ฮีบรู 3 มั่นคงจนจบ

พระบุตรทรงซื่อตรง




3:1 ดังนั้น เหล่าพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้มีส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงใส่ใจ จดจ่อที่พระเยซูผู้ทรงเป็นองค์อัครทูต และมหาปุโรหิตซึ่งเรารับว่าเราเชื่อพระองค์
3:2 พระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสส
ซื่อตรงต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า
3:3 เหตุว่าพระเยซูทรงสมควรที่จะรับเกียรติยิ่งใหญ่กว่าเกียรติของโมเสส
ดังที่ผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติกว่าตัวบ้าน
3:4-5 และบ้านทุกหลังก็จะมีผู้สร้างแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสซื่อตรงในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานเรื่องต่าง ๆที่พระเจ้าจะตรัสในเวลาต่อมา 
3:6 แต่พระคริสต์ทรงซื่อตรงในฐานะบุตรชายที่ทรงครอบครองบ้านของ
พระเจ้า และเรานี่แหละคือบ้านของพระเจ้า หากเรายืนหยัดใน
ความมั่นใจ และความยินดีในความหวังอย่างมั่นคงจนถึงที่สุด

ภักดีต่อพระสุรเสียง

3:7-8 ดังนั้น ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้คือ
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจแข็งเหมือนครั้งที่เจ้าได้ดื้อรั้นต่อเราในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นกันดาร
3:9-11 เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ทดสอบและลองดีกับเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าราชกิจของเราคืออะไรในสี่สิบปีนั้น
เราจึงกริ้วต่อคนรุ่นนั้น และเรากล่าวว่า
“ใจของพวกเขาโน้มเอียงที่จะหลงผิดเสมอ
และไม่รู้จักหนทางของเรา
เราจึงสาบานในความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าในการพักของเรา”

ให้กำลังใจกันในวันนี้

3:12-13 พี่น้องทั้งหลาย จงระวังระไวว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านมีใจโฉดชั่ว และไม่เชื่อแล้วหันหลังไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
แต่จงให้กำลังใจกันทุกวันตราบเท่าที่เรียกว่า
“วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีใครสักคนในพวกท่านใจแข็งไปเพราะการล่อลวงของบาป

3:14-15 เราได้มามีส่วนร่วมกับพระคริสต์
หากเรามั่นคงในความเชื่อมั่นที่เรามีแต่ต้นจนถึงที่สุด
ตามที่มีการกล่าวไว้ว่า “วันนี้ หากว่าเจ้าได้ยิน
พระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำให้ใจของเจ้าแข็งกระด้างเหมือนในวันที่เจ้ากบฏ”

ความล้มเหลวของคนในถิ่นกันดาร



3:16-17 ใครนะที่เป็นคนที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้พาออกมาจากอียิปต์หรอกหรือ? แล้วพระเจ้าทรงโกรธใครเป็นเวลาสี่สิบปีเล่า? ไม่ใช่คนที่ทำบาป แล้วร่างของพวกเขาก็ล้มตายในถิ่นกันดารหรอกหรือ?

3:18-19 แล้วพระเจ้าทรงปฏิญาณกับใครว่าจะไม่ได้เข้าที่พักของพระองค์
ถ้าไม่ใช่คนที่ขาดการเชื่อฟัง? ดังนั้น เราจึงเห็นว่า ที่พวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อ

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 3:1
ผู้มีส่วนในการทรงเรียก กับคำว่า สหาย ใน 1:9 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ผู้เขียนให้เราตั้งใจ พินิจพิจารณาความซื่อตรงขององค์พระเยซู ผู้ทรงเป็น
ทั้งอัครทูตและปุโรหิต พระคำตอนนี้ย้ำว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อจะทำให้โลกได้รู้จักพระบิดา (ยอห์น 14:7)และเป็นตอนเดียวที่เน้นถึงตำแหน่งของพระองค์ทั้งสองตำแหน่งคือผู้ที่ถูกส่งมา และในฐานะปุโรหิต ทรงผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ฮีบรู 3:2
คนยิวที่เป็นคริสเตียนเป็นคนได้รับจดหมาย พวกเขาเห็นว่าโมเสสเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่าใครผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระเยซูกับโมเสส ว่า
ทั้งสองต่างชื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาสิ่งที่โมเสสได้ทำในสมัยของท่านต่างเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู ท่านทั้งสองเป็นผู้ดูแลที่ซื่อตรงในงานของท่าน( 1 โครินธ์ 4:2, กันดารวิถี 12:7, ฮีบรู 2:17)
ฮีบรู 3:3
ตัวบ้านในที่นี้คือชุมชนของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสร้างขึ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างบ้านหรือครอบครัว หรือชุมชนของผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง โมเสสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้เชื่อเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างอย่างที่พระเยซูทรงทำ เอเฟซัส 2:19-22 “สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก”
ฮีบรู 3:4-5
สิ่งที่โมเสสได้สร้าง ต่างชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา ท่านเป็นผู้รับใช้ที่สร้างพลับพลาขึ้นตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ท่านเป็นผู้ดูแล “บ้าน”
ของพระเจ้าหรือชุมชนอิสราเอลในเวลานั้น โดยที่ทุกสิ่งที่ท่านทำชี้ไปยังราชกิจของพระเยซูที่ทรงสร้าง ดูแล “บ้าน” ของพระเจ้าในสมัยของ
พระองค์ คือทั้งคนอิสราเอล และคนต่างชาติที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้า คนของพระเจ้าจากโมเสสถึงปัจจุบัน คือ บ้าน ที่กล่าวถึง
ฮีบรู 3:6
นี่ไง พวกเราที่เชื่อ คือบ้านแท้ของพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ คือสมาชิกแท้ในครอบครัวยิ่งใหญ่นี้ การมีคริสตจักรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระคริสต์ประทับอยู่กับกลุ่มผู้เชื่อทรงเป็นพระบุตรที่เป็นศีรษะของชุมชนนี้ โคโลสี 1:18 และพระองค์ยังทรงเป็นศิลามุมเอกด้วย (เอเฟซัส 2:19-22)
คริสตจักร เป็นคนกลุ่มที่มั่นใจ มั่นคงในองค์พระเยซูผู้เป็นบุตรชายที่ครองบ้านจนถึงที่สุด
ฮีบรู 3:7-8
พระคำตอนต่อไปนี้ พระเจ้าตรัสถึงการพักผ่อนฝ่ายวิญญาณ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมรีบาห์ และมัสสาห์ในถิ่นกันดาร (ฮีบรูเอาคำมาจากสดุดี 95
เหตุการณ์จริงบันทึกไว้ที่ อพยพ 17) เรื่องของเรื่องคือ หากพระเจ้าตรัส ก็อย่าดื้อ อย่าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนพระบัญชาของพระองค์ วันแห่งการ
ทดสอบครั้งนั้น มีมาเพื่อคนอิสราเอล แล้วพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ เพราะพบว่า พวกเขาไม่ได้วางใจ ไม่เชื่อฟัง บ่น ว่า ยั่วยุเหมือนเดิม
ฮีบรู 3:9-11
พระเจ้าทรงให้พวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญา แต่พวกเขากับปฏิเสธ เพราะกลัวคนในพื้นที่ซึ่งดูตัวใหญ่ น่ากลัว มากกว่าที่จะเกรงกลัวพระเจ้าที่
ทรงนำเขามาตลอดสี่สิบปี พวกเขาเห็นการอัศจรรย์มากมาย คนเป็นล้านที่ต้องการน้ำพระเจ้าก็ประทานน้ำให้อย่างมากมายไม่ใช่เพื่อให้คนดื่มกินคนละนิดละหน่อย แต่ประทานให้อย่างล้นเหลือ ถึงกระนั้นพวกเขายังไม่สำนึกในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงช่วยพวกเขามาโดยตลอด

ฮีบรู3:12-13
มีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ใครคนหนึ่งห่างไปจากทางของพระเจ้า เพื่อนต้องคอยดูเพื่อนว่า มีอะไรบ่งว่าเขากำลังจะออกจากทางของพระเจ้า และการเตือนสติ การอธิษฐานเผื่อจะต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปจนกู่ไม่กลับ เพราะหากเขาไปไกลแล้ว การจะช่วยให้กลับมาในทางของพระเจ้าก็ยากขึ้นไปอีก ผู้เขียนฮีบรูจึงเตือนสติเราให้ช่วยกันระวังระไว

ฮีบรู 3:14-15
อย่างที่เราบอกว่า การเริ่มต้นดีไม่ได้หมายความว่าจะจบดี เคล็ดลับคือ เราต้องพากเพียรบากบั่น ในการแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราอย่าไปเชื่อว่า ในพระเจ้ามีความรู้แค่นี้ก็พอ รู้แค่กางเขนคริสตมาส อีสเตอร์ก็พอ ในพระเจ้ามีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราต้องไม่ยอมให้ใจของเราแข็งกระด้างไป ใจแข็งเกิดจากการได้ยินเสียงของพระเจ้าแล้วทำเฉยเมย ไม่นำพา ขอให้เราได้เป็นดินดีที่เกิดผลในสวนแห่งความเชื่อ

ฮีบรู 3:16-17
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดารเพื่อไปสู่ดินแดนที่ทรงสัญญาก็จริง แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของพระองค์นั้น เพื่อพวกเขาจะ
ได้เข้ามาอยู่กับพระองค์ มีการพักอย่างนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอียิปต์สู่คานาอัน เป็นเรื่องเดียวกันกับชีวิตของเราที่ออก
จากบาปไปสู่การพักพิงในพระเจ้า ผ่านถิ่นกันดารผ่านการช่วยเหลือของพระเจ้า แล้วเราเองต้องตัดสินใจว่าจะวางใจพระองค์ไปจนสุดทางหรือไม่

ฮีบรู 3:18-19(อ่านกันดารวิถี 14 เพิ่มเติม)
อิสราเอลที่ตายเป็นเบือในถิ่นกันดาร เป็นเพราะการที่พวกเขาไม่เชื่อฟังนั่นเอง อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า? อะไรที่ทำให้คิดว่า
พระเจ้าทรงทำผิดไปหมด? ใจขอบพระคุณไม่มี ขอบ่น ขอสู้ ขอทะเลาะกับโมเสส บ่นด่าว่าท่านตลอดมา พวกเขาดื้อดึง ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าชวนกันต่อต้าน จนกระทั่งโมเสสก็ไม่ไหว อารมณ์ชั่ววูบที่ตอบโต้พวกเขาทำให้ท่านเองก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินคานาอัน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 110:4
2* กันดารวิถี 12:7
3* เศคาริยาห์ 6:12-13
4* เอเฟซัส 2:10

5* ฮีบรู 3:2; อพยพ 14:31; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18-19
6* ฮีบรู 1:2; 1โครินธ์ 3:16; มัทธิว 10:22
7* กิจการ 1:16; สดุดี 95:7-11

15* สดุดี 95:7-8
16* กันดารวิถี 14:2, 11, 3017* กันดารวิถี 14:22-23
18* กันดารวิถี 14:1019* 1โครินธ์ 10:11-12


ฮีบรู 2 ความรอดจากพระบุตร

อย่าเฉยเมยต่อความรอด

2:1 เราจะต้องใส่ใจต่อสิ่งที่เราได้ยินมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อว่าเราจะไม่หลงไป
2:2เพราะหากคำที่ทูตสวรรค์กล่าวนั้นยังมีผลผูกมัด และการล่วงละเมิดการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างยุติธรรม….
2:3 หากเราละเลยความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เราจะหนีรอดไปได้อย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเรื่องความรอดมาตั้งแต่แรก และได้รับการยืนยันจากคนที่ได้ยินจากพระองค์
2:4แล้วพระเจ้าก็ทรงยืนยันรับรองด้วยหมายสำคัญ สิ่งมหัศจรรย์ การอัศจรรย์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ประทานให้ตามพระดำริของพระองค์

พระบุตรที่ทรงต่ำกว่าทูตสวรรค์ขณะหนึ่ง

2:5-6 พระองค์ไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ปกครองโลกในอนาคตที่กำลังมา ซึ่งเรากล่าวถึงแต่มีคนได้กล่าวคำยืนยันไว้ว่า “มนุษย์เป็นใคร ที่พระองค์ทรงคิดถึง? บุตรของมนุษย์เป็นใครที่พระองค์ทรงดูแลรักษาเขา? (สดุดี 8:4)
2:7พระองค์ทรงทำให้ท่านต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะหนึ่ง พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้แก่ท่าน ทรงให้ท่านอยู่เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (สดุดี 8:5-8)
2:8 และทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของท่าน”เมื่อพระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของท่าน จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของท่านแต่ในเวลานี้ เรายังไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของท่าน
2:9 แต่เราเห็นองค์พระเยซู ผู้ทรงถูกจัดให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะ ทรงรับมงกุฎที่ทรงพระสิริและทรงรับพระเกียรติ เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างทรมานเพื่อว่า โดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ทรงเผชิญความตายเพื่อทุกคน

นำบุตรมากมายมาถึงพระสิริ


2:10 การที่จะนำบุตรมากมายมาถึงพระสิรินั้นนับว่าเหมาะสมที่พระเจ้าผู้ที่สรรพสิ่งทั้งปวงดำรงอยู่ทั้งเพื่อพระองค์ และโดยพระองค์ จะทรงทำให้ผู้ เปิดทางแห่งความรอดของพวกเขาได้ทรงเพียบพร้อมผ่านการทนทุกข์
2:11 ทั้งสองฝ่ายคือ พระองค์ผู้ทรงชำระให้บริสุทธิ์กับผู้ที่รับการชำระนั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกพวกเขาว่า พี่น้อง
2:12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางที่ประชุม”(สดุดี 22:22)
2:13 และยังตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์” และตรัสอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้า รวมทั้งบุตรที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” (อิสยาห์ 8:17-18)
2:14 บัดนี้ ในเมื่อบุตรทั้งหลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ พระองค์ก็จะทรงเข้ามามีส่วนในการเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขา เพื่อว่า พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายคือมารด้วยการสิ้นพระชนม์

ทรงเป็นเหมือนพี่น้องทุกประการ

2:15-16 และจะทรงช่วยปลดปล่อยผู้ที่ทั้งชีวิต
ตกเป็นทาสความกลัวตายเพราะพระองค์มิได้ทรงช่วยเหล่าทูตสวรรค์
แต่ทรงช่วยลูกหลานของอับราฮัม
2:17 ด้วยเหตุนี้ จึงต้องให้พระองค์เป็นเหมือนพี่น้องของพระองค์ทุกประการ
เพื่อว่าจะทรงมาเป็นมหาปุโรหิตผู้ทรงเต็มด้วยความเมตตา
และทรงซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้า
เพื่อจะทรงลบล้างบาปให้กับผู้คนทั้งหลาย
2:18 เพราะพระองค์เองทรงเป็นทุกข์เมื่อทรงถูกทดลองใจพระองค์
จึงทรงสามารถที่จะช่วย (ทั้งปลอบใจและช่วยกู้)
เหล่าคนที่ถูกทดลองใจ

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 2:1
เวลาเรารู้เรื่องอะไร ไม่ว่าจะใหม่ เก่า ใกล้ตัวหรือไกลตัว หากว่าเราได้ยินแล้ว เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ อีกไม่กี่วันเราก็จะลืม และสิ่งที่รู้ก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตในทางที่ดี เหมือนกับเวลาเราลอยตัวในน้ำ แล้วปล่อยให้น้ำพาเราล่องลอยไปตามสายลมที่พัดมา วิธีง่ายสุดที่เราจะไม่ได้พบแผ่นดินสวรรค์แต่กลับเจอนรกก็คือ การที่เราปล่อยชีวิตไปวัน ๆ ห่างจากพระเจ้าไปทีละน้อยจนกู่ไม่กลับค่อย ๆ ลืมพระองค์ ค่อย ๆ ล่องลอยออกไป
ฮีบรู 2:2
ตั้งแต่สมัยโบราณมา เมื่อคนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะมีผลสืบเนื่องเสมอมา ตอนที่พวกเขาหันไปไหว้รูปวัวทองคำ พระเจ้าทรงให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกเขา (อพยพ 32:35) และเมื่ออาคานเก็บของบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาและครอบครัวก็ถูกหินขว้างจนตาย (โยชูวา 7)ผู้เขียนฮีบรูได้เตือนสติ
ให้เรา เอาใจใส่สิ่งที่เราฟังจากพระคำ อ่านจากพระคัมภีร์ สิ่งที่ได้ยินจาก การเตือนสติจากคนรอบข้าง
ฮีบรู 2:3
ความรอดที่ยิ่งใหญ่นี้ มีมาเพื่อชาวโลกผ่านการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าทรงบอกเราเรื่องความรอดมาตั้งแต่หนังสือปฐมกาล เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์แม้สักคนเดียวต้องพินาศ และทรงยื่นความรอดให้พวกเขาโดยพระบุตรของพระองค์ แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธ คนที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น
ฮีบรู 2:4
เรื่องของความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้แน่นอน เพราะว่า พระเจ้าทรงให้เกิดหมายสำคัญ การอัศจรรย์ต่าง ๆ ในทั้งในเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในโลกนี้ รวมไปถึงของประทานแห่งพระวิญญาณ ที่ทำให้เกิดผลดีในคริสตจักรในเวลาต่อมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมีพยานเห็น และบันทึกไว้อย่างชัดเจน เรื่องที่คนเห็นเป็นพยานนั้นสำคัญ และเมื่อบอกว่าพระเจ้าทรงรับรองว่าเป็นจริงก็สำคัญมากขึ้นอีก
ฮีบรู 2:5-6
แล้วผู้เขียนก็ยืนยันกับคนยิวที่คิดว่า ทูตสวรรค์ใหญ่ และคงจะได้ปกครองโลก .. ทูตสวรรค์ไม่ใช่ผู้ที่จะครองมนุษยชาติ แต่จะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์พิเศษกว่าใคร ๆ เพราะท่านผู้นั้น เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าเต็มร้อย ในฮีบรู 1:3ย้ำว่า พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า และข้อต่อมาบอกว่าทรง
ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะว่าพระนามสูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์

ฮีบรู 2:7
มนุษย์ท่านนี้ เป็นผู้ที่ถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพราะท่านลงมาเป็นมนุษย์เต็มตัว แต่เป็นชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูทรงมาเป็นทูตสวรรค์ แต่ให้เป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงให้สิทธิครอบครองแก่มนุษย์ ไม่ใช่แก่ทูตสวรรค์ ผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่าผู้ใดในจักรวาลคือพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนฮีบรูได้ย้ำเตือนผู้อ่านที่
เป็นยิวให้รู้ว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเคารพ

ฮีบรู 2:8
การที่บอกว่า พระเยซูทรงมีเกียรติสูงเหนือผู้ใด เราต้องเข้าใจด้วยว่า ทุกสิ่งในเอกภพอยู่ในการควบคุม ครอบครองของพระเยซู ตั้งแต่สัตว์โลกตัวจิ๋วอย่างจุลินทรีย์จำนวนมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตา ไปจนถึงดวงดาวมหึมาที่ใหญ่กว่าโลกหลายล้านเท่า ไม่ใช่แค่นั้น แต่วิญญาณทุกดวงในเอกภพก็เป็นของพระองค์เช่นกัน ทรงอยู่เหนือทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ และมนุษย์ตอนนี้เรามองไม่เห็น แต่ความจริงคืออย่างนั้น

ฮีบรู 2:9
การที่พระเยซูทรงลงมาเป็นมนุษย์และรับสภาพมนุษย์ ก็เพื่อว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ เสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นชัยชนะเหนือความตายที่ยิ่งใหญ่นัก ชัยชนะนี้ ทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านความเชื่อวางใจในพระองค์​ และที่พระองค์ทรงเผชิญความตายโดยที่ความตายไม่สามารถยึดพระองค์ในแดนตาย
ได้ก็โดยพระคุณของพระบิดาเจ้า (กิจการ 2:24)

ฮีบรู 2:11
พระคำตอนนี้สุดยอด .. พระเยซูทรงมองว่า เราเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียว พระบิดาองค์เดียวกัน ที่ทรงเรียกเราว่า เป็นพี่น้องได้นั้น เพราะว่า พระองค์ทรงมาเป็นมนุษย์แบบพวกเรา พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยการสละพระชนม์เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้แล้วเราเอง เป็นคนบาปที่ไม่อาจจะเรียกพระองค์ว่าเป็นพี่น้องได้ แต่พระองค์กลับทรงเป็นผู้ยื่นความเป็นพี่น้องให้กับเรา

ฮีบรู 2:12
ในสดุดี 22 เล่าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูล่วงหน้า และคำสัญญาว่าจะประกาศพระนาม จะร้องเพลงสรรเสริญในหมู่ผู้คน .. พระเยซูทรงประกาศพระนามของพระเจ้าแก่เหล่าคนอิสราเอลและทรงสรรเสริญพระเจ้าก็คนเหล่านั้นในศาลาธรรมก็จริง แต่ทุกวันนี้ พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงดลใจให้ผู้รับใช้ประกาศพระนามไม่หยุด เรารู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางพี่น้องทั่วโลกขณะที่เขารวมตัวกันเพื่อพระนาม (มัทธิว 18:20)

ฮีบรู 2:13
ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงวางใจในพระเจ้าว่า จะทรงช่วยกู้ให้พ้นจากโลกแห่งความตายอย่างแน่นอน เป็นความวางใจที่สะท้อนมาจากสดุดี 18:16-17 พระเยซูทรงมองเห็นว่า คนที่วางใจในพระองค์นั้น
มีค่ายิ่งนัก พวกเขาเป็นคนที่พระบิดาเจ้าประทานให้ ผู้ที่เชื่อวางใจเป็นของขวัญจากพระบิดาและเป็นผู้ที่พระองค์จะทรงรักษาไม่ให้หายไปจากสายพระเนตร (ยอห์น 6:39)

ฮีบรู 2:14
ผู้เขียนได้แจ้งให้เราทราบว่า ผู้กำอำนาจความตายของมนุษยชาติไว้ในมือคือมาร มารได้อำนาจนี้มาเมื่ออาดัมและเอวาได้หลงเชื่อ และพ่ายแพ้การหลอกลวงของมัน มันพยายามให้มนุษย์สิ้นชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า จะได้ลงนรกห่างจากพระเจ้าตลอดไป แต่หากพวกเขาเชื่อพระองค์ ความตายไม่อาจมีชัยชนะเหนือพวกเขาได้ พระเยซูได้ทรงถือกุญแจแห่งความตายแล้ว (วิวรณ์ 1:17-18)

ฮีบรู 2:15-16
พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความกลัวตาย ศาสนาต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์กลัวความตายมากเพียงไร เพราะพยายามหาหนทางไปอยู่ในภพดี ๆ หลังจากที่ตายไปแล้วแต่..เสียดายที่ทำอย่างไรไม่มีวันสำเร็จเพราะค่าจ้างของบาปคือตาย! (โรม 6:23)ทางเดียวที่จะไปได้คือ ต้องไปทางเจ้าของสวรรค์ ทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 14:6)

ฮีบรู 2:17
พระเยซูไม่ได้ทรงมาช่วยทูตสวรรค์ที่หลงทางไปพรอมกับมาร แต่ทรงมาเพื่อช่วยมนุษย์ที่หลงทางไปเพราะมาร วิธีเดียวที่จะทำให้พระองค์ลบล้างบาปพวกเขาได้คือ มาเป็นพวกเดียวกับเขา มารับรสชาติความเป็นมนุษย์ โดยอย่างเดียวที่ไม่ทรงเหมือนพวกเขาคือ พระองค์ทรงปราศจากความบาป พระองค์ไม่ได้ทรงช่วยตามหน้าที่ แต่ด้วยความรักเมตตาอย่างที่พระบิดาทรงเมตตาสงสารพวกเขา

ฮีบรู 2:18
บทบาทของผู้ที่จะปลอบใจ และช่วยกู้มนุษย์ที่ต้องเจอกับความทุกข์ยากนั้น ไม่ใช่เป็นของทูตสวรรค์ เพราะพวกเขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้เหมือนพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงเผชิญกับความอ่อนแอ ความเหน็ดเหนื่อยความทุกข์ยากของความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ทรงพบด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ทรงพบในผู้คนรอบข้างที่มาขอความช่วยเหลือไม่หยุดหย่อน

พระคำเชื่อมโยง

2* กิจการ 7:53; กันดารวิถี 15:30
3* ฮีบรู 10:28; มัทธิว 4:17; ลูกา 1:2
4* กิจการ 2:22, 43
5* 2 เปโตร 3:13
6* สดุดี 8:4-6

8* มัทธิว 28:18; 1โครินธ์ 15:25, 27
9* ฟีลิปปี 2:7-9; กิจการ 2:33; 3:13; ยอห์น 3:16
10* โคโลสี 1:16; ฮีบรู 5:8-9; 7:28
11* ฮีบรู 10:10; กิจการ 17:26; มัทธิว 28:10
12* สดุดี 22:22

13* 2 ซามูเอล 22:3;อิสยาห์ 8:17-18
14* ยอห์น 1:14; โคโลสี 2:15; 2 ทิโมธี 1:10
15* อิสยาห์ 42:7; 49:9; 61:1 ; ลูกา 1:7417* ฮีบรู 4:15; 5:1-10
18* ฮีบรู 4:15-16

ฮีบรู 1 พระเยซูคือผู้ใด?





1:1 ในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง
ผ่านทางผู้เผยพระดำรัสด้วยวิธีต่าง ๆ
1:2 แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ตรัสกับเราผ่านพระบุตรของพระองค์
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทซึ่งจะรับสรรพสิ่งเป็นมรดก
และพระองค์ทรงสร้างจักรวาลโดยพระบุตรองค์นี้

1:3 พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า
ทรงมีพระลักษณะเหมือนพระองค์ทุกประการ
และทรงผดุงรักษาสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์
หลังจากที่ทรงชำระบาปแล้ว ก็ประทับนั่งเบื้องขวา
พระหัตถ์ของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน



1:4 ดังนั้น พระองค์ทรงมาเป็นผู้ที่ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์
เพราะว่าพระนามที่พระองค์ทรงได้รับมานั้น 
สูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์ทั้งหลาย!


1:5 เพราะมีทูตสวรรค์องค์ใดที่พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า
“เจ้าเป็นลูกชายของเราวันนี้ เราได้เป็นบิดาของเจ้า?” หรือได้ตรัสว่า
“เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นลูกชายของเรา?”
1:6-7 และอีกครั้งที่พระเจ้าทรงนำพระบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก
พระองค์ตรัสว่า “ให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า
นมัสการพระองค์” พระองค์ได้ตรัสถึงทูตสวรรค์ดังนี้
พระองค์ทรงทำให้ทูตสวรรค์เป็นลมของพระองค์
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง

1:8 แต่กับพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า
“โอ พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะยืนยงดำรงนิรันดร์ พระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยคทาแห่งความยุติธรรม
1:9 พระองค์ทรงรักความเที่ยงธรรมและทรงชังความชั่วร้าย
ดังนั้น พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์เหนือสหายทั้งหลายด้วยน้ำมันแห่งความยินดี”

1:10 และพระองค์ตรัสต่อไปว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์ก็เป็นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์
1:11-12 สิ่งเหล่านี้จะสูญไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าผุไปเหมือนเครื่องนุ่งห่มพระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไป เหมือนเสื้อผ้า แต่พระองค์ยังทรงดำรงเหมือนเดิม”

ฮีบรู 1:13-14 พระเจ้าได้ตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างว่า.. “จงมานั่งทางด้านขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”
ทูตสวรรค์ทั้งหลาย มิได้เป็นวิญญาณผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงส่งไปรับใช้คนที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกหรอกหรือ?

แม้ดวงดาวในอวกาศมีการเปลี่ยนแปลงแต่พระเจ้าทรงดำรงเหมือนเดิมตลอดไป
www.publicdomainpictures.net

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 1:1
พระเจ้าของเรา ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยพระดำริของพระองค์มาแต่ไหนแต่ไร พระองค์ไม่ใช่รูปเคารพที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วพูดไม่ได้แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสเสมอ ตรัสตั้งแต่วันแรกที่ทรงสร้างโลก พระองค์ตรัสผ่านการเขียนของโมเสสที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดของโลก ของชนชาติอิสราเอล สิ่งที่เกิดขึ้นกับชนชาตินี้ ในหนังสือห้าเล่มแรกของพันธสัญญาเดิม ความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อชาวโลกปรากฏชัดในหนังสือสดุดี…

ฮีบรู 1:2
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพวกเจ้ารู้จักเรา เจ้าก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย ต่อจากนี้ไปเจ้าก็รู้จักพระบิดาจริง ๆ และได้เห็นพระองค์แล้ว ยอห์น 14:7เพราะพระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกนี้พร้อมกับพระบิดา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะรับสรรพสิ่งมาครอบครอง (อิสยาห์ 8:6) ทรงปกครองเหนือมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งสิ้น ทูตสวรรค์ประกาศเรื่องนี้ว่า “อาณาจักรจะเป็นของพระคริสต์และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 11:15)

ฮีบรู 1:3
ข้อความตอนนี้มหัศจรรย์.. พระเยซูทรงเป็นราศีที่มาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ใช่แสงสะท้อน แต่เป็นพิมพ์เดียวกัน ทรงเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง ทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็จริง แต่ขณะเดียวกันทรงเป็นพระบุตรที่บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริงเหมือนพระบิดา (ยอห์น 1:14) ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับพระบิดาและความบริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งสิ้นนั้น อยู่ในพระองค์ (โคโลสี 1:19)

ฮีบรู 1:4
พระเยซูทรงเหนือทูตสวรรค์ เป็นเพราะพระองค์ประทับข้างขวาของพระบิดา ทรงเป็นผู้รับมรดก ยิ่งกว่านั้น พระนามของพระองค์สูงส่ง มีฤทธิ์สูงยิ่งเหนือนามทั้งหลาย (ฟีลิปปี 2:9-11)เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ สละพระชนม์ชีพเพื่อให้มนุษยชาติได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า การสละชีวิตของ
พระองค์นี้ทำให้พระเจ้าทรงมอบพระเกียรติสูงสุดยกพระนามของพระองค์เหนือนามใด ๆ

ฮีบรู 1:5
แม้ทูตสวรรค์จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาก็มีลักษณะวิญญาณแบบทูตสวรรค์ พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลก เพื่อทำราชกิจสำคัญตามพระดำริ คือการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษบาป ข้อนี้อ้างถึงพันธสัญญาเดิมสองที่คือ สดุดี 2:7, 1 ซามูเอล 7:14 สดุดีเน้นการเป็นลูกชาย ซามูเอลเน้นการเป็นกษัตริย์เชื้อสายดาวิด

ฮีบรู 1:6-7
เป็นคำที่สื่ออย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์มากนัก ผู้เขียนเน้นย้ำความแตกต่างนี้ในข้อ 5-14 โดยอ้างถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในสดุดีทูตสวรรค์บอกเสมอว่า พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คนทั้งหลายจะต้องไม่นมัสการกราบไหว้พวกเขา แต่จะต้องนมัสการพระเจ้า ทั้งดานิเอลยอห์น และอีกหลาย ๆ คนก็ได้ฟังคำแบบนี้จากปากของทูตสวรรค์เอง ส่วนทูตที่ต้องการให้คนกราบไหว้นั้น เป็นฝ่ายมารแน่นอน

ฮีบรู 1:8
ผู้เขียนฮีบรูได้อธิบายให้คนยิวเข้าใจว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์จริง ๆในขณะที่บอกว่า ทูตสวรรค์เป็นลมเป็นเปลวเพลิงที่รับใช้พระเจ้าอยู่ ก็ได้บอกชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นองค์ราชาที่ปกครองตลอดไป พระองค์
ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับทูตสวรรค์ ผู้เขียนอ้างถึงสดุดี 45:6 ซึ่งมีความหมายถึงพระเยซูผู้ทรงมีเจ้าสาวคือคริสตจักร และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์

ฮีบรู 1:9
ผู้เขียนฮีบรูได้อ้างถึงสดุดี 45:7 อย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงครอบครองนั้นทรงอยู่ฝ่ายความเที่ยงธรรม ทรงเป็นความสว่าง ทรงอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่
พระบิดาทรงเจิมด้วยน้ำมันแห่งความยินดี (มีความหมายถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์)เท่ากับว่า เราได้สัมผัสกับ องค์ตรีเอกานุภาพอย่างชัดเจนในข้อนี้

ฮีบรู 1:10
ที่เขียนมาล้วนแล้วแต่นำมาจากพันธสัญญาเดิมข้อ10-12 มาจาก สดุดี 102 :25-27 เพื่อบอกเราว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทรงเป็นอย่างไรในแง่มุมต่าง ๆ นอกจากทรงครอบครองเป็นนิตย์แล้ว ทุกสิ่งในธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินและอวกาศ ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนเป็นผลงานของพระองค์ทั้งสิ้น พระเยซูทรงเต็มด้วยความยิ่งใหญ่ตระการ พระนามของพระองค์อยู่เหนือนามทั้งสิ้นในโลกนี้ ไม่มีใครมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้

ฮีบรู 1:11-12
น่าประหลาดที่โลกอันสวยงาม ธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างได้ ท้องฟ้ายิ่งใหญ่ ภูเขา ป่าไม้ ทะเลเป็นสิ่งทรงสร้างที่จะสูญไป พระคำตอนนี้ได้บอกเราว่า พระเจ้าจะทรงม้วนฟ้าสวรรค์เข้าไปเหมือนกับม้วนเสื้อผ้า ฟ้าสวรรค์เปลี่ยนแปลงไป เก่าไป ซึ่งเราเองก็เห็นอยู่ตำตาว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ก็ตั้งต้นที่จะเก่า แต่ที่ประหลาดคือ พระเจ้าไม่ทรงเก่า ไม่ทรงแก่ พระองค์ยังทรงดำรงเป็นอย่างเดิมตลอดไป

ฮีบรู 1:13-14
สำหรับพี่น้องชาวยิวที่ได้อ่านฮีบรูบทที่ 1 นี้ พี่น้องที่ยังเคยคิดว่าทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่ก็จะพบแล้วว่า พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้านั้นทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเข้าใจว่าใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าตกใจสำหรับพวกเขาคือทูตสวรรค์ไม่ได้เป็นเจ้าเหนือหัว แต่กลับเป็นวิญญาณผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อดูแล ปกป้องช่วยเหลือคนที่กำลังจะได้รับความรอด เราล่ะ ตื่นเต้นไหม? 

พระคำเชื่อมโยง

1* กันดารวิถี 12:6,8
3* ยอห์น 1:14; 2 โครินธ์ 4:4; โคโลสี 1:17; ฮีบรู 7:27; สดุดี 110:1
4* ฟีลิปปี 2:9-10
5* สดุดี 2:7; 2 ซามูเอล 7:14

6* โรม 8:29; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:43
7* สดุดี 104:4
8* สดุดี 45:6-7
9* อิสยาห์ 61:1,3

10* สดุดี 102:25-27
11* อิสยาห์ 34:4, 50:9, 51:6
12* ฮีบรู 13:8
13* สดุดี 110:1
14* สดุดี 103:20; โรม 8:17



มาระโก 13 จงเฝ้าระวัง!

หมายสำคัญและหายนะของพระวิหาร
จะเกิดขึ้นเมื่อไรกัน?
(Matthew 24:1–8; Luke 21:5–9)
1 ขณะที่พระเยซูทรงออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ดูสิว่า ศิลานี้ก้อนใหญ่มาก และพระวิหารก็เป็นอาคารใหญ่งดงาม”
2“เจ้าเห็นตึกใหญ่ตระการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” พระเยซูตรัสตอบ
“หินก้อนใดที่วางซ้อนกันอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอย่างเดิม มันจะถูกโยนทิ้งไปทั้งหมด”
3 ขณะที่พระเยซูประทับนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ตรงข้ามพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ ทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า
4 “ขอพระองค์ทรงบอกเราเถิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? และมีอะไรเป็นหมายสำคัญบ่งบอกว่า ทุกสิ่งใกล้จะสำเร็จ?”

5 พระเยซูทรงเริ่มต้นบอกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครหลอกลวงเจ้า
6 หลายคนจะมาในนามของเราอ้างว่า “เราคือพระองค์นั้น” แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก

7 เมื่อเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม
ก็อย่าตกใจไป เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น แต่จุดจบยังไม่มาถึง
8 เชื้อชาติต่าง ๆ จะต่อสู้กัน อาณาจักรต่าง ๆ จะทำสงครามกัน จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการกันดารอาหาร และนี่คือการเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนการคลอดบุตร

การเป็นพยานสู่ชาติต่าง ๆ
(มัทธิว 24:9–14; ลูกา 21:10–19)
9 ดังนั้น ขอให้เจ้าระวังตัว เพราะเจ้าจะถูกคุมตัวไปยังศาลต่าง ๆ และถูกโบยในศาลาธรรม เจ้าจะต้องยืนเป็นพยานต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์เพื่อเรา
10 จะต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐและชาติต่าง ๆ ทั้งปวงก่อน
11 แต่เมื่อพวกเขาจับกุมเจ้า และส่งตัวขึ้นศาล ขออย่ากังวลล่วงหน้าไปว่าจะพูดอย่างไร แต่จงพูดตามถ้อยคำที่เจ้าจะได้รับในเวลานั้น เพราะไม่ใช่เจ้าที่พูด แต่เป็นองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

12 พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตาย และพ่อจะทรยศลูก
ลูกจะขัดขืนพ่อแม่ และทำให้พวกเขาถูกประหาร
13 ใคร ๆ จะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา
แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด

สิ่งเลวทราม การหลอกลวงที่จะเกิดขึ้น
(มัทธิว 24:15–25; ลูกา 21:20–24)
14 ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่เลวทราม ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบัติ ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน (ขอให้ผู้อ่านเข้าใจเองเถิด) เมื่อนั้น ให้คนที่อยู่ในยูเดีย หนีไปยังภูเขา
15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้า กลับลงไปในบ้านเพื่อจะขนสิ่งใดออกมา
16 และอย่าให้ใครที่อยู่ในทุ่ง กลับไปหยิบเสื้อคลุม
17 วันเวลาเหล่านั้นจะยากลำบากมากสำหรับหญิงมีครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน

18 จงอธิษฐานขอเพื่อเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดในฤดูหนาว
19 เพราะเวลานั้น เป็นเวลาแห่งความทุกข์เข็ญ อย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีให้เห็นอีกในภายหน้า



20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงลดจำนวนวันเหล่านั้นให้น้อยลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพื่อเห็นแก่คนที่พระเจ้าทรงเลือก คนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง

21 ในเวลานั้น หากมีใครพูดกับเจ้าว่า “ดูนั่นสิ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “พระคริสต์อยู่ที่โน่น” อย่าได้หลงเชื่อ
22 เพราะว่า พระคริสต์ปลอมและผู้กล่าวพระคำเท็จจะปรากฏตัวขึ้น และแสดงหมายสำคัญ การอัศจรรย์ โดย หากเป็นไปได้ จะลวงกระทั่งคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
23 ดังนั้นจงเฝ้าระวัง เราได้บอกทุกสิ่งแก่เจ้าล่วงหน้าไว้แล้ว

สิ่งที่สำคัญต่อเรามากในยุคสุดท้ายนี้
(Matthew 24:26–31; Luke 21:25–28)
24 แต่ในเวลานั้น หลังจากเวลาแห่งความทุกข์เข็ญผ่านไป ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง
25 ดวงดาวจะร่วงลงมาจากท้องฟ้า และอำนาจทั้งหลายในสวรรค์จะสั่นสะเทือน’
26 เวลานั้นเอง พวกเขาจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ
ด้วยราชอำนาจและพระเกียรติสิริยิ่งใหญ่ตระการ
27 และพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์เพื่อรวบรวมคนที่พระองค์ทรงเลือก
จากลมทั้งสี่ทิศ จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้าสวรรค์

บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
(Matthew 24:32–35; Luke 21:29–33)
28 ขอให้เอาบทเรียนมาจากต้นมะเดื่อ คือว่า ทันทีที่กิ่งเริ่มเขียวสด แตกใบอ่อนเท่ากับฤดูร้อนกำลังเคลื่อนเข้ามา
29 เช่นกัน เมื่อเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้รู้ว่า พระองค์ทรงมาใกล้ อยู่ที่ประตู
30 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนยุคนี้ยังไม่ทันจะตายไป จนกว่าเหตุการณ์ทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นก่อน
31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไปเลย

ต้องเตรียมพร้อมไม่ว่าเวลาใด
(Matthew 24:36–51; Luke 12:35–48)
32 ไม่มีใครรู้วันและชั่วโมงนั้น หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ในสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่ทรงทราบ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ
33 จงระวังและตื่นตัวเอาไว้ เจ้าไม่รู้ว่า เวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไร
34 ก็เป็นเหมือนกับชายคนหนึ่งเดินทางจากบ้านไป โดยที่เขามอบหมายคนรับใช้แต่ละคนให้รับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ และสั่งให้คนเฝ้าประตูคอยเฝ้าระวัง
35 ดังนั้นจะเฝ้าระวังอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่า เจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไร อาจจะเป็นเวลาเย็น เที่ยงคืน เวลาไก่ขันหรือรุ่งเช้า
36 ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลับมาถึงโดยไม่บอกล่วงหน้า และพบเจ้าหลับอยู่
37 สิ่งที่เราบอกเจ้า ก็ขอบอกกับทุกคนด้วยว่า “จงเฝ้าระวัง!”

มาระโก 13:1-8
บทที่ 13 เป็นบทที่เชื่อมระหว่างบทที่ 11-12 กับบทที่ 14 เป็นบทที่เข้าใจยากที่สุดของมาระโก พระเยซูทรงบอกศิษย์พระองค์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกประมาณไม่กี่สิบปีข้างหน้า และทรงบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายหรือในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ด้วย
ขณะที่ทั้งกลุ่มออกจากพระวิหารซึ่งขณะนั้นยังสร้างไม่เสร็จดี เป็นวิหารที่ใช้เวลาสร้างถึง 8 ศตวรรษ โดยเฮโรดเป็นผู้เริ่มต้นเมื่อ 19 ปีกคศ.และเสร็จเมื่อปี 63 วิหารนี้ใช้หินก้อนใหญ่มากหนักกว่า 400 ตันวางเรียงซ้อนกัน และยังมีการฉาบอาหารด้วยทองคำ เมื่อสร้างเสร็จ อีกประมาณเจ็ดปีต่อมา ก็ถูกทำลายโดยอาณาจักรโรมที่เข้ามากวาดล้างหมู่คนยิวที่กบฎต่อโรม วิหารแห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนยิว และบางครั้งถึงกับใหญ่ในใจของพวกเขายิ่งกว่าพระเจ้าอีก !
หลังจากนั้นพวกเขาไปนั่งอยู่บนเขาตรงข้ามพระวิหาร โดยมีหุบเขาขิดโรนขวางอยู่ แล้วก็มีคำถามจากศิษย์ว่า สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คำตอบของพระเยซูนั้นไม่ได้อยู่แค่การสิ้นสุดของพระวิหาร เป็นคำตอบที่บอกถึงอนาคตที่ไกลมากเป็นคำตอบที่อยู่ในบทที่ 13 นี้ทั้งหมด น่าสนใจที่ ศิษย์สี่คนที่นั่งกับพระองค์ (พวกเขาเป็นพี่น้องมาจากสองครอบครัว)
สิ่งที่พระเยซูตรัสอย่างแรกคือ ระวังไม่ให้ใครหลอกเรา นั่นหมายความว่า เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ อ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ออก และเข้าใจในสายตาที่มองจากพระคัมภีร์ เข้าใจเรื่องของคำพยากรณ์ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิมมาจนถึงวันที่พระเยซูตรัสนี้
เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะเจอวิญญาณแห่งการหลอกลวง และท่วมท้นในยุคสุดท้ายนี้
พวกเขาจะมาและบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า หรือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราเห็นมากมายในหลาย ๆ ประเทศ คนเหล่านี้สามารถหลอกคนมากมายได้ แต่คนของพระเจ้าได้รับการเตือนแล้ว ไม่ควรจะหลงไป
ส่วนเรื่องของสงครามนั้น จะเกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ และพระเยซูตรัสสั่งว่า ไม่ต้องกลัวเพราะว่า มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราจะเจอการยากลำบากเมื่อเราติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะมีทั้งแผ่นดินไหว และการอดอยาก เราจะเห็นว่า แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ความอดอยากมากขึ้นอีก แต่เหล่านี้ ไม่ได้เป็นจุดจบ มันเป็นความเจ็บปวดที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ …เหมือนหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด

มาระโก 13:9-13
ความยากลำบากที่เกิดขึ้น เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยเพราะเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรแล้ว
ถ้าเราได้รู้เรื่องของคริสเตียนในสมัยที่คอมมิวนิสต์เข้ามาครองในช่วงเหมาเจ๋อตง เราจะรู้ว่าชีวิตของคริสเตียนลำบากแค่ไหน ซึ่งยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ คนมากมายเกิด ในประเทศที่มีการห้ามเชื่อ ห้ามคิด ห้ามพูดตามที่ใจอยาก พวกเขาถูกจำกัดความเป็นคนเต็มคนเพียงเพื่อให้อำนาจของผู้ปกครองยั่งยืน

การที่คนในครอบครัวทรยศกันเองเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน
สิ่งสำคัญของเราคือ เราต้องรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงช่วยเราเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นเหตุผลที่เราจะไม่เรียนรู้พระคัมภีร์ให้มากที่สุด

สิ่งที่พระเยซูทรงเตือนเราสำคัญสุดคือ ให้ยืนหยัดจนถึงที่สุด

มาระโก 13:14-23
พระเยซูทรงอธิบายว่า จะเกิดเหตุการณ์อย่างไรบ้าง และผู้เชื่อต้องทำอย่างไร ข้อ 18 ให้รู้ว่า เราต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าที่ความทุกข์ยากนั้นจะบรรเทาบ้างจนเราพอทนได้ เพราะความทุกข์ยากที่พระเยซูทรงกล่าวถึงนั้น มันเป็นแบบว่า ไม่เคยมีอะไรอย่างนั้นให้เห็นมาก่อน ในข้อยี่สิบพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องให้วันของพระองค์าเร็วขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่มีใครเหลือ เนื่องจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นมันรุนแรงเกินทน
ยังมีอีกเรื่องคือ การที่คนวิ่งไปหาผู้ช่วยให้พ้นความลำบาก คำว่า พระคริสต์ คือ พระผู้ช่วยให้รอด คนทั้งหลายจะบอกกันต่อ ๆ ว่า ไปหาคนนั้น คนนี้สิ เขาจะช่วยได้ ไปหาโค้ชชีวิตคนนั้น คนนี้ ซึ่งทั้งหมดพระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด
เราขอสรุปคำของพระเยซูที่สำคัญในตอนสั้น ๆ นี้คือเมื่อถึงเวลาต้องหนี ให้หนีโดยไม่ต้องรีรอ ​อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า อย่าเชื่อคนหลอกลวง เฝ้าระวัง โดยทำอย่างขยันขันแข็งไม่ใช่แบบตามสบายอะไรก็ได้

มาระโก 13:24-27
พระเยซูทรงอธิบายภาพของการเสด็จมาอีกครั้งให้เราทราบ ซึ่งเราน่าจะจินตนาการได้ว่า เป็นอย่างไร
เป้าหมายของพระองค์คือ แสดงพระราชอำนาจ พระเกียรติยิ่งใหญ่ และมารับคนที่ทรงเลือกไว้ในแผ่นดินโลกไปกับพระองค์
พระเยซูไม่ทรงเน้นว่าเมื่อไร ทรงเน้นว่า ให้เตรียมพร้อม!

มาระโก 13:28-31
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนั้น ช่างตรงกับเวลาที่เราอยู่ในทุกวันนี้ เราเจอกับโรคระบาดกันทั้งโลกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ปี 2024 นี้ เราก็พบกับสงครามร้อน ๆ ในยูเครน ตะวันออกกลาง พม่า และมีความตึงเครียดของจีนและใต้หวัน
สงครามความคิดในสังคมผู้คนแตกแยก ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ทำให้คนไม่รักกัน และชังกันและกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเหมือนกิ่งของต้นมะเดื่อที่เริ่มแตกใบอ่อน

มาระโก 13:32-37
มีคนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการที่พระเยซูทรงบอกให้เตรียมพร้อม โดยไม่บอกเวลาวันปีเดือนให้ชัดเจน ดังนั้น ก็จะมีคนเตรียมพร้อมที่อาจจะอ่อนแรงเพราะยังไม่พบพระองค์สักที แต่การบอกของพระองค์อย่างนี้ มีความสำคัญเหมือนกับว่า เราอยู่ในสงครามที่ไม่รู้ว่า ศัตรูจะบุกตอนไหน ทิ้งระเบิดเวลาใด เราจึงเตรียมพร้อมเหมือนทหารที่อยู่ในสงคราม
และหากใครมาอวดอ้างว่ารู้เวลาแน่นอน เท่ากับเขากำลังกล่าวเท็จ
เรามีเวลาคร่าว ๆ ให้รู้ แต่ไม่มีใครรู้เวลาที่กำหนดชัดเจน
สิ่งที่สำคัญมากคือการตื่นตัว ไม่ประมาท ไม่หลับไหลในทางของพระเจ้า


Cross Reference มาระโก 13
1* ลูกา 21:5-36
2* ลูกา 19:44
3* มัทธิว 16:18; มาระโก 1;19; ยอห์น 1:40
4* มัทธิว 24:3
5* เอเฟซัส 5:6
8* ฮักกัย 2:22; มัทธิว 24:8
9* มัทธิว 10:17-18; 24:9
10* มัทธิว 24:14
11* ลูกา 12:11; 21:12-17; กิจการ 2:4; 4:8, 31

12* มีคาห์ 7:6
13* ลูกา 21:17; มัทธิว 10:22; 24:13
14* มัทธิว 24:15; ดาเนียล 9:27; 11:31; ลูกา 21:21
17* ลูกา 21:23
19* ดาเนียล 9:26; 12:1
21* ลูกา 17:23; 21:8
22* วิวรณ์ 13:13-14
23* 2 เปโตร 3:17

24* เศฟันยาห์ 1:15
25* อิสยาห์ 13:10; 34:4
26* ดาเนียล 7:13-14; มัทธิว 16:27
28* ลูกา 21:2931* อิสยาห์ 40:8
32* มัทธิว 25:13; กิจการ 1:7
33* 1 เธสะโลนิกา 5:6
34* มัทธิว 24:45; 25:14; 16:19
35* มัทธิว 24:42, 44

คำถามสำหรับการเรียนพระคัมภีร์

  1. พระเยซูตรัสว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในยุคสุดท้าย ? (13:1-4)
  2. ในยุคสุดท้าย สิ่งสำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียนคืออะไร (3:24-37)
  3. ในเมื่อไม่รู้เวลาแน่นอนว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาเมื่อไร เราน่าจะทำอะไรดี?
  4. เกิดเรารู้ว่า พระเยซูจะเสด็จมากลางเดือนหน้า เราจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิดของเราหรือไม่ เราจะทำอย่างไร?
  5. พระเยซูทรงให้เงื่อนงำอะไรในเรื่องวันที่พระองค์เสด็จมาบ้าง?
  6. จินตนาการสิว่า พระเยซูจะทรงรวบรวมคนที่ทรงเลือกด้วยวิธีใด?​
  7. พระเยซูทรงสอนให้เรารอคอยพระองค์อย่างไร?