ปัญญาจารย์ 2 หาความหมายชีวิต

ทั้งความสุขและสมบัติก็อนิจจัง
1 ข้า คิดในใจว่า “มาเลย .. เราจะทดลองเจ้า(ชีวิต)ด้วยความสนุกสนานร่าเริง เพื่อค้นหาสิ่งดี” แต่แล้ว ก็เป็นเรื่องอนิจจัง
2 ข้ามองว่า การหัวเราะเป็นเรื่องโง่ ความสนุกสนานได้ให้ประโยชน์อย่างใดหรือ?”
3 ข้าค้นใจตัวเองว่าจะกระตุ้นร่างกายให้มีความสุขด้วยเหล้าองุ่น และยึดความโง่เง่าเอาไว้  (ในขณะที่ใจของข้า
ก็ได้นำตัวข้าด้วยสติปัญญา)
ข้าอยากเห็นว่า มนุษย์ จะทำอะไรที่มีคุณค่าในโลกได้บ้างในชีวิตอันแสนสั้นของเขาเอง

4 ข้าทำงานที่ออกมายิ่งใหญ่ ข้าสร้างบ้านหลายหลังให้ตัวเอง ข้าปลูกสวนองุ่นให้ตัวเองหลายแห่ง
5 ข้าทำสวนผลไม้ และส่วนหย่อนใจหลายแห่ง ข้าปลูกผลไม้หลากชนิดไว้ในนั้น
6 ข้าสร้างบ่อไว้เพื่อรดน้ำต้นไม้ที่กำลังงอกงาม 
7 ข้าได้ซื้อทั้งทาสชายและทาสหญิง  และยังมีทาสที่เกิดในบ้านของข้าเพิ่มขึ้นมาอีก ข้ามีฝูงวัว และแพะ แกะ  จำนวนมากกว่าใคร ๆ ที่เกิดมาก่อนข้าในเยรูซาเล็ม  
8ยิ่งกว่านั้น ข้ายังสะสมเงิน และทองคำจำนวนมากมายเก็บไว้ในคลัง และยังได้รับบรรณาการจากกษัตริย์ และจากแคว้นต่าง ๆ   ข้ายังมีนักร้องชายหญิง และยังมีเมียน้อยอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายชอบนัก 
9 ต่อมาข้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้น และมีฐานะสูงกว่าทุกคนที่อยู่ในเยรูซาเล็มมาก่อนข้า  และข้ายังมีสติปัญญากับตัวด้วย  
10 ทุกสิ่งที่ดวงตาอยากดู ข้าก็ไม่ห้ามใจตัวเอง ใจต้องการสนุกขนาดไหน ข้าก็ไม่ห้าม  เพราะข้าพอใจกับงานทั้งสิ้นที่ข้าทำลงไป และนี่เป็นรางวัลสำหรับการลงมือทำงานทั้งสิ้น 

11 ถึงอย่างนั้น เมื่อข้าหันมาดูงานทั้งหมดที่มือทำลงไป  และแรงงานที่ตรากตรำทำไป และดูเถิด ทุกอย่างก็เป็นอนิจจัง  เป็นการไล่ตามลม และไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาภายใต้ดวงอาทิตย์

สติปัญญาดีกว่าความโง่
12  ดังนั้น ข้าจึงหันไปพิจารณาสติปัญญา  ความไร้สติ และความโง่เขลา   ผู้ใดที่ขึ้นครองราชย์หลังจากกษัตริย์องค์ก่อน
จะทำอะไรได้อีก นอกจากสิ่งที่องค์ก่อน ๆ ทำมาแล้ว?
13 และข้าก็เห็นว่า สติปัญญามีประโยชน์มากกว่าความเขลา   เปรียบได้กับความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด 
14 คนที่มีสติปัญญามีตาอยู่ในความคิดของเขา แต่คนโง่เดินในความมืด ถึงอย่างนั้น แล้วข้าก็มาตระหนักว่า พวกเขาทั้งสองก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
15 ข้าจึงคิดในใจว่า “สิ่งที่คนโง่ต้องเผชิญ ก็จะเกิดกับเราด้วย แล้วเราจะฉลาดเกินไปทำไมเล่า?” ข้าจึงคิดในใจว่า “นี่ก็อนิจจังเช่นกัน”
16 ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนโง่ ก็จะไม่มีใครระลึกถึงพวกเขาตลอดไป  ในที่สุด ทุกคนจะถูกลืม  คนฉลาดก็ตายเหมือนคนโง่! 
ความไร้ค่าของแรงงานที่ลงไป
17  ข้าจึงเกลียดชีวิต เพราะงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น ทำให้ข้าเศร้าใจนัก เพราะทุกสิ่งอนิจจัง และเป็นแค่การวิ่งไล่ตามลม
18ข้าพเจ้าเกลียดผลงานที่ได้ตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์  เพราะข้าพเจ้าจะต้องละวางไว้ให้กับคนที่มาภายหลัง

19 แล้วใครจะรู้ได้ว่า เขาเป็นคนฉลาดหรือโง่เขลา ถึงอย่างนั้น เขาก็จะเป็นเจ้าของผลจากแรงงานของข้าพเจ้า และเป็นงานที่ข้าพเจ้าใช้สติปัญญา ความเข้าใจภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็เป็นความว่างเปล่าด้วย
20 ดังนั้นใจของข้าพเจ้าจึงสิ้นหวังกับทุกชิ้นงานที่ได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์
21เมื่อมีใครคนหนึ่งลงมือทำงานออกแรงด้วยสติปัญญา ความรู้ ความชำนาญ แต่แล้ว ก็ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นให้กับคนที่ไม่ได้ลงแรงทำขึ้นมา นี่เองก็เป็นความว่างเปล่าและน่าเสียดายอย่างยิ่ง
22  คนเราได้ประโยชน์อะไรจากแรงงานทั้งหมด การที่ต่อสู้ ด้วยหัวใจกับสิ่งที่เขาทำภายใต้ดวงอาทิตย์?
23  เพราะตลอดชีวิตของเขานั้น ความพยายามของเขานั้นเจ็บปวดและน่ากังวล  แม้ยามค่ำ เขาก็ยังไม่พัก นี่เองก็เป็นความว่างเปล่า
24  ดังนั้นจึงไม่มีอะไรดีสำหรับมนุษย์ยิ่งไปกว่าการกิน และดื่ม และได้รับความสุขจากแรงงานของเขา นี่เป็นสิ่งที่ข้าเห็นว่า มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า

25 เพราะมีใครเล่าที่จะกิน และได้รับความยินดีได้หากปราศจากพระองค์?
26 เพราะพระเจ้าได้ประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย  สำหรับคนบาป พระองค์ได้มอบงานที่พวกเขาจะต้องเก็บรวบรวม และสะสมไว้เพื่อมอบให้กับคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย
นี่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เหมือนวิ่งไล่ตามสายลม 

อธิบายเพิ่มเติม

คำอนิจจัง มาจากฮีบรูที่ว่า הֶבֶל (เฮเวล) หมายถึง ไอ ควัน หมอกซึ่งเป็นภาพของสิ่งที่ อยู่ไม่นาน อยู่ประเดี๋ยวเดียว ล่องลอยไป ไม่เป็นที่พอใจอย่างยั่งยืน
ไม่ได้หมายความว่าชีวิตไร้ค่าไปเสียทีเดียว แต่คือชีวิตและทุกสิ่งของชีวิตไม่ยั่งยืน

2:1-11 ทั้งความสุขและสมบัติก็อนิจจัง
ตอนนี้ปัญญาจารย์มีความคิดว่า จะมาทำการทดลองเรื่องความร่าเริง (1-3)
การสร้างสิ่งต่าง ๆ (4-6) และการสะสมสารพัดสิ่ง (7-9) ท่านสรุปตั้งแต่ต้นให้เรารู้ว่า ทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่า อนิจจังสำหรับท่าน!

2:1-3 อย่างแรกที่ปัญญาจารย์ตามหาคือ เสียงหัวเราะ ท่านคงเรียกเหล่าคนเล่าเรื่องตลก ตัวตลก มาแสดง มาเล่าเรื่อง ให้หัวเราะมากที่สุด ทุกคนตามหาความสนุกในการหัวเราะ โลกเรามีเรื่องทุกข์มาก ฉะนั้นให้เราหัวเราะกันเถอะ ในยุคของเราก็มีอาชีพที่คนชอบมากคือการทำให้คนหัวเราะ เป็นตลกที่เป็นทีมบ้าง ที่ยืนพูดเดี่ยวบ้าง** (ในเวลาเดียวกัน ปัญญาจารย์ได้บอกว่า การหัวเราะเป็นยาอย่างดีในหนังสือสุภาษิต )

แต่แล้ว ปัญญาจารย์พบว่า นั่นไม่ได้ช่วย ก็เลยไปหาเครื่องดื่มเพื่อสร้างความสุข เพื่อเอาความรู้สึกอนิจจังออกไปจากความคิด คราวนี้ขอใช้แอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้ความทุกข์ใจออกไป แต่เมื่อสร่างเมาแล้วก็รู้ว่า มันช่วยไม่ได้อย่างถาวร มันช่วยได้ชั่วครู่ชั่วยาม ข้อนี้แปลกที่ปัญญาจารย์ได้เลือกทำสิ่งที่คิดว่าจะหาความสุขได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังใช้สติปัญญารั้งตัวเองเอาไว้

2:4-7 ปัญญาจารย์ ยังมีความสุขกับการก่อสร้าง การทำสวนมากมาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีความสุข ถ้าเรามีโอกาสได้ทำก็จะพบความสุขในการทำไร่เหล่านี้ ทั้งหมดนี้ปัญญาจารย์ได้สร้าง ปลูก ซื้อ เป็นเจ้าของสารพัดสิ่ง ตอนนี้ปัญญาจารย์ (ย้อนกลับไปอ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 4-10) เป็นเหมือนเศรษฐีพันล้านที่เราเห็นในปัจจุบัน





2:8 ปัญญาจารย์ยังพยายามหาความสุขกับการสะสม ทั้งเงิน ทองคำ นักร้องที่จะสร้างความสำราญ และผู้หญิงอีกมากมาย ท่านพยายามหาความสุขทางเพศ แบบ สุดขั้ว แบบที่ผู้ชายชอบ คิดถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืนที่มีการกินอย่างฟุ่มเฟือย มีนักร้อง นักเต้นรำแบบตะวันออกกลางในงาน และความร่าเริงที่เน้นเรื่องเพศเป็นหลัก ปัญญาจารย์ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ กลับอยู่ในโลกของความชั่วช้านี้ด้วย เวลามั่งคั่ง ต้องการอะไรก็ได้ ความชั่วก็รออยู่ที่จะทำลายชีวิตของเจ้าของสมบัตินั้น ความสุขที่ปัญญาจารย์ ตามหาตอนนี้ ไม่มีพระเจ้าอยู่เลย เป็นวัตถุ ความสุขชั่วครู่ชั่วยามล้วน ๆ

2:9 ยิ่งกว่านั้นปัญญาจารย์ ยังหาความสำเร็จในชีวิต ท่านใหญ่กว่าใคร ร่ำรวยกว่าใคร ๆ ฉลาด กว่าใคร ๆ

2:10 ถ้าเราวัดความสุข ความพอใจจากความสำเร็จในชีวิต .. เราจะพบความรู้สึกเดียวกันปัญญาจารย์ คือไม่ต้องมีความยับยั้งชั่งใจเลย ท่านมองว่า ความสำเร็จที่ได้มาเป็นรางวัลของผลงานที่ทำลงไป ท่านประสบความสำเร็จจนพระราชินีประเทศทางใต้ได้มาชมความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ณ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:66-67)
2:11 เมื่อมาประเมินผลของงานทั้งสิ้น แรงทั้งหมด ความสุข เสียงหัวเราะ และความสำเร็จทั้งสิ้น ท่านกลับท้อแท้หรือเกิน ท่านได้พบว่า ทั้งหมดมีคำตอบอันเดียวกันคือ הֶבֶל คือทุกสิ่งนั้นไม่ยั่งยืน ทั้ง ๆ ที่ในข้อ 10 บอกว่า พอใจกับงานที่ทำ ความสำเร็จทั้งสิ้น ชีวิตแสนสั้นแม้ดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังอนิจจัง ปัญญาจารย์ทำงานเยอะ แต่ไม่ได้ภาคภูมิใจจริง ๆ แตกต่างจากตอนที่พระเจ้าทรงสร้างโลกที่พระองค์ทรงเห็นว่าทุกอย่างที่ทรงสร้างนั้นดี!

สติปัญญาดีกว่าความโง่
2:12-16 แล้วท่านก็มานั่งเปรียบเทียบชีวิตของคนที่มีปัญญากับคนที่โง่เขลา การมีปัญญานั้นดีกว่าแน่นนอนในการใช้ชีวิต แต่แล้ว เมื่อมองไปให้จนสุด ท่านก็มาตระหนักว่า ทั้งสองก็ต้องตายเหมือนกัน (14) เมื่อตายไป ก็จะไม่มีใครคิดถึงพวกเขาอีกต่อไป (16)
เราจะเห็นได้ว่า ท่านไม่ได้มองชีวิตนิรันดร์แบบพระคัมภีร์ใหม่ ท่านยังไม่เข้าใจพระคำที่ว่า การทำงานรับใช้พระเจ้าไม่มีชิ้นใดที่ ที่พระเยซูประทานให้ แต่มองแค่ว่า ชีวิตจบลงที่ความตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจอย่างยิ่ง

2:17-19
การที่กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์” มีความหมายถึงช่วงชีวิตที่มีอยู่บนโลกนี้ ท่านมองว่า ไป ๆ มาๆ ทุกอย่างที่ทุ่มเททำลงไป ก็ต้องทิ้งให้คนอื่นรับไป คน ๆ นั้นจะกลายเป็นเจ้าของสิ่งที่ท่านทำมาทั้งหมด
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย หากมองได้อย่างซาโลมอน พวกเราก็คงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่ สู้ไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต พอตายไปแล้ว ก็ไม่อาจควบคุมอะไรได้เลย น่าหนักใจเสียจริง

2:20-23 สังเกตคำว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์ นั่นคือ ชีวิตที่เห็นอยู่ขณะที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่ตายไปแล้ว ไม่ใช่โลกหน้า แต่เป็นเรื่องของชีวิตปัจจุบันที่ทุกคนกำลังใช้ชีวิต ออกแรงทำงาน ปัญญาจารย์ไม่เห็นความหวังนอกเหนือไปจากชีวิตในโลกนี้ ท่านเองมีลูกหลานมากมายเพราะมีภรรยามากมายเหลือเกิน ท่านก็เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งที่จะตามมา มันน่าจะโกลาหลยิ่งนัก ภรรยาทั้งหมดก็ต้องสู้กันเพื่อได้สมบัติ ลูก ๆ ก็ไม่ได้รักกัน ต่างต้องชิงดีชิงเด่นกัน
จะเห็นว่ายามนอนหลับยังไม่หยุดที่จะคิดโน่นนี่ คิดงาน นอนไม่หลับ ตื่นมาก็อยากจะนอน แต่ต้องไปทำงานแล้ว คนในโลกโบราณไม่ได้ต่างอะไรกับคนโลกปัจจุบัน

2:24-26 ความพึงพอใจที่ได้มาจากพระเจ้า (สุดยอดของชีวิต) แต่แล้ว ก็เกิดการหักมุมความคิด ที่ปัญญาจารย์คิดมาตั้งแต่ต้น ไม่มีพระเจ้าอยู่ในสมการความสุขของท่าน เราลองอ่านข้อ 22-23 เปรียบเทียบกับข้อ 24-26 จะเห็นว่า ความเห็นของท่านเริ่มเปลี่ยนเมื่อท่านนำพระเจ้าเข้ามาในชีวิต การที่ท่านเชื่อในพระเจ้า แต่ยังมีความรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นอนิจจังนั้น ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเป็นสิ่งที่ท่านต้องตามหาคำตอบ ท่านยังไม่ได้เจอคำสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์จากพระเยซูคริสต์เหมือนคนในสมัยนี้ ชีวิตจึงน่าท้อแท้ แต่อย่างไร ท่านก็ยังมีกำลังใจขึ้นเมื่อคิดถึงว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานความยินดี อาหาร น้ำ ปัญญาให้กับคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย

พระคำเชื่อมโยง

ปัญญาจารย์ 2
1* ลูกา 12:19; ปัญญาจารย์ 7:4; 8:15; 1:2
3* ปัญญาจารย์ 1:17; 3:12-13; 5:18; 6:12
4* 1 พงศ์กษัตริย์ 7:1-12
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 9:28; 10:10, 14, 21
9* ปัญญาจารย์ 1:16; 2 พงศาวดาร 9:22
11* ปัญญาจารย์ 1:3, 14
12* ปัญญาจารย์ 1:17; 7:25; 1:9

13* ปัญญาจารย์ 7:11, 14, 19; 9:18; 10:10
14* สุภาษิต 17:24; สดุดี 49:10
16* ปัญญาจารย์ 1:11; 4:16
18* สดุดี 49:10
22* ปัญญาจารย์ 1:3; 3:9
23* โยบ 5:7; 14:1
24* ปัญญาจารย์ 3:12-13, 22
26* สุภาษิต 2:6; 28:8

ปัญญาจารย์ 1 อนิจจังไปหมด!

1 นี่เป็นถ้อยคำของปัญญาจารย์
ราชบุตรดาวิดแห่งเยรูซาเล็ม


2 “อนิจจัง” ปัญญาจารย์กล่าว
“อนิจจัง ทุกสิ่งอนิจจังทั้งนั้น”

3 มนุษย์ได้ประโยชน์อะไร
จากการงานที่เขาได้ทุ่มเททำลงไป
ภายใต้ดวงอาทิตย์? (เวลาเดินไปข้างหน้าไม่หยุด)
 
4 คนชั่วอายุหนึ่งมาและไป
อีกชั่วอายุหนึ่งก็ผ่านไป
แต่โลกนี้ยังดำรงอยู่ตลอดไป
 

5 ดวงอาทิตย์ขึ้นมา และดวงอาทิตย์ตก
มันกลับไปยังที่ของมัน  และมันยังคงขึ้นมาอีก


6 กระแสลมพัดไปยังทิศใต้
และวนกลับมาทางทิศเหนือ 
มันพัดวนไป แล้วก็วนกลับมาอีก
ตามรอบของมัน 


7 แม่น้ำไหลลงสู่ทะเล  แต่ทะเลก็ไม่เคยเต็ม 
น้ำกลับไปสู่แม่น้ำที่มันจากมา
แล้ววนไหลลงสู่ทะเลอีกเสมอ 

8 ทุกสิ่งนั้นดูน่าอ่อนใจ
จนไม่มีมนุษย์คนใดจะอธิบายได้  
ที่ดวงตาของเราได้เห็นนั้น
เราก็ไม่รู้สึกอิ่ม ที่หูได้ยินนั้น ก็ยังไม่เพียงพอ
(ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ท้องฟ้า)

9 สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็จะเกิดขึ้นอีก
สิ่งที่ได้ทำกันมาแล้ว ก็จะทำกันต่อไปอีก 
ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์


10 มีสิ่งใดที่จะอ้างถึงได้ว่า “ดูสิ นี่เป็นสิ่งใหม่” ในเมื่อมันมีอยู่มา ตั้งนานแล้ว  มีมาแล้วก่อนยุคของเรา 

(ไม่มีการจำถึงคนในอดีต)

11  ไม่มีการระลึกถึงคนที่มาก่อน แม้คนที่กำลังจะเกิดมานั้น คนรุ่นต่อไปก็จะไม่ระลึกถึงเขา

12  ข้าคือปัญญาจารย์ เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล อยู่ในนครเยรูซาเล็ม   

13 ข้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะสืบและค้นหา ทุกสิ่งที่ทำกันภายใต้ท้องฟ้าด้วยสติปัญญา  เห็นว่าเป็นภาระหนักยิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย

14 ข้าได้เห็นทุกสิ่งที่เขาทำกันในโลก และดูเถิด ทุกสิ่งนั้นไร้ค่า อนิจจังดั่งวิ่งไล่ตามกระแสลม 

15  สิ่งที่คดงออยู่ก็ไม่อาจทำให้เหยียดตรงได้ และสิ่งที่ขาดหายไป ก็ไม่อาจนับได้  

16 ข้าตรึกตรองอยู่ในใจว่าและกล่าวว่า “ดูเถิด เราก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ และมีสติปัญญามากกว่าใคร ๆ ที่เคยปกครองนครเยรูซาเล็ม  เราเข้าใจในสติปัญญาและความรู้เป็นอย่างดี”

17 แล้วข้าก็ทุ่มเทที่จะเข้าใจสติปัญญา และเข้าใจความไร้สติ และความโง่เง่าด้วย แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า นั่นเป็นการไล่ตามกระแสลมเช่นกัน

18 เพราะมีสติปัญญามากก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก และคนที่เพิ่มความรู้ก็ยิ่งเศร้ามากเช่นกัน 

คำนำปัญญาจารย์
ชนชาติอิสราเอล เป็นชนชาติที่ชอบการเรียนรู้ ชอบหาความเข้าใจ และมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากประชาชนในประเทศรอบข้างของพวกเขา  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และผู้ที่เป็นกษัตริย์ ก็มีข้อบังคับต่าง ๆ ที่ต้องปฎิบัติตาม ที่จะช่วยให้ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม
กษัตริย์องค์ที่สามของอิสราเอลคือ โซโลมอนทรงเขียนหนังสือปัญญาจารย์ไว้เป็นการสอนสติปัญญาการใช้ชีวิต การคิดให้กับประชาชนของท่าน  แต่ท่านไม่ได้แค่เขียนเพื่อประชาชน แต่เป็นการเขียนเพื่อใคร่ครวญชีวิตของท่านเองด้วยเขียนเมื่อประมาณ 970-931 ปีก่อนคริสตศักราช ดังนั้น ก็นับว่าเล่มนี้ ประมาณ สามพันมาแล้ว 
คำว่าปัญญาจารย์ ในภาษาไทย เป็นคำที่หมายถึงอาจารย์ที่สอนปัญญา ในภาษาฮีบรู คือ โคเฮเลท ความหมายเดียวกัน  แต่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Ecclesiates ซึ่งมีความหมายถึงการเข้ามาประชุมร่วมกัน

เมื่อเราอ่านหนังสือเล่มนี้ เราจะรู้สึกว่า ท่านเขียนในช่วงวัยที่ชราแล้ว  เพราะความรู้สึกที่จะทำ ความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาประเทศนั้นดูเหมือนจะหายไป แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกของคนที่หดหู่กับการงานที่ได้ตรากตรำทำมานาน  และรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันเหมือนไอน้ำ หลุดลอยไปง่าย ๆ และดูไร้ค่าเสียเหลือเกิน
ตอนที่โซโลมอนท่านครองราชย์นั้น น่าจะอยู่อายุประมาณ 16-17 พรรษาเท่านั้นเอง ยังเป็นเด็กหนุ่มมาก ๆ เรื่องราวการขึ้นครองบัลลังก์อ่านจาก 1 พงศ์กษัตริย์ ตั้งแต่บทที่ 1 เป็นต้นไป
ในวันที่ขึ้นครองนั้น พระเจ้าทรงปรากฏยามค่ำ และทรงอนุญาตให้ทูลขอสิ่งใดก็ได้ กษัตริย์โซโลมอนก็ทูลขอความฉลาดเพื่อปกครองประชาชน ให้รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี พระเจ้าทรงพอพระทัย และประทานปัญญาที่จะไม่มีใครเหมือน จะทรงให้เกียรติ และอายุที่ยืนยาว
กษัตริย์ซาโลมอนครองราชย์ไม่นานก็ได้สร้างพระวิหารของพระเจ้า ทรงสร้างราชวังที่งดงาม ทรงเป็นนักเขียนที่บทความของพระองค์อยู่มาจนทุกวันนี้
พระองค์ทรงเกียรติมาก ร่ำรวยยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ ในช่วงเวลาของพระองค์ เงินกลายเป็นแร่ไม่มีค่า เพราะมีมากเกิน ทุกอย่างที่ใช้ในราชวังก็ทำจากทองคำทั้งสิ้น แล้วความตกต่ำก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา กษัตริย์ทรงสะสมรถม้าศึก และม้า ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงห้ามไว้ ทรงทำสัมพันธไมตรีกับชาติต่าง ๆ รอบข้าง ซึ่ง ทำให้ต้องแต่งงานกับธิดาของกษัตริย์ของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น และผู้หญิงเหล่านี้ก็ได้นำรูปเคารพเข้ามาในอาณาจักร กลายเป็นว่า กษัตริย์โซโลมอนเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้อิสราเอลหลงไปจากทางของพระเจ้า พระองค์เองมีมเหสี ถึง 700 คน นางสนมอีก 300 คน คิดดูแล้วกันว่า วุ่นวายขนาดไหน และในที่สุดกษัตริย์เองก็ได้บันทึกเรื่องราวของชีวิตพระองค์ เพื่อเตือนสติประชากรของพระองค์

ปัญญาจารย์เป็นหนังสือที่อ่านง่าย  ประชาชนคนใดที่อ่านหนังสือได้ ก็สามารถอ่านให้เพื่อน ๆ ได้ฟัง และนำมาขบคิดกันต่อได้  คนอิสราเอลมักจะนำหนังสือนี้มาอ่านในที่ประชุมในช่วงเทศกาลเพนเตคอส
บทสรุปก็คือ พระเจ้าทรงเป็นที่สุดของความหมายแห่งชีวิต  พระองค์เท่านั้นทรงคุณค่าต่อการมีชีวิตของมนุษย์ทุกคน หากไม่มีพระองค์ ชีวิตก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย ไร้สาระ..

อธิบายเพิ่มเติม

1:1 ปัญญาจารย์ท่านนี้คือ กษัตรย์โซโลมอน ราชบุตรกษัตริย์ดาวิด
1:2 คำว่าอนิจจังนี้ ในฮีบรูว่า เฮเวล  הֶבֶל มีความหมายว่าไร้ค่า ไร้ความหมาย อนิจจัง เหมือนไอน้ำ ว่างเปล่า ไม่มีประโยชน์
ไม่ยั่งยืน ซึ่งในการถอดความของพระคำ.คอม ก็อาจจะใช้คำที่แตกต่างกันไปในภาษาไทยแต่มีความหมายอันเดียวกัน
ทั้งเล่มนี้มีคำว่า เฮเวล ถึง 38 ครั้ง
1:3 คำว่าภายใต้ดวงอาทิตย์ หรือบนโลกนี้น่าจะหมายถึงชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ปรากฏทั้งหมด 30 ครั้งในปัญญาจารย์
1:4-8 สิ่งแรกที่กษัตริย์โซโลมอนเห็นและรู้สึกหดหู่คือ การที่โลกดำรงอยู่วันแล้ววันเล่า คนยุคแล้วยุคเล่า ลมที่พัดไปแล้วก็พัดวนกลับมา ท่านมองเห็นแล้วอ่อนใจ ที่จริงหากเรามีอายุมากขึ้น เราก็มองสิ่งนี้เป็นเหมือนความซ้ำซาก มองแบบนี้ หลายคนอาจจะเข้าสู่โหมดซึมเศร้าได้เลย
คนชั่วอายุหนึ่ง อยู่ไม่นานนัก แต่โลกอยู่นานกว่ามาก ท่านมองว่า ชั่วอายุของมนุษย์เป็นดั่งวัฏจักรที่เกิดมาแล้วก็มีกิจกรรมต่าง ๆ จากนั้นก็ไปจากโลกนี้

1:9-10 อย่างที่สองที่ท่านเห็นชัดคือ ความไม่มีอะไรใหม่ในโลก ทุกอย่างที่เราเห็นล้วนเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมา เมื่อเรามองเข้าไปใน Shorts ของยูทูบ หรือ ติ๊กตอก สั้น ๆ เราก็เห็นสิ่งที่คนเคยทำกันมาเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็ยังอยากจะดูทั้ง ๆ ที่เรื่องราวไม่ได้ต่างกันมาก

1: 11 และเรื่องของการที่คนตายไปแล้ว ผู้คนก็จะลืมเขาไป เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันเกิดขึ้นมาทำไมกัน ความรักที่ให้กันในชีวิตคู่ พอฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็ตาย ต่างก็ไม่มีใครจำพวกเขาได้…

1:12 เป็นข้อที่ยืนยันว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือกษัตริย์โซโลมอน กษัตริย์เหนืออิสราเอลจริง ๆ

1:13 เมื่อกษัตริย์โซโลมอนได้มองกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ในอาณาจักรที่ท่านครอบครอง และในประเทศต่าง ๆ รอบข้าง ซึ่งมีมากมายเกินนับ ท่านก็สรุปได้ว่า สิ่งที่มนุษย์ทำนั้น ต่างเป็นภาระที่หนักมาก และท่านมองด้วยว่า เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่คนเรา .. เกิดมาก็ต้องกิน อยู่ นอน ต่อสู้เพื่อให้มีกิน ป่วยก็ต้องรักษา บางคนก็ย่ำอยู่กับการต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด หลายคนที่มีพอ ก็มีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ฯลฯ

1:14 กษัตริย์โซโลมอนผู้มั่งคั่งและทรงปัญญาทรงเห็นว่า ทุกสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นไร้ค่า …​เหมือนไล่ตามกระแสลม ทำไมคนในฐานะเช่นนั้นจึงเห็นความอนิจจังของโลกนี้ชัดเจน มีอะไรในใจของท่าน ที่ทำให้สรุปเช่นนี้?

1:15 แม้ว่ามนุษย์จะพยายามเท่าไร เก่งเท่าไร บางอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างให้งอนั้น ก็ไม่อาจทำให้ตรง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีบางอย่างในชีวิตที่เป็นไปไม่ได้

1:16 โซโลมอนทรงรู้จักพระองค์เองเป็นอย่างดีว่า เป็นผู้ทรงปัญญา มีความรู้มากล้นเหลือ แต่ที่ยากอีกอย่างคือ ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ช้ากว่า เข้าใจอะไรยากกว่า นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับตัวท่าน เพราะที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครข้าง ๆ ที่จะเข้าใจท่านเลยจริง ๆ

1:17 เมื่อใครคนหนึ่งทุ่มเทที่จะเข้าใจสติปัญญาพร้อมไปกับความไร้สติ ความโง่… ดูว่าเป็นเรื่องขัดแย้งกันเหลือเกิน เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้ สร้างความวุ่นวาย อึดอัด และมันทำให้โซโลมอนอ่อนพระทัย เพราะมันเป็นสิ่งที่อนิจจังสำหรับท่าน

1:18 การมีสติปัญญาเหมือนกับเป็นการประกันว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับซาโลมอน บุรุษที่ทรงปัญญาที่สุดในโลกกลับบอกเราว่า เป็นเรื่องเศร้า
น่าจะเป็นเพราะเห็นอะไรทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่มีอะไรทำให้ตื่นเต้น อยากสืบค้นอีกต่อไป

พระคำเชื่อมโยง

ปัญญาจารย์ 1
1* สุภาษิต 1:1
2* สดุดี 39:5-6; 62:9; 144:4; โรม  8:20-21
3* ปัญญาจารย์ 2:22; 3:9
4* สดุดี 104:5; 110:90
5* สดุดี 19:4-6
6* ยอห์น 3:8
7* เยเรมีย์ 5:22

8* สุภาษิต 27:20
9* ปัญญาจารย์ 3:15
11* ปัญญาจารย์ 2:16
13* ปัญญาจารย์ 7:25; 8:16-17; 3:10
15* ปัญญาจารย์ 7:13
16* 1 พงศ์กษัตริย์ 3:12-13
17* ปัญญาจารย์ 2:3, 12; 7:23, 25
18* ปัญญาจารย์ 12:12

เศคาริยาห์ 14 พระยาห์เวห์ทรงครอบครอง

เหล่าผู้ทำลายนครเยรูซาเล็มถูกทำลาย
1 ดูเถิด วันของพระยาห์เวห์กำลังมาถึง เมื่อสิ่งที่พวกเจ้าริบมานั้น ถูกแบ่งปันต่อหน้าพวกเจ้า 

2 เพราะเราจะรวบรวมชาติต่าง ๆ เข้ามาต่อสู้นครเยรูซาเล็ม และนครนี้จะถูกยึด  บ้านเรือนถูกปล้น และผู้หญิงจะถูกข่มขืน  ประชากรจำนวนครึ่งหนึ่งจะถูกกวาดไปเป็นเชลย  แต่คนที่เหลือจะไม่ถูกเอาออกไป

3 แล้วพระยาห์เวห์จะทรงออกไปสู้ต่อต้านชาติต่าง ๆ เหล่านั้น ดังที่พระองค์ทรงต่อสู้ในสงคราม 

4 ในวันนั้น พระบาทของพระองค์จะยืนอยู่บนภูเขามะกอกเทศซึ่งอยู่ทางตะวันออกของนครเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกเทศจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนจากตะวันออกไปยังตะวันตกทำให้เกิดหุบเหวใหญ่ ครึ่งหนึ่งของภูเขาเคลื่อนไปทางเหนือ อีกครึ่งเลื่อนไปทางใต้

5 เจ้าจะหนีไปทางหุบเขาของเรา เพราะมันทอดยาวถึงอาซัล  เจ้าจะหนีไปเหมือนที่เจ้าหนีจากแผ่นดินไหวในสมัย กษัตริย์แห่งยูดาห์คืออุสซิยาห์   แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา พร้อมกับผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงของพระองค์ 

6ในวันนั้นจะไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความเย็นหรือน้ำแข็ง 

7 เป็นวันที่ไม่เหมือนวันใด  ซึ่งพระยาห์เวห์เท่านั้นทรงทราบ ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน แต่จะมีแสงสว่าง เมื่อเข้าเวลาเย็น 

8 และในวันนั้น น้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากนครเยรูซาเล็ม ครึ่งหนึ่งไหลไปทางทะเลตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งไหลไปทางทะเลตะวันตก น้ำจะไหลไป ตลอดทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว 

9 ในวันนั้น พระยาห์เวห์จะเสด็จมาเป็นกษัตริย์ของคนทั้งแผ่นดินโลก   จะมีพระยาห์เวห์องค์เดียวเท่านั้น และพระนามของพระองค์เพียงผู้เดียว 

10 ทั้งแผ่นดินจากเกบาสู่ริมโมนทางใต้ของนครเยรูซาเล็มจะถูกเปลี่ยนเป็นที่ราบ แต่เยรูซาเล็มจะถูกยกขึ้น และจะดำรงอยู่ในที่ของมัน จากประตูเบนยามินไปถึงประตูแรก  ๆ ไปจนถึงประตูมุม และจาก หอคอยฮานันเอลถึงบ่อย่ำองุ่นหลวง

11 ประชาชนจะอาศัยที่นั่น และจะไม่มีวันถูกทำลายสิ้นเชิงอีกต่อไป ดังนั้น ผู้คนในนครเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 

ศัตรูหายนะ
12 ภัยพิบัติที่พระยาห์เวห์จะทรงให้เกิดแก่ชาติต่าง ๆ ที่มาสู้รบกับเยรูซาเล็มนั้นคือ เนื้อของเขาจะเน่าคาตัวขณะที่ยืนอยู่ ตาของเขาเน่าไปคากระบอกตาและลิ้นของเขาก็เน่าคาปาก

13ในวันนั้น พระยาห์เวห์จะทำให้พวกเขาตื่นตระหนกกลัวลาน เพื่อว่าทุกคนก็จะจับมือของอีกคนไว้ และต่างก็สู้กันเอง 

14 ยูดาห์เองก็จะสู้รบที่เยรูซาเล็ม และพวกเขาจะเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของชาติรอบ ๆ  ทั้งแร่ทอง แร่เงิน และเสื้อผ้าจำนวนมหาศาล  

15 และภัยพิบัติดังกล่าวจะเกิดกับม้า ล่อ อูฐ และลา รวมทั้งสัตว์ทั้งปวงในค่ายเหล่านั้น 

ชาติต่าง ๆ จะนมัสการองค์กษัตริย์
(เลวีนิติ 23:33–44; เนหะมีย์ 8:13–18)
16 แล้วคนที่รอดชีวิตจากชาติต่าง ๆ ที่มาต่อสู้กับเยรูซาเล็ม  จะขึ้นไปปีแล้วปีเล่า เพื่อนมัสการองค์กษัตริย์ คือ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ และเพื่อจะฉลองเทศกาลอยู่เพิง

17 และหากครอบครัวใดในแผ่นดินไม่ขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการองค์กษัตริย์ คือ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ พวกเขาก็จะไม่ได้มีฝนตกลงมา 

18 และหากประชาชนแห่งอียิปต์ ไม่ขึ้นไปด้วยตนเองแล้วละก็ ฝนจะไม่ตกให้พวกเขา  นี่จะเป็นภัยพิบัติที่พระเจ้าทรงบัลดาลให้เกิดกับชนชาติที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิง

19 นี่จะเป็นการลงโทษอียิปต์ และชาติต่าง ๆที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิง

20 ในวันนั้น ลูกกระพรวนที่ตัวม้าจะมีข้อความจารึกไว้ว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” และหม้อในพระนิเวศของพระยาห์เวห์จะเป็นเหมือนอ่างหน้าแท่นบูชา
 
21 ที่จริงแล้ว หม้อทุกใบในเยรูซาเล็ม และยูดาห์จะบริสุทธิ์ต่อพระยาห์เวห์องค์จอมทัพและทุกคนที่มาถวายเครื่องบูชาจะรับเอาหม้อไปใช้ในการหุงต้มอาหาร จากวันนั้นมา จะไม่มีชาวคานาอัน(หรือพ่อค้า)ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพอีกต่อไป 

อธิบายเพิ่มเติม

เศคาริยาห์บทที่ สิบสี่ กลับมากล่าวถึงการปิดล้อมเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย   เพิ่มเติมสิ่งที่ไม่ได้พูดถึงในบทที่ 12 คือการครอบครองขององค์พระเมสสิยาห์ในหนึ่งพันปี  เป็นภาพที่ชัด โดดเด่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์ที่เกิดเป็นภาพสยดสยองมาก่อน และจากนั้นเต็มด้วยความตระการแห่งการปกครองของพระเจ้า   พระเจ้าจะทรงครอบครองเหนือทั้งอิสราเอลและคนต่างชาติทั่วโลก

1:1  คำว่า ดูเถิด กำลังบอกว่า มีเรื่องสำคัญที่จะบอก … เศคาริยาห์กล่าวถึง วันของพระยาห์เวห์ หรืออีกนัยหนึ่ง วันสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง  เป็นวันที่น่ากลัว วันแห่งการพิพากษากำลังมาถึง เป็นการยึดเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย 
วันของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อพระองค์ทรงทำตามที่ทรงดำริไว้ในพระทัย วันนั้นเป็นวันที่ชาติต่าง ๆ จะริบความมั่งคั่งของอิสราเอลและจะแบ่งสันปันส่วนกัน ในนครเยรูซาเล็ม!! 

14:2  พระเจ้าจะทรงให้ชาติต่าง ๆ รวมหัวกันเข้ามาสู้กับอิสราเอล พวกเขามีเป้าหมายที่จะทำตามอย่างที่ข้อสองเขียนไว้ และก็เหมือนกับเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม  2023  เมื่อฮามาสเข้ามาบุกอิสราเอลอย่างอาจหาญ แต่นั่นยังไม่ใช่ปล้นเยรูซาเล็ม แต่เหตุการณ์จะคล้ายคลึงกัน  เหตุการณ์ที่เศคาริยาห์กล่าวถึงจะเกิดขึ้นในอนาคต  (Constablenotes ให้ความเห็นว่า จะเกิดขึ้นในช่วงพันปี)

14:3 พระเจ้าทรงพระนามเอล กิบอร์ ทรงเป็นนักรบ พระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ จะทรงออกไปต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้ให้เหมือนอย่างในอดีต  (อพยพ 14:13-14; โยชูวา 10:14)

14:4 เหตุการณ์นี้ บ่งบอกว่า พระเจ้าจะทรงยืนบนภูเขามะกอกเทศที่อยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม ซึ่งจะถูกแบ่งเป็นสองส่วนจากตะวันออกไปตะวันตก เกิดหุบเหวใหญ่ ทำให้ภูเขาเคลื่อนไปเหนือและใต้…

14:5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ พวกเขาจะหนีไปได้อย่างปลอดภัย  อาซัลเป็นที่ ๆ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด แต่อยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางตะวันออก  การหนีของพวกเขาเหมือนสมัยแผ่นดินไหวตอนที่กษัตริย์อุสซียาห์ครอง (อาโมส 1:1)

เศคาริยาห์ใช้คำว่า พระเจ้าของข้าพเจ้า … เขาใกล้ชิดพระองค์มาก และพระองค์มาพร้อมผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายคือ ทั้งอิสราเอลที่เชื่อ คนต่างชาติที่เชื่อ และทูตสวรรค์  (มัทธิว 25:31; 1 เธสะโลนิกา 3:13; ยูดา 14)

14:6 โลกไม่ได้ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ดวงดาวอีก   ไม่มีความหนาว
ยะเยือกอีกต่อไป พระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างให้กับมนุษย์ 

14:7 ดูเหมือนว่าสภาพบรรยากาศจะคล้ายกับช่วงเวลาเย็น แม้ในช่วงเวลาเย็นของที่เคย ก็ยังจะมีแสงสว่าง (อ่านเยเรมีย์ 30:7)  วันนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างจากที่เราเคยชินกัน
นี่เป็นสภาพใหม่ของจักรวาลในวันที่พระเจ้าทรงกำหนดด้วยพระองค์เอง ไม่ได้เป็นวันที่มียี่สิบสี่ชั่วโมงเช้าเย็นอีกต่อไป 

14:8 จะมีน้ำแห่งชีวิตไหลไปทางตะวันตกลงทะเลใหญ่เมดิเตอร์เรเนียนและด้านตะวันออกลงยังทะเลตาย  น้ำแห่งชีวิตนี้ เป็นภาพของการออกไปอย่างรวดเร็ว คงที่ ให้ชีวิตกับริมฝั่งน้ำ  และจะไหลไปตลอดทั้งปี (โยเอล 3:18) สำหรับอิสราเอลในพระคัมภีร์ ถือว่ามีสองฤดูคือร้อน และหนาว ช่วงร้อนคือ พฤษภาคมถึงกันยายน และ ช่วงที่หนาวคือ ตุลาคมถึงเมษายน
 
14:9 วันนั้น พระยาห์เวห์จะทรงครอบครองทั่วโลก  ทรงเป็นกษัตริย์องค์เดียว พระนามเดียวเป็นที่เชิดชู  จะไม่มีพระอื่นอีกต่อไป
(เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5 )
พระคำข้อนี้ชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงครอบครองสูงสุด หนึ่งเดียว สมกับคำอธิษฐานของพระเยซูที่ว่า ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จในแผ่นดินโลกเช่นกัน 
(อ่าน สดุดี 2; มัทธิว  6:9-10; )

14:10 พื้นที่รอบเยรูซาเล็มจะกลายเป็นที่ราบ โดยที่พื้นที่ของนครเยรูซาเล็มจะถูกยกขึ้นมา ซึ่งน่าจะเกิดจากแผ่นดินไหว
โดยที่ทุกอย่างจะยังคงอยู่ในที่เดิมของมัน  เกบานั้นอยู่ทางเหนือ (2 พงศ์กษัตริย์ 23:8 ) ส่วนริมโมนอยู่ทางใต้ออกไปอีกไกล (เนหะมีย์ 11:29)

14:11 ข้อนี้มีความหมายมาก เพราะว่า เยรูซาเล็มอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัยมาโดยตลอด ตอนนี้ จะไม่มีอันตรายอีกต่อไป  ประชากรที่ต้องอยู่กับความหวั่นไหวจากศัตรู จะพบว่า เยรูซาเล็มน่าอยู่  ผู้คนจะเป็นสุขกับการที่มีพระเจ้าทรงครอบครอง 

ศัตรูหายนะ
14:12  ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับคนที่มารบกับเยรูซาเล็มคือ พวกเขาจะเจอกับความตายที่สยดสยอง เหมือนกับตายทั้งเป็น พวกเขาจะโดนความร้อนที่รุนแรงมากจนเนื้อหนังของเขาหลุดออกมา และตาก็บอดทันที เราไม่ทราบว่ามันเป็นระเบิด หรือ โรคระบาด ถ้าเป็นระเบิด ให้ลองคิดถึงสงครามที่ญี่ปุ่นเคยโดนถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์



14:13 ผู้คนต่างกลัวลาน ความคิดสับสนไปหมด กลับกลายเป็นพวกเขาที่เข้ามาบุก กลับสู้กันเองจนล้มตาย 
มีเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในอดีต   (ผู้วินิจฉัย 7:22; 1 ซามูเอล 14:15-20; 2 พงศาวดาร 20:23)

14:14  ไม่ใช่แค่ศัตรูจากชาติต่าง ๆ สู้กันเอง แต่อิสราเอลก็ออกไปรบด้วย และยังริบของได้อีกมากมาย

14:15 ภัยพิบัติไม่ได้เกิดกับมนุษย์เท่านั้น แต่เกิดกับสัตว์เลี้ยงและสัตว์พาหนะด้วย

14:16 คนที่รอดชีวิตจากชาติต่างๆ พร้อมกับคนอิสราเอลจะฉลองเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความหมายระลึกถึงการที่ผู้คนจะต้องพึ่งพระเจ้ายามที่เขาอยู่ในถิ่นกันดาร
จากเทศกาลหลาย ๆ อย่างพระเจ้าทรงเลือกเทศกาลอยู่เพิงเป็นตัวแทนของเทศกาลเหล่านั้นในยุค 1000 ปีที่จะทรงครอบครอง 
 
14:17-19 ดูเหมือนว่าในการปกครองพันปีนั้น ยังมีคนสองประเภทอยู่ คือที่เชื่อฟัง และไม่เชื่อฟัง คนที่ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าทรงบอกชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่ นั่นคือ
ขาดฝนรดแผ่นดิน!
เศคาริยาห์ได้กล่าวเน้นถึงอียิปต์เป็นพิเศษว่า พวกเขาจะต้องเข้ามาร่วมเทศกาลอยู่เพิง

14:20  ปกติม้าเป็นสิ่งที่ใช้ในการสงคราม เมื่อกระพรวนคอม้ากลับมีคำเขียนเหมือนกับคำเขียนบนผ้าโพกศีรษะของปุโรหิตว่า บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เท่ากับสงครามจะยุติลง  
หม้อในพระวิหารเองก็จะกลายเป็นเหมือนอ่างหน้าแท่นบูชาที่รองเลือด กลายเป็นหม้อบริสุทธิ์ไป
 
14:21  การที่หม้อทุกใบในเมืองจะเป็นหม้อบริสุทธิ์ แสดงถึงความบริสุทธิ์ทั้งหมดในเมือง จะไม่มีคนคานาอัน ซึ่งเป็นพ่อค้าที่โลภเอาแต่ได้ ในพระนิเวศของพระเจ้าด้วย ที่พระเยซูทรงเริ่มต้นชำระตอนที่ทรงอยู่ในโลก จะได้รับการชำระอย่างถาวร 

พระคำเชื่อมโยง

Zechariah 14
1* อิสยาห์ 13:6, 9
2* เศคาริยาห์ 12:2-3
4* เอเสเคียล 11:23; โยเอล 3:12
5* อาโมส 1:1; มัทธิว 24:30-31; 25:31;
โยเอล 3:11
7* มัทธิว 24:36; อิสยาห์ 30:26


8* เอเสเคียล 47:1-12
9* วิวรณ์ 11:15; เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4
10* เศคาริยาห์  12:6; เยเรมีย์ 31:38
11* เยเรมีย์ 31:40; 23:6
13* 1 ซามูเอล 14:15, 20; ผู้วินิจฉัย 7:22
14* เอเสเคียล 39:10, 17
15* เศคาริยาห์  14:12

16* อิสยาห์ 2:2-3; 60:6-9; 66:18-21; 27:13; เลวีนิติ 23:34-44
17* อิสยาห์ 60:12
18* อิสยาห์ 19:21; เฉลยธรรมบัญญัติ   11:10
20* อิสยาห์ 23:18; เอเสเคียล 46:20
21* อิสยาห์ 35:8; เอเฟซัส 2:19-22

เศคาริยาห์ 13 สังหารผู้เลี้ยง

จุดจบของการไหว้รูปเคารพ

1“ในวันนั้นจะมีน้ำพุเกิดขึ้นเพื่อวงศ์วานดาวิด และประชากรนครเยรูซาเล็ม เพื่อชำระพวกเขาจากความบาปและมลทินของพวกเขา (ไม้กางเขน)

2 และในวันนั้น พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า เราจะลบชื่อของรูปเคารพในแผ่นดินออกไป จะไม่เป็นที่จดจำอีกต่อไป และเราจะกำจัดเหล่าผู้เผยพระดำรัสเท็จและวิญญาณแห่งมลทินออกจากแผ่นดิน 

3 และหากใครยังขืนพยากรณ์ พ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดเขามาจะกล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าจะต้องตายเพราะเจ้ากล่าวคำเท็จในพระนามของพระยาห์เวห์’ เมื่อเขากล่าวคำพยากรณ์ พ่อและแม่ที่ให้กำเนิดเขามาจะแทงเขาทะลุ

4 และในวันนั้น ผู้พยากรณ์ที่ได้กล่าวคำพยากรณ์จะละอายเพราะนิมิตของพวกเขา พวกเขาจะไม่สวมเสื้อขนสัตว์เพื่อตบตาหลอกลวงประชาชนอีกต่อไป

5 เขาจะกล่าวว่า ‘ข้าไม่ได้เป็นผู้พยากรณ์ ข้าเป็นคนทำไร่ไถนา  เพราะข้าถูกซื้อเป็นบ่าวมาตั้งแต่เด็ก’

6 หากมีใครถามเขาว่า ‘บาดแผลบนตัวเจ้าหมายความว่าอย่างไร?’ เขาจะตอบว่า ‘นี่เป็นแผลที่ได้มาจากบ้านเพื่อน’

คนเลี้ยงแกะถูกโจมตี และแกะก็กระจัดกระจาย

(มัทธิว 26:31–35; มาระโก 14:27–31)

7 โอ ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อต้านผู้เลี้ยงแกะของเราเถิด ต่อต้านคนที่เป็นเพื่อนสนิทของเรา พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ จงฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ แล้วฝูงแกะจะกระจัดกระจายไป  และเราจะหันมือของเราไปจัดการกับเด็กเล็ก ๆ 

8 พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า และในแผ่นดินทั้งสิ้น สองส่วนสามจะถูกตัดออกและพินาศไป เหลือไว้ในแผ่นดินเพียงหนึ่งในสาม

9 คนหนึ่งในสามนี้ เราจะนำเขาผ่านไฟ เราจะถลุงพวกเขาเหมือนถลุงแร่เงิน และทดสอบพวกเขาเหมือนทดสอบแร่ทอง พวกเขาจะเรียกร้องนามของเรา และเราจะตอบเขา
เราจะกล่าวว่า “พวกเขาเป็นประชากรของเรา” และเขาจะกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา”

อธิบายเพิ่มเติม

บทนี้สืบเนื่องต่อจากบทที่สิบสอง เป็นเรื่องเดียวกัน จนถึงข้อหกในบทนี้ พระเจ้าทรงชำระอิสราเอลจากการไหว้รูปเคารพ จากนั้นเล่าเรื่องผู้เลี้ยงแกะอีกครั้ง ซึ่งถ้าเราเข้าใจว่าท่านผู้นี้คือ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุด ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเยซู!

13:1 เศคาริยาห์ 13:1   กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตอันเดียวกันกับ 3:8-9   น้ำพุนี่คือใคร … ท่านมาเพื่อชำระวงศ์วานดาวิด และชาวนครเยรูซาเล็ม    มีบางท่านจากวงศ์วานดาวิดนี้มาเป็นน้ำพุ  เป็นน้ำที่จะชำระบาปมลทินของอิสราเอล  น้ำพุนี้เป็นน้ำพิเศษที่จะล้างบาปได้!

บารุคให้ความเห็นว่า ในวันที่ พระเยซูเสด็จไปรับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดนด้วยยอห์นนั้น เป็นการที่พระองค์กำลังสื่อกับพระบิดาว่า พระองค์จะทรงทำตามแผนของพระเจ้า อิสราเอลจะเข้าสู่วันแห่งการบัพติศมา  และพวกเขาจะได้รับการชำระ (https://www.youtube.com/watch?v=NEsyiKLdFSk)

 13:2 เราจะเห็นเลยว่ารูปเคารพ  คนเผยพระดำรัสเท็จกับวิญญาณที่สกปรกนั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างชัดเจน เมื่อมีการสอนผิดเกิดขึ้นในชุมชนผู้เชื่อ มารก็สามารถทำงานได้อย่างสะดวก สบาย เพราะงานของมันขึ้นอยู่กับคำโกหกอยู่แล้ว   พระเจ้าจะทรงกำจัดการมุสาออกไปจากแผ่นดิน … 








ในช่วงเวลานั้น อิสราเอลจะรักภักดีต่อพระเจ้า มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างถูกต้อง ผ่านองค์พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ของพวกเขา  ไม่มีที่ให้กับผู้เผยเท็จอีกต่อไป

13:3 คนที่ยังไม่เชื่อฟัง ขัดขืนพระเจ้า กล่าวคำโกหกในพระนามของพระเจ้า แม้พ่อแม่ของเขาก็จะกำจัดเขาเอง 

13:4-5 เวลาผู้เผยพระดำรัสทำงาน พวกเขามักจะสวมเสื้อคลุมที่ทำให้คนรู้ว่า เขาเป็นผู้เผยพระดำรัส  แต่ตอนนี้เขาทำงานแบบนี้ไม่ได้อีก  เขาจะไม่อาจจะโกหกได้ต่อไป  แทนที่จะแสดงตัว กลับกลายเป็นหลบหน้าคน  ถึงกับโกหกว่าตัวเองเคยถูกซื้อมาให้ทำงานในไร่นา 

13:6   ที่มีคำถามว่า บาดแผลมาจากไหน เป็นเพราะพวกเขามักจะเอามีดกรีดตัวเองตอนที่ทำหน้าที่ เพื่อว่าจะได้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าคนมากขึ้น  เขาเลยบอกว่า ได้แผลมาจากเหตุผลอื่น (เยเรมีย์​16:6) เพื่อคนจะได้ไม่รู้ว่าเขาเคยเป็นผู้เผยเท็จมาก่อน

13:7  พระเจ้าทรงเรียกดาบให้ต่อต้าน ผู้เลี้ยงแกะของพระองค์  ผู้เลี้ยงแกะคนนั้นปรากฎพระองค์ในยอห์น บทที่ 10  และคนที่เป็นเพื่อนสนิทของพระองค์  เรียกภาษาฮีบรูว่า อามิติ (עֲמִיתִ֔י)    ซึ่งมีความหมายถึงคนที่อยู่กันอย่างสนิทสนม  เขาคนนี้เป็นคนที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า  พูดเหมือนพระเจ้า แต่กลับมีลักษณะแตกต่างจากพระองค์ 

คิดให้ดี ๆ ท่านผู้นี้ก็คือพระบุตรของพระองค์นั่นเอง  พระเจ้าทรงยอมให้พระบุตรของพระองค์ถูกฟาดฟัน จนสิ้นพระชนม์ !!
เศคาริยาห์ทำให้เราเห็นว่า การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรนั้นเกิดขึ้นด้วยพระองค์เอง และอิสราเอล (อิสยาห์ 53:10, เศคาริยาห์ 12:10-14)
เด็กเล็ก ๆ มีความหมายถึงประชากรอิสราเอล คนธรรมดาทั่วไป  พระเจ้าจะทรงให้พวกเขากระจัดกระจายเขาออกไปทั่วโลก และพระองค์จะทรงเมตตาเขาอีกครั้ง 

13:8 อิสราเอลจะถูกทำลาย 2/3 ในวันยุคสุดท้าย  จะเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างยิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในโลก
เหลือเพียงหนึ่งส่วนที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับไฟ  เขาพวกนี้คือผู้ที่หลงเหลืออยู่ (เยเรมีย์ 30:7  เรียกเหตุการณ์นี้ว่า ความทุกข์ร้อนของยาโคบ)

13:9  ที่พระเจ้าจำต้องทำเช่นนี้ เพื่อว่า พวกเขาจะได้รับความรอด และเขาจะได้เปลี่ยนแปลง กลายเป็นคนของพระเจ้า พวกเขาต้องผ่านการถลุงของพระเจ้า เพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ จะได้กลับมาเป็นคนของพระองค์จริง ๆ  เป็นเวลาเดียวกับที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับชาติต่าง ๆ ที่ทำร้ายอิสราเอลด้วย  

พระคำเชื่อมโยง

Zechariah 13
1* วิวรณ์ 21:6-7; ฮีบรู 9:14; เอเสเคียล 36:25
2* อพยพ 23:13; เยเรมีย์ 23:14-15
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 18:20; 13:6-11
4* มีคาห์ 3:6-7; 2 พงศ์กษัตริย์ 1:8

5* อาโมส 7:14
6* ยอห์น 20:25, 27
7* อิสยาห์ 40:11; ยอห์น 10:30; มัทธิว 26:31, 56, 67; ลูกา 12:32
8* เอเสเคียล 5:2, 4, 12; โรม 11:5
9* อิสยาห์ 48:10; 1 เปโตร 1:6,7; สดุดี 50:15; โฮเชยา 2:23