ปัญญาจารย์ 3 มีวาระสำหรับทุกสิ่ง

เวลากำหนดสำหรับทุกสิ่ง

3 มีวาระกำหนดสำหรับทุกสิ่ง
และมีเวลาสำหรับทุกเรื่องราวภายใต้ฟ้าสวรรค์

2 เวลาเกิด และเวลาตาย
เวลาปลูก และเวลาที่ถอนสิ่งที่ปลูกเอาไว้
3 เวลาฆ่าล้าง และเวลาบำบัดรักษา
เวลารื้อถอน และเวลาสร้างขึ้น
 4 เวลาร้องไห้ เวลาหัวเราะ
เวลาไว้ทุกข์คร่ำครวญ และเวลาเต้นรำ
 5 เวลาโยนหินและเวลารวบรวมเก็บก้อนหิน  เวลาโอบกอดและเวลาหลีกเลี่ยงการกอด
6 เวลาสืบค้นหา และเวลาที่สูญไป
เวลาที่จะเก็บรักษา และเวลาที่จะโยนทิ้ง
7 เวลาที่จะฉีกขาด และเวลาที่จะเย็บต่อติด เวลาที่จะเงียบ และเวลาที่จะพูด
8 เวลาที่รักและเวลาที่เกลียดชัง
เวลาทำสงคราม และเวลาสงบสุข

พระเจ้าทรงให้มีนิรันดร์กาลในใจของมนุษย์

9 คนงานได้รับประโยชน์อะไรจากแรงงานที่ลงไปบ้าง?
 10 ข้าได้เห็นภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่บุตรของมนุษย์เพื่อให้เขาได้สาละวนอยู่กับมัน
11 พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งงดงามในเวลาของมัน พระองค์ประทานความเป็นนิรันดร์ไว้ในใจของมนุษย์ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ไม่อาจค้นพบราชกิจของพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนจบได้ครบถ้วน
12 ข้ารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่ดีสำหรับมนุษย์ มากไปกว่าการที่จะมีความยินดี และทำความดีในขณะที่ยังมีชีวิต
13 ของประทานจากพระเจ้าอีกอย่างคือ มนุษย์จะได้กิน ดื่ม และมีความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์จากการงานทั้งสิ้นของเขา
 14 ข้ารู้ว่า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำขึ้นมานั้นจะคงอยู่นานเป็นนิตย์ ไม่อาจเพิ่มอะไรเข้าไปและไม่มีอะไรที่ตัดออกไปได้  พระเจ้าทรงกระทำไว้ตามนั้น เพื่อมนุษย์จะได้ยำเกรงพระองค์ 15 สิ่งใดก็ตามที่เป็นอยู่ ก็เคยเป็นมาแล้ว   และสิ่งที่จะเป็นต่อไป ก็เคยเป็นมาก่อนแล้ว พระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต 

16 ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าได้เห็นว่า แม้ในที่ ๆ มีความยุติธรรมธรรมก็ยังมีความโหดร้ายอยู่ด้วย และในที่ ๆ มีความเที่ยงธรรมก็มีความชั่วร้ายเช่นกัน
17 ข้าตรองในใจว่า “พระเจ้าจะทรงพิพากษาทั้งคนเที่ยงธรรม และคนชั่ว” เพราะมีเวลาสำหรับทุกเรื่อง และมีวาระสำหรับงานทุกอย่าง
18 ข้าพูดในใจเรื่องของบุตรมนุษย์ทั้งหลายว่า “พระเจ้าทรงทดสอบพวกเขาเพื่อเขาจะได้เห็นชัดว่า พวกเขาก็ทำตัวเหมือนสัตว์” 
19 เพราะชะตากรรมของบุตรของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้น ก็เป็นชะตากรรมอันเดียวกัน  มนุษย์ตาย สัตว์ก็ตาย และพวกเขาต่างมีลมหายใจเหมือนกัน ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีอะไรเหนือไปกว่าสัตว์เพราะทุกอย่างล้วนไร้ความยั่งยืน

 

คำอธิบายเพิ่มเติม

เวลากำหนดสำหรับทุกสิ่ง
พระคำบทนี้งดงาม และเมื่อเราอ่านช้า ๆ คิดตามไปเราจะยิ่งเข้าใจชีวิตของมนุษย์ลึกซึ้งขึ้น 3:1  วาระกำหนด     สำหรับทุกสิ่ง
        เวลากำหนด      สำหรับทุกเรื่องราว  คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ทุกอย่างที่มนุษย์ทำขึ้นมาในโลก กิจกรรมทุกชนิดของมนุษย์ ภายใต้ฟ้า …คือ ในโลกของเรา ที่อยู่ภายใต้เวลา  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกนี้มา อย่างแรกที่พระองค์ทรงเปิดขึ้นมาคือ “ในปฐมกาล = เวลาเริ่มต้น” และพระองค์ทรงเป็นทั้งปฐมและอวสาน  ดังนั้น เวลาในโลกจึงเป็นการทรงสร้างของพระเจ้าโดยตรง  มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้กรอบเวลานี้

3:2-8
ท่านปัญญาจารย์ได้เรียงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ตรงกันข้ามว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วทุก ๆ วันในโลก สุดแต่ว่าจะเกิดกับใคร ท่านได้ให้ไว้ทั้งหมด  14 ตัวอย่างของกิจกรรมหรือเหตุการณ์ในชีวิตมนุษย์ที่ตรงกันข้าม

1 เวลาเกิด เวลาตาย … การเกิด เกิดอย่างลึกลับ ไม่มีใครทราบว่าถือกำเนิดเวลาใด  เวลาตาย มีหลายแบบในโลกปัจจุบัน ตายเองตามธรรมชาติ ตายเพราะโรค อุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม ตายในสงคราม  (ตอนนี้มีการุณยฆาต (Euthanasia)  คือแพทย์ช่วยให้ตายตามที่ผู้ป่วยร้องขอ) 
2 ต่อมาเป็นการปลูก รื้อถอน ซึ่งท่านปัญญาจารย์น่าจะหมายถึงการเกษตร  
3 เวลาฆ่าล้าง และเวลาบำบัดรักษา  
4 เวลารื้อ เวลาสร้าง … หมายถึงกิจกรรมทางการก่อสร้างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
5 เวลาที่เกิดความเศร้าโศก และเวลาดีใจ
6 เวลาที่ต้องไว้ทุกข์ กับเวลาที่ร่าเริงเต้นรำได้ รายการทั้งสองนี้เป็นเรื่องของอารมณ์มนุษย์ที่ได้รับผลกระทบจากบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา 
7 เวลาที่โยนหิน กับเวลาที่รวบรวม  สิ่งนี้ หมายถึงสมัยโบราณที่ศัตรูเข้ามาทำลายพื้นที่การเกษตรของชาวนาชาวไร่โดยการโยนหินให้ทั่ว ทำให้เขาปลูกพืชไม่ได้ 
8 กล่าวถึงการกอด รัก และการที่ละเว้นจากสิ่งนั้น ซึ่งอาจหมายถึงความรักของคู่รัก เพื่อน หรือคนในครอบครัว … 
9  เวลาที่ค้นหา และเวลาที่ยอมให้สูญหายไป 10 เวลาที่จะเก็บรักษา และเวลาที่ต้องทิ้ง 
11 เวลาฉีกขาด และเวลาที่จะเย็บให้ติดกัน
12เวลาเงียบ เวลาพูด  คนเราก็เจอเวลาแบบนี้อยู่ทุกวัน
13 เวลารัก และเกลียด เป็นเรื่องของความสัมพันธ์และความรู้สึกที่สองฝ่ายมีต่อกัน 
14 เวลาที่มีสงคราม และ สันติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในระดับความสัมพันธ์ของคนสองคนไปจนถึงระดับชาติและนานาชาติ

ทั้งหมดนี้ ผู้ที่มีปัญญาจะใช้โอกาสจากเวลาที่พระเจ้าประทานให้ ได้คิด ได้ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นให้มาก  การสังเกตเวลาจะทำให้เรารู้การทำงานของพระเจ้าในโลกนี้ และเวลาของเราช่วงนี้ก็น่าหวาดหวั่นมาก เพราะโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อาจจะอยู่อีกไม่นาน …​เราจะทำอะไร ก็คิดให้ดีว่า เป็นสิ่งที่เหมาะกับเวลายุคนี้ไหม 

3:9-10
พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ได้มีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป การหาเลี้ยงชีวิตสมัยโบราณกับสมัยนี้แตกต่างกันก็จริง แต่ทุกคนต่างก็ใช้เวลาเพื่อการอยู่รอด เพื่อความสุขกันทั้งนั้น คำถามที่ว่ามนุษย์ได้ประโยชน์อะไรจากมัน? คำตอบจริง ๆ ก็มีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านปัญญาจารย์กำลังมองเห็นแต่ความอนิจจัง

3:11-13
พระเจ้าทรงทำให้เวลากำหนดความงามของธรรมชาติที่แตกต่าง แต่ละฤดูก็มีความงดงามแตกต่างกันไป   ที่เราเห็นรอบ ๆ ตัว สายน้ำ ต้นไม้ ภูเขา ทะเล  มอบความงามที่ทำให้เรามีความสุขยิ่งนัก
พระเจ้ายังประทานความเป็นนิรันดร์ให้มนุษย์ด้วย นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์ ที่ไม่รู้อะไรเลย พวกเขาไม่ได้อยู่แค่เพียงชั่วชีวิต ใจของเขาเฝ้าหาความเป็นนิรันดร์นั้น  เมื่อพบพระเจ้าเขาจึงจะมีความสุขได้อย่างสมบูรณ์แบบ 
มนุษย์จะรับพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ พวกเขาไม่อาจค้นพบพระองค์อย่างเต็มร้อยได้  มนุษย์มีความจำกัดอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับพระเจ้า  พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไรก็ตาม 


3:14-15
สิ่งที่พระเจ้า ทรงเรียกจากมนุษย์คือให้พวกเขาได้ยำเกรงพระองค์  การกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ทรัพยากร สภาพอากาศ ในท้องที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน  การต่อสู้เพื่ออยู่รอดของคนแต่ละกลุ่มในส่วนต่าง ๆ ของโลกนั้น แตกต่างกันไป
หากมนุษย์ยำเกรงพระเจ้า พระองค์ก็ทรงพอพระทัยพวกเขา ..

3:16-18 พระองค์ทรงมอบงานดูแลสวนเอเดนให้กับเขา มอบทั้งโลกให้เขาดูแล ทั้งอาณาจักรสัตว์และพืช เขาจะได้มีความสุขกับสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมา
เรื่องที่มนุษย์มีปัญหามากตั้งแต่โบราณมาจนวันนี้คือ เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าทรงอนุญาตให้ความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น  ความชั่วร้ายฝังตัวอยู่ในทุกที่ ทุกแห่ง
ถึงอย่างนั้นปัญญาจารย์เชื่อว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาในวันหนึ่ง ทั้งคนดีและคนชั่วจะต้องเจอกับการพิพากษานั้น ซึ่งก็ตรงกับคำสอนของพระเยซูคริสต์ 
การที่มีความชั่วร้ายในความยุติธรรม หรือในที่ แห่งความเที่ยงธรรมนั้น เป็นเพราะพระเจ้าทรงให้เราเห็นว่า อย่างไร ๆ มนุษย์ก็ไม่วายที่จะชั่วทั้ง ๆ ที่ดีมาตั้งแต่แรก แต่อาจกลับมาเสียตอนปลายได้ ไป ๆ มา ๆ มนุษย์กับสัตว์ก็มีที่สุดท้ายคือความตายเหมือนกัน 

3:19 ความตาย.. เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ มีนักธุรกิจคนหนึ่งที่โกรธมากเพราะเขาได้ทำงานสำเร็จ และมั่งคั่งมาก แล้วทำไมความตายต้องมาพรากเขาจากความสำเร็จเหล่านั้น แต่นี่คือความจริงของชีวิตมนุษย์ 
แม้ว่าวันนี้จะมีเศรษฐีไบรอัน จอนห์สัน Bryan Johnson  ที่พยายามจะเอาเลือดของลูกชายมาใส่ให้ตัวเอง วัดการกิน การออกกำลัง การบริโภคเพื่อให้ตัวเองเป็นคนหนุ่มเสมอ เขาอ้างว่าจะไม่ตาย แต่เขาไม่มีวันที่จะเอาชนะพระเจ้าในเรื่องนี้ได้

3:20-22
คนที่ไม่เชื่อพระเจ้านั้นก็จะโกรธ จะท้าทาย แต่หากเรามีพระเจ้า และรู้ว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็จะได้อยู่กับพระองค์ ตรงนี้ทำให้เราสบายใจ
ปัญญาจารย์กำลังมองโลกภายใต้ดวงอาทิตย์ ท่านฉลาดพอที่จะไม่กล่าวถึงโลกหน้าซึ่งสมัยของท่านนั้น ยังไม่มีคำตอบ เหมือนอย่างสมัยของพระเยซู ที่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนในโลกหน้า รู้ว่าความตายเป็นแค่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่นำเราไปสู่พระพักตร์พระบิดา  ความตายไม่อาจทำลายผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้   1 โครินธ์ 15:55 กล่าวว่า ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน ?  ความตายเอ๋ย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน?  ยอห์น 5:24  พระเยซูทรงสัญญาว่า ผู้เชื่อในพระองค์จะผ่านจากความตายไปสู่ชีวิต 

โรม 11 อิสราเอลที่ยังหลงเหลืออยู่

โรม 11:1-2
ข้าจึงถามว่า“พระเจ้าทรงทอดทิ้งคนของพระองค์อย่างนั้นหรือ?”จะไม่เป็นเช่นนั้น ข้าเองเป็นคนอิสราเอล เป็นผู้สืบเชื้อสายอับราฮัม เผ่าเบนยามิน พระเจ้ามิได้ทรงเขวี้ยงประชากรของพระองค์ไป พระองค์ทรงเลือกพวกเขามาแต่แรก ท่านไม่รู้เรื่องของเอลียาห์หรือ? ท่านกล่าวโทษอิสราเอลต่อพระเจ้า  

โรม 11:3
ท่านกล่าวว่า “โอ พระยาห์เวห์! พวกเขาได้สังหารผู้เผยพระดำรัสของพระองค์ และได้ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ด้วย ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต บัดนี้ พวกเขาก็พยายามที่จะสังหารข้าพเจ้าเช่นกัน” (1 พงศ์กษัตริย์ 19:10,14)

โรม 11:4-5
แต่พระเจ้าทรงตอบเขาว่าอย่างไรเล่า? พระองค์ตรัสว่า “เราได้ไว้ชีวิตชายในอิสราเอล  7,000  คนที่ไม่ได้ก้มกราบรูปเทพ
บาอัล  (1 พงศ์กษัตริย์ 19:18) บัดนี้ก็เช่นกัน มีคนหลงเหลืออยู่  ที่ทรงเลือกไว้ด้วยพระคุณของพระองค์

โรม 11:6
และหากพระองค์ทรงเลือกพวกเขาด้วยพระคุณ  เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเลือกเขาตามที่เขาประพฤติ
พระคุณจะไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป หากพวกเขาได้เป็นคนของพระเจ้าเนื่องจากการประพฤติ

โรม 11:7
ถ้าอย่างนั้น จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?
ประชากรอิสราเอลไม่ได้พบสิ่งที่พวกเขาตามหา แต่คนที่พระเจ้าทรงเลือกกลับได้รับสิ่งนั้น ส่วนคนที่เหลือก็ถูกทำ
ให้ใจดื้อด้าน ไม่ยอมรับฟังพระเจ้า

โรม 11:8
ตามที่มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าทรงให้พวกเขา
มีจิตใจมึนชา มีตาที่มองไม่เห็น มีหูที่ไม่ได้ยิน
จนกระทั่งทุกวันนี้ 

โรม 11:9-10
และกษัตริย์ดาวิดตรัสว่า
“ให้งานเลี้ยงฉลองของพวกเขา กลายเป็นบ่วง เป็นกับดัก เป็นหินสะดุดเป็นการตอบสนองพวกเขา ให้ตาของพวกเขามืดมัว เพื่อเขาจะมองไม่เห็น และหลังของเขาโก่งงอเสมอไป” 

โรม 11:11
ดังนั้น ข้าจึงถามเมื่อคนยิวล้มลง การล้มลงนั้นทำลายพวกเขาหรือไม่? ไม่เลย จะไม่เป็นเช่นนั้น!! ความล้มเหลวของพวกเขานำความรอดไปสู่คนต่างชาติ เพื่อเร้าให้พวกเขาเกิดความอิจฉาขึ้นมา

โรม 11:12
แต่หากความล้มเหลวของพวกเขานำมาซึ่งพระพรยิ่งใหญ่ให้กับโลก และการสูญเสียของพวกเขานำมาซึ่งพระพรยิ่งใหญ่ให้กับคนต่างชาติ แน่นอน โลกจะได้รับพระพรมากกว่านั้น
เมื่อรวบรวมยิวให้กลับมาจนครบบริบูรณ์

โรม 11:13-14
บัดนี้ข้ากำลังพูดกับท่านผู้เป็นคนต่างชาติในฐานะที่ข้าเป็นอัครทูตที่ถูกส่งไปยังคนต่างชาติ  ข้ารู้ว่า พันธกิจของข้านั้นสำคัญมาก เผื่อว่า ข้าอาจจะทำให้พี่น้องของข้ารู้สึกอิจฉา และเป็นทางที่ช่วยให้บางคนได้รับความรอด

โรม 11:15 
เพราะหากการที่พระเจ้าทรงปฏิเสธอิสราเอลหมายถึง  พระองค์ทรงกลับคืนดีกับโลก การยอมรับอิสราเอลคืนมาหมายความว่าอย่างไร? นั่นเป็นเหมือนการนำคนตายให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา (เอเสเคียล 37)

โรม 11:16
หากขนมปังผลแรกถูกนำมาถวายให้กับพระเจ้านั้นบริสุทธิ์   
ทั้งก้อนก็บริสุทธิ์ด้วย 
ถ้ารากของต้นไม้บริสุทธิ์กิ่งก้านของต้นไม้นั้นก็บริสุทธิ์เช่นกัน

โรม 11:17
แต่หากว่าบางกิ่งจากต้นมะกอก(อิสราเอล) ถูกหักออก ท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติก็เป็นเหมือนกิ่งมะกอกป่าซึ่งถูกนำมาต่อกิ่งเข้ากับต้นมะกอกแรก 
ท่านจึงได้รับอาหารและชีวิตจากต้นนั้น

โรม 11:18-19
ดังนั้นขออย่าให้ท่านโอ้อวดเรื่องกิ่งที่ถูกหักออกไป หากท่านโอ้อวดก็ขอให้จำไว้ว่า ท่านไม่ได้เลี้ยงดูรากแต่รากต่างหากที่เลี้ยงท่านแล้วท่านจะกล่าวว่า “กิ่งก้านถูกหักออกไปเพื่อฉันจะได้ถูกต่อกิ่งเข้ากับต้น

โรม 11:20-21
จริงทีเดียว พวกเขาถูกหักออกไปเพราะพวกเขาไม่เชื่อ และท่านกลับได้มาเป็น ส่วนของต้นไม้เพราะท่านมีความเชื่อ ดังนั้นก็อย่าเย่อหยิ่ง แต่จงเกรงกลัวหากพระเจ้าไม่ทรงเก็บกิ่งเดิมไว้ พระองค์ก็จะไม่ทรงเก็บท่านไว้เช่นกัน

โรม 11:22
ดังนั้น ท่านจงพิจารณาพระเมตตาและความเข้มงวดของพระเจ้าด้วย พระองค์ทรงลงโทษคนที่หลงผิด แต่พระองค์ทรงเมตตาต่อท่าน หากท่านยังคงวางใจในพระเมตตาของพระองค์ ไม่อย่างนั้น ท่านก็จะถูกตัดออกจากต้นเช่นกัน

โรม 11:23
และหากยิวได้กลับมาเชื่อพระเจ้าอีก
พระองค์ก็จะทรงรับพวกเขากลับมา
เพราะพระเจ้าทรงสามารถที่จะต่อกิ่ง
พวกเขาในที่ ๆ เดิม

11:24
เพราะหากท่านผู้เป็นคนต่างชาติถูกตัดออกจากต้นมะกอกป่า และได้รับการต่อกิ่งเข้ากับต้นมะกอกบ้านซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมชาติได้ ดังนั้นการที่กิ่งเดิมจะได้รับการต่อกลับเข้ายังต้นเดิมจะง่ายกว่านั้นสักเท่าใด

โรม 11:25
พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ข้าอยากให้ท่านได้เข้าใจความลึกลับนี้
เพื่อท่านจะไม่เกิดความทะนงตนขึ้นมา
คือ อิสราเอลบางส่วนนั้นจะมีใจแข็งจนกว่า คนต่างชาติจะเข้ามาจนครบจำนวนที่กำหนดไว้

โรม 11:26-27
เป็นอย่างนี้คือ คนอิสราเอลทั้งปวงจะได้ความรอด ตามที่มีเขียนในพระคัมภีร์ว่า “องค์พระผู้ช่วยกู้จะเสด็จมาจากศิโยน
พระองค์จะทรงนำความชั่วร้ายออกไปจากครอบครัวของยาโคบ และเราจะทำพันธสัญญากับพวกเขาคือ เราจะเอาบาป
ของพวกเขาออกไป

โรม 11:28
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวประเสริฐนั้นก็คือพวกเขาไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ เขาจึงเป็นศัตรูของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของท่าน แต่สำหรับการทรงเลือกของพระเจ้านั้น  พวกเขาเป็นที่รักเพราะพระสัญญาที่ทรงทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา  

โรม 11:29-30
พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยเรื่องคนที่พระองค์ทรงเรียก และสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเขา   เหมือนกับท่านที่ครั้งหนึ่งท่านเคยดื้อดึงไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่เมื่อคนอิสราเอลดื้อดึงต่อพระองค์ พระเจ้าก็ทรงเมตตาพวกท่านแทน

โรม 11:31-32
ในเวลานี้ พวกยิวไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าและพวกเขาจะได้รับพระเมตตาจากพระองค์ด้วย เพราะพระเมตตาที่พระเจ้าทรงแสดงต่อท่าน  พระเจ้าทรงปล่อยให้คนทั้งปวงเป็นดั่งนักโทษที่ถูกจำจองเนื่องจากความไม่เชื่อฟัง  เพื่อพระองค์จะได้แสดงพระเมตตาให้แก่ทุกคน 

โรม 11:33
โอ ความมั่งคั่ง พระปัญญาและ
ความรู้ของพระเจ้านั้น ยิ่งใหญ่เหลือเกิน!

ไม่มีใครสืบค้นได้ 
ไม่อาจหยั่งถึงการตัดสินพระทัย
ไม่อาจเข้าใจวิถีทางของพระองค์ได้

โรม 11:34-35
ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ใครเล่าที่รู้จักพระดำริของพระผู้เป็นเจ้าหรือใครเล่าที่สามารถกราบทูลให้คำปรึกษาแก่พระองค์? (อิสยาห์ 40:13) ไม่มีใครถวายสิ่งใดแก่พระองค์(โยบ 41:11) จนสมควรที่พระองค์จะทรงตอบแทนเขา

โรม 11:35-36
เพราะสรรพสิ่งมาจากพระองค์
โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์
ขอถวายพระสิริตระการแด่พระองค์
เป็นนิตย์!
อาเมน 

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 11:1-2
ท่านเปาโลยืนยันให้รู้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งยิว(อิสราเอล) ตัวท่านเองก็เป็นยิว ลูกหลานอับราฮัมเผ่าเบนยามิน ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านมารับใช้พระองค์กับพี่น้องทั้งชาวยิวและคนต่างชาติหากมองย้อนไป พระเจ้าไม่ทอดทิ้งอิสราเอล มีแต่อิสราเอลจะทิ้งพระเจ้า ตอนนี้ ในคริสตจักรที่โรมมีคริสเตียนชาวต่างชาติมากกว่าชาวอิสราเอล (ทั้งที่เชื่อพระเจ้า และไม่เชื่อ)เพราะพวกเขาถูกข่มเหงหนัก ต้องหนีออกไปจากโรม 

โรม 11:3
มีเหตุการณ์หนึ่งที่เอลียาห์ต้องต่อสู้กับราชินีเยเซเบลกับกษัตริย์อาหับ  เอลียาห์ท้อใจมากคิดว่าสู้อยู่คนเดียว  การต่อสู้ของเอลียาห์น่เห็นใจจริงเพราะทำให้เกิดความท้อใจเป็นที่สุด ท่านไปสู้กับเหล่าปุโรหิตของบาอัล ในการถวายเครื่องบูชาให้พระเจ้าทรงส่งไฟลงมา (อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 18)
เอลียาห์ลงมือประหารปุโรหิตเหล่านั้นด้วยตัวเองแถมยังวิ่งนำหน้ากษัตริย์ไปยังเมืองยิสราเอลทั้งเหนื่อย ทั้งโดดเดี่ยว ทั้งท้อแท้!!

โรม 11:4-5
แต่พระเจ้าทรงยืนยันกับเอลียาห์ว่า ท่านไม่ได้เป็นคนของพระเจ้าที่เหลืออยู่คนเดียว ยังมีอีก 7000คนที่เป็นคนของพระเจ้า ไม่ได้ก้มกราบเทพบาอัลพระเจ้าทรงทำให้เอลียาห์มีกำลังใจขึ้นมาอีก (อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 19) เรื่องการมีคนที่หลงเหลืออยู่มีการบันทึกไว้หลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม และตอนนี้ท่านเปาโลก็พูดถึงคนที่หลงเหลืออยู่ เพื่อพิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาของพระองค์พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งคนของพระองค์  

โรม 11:6
ย้อนกลับมาที่การทรงเลือกของพระเจ้า อิสราเอลไม่ได้เป็นคนดี หรือเป็นคนเที่ยงธรรมเต็มร้อยไม่มีบาป พวกเขาก็เหมือนคนทั่วไป ที่ต่างคือพระเจ้าทรงเลือกชนชาตินี้เป็นพิเศษเพื่อประกาศพระนามของพระองค์ (ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่กลับปฏิเสธหน้าที่นี้) ข้อ 5 ที่ผ่านมาย้ำว่าพระเจ้าทรงเลือกแต่ละคนด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการปฏิบัติตนของพวกเขา  แต่อิสราเอลที่เคร่งบทบัญญัติกลับคิดต่าง พวกเขาเชื่อการประพฤติแบบสุดโต่ง

โรม 11:7
คำถามของท่านเปาโลทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า
หมดหวังสำหรับคนอิสราเอลที่พยายามตามหา
ความเที่ยงธรรมให้ตนเอง (9:31-10:3) แต่ถ้าเรามองให้ดี พระเจ้าทรงตอบสนองคนที่มีความเชื่อในการไถ่บาปบนไม้กางเขนของพระเยซูคนที่ไม่เชื่อ พวกเขาก็จะไม่ได้รับพระพรนั้น
การที่ยิวมีใจดื้อด้าน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของพวกเขาเอง  ใจต่อต้านพระเจ้าสะสมมาหลายรุ่น กลายเป็นการไม่ยอมต่อพระเจ้าสืบมาจนทุกวันนี้

โรม 11:8
เป็นข้อพระคำที่สรุปจากเฉลยธรรมบัญญัติ 29:4 และ อิสยาห์ 29:10 
ทั้ง ๆ ที่คนอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ได้ด้วยการอัศจรรย์ตั้งแต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับชาวอียิปต์ การไล่ล่า การได้เดินข้ามทะเลบนดินแห้ง การที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาด้วยเสาเมฆเสาไฟ สี่สิบปีนั้นรองเท้าไม่ขาด เสื้อไม่เก่าถึงอย่างนั้น ก็มีบันทึกว่า
ท่านได้เห็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ หมายสำคัญและปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่เหล่านั้นด้วยตาของท่านเอง แต่จนทุกวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่ได้ประทานจิตใจที่จะเข้าใจ หรือตาที่มองเห็น หรือหูที่ได้ยินแก่ท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:4) 

โรม 11:9-10
ที่จริงแล้ว สิ่งที่ดาวิดได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้าคือ ขอให้ศัตรูได้เจอความย่อย ยับ (สดุดี 69:22-23) แต่แล้วดูเหมือนท่านเปาโลจะอธิบายว่า สิ่งนี้ก็กลับมาเกิดกับคนอิสราเอลที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา แถมยังดูหมิ่นพระองค์มาตลอด และยังเกลียดชังจนประหารพระองค์ที่ไม้กางเขน  แต่ถึงกระนั้น
พระเจ้าทรงพระคุณยิ่งใหญ่ทรงให้มีคนอิสราเอลหลงเหลืออยู่ที่วางใจพระเยซู!

โรม 11:11
คำตอบของคำถามที่ว่า เมื่อยิวล้ม มันเป็นการทำลายพวกเขาสิ้นเชิงไหม  คำตอบจากท่านเปาโลคือ ไม่ อย่างแน่นอน  ความล้มเหลวของพวกเขาที่ไม่ยอมรับพระเมสสิยาห์ ไม่ได้ทำให้ผู้คนหยุดพูดเรื่องของพระองค์  แต่กลับกลายทำให้คริสตจักร
ออกไปประกาศกับคนต่างชาติทั่วโลกให้กลับมาหาพระเจ้า เป็นที่ถวายพระเกียรติของพระองค์  แล้วน่าอิจฉาไหม ที่พระเยซูซึ่งทรงเป็นยิว กลับเป็นราชาของคนทั้งโลก?

โรม 11:12
ยิวที่กลับมาซึ่งท่านเปาโลกล่าวถึง ไม่ได้เกิดในยุคของท่านแต่จะเกิดในอีกสองพันกว่าปีต่อมา คือยุคของพวกเรานี่เอง ความร้อนแรงของสงครามในประเทศอิสราเอลเวลานี้ (2025) ทำให้เราเห็นความสำเร็จของคำพยากรณ์ล่วงหน้าหลายอย่างและนี่ก็เป็นหนึ่งในคำที่จะต้องสำเร็จด้วย นั่นคือคนอิสราเอลจะกลับมาเชื่อพระเจ้าครบบริบูรณ์ที่จริงแล้ว เราปรารถนาจะเห็น ยิวทุกคน กลับมา 

โรม 11:13-14
ความอิจฉาที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนั้นเป็นความอิจฉาในทางบวก ที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งดีในชีวิตฝ่ายวิญญาณของคนอิสราเอล  ในเมื่อพระเยซูทรงเป็นคนเชื้อสายอิสราเอล แล้วทำไมพระพรของพระเจ้าไปตกกับคนต่างชาติทั่วโลก? พวกเราล่ะ จะไม่ได้รับพรอย่างนั้นเลยหรือ? เราอยากได้ เราอยากได้พรแห่งชีวิตนิรันดร์เช่นกัน… นี่เป็นหนึ่งในรูปแบบความอิจฉาที่จะทำให้คนอิสราเอลกลับมาหาพระเจ้า
ขอให้ความหวังของท่านเปาโลได้สำเร็จเถิด!!

โรม 11:15 
ที่บอกว่า พระเจ้าทรงปฏิเสธอิสราเอลนั้น เรารู้ว่าเป็นการชั่วคราว เพราะว่า พระองค์ได้ตรัสเสมอในพระคัมภีร์เดิม ชวนให้อิสราเอลกลับใจและพระองค์จะทรงรื้อฟื้นพวกเขาอีกครั้ง และนั่นก็เป็นแผนการที่พระองค์จะทรงให้มีขึ้น เมื่ออิสราเอลคืนดีกับพระเจ้า จะเป็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์อย่างที่ท่านเปาโลกล่าวไว้ เหมือนการนำคนตายคืนชีพแม้มีอิสราเอลไม่น้อยที่เชื่อพระเยซูแล้ว แต่ยังมีอีกเกือบทั้งชาติที่กำลังจะกลับมาหาพระองค์ด้วย

โรม 11:16
นี่เป็นคำเปรียบเทียบที่มีหลายความเห็น
ความเห็นของบางท่าน : ขนมปังผลแรกนั้นคือชาวยิวที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ หรือเป็นผู้ที่หลงเหลืออยู่ที่เชื่อ ส่วนก้อนทั้งก้อนคือชาวยิวทั้งชาติ
ส่วนรากของต้นไม้นั้นบางท่านเห็นว่าพวกเขาคือเหล่าบรรพชนของคนอิสราเอลนั่นเอง ก็คือ ตั้งแต่อับราฮัมเรื่อยมา บ้างก็มีความเห็นว่า รากนั้นคือคริสเตียนยิวที่เชื่อมาตั้งแต่ต้น

โรม 11:17
ต่อจากข้อ 16 ท่านเปาโลกล่าวว่า หากรากบริสุทธิ์ กิ่งก็บริสุทธิ์เช่นกัน  และตอนนี้ท่านก็บอกชัดแล้วว่า กิ่งต้นมะกอกคืออิสราเอล ส่วนกิ่งมะกอกป่า คือคนต่างชาติที่เข้ามาเชื่อพระเจ้าจากการประกาศของคนอิสราเอลเองอย่างตัวท่าน และอัครทูตทั้งหลายอิสราเอลที่เชื่อนี้ เป็นผลแรกด้วยกิ่งมะกอกป่าถูกนำมาต่อกิ่งเข้ากับต้นมะกอกของพระเจ้า ได้รับน้ำเลี้ยงจากต้น ได้รับอาหารที่ดูดขึ้นมาจากราก ภาพนี้เริ่มชัดเจนขึ้น   

โรม 11:18-19
คนที่เป็นผู้เชื่อชาวต่างชาติได้รับการเตือนว่าอย่าอวดเพราะมีกิ่งที่ถูกหักออกไป การโอ้อวดแบบนี้ทำให้เห็นว่าใจของเขายังคงมีความบาปและความไม่เข้าใจอยู่  ท่านเปาโลชี้ให้เห็นว่า รากฐานแห่งความเชื่อนั้น เรายังต้องรับมาจากพระคัมภีร์ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกยิวนี้ได้รักษาไว้เป็นอย่างดี รากที่เลี้ยงความเชื่อของชนต่างชาติคือ เพราะพระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาที่มีต่ออับราฮัม พวกเราคนต่างชาติจึงได้รับพระคุณนี้

โรม 11:20-21
อิสราเอลเป็นจำนวนมากที่พระเจ้าทรงหักเขาออกไปเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เป็นคนที่ต่อต้านพระองค์ทุกวันนี้ มีคนอิสราเอลที่เป็นอัจฉริยะสายเทคโนโลยีสร้างสรรค์สิ่งที่กระทบกับชีวิตของคนทั้งโลก พวกเขาเป็นคนมีความคิดดี และฉลาดไม่เอาพระเจ้า แต่ในหมู่คนเหล่านี้ ยังมีคนที่กลับมาหาพระเยซู และยืนหยัดในการประกาศพระนามของพระองค์อย่างน่าชื่นชม  ตัวอย่าง Beholdisrael , Dr.James Tour , So be it! และ Oneforisrael ใน youtube

โรม 11:22
ดูเหมือนท่านเปาโลจะรู้ล่วงหน้าว่า อีกสองพันปีจะเกิดอะไรขึ้น  ผู้เชื่อซึ่งไม่ใช่เชื้อสายยิวบางพวกได้เกิดความรู้สึกดูหมิ่นคนยิวที่เชื่อ ได้สร้างความเชื่อขึ้นใหม่ว่า ความเชื่อนั้นสำคัญกว่าเชื้อชาติที่พระเจ้าทรงเลือกเอาไว้ และได้สอนว่าอิสราเอลที่เชื่อนั้นก็คือคริสตจักรรวมกันกับคริสตจักรทั้งโลกเรียก replacement theology  และกล่าวว่าคริสตจักรมาแทนอิสราเอล เท่ากับพวกเขากำลังหลงไปว่า ความคิดพวกเขาเหนือพระเจ้า 

โรม 11:23
เราทุกคนรู้อยู่ว่า จะเป็นยิวหรือคนต่างชาติต่างมีโอกาสได้รับพระคุณหรือถูกตัดจากพระคุณทั้งนั้น ข้อ 17  บอกว่าบางกิ่งถูกตัด บางกิ่งถูกต่อทั้งการตัดและต่อต่างมีเงื่อนไขคือ รับพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ หากมีคนอิสราเอลในวันนี้ หรือในอนาคตตัดสินใจกลับมาหาพระเยซูคริสต์  ต้อนรับพระองค์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเขา เขาก็จะได้รับการต่อกิ่งของเขากลับมาที่เดิม จะเห็นว่าสำหรับท่านเปาโล ต้นมะกอกเทศอธิบายดีที่สุด

11:24
มะกอกป่าสามารถต่อกิ่งเข้ากับมะกอกบ้านได้ ยิ่งกว่านั้นยังเกิดผลได้ด้วย หากได้นำมะกอกบ้านด้วยกันเข้ามาต่อ ยิ่งจะง่ายและเกิดผลงดงามกว่านั้นอีก  ที่ท่านเปาโลต้องบอกเรื่องนี้ย้ำ ๆ เพราะมีคนต่างชาติที่เชื่อ และเห็นว่ายิวปฏิเสธพระเจ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เกิดผลกับคนต่างชาติด้วยกันบางทีความรู้สึกลำพองก็อาจเกิดขึ้น และมีการพูดขึ้นมา ท่านเปาโลจึงต้องปรามไว้ก่อน ให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงพร้อมรับกิ่งเดิมกลับมาแน่นอน  

โรม 11:25
ยังมีความลึกลับซับซ้อนของการที่พระเจ้าทรงหันไปรับเอาคนต่างชาติเข้ามาในแผ่นดินของพระองค์ที่จริงแล้ว พระองค์ก็ทรงเลือกเขาเหล่านั้นมาก่อนที่จะทรงสร้างโลกเสียอีก (เอเฟซัส 1) จำนวนคนต่างชาติที่เข้ามาจะต้องครบจำนวนของพระองค์ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจำนวนนั้นคือเท่าไร แต่ในวันนี้เราเห็นแล้วว่า อิสราเอลได้หันกลับเข้ามาหาพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน และแถมว่า พวกเขามีความเข้าใจพระคัมภีร์ง่าย เร็วกว่าพวกเราเยอะเลย!!

โรม 11:26-27
ความลึกลับที่กล่าวถึงในข้อ 25 นั้นคือ แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่ง พระเจ้าทรงมุ่งความรอดไปยังคนต่างชาติแต่พระองค์มิได้ทรงทิ้งอิสราเอล พระองค์จะทรงกลับมานำพวกเขากลับสู่ความรอดอีก  ทรงนำความชั่วร้าย ความไม่เชื่อ ความบาปออกไป พระวิญญาณของพระองค์จะอยู่เหนือเขา พระดำรัสของพระองค์จะอยู่ในปากของพวกเขา และลูกหลานตลอดไป(อิสยาห์  59:20-21)
โรม 11:28
เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีพันธสัญญานิรันดร์กับ
อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ อย่างไร ๆ พวกเขาคือคนที่พระเจ้าทรงเลือกพิเศษ และเป็นที่รักด้วย
แต่พวกเขากลายเป็นศัตรูของพระเจ้าเพราะพวกเขาไม่ยอมรับพระเมสสิยาห์ที่เสด็จมาเมื่อสองพัน
ปีก่อน  แต่พระเจ้าก็จะไม่ทรงล้มเลิกที่จะนำคนทั้ง
หลายไม่ว่ายิวหรือต่างชาติกลับมาสู่แผ่นดินของพระองค์ วันนี้พระองค์ยังทรงเปิดทางให้เขาและ
คนต่างชาติอย่างเรากลับสู่อ้อมกอดของพระองค์ 
 

โรม 11:29-30
คนต่างชาติ ไม่ว่าจะชาติไหน แต่ไรมาก็เป็นคนที่ถือว่าไม่ได้เชื่อพระเจ้า กบฏต่อพระองค์ แต่พระเจ้าได้ทรงเมตตา ประทานโอกาสให้กลับใจ โดยผู้ที่ทรงสั่งการเรื่องนี้คือ องค์พระเยซูคริสต์เอง ในวันที่ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  ส่วนหนึ่งที่พวกเราได้รับโอกาสแห่งความรอดนี้ เป็นเพราะอิสราเอลเองที่ดึงดันต่อพระเจ้า  แต่แล้ว เรื่องก็พลิกกลับ คือพระองค์ทรงหันไปหาอิสราเอลอีก เพื่อพวกเขาจะได้รับพรที่ทรงสัญญาไว้แก่อับราฮัม

โรม 11:31-32
เหมือนเป็นเหตุและผลกลับไปกลับมาเนื่องจาก
ความไม่เชื่อ กับ พระเมตตาที่พระเจ้าทรงประสงค์จะประทานกับมนุษย์ ทุกคนในโลก อิสราเอลไม่เชื่อ
คนต่างชาติก็ได้รับพระเมตตา คนต่างชาติไม่เชื่อ
อิสราเอลก็ได้รับพระเมตตา
ทุกคนในโลกล้วนเป็นคนที่เหมือนติดคุกแห่งบาป
เป็นทาสแรงงานที่ถูกซื้อขายอยู่ในตลาดทาสบาป และผู้เดียวที่จะทำให้ทาสเหล่านี้เป็นไทยคือพระเยซูผู้ทรงซื้อทาสคืนด้วยชีวิตของพระองค์ 

โรม 11:33
ไม่มีใครที่จะเข้าใจแผนการตั้งแต่ต้นของพระเจ้า
ได้เลย ศัตรูของพระองค์ไม่อาจจะเข้าใจว่า วันหนึ่งพระองค์จะทรงเปิดทางให้มนุษย์ที่ทำบาปทุกคน
มาถึงพระเจ้าได้โดยไม่ต้องถวายเครื่องบูชาแบบที่คนอิสราเอลเคยผ่าน  เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงสร้างพระกายของพระองค์ขึ้นมาใหม่ ประกอบด้วยชนชาติทั้งโลกที่เชื่อในพระองค์พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มุ่งหน้าที่จะนำผู้คน
มาหาพระเจ้าเหมือนกัน เป็นพระดำริที่คาดไม่ถึง!!

โรม 11:34-35
สำหรับคนที่รู้จักพระเจ้าจริง พวกเขาเข้าใจทันทีว่าสมองเล็ก ๆ คนที่รู้ภาษาแค่นี้ แม้จะรู้เท่ากับคนทั้งหมดโลก ก็ยังไม่สามารถรู้ถึงพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ไม่สามารถรู้พระดำริของพระองค์ได้หมด เพียงแค่ที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านธรรมชาติที่เราต้องใช้เวลาเรียนรู้ทั้งชีวิต ก็ยังรู้ไม่หมด เพียงแค่ที่พระเจ้าประทานผ่านพระคัมภีร์  ก็ยังแปลความได้ไม่ถี่ถ้วนไม่เข้าใจอย่างปรุโปร่ง ความลี้ลับของเอกภพ ก็ไม่อาจเข้าใจแจ่มแจ้ง นี่คือพระเจ้าของเรา !!

โรม 11:35-36
มนุษย์เราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ โดยไม่เริ่มมาจากสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมาก่อน  สรรพสิ่งเป็นมาจากพระองค์ทั้งสิ้น แผนการแห่งความรอด
ก็เป็นมาจากพระองค์ เพื่อพระเกียรติยิ่งใหญ่ของ
องค์พระผู้สร้าง และแผนการนั้นไม่มีใครทำให้ได้
นอกจากโดยองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น  ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการสรรเสริญพระองค์อย่างสูงส่งที่ทรงให้กับมนุษย์ทุกคนโดยไม่คิดค่าใด ๆ  ท่านเปาโลชวนเราถวายพระสิริแด่พระเจ้าเป็นนิตย์ 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 11
1* เยเรมีย์ 46:28; 1 ซามูเอล 12:22; 2 โครินธ์ 11:22
2* โรม 8:29
3* 1 พงศ์กษัตริย์ 19:10, 14
4* 1 พงศ์กษัตริย์ 19:18
5* โรม 9:27
6* โรม 4:4
7* โรม 9:31; 2 โครินธ์ 3:14
8* อิสยาห์ 29:10, 13; เฉลยธรรมบัญญัติ  29:3-4
9* สดุดี 69:22-23
11* อิสยาห์ 42:6-7; โรม 10:19



12* โฮเชยา 1:10: 2:23
13* กิจการ 9:15; 22:21
14* 1 โครินธ์ 9:22
15* อิสยาห์ 26:16-19
16* เลวีนิติ 23:10
17* เยเรมีย์ 11:16; เอเฟซัส 2:12
18* 1 โครินธ์ 10:12
20* ฮีบรู 3:19
22* 1 โครินธ์  15:2;
23* 2 โครินธ์ 3:16
25* โรม 12:16; 2 โครินธ์ 3:14; ลูกา 21:24


26* อิสยาห์ 59:20-21
27* อิสยาห์ 27:9
28* เฉลยธรรมบัญญัติ  7:8; 10:15
29* กันดารวิถี 23:19
30* เอเฟซัส 2:2
32* กาลาเทีย 3:22
34* อิสยาห์ 40:13; เยเรมีย์ 23:18; โยบ 36:22
35* โยบ 41:11
36* ฮีบรู 2:10; 13:21

มัทธิว 15 ชนะด้วยความเชื่อของแม่!

กฎมนุษย์มาแทนที่ความรักพ่อแม่
1 แล้วเหล่าฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มก็มาหาพระเยซู ทูลถามพระองค์ว่า
2 “เหตุใดพวกศิษย์ของท่านจึงไม่เชื่อฟังกฎตามประเพณีที่ส่งต่อกันมานานแล้ว พวกเขาไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหารกันเลย”
3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า เพียงเพื่อจะทำตามกฎตามประเพณีเล่า?”
4 พระเจ้าตรัสไว้ว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า และหากใครแช่งด่า ว่าร้ายพ่อแม่ จะต้องมีโทษถึงตาย
5 แต่พวกเจ้ากลับกล่าวว่า ลูกสามารถพูดกับพ่อแม่ได้ว่า ‘สิ่งที่ฉันจะใช้ให้เป็นประโยชน์กับท่านนั้น ฉันได้ถวายพระเจ้าไปแล้ว’ (เป็นประเพณีที่เรียกว่า โกระบาน )
6  พวกเจ้าสอนให้คนยับยั้ง ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของตนเอง เจ้ายกเลิกพระบัญชาของพระเจ้า เพราะเห็นแก่กฎตามประเพณีของเจ้า   
7 เจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด! อิสยาห์พูดถูกต้องแล้ว เมื่อเขาเผยพระดำรัสเรื่องของพวกเจ้าว่า 
‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปากเท่านั้น แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ค่า  คำสอนของเขาเป็นแค่กฎของมนุษย์ที่สอนต่อ ๆ กันมา’


10 จากนั้น พระเยซูทรงเรียกประชาชนเข้ามาหาพระองค์ ตรัสว่า “จงฟัง และพยายามเข้าใจเถิด ว่า
11 สิ่งที่เข้าปากมนุษย์ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นมลทิน”
12 จากนั้นศิษย์ของพระองค์เข้ามาหาพระองค์ ทูลถามว่า “พระองค์ทรงทราบไหมว่า พวกฟาริสีได้ยินที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็โกรธมาก?”
13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ไม่ได้ทรงปลูกไว้นั้น จะถูกทั้งถอนรากและถอนโคน 
14 พวกเจ้าจงอยู่ให้ห่างเขา พวกเขาเป็นผู้นำแบบตาบอด  ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งคู่ก็จะตกลงไปในหลุม”

ขอความเข้าใจ
15 เปโตรทูลว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมานี้แก่พวกเราเถิด พระเจ้าข้า” 
16 พระเยซูตรัสว่า
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?
17 เจ้ารู้นี่นาว่า อาหารทั้งหมดที่เข้าไปในปาก ก็ลงไปในท้อง จากนั้นก็ออกจากร่างกายไป
18 แต่สิ่งที่ผู้คนพูดออกมานั้น ก็มาจากใจ จากความคิดจิตใจของเขา  สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเป็นมลทิน


19 เพราะจากใจนั้น คือความคิดชั่ว  การฆาตกรรม  ความผิดทางเพศ การขโมย การมุสา การใส่ร้าย
20  สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเป็นมลทิน  ส่วนการกินโดยไม่ล้างมือนั้น ไม่ได้ทำให้เป็นมลทิน 

ความเชื่อของหญิงคานาอัน
21 พระเยซูทรงออกมาจากที่นั่น และเสด็จเข้าเขตเมืองไทระ และเมืองไซโดน (ซึ่งอยู่ริมทะเลทางตะวันตกเฉียงเหนือ)
22 มีหญิงชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบนั้นมาเฝ้าพระเยซู ทูลว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบุตรดาวิด โปรดเมตตาข้าเจ้าด้วย! ลูกสาวของข้าเจ้ามีผีสิง ทรมานมากเจ้าค่ะ”
23 แต่พระเยซูไม่ได้ตอบเธอสักคำ  ดังนั้นศิษย์ของพระองค์จึงเข้ามาและทูลว่า “ขอพระองค์บอกให้เธอไปเถิด  เพราะเธอมาร้องตะโกนตามเราอย่างนี้” 
24 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อหาแกะหลงหายของอิสราเอลเท่านั้น”
25 แล้วเธอจึงมาหาพระเยซูอีกครั้งและกราบลงต่อพระองค์ กล่าวว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าเจ้าด้วยเถิด”
26 พระเยซูตรัสตอบเธอว่า “ที่เราจะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขนั้นไม่ถูกต้อง”

27 เธอจึงกล่าวว่า “ใช่แล้วพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขยังกินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย” 
28 แล้วพระเยซูตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อที่ใหญ่ยิ่งนัก ให้เป็นไปตามที่เจ้าร้องขอเถิด”
แล้วลูกสาวของเธอก็ได้รับการรักษาในเวลานั้นเอง

พระเยซูทรงรักษาคนต่างชาติมากมาย
29 หลังจากที่พระองค์เสด็จจากที่ตรงนั้น ก็ทรงไปตามชายฝั่งกาลิลี  ทรงขึ้นไปประทับนั่งบนภูเขา 
30 คนเป็นจำนวนมากได้มาหาพระเยซู และนำคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนป่วยอย่างอื่นมาหมอบแทบพระบาท และพระองค์ก็ทรงรักษาเขา


31 ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ เมื่อพวกเขาเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ  คนง่อยเดินได้ คนตาบอดก็มองเห็น พวกเขาก็พากันสรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล 

พระเยซูทรงเลี้ยงกว่าสี่พันคน 

32 พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาพระองค์ตรัสว่า
“เราสงสารผู้คนเหล่านี้ เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และพวกเขาคงจะหมดแรงตามทางกลับบ้าน”
 33 ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า
“แถวนี้เป็นที่ ๆ ห่างไกล เราจะไปหาขนมปังที่ไหนมามากพอที่จะเลี้ยงคนมากมายอย่างนี้ขอรับ?”
 34 พระเยซูตรัสถามว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน?” “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็ก ๆ สองสามตัวขอรับ” 
35พระเยซูทรงบอกให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น  
36  แล้วพระองค์ก็นำขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา รวมทั้งปลา และขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นทรงแบ่งขนมปังออก มอบให้กับศิษย์เพื่อให้พวกเขานำไปแจกให้ประชาชน
37 ทุกคนได้กินจนอิ่มเอม แล้วศิษย์ของพระองค์เก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตะกร้าใหญ่ 
38 จำนวนคนที่กินอาหารด้วยกันนั้น คือชาย 4000 คน ไม่ได้นับผู้หญิงและเด็ก  

39 หลังจากที่ทรงส่งประชาชนกลับบ้านแล้ว พระเยซูทรงลงเรือไปยังแคว้นมากาดาน

อธิบายเพิ่มเติม

กฎมนุษย์มาแทนที่ความรักพ่อแม่
15:1-3 
เบื้องหลังของเรื่องนี้ อยู่ในประวัติศาสตร์
 ในช่วงเวลาระหว่างพระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่นั้น เหล่าปัญญาชนของยิวได้ร่วมมือกันสร้างกฎประเพณีขึ้นมากมาย ทำให้ประชาชนต้องทำตาม และหากไม่ทำตามก็ถือว่าทำผิดบาป 
ซึ่งเป็นกฎที่มีมากมาย ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน คนยิวต้องคอยระวังไม่ทำผิดกฎต่าง ๆ ที่ควบคุมชีวิตอย่างละเอียดยิบ 
สำหรับฟาริสี และธรรมาจารย์ การล้างมือก่อนรับประทาน เป็นประเพณีทางความเชื่อที่สอนกันมาตามกฎประเพณีของยิว เมื่อพวกเขามาเจอศิษย์ของพระเยซูไม่ทำตามประเพณีเช่นนี้ ก็เลยถือโอกาสจับผิดพระเยซูเสียเลย 
แต่พระเยซูทรงถามกลับไปว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำตามบทบัญญัติของพระเจ้า  เรื่องการให้เกียรติบิดามารดา    (อพยพ 20:12, 21:17 ;เลวีนิติ 20:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; ) พระเยซูทรงทราบว่า พวกเขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการที่จะให้ประโยชน์กับพ่อแม่  ทรงใช้พระวจนะของโมเสสมาย้อนถามพวกเขา 

15:4-9  พวกเขาจะไม่ช่วยพ่อแม่ ไม่ให้สิ่งจำเป็นกับพ่อแม่ที่อาวุโส โดยอ้างว่า อะไร ๆ ที่จะให้พ่อแม่นั้น ได้ถวายพระเจ้าไปเสียก่อนหน้าเขายกเลิกการให้เกียรติ การดูแลพ่อแม่ ด้วยกฎประเพณีของพวกเขา  พวกเขายกกฎประเพณีมาอยู่เหนือบทบัญญัติของพระเจ้า  
พระเยซูทรงสรุปให้เห็นชัดว่า พวกเขานับถือกฎประเพณี เป็นคนหน้าอย่างหลังอย่าง ดังนั้น เมื่อประชาชนได้ยิน พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า  ฟาริสี ธรรมาจารย์กำลังควบคุมชีวิตพวกเขาอย่างไร 

15:10-11 แล้วพระเยซูทรงสรุปให้ประชาชนเข้าใจว่า คำสอนของฟาริสี ธรรมาจารย์นั้นไม่ถูกต้อง  แน่นอนมีคนที่ไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อน และตาของเขาก็เปิดออก เข้าใจแล้วว่า พวกเขาไม่ได้รับคำสอนจากบทบัญญัติอย่างถูกต้อง 

15:12-14   แล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้น ฟาริสีและธรรมาจารย์โกรธมากที่พระเยซูทรงเปิดโปงพวกเขา  และยังตรัสชัดว่า พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด ตรัสด้วยว่า พระเจ้าจะทรงถอนรากถอนโคนพวกเขา
พวกเขาเองคิดเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่า ตนเป็นคนดี ทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้า ไม่เคยเห็นตัวจริงของตนเอง เมื่อถูกเปิดโปงต่อหน้าประชาชนเช่นนี้ ก็รับไม่ได้ และถือว่า พระเยซูทรงเป็นศัตรูสำคัญที่อาจทำลายสถาบันศาสนาของพวกเขา
แล้วพระเยซูทรงสรุปให้เห็นว่า ฟาริสี ธรรมาจารย์พวกนี้คือคนตาบอดนั่นเอง หากผู้คนติดตามพวกเขาก็จะพินาศเหมือนพวกเขา …. ในโลกของเราทุกวันนี้มีคนที่หลอกว่าเป็นคนเก่ง เป็นโค้ช เป็นผู้เชี่ยวชาญไม่น้อย ..ดังนั้นเราต้องคอยระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หลอกฝ่ายวิญญาณ เพราะผลที่ได้คือนรก…

ขอความเข้าใจ
15:15-20
แล้วเปโตรก็มาหาพระเยซู ขอคำอธิบายเรื่องอุปมานี้ 
พระเยซูทรงอธิบายชัดเจนถึงการเป็นมลทินซึ่งแตกต่างจากที่ฟาริสีเข้าใจ  พวกเขาเข้าใจแค่ความสกปรกภายนอกร่างกายว่าเป็นมลทิน แต่พระเยซูทรงหมายความถึงความมลทินฝ่ายวิญญาณ มลทินในใจที่มนุษย์มองไม่เห็น มันแอบซ่อนอยู่ในใจ  
เมื่อใครก็ตามพูดสิ่งที่ชั่วร้ายออกมา นั่นคือ ออกมาจากใจของเขา มันฝังลึกในความคิด และค่อย ๆ ปรากฏออกมาทางปาก  ทางคำพูด
จากข้อสิบเอ็ด    สิ่งที่เข้าปากมนุษย์ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นมลทิน 
พระคำตอนนี้ทำให้เราต้องสำรวจใจของเราเองว่า มีอะไรข้างในที่ทำให้เป็นมลทิน  เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อไรที่ออกมานั้นน่ากลัวและน่าอาย

ความเชื่อของหญิงคานาอัน
15:21-28
แล้วมัทธิวก็กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวคานาอัน เป็นเชื้อสายของคนที่เป็นศัตรูกับคนอิสราเอลมานาน  แต่บัดนี้ มีเชื้อสายศัตรูเข้ามาหาพระเยซูเพื่อขอความช่วยเหลือ น่าแปลกที่เธอเรียกพระองค์ว่า พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับคำว่า พระบุตรของดาวิด ซึ่งทำให้เราเห็นว่า พระองค์จะต้องเป็นที่รู้จักกันในนามนั้น 
พระเยซูทรงรักษาโรค และไล่ผีออกจากผู้คนมากมายเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่ว หญิงชาวคานาอันผู้นี้จึงกล้าเข้ามาเฝ้าพระองค์ และร้องขอแล้วขออีกจนศิษย์ของพระองค์มาขอให้พระองค์บอกให้เธอไปเสีย … 
แล้วพระเยซูทรงบอกเธอชัดว่า งานของพระองค์นั้นจำกัดอยู่ที่คนอิสราเอลเท่านั้น
แต่เธอไม่ยอมกับเหตุผลของพระองค์ เธอมากราบอีก  ขอความช่วยเหลืออีก  จะให้แม่คนนี้ ที่สงสารลูกสุดใจกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร
แล้วพระเยซูกลับตอบเธอว่า พระองค์ไม่ควรที่จะเอาอาหารของคนยิวให้คนต่างชาติ สิ่งที่พระองค์ตรัส ดูเหมือนไม่แคร์เธอเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่ยอมเช่นกัน… 

เป็นสุนัขก็ได้ แต่..เจ้านายก็ต้องยอมให้มันได้เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย  ความเชื่อว่าพระเยซูจะรักษาโรคให้ลูกสาวนั้นเป็นความเชื่อที่แรงมาก จนพระเยซูอดไม่ได้ที่จะตรัสว่า เธอมีความเชื่อยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงอนุญาตให้ลูกของเธอพ้นจากอำนาจมารทันที  และด้วยความเชื่อ ความไม่ยอมแพ้ ความมั่นใจว่าพระเยซูทรงทำให้ได้ พระเยซูทรงเมตตา ทำให้เธอชนะ!

พระเยซูทรงรักษาคนต่างชาติมากมาย
15:29-31
จากเมืองริมฝั่งทะเล พระเยซูก็เดินทางไปยังชายฝั่งกาลิลี เราจะเห็นว่า  เขตตรงนี้น่าจะเป็นพื้นที่ทศบุรี ซึ่งมีเมืองต่าง ๆ ของคนต่างชาติกระจุกกันอยู่สิบเมือง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบกาลิลี  แม้พระเยซูจะตรัสว่า พระองค์ทรงมาตามหาแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น แต่ปรากฏว่า พระองค์ทรงออกไปในเขตของชนต่างชาติหลาย ๆ ชาติ และรักษาคนง่อย คนตาบอด พิการแบบต่าง ๆ คนป่วยสารพัดโรค ทำให้พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล  นี่เป็นภาพที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เป็นตามที่อิสยาห์ 

พระเยซูทรงเลี้ยงกว่าสี่พันคน
15:32-39
เรามักสับสนว่า พระเยซูทรงเลี้ยงคนเท่าไรกันแน่ ในพระกิตติคุณได้บันทึกชัดเจนถึงครั้งที่ทรงเลี้ยงห้าพันคน (มัทธิว 14: 13-21) และอีกครั้งที่ทรงเลี้ยงสี่พันคน และทั้งสองครั้งนี้มีความแตกต่างกันชัดเจน  ทำให้เราเห็นความสงสารในพระทัยของพระเยซูที่มีต่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติ  ทำให้เราเห็นถึงความไม่เข้าใจและความไม่เชื่อของเหล่าศิษย์ใกล้ชิดอย่างชัดเจน 
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเห็นพระองค์ทรงเลี้ยงคนมาก่อนหน้า แต่ครั้งนี้พวกเขาอาจคิดว่า พระองค์ไม่ได้สนพระทัยคนต่างชาติก็เป็นได้ และพวกเขาเองก็ไม่ใส่ใจคนต่างชาตินัก จะเห็นได้จากก่อนหน้านี้ที่พวกเขาขอให้พระองค์ไล่หญิงชาวคานาอันที่มาขอความช่วยเหลือออกไป 

การอัศจรรย์ท่ามกลางชนต่างชาติครั้งนี้ ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้พระเยซูจะตรัสกับหญิงคานาอันว่า ทรงมีพันธกิจต่อคนอิสราเอล แต่แล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงพระทัยจริง ๆ ว่า ไม่ได้ทรงเห็นแก่เชื้อชาติ หรือการเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก พระองค์ทรงแสดงความรักเอาใจใส่ ทรงเมตตาต่อทุกชนชาติเหมือน ๆ กัน

การบันทึกเรื่องราวของการเลี้ยง 4000 คนนี้จึงทำให้คนต่างชาติทั้งหลายได้รับพระกรุณาจากพระเจ้ามาตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ทรงดำเนินท่ามกลางประชาชนแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระองค์ทรงบัญชาในมัทธิวบทที่ 28

ข้อเปรียบเทียบการเลี้ยงสองครั้ง

พระคำเชื่อมโยง

Matthew 15
1* มาระโก 7:1
2* มาระโก 7:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16;
อพยพ 21:17
5* มาระโก 7:11-12
7* มาระโก 7:6
8* อิสยาห์ 29:13
9* โคโลสี 2:18-22
10* มาระโก 7:14



11* กิจการ 10:15
13* ยอห์น 15:2
14* ลูกา 6:39
15* มาระโก 7:17
16* มัทธิว 16:9
17* 1โครินธ์  6:13
18* ยากอบ 3:6
19* สุภาษิต 6:14
21* มาระโก 7:24-30
22* มัทธิว 1:1; 22:41-42

24* มัทธิว 10:5-6
26* มัทธิว 7:6
28* ลูกา 7:9
29* มาระโก 7:31-37; มัทธิว 4:18
30* อิสยาห์ 35:5-6; ลูกา 7:38; 8:41; 10:39
31* ลูกา 5:25-26; 19:37-38
32* มาระโก 8:1-10
33* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
36* มัทธิว 14:1; ลูกา 22:19
39* มาระโก 8:10