กิจการ 3 อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

การอัศจรรย์กับขอทานในพระวิหาร

กิจการ 3:1-3
โดยปกติแล้ว คนยิวที่เคร่งจะอธิษฐานสามเวลาคือ เก้าโมงเช้า เที่ยง และบ่ายสาม และในทางเข้าพระวิหารด้านนั้น ก็มักจะมีคนขอทานมานั่งอยู่กันไม่น้อย ชายขอทานที่เป็นอัมพาตตั้งแต่เกิดคนหนึ่งก็มาที่นี่ทุกวันเช่นกัน
ส่วนท่านยอห์นและท่านเปโตรเองก็ยังใช้พระวิหารในการอธิษฐาน ในการพบปะผู้เชื่ออยู่ พวกเขายังไม่ถูกไล่ออกไป ดังนั้นคนที่เชื่อ พระเยซูก็ยังใช้ประโยชน์ของสถานที่นี้เหมือนอย่างที่เคยเมื่อครั้งยังไม่ได้เชื่อ
1* กิจการ 2:46, 10:3, 10:30, สดุดี 55:17, มัทธิว 27:45
2* กิจการ 14:8, ยอห์น 9:8, กิจการ 3:10

กิจการ3: 4-7
อัครทูตทั้งสองไม่ได้สนใจคนอื่น แต่กลับมาสนใจชายเป็นอัมพาตคนนี้ ท่านคงได้รับการเตือนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพิเศษเพื่อรักษาชายคนนี้ แล้วท่านก็บอกชายขอทานชัดเจนว่า ไม่มีเงิน ไม่มีทองจะให้ แต่ที่มีนั้นเป็นสิ่งที่ชายขอทานไม่คาดคิด! คำว่า ในพระนามพระเยซูคริสต์
 พระนามของพระเยซูเป็นสัญลักษณ์ อำนาจแทนพระเยซูดังนั้น เมื่อกล่าวว่าในพระนามพระเยซูจึงหมายถึงพระองค์เองโดยตรง อัครทูตกำลังเชิญให้พระเยซูคริสต์เสด็จมารักษาชายผู้นี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อท่านกล่าวถึงพระนามเท่ากับเป็นการเชิญพระองค์มา
แล้วชายผู้นี้ก็ยืนได้ ขามีกำลังอย่างทันทีทันใด นี่เป็นการอัศจรรย์แรกของอัครทูตที่ท่านลูกาบันทึกไว้ แต่ความจริงแล้วมีการอัศจรรย์อื่น ๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ (ดูในกิจการ 2) การที่ชายเป็นอัมพาตหายป่วย เป็นการดึงความสนใจของผู้คนให้หันมาฟังสิ่งที่ท่านเปโตรกำลังจะกล่าวต่อไป
6* กิจการ 14:9-10, 4:10, 2 โครินธ์ 8:97* กิจการ 9:41, ลูกา 13:13, มาระโก 9:27

กิจการ 3:8-10
ชายที่เดินได้ใหม่ ๆ คนนี้ตื่นเต้นที่สุด เขาดีใจสรรเสริญพระเจ้าไป และใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นคนที่เคยจับเจ่าขอทานริมทางเข้าพระวิหาร พวกเขาก็เคยให้ทานกับชายคนนี้ มาวันนี้เขากลับเดินได้ …. พวกเขาจึงดีใจไปกับเขา แต่ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า มีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน
8* กิจการ 14:10, อิสยาห์ 35:6, ยอห์น 5:8-9
9* กิจการ 4:16, 21, มาระโก 2:11-12
10* ยอห์น 9:8, กิจการ4:21-22, ยอห์น 5:20

คำเทศนาที่เฉลียงโซโลมอน

กิจการ 3:11-13
พอผู้คนได้ยินเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป พวกเขาก็อยากเห็นด้วยตาตนเองว่ามีคนพิการแต่เกิดเดินได้ ใครล่ะไม่อยากเห็น? กลายเป็นว่ามีคนเข้ามามุงดูกันเป็นจำนวนมากและนี่เป็นโอกาสที่อัครทูตเปโตรฉวยไว้ เพื่อจะอธิบายให้กับพวกเขาเข้าใจว่า ผู้ที่ให้หายป่วยคือพระเจ้าที่ชาวยิวทั้งหลายนับถือ
การเดินได้ของชายอัมพาตเกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง เกี่ยวอย่างไรหรือ? นั่นคือพระเจ้าทรงให้เขาเดินได้ เพื่อเป็นเกียรติของพระเยซูต่อหน้าหมู่คนยิว เห็นกันต่อหน้าต่อตา ท่านเปโตรโยงเรื่องให้เห็นว่า พวกเขาปฏิเสธพระเยซูอย่างไร
11* ยอห์น 10:23, กิจการ 5:12
12* 2 โครินธ์ 3:5, ยอห์น 3:27-28, ปฐมกาล 41:16
13* ยอห์น 5:30, อิสยาห์ 49:3, ยอห์น 7:39, 12:23, 13:31, มัทธิว 27:2, 20, มาระโก 15:11, ลูกา 23:28, ยอห์น 18:40, กิจการ 13:28,

กิจการ 3:14-16
 ท่านเปโตรพูดถึงองค์ผู้บริสุทธิ์ (คือตำแหน่งขององค์พระเมสสิยาห์จากอิสยาห์ 31:1)องค์ผู้ทรงธรรม (อิสยาห์ 53:11) ทรงเป็นถึงพระผู้ช่วยให้รอด แต่คนยิวกลับเกลียดชังและขอแลกชีวิตของพระเยซูกับฆาตกร! (ลูกา 23:28-19) พวกเขาได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขน พระผู้ทรงให้กำเนิดชีวิตในโลก (โคโลสี 1:14-20) แต่พระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมาด้วยฤทธิ์ของพระเจ้า
พอชายอัมพาตเชื่อพระนามพระเยซู (ซึ่งเท่ากับเขาเชื่อในตัวองค์พระเยซู ไม่ใช่แค่ชื่อเฉย ๆ) เขาจึงหายเป็นปกติให้เห็น ทุกคนเป็นพยานได้ ตอนนี้ คนที่ฟังย่อมเริ่มเข้าใจแล้วว่า อะไรเป็นอะไร พวกเขาเป็นผู้ร่วมกันประหารผู้ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพวกเขาเป็นผู้มีความผิดในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ผู้ที่เขาตรึงตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ข่าวนี้ใคร ๆ ก็รู้กันไปทั่ว ท่านเปโตรเองก็เป็นพยาน
ที่เด็ดขาดสุด ๆ ก็คือ เห็นกับตาว่า ชายอัมพาตที่เชื่อพระเยซู เดินได้! พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวเลย
14* สดุดี 16:10, มาระโก 1:24, ลูกา 1:35, กิจการ 7:52, 2 โครินธ์ 5:21, ยอห์น 18:40
15* กิจการ 2:24, 2:32, วิวรณ์ 21:6, 22:17
16* มัทธิว 9:22, กิจการ 4:10, 14:9

กิจการ 3:17-19
แต่หลังจากที่กล่าวคำต่อว่าแรง ๆ ให้คนยิวทั้งหลายรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรต่อพระผู้ช่วยให้รอด(พระเมสสิยาห์)ที่พระเจ้าทรงส่งมา ท่านเปโตรก็กล่าวคำเห็นใจว่า ที่พวกเขาทำไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ค่อยอ่อนโยนขึ้นนิดหนึ่ง
โดยกล่าวถึงการที่พระเมสสิยาห์จะต้องทนทุกข์ ซึ่งเป็น ข้อความที่พวกเขาเข้าใจยากมาก ในเมื่อมาเป็นพระเมสสิยาห์ ช่วยให้คนพ้นบาป แต่ทำไมพระองค์ต้องทนทุกข์ และถ้าพระองค์เป็นจริง ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้พวกเขาพ้นจากการ
เป็นเมืองขึ้นของโรม ช่วยให้พวกเขาเป็นอิสระ ความคิดที่ฝังมาว่าพระเมสสิยาห์จะต้องมีลักษณะที่เขาต้องการดังกล่าวนี้ทำให้พวกเขาตาบอด มองไม่เห็นว่าพระเยซูคือใครจริง ๆ 
แล้วท่านเปโตรก็ชวนให้พวกเขากลับใจ ให้เปลี่ยนความคิด ไม่คิดแบบเดิมต่อไป หันมาติดตามพระเจ้าเพื่อจะได้พ้นโทษบาป
17* ลูกา 23:34, ยอห์น 16:3, กิจการ13:27, 17:30, 1 โครินธ์ 2:8, 1 ทิโมธี 1:13
18* ลูกา 24:44, กิจการ 26:22, สดุดี 22, อิสยาห์ 50:6, 53:5, ดาเนียล 9:26,  โฮเชยา6:1, เศคาริยาห์ 13:6, 1 เปโตร 1:10
19* กิจการ 2:38, 26:20

กิจการ 3:20-23
 เปโตรได้บอกพวกเขาว่า ถ้าเปลี่ยนใจ กลับใจมาหาพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการฟื้นฟูใจ สดชื่น บรรเทาใจ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องติดกับของกฎจากศาลาธรรม จากพระวิหาร ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมชีวิตของเขาต่อไป ไม่ต้องติดกับของบาปอีกต่อไป
แต่คำพูดนี้อาจหมายถึงว่า พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์จะได้กลับมาครอบครอง ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าใหม่ แผ่นดินโลกใหม่
จากนั้น ท่านเปโตรก็ช่วยย้ำให้ผู้ฟังเข้าใจว่า พระเยซูองค์นี้คือคนเดียวกับที่โมเสสเคยกล่าวว่าพระเจ้าจะทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ที่เหมือนเขามา ..ให้ทุกคนฟังคำของเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) ที่ว่าเหมือนโมเสสคือ ทั้งช่วยกู้ และทั้งพิพากษาพวกเขา
20* – 21* กิจการ 1:11, มัทธิว ​17:11, โรม 8:21, ลูกา 1:70 
22* ฉธบ. 18:15, 18, 19, กิจการ 7:37
23* ยอห์น 12:48

กิจการ 3:24-25
ท่านเปโตรกำลังยืนยันให้กับคนยิวที่ฟังอยู่รู้ว่า ที่พวกเขาอ่านพระคัมภีร์เดิมและเห็นว่า พระเจ้าทรงกล่าวถึงพงศ์พันธ์ุของดาวิดที่จะมาครอบครองนั้น ก็คือ พระเยซูองค์นี้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้อื่น
ผู้ฟังเหล่านี้ เป็นคนชาติเดียวกันกับผู้เผยพระคำ เป็นลูกหลานของพวกเขา แต่ก็เป็นลูกหลานพิเศษของพระเจ้าเพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมนั้นเอง ท่านเปโตรย้ำว่าพวกเขาคือคนที่จะเป็นพรให้กับมนุษยชาติ ขณะที่กำลังฟังอยู่นั้น พวกเขาเชื่อไหมนะ คิดออกหรือเปล่า?
24* 2 ซามูเอล 7:12, ลูกา 24:25, 
25* กิจการ 2:39, โรม 9:4,8, กาลาเทีย 3:26, ปฐมกาล 2:3,18:18, 22:18, 26:4, 28:14

กิจการ 3:26
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะอวยพรชาวโลกทั้งสิ้น แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรอิสราเอลก่อนใคร ๆ เป็นการย้ำว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขา และให้เกียรติพวกเขา ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือกคือพระเยซูนั้น ทรงถือกำเนิดในกลุ่มของชนชาติอิสราเอล ไม่ได้ไปเกิดที่ไหนอื่น
ข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่คนยิวแล้วจึงไปหาคนต่างชาติ (กิจการ13:46, โรม 1:16) และการที่พระเจ้าจะนำอาณาจักรของพระองค์มาบนโลกนี้ ก็ต้องการ ให้คนยิวรับพระเมสสิยาห์ของพวกเขา (มัทธิว 12:39, โรม 11:26) การกลับใจของพวกเขามาก่อนที่พระเยซูคริสต์จะครอบครองบนผืนแผ่นดินนี้ (เศคาริยาห์ 12:10-14)
26* มัทธิว 15:24, ยอห์น 4:22, กิจการ 13:46, โรม 1:16, 2:9, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 1:21

กิจการ 2 กำเนิดคริสตจักร

พระวิญญาณเสด็จลงมาตามพระสัญญา

คำอธิบายจากท่านเปโตร

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

คำเชิญให้เชื่อพระเยซูคริสต์

ชีวิตของคริสตจักรแรก

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำอ้างอิง กิจการ 2

ยอห์น 9 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำเชื่อมโยง

ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี

ยอห์น 9:1-3
ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?” (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7) ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้ เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง 
แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น 4:34, 5:19,36, 17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10

ยอห์น 9:4-6 ก
ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5** ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6** มาระโก 7:33, 8:23

ยอห์น 9:6ข-8 
ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้
อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14

ยอห์น 9:9-12
เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี
เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น 9

การสอบสวนโดยคนที่ไม่เชื่อ

ยอห์น 9:13-16
ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ
ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ
(ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39) แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ยอห์น 9:17-19
นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก

ยอห์น 9:20-23
แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา) ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22** ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2

ยอห์น 9:24-27
เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง
พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้
ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย. เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้ และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16

ยอห์น 9:28-31
แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย 
ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
มีให้เขา
29** อพยพ 19:19,20, 33:11, 34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
30** ยอห์น 3:10
31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9, อิสยาห์ 1:15,
เยเรมีย์ 11:11, 14:12, เอเสเคียล 8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13, ยากอบ 5:16
ยอห์น 3:2, 9:1634 สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2

ยอห์น 9:32-34
เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่ เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์

ตาดีแท้ ตาบอดแท้

ยอห์น 9:35-38
เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์ ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา เขาทำเองไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้ ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์
แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์… เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร เป็นใจที่พร้อม เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า
35** ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37** ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2

ยอห์น 9:39-41
คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ
คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร
39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24

เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
อิสยาห์ 43:8 กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
เยเรมีย์ 5:21 กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
อิสยาห์ 56:10 กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด
กิจการ 26:12-18 ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส
เอเฟซัส 4:18 กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด
วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่

2 โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย
ยอห์น 9:4 ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์