ฮีบรู 12 ทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ

ฮีบรู 12:1 ดังนั้น ในเมื่อเรามีพยานมากมายรอบข้างเช่นนี้ ให้เราสละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ออกไปรวมถึงบาปที่พันเราจนยุ่งเหยิง 
และให้เราวิ่งแข่งตามที่กำหนดไว้ข้างหน้าด้วยความทรหดอดทน


ฮีบรู 12:2 ให้เราจับตาที่พระเยซู ผู้ทรงเบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับเอาความตายบนกางเขน ไม่ใส่พระทัยกับความน่าอับอายก็เพื่อความยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์พระที่นั่งของพระเจ้า


ฮีบรู 12:3 ขอให้พิจารณาถึงพระองค์
ผู้ทรงทนต่อความเกลียดชัง
จากคนบาป
เพื่อว่า
ท่านจะไม่อ่อนล้า และท้อใจไป

ฮีบรู 12:4-5 การที่ท่านต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้ต่อต้านจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย และท่านได้ลืมคำแห่งกำลังใจที่มาถึงท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเฉยเมยต่อการลงวินัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจไปเมื่อพระองค์ทรงตำหนิ


ฮีบรู 12:6-7 เพราะพระเจ้าทรงฝึกวินัยคนที่พระองค์
ทรงรัก และทรงตีสอนคนที่พระองค์ทรง
รับเป็นบุตร จงอดทนต่อความยากลำบาก
โดยถือว่าเป็นการฝึกวินัย พระเจ้า
ทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่เป็นบุตร
มีบุตรคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน?


ฮีบรู 12:8-9 หากท่านไม่เคยรับการฝึกวินัยเหมือนคน
อื่น ๆ เท่ากับท่านเป็นบุตรนอกกฎหมาย
ไม่ใช่บุตรแท้ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ซึ่งตีสอนเรา และเราก็นับถือท่าน ไม่ควรที่เราจะสยบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเรายิ่งกว่านั้นเพื่อเราจะได้มีชีวิตหรือ?


ฮีบรู 12:10 พ่อ ๆ ของเราได้ฝึกวินัยเราในช่วง
เวลาสั้น ๆ ตามที่พวกเขาเห็นว่าดีที่สุด
แต่พระเจ้าทรงฝึกวินัยแก่เราเพื่อประโยชน์ของเรา
เพื่อว่าเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์


ฮีบรู 12:11 ไม่มีการฝึกวินัยใด ๆ ดูน่าสนุก น่ายินดี
ในเวลานั้น มีแต่ความเจ็บ
แต่ต่อมาภายหลังมันจะส่งผลแห่ง
ความเที่ยงธรรมและสันติสุข
ให้แก่ผู้ที่รับการฝึกจากวินัยเหล่านั้น

ฮีบรู 12:12-13 ดังนั้น จงตั้งใจทำให้แขนที่อ่อนกำลัง
กับเข่าที่อ่อนล้านั้นแข็งแรงขึ้น
จงทำทางให้ราบเรียบสำหรับเท้าของ
ท่าน เพื่อว่าคนง่อยจะไม่กลายเป็น
พิการ แต่ได้รับการรักษาให้หาย


ฮีบรู 12:14
จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสันติกับทุกคน
และอุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์
เพราะถ้าไม่มีความบริสุทธิ์แล้ว
เราไม่อาจเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้


ฮีบรู 12:15 คอยระวังอย่าให้ใครพลาดที่จะได้รับ
พระคุณของพระเจ้า และ
อย่าให้รากแห่งความขมขื่นงอกขึ้นมา
เพราะจะสร้างความยุ่งยากสับสน
และยังอาจทำให้หลายคนเป็นมลทิน


ฮีบรู 12:16-17 คอยระวังอย่าให้ใครทำผิดศีลธรรมทาง
เพศ หรือเป็นคนไร้พระเจ้าอย่างเอซาวที่ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกอาหารเพียงมื้อเดียว เพราะท่านรู้ว่า ในเวลาต่อมาเมื่อเขาต้องการที่จะได้รับพระพรเป็นมรดกเขาก็ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาพยายามตามหาพระพรนั้นด้วยน้ำตา

ฮีบรู 12:18-19 เพราะท่านไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้ซึ่ง
ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด
ความหมองหม่นและพายุ ไม่ได้มายัง
เสียงแตรดังสนั่น หรือมายังเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินแล้วกลับต้องขอร้องไม่ให้ตรัสกับพวกเขาอีกต่อไป

ฮีบรู 12:20-21 เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจทนคำบัญชาได้
“แม้แต่สัตว์มาแตะต้องภูเขา มันต้องถูกหินขว้างตาย”
ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมาก แม้โมเสสยังกล่าวว่า
“ข้าตัวสั่นเพราะกลัวนัก”


ฮีบรู 12:22 แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านได้เข้ามายังภูเขาศิโยน มายังเมืองของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้เข้ามาถึงทูตสวรรค์จำนวนมากมายที่ไม่อาจนับได้


ฮีบรู 12:23 มาถึงที่ประชุมของบุตรหัวปีผู้ที่มีชื่อบันทึกไว้ในสวรรค์ (1:6). มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง
มาถึงดวงวิญญาณของผู้เที่ยงธรรม ซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์ทุกประการแล้ว(11:40)


ฮีบรู 12:24 มาถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตที่ประพรม ซึ่งได้กล่าวเป็นคำที่ดีกว่าคำแห่งโลหิตของอาเบล


ฮีบรู 12:25 จงระวัง อย่าปฏิเสธพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ เพราะหากประชาชนไม่อาจหนีเมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ในโลกเราจะหนีได้อย่างไร หากเราปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์?


ฮีบรู 12:26 ในเวลานั้นพระสุรเสียงของพระองค์
เขย่าโลกจนสะเทือน
แต่มาบัดนี้พระองค์ทรงสัญญาว่า
“อีกครั้งที่เราจะไม่เพียงเขย่าโลกเท่านั้น แต่จะเขย่าทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”


ฮีบรู 12:27-29 คำ “อีกครั้ง”บ่งถึงการขจัดสิ่งที่สะเทือนได้
นั่นก็คือสิ่งที่ทรงสร้าง เพื่อว่าสิ่งที่ไม่สะเทือนจะดำรงอยู่ ดังนั้นในเมื่อเรากำลังรับราชอาณาจักรที่ไม่สะเทือน ก็ขอให้ใจเราเต็มด้วยการขอบพระคุณ และนมัสการพระเจ้าตามที่ทรงพอพระทัยด้วยความเคารพและเกรงกลัว “เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ”

ฮีบรู 12:1
ผู้เชื่อที่ได้กล่าวมาในบทที่แล้วนั้น เป็นคนที่อาจทำพลาดในชีวิต แต่แล้วการกลับใจของเขาการยอมรับ สารภาพ และการตั้งใจเชื่อและเชื่อฟัง
ของพวกเขา ทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้การสละของที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในความเชื่อ จำเป็นที่สุด นิสัยใจคอที่ต้องทิ้งวาจาที่เคยสามหาว ฯลฯ แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องทิ้งไปต่าง ๆ กัน จากนั้น ก็ตั้งต้นใช้ชีวิตใหม่ด้วยความพากเพียรอดทนเป็นที่สุด

ฮีบรู 12:2
ตัวอย่างจากชีวิตของพระเยซู เป็นตัวอย่างที่เราควรติดตามที่สุด พระองค์ทรงยินดีที่จะรับความทุกข์ยากทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเชื่อ และวางใจ
พระบิดาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับผู้ที่รักพระองค์ การสละพระชนม์ของพระองค์ทำให้ได้การฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และทำให้ผู้เชื่อทุกคนจะ
ได้ไปอยู่ใน เมืองที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง (ฮีบรู 11:10) ถ้าพระเยซูไม่ทรงเชื่อ และเชื่อฟัง พวกเราก็พินาศ

ฮีบรู 12:3
เราได้รับการบันทึกว่า พระเยซูได้อธิษฐานขอให้พระองค์พ้นจากสถานการณ์ร้ายที่จะจบชีวิตของแล้วจากนั้น เมื่อทรงได้รับคำตอบจากพระบิดาพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัย ทรงทำตามน้ำพระทัยพระบิดา ยอมถูกทุรชนทำร้ายและดูหมิ่น เหยียดหยาม และทำกับพระองค์อย่างโหดเหี้ยม (อ่านมาระโก 14-15) การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระเจ้าในเงื้อมมือของคนโหดนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องบอกว่า ไม่ยุติธรรมเลย!

ฮีบรู 12:4-5
ผู้เขียนให้กำลังใจกับพี่น้องชาวยิวว่า พวกเขายังไม่ได้ถูกทำร้ายอย่างพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงมาเป็นมนุษย์ที่ไร้บาป ไม่น่าที่จะมีความทุกข์ยาก การทำร้ายมาถึงพระองค์เลย แต่แล้ว กลับทรงต้องถูกทรมานหลั่งพระโลหิต โดยที่ไม่มีคำออกจากพระองค์ว่า“ไม่รับ จะไม่ทน!” เลยแม้แต่ครั้งเดียวบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง

ฮีบรู 12:6-7
มีคำกล่าวว่า “การไม่ใส่ใจ ไม่สนใจนั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าเกลียดเสียอีก” หากพ่อแม่ ไม่สนใจลูกไม่รู้ว่า ลูกกำลังเป็นอย่างไร ปล่อยให้เขาเติบโตไปด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นพ่อแม่ที่เฉยเมย แต่พ่อแม่ที่รักลูกจะคอยเตือน สั่งสอน ให้วินัยเมื่อลูกพลาดเพื่อเขาจะไม่พลาดต่อไป ดังนั้น เมื่อเราพบความทุกข์ยาก อย่าไปคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัย ลองพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้ได้เรียนรู้จักพระองค์อย่างไรจากเหตุการณ์นั้น

ฮีบรู 12:8-9
หลังจากที่เราได้เกิดใหม่ รับความรอดจากพระเจ้าเราได้รับตำแหน่งว่า เป็นลูกของพระองค์ทันที ดังนั้น เมื่อเข้ามาในครอบครัวใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้ว่า ครอบครัวนี้เขาเป็นอย่างไรกัน อะไรบ้างที่เป็นวัฒนธรรมของครอบครัวนี้ คนทุกคนที่รอดแล้วควรที่จะคาดหวังได้ว่า พระเจ้าจะทรงสอนเราจะทรงบอกเราว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อว่าเราจะเติบโตเป็นที่รัก เป็นคนในครอบครัวแท้จริง การฝึกวินัยจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก!

ฮีบรู 12:10
ว้าว นี่ไง เป้าหมายของการฝึกวินัยของพระเจ้าคือเพื่อให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ภายใต้ความบริสุทธิ์ขององค์พระเยซูคริสต์บางครั้งเราได้ยินเสียงเตือนจากพระเจ้าแต่เราก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วอะไร ๆ ต่าง ๆก็เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อเราจะได้ฟังเสียงของพระองค์​ลองเข้าไปดูในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม
โมเสส ดาวิด เปโตร เปาโล ต่างได้รับการฝึกวินัยจากพระเจ้าทั้งสิ้น

ฮีบรู 12:12-13
อีกแล้วที่เราเห็นคำซึ่งใช้กับนักกีฬา พระคำตอนนี้มาจาก อิสยาห์35:3 จงช่วยให้คนอ่อนล้ามีกำลัง…​ตรงนี้เป็นพระคำที่หนุนใจให้เราอดทนผ่านความยากลำบากทุกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ความลำบากทุกอย่างของเรา มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เราดีขึ้น และเราต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ขัดขวางการพัฒนาชีวิต
ต้องมุ่งมั่นสร้างทั้งร่างกายจิตใจให้เข้มแข็ง อย่าลืมเรามีชีวิตหลายด้าน จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ

ฮีบรู 12:11
ความสัมพันธ์ของพ่อ ลูกที่แนบแน่นนั้นคือ พ่อสามารถมองไปไกลในอนาคตว่า ถ้าลูกไม่พร้อมในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ลูกอาจจะผิดหวัง อาจพลาดไปได้ พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตของพวกเราชัดว่า จะพบเจออะไร จะต้องชนะศึกในชีวิตแบบไหนบ้าง พระองค์ทรงฝึกเราอย่างฝึกนักกีฬา ซึ่งต้องมีการเอาชนะตัวเองทุกวัน เราจึงจะได้รับผลอย่างที่ต้องการ … ฝึกให้ชนะ และรับผลที่ดีเลิศ

ฮีบรู 12:14
ผู้เขียนได้ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสันติสุขกับคนรอบข้าง การที่เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีสันติก็ต้องเป็นคนที่เติบโต เข้าใจชีวิต ไม่ใช่มีความคิดร้ายต้องการให้อีกฝ่ายตกต่ำ หรือ เสียหาย และทำให้เกิดสงครามอย่างที่เราเห็นในยูเครน และในกาซา อิสราเอล แค่มีชีวิตอย่างสันติด้วยกันยังไม่พอ พระเยซูตรัสว่า เมื่อเรารักกันและกัน และยังต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อกัน ต่อพระเจ้า ไม่คิดทางลบใด ๆ กับพี่น้องของเรา

ฮีบรู 12:15
ถ้าเรามาพบพระเจ้าแล้ว และยังพลาดที่จะได้รับความรอด รับพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิต เพราะมันส่งผลในชีวิตนิรันดร์กาลของเราด้วย อีกเรื่องคืออย่าให้เรามีรากขมขื่น ซึ่งเป็นสิ่งร้ายจากคนอื่นที่อาจจะเกิดกับเราแล้วเราไม่สามารถยกโทษให้จนกลายเป็นรากขมขื่น หรืออาจจะเกิดจากสิ่งที่พลาดในอดีตไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ เหล่านี้จะส่งผลออกมาเป็นพฤติกรรมที่ทำลายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

ฮีบรู 12:16-17
มีสองเรื่องสำคัญในตอนนี้ คือ ให้ระวังการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่พระคัมภีร์เฝ้าบอกแล้วบอกอีก การทำผิดต่อร่างกายของตนเองและของคนอีกคนนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อคนสองคนเท่านั้น แต่ส่งผลร้ายให้กับครอบครัว และคนรอบข้างด้วย ส่วนเอซาวที่ถือว่าผิดหนักก็เพราะว่า เขาดูหมิ่นสิทธิหัวปีของเขาเอง เป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานให้กับลูกชายหัวปีเท่านั้น เขายอมที่จะแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควรเลย ปฐมกาล 25:24-33

ฮีบรู 12:18-19
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน คนอิสราเอลพบพระเจ้าแบบตรงไปตรงมา พบกับความมหัศจรรย์ที่น่ากลัวของพระเจ้า อ่านอพยพ 20:18–21; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:22–33พระเจ้าทรงอยู่ในที่ ๆ มีเสียงดังสนั่น ซึ่งน่าจะเป็นเหมือนฟ้าคำรามที่ต่อเนื่อง พร้อมกับฟ้าแลบ ยังมีเสียงแตรด้วยมากับควันโขมงบนภูเขา ไม่ให้กลัวได้อย่างไร น่ากลัวมาก แต่พระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลในฮีบรูนี้ ไม่ได้น่าสะพรึงขนาดนั้น

ฮีบรู 12:20-21
ในวันนั้น ประชาชนถูกกำหนดให้อยู่รอบนอกของเขตที่กำหนดไว้ ใครจะเข้าไปใกล้เกินกว่านั้น จะถูกหินขว้างหรือยิงให้ตาย (อพยพ 19:12-13)พระเจ้าทรงน่ากลัวแต่เราในทุกวันนี้กลับไม่กลัวและไม่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ พระเจ้าให้โมเสสกำชับประชาชนให้ไม่ล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า (ข้อ21)สิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับคนทั้งหลายที่อยู่รอบ ๆภูเขาซีนายคือ พอโมเสสกราบทูลพระเจ้า พระองค์ทรงตอบเป็นเสียงดั่งฟ้าร้องคำราม ดังสนั่นแบบที่ ลำโพงใด ๆ ในโลกไม่อาจเทียบได้!

ฮีบรู 12:22
ภูเขาศิโยน มีความหมายแตกต่างจากภูเขาซีนายเพราะมีความหมายถึงที่ประทับของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ (ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงภูเขาศิโยนแห่งนครเยรูซาเล็ม) เป็นสถานที่ซึ่งรอรับคนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครอาจทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยการทำตามกฎที่ได้มาจากภูเขาซีนายเลย แต่คนที่เข้ามาหาพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์ จะเข้ามาถึงภูเขาศิโยนในแผ่นดินสวรรค์ได้

ฮีบรู 12:23
การรับพระบัญญัติของสมัยก่อน กับการรับพระคุณหลังจากที่องค์พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้วมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งเราจะได้เห็นว่าสมัยพระบัญญัติมีแต่ความเข้มงวด ที่สั่งให้มนุษย์กระทำตามสิ่งที่พวกเขาทำได้บ้าง และทำไม่ได้บ้างพวกเขามีความผิดพลาดกเกิดขึ้นทุกเวลาแต่เมื่อพระเยซูมาเปลี่ยนแปลงชีวิต บรรยากาศแบบเดิมก็เปลี่ยนแปลง แทนที่จะเป็นทาสของบทบัญญัติ กลับเป็นเสรีชนในพระเยซูคริสต์

ฮีบรู 12:24
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างไมตรี ความเชื่อมต่อให้เกิดขึ้น ดังนั้นมนุษย์บาปจึงสามารถเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ผ่านพระองค์ ใน 11:4 กล่าวว่า อาเบลยังพูดอยู่ แม้ว่าตายแล้วอาเบลหลั่งเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ (ปฐมกาล 4:8) ดังนั้นเลือดของเขาจึงร้องขอการชดเชย แต่พระเยซูทรงสละพระชนม์ด้วยเต็มพระทัย และได้ช่วยเหลือมนุษยชาติจากโทษบาป พระโลหิตจึงดังและเด่นเหนือเลือดเอเบล 

ฮีบรู 12:25
การฟังหรือไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้านั้น เป็นการเลือกจากใจของเราเอง ดังนั้น เราคือคนตัดสินใจว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร พวกพี่น้องหลายคนกำลังถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาอาจจะคิดกลับไปอยู่ในศาสนายิวเหมือนเดิมแทนที่จะติดตามพระเจ้า ผู้เขียนเป็นห่วงที่พี่น้องจะกลับไปตามความเท็จแทนที่จะติดตามความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์ !

ฮีบรู 12:26
เมื่อครั้งก่อน กว่าจะได้พระบัญญัติมา พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านพายุ ไฟ ความมืด โลกที่สั่นสะเทือน แต่พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนอย่างน่าสะพรึงยิ่งนัก หากเราดูฮีบรู 10:26 พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราตั้งใจทำบาปต่อไป ฮีบรู 2:4เตือนว่า หากเราละเลยความรอดยิ่งใหญ่ เราจะหนีรอดตายไปได้อย่างไร ในข้อนี้ ผู้เขียนยังคงให้เราตัดสินใจให้ดี (ฮักกัย 2:6)

ฮีบรู 12:27-29
การที่เราจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้ามีพระองค์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ อาณาจักรของพระองค์ถาวรยั่งยืน ไม่สะเทือนสะท้านต่อสิ่งใด สิ่งที่เราสมควรจะตอบสนองพระองค์คือ ใจขอบพระคุณ และการนมัสการพระองค์สมกับที่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เรียนรู้ที่จะเคารพและยำเกรงพระเจ้าของเรา อย่าคิดว่าทำอะไรผ่าน ๆ ก็โอเคแล้ว ..พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงร้อนแรง!

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 3:8 ; 1โครินธ์ 9:24 ; โรม 12:12
2* ลูกา 24:26; สดุดี 68:18; 69:7, 19; ฟิลิปปี 2:8; สดุดี 110:1
3* มัทธิว 10:24; กาลาเทีย 6:9
4* 1โครินธ์ 10:13
5* สุภาษิต 3:11-12
6* วิวรณ์ 3:19
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:5; สุภาษิต 13:24; 19:18; 23:13
8* 1 เปโตร 5:9

9* โยบ 12:10
10* เลวีนิติ 11:44
11* ยากอบ 3:17-18
12* อิสยาห์ 35:3
14* สดุดี 34:14; มัทธิว 5:8
15* ฮีบรู 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:18
16* 1โครินธ์ 6:13-18; ปฐมกาล 25:33
17* ปฐมกาล 27:30-40
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:11; 5:22
19* อพยพ 20:18-26

20* อพยพ 19:12,13
21* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:19
23* ยากอบ 1:18; ลูกา 10:20; สดุดี 50:6; 94:2; ฟีลิปปี 3:12
24* ฮีบรู 8:6; 9:15; อพยพ 24:8; ปฐมกาล 4:10
25* ฮีบรู 2:2, 3
26* ฮักกัย 2:6
27* อิสยาห์ 34:4; 54:10; 65:17
28* ดาเนียล 2:44; ฮีบรู 13:15, 21
29* อพยพ 24:17

ฮีบรู 11 ความเชื่อที่จะเดินตาม

ฮีบรู 11:1-2 นี่แน่ะ ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และเป็นความมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น คนสมัยโบราณได้รับการชมเชยจากพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ

ฮีบรู 11:3 เราเองเข้าใจโดยความเชื่อว่า เอกภพนี้
ถูกสร้างขึ้นโดยพระดำรัสของพระเจ้า
ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น

ฮีบรู 11:4 โดยความเชื่อ อาแบลได้ถวายเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่อ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อพระเจ้าทรงชมเชยเครื่องถวายของเขา โดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้ง ๆ ที่เขาตายไปแล้ว


ฮีบรู 11:5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป
เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องพบความตาย “ไม่มีใครพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป เพราะก่อนที่เขาจะถูกรับไปนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

ฮีบรู 11:6 ถ้าไม่มีความเชื่อ นั่นคือจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยไม่ได้เลยเพราะใครก็ตามที่จะเข้ามาใกล้พระองค์
นั้น ต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานรางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์

ฮีบรู 11:7 โดยความเชื่อ โนอาห์ ได้สร้างนาวาใหญ่
เพื่อช่วยให้ครอบครัวรอดพ้น เมื่อได้รับการเตือนถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็น โดยความเชื่อท่านได้กล่าวโทษโลกและ
ได้มาเป็นทายาทแห่งความเที่ยงธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ


ฮีบรู 11:8โดยความเชื่อ อับราฮัม ได้เชื่อฟัง
และเดินทางไปเมื่อได้รับการทรงเรียกให้ไป
ยังที่ซึ่งท่านจะได้รับเป็นมรดกในเวลาต่อมา
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน

ฮีบรู 11:9-10 โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาในฐานะคนแปลกหน้าซึ่งอาศัยในต่างแดน ท่านอาศัยในเต็นท์ทั้งอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทร่วม
พระสัญญาเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นเพราะท่านตั้งตาคอยเมืองที่มีฐานรากที่พระเจ้าเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง

ฮีบรู 11:11-12 โดยความเชื่อ ซาราห์ ได้รับฤทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ แม้ว่าเธอเลยวัยเจริญพันธุ์มาแล้ว เพราะเธอเชื่อว่าพระเจ้าผู้ให้สัญญาทรงซื่อตรง ดังนั้น จากชายคนเดียวที่
เป็นดั่งบุรุษที่ตายแล้วกลับมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากราวกับดาวบนท้องฟ้าและนับไม่ถ้วนดั่งทรายบนชายหาด

ฮีบรู 11:13-14 โดยยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
แต่พวกเขาเห็นและยอมรับสิ่งนั้นแต่ไกลและพวกเขาตระหนักว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนต่างแดนในโลกคนที่พูดอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองของเขาเอง

ฮีบรู 11:15-16 หากพวกเขาได้คิดถึงเมืองที่จากมา พวก
เขาคงมีโอกาสกลับไปได้แต่พวกเขากลับปรารถนาเมืองที่ดีกว่าคือเมืองสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงละอายที่เขาเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าของพวกเขา เพราะทรงเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว

ฮีบรู 11:17-18 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมถูกทดสอบ
ให้ถวายอิสอัคบนแท่นบูชาท่านเป็นผู้ที่ได้รับคำสัญญา ก็พร้อมที่จะถวายลูกชายคนเดียว คนเดียวเท่านั้นแม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค”

ฮีบรู 11:19 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า“เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค” อับราฮัมมั่นใจว่า พระเจ้าทรงทำให้คนตายฟื้นขึ้นได้ กล่าวได้อีกอย่างก็คือท่านได้รับอิสอัคคืนมาจากความตาย




ฮีบรู 11:20-21 โดยความเชื่อ อิสอัคได้อวยพรยาโคบ
และเอซาวสำหรับอนาคตของทั้งสองโดยความเชื่อ ขณะที่ใกล้จะสิ้นชีวิตยาโคบได้อวยพรลูกชายแต่ละคนของ
โยเซฟและนมัสการพระเจ้าในขณะที่เอนตัวลงพิงไม้เท้าของท่าน

ฮีบรู 11:22 โดยความเชื่อ ขณะที่ความตายใกล้เข้ามา
โยเซฟได้กล่าวถึงการอพยพของชนอิสราเอลจากอียิปต์ และกำชับสั่งเรื่องกระดูกของท่าน

ฮีบรู 11:23 โดยความเชื่อ พ่อแม่ของโมเสสได้ซ่อนท่านไว้สามเดือนหลังจากเกิดเพราะเขาทั้งสองเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่งดงามและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย


ฮีบรู 11:24-25 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเรียกว่าเป็นโอรสของธิดาฟาโรห์
ท่านเลือกที่จะทนทุกข์กับคนของพระเจ้า แทนที่จะเพลินไปกับความสำราญจากบาปชั่ว


ฮีบรู 11:26-27 ท่านเห็นคุณค่าของการทนทุกข์เพื่อ
พระคริสต์เหนือทรัพย์สมบัติของอียิปต์ ท่านมองไปข้างหน้าเห็นรางวัลที่จะได้รับโดยความเชื่อ โมเสสละจากอียิปต์โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์อียิปต์ ท่านพากเพียร บากบั่น เพราะท่านเห็นพระองค์ผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้

ฮีบรู 11:28 โดยความเชื่อ ท่านรักษาพิธีปัสกา และการประพรมเลือดเพื่อว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ประหารบุตรหัวปีจะไม่แตะต้องลูกชายหัวปีของชนอิสราเอล


ฮีบรู 11:29 โดยความเชื่อ
ประชาชนเดินผ่านทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามตามพวกเขามา ก็กลับจมน้ำตาย


ฮีบรู 11:30 โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังทลายลง!หลังจากที่ประชาชนได้เดินแถวรอบ ๆ เมืองเจ็ดวัน

ฮีบรู 11:31โดยความเชื่อ ราหับ หญิงโสเภณี จึงไม่ถูกสังหารไปพร้อมกับคนที่ไม่เชื่อฟังเพราะเธอได้ต้อนรับสายสืบอิสราเอลด้วยไมตรี


ฮีบรู 11:32-33 จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกเล่า?
ไม่มีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องของกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอลและเหล่าผู้เผยพระดำรัส พวกเขาได้พิชิตอาณาจักรต่าง ๆ โดยความเชื่อ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากของสิงโต

ฮีบรู 11:34 ได้ดับเปลวไฟที่ไหม้เผาผลาญและหนีจากคมดาบ ได้รับกำลังแม้ว่าจะอ่อนแอ กลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญในการสู้รบ และทำให้กองทัพชาวต่างชาติต้องแตกพ่ายหนีไป

ฮีบรู 11:35 พวกผู้หญิงได้รับคนที่ตายไปแล้วคืนมา
พวกเขาฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนก็ถูกทรมานและไม่ยอมถูกปล่อยออกมาเพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการฟื้นคืนชีวิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ฮีบรู 11:36-37 ยังมีคนอื่นที่ยอมทนการเยาะเย้ย การ
โบยตี และบางคนถูกล่ามโซ่และจำจองพวกเขาถูกหินขว้าง พวกเขาถูกเลื่อยสองท่อน พวกเขาตายด้วยคมดาบ
พวกเขาสวมหนังแพะหนังแกะเร่ร่อนไปสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหง และถูกทารุณกรรม


ฮีบรู 11:38
โลกนี้ไม่ดีพอ
สำหรับพวกเขาพวกเขาเร่ร่อนไปตามแผ่นดินกันดาร ตามภูเขาและซ่อนตัวในถ้ำตามโพรงใต้ดิน


ฮีบรู 11:39-40 พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพราะความเชื่อของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญา​
พระเจ้าได้ทรงเตรียมสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราเพื่อว่า พวกเขาจะได้รับการทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมไปพร้อม ๆ กับเรา


ฮีบรู 11:1-2
ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นที่มีความเชื่อ คนทุกคนที่มีความเชื่อในพระของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดต่างก็มีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น แล้ว
ความแตกต่างอยู่ตรงไหนกันล่ะ? คริสเตียนเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเราในพระคัมภีร์ หลายอย่างที่เชื่อ ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่อาจล้มล้างสิ่งที่เราเชื่อได้เช่นกัน เช่นบางคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเจ้า!!

ฮีบรู 11:3
คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัส ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาทราบจากพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกพระดำริ พระดำรัสของ
พระองค์ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกเราทุกอย่างบางอย่างเรารู้ไม่ได้ เพราะสมองความเข้าใจของเราไปไม่ถึง แต่เราเชื่อพระองค์ได้ในทุกคำที่ตรัส
แก่เรา ผู้ที่ไม่เชื่อ มีความเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ เชื่อคำสอนต่าง ๆ ที่เขาคิดว่าให้ประโยชน์แต่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง

ฮีบรู 11:4
เราเห็นแล้วว่า ความเชื่ออันเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าอยู่ที่เราเชื่อในพระดำรัสของพระองค์​เรื่องที่กล่าวถึงอยู่ในหนังสือปฐมกาล 4:2-16พี่ชายน้องชายเอาของมาถวายแต่พระเจ้า พี่ชายเอาพืชมา ส่วนน้องชายเอาสัตว์ที่ต้องหลั่งเลือดมาต่อพระพักตร์ และพระเจ้าทรงรับของน้องชาย เราคงสงสัยว่าทำไมหรือ? เป็นเพราะการถวายของอาเบลน้องชายนั้น กำลังสื่อถึงการที่พระเจ้าจะทรงลงมาหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปของมนุษย์

ฮีบรู 11:5
พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อเอโนคอายุ 65 ปีท่านมีลูกชาย หลังจากนั้นก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี มีลูกชายหญิงอีกหลายคน เอโนคดำเนินกับพระเจ้าแล้วหายหน้าไปเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป(ปฐมกาล 5:21-24) มีหลายคนในพระคัมภีร์เดินไปกับพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย
แต่ไม่มีใครได้ไปอยู่กับพระเจ้าเจ้าโดยไม่ผ่านความตายเหมือนเอโนค ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทิ้งชีวิตที่มีครอบครัวไปอยู่คนเดียว เขาเดินกับพระองค์
อย่างไรกัน?

ฮีบรู 11:6
นี่เป็นคำตอบหนึ่งว่าชีวิตของเอโนคเป็นเช่นไรเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ เขาติดสนิทกับพระองค์ เขาใกล้ชิดพระองค์ และรางวัลที่เขาได้รับนั้นก็แตกต่างจากใคร ๆ พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ย้ำเตือนเราว่า เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าแบบนับถือศาสนา แต่เราเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นความเชื่อในปัจจุบัน เราจึงเดินไปกับพระองค์ ทุ่มเทแสวงหาพระองค์ไม่ใช่มีชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่มีการพัฒนาวิญญาณ

ฮีบรู 11:7
เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือนั้น ยังไม่มีวี่แววว่า เรือจะลงน้ำที่ไหน เขาสร้างบนพื้นที่แห้งคำสั่งของพระองค์นั้นดูเหมือนไม่เข้าท่าเอาเลย เขาต้องสร้างเรือที่ใหญ่มาก ไม่มีทางที่จะลากไปยังทะเลเลยด้วยซ้ำ แต่การกระทำของโนอาห์กลับกลายเป็นการกล่าวโทษโลก ทำไมหรือ?
นั่นคือ เขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เดินตามความพอใจของสังคมที่เขาอยู่ คนที่เข้ามาเยาะเย้ยเขา ในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงพิพากษา

ฮีบรู 11:8
ความเชื่อขั้นแรกของอับราฮัมคือ ท่านเริ่มรับคำบัญชาจากพระเจ้า ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนและเดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เป็นแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาที่ให้พวกเขาสร้างไม่แค่ครอบครัวแต่สร้างชนชาติหนึ่ง เขาไม่รู้ว่า ผลจะออกมาในรูปใด แต่ท่านก็เชื่อพระเจ้าทั้งที่ไม่รู้ว่า พระสัญญา
จะสำเร็จหรือไม่ แต่เขาเชื่อพระองค์ไปแล้วและพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ทรงบัญชา

ฮีบรู 11:9-10
ต่อมาอับราฮัมอาศัยในแผ่นดินโดยไม่สร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐาน เขาอาศัยในเต็นท์ฐานะคนต่างแดน รวมทั้งอิสอัคและยาโคบ จริงแล้ว เราไม่ได้ต่างจากเขาเหล่านี้ เพราะโลกเป็นเพียงทางผ่านของเรา ไม่ใช่ที่ ๆ เราจะอยู่เป็นนิรันดร์ เรารอคอยจะอยู่ในบ้านเมืองที่พระเยซูทรงเตรียมให้ (ดู
ยอห์น 14) นี่เป็นความเชื่อของเราว่า วันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าตลอดไป

ฮีบรู 11:11-12
ที่เราอ่านมา เราเห็นชัดว่าความเชื่อตามมาด้วยการกระทำตามความเชื่อที่พระเจ้าทรงสำแดงที่จริง ตอนแรกซาราห์ยังหัวเราะกับคำสัญญาของ
พระเจ้าที่จะให้เธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตรให้อับราฮัม ก็ยากที่จะเชื่อเพราะว่า เธออายุมากแล้ว อับราฮัมก็เหมือนคนตายแล้วเพราะชราขนาด
นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร แต่แล้ว เมื่อทั้งสองเชื่อพระเจ้า เหตุการณ์ก็เป็นจริงอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ ลูกหลานมากมายเหลือเชื่อ!

ฮีบรู 11:13-14
ผู้เขียนกำลังย้ำให้เรารู้จัก และเข้าใจคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าว่า พวกเขายังคงเชื่อทั้งที่ยังมีการทดลองใจให้ไม่เชื่อ อย่างเช่นการที่ถูกผู้คนเยาะตอนที่โนอาห์สร้างเรือบนดินแห้ง การที่อับราฮัมและซาราห์ต้องรอนานมาก ก่อนจะมีลูกชายอิสอัคพวกเขายังเชื่อทั้งที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ถูกลองใจ เป็นความเชื่อทางบวกที่ข้ามอุปสรรคทั้งปวง และเราเองก็ต้องเผชิญการทดลองที่ทำให้หมดความเชื่อ แต่เราต้องเชื่อในพระสัญญาต่อไป

ฮีบรู 11:15-16
หากเรารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ ๆ ของเรา เราจะไม่กังวลอะไรมากมายนัก เรารู้ว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานแบบว่าจะไม่จากโลกนี้ไป เห็นไหมว่า
แม้ในปัจจุบัน ยังมีคนที่อยากเป็นอมตะ ไม่ต้องการสิ้นชีวิต และบางคนก็เก็บบางส่วนของตนไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำจนสามารถเอา
เซลที่เขาเก็บไว้มาทำให้เขาเกิดมีชีวิตขึ้นมาอีกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตนิรันดร์จึงมักไม่กลัวความตาย

ฮีบรู 11:17-18
อิสอัคเป็นคนเดียวที่ถือว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่จะสืบเชื้อสายของอับราฮัมที่จะเป็นชนชาติยิว ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดในวงศ์วานของเขาอิชมาเอลไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ดังนั้นอิสอัคจึงถูกเรียกว่า เป็นลูกชายคนเดียว…ในวันที่พระเจ้าทรงสั่งให้เขาไปถวายอิสอัคเหมือน
กับถวายแกะบูชานั้น เขาคงสับสน คงแปลกใจกับคำสั่งของพระเจ้า ถึงกระนั้น เขาก็ทำตามคำบัญชาของพระองค์

ฮีบรู 11:19
ที่อับราฮัมยอมเป็นเพราะเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงวางแผนให้อิสอัคเป็นลูกชายที่จะส่งต่อเชื้อสายของเขาจนมีลูกหลานเต็มเหมือนดาวบนท้องฟ้า ดังนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้ถวายบูชาลูกชาย เขาก็ต้องฟื้นจากความตายโดยฤทธิ์ของพระเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่มีวันที่พระองค์จะผิดคำสัญญา ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าที่แปลกมากเขาจึงเชื่ออย่างไม่มีใจสงสัย..

ฮีบรู 11:20-21
อิสอัคได้อวยพรแก่เอซาวและยาโคบสลับตัวกันแทนที่พี่ชายจะได้รับพรของลูกชายคนโต กลับกลายเป็นของน้องชาย แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการ
กล่าวในเวลานี้คือ อิสอัคมองเห็นอนาคตข้างหน้าว่าครอบครัวของเขาจะใหญ่โตเพียงไร เขาเชื่อตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ และพอมาถึงรุ่น
หลาน ยาโคบอวยพรอีก แม้ว่าจะแก่เฒ่ามากในเวลานั้น แต่ยาโคบก็ไม่ได้ขาดความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงจัดการอนาคตให้หลาน ๆ ของเขา

ฮีบรู 11:22
เมื่ออายุหนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟสั่งให้คนที่จะกลับไปยังแผ่นดินคานาอันที่ครอบครัวจากมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรในอนาคต ก็ขอเอาศพเขากลับไปด้วย
ปฐมกาล 50 โยเซฟเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลกลับไปอีก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน แต่โยเซฟมีความเชื่อ แน่นอนที่ความเชื่อของทั้งปู่ทวดอับราฮัมปู่อิสอัค และพ่อยาโคบ ได้ส่งต่อลงมายังโยเซฟและความเชื่อนั้นก็ส่งต่อมาจนทุกวันนี้

ฮีบรู 11:23
พ่อ แม่ของโมเสสต้องเผชิญกับคำสั่งของผู้มีอำนาจให้กำจัดชีวิตของลูกชาย แต่ทั้งสองกลับไม่กลัวคำสั่งนั้น หาวิธีที่จะให้ลูกชายมีชีวิตอยู่
ผู้เขียนได้กล่าวชื่อของโมเสสหลายครั้ง ความเชื่อของพ่อแม่โมเสสในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เชื่อว่าลูกจะรอดชีวิต แต่เชื่อว่า พระเจ้าจะส่งให้เขาและลูก
ผ่านการกดขี่ของฟาโรห์ไปได้ด้วย เป็นความเชื่อที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่ยากเย็น และพระเจ้าก็ทรงพลิกชีวิตของโมเสสให้ไปอยู่ในวังฟาโรห์!

ฮีบรู 11:24-25
โมเสสเติบโตขึ้นมาโดยรู้ภูมิหลังของตนเองเป็นอย่างดี เพราะคนที่เลี้ยงดูเขามาในวังของฟาโรห์คือแม่ของเขาเอง เป็นแม่ที่จะส่งต่อความเชื่อใน
พระเจ้าให้กับเขา ส่งต่อความรักในชนชาติของตนให้กับเขาด้วย ตอนที่เขากำลังเป็นหนุ่มแน่น โมเสสได้เลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนอิสราเอล แทนที่จะ
เสวยสุขสบาย ๆ ในวัง แทนที่จะกลายเป็นผู้ปกครองในฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ เขาเข้าไปคลุกคลีกับพี่น้อง… และรับผลร้ายที่ต้องยอมรับ

ฮีบรู 11:26-27
โมเสสต้องหนีจากราชวังของฟาโรห์ ไปอยู่ในถิ่นกันดารมีเดียน นี่เป็นการพลิกชีวิตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เกิดเรื่องขึ้น โมเสสจะต้อง
วางใจพระเจ้าให้ปกป้องชีวิตของเขาให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือฟาโรห์ น่าแปลกที่ผู้เขียนได้ย้ำชัดว่าโมเสสได้เห็นพระเจ้าผู้ไม่อาจมองเห็น เราเข้าใจว่าท่านได้สัมผัสกับพระเจ้าแห่งอิสราเอลตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเจอปัญหาใหญ่ในวัยหนุ่มกับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์

ฮีบรู 11:28
ต่อมาเมื่อโมเสสต้องนำประชากรอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านก็ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชา ท่านช่วยให้คนอิสราเอล
ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใจเมื่อเผชิญกับวิบัติครั้งสุดท้ายของอียิปต์ ท่านปกป้องลูกชายคนโตของคนอิสราเอลโดยสั่งให้ทุกคนทาเลือดแกะไว้
ที่ประตู เป็นการแจ้งให้ทูตสวรรค์ได้รู้ว่า พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่คนอียิปต์ และจะผ่านครอบครัวนั้น ๆ ไม่แตะต้องชีวิตลูกชายคนโต

ฮีบรู 11:29
ต่อมาเราได้เห็นความเชื่อที่เป็นความเชื่อชุมชนไม่ใช่เป็นคน ๆ เดียวต่อไป เมื่อคนอิสราเอลเห็นการปกป้องชีวิตจากวิบัติสุดท้าย พวกเขาก็มี
ความเชื่อมากขึ้น ในขณะที่หนีออกจากอียิปต์นั้นเอง ข้างหน้าของพวกเขาคือทะเล แต่พระเจ้าทรงเปิดทะเลให้พวกเขาเดินไปได้ ในวันนั้น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จะมีคนบ่นกลัว แต่แล้ว พวกเขาก็ยอมที่จะเชื่อพระเจ้าแล้วเดินลงไปในก้นทะเลที่แห้งแข็งพอที่จะเดินผ่านไปได้

ฮีบรู 11:30
เมื่อคนอิสราเอลพร้อมใจกันที่จะเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาก็พบว่า สามารถที่จะเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีทั้งความเชื่อและ
ส่งผลออกมาเป็นความเชื่อฟังลงมือทำตามที่เชื่อนั้น ที่อิสราเอลยังคงมีชาติอยู่ในทุกวันนี้ถึงแม้มีความพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ยิวให้สิ้นซาก
ก็เพราะพระสัญญาของพระเจ้าและเป็นเพราะเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อในพระสัญญานิรันดร์ที่มีต่อชนชาติของเขา จึงลงมือทำและได้ผล

ฮีบรู 11:31
ความเชื่อของราหับ หญิงต่างชาติที่เป็นหญิงโสเภณี ยังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าอย่างที่ไม่มีใครจะคาดได้เลย พระองค์ทรงไว้ชีวิตของ
เธอในขณะที่คนอื่นถูกสังหาร ที่พระเจ้าทรงไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนดีเพียบพร้อม แต่เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อมั่น
ในพระองค์ แม้ว่าราหับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในพันธสัญญา แต่เธอกลับเชื่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่าจะปกป้องเธอไว้

ฮีบรู 11:32-33
จะเห็นได้เลยว่า เหล่าคนที่ผู้เขียนฮีบรูได้เรียงรายชื่อมาเหล่านี้ ต่างสำเร็จในความเชื่อในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นกิเดโอน (ผู้วินิจฉัย 6-8)ได้มีชัยชนะในสงครามแม้ตัวเองมีทหารน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่น่าเชื่อ คนที่ปิดปากสิงโตก็มีทั้งดาเนียล (ดาเนียล 6:16-28) แซมสัน (ผู้วินิจฉัย 14:5-6) รวมทั้งดาวิดด้วย (1ซามูเอล 17:34-37) ทั้งหมดนี้ เขาชนะในสถานการณ์ลำบากเพราะเขาเชื่อพระเจ้า

ฮีบรู 11:34
วีรบุรุษของพระเจ้าเหล่านี้กล้าหาญได้เพราะเขามีพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิต ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับไฟทั้งที่ไม่อยากจะยุ่ง แต่พวกเขาก็เชื่อจนกระทั่งกษัตริย์ ที่ส่งเขาเข้ากองไฟ กลับได้เห็นพระบุตรของพระเจ้าในกองไฟนั้น คือ เพื่อนของดาเนียลทั้งสามคน (ดาเนียล 2:49-3:30) ส่วนผู้ที่หนีจากคมดาบ ด้วยความเชื่อนั้นก็อย่างเอลียาห์ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 19:2) เป็นต้น คนที่ตัวเล็ก แต่สามารถโค่นโกลิอัทลงได้ก็คือดาวิดนั่นเอง (1 ซามูเอล 17)

ฮีบรู 11:35 ผู้หญิงที่ได้รับคนตายคืนมานั้น ก็มีตัวอย่างอยู่ในชีวิตของเอลียาห์ที่ช่วยทำให้ลูกชายของหญิงม่ายเมืองเศราฟัทฟื้นขึ้นมา ( 1 พงศ์กษัตริย์ 17:17-24 ) และเอลีชาที่ทำให้ลูกชายของหญิงชาวเมืองชูนัม… ฟื้นคืนมา ( 2 พงศ์กษัตริย์ 4:18-37)บางคนก็เสียชีวิตของเขาไปเพื่อวันหนึ่งด้วยความเชื่อ เขาจะได้คืนชีวิตขึ้นมากับพระเยซูคริสต์

ฮีบรู 11:36-37
คนที่เป็นยิวแล้วกลับมาเชื่อพระเยซูถูกเยาะเย้ยถูกปฏิเสธจากครอบครัว ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปเพราะเชื่อพระเยซูนั้นก็มีมากจนแม้กระทั่งทุกวันนี้
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ของผู้เชื่อที่ถูกหินขว้างนั้นอย่างเช่น สเทเฟน คนที่ถูกเลื่อยสองท่อนนั้นก็อย่างเช่นอิสยาห์ และเยเรมีย์ (ตามประวัติศาสตร์นอกพระคัมภีร์ มีการเล่าต่อกันมาว่าท่านทั้งสองตายจากการสั่งประหารด้วยให้เลื่อยตัวขาดสองท่อน)

ฮีบรู 11:38
ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าในสมัยโบราณอย่างเอลียาห์ เอลีชา พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างสบาย แต่กลับต้องเผชิญกับชีวิตที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังเชื่อต่อไป ถ้าจะคิดถึงคนที่ซ่อนตัวตามภูเขา ซ่อนตามถ้ำ เราก็นึกถึงดาวิดที่ต้องหนีจากซาอูลในช่วงแรกของชีวิตดาวิดต้องหลบหนีกษัตริย์ซาอูลอย่างเสียเปรียบเพราะดาวิดจะไม่ทำร้ายซาอูลเลย และในที่สุดท่านก็ได้รับตามสัญญา

ฮีบรู 11:39-40
ความยากลำบากที่ผู้เขียนได้บรรยายมานั้น ก็เพื่อหนุนใจให้พี่น้องผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ยากไม่ว่าใน
รูปแบบใดก็ตาม เพราะว่า พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งดีกว่าไว้ให้ ตอนที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น เราอาจตกใจ เป็นทุกข์ รู้สึกจนมุมจนแทบไปต่อไม่ได้ แต่.. พระสัญญาของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยให้เรายืนขึ้นมาได้อีกครั้ง

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 8:24
3* สดุดี 33:6
4* ปฐมกาล 4:3-5; ฮีบรู 12:24
5* ปฐมกาล 5:21-24
7* ปฐมกาล 6:13-22; 1เปโตร 3:20; โรม 3:22
8* ปฐมกาล 12:1-4
9* ปฐมกาล 12:8; 13:3, 18; 18:1, 9; ฮีบรู 6:17
10* ฮีบรู 12:22; 13:14
11* ปฐมกาล 17:19; ฮีบรู 10:23
12* โรม 4:19; ปฐมกาล 15:5; 22:17; 32:12
13* ฮีบรู 11:39; ปฐมกาล 12:7; ยอห์น 8:56; สดุดี 39:12

14* ฮีบรู 13:14
15* ปฐมกาล 11:31
16* อพยพ 3:6, 15; 4:5; วิวรณ์ 21:2
17* ยากอบ 2:21
18* ปฐมกาล 21:12
19* โรม 4:17
20* ปฐมกาล 27:26-40
21* ปฐมกาล 48:1,5,16,20
22* ปฐมกาล 50:24-25
23* อพยพ 2:1-3; 1:16,22
24* อพยพ 2:11-15
26* ฮีบรู 13:13; โรม 8:18
27* อพยพ 10:28
28* อพยพ 12:21

29* อพยพ 14:22-29
30* โยชูวา 6:20
31* โยชูวา 2:9; 6:23; 2:1
32* วินิจฉัย 6:11; 7:1-25; 4:6-24; 13:24-16:31; 11:1-29;12:1-7; 1ซามูเอล 16; 17; 1 ซามูเอล 7:9-14
33* ดาเนียล 6:22
34* ดาเนียล 3:23-28
35* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:22; กิจการ 22:25
36* ปฐมกาล 39:20
37* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:13; 2 1 พงศ์กษัตริย์ 1:8; เศคาริยาห์ 13:4
38* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:4, 13; 19:9
39* ฮีบรู 11:2,13
40* ฮีบรู 5:9



ฮีบรู 10 มีชีวิตโดยความเชื่อ

ฮีบรู 10:1 บทบัญญัตินั้น เป็นเพียงเงาของสิ่งดีที่จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นบทบัญญัติจึงไม่อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อนมัสการนั้น บริสุทธิ์เพียบพร้อมได้ด้วยเครื่องบูชาเดิม ๆ​ ซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า


ฮีบรู 10:2-3 เพราะหากเครื่องบูชาชำระบาปได้ เขาก็ควรหยุดถวายเครื่องบูชาไปแล้วเพราะผู้ที่มานมัสการคงได้รับการชำระครั้งเดียวจบ จะไม่รู้สึกผิดกับบาปของพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นการเตือนให้คิดถึงบาปอยู่ทุกปี

ฮีบรู 10:4-5 เพราะเลือดของโคผู้และแพะไม่อาจ
จะชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเครื่องสักการะและของถวาย แต่พระองค์ทรงเตรียมร่างหนึ่งไว้ให้ข้าพระองค์ได้ถวาย (สดุดี 40:6-8)


ฮีบรู 10:6-7 พระองค์ไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ตามที่มีคำเขียนถึงข้าพระองค์ในหนังสือม้วน’”

ฮีบรู 10:8 ก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสว่า “พระองค์มิได้ทรงพอพระทัยใน เครื่องสักการะและของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาปและพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งเหล่านั้นด้วย (แม้ว่าจะเป็นการถวายตามบทบัญญัติก็ตาม)

ฮีบรู 10:9-10พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า “โอ พระเจ้าข้าข้าพระองค์มาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกแบบแรกออกไปเพื่อสร้างแบบที่สอง และด้วยพระประสงค์เช่นนี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยที่พระเยซูคริสต์ถวายพระกายครั้งเดียวเป็นพอ

ฮีบรู 10:11-12 ปุโรหิตทุกคนได้ยืนปรนนิบัติรับใช้และถวายเครื่องบูชาแบบเดิม วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ไม่อาจลบล้างบาปได้ แต่เมื่อพระองค์
ท่านนี้ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบบาปทั้งสิ้น ตลอดไป พระองค์ก็ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 

ฮีบรู 10:13-14 ณ ที่นั้น พระองค์ก็ทรงรอจนกว่าศัตรู
ทั้งหลายจะถูกนำมาเป็นแท่นรองพระบาท ด้วยการถวายเครื่องบูชาครั้งเดียว พระองค์ทรงทำให้คนที่รับการชำระให้บริสุทธิ์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์

ฮีบรู 10:15-16 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน
กับเราเรื่องนี้ อย่างแรก พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขา หลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในใจพวกเขา และจะจารึกคำนั้นไว้ในความคิดของพวกเขา

ฮีบรู 10:17-18 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะไม่จดจำบาปและการอธรรมของเขาอีกต่อไป” และเมื่อมีการอภัยบาปแล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป

ฮีบรู 10:19-21 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามีใจกล้า
ที่จะเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด โดยพระโลหิตของพระเยซู
โดยหนทางใหม่ที่มีชีวิต ได้เปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์และในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ทรงดูแลพระนิเวศของพระเจ้า….

ฮีบรู 10:22 พวกเราจงเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง และมั่นใจในความเชื่อเต็มที่ โดยมีจิตใจที่ได้รับการประพรม
เพื่อชำระเราให้หมดจากจิตสำนึกผิดและร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยนำ้บริสุทธิ์

ฮีบรู 10:23-24 ให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราเชื่ออย่าง
แน่วแน่ เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงซื่อตรง
และให้เราพิจารณาดูว่า เราจะทำอย่างไรที่จะหนุนใจกันให้รักกันและกันและทำความดี

ฮีบรู 10:25 เราอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างที่บางคนทำเป็นนิสัย แต่ให้เราหนุนใจกันและกันมากขึ้น เพราะท่านก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ฮีบรู 10:26-27 หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบาปต่อไปทั้ง ๆ ที่ได้รู้จักความจริง ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปให้
มีแต่ความหวาดกลัวเพราะการพิพากษาที่จะมา และไฟอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า


ฮีบรู 10:28-29 คนที่ทำผิดบทบัญญัติโมเสสก็ยังต้อง
ตายโดยไม่ได้รับความเมตตา หากมีพยานสองสามปาก แล้วท่านคิดว่า ผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่
หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญาที่ชำระเขาให้บริสุทธิ์ ผู้ที่ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณแห่งพระคุณ จะถูกลงโทษหนักกว่านั้นสักเพียงใด?

ฮีบรู 10:30-31 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การ
ตอบแทนเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” และอีกครั้งว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”การตกอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์นั้น เป็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ฮีบรู 10:32 จงนึกถึงวันแรก ๆ ที่ท่านได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ในช่วงเวลาเหล่านั้น ท่านมีความทรหดอดทนอย่างมั่นคงขณะที่เผชิญความทุกข์ยาก

ฮีบรู 10:33-34 บางครั้งท่านถูกประจานต่อหน้า สาธารณชน ถูกเยาะเย้ย และถูกข่มเหง บางครั้งท่านร่วมทุกข์กับคนที่ถูกกระทำเช่นนั้นท่านเห็นใจผู้ที่ถูกขัง และยอมให้ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปด้วยใจยินดีเพราะรู้ว่า ท่านยังมีทรัพย์สินที่ยั่งยืนและดีกว่านั้น


ฮีบรู 10: 35-36
ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป เพราะท่านจะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่ท่านจำเป็นต้องพากเพียรอดทน เพื่อว่าเมื่อท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะได้รับสิ่งทรงสัญญาไว้

ฮีบรู 10:37-39 เพราะว่า “อีกครู่เดียว พระองค์ผู้เสด็จ
มาก็จะมาถึง พระองค์จะไม่ล่าช้า แต่คนเที่ยงธรรมของเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากเขาถอยกลับไป เราจะไม่
ยินดีในตัวเขา” แต่เราไม่ใช่เป็นคนที่จะถอยกลับสู่หายนะ แต่เป็นคนที่มีความเชื่อ และได้รักษาจิตวิญญาณให้รอด

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 10:1
เราจะเห็นว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นเพียงเงาที่มาก่อนของจริงคือพันธสัญญาใหม่ การที่มีเงามาก่อน ก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงสอน
ให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริงของพันธสัญญาที่สมบูรณ์แบบน่าจะเป็นเช่นไร เงานั้นมีโครงร่าง รูปร่างคล้ายของจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ท่านผู้เขียน
พยายามที่จะอธิบายกับพี่น้องฮีบรูที่มาเป็นคริสเตียนว่า ที่พวกเขาเคยเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์แบบ

ฮีบรู 10:2-3
การถวายเครื่องบูชาแบบที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ผู้คนระลึกถึงบาปของตนเองที่ไม่อาจหลุดไปจากตัวพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขายังต้อง
รู้สึกกับความผิดไม่หยุดยั้ง ยิ่งถ้าเป็นบาปร้ายมาก ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะเสียใจอย่างที่อาจถึงทำให้เขาต้องทำลายตัวเองไปเพราะไม่อาจลบบาปที่
ทำผิดได้ พวกเขาถูกเตือนไว้ว่า “นายยังบาปอยู่นายยังไม่อาจเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ นายมันคนโสโครก ไม่มีวันดีขึ้นได้!”

ฮีบรู 10:4-5
ชัดเจนว่า เลือดของสัตว์ไม่พอที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้จากตรงนี้ เราจะเห็นว่า มีคำพยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์มาตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ดาวิด ผู้เขียนได้พยายามให้คริสเตียนยิวได้เข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้ผิดพลาด แค่เป็นเงาของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้จริง ๆ คือองค์พระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่จะไม่ต้องถวายเครื่องบูชาซ้ำ ๆ อีกต่อไป

ฮีบรู 10:6-7
ในประโยคใกล้ ๆ กัน มีการย้ำว่า พระเจ้าไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชา ของถวายเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนไม่มีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตจากมืดเป็นสว่างไม่มีความผูกพันทางจิตใจระหว่างเจ้าตัวที่สละเลือด กับคนที่ได้รับการยกโทษในวันนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การยกบาปให้มนุษย์ พระองค์จะต้องทรงสละพระบุตรของพระองค์ ให้รับความอับอายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ!

ฮีบรู 10:8
พระเจ้าไม่ได้พอพระทัยทั้งสี่สิ่งนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยที่มนุษย์จะรักและเชื่อฟังพระองค์ การถวายสิ่งของเหล่านี้ มนุษย์ทำไปทำมา ก็กลายเป็นพิธีที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า กลายเป็นภาระของพวกเขา กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนคิดว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าชำระ ทั้ง ๆที่ใจไม่ได้ใสสะอาดสักนิด พระเจ้าทรงเห็นภายในที่มนุษย์พูด คิด ทำ ทรงเห็นแรงจูงใจทั้งสิ้น สดุดี 139

ฮีบรู 10:9-10
เราต้องไม่ลืมว่า ที่เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ก็เป็นเพราะพระเยซูทรงตั้งใจมาทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดา ถ้าพระเยซูไม่ทรงเต็มพระทัย
ที่จะทำสิ่งนี้ จะไม่มีคนใดในโลกได้รับความรอดเลย! พระองค์ทรงยกเลิกพิธีกรรมแบบเดิมเพื่อว่า พระเยซูคริสต์จะทรงทำตามน้ำพระทัยที่ให้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นคำที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำบ่อย ๆ อย่างที่เราได้อ่านมาแล้ว

ฮีบรู 10:11-12
ดูความแตกต่างของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า แตกต่างกันมากเหลือเกิน ผู้เขียนฮีบรูต้องการให้พี่น้องยิวที่มาเชื่อพระเยซูมั่นใจ และไม่กลับไปหาพิธีกรรมแบบเดิมอีก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงรักษารูปแบบปุโรหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาทำให้ผู้เชื่อต้องพึ่งพาเหล่านักบวชอย่างไม่สามารถหลุดออกได้เลย พระคำตอนนี้จึงทำให้เรามั่นใจว่า พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นปุโรหิตแท้ของเรา

10:13-14
อ้างถึงสดุดี 110:1 ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวไว้นี้จะสำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองและเมื่อมนุษย์ทุกคนจะต้องคุกเข่ากราบลงและยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งแม้ว่าในวันนี้ เราจะเห็นคนมากมายดูหมิ่นพระเจ้าและท้าทายพระองค์ แต่วันหนึ่งทุกคนที่โอหัง ก้าวร้าวจะพบว่าเขาเป็นผู้แพ้ ศัตรูของพระองค์จะถูกปราบจนราบคาบ

10:15-16
พันธสัญญาใหม่มาหลังจากวันเหล่านั้น เท่ากับพันธสัญญาใหม่นั้นใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในใจของ
ผู้คน นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแค่รูปแบบภายนอก พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พระดำรัสของพระองค์เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ
ในความคิดของผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ที่แผ่นศิลา หรือหนังสือม้วนอีกต่อไป (ดูเยเรมีย์ 31:33-34,โคโลสี 3:16) พระเจ้าทรงทำให้ เราตอบสนอง

ฮีบรู 10:17-18
เราโล่งใจเมื่อได้ยินคำแบบนี้ ความบาปใด ๆ ที่ได้ทำมานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ ยิ่งกว่านั้น จะไม่ทรงจำบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่มีการบันทึกไว้ในที่จะสืบค้นได้อีก นี่ไง พันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ..ทรงยกโทษให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีการเรียกกลับคืนมาให้รับโทษอีก และพระองค์ยังทรงให้ชีวิตเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก

ฮีบรู 10:19-21
พระคำตอนนี้บอกว่า เรามีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่เหมือนตอนที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความกลัวลาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเยซู
ทรงมาเป็นทางนั้น ที่ทำให้เราเข้าหาพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่มีม่านใด ๆ มากั้นไว้ พระเยซูทรงเป็นองค์ปุโรหิตที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้
ผู้เชื่อพระเยซูทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ ในอดีตแตกต่างจากนี้มาก พวกเรามักต้องเห็นคุณค่า สิทธิพิเศษของการเข้าเฝ้าโดยตรงเช่นนี้

ฮีบรู 10:22
เราเข้ามาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้ชวนให้เราเข้ามาใกล้องค์พระเจ้า ไม่ใช่มีชีวิตที่อยู่ห่างพระองค์ ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาของพวกเราเอง พระเจ้าทรงเตรียมทุกอย่างให้แล้ว แต่พวกเราไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตจนเหนื่อย หมดกำลังก่อนที่จะเข้ามาหาพระเจ้า สิ่งสำคัญของเราคือการที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แสวงหาพระองค์ก่อน แล้วจะเห็นว่า ชีวิตจะแตกต่างจากวันที่ห่างพระองค์!

ฮีบรู 10:23-24
ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ลังเลใจ หรือพูดง่าย ๆ คือให้เรามีความแน่วแน่ในความหวังที่มีในพระเจ้าโดยไม่ให้อะไรมาทำให้เราไขว่้เขวได้เลย การยึด
มั่นในพระเจ้าคือการไว้ใจในพระสัญญาของพระองค์ว่าที่ทรงสัญญาไว้ จะทรงทำให้แน่นอนสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่เราต้องใส่ใจทำต่อมา คือรักกัน และทำดีให้กันและกัน ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ส่วนตัวอีกต่อไป แต่เราต้องมีคนที่รักและทำดีให้

ฮีบรู 10:25
เราเห็นพี่น้องจำนวนมากไปประชุม เจอเพื่อนได้หนุนใจกันอย่างต่อเนื่อง เราเห็นคนที่ขาดการประชุมเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในระยะยาว มัน
ส่งผลร้ายต่อผู้เชื่อไม่ว่าใครก็ตาม การหลงทางไปจากพระเจ้า การไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไปเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อเราไม่มีพี่น้องที่คอย
ช่วยเหลือกันแม้ว่าคนหนึ่งอาจอ้างว่า เฝ้าพระเจ้าคนเดียวก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สุขภาพจิตที่แข็งแรง แม้คริสตจักรจะมีข้อเสียบ้างแต่เราอย่าขาดประชุมเลย

ฮีบรู 10:26-27
เรื่องของคริสเตียนยิวที่ผู้เขียนเป็นห่วงคือการที่เขาจะหันกลับไปหาศาสนายิว กลับไปสู่กฎบัญญัติพิธีการลบบาปแบบเดิม หันหลังให้กับไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่เราคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะในข้อต่อไปได้พูดถึง แต่สำหรับพวกเขาก็ชัดเจนว่า ถ้าเราทำผิดทั้งที่รู้ความจริงเราจะเจอกับอะไร หากเราปฏิเสธพระเจ้า ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไปนั่นเอง สิ่งที่จะเพิ่มมาคือการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่มาเชื่อแล้วก็เลิกไป


ฮีบรู 10:28-29
นี่คือความบาปที่ทำซ้ำ ๆ ซึ่งผู้เขียนได้พูดในก่อนหน้านี้ หากใครคนหนึ่งดูหมิ่นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยการปฏิเสธพระองค์
ทั้ง ๆ ที่รู้ ผู้เขียนอธิบายว่า การทำเช่นนั้น เป็น 1 การเหยียบย่ำพระเยซู 2หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญา 3 ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณผู้
ทรงสอนให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนเตือนไม่ให้คนที่เชื่อกลับไปสู่พิธีกรรมแบบเดิมที่เคยทำและเตือนเราเช่นกันด้วย

ฮีบรู 10:30-31
การตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า คือการที่ต้องเผชิญกับพระเจ้าในวันที่พระองค์ทรงพิพากษา ไม่มีใครจะหนีพ้นวันนั้นไปได้ ตอนที่
ไม่เอาใจใส่ เดินหนีพระองค์ไป ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที เพราะพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกทำให้ถูกต้องที่สุดคือ การ
ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราให้รอด พวกเราไม่ควรที่จะท้าทายพระองค์เลย เพราะผลนั้นน่ากลัวมาก

ฮีบรู 10:32
ตอนแรกที่พวกยิวมาเชื่อใหม่ ๆ นั้น พวกเขามีรักแรกให้กับพระเจ้า เป็นรักที่แนบสนิท รักมากจากคนที่เคยอยู่ในความมืดมาพบความสว่างของ
พระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงนั้นเป็นเวลาฮันนีมูน ที่พวกเขาเจออะไรก็ทนได้หมด สามารถทนทุกข์เพื่อพระคริสต์อย่างเต็ม
ใจ สุดใจ สุดกำลัง พวกเขาถูกยิวในศาสนายิวขับไล่จากชุมชน ถูกกดขี่ข่มเหงหนักมาก

ฮีบรู 10:33-34
ผู้เขียนได้อธิบายชัดเจนว่า พี่น้องเหล่านี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง พวกเขามาเชื่อ และถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากคนที่เคยเป็นเพื่อน เคยอยู่
ในชุมชนเดียวกัน ในศาลาธรรมเดียวกัน บัดนี้กลายเป็นถูกเกลียดชังอย่างรุนแรง แต่เวลานั้นพวกเขามีความหวังในพระเจ้าอย่างมั่นคง ไม่คิด
ที่จะหันกลับไป มั่นใจและยังร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงด้วย การที่พวกเขาเผชิญได้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนที่เปลี่ยนใจกลับสู่โลกเดิมเลย

ฮีบรู 10: 35-36
ตรงนี้ทั้งคริสเตียนยิวและเรารับการเตือนว่าอย่าให้เราทิ้งความมั่นใจในพระเจ้าเด็ดขาด! อาจมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่เรายังต้องวางใจ
เราจะไม่กลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใช้วิธีของตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เราจะวางใจพระเจ้าแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเรา รู้ไหมว่าความวางใจพระเจ้านั้นเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตได้ และต้องมีความอดทนอย่างสูงที่จะไม่ลังเลใจ

ฮีบรู 10:37-39
พระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอย่างล่องลอย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง พวกเขามั่นคง
ในพระเจ้า หวังใจในพระองค์เต็มร้อย ไม่ลังเลไม่รีรอที่จะเดินตามพระองค์​ และตอนนี้บอกเราชัดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยหากเราหันกลับไป
สู่ชีวิตเดิม ซึ่งจะนำสู่ความตาย จะเห็นว่า เราเองเป็นผู้ที่จะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการรักษาจิตวิญญาณให้ถึงความรอด

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 8:5; 7:19; 9:9
4* มีคาห์ 6:6-7
5* สดุดี 40:6-8
10* ยอห์น 17:19; ฮีบรู 9:12
11* กันดารวิถี 28:3
12* โคโลสี 3:1; สดุดี 110:1
13* สดุดี 110:1
16* เยเรมีย์ 31:33-34
17* เยเรมีย์ 31:34
19* เอเฟซัส 2:18; ฮีบรู 9:8,12



20* ยอห์น 14:6
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 7:19; 10:1; เอเฟซัส 3:12
23* 1โครินธ์ 1:9; 10:13
25* กิจการ 2:42; โรม 13:11; ฟีลิปปี 4:5
26* กันดารวิถี 15:30; 2 เปโตร 2:20; ฮีบรู 6:6
27* เศฟันยาห์ 1:18
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 17:2-6; 19:15
29* ฮีบรู 2:3; 1โครินธ์ 11:29; มัทธิว 12:31


30* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35-36
31* ลูกา 12:5
32* กาลาเทีย 3:4
33* 1โครินธ์ 4:9; ฟีลิปปี 1:7
34* 2 ทิโมธี 1:16; มัทธิว 5:12; 6:20
35* มัทธิว 5:12
36* ลูกา 21:19; โคโลสี 3:24
37* ลูกา 18:8; ฮาบากุก 2:3-4
38* โรม 1:17
39* 2 เปโตร 2:20; โรม 3:22




ฮีบรู 9 พระโลหิตคือคำตอบ

ฮีบรู 9:1-2 ในพันธสัญญาแรกนั้น มีกฎเกณฑ์ต่างๆเรื่องการนมัสการ และยังมีสถานบริสุทธิ์บนแผ่นดินโลก พลับพลาถูกเตรียมไว้ในห้องแรกคือคันประทีป โต๊ะ และขนมปังบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์ ณ ที่นี้ เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ (วิสุทธิสถาน)




ฮีบรู 9:3-4 หลังจากม่านชั้นที่สอง เป็นห้องที่เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ที่สุด (อภิสุทธิสถาน)ในห้องนี้ มีแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำ ข้างในหีบมีโถทองคำใส่มานาไว้รวมทั้งไม้เท้าที่ผลิดอกตูมของอาโรนและแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา

ฮีบรู 9:5 บนหีบพันธสัญญามีรูปเครูบแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า โดยเครูบกางปีกปกคลุมฝาหีบของพระที่นั่งแห่งพระกรุณา แต่เรายังไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในเวลานี้


ฮีบรู 9:6-7 ในเมื่อทุกสิ่งถูกจัดเตรียมดังกล่าว เหล่าปุโรหิตก็จะเข้าไปยังส่วนแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในส่วนที่สองได้และเข้าได้เพียงปีละครั้ง พร้อมกับนำเลือดเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นเลือดที่ถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปที่ประชาชนซึ่งทำลงไปโดยไม่เจตนา

ฮีบรู 9:8 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงจากการทำทุกสิ่ง (คือระบบปุโรหิต)ตามที่กล่าวมา ให้รู้ว่าทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ยังไม่เปิดออกมา ตราบใดที่พลับพลาแรกยังคงตั้งอยู่

ฮีบรู 9:9-10 นี่เป็นภาพอธิบายเพื่อปัจจุบัน เพราะทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ถวายไป ไม่อาจชำระให้มโนธรรมของผู้นมัสการให้บริสุทธิ์ได้เลย ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม พิธีการชำระล้าง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัตินอกกาย ที่ใช้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่

ฮีบรู 9:11 แต่เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะมหาปุโรหิตเหนือสิ่งดีที่มาก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่า ซึ่งเป็นพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์และไม่ได้เป็นส่วนของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ฮีบรู 9:12 พระองค์มิได้เข้าไปด้วยเลือดของแพะ และวัว แต่ทรงเข้าไปยังที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งเดียวเป็นพอพร้อมกับพระโลหิตของพระองค์เองทำให้ได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

ภาพวาดโดย Leon Joseph Florentin Bonnat

ฮีบรู 9:13-14 เพราะหากเลือดแกะและโคผู้ และเถ้าจากลูกโคเมียที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระให้ร่างกายมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองอย่างไร้ตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ จะชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำที่นำสู่ความตาย เพื่อว่าเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

ฮีบรู 9:15 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อว่าคนที่ได้รับทรงเรียกจะได้รับมรดกนิรันดร์ที่ทรงสัญญาไว้ เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขาจากการล่วงละเมิดที่ได้กระทำลงไปภายใต้พันธสัญญาแรก 

ฮีบรู 9:16-18 ในกรณีของหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตแล้ว เพราะพินัยกรรมจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคนที่ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิตไป หากเขายังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมก็ไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น พันธสัญญาแรกก็ไม่มีผลใด ๆ จนกว่าจะต้องมีโลหิตเสียก่อน

ฮีบรู 9:19 เพราะเมื่อโมเสสประกาศคำสั่งทุกข้อของบทบัญญัติแก่ประชาชน ท่านได้นำเลือดของลูกโคและแพะผสมน้ำพร้อมขนแกะสีแดง ไม้หุสบมาประพรมทั้งหนังสือม้วนและประชาชน

ฮีบรู 9:20-21 กล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงสั่งให้ท่านทั้งหลายรักษาไว้” และด้วยวิธีเดียวกัน ท่านก็ได้ประพรมพลับพลาและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการนมัสการด้วยโลหิตนั้น

ฮีบรู 9:22 ความจริง ตามบทบัญญัติ ทุกสิ่งได้รับการชำระให้สะอาดด้วยโลหิต! และหากไม่มีการหลั่งโลหิตก็จะไม่มีการให้อภัยบาป

ฮีบรู 9:23-24 ดังนั้น การที่ของจำลองตามแบบสวรรค์จะได้รับการชำระด้วยพิธีบูชาแบบนี้จึงจำเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์นั้น มีเครื่องถวายบูชาที่ดีกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงเข้ามายังสถานนมัสการซึ่งถูกสร้างด้วยมือโดยจำลองตามสถานนมัสการแท้ แต่เสด็จสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา



ฮีบรู 9:25 ทั้งพระองค์ไม่ได้เข้าไปยังสวรรค์เพื่อถวาย
พระองค์เอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับมหาปุโรหิตที่เข้าไปยังอภิสุทธิสถานทุกปีพร้อมกับโลหิตที่ไม่ใช่เป็นของตัวเขา

ฮีบรู 9:26 หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำ ๆ มาตั้งแต่การเริ่มต้นของโลก แต่เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา


9:27-28 เหมือนมนุษย์ทุกคนที่ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะพบการพิพากษา พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เป็นเครื่องลบบาปของคนจำนวนมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดสู่คนที่จดจ่อรอคอยพระองค์

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 9:1-2
บทที่ 8 ที่ผ่านมา ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่า จำเป็นต้องมีพันธสัญญาใหม่ เพราะพันธสัญญาเดิมนั้นมีข้อบกพร่องอยู่ ในบทที่ 9 นี้ ท่านได้บอกว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้มายังพันธสัญญาใหม่ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาในอนาคต และสิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูทรง
เหนือกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนได้เริ่มให้เราเห็นภาพว่าในพลับพลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

ถอดความจาก ฮีบรู 9:3-4
ในเมื่ออุปกรณ์ทุกชิ้นมีความหมาย ผู้เขียนจึงเริ่มทำให้ชาวยิวที่อ่านเรื่องราวนี้ ได้กลับไประลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพลับพลา ในห้องชั้นในสุดมีหีบพันธสัญญาอยู่ หีบนี้เป็นหีบทองคำ ท่านไม่ได้ให้รายละเอียดมาก บอกคร่าว ๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ มานาบ่งบอกการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูในถิ่นกันดาร ศิลาแห่งพันธสัญญาระลึกถึงบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส และไม้เท้าที่สื่อหน้าที่ปุโรหิต

ถอดความจาก ฮีบรู 9:5
เมื่อกล่าวถึงของที่มี่อยู่ในหีบพันธสัญญาแล้วผู้เขียนก็เล่าว่า บนหีบพันธสัญญาซึ่งเป็นหีบไม้ที่มีทองคำปิดทับไว้ ส่วนเครูปคือ ทองคำที่ทำเป็น
รูปเลียนแบบของเครูบซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ โดยที่เครูปเอาปีกปกคลุมเหนือหีบพันธสัญญา พระเจ้า
จะทรงพบกับปุโรหิต ณ ที่ตรงนี้ เพื่อบอกสิ่งที่ทรงประสงค์จะบอกคนอิสราเอล อพยพ 25:22

ฮีบรู 9:6-7
ตอนนี้ ผู้เขียนเริ่มที่จะอธิบายความว่า ปุโรหิตทำหน้าที่ในห้องชั้นแรกเป็นประจำทุกวัน แต่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น จะมีหนึ่งท่านที่เข้าไปเพียงปีละครั้งเท่านั้น และที่เข้าไปก็เพื่อถวายเลือดเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาปของตนเอง ของประชาชน การทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า การทำบาปทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า และเราต้องได้รับการอภัยเพื่อกลับเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์

ฮีบรู 9:8
รูปแบบพันธสัญญาเดิมที่อธิบายมานี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม ความผิดบาปของมนุษย์จะต้องถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเรายังใช้ระบบเดิมของพลับพลานี้อยู่ หากยังใช้ระบบปุโรหิตคนกลางที่เป็นมนุษย์แล้ว ทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ ทางที่จะเข้าไปหาพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์โดยตรงก็ไม่เปิดได้อย่างอิสระ ระบบเดิมกับใหม่ใช้ไปพร้อมกันไม่ได้

ฮีบรู 9:9-10
ระบบเดิมนั้น ไม่อาจชำระชีวิตของผู้ที่เข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างถาวร สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธี และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ไม่ได้เป็นแผนการสุดท้าย
ของพระเจ้า เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะจัดการกับบาปอย่างแท้จริงและยั่งยืนในองค์พระเยซูคริสต์​ผู้ทรงเป็นคนกลางเดียวเท่านั้นที่จะนำความรอดมาให้ พระเจ้าทรงแจ้งให้รู้ว่า ชีวิตบาปต้องมีการกำจัด

ฮีบรู 9:11
ข้อความตอนนี้ ได้สรุปชัดว่า ในสวรรค์มีพลับพลาที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในส่วนของธรรมชาติที่พระเจ้า
ทรงสร้าง เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่ง เป็นพลับพลาที่เหมาะกับองค์มหาปุโรหิต ซึ่งเราไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ และก็ไม่ได้มีบันทึกในที่อื่น ๆ ที่สำคัญคือพลับพลาสวรรค์สมบูรณ์แบบกว่าพลับพลาในโลก

ฮีบรู 9:12
วิธีการของพลับพลาสวรรค์นี้แตกต่างจากระบบของพลับพลาในโลก ตรงที่ว่า เลือดที่เข้าไปเพื่อรับการไถ่บาปให้มนุษย์ไม่ใช่เป็นเลือดสัตว์
แต่เป็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขน ในการถวายเครื่องบูชาของปุโรหิตในโลกเป็นการทำซ้ำ
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงทำครั้งเดียวเท่านั้นแล้วคนที่เชื่อวางใจก็ได้รับการไถ่บาปเลย

ฮีบรู 9:13-14
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังเล่าว่า ขนาดเลือดของโคและแกะยังมีพลังช่วยให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ยังมีพลังตามที่
พระเจ้าทรงกำหนดให้ ดังนั้น พระโลหิตของพระบุตรพระเจ้าจะยิ่งมีพลังเหลือล้นมากมายกว่านั้นขนาดไหน ​เป็นพระโลหิตที่ชำระเราจากชีวิต
เก่าที่วนเวียนอยู่กับการกระทำที่นำสู่ความตายกลายเป็นคนมีชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแต่มุ่งรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

ฮีบรู 9:15
เมื่อเห็นคำว่า “มรดกนิรันดร์” ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงเตรียมไว้ให้
พวกเขามาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพี่น้องยิวที่อ่านข้อความตอนนี้ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขา ไม่ใช่
พิธีกรรมใด ๆ ในพระวิหารหรือพลับพลาที่ต้องผ่านเหล่าปุโรหิตอีกต่อไป

ฮีบรู 9:16-18
คำว่าพินัยกรรม กับคำว่าพันธสัญญามีการใช้สลับกัน แต่ในภาษากรีกเป็นคำ ๆ เดียวกัน เสปอร์เจียนให้ความเห็นว่า ถ้าเรามีหลักฐานว่า
ผู้ทำสัญญาหรือผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตไปแล้วสัญญาหรือพินัยกรรมนั้นจะส่งผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับข่าวประเสริฐ ถ้าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์ข่าวประเสริฐนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ในพันธสัญญาเดิมต้องมีการใช้เลือดประพรมทุกอย่าง

ฮีบรู 9:19
อย่างที่ได้เล่าในข้อ 18 แล้วว่าพันธสัญญาเดิมนั้นต้องการเลือดของโค แพะ แกะมาเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีการอภัยบาปเกิดขึ้น บาปเป็น
เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะว่ามันทำให้คนที่ทำบาปนั้น รับโทษถึงตาย จะเกิดการอภัยให้บาปนั้นก็ต้องมีการรับโทษถึงตายเสียก่อน ในพันธสัญญาเดิมได้เลือกให้เป็นการตายของสัตว์เพื่ออภัยบาปตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสเอาไว้โดยต้องมีการฆ่าเอาเลือดกันเป็นประจำทุกวัน

ฮีบรู 9:20-21
ประชาชนจะต้องทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสในเรื่องเลือด ภายใต้พันธสัญญาเดิมนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้นในพลับพลา จะได้รับการชำระให้สะอาดด้วยการประพรมเลือดลงไป การทำเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึง ในมาระโก 14:24 พระเยซูตรัสในคืนสุดท้ายกับศิษย์ โดยทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและตรัสว่า นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนเป็นอันมาก ชี้ให้เห็นถึงพระโลหิตที่จะมาชำระเราให้สะอาด

ฮีบรู 9:22
พระเจ้าทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์ด้วยสิ่งที่มนุษย์เองคาดไม่ถึง ความดี ด้วยการขอโทษ หรือรับโทษที่ได้ทำไปแต่หลักพื้นฐานของการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์คือ การหลั่งเลือด ซึ่งในสมัยโบราณ พระองค์ทรงให้ประชาชนรับการอภัยบาปผ่านพิธีต่าง ๆ ที่ต้องมีการหลั่งเลือดของสัตว์ แต่ที่สุด พระองค์ทรงใช้พระโลหิตพระเยซู!

ฮีบรู 9:23-24
พลับพลา พิธีต่าง ๆ ซึ่งทำในสมัยโมเสสนั้น ช่วยให้คนรับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาซึ่งไม่สมบูรณ์แบบเต็มร้อย นี่เป็นพิธีในโลก
แต่ในสวรรค์ พระเยซูทรงเข้าไปในสถานนมัสการต้นแบบในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในฐานะองค์ปุโรหิตเพื่อช่วยให้เราพ้นจากความบาป นี่เป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นความล้ำเลิศที่ไม่มีใครให้ได้

ฮีบรู 9:25
การเข้าเฝ้าพระบิดาในฐานะปุโรหิตของมนุษยชาตินั้น เป็นการเข้าเฝ้าที่ยังคงทำเพื่อเราเสมอ คือพระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้อง
ถวายพระองค์บนไม้กางเขนอีกเลย สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวนั้น เป็นพอ สิ่งที่ปุโรหิตในสมัยก่อนทำหรือแม้กระทั่งในกลุ่มศาสนาที่ต้องมีตัวแทนติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้เลย มีพระเยซูเท่านั้นที่ทรงลบบาปให้และยังทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากมืดเป็นสว่างอย่างเห็นได้ชัด

ฮีบรู 9:26
เลือดของสัตว์ที่ปุโรหิตใช้เป็นสิ่งที่ต้องหามาใหม่ทุกครั้งที่ทำพิธีลบล้างบาป เพราะเป็นระบบการถวายเครื่องบูชาที่จำกัด แต่พระโลหิตของพระเยซูนั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำลายอำนาจและการลงโทษบาปได้ พระองค์ไม่ต้องทรงสิ้นพระชนม์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ในปลายยุคก็คือ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นผู้ขีดเส้นให้รู้ว่า ยุคของพันธสัญญาเดิมนั้นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือยุคของพันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 9:27-28
ชีวิตเดียว และตายครั้งเดียว พวกเราซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาให้เกิดมานั้น มีโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่จะรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเราทุกคนจะพบการพิพากษาของพระเจ้า เราต้องให้การกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องไม่ลืม เพื่อเราจะได้ไม่อายในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง พระเยซูทรงตายเพื่อคนเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่หยุดยั้งที่จะชวนคนอื่นให้มาพบพระองค์เช่นกัน

พระคำเชื่อมโยง

1* อพยพ 25:8
3* อพยพ 26:31-35; 40:3
4* อพยพ 25:10; 16:33; กันดารวิถี 17:1-10; อพยพ 25:16; 34:29
5* เลวีนิติ 16:2
6* กันดารวิถี 18:2-6; 28:3
7* อพยพ 30:10; ฮีบรู 5:3
8* ยอห์น 14:6
9* ฮีบรู 7:19
10* โคโลสี 2:16; กันดารวิถี 19:7;
เอเฟซัส 2:15

11* ฮีบรู 10:1
12* ฮีบรู 10:4; เอเฟซัส 1:7; เศคาริยาห์ 3:9; ดาเนียล 9:24
13* เลวีนิติ 16:14-15; กันดารวิถี 19:2
14* อิสยาห์ 53:2; 1 ยอห์น 1:7; ฮีบรู 6:1;
ลูกา 1:74
15* โรม 3:25; ฮีบรู 3:117* กาลาเทีย 3:15
18* อพยพ 24:6
19* อพยพ 24:5-6; เลวีนิติ 14:4,7

20* มัทธิว 26:28; อพยพ 24:3-8
21* อพยพ 29:12, 36
22* เลวีนิติ 17:11
23* ฮีบรู 8:5
24* ฮีบรู 6:20; 8:2; 8:34
25* ฮีบรู 9:7
27* ปฐมกาล 3:19; 2 โครินธ์ 5:10
28* โรม 6:10; 1 เปโตร 2:24; มัทธิว 26:28; ทิตัส 2:13