า
(แต่เราเห็นในวันนี้ 2025 เมษายน ว่า มีศัตรูพยายามที่จะทำลายเยรูซาเล็มในโลก.. ศัตรูของพระเจ้าไม่ต้องการเห็นพระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ แต่เราต้องดูต่อไป เพราะพระเยซูตรัสว่า เราชนะโลกแล้ว!)

ความยินดีของศิโยนและชาติต่าง ๆ ในอนาคต 
2:6-7  พระเจ้าทรงเรียกให้ประชากรของพระองค์ที่กระจัดกระจายไปทั่วกลับมา เขาเหล่านี้อาจมีความหมายถึงทุกยุคที่พระเจ้าทรงให้เขากระจายไป ทั้งสมัยที่ถูกอัสซีเรียกวาดไป ทั้งในสมัยบาบิโลน**
การเรียกของเศคาริยาห์ในข้อ 6-7  ก็เพื่อให้เขากลับมาสร้างบ้านเรือนในแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้
เราจะเห็นว่า การกลับมายังไม่ครบ ผู้ที่อธิบายพระคัมภีร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เรียกให้คนอิสราเอลในประเทศต่าง ๆ ให้กลับมาด้วย (วิวรณ์ 8:4-8)  การกลับมาจากบาบิโลน ต้องขึ้นมาทางเหนือก่อน แล้วค่อยลงมาทางอิสราเอลอีกที คำว่าศิโยน เป็นชื่อที่เรียกสลับไปมาระหว่างพระวิหารของพระเจ้า เยรูซาเล็ม และศิโยน
อาจารย์คอนสเตเบิลจาก net.bible มีความเห็นว่า ในสมัยเศคาริยาห์ พระเจ้าทรงเรียกคนจากบาบิโลน และจากชาติอื่น ๆ เช่นในโมอับ อัมโมน เอโดม เปอร์เซีย และจากชาติอื่น ๆ ให้กลับมา เพื่อสร้างประเทศ
ในวันนี้ พระเจ้าทรงเรียกอิสราเอลจากประเทศต่าง ๆ เช่นกัน เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 ก็มีคนอิสราเอลจากสหรัฐกลับมาเป็นจำนวนมาก เรียกคนกลุ่มที่กลับมาแบบนี้ว่า อาลิยาห์ พระเจ้าทรงเรียกคนของพระองค์ทั้งในโลกโบราณและในปัจจุบัน เพื่อให้เขาทิ้งบาบิโลนในยุคใหม่เสีย

2:8-9 พระคำข้อนี้ทำให้คนอิสราเอลภูมิใจขนาดไหน ทุกวันที่ผ่านไปในเวลานี้ พวกเขาต้องเผชิญกับความเกลียดชังเกินร้อย มีหลายประเทศในโลกอาหรับที่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่าล้างอิสราเอลทุกคนให้หายไปจากโลก พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่า กำลังไปทำให้พระเจ้าทรงรำคาญพระเนตร ไม่รู้เลยว่า ผลตอบกลับมาจะรุนแรงเพียงใด
คำตรัสเช่นนี้ เป็นคำเปรียบเทียบให้รู้ว่า ชนชาติอิสราเอลมีความหมายกับพระองค์เพียงใด พระองค์จะทรงดูแลและปกป้องคนของพระองค์ แม้ว่าหลาย ๆ ยุค พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากเพื่อเรียกคนที่ดื้อด้านกลับมาหาพระองค์​
ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาในข้อ 9 จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์พระเยซู-พระเมสสิยาห์
พระเจ้าทรงเรียกอิสราเอลหลายต่อหลายครั้งว่า ลูกสาวแห่งศิโยน แสดงความรัก ห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา

2:10-11 ที่อิสราเอลต้องยินดีเป็นเพราะพระเจ้าทรงลงพระหัตถ์เข้ามาเกี่ยวพันกับสงครามครั้งนี้ พระองค์จะประทับท่ามกลางเขา เมื่อทรงกลับมาในเยรูซาเล็ม ทุกชาติจะยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด
มีคนชาติต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นคนของพระองค์ด้วย พระเจ้าทรงบอกอิสราเอลล่วงหน้าแล้วว่า ในอนาคตพวกเขาไม่ใช่ชนชาติเดียวที่จะสยบต่อพระองค์ โยเอล 2:28; วิวรณ์ 21:24 คำกล่าวในสองข้อนี้น่าจะเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซู

2:12 คำว่าแผ่นดินบริสุทธิ์ ไม่ได้พบแห่งใดในพระคัมภีร์ นอกจากข้อนี้เท่านั้น
พระเจ้าทรงย้ำเตือนว่า ที่ ๆ พวกเขาจะกลับมากันนั้น เป็นแผ่นดินที่พระองค์ทรงชำระไว้
2:13 พระเจ้าทรงสั่งให้นิ่งสงบ เพื่อพวกเขาจะตั้งใจดูว่า พระองค์จะทรงทำสิ่งใดต่อจากนี้ไป เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระบัลลังก์เพื่อทำราชกิจบางอย่าง เป็นเรื่องที่น่าขนลุก น่ากลัวแน่นอน ทุกคนจะต้องตั้งใจดู และสยบต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า

** ในประวัติศาสตร์ ชนอิสราเอลไม่ได้ไปอยู่ในชาติต่าง ๆ เฉพาะอัสซีเรียกับบาบิโลนเท่านั้น แต่พวกเขา ได้ไปตั้งรากฐานในอียิปต์ ลงไปถึงคูชหรือ เอธิโอเปีย  ไปอยู่ทางจอร์แดน อิหร่าน​(ในสมัยก่อนเรียกเปอร์เซีย) ปัจจุบันเราพบว่า ยังมีคนยิวที่เข้าไปอยู่ในประเทศจีนทางเหนืออีก พวกเขาอยู่เป็นกลุ่ม ๆ และรักษาวัฒนธรรมของความเป็นยิวอย่างชัดเจนเช่นการรักษาสะบาโตเป็นต้น  สภาพแท้จริงคือ คนอิสราเอลกระจายไปตั้งรกรากทั่วไปในสมัยโบราณ และยังคงสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้