1 ยอห์น 4 รักพี่น้อง..สำคัญนัก

วิญญาณแท้และวิญญาณปลอม

พี่น้องที่รัก
อย่าเชื่อวิญญาณใด ๆ แต่ให้พิสูจน์ว่า วิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่
เพราะมี
ผู้เผยพระคำปลอม
มากมายที่ออกมาในโลก
1 ยอห์น 4:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13; 1 เธสะโลนิาก 5:21

คำว่า พิสูจน์ ในภาษากรีก มีความหมายว่า ให้ตรวจสอบสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วนเพื่อดูว่าเป็นของแท้หรือไม่ มีการทดสอบ ตรวจดู วิเคราะห์หาเหตุผล และหลักฐานมายืนยัน ดังนั้น เมื่อเราได้ยินใครกล่าวพระคำของพระเจ้า เราต้องถามตัวเองด้วยว่า เขาพูดพระคำอย่างตรงไปตรงมาหรือบิดเบือนพระคำนั้นตามใจของตนเอง เพราะในโลกทุกวันนี้ มีคนตัวปลอมเยอะมาก!

วิธีที่ท่านจะรู้ว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าก็คือ
ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่า
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมาเป็นมนุษย์
มาจากพระเจ้า
และวิญญาณใดไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
และเป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งท่านเคยได้ยินว่ากำลังมา
และบัดนี้ก็มาอยู่ในโลกแล้ว
1 ยอห์น 4:2-3

1 โครินธิ์ 12:3; ยอห์น 1:14; 1 ยอห์น 4:3; 2:22; 2 ยอห์น 1:7

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราจะเจอผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้ช่วย แต่ว่ากลับเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์เสียเอง คนของพระเจ้าจริง จะยอมรับและประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิด เป็นมนุษย์ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์แต่ถ้าเป็นฝ่ายมารละก็ พวกเขาจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ และพยายามทำให้คนหลงทางไป

ลูกเล็ก ๆ เอ๋ย ท่านมีชัยชนะเหนือเขาเหล่านั้น เพราะว่า พระองค์ผู้สถิตในท่าน
ทรงเป็นใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก
พวกเขาเป็นฝ่ายโลก และก็พูดตาม แบบของโลก และโลกก็เชื่อฟังเขา
1 ยอห์น 4:4-5

โรม 8:31,37; 1 ยอห์น 5:4;
ยอห์น 8:23; 2 เปโตร 2:2-3; ยอห์น 17:14

ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องสังเกตคนสอนผิดให้เป็น แต่ไม่ต้องกลัวพวกเขา ไม่ต้องกลัวสิ่งที่เขาขู่ คนของพระเจ้าไม่มีอะไรจะต้องกลัวคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เห็นชัด ๆ คนที่ไม่เห็นคือคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเจิมเรา และทรงทำให้เรารู้ความจริง พระวิญญาณทรงอยู่ในเรา(2:20)

เราเป็นฝ่ายของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าจะไม่ฟังเรา
ดังนั้น เราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง
และวิญญาณที่หลอกลวง
1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 14:17; 10:27; 8:45-50; 1 ยอห์น 4:1

พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่าใครเป็นใคร พระเจ้าให้เราพิสูจน์คำสอนทุก ๆ คำที่ผ่านเข้ามาว่า เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ไม่มีการแปลความเข้าข้างตัวเอง พวกครูสอนผิด มักใช้พระคัมภีร์มาเข้าข้างตัวเอง และหาชื่อเสียง เงินทองเข้ากระเป๋าได้มากมาย พวกเขาหลอกให้ คนเชื่อ ติดตามไป ยอมขายบ้าน ยกเงินให้หมด คนสอนผิดจะเพิ่มเติมความเห็นของตนเข้าไปใน
จนท่วมพระคำของพระเจ้า

รักกันและกัน

ท่านที่รัก
ให้เรารักซึ่งกันและกัน
เพราะความรักมาจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระองค์
คนที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
1 ยอห์น 4:7-8

1 ยอห์น 4:20-5:1; 1 เปโตร 1:22; 1 เธสะโลนิกา 4:9-10;
2 โครินธ์ 13:11; สดุดี 86:15; เอเฟซัส 2:4

รักที่อยู่บนพื้นฐานของรักของพระเจ้านั้น เป็นรักที่แน่นอน มั่นคง อดทน และไม่ยอมแพ้
ถ้าจะรักใครสักคนด้วยรักของตัวเองแล้ว มันเป็นรักที่อ่อนแอ และเข้าข้างตนเอง อดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะลองวิเคราะห์ความรักของมนุษย์และพระเจ้าแล้ว จะเห็นความแตกต่าง ราวฟ้ากับเหว ท่านยอห์นทราบดีว่าจะรักใครก็ต้องรักด้วยความรักที่มาจากพระเจ้า
มิฉะนั้น จะเป็นรักที่อ่อนแอ

ความรักของพระเจ้าได้สำแดงแก่เรา
ก็โดยที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลกเพื่อว่าเราจะได้มีชีวิตโดยพระบุตรนั้น
1 ยอห์น 4:9

ยอห์น 3:16; 6:57; 1 ยอห์น 5:11; โรม 8:32; ยอห์น 10:10

อย่างที่พระเยซูตรัสไว้ในยอห์น 3:16
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร
องค์เดียวของพระองค์
” มนุษย์เราที่เกิดมา ถ้าไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็เหมือนคนตายทั้งเป็น ทั้งโลกไม่รู้ว่า เราเป็นเหมือนคนตายที่เดินไปมา ทำงาน ต่อสู้ชีวิตโดยที่ตอนจบไม่ได้อะไรเลย นอกจากหลุมฝังศพ แต่พระเยซูทรงมาเพื่อให้ เราทุกคนได้ชีวิต และได้ชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อ่านยอห์น 10:10

และนี่คือความรัก ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้า
แต่พระองค์ทรงรักเรา
และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา
เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา
1 ยอห์น 4:10

เอเฟซัส 2:4-5; โรม 5:8-10; 1 ยอห์น 2:2 ; ยอห์น 15:16

ภาพ Agnus Dei c. 1635–1640, วาดโดย Francisco de Zurbarán, Prado Museum

พระเยซูทรงมาเพื่อเป็นเครื่องบูชาอะไรหรือ ? พระเจ้าทรงสอนเราในพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ เราเข้าใจว่า บาปนำไปสู่ความตาย ในสมัยก่อน เมื่อทำบาป ก็มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปของตน ด้วยการใช้ชีวิตของสัตว์อย่างเช่น แกะ แพะ นก มาเป็นตัวแทนรับบาปของเราไป คนในสมัยก่อนก็ต้องถวายเครื่องบูชาแบบนี้ไปจนตาย เพราะเขาทำบาปเสมอ แต่เมื่อพระเยซูมาเป็นเครื่องบูชา คนที่เชื่อพระเจ้าจึงไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพระเยซูทรงสิ้นชีวิตเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวพอ

ท่านที่รัก
หากพระเจ้าทรงรักเรามาก
เช่นนั้น
เราจึงควรรักกันและกันด้วย
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า
ไม่ว่าเวลาใด
ถ้าเรารักกันและกัน
พระเจ้าก็ทรงดำรงในเรา
และความรักของพระองค์
ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
1 ยอห์น 4:11-12

โคโลสี 3:13; ยอห์น 15:12-13; 1 ยอห์น 3:23
ยอห์น 1:18; 1 ยอห์น 2:5; 1 ทิโมธี 6:16

การที่พี่น้องรักกันและกันนั้น รู้ไหมว่าเราได้ ความมหัศจรรย์ใดเกิดขึ้น
นั่นก็คือ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในหมู่พวกเรา นี่เป็นเรื่องดีที่สุดในหมู่พี่น้อง เพราะพระเจ้าสถิตที่ไหน สันติสุขก็อยู่ที่นั่น

เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า
เราดำรงในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เรา
1 ยอห์น 4:13

เอเฟซัส 2:20-22; 1 ยอห์น 3:24

การที่เรารักกันและกันอย่างจริงจัง จริงใจ ทำให้เรารู้ว่านั่นแหละ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงดำรงในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เพราะความรักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ตาม 1 โครินธิ์ 13 นั้นจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มี พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ในเรา เพราะความรักที่ มีนั้น เป็นรักที่เกินกว่าเราจะรักได้

พวกเราได้เห็น
และเป็นพยานว่า
พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
คนใดยอมรับว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็สถิตในเขา และเขาอยู่ในพระองค์
1 ยอห์น 4:14-15

ยอห์น 4:42; 1:29; ยอห์น 15:26-27;
โรม 10:9; 1 ยอห์น 5:5; 3:24; มัทธิว 10:32

ท่านยอห์น เป็นศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เขาเป็นคนใกล้ชิดพระองค์มาก จากการที่อยู่กับพระองค์ เห็นการอัศจรรย์สำคัญมากมายที่พระเยซูทรงทำให้ประชาชน ความรักทีพระองค์ทรงมีต่อ พวกเขา ท่านเห็นการสิ้นชีพ และการคืนชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ท่านจึงมั่นใจเต็มร้อยว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ถูกส่งมาแน่ และท่านย้ำให้ทราบว่า ใครก็ตามยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า พระเจ้ากับเขาอยู่ในกันและกัน !

และเราได้มารู้จัก
และเชื่อในความรัก
ที่พระเจ้าทรงมีให้เรา
พระเจ้าทรงเป็นความรัก
และคนที่อยู่ในความรัก
ก็อยู่ใน พระเจ้า
และพระเจ้าสถิตในเขา
1 ยอห์น 4:16

1 ยอห์น 3:24; 3:16; สดุดี 36:7-9; อิสยาห์ 64:4

หลายข้อที่ผ่านมา ท่านยอห์นเฝ้าบอกเราเรื่องความรัก ให้รักกันและกัน และพระเจ้าจะสถิตในเรา ไม่มีความเชื่อแบบอื่นใดในโลกที่เน้น ความรักของพระเจ้า และยืนยันว่าพระเจ้าทรง เป็นความรัก อาจมีการสอนให้เรามีความ เมตตาต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่การที่จะรัก สละชีวิต เวลาให้ ไม่มีใครอยากจะสอนเรื่องนี้ สอนแค่ให้ทำความดีทั่ว ๆ ไปนั้นง่ายกว่า เพราะคนที่รักนั้น ต้องเสียสละให้ทั้งชีวิต

เพราะเป็นอย่างนี้ ความรักจึงสมบูรณ์
1 ยอห์น 4:17

1 ยอห์น 2:28; 3:3; 2:5; โรม 8:29

“ความรักสมบูรณ์ในหมู่พวกเรา” ท่านยอห์นใช้คำที่มีความหมายว่าสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซนต์ ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษา เราจะเป็นว่าความรักนั้นสมบูรณ์แบบมากเพียงไร เราจะเข้าใจมากกว่าที่เข้าใจวันนี้

ในความรักไม่มีความกลัว แต่รักที่สมบูรณ์แบบก็จะขจัดความกลัวออกไปเพราะความกลัวนั้น เกี่ยวพันกับการลงโทษ และคนที่กลัวก็ไม่ได้รักอย่างสมบูรณ์แบบ
1 ยอห์น 4:18

2 ทิโมธี 1:7; โรม 8:15

เมื่อเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก เราก็ไม่ต้องกลัวการพิพากษา เพราะว่า พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษของการพิพากษานั้น แทนเราแล้ว รักที่สมบูรณ์ทำให้เราไม่ต้องกลัว ความกลัวเกี่ยวข้องกับการถูกลงโทษ นั่นคือ คนที่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในความรักของพระเจ้า มีเรื่องที่ต้องกลัวจริง ๆ การพิพากษาของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมาขู่ให้กลัว แต่เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า

เรารัก
เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
ถอดความจาก 1 ยอห์น 4:19

ยอห์น 3:16; 15:16; ทิตัส 3:3-5

ข้อนี้ ท่านยอห์นต้องการกล่าวว่า ที่เรารักกันและกัน ก็เพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน ในโลกเรานี้ เรารู้อยู่ว่าทุกคนเป็นคนบาป ย่อมเห็นแก่ตัวเอง ยากที่จะรักใคร ถึงรักก็เพื่อ ความสุขของตนเองเป็นหลัก เมื่อเรารักเป็นเพราะ พระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงเข้าใจว่าเรารักคนที่ โลกไม่สนใจก็ได้ รักคนที่ไม่น่ารัก คนที่ถูก ดูหมิ่นดูแคลน แม้จะเป็นคนที่ยากจะรัก ที่ทำได้เพราะรักนั้นเป็นของพระเจ้าที่ทรงให้เราไว้

หากใครคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรักพระเจ้า”
แต่ยังคงเกลียดพี่น้องของตน
คนนั้นก็พูดมุสา
คนที่ไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ ไม่อาจจะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็น
1 ยอห์น 4:20

1 ยอห์น 3:17; 2:9; 2:4; 1 เปโตร 1:8

เราอาจคิดว่า มีคนอย่างนี้ในโลกด้วยหรือ มีสิ มีมากเสียด้วย คนที่โอ้อวดว่าตนเองเป็นคนดี รักพระเจ้า รักธรรมะ รักความดี อวดว่าตนเป็นคนดีกว่าคนอื่น ๆ แต่ลับหลังแล้วกลับเอาเปรียบพี่น้อง เราเห็นคนแบบนี้อยู่มาก สำหรับท่านยอห์นแล้ว ใครก็ตามที่เกลียดพี่น้อง ไม่อาจกล่าวได้ว่าตนรักพระเจ้า ดังนั้นจากเงื่อนไขแค่นี้เราก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ตัวเราเองเป็นอย่างไร

และเราได้รับคำบัญชานี้มาจากพระองค์
นั่นคือ
คนที่รักพระเจ้าจะต้องรักพี่น้องของตนด้วย
1 ยอห์น 4:21

มัทธิว 22:37-39; เลวีนิติ 19:18; 1 เธสะโลนิกา 4:9

พระคำข้อนี้ เป็นการสรุปบทที่ 4 ทั้งบท คนที่รักพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักคนที่มีพระบิดาองค์เดียวกัน ไม่ว่าจะมีผิวสีเหมือนกันหรือไม่ และฐานะ การศึกษาจะต่างกัน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ในครอบครัวที่ใหญ่มาก เราจึงอธิษฐานเผื่อกัน และกันทั้ง ๆ ที่บางทีไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาก็ทรงรู้จักลูกของพระองค์ ทุกคน และทรงรู้ว่าใครเป็นลูกแท้ใครเป็นลูกปลอม!

1 ยอห์น 3 ชีวิตที่เหมาะกับการเป็นลูกของพระเจ้า

ความรักที่ทำให้เหมือนกับพระองค์

ดูเถิด
พระบิดาประทานความรัก
มากขนาดไหนที่ทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า
และเราก็เป็นดังนั้น
เหตุผลที่โลกไม่รู้จักเรา
ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์​
1 ยอห์น 3:1

ยอห์น 1:12; กาลาเทีย 3:26; 4:5-6; 2 โครินธิ์ 6:18

เมื่อคนใดมารู้จักพระเจ้า และรับเชื่อในพระนามของพระเยซูแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นเหมือนคนต่างแดนในโลกนี้ โลกไม่เข้าใจว่าเขาเปลี่ยนไปได้อย่างไร พระเจ้าทรงดำเนินการเปลี่ยนเขาให้เหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น อัศจรรย์สำหรับทุกชีวิตที่มาพบพระเจ้า

เพื่อนที่รักทั้งหลาย
ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า
และในอนาคต
เราจะเป็นอย่างไรนั้น
ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ
เราจะเป็นเหมือนพระองค์
เพราะเราจะเห็นพระองค์
ตามที่พระองค์ทรงเป็น
1 ยอห์น 3:2

ฟีลิปปี 3:21; 2 โครินธ์ 3:18; โคโลสี 3:4; โรม 8:29

ท่านยอห์นกล่าวถึงสภาพจริงในปัจจุบันของผู้เชื่อ คือเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ในอนาคต ผู้เชื่อจะเป็นเหมือนอย่างพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงปรากฏในวันที่ทรงเสด็จมา (เงื่อนไขคือ เราดำรงอยู่ในพระองค์ตาม 1 ยอห์น 2:28)
พระเยซูเองก็ทรงปรารถนา ให้พี่น้องได้เห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็นอยู่ พระองค์ตรัสไว้ใน ยอห์น 17:24

และทุกคน
ที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์
จงชำระตนเอง
ให้บริสุทธิ์
เหมือนอย่างที่พระองค์
ทรงบริสุทธิ์
1 ยอห์น 3:3

2 โครินธ์ 7:1; 1 ยอห์น 2:6; 2 เปโตร 3:14

ทุกคนที่มีความหวังว่าจะเป็นเหมือนพระเยซู หน้าที่ส่วนของเราคือ มุ่งมั่น เอาใจใส่ที่จะชำระตนเองให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ คำว่าชำระตน เป็นคำเดียวกับท่านยอห์นใช้ในยอห์น 11:55 พูดถึงพิธีชำระตน ก่อนเทศกาลปัสกา นั่นหมายถึงว่า ก่อนที่จะพบพระองค์จริง ๆ ผู้เชื่อต้องเตรียมตัวมีชีวิตที่บริสุทธิ์ตามอย่างพระเยซู นอกจากการอ่าน พระคำยังมีอีกหลายอย่างที่ช่วยให้ชีวิตบริสุทธิ์ คิดสิ มีอะไรบ้าง

บาปทำลายความสัมพันธ์

ทุกคนที่ทำบาป
เท่ากับทำผิดพระบัญญัติ
บาปเป็นสิ่งผิดพระบัญญัติ
ท่านรู้ดีอยู่ว่า
พระองค์ทรงปรากฏ
เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป
ในพระองค์ ไม่มีบาปเลย
1 ยอห์น 3:4-5

1 ยอห์น 5:17; 2 โครินธ์ 12:21; โรม 3:20; 2 โครินธ์ 5:21; 1 เปโตร 3:18; 2:24

บาปที่เราทำนั้น ไม่ใช่แค่ผิดพระบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง บาปทำให้เรากับพระเจ้าต้องแยกจากกัน พระเยซูจึงทรงมาเพื่อทำลายล้างบาป เพื่อให้มนุษย์เราได้มาเฝ้าพระเจ้าได้. มาเป็นของพระองค์ได้ตามพระประสงค์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างเรามา

ผู้ที่อยู่ในพระองค์
ไม่ทำบาปอีกต่อไป 
ส่วนผู้ที่ตั้งใจทำบาปต่อไป 
เท่ากับว่าเขายังไม่เห็นพระองค์
และไม่รู้จักพระองค์
1 ยอห์น 3:6

3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 2:4; 3:9; 4:8; ยอห์น 15:4-7

คนที่ดำรงในพระเยซูคริสต์จริง ๆ จะไม่ทำบาป หมายความว่าอย่างไร เพราะจริง ๆ เราก็เห็นว่า แม้จะเชื่อมากเท่าไร
คน ๆ หนึ่งก็ไม่ได้หยุดทำบาปอย่างสิ้นเชิง แต่คนที่อยู่ในพระองค์ ไม่มีนิสัยตั้งใจที่จะทำบาปแบบต่อเนื่องไม่หยุด พวกเขามีความตั้งใจใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ทัศนคติต่อบาปเปลี่ยนไป มองบาปตามความจริงว่ามันทำลายชีวิต และเขาพยายามหลีกเลี่ยงบาปทุกอย่าง เพราะเขาได้เห็น รู้จักพระเยซูแล้ว

ความแตกต่างของสองฝ่าย

ลูกที่รักทั้งหลาย
อย่ายอม
ให้ใครชักชวนท่านให้หลงไป
คนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรม
ก็เป็นคนเที่ยงธรรม
เหมือนอย่างที่
พระเยซูทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 3:7

1 ยอห์น 2:29; โรม 2:13; 1 เปโตร 1:15-16

อย่าลืมว่า บริบทของจดหมายท่านยอห์นคือ มีคนสอนผิดมากมายที่พยายามชักจูงให้ผู้เชื่อหลงไปตามคำพูดของเขา ดังนั้น ผู้เชื่อจะต้องสังเกตว่าชีวิตของคน ๆ นั้น เป็นอย่างไร เขาประพฤติตัวปกติอย่างไร ต่อหน้าลับหลังเหมือนกันหรือไม่ แค่คำพูดดี ๆ คำที่ดูเหมือนฉลาด ก็อาจทำให้คนหลงตามไปได้ง่าย ในโลกออนไลน์ตอนนี้มีระบาดไปทั่ว

คนที่ประพฤติตามทางบาป
ก็มาจากมาร
เพราะมารทำบาปมาตั้งแต่ต้น
เพราะเหตุนี้
พระบุตรของพระเจ้า
จึงทรงปรากฏ
เพื่อทำลายงานของมารทั้งสิ้น
1 ยอห์น 3:8

ฮีบรู 2:14; ยอห์น 8:44 โรม 16:20; ยอห์น 12:31

ท่านยอห์น ทำให้เห็นชัดเหมือนข้อ 6
หากว่าคนที่มาจากมารนั้น จะทำบาปอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่พวกเขามาจากมาร แต่พระเจ้า ไม่ทรงปล่อยโลกทิ้งไว้ให้อยู่ในอำนาจมาร เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงต้องจัดการทำลายงานของมาร นั่นก็คือการบาปทั้งสิ้น โดยมีพระเยซูเป็นผู้ทำงานนั้นโดยเฉพาะ ไม่มีใครในโลกและจักรวาลที่จะทำงานนี้ได้เลย

ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า
จะไม่ทำบาปต่อไป
เพราะเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในเขา และเขาไม่อาจมีนิสัย
ทำบาปต่อเนื่องไปได้
เพราะเขาเป็นลูกของพระองค์
1 ยอห์น 3:9

1 ยอห์น 5:8; 2:29; ยอห์น 1:13; 1 เปโตร 1:23

ในภาษาเดิมเขียนชัดว่า คนที่เป็นลูกของพระเจ้ามีเชื้อพันธุ์ หรือเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา ดังนั้น เขาจึงเป็นลูกของพระเจ้าจริง และจะมีชีวิตตามแบบของพระเจ้า การไม่ทำบาปต่อเนื่องเป็นผลมาจากที่พระเจ้าทรงรับเขาเป็นลูก และเขาไม่ได้เป็นลูกของมารอีกต่อไป (ยอห์น 1:12)พระลักษณะนิสัยของพระเจ้ามาอยู่ในตัวเขา

ลักษณะลูกของพระเจ้ากับลูกของมาร
ก็ปรากฏชัด
โดยดูจากว่า
คนที่ไม่ประพฤติในความเที่ยงธรรม
รวมทั้งคนที่ไม่รักพี่น้อง
คนนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า
1 ยอห์น 3:10

3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 4:21; ลูกา 6:35; 1 ยอห์น 4:8; 4:6; ยอห์น 8:44

ที่จริงแล้ว ไม่ยากที่จะแยกคนของพระเจ้ากับคนของมาร แต่ที่มันกลายเป็นยากเพราะคนของมารปลอมตัวมาเป็นคนของพระเจ้า ซึ่งในวันนี้ก็มีมากมายอย่างที่ท่านยอห์นได้เตือนเอาไว้ และคนที่ปลอมตัวนั้นก็หลอกเก่ง รู้ว่าคนอ่อนแอ ในเรื่องอะไรก็หลอกเรื่องนั้น อย่างเช่นว่าพระเจ้าจะอวยพรมากหากถวายมากเป็นต้น สิ่งที่เราสังเกตได้ว่าใครปลอมใครจริงอย่างหนึ่งคือ พวกเขามี ความรักหรือไม่

รักกันและกัน

และนี่เป็นสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้น 
นั่นคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน
อย่าเป็นเยี่ยงคาอิน
ซึ่งเป็นคนของมาร
และได้ฆ่าน้องชายของตน
เหตุใดเขาทำเช่นนั้น ?
เป็นเพราะเขาทำการชั่ว
แต่ว่าน้องชายเป็นผู้เที่ยงธรรม
1ยอห์น 3:11-12

2 ยอห์น 1:5; 1 ยอห์น 4:7; 4:21; ยอห์น 15:12; 13:34-35; ฮีบรู 11:4; ปฐมกาล 4:4-15; ยูดา 1:11

ที่คาอินได้ทำชั่ว ฆ่าน้องชายของตน ต้นเหตุ แรกคือ เขาเป็นคนของมาร ชีวิตจึงเต็มด้วย ความชั่ว ในปฐมกาล 4:5 เราพบว่า ต้นเหตุของการฆ่าน้องคือความเย่อหยิ่ง เกลียดชัง
ในฮีบรู11:4 บอกว่าเป็นเพราะเขาขาดความเชื่อทั้งหมดนี้ล้วนแต่มืดดำ และไร้ซึ่งความรักฆ่าน้องแล้วเขาก็ยังเก็บเรื่องนั้นไว้อีก แต่พระเจ้าทรงเห็นทั้งหมด ตอนนี้ทั้งโลกก็เห็นด้วย

พี่น้องทั้งหลาย ไม่ต้องแปลกใจหากโลกเกลียดชังท่าน
เรารู้ว่า
เราผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิต
เพราะเรารักพี่น้องของเรา
ผู้ที่ไม่รัก ก็ยังคงอยู่ในความตาย
ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของตนนั้น
นับได้ว่า เขาเป็นผู้ฆ่าคน
และท่านรู้ว่า
ฆาตกรไม่มีชีวิตนิรันดร์ในตัวเขา
1 ยอห์น 3:13-15

ยอห์น 15:18; 17:14; 2 ทิโมธี 3:12; ยากอบ 4:4; ยอห์น 13:35; 5:24; 1 ยอห์น 5:2; มัทธิว 5:21-22; สุภาษิต 26:24-26;วิวรณ์ 21:8

เราดูความเป็นไป อารมณ์ ความรู้สึกของคนในโลกวันนี้ได้ง่ายกว่าในอดีตมาก เราเห็นแล้วว่าความเกลียดชังได้ครอบครองสังคม จนกลายเป็นเรื่องปกติ ความรัก ความเมตตากลายเป็นสิ่งที่ หายากมาก เรื่องราวของความรัก ความดี
ปรากฏน้อยกว่าเรื่องของความเกลียดชัง และยิ่งถ้าใครเป็นคริสเตียนจริง ๆ แล้ว ก็เป็นที่ น่ารังเกียจของคนในโลก เพราะว่าชีวิต ของผู้เชื่อเป็นสิ่งที่พวกเขาทนไม่ได้

เรารู้จักความรักว่า เป็นอย่างไร
เพราะพระองค์
ได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
และเราควรสละชีวิตของเรา
เพื่อพี่น้องด้วย
1 ยอห์น 3:16

ยอห์น 3:16; 10:11; 15:13; 1 ยอห์น4:9-11; เอเฟซัส 5:2

คำกล่าวข้างบนนี้ บอกถึงความรักที่เสียสละ ไม่ใช่รักที่ฉันจะเอาแต่ข้างเดียว แบบเห็นแก่ตัว แล้วกล่าวแค่คำว่า “ฉันรักเธอ” (ฉันขาดเธอไม่ได้เพราะว่าเธอมีประโยชน์กับฉันเหลือเกิน)แต่ความรักที่แท้นั้นก็คือคำว่า “เสียสละ”อย่างองค์พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น สละให้ทั้ง ๆ ที่มนุษย์นั้นสุดที่จะเลว พระองค์ทรงสละชีวิตด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง!

เวลานี้ ถ้าใครมีทรัพย์สิ่งของ
และเห็นพี่น้องของเขา
มีความต้องการจำเป็น
แต่ยังปิดใจจากเขา
ความรักของพระเจ้า
จะอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?
ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
เราไม่ควรรัก 
จากคำพูดและจากปากเท่านั้น
แต่รักกันด้วยการกระทำ
และความจริง
1 ยอห์น 3:17-18

เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7; เอเสเคียล 33:31; ฮีบรู 13:6; 1 ยอห์น 4:20; ยากอบ 2:15-16; โรม 12:9

คำพูดจากปากที่ไม่มีการกระทำนั้น ง่ายราคาถูก สบายใจคนพูด แต่มันคือคำโกหกพกลม เราเจอคนอย่างนั้นมากมายในโลกเจอทุกวัน อยู่เต็มไปหมด ท่านยอห์นเองก็พบคน อย่างนั้นมากมายเช่นกัน ความรักที่แสดงออกด้วยการกระทำ ด้วยความจริง จากหัวใจนั้นเป็นทักษะที่ต้องฝึก ยิ่งทำยิ่งเก่ง
ยิ่งทำ ยิ่งเป็นธรรมชาติ กลายเป็นนิสัยส่วนตัวที่น่าชื่นชมของพระเจ้า

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงรู้ว่า
เรามาจากความจริง
และเราจะได้มั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
เพราะเมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเอง
พระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา
และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
1 ยอห์น 3:19-20

ยอห์น 18:37; 1 โครินธ์ 4:4-5; เยเรมีย์ 17:10; สดุดี 139:1-4; ฮีบรู 4:13

จากข้อที่ผ่านมาบอกให้เรารักด้วยการกระทำและด้วยความจริง หากเราทำเช่นนั้นในชีวิต ประจำวัน ทำเป็นกิจวัตร เราจึงรู้ว่า เรามาจาก ความจริง หรือพูดง่าย ๆ เรามาจากพระเจ้า
และในชีวิตประจำวันนั้น เวลาเราทำบาป เวลา ทำไม่ถูกต้อง ใจของเรานี่แหละจะบอกเราว่า “เฮ้ ทำไม่ถูกนะ ทำไมทำอย่างนี้? แก้ไขซะ” ใจที่อยู่ข้างพระเจ้าจะไม่สนับสนุนให้เราปล่อยบาปในชีวิตให้ลอยนวล

พี่น้องที่รัก
หากใจเราไม่กล่าวโทษตัวเรา
เราก็มีความมั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
และเราจะขอสิ่งใดจากพระเจ้า
เราจะได้รับจากพระองค์
เพราะเรารักษาพระบัญญัติ
และทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย
1 ยอห์น 3:21-22

1 ยอห์น 2:28; 5:14; ฮีบรู 4:16; สดุดี 34:15; 7:3-5; ยอห์น 8:29; 15:7; มาระโก 11:24

พระคำข้อนี้ เป็นพระคำที่ให้กำลังใจกับหลายคน ที่กำลังท้อแท้ คนที่ไม่มั่นใจในการอธิษฐานเรามั่นใจได้เมื่อเราอธิษฐานจากพื้นฐานชีวิตที่รักษาพระบัญญัติแห่งรัก และทำสิ่งที่พอพระทัย การที่ใจเราถูกต้องกับพระเจ้า สารภาพบาป และเสียใจ สำนึกบาปจริง ๆ ตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งที่พลาดน้ำพระทัยอีก เราจึงจะมั่นใจต่อพระพักตร์พระเจ้าได้

และนี่คือพระบัญญัติ

คือให้เราเชื่อในพระนาม
ของพระเยซูคริสต์องค์พระบุตร
และให้เรารักซึ่งกันและกัน
ตามที่พระองค์
ประทานพระบัญญัติให้เรา
1 ยอห์น 3:23

มัทธิว 22:39; ยอห์น 15:2; 13:34; 6:29;
1 ยอห์น 3:11; 4:21

คำของท่านยอห์นทั้งเรียบง่ายกระชับได้ใจความ พระบัญญัติของพระเยซูนั้น มีสองอย่างที่เราต้อง รักษาตามที่พระคำข้อก่อนได้บอกไว้ เชื่อในพระเยซู และรักกันและกัน ทั้งสองจะทำให้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตปลอดภัย ทำให้เรามั่นใจได้ และรู้ว่า พระเจ้าจะทรงฟัง คำอธิษฐานจากคนเล็กน้อยอย่างเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำสั่งที่เรียบง่ายนี้

คนที่รักษาพระบัญญัติ
ก็อยู่ในพระองค์
และพระองค์ทรงอยู่ในเขา
และโดยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่า
พระองค์ทรงอยู่ในเรา
โดยพระวิญญาณ
ที่พระองค์ประทานแก่เรา
1 ยอห์น 3:24

ยอห์น 14:21,23; 17:21; โรม 8:9, 1 โครินธ์ 3:16; 6:19; 1 ยอห์น 4:15-16; 4:7; 3:22

การที่พระเจ้าทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระองค์นั้น เป็นการอยู่ในกันและกัน มนุษย์อยู่ในพระเจ้าได้ด้วยการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ คือการรับพระองค์เข้ามาในชีวิต และดำเนินตามน้ำพระทัยของพระองค์​ ไม่จำกัดฐานะ วัย เพศ ยิ่งทำมาตั้งแต่เด็กก็ยิ่งดี


1 ยอห์น 2 บัญญัติแห่งรัก

ผู้ที่ทูลแก้ต่าง

ลูกเล็ก ๆ ของข้าเอ๋ย
ข้าเขียนสิ่งเหล่านี้ถึงพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ทำบาป
แต่หากว่ามีใครสักคนทำบาป เราก็มีท่านผู้หนึ่ง ที่จะทูลแก้ต่างให้เราต่อพระบิดาพระองค์คือพระเยซูคริสต์
องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 2:1

โรม 8:34; 1 ทิโมธี 2:5; ฮีบรู 7:25; 9:24

ลูกเล็ก ๆ ในที่นี้หมายถึงคนที่เพิ่งเกิดมาท่านแสดงความอ่อนโยนแก่พี่น้องในความเชื่อ ท่านยอห์นเป็นห่วงพวกเขาที่จะมีชีวิตไม่ติดบาป แต่หากเราเกิดทำบาปขึ้นมา (1 ยอห์น 1:8-10) พระเยซูคริสต์จะทรงเป็นผู้ทูลแก้ต่างให้เรา ด้วยพระองค์เองในฐานะพระบุตรที่ จะทูลขอเพื่อมนุษย์ต่ององค์พระบิดา คำนี้ ในยอห์น 14 แปลว่า พระองค์ผู้ทรงปลอบใจ พระองค์ผู้ทรงหนุนกำลังใจ

และพระองค์ทรงเป็น
เครื่องบูชาลบบาปของพวกเรา
และไม่ใช่แค่บาปของพวกเราเท่านั้น
แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย
1 ยอห์น 2:2

โรม 3:25; ฮีบรู 2:17; 1 ยอห์น 4:10; ยอห์น 1:29

เมื่อพระเยซูทรงแก้ต่างให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราไร้ความผิด ไม่บาปแต่เป็นเพราะพระองค์ทรงยืน ณ ศาลสูงในสวรรค์ทรงยื่นไม้กางเขนที่เป็นเครื่องหมายของการ รับโทษแทนทั้งของมนุษย์ในโลก ท่านยอห์นใช้คำว่า “พวกเรา” จึงหมายถึงตัวท่านเองด้วยที่รู้ตัวว่าได้ทำผิดบาปไปแล้วไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้นอกจากพระเยซูคริสต์! 

ข้อพิสูจน์ว่าเรารู้จักพระเจ้า

บัดนี้ เราจึงรู้แน่ว่า เรารู้จักพระองค์
เมื่อเรากระทำตามพระบัญชา ของพระองค์
คนที่กล่าวว่า “ฉันรู้จักพระองค์”แต่ไม่ทำตามพระบัญชาเท่ากับเป็นคนมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนเช่นนั้น
1 ยอห์น 2:3-4

ยอห์น 14:15; 15:10, 1 ยอห์น 5:3, โรม 3:4, 1 ยอห์ฯ 1:6, ทิตัส 1:16

การทำตามพระบัญชาของพระเจ้าไม่น่ายาก แต่มันกลายเป็นยาก เพราะใจของเราใหญ่กว่าพระบัญชาของพระองค์ คนเราชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะทำตามคำขอร้องของคนอื่น ต่อไปนี้คือ ทำให้ใจของเราเป็นรอง รองจากพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์และอย่าคิดว่าตัวเรารู้จักพระองค์จริง ๆ เราต้องสำรวจใจของเราทุกวัน

แต่ถ้าใครรักษาพระดำรัสของพระองค์
ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์พร้อมในตัวเขาแล้ว
เรารู้ว่า เราอยู่ในพระองค์ ก็เพราะเรารักษาพระดำรัสของพระองค์
1 ยอห์น 2:5

ยอห์น 14:21,23, 1 ยอห์น 4:12; 3:24, ลูกา 11:28

การรักษาพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีความหมายลึกซึ้ง หมายถึงอ่าน เฝ้าระวังรักษาไว้ในใจ เฝ้าดู เป็นกิจกรรมที่พระเจ้า ทรงเตือนมาตั้งแต่สมัยโมเสส โยชูวาเลย จำได้ไหม ท่านโมเสสเคยบอกว่าให้ระวังที่จะทำตามคำแห่งพันธสัญญา ฉธบ.29:9 ครั้งหนึ่งท่านโยชูวากล่าวว่าให้ตรึกตรองบัญญัติของพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน นี่เป็นความหมายแบบเดียวกัน ยชว.1:8

คนใดยืนยันว่า เขาอยู่ในพระองค์
ก็ต้องเดินไปตามอย่าง
ที่พระเยซูทรงดำเนิน
1 ยอห์น 2:6

1 เปโตร 2:21, ยอห์น 13:15, 1 โครินธ์ 11:1, 1 ยอห์น 3:6

พระเยซูทรงคิดอย่างไรในเวลาที่ทรงอยู่ในโลก?
เราเห็นได้จากหนังสือยอห์น อย่างเช่น “อาหารของเราคือการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.4:34) “เราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.6:38) พระดำรัสนี้ชัดเจนมากว่าเราจะเดินตามพระเยซูอย่างไร

สุดยอดแห่งบัญญัติ

ท่านที่รัก ข้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน
แต่นี่เป็นบัญญัติเก่าที่ท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้ เป็นคำที่ท่านได้ยินมาแล้วตั้งแต่ต้น
1 ยอห์น 2:7

1 ยอห์น 3:11, 23; 4:21, เลวีนิติ 19:18,
มาระโก 12:29-34, 2 ยอห์น 1:5-6

เวลาเราอ่านข้อนี้เลยไปจนข้อ 8 เราอาจจะงุนงงว่า ท่านยอห์นกำลังหมายถึงอะไร ท่านบอกว่า ไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ หรือกฎใหม่ให้ทำตามแต่เขียนถึงกฎเดิมที่รู้มาแต่ต้น
แล้วกฎเดิมนั้นคืออะไรล่ะ? ก็คือสิ่งที่พระเยซูทรงสั่งไว้ในยอห์น 13:34-35ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน
เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซูแต่ต้น 

แต่จะว่าไป ก็เหมือนข้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในพวกท่าน เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไป และความสว่างแท้ก็ฉายแสงแล้ว
1 ยอห์น 2:8

ยอห์น 13:34; 15:12, โรม 13:12, ยอห์น 1:9; 8:12; 12:35, เอเฟซัส 5:8

แล้วท่านยอห์นเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนบัญญัติ ใหม่ด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะท่านได้เห็น ความรักที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง ความสว่างแท้ที่ฉายแสงนั้นคือพระเยซูคริสต์ ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงของโลก ได้ทำลายความมืด ความบาปที่อยู่ในโลกนี้ด้วยการสิ้นและคืนพระชนม์ และผู้เชื่อก็กำลังเป็นแสงสว่างของโลกต่อไป..

ผู้ที่ยืนยันว่าตนอยู่ในความสว่างแต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตนก็ถือได้ว่าเขายังคงอยู่ในความมืด
ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่างและไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้ใครสะดุดล้มได้
1 ยอห์น 2:9-10

1 โครินธ์ 13:2, 1 ยอห์น 4:20,
1 ยอห์น 3:13-17, 2 เปโตร 1:9-10

อีกแล้วที่ท่านยอห์นเขียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ต่างอะไรกับท่านเปโตรเลย อัครทูตทั้งสองมี ความห่วงในใจเป็นอย่างมาก พร้อมที่จะกล่าว คำเตือนสติ หนุนใจไม่หยุดหย่อน
จะเห็นได้ว่า เรื่องสำคัญในข้อนี้คือ ความสว่าง กับความมืด พี่น้องที่ท่านกำลังเตือนต้องเลือก จะรัก และอยู่ในความสว่าง หรือจะเกลียด แล้วอยู่ในความมืด !

แต่คนที่เกลียดชังพี่น้องของตนเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด เดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนเองกำลังเดินไปที่ไหน เพราะความมืดได้บดบังตาให้บอดไป
1 ยอห์น 2:11

1 ยอห์น 2:9; 3:15; 4:20, ยอห์น 12:35, วิวรณ์ 3:17

คนที่เกลียดชังพี่น้อง หรือไม่รัก ไม่ใส่ใจเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด (ข้อ 9) แต่ในข้อนี้พูดเพิ่มเติมว่า เขาเดินในความมืดด้วยนั่นคือยังคงสภาพบาปต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อชีวิตยังบาปอยู่ ทำผิดอะไรก็จะมองไม่ออกว่า ตัวเองทำผิดอยู่ ความเกลียดชังก็บดบังใจ ไม่ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร เขาก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี เขาไม่เห็นด้วยว่า จุดหมายปลายทางของเขาคือ ที่ไหน เพราะตาบอดอยู่ วิสัยทัศน์ก็บิดเบือน

ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย ข้าเขียนถึงเจ้าเพราะพระองค์ทรงยกโทษบาปให้เจ้าแล้ว
โดยพระนามของพระองค์
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:12-13ก

1 โครินธ์ 6:11, ลูกา 24:47; กิจการ 10:43; 13:38, ยอห์น 1:1, 1 ยอห์น 2:14; 1:1

ตอนนี้ท่านยอห์นกำลังบอกเหตุผลว่าทำไมท่านจึง เขียนจดหมายถึงพวกเขา ดูเหมือนท่านเขียนถึง คนที่กำลังเติบโตในพระเจ้าสามระดับคือ คนที่มาเชื่อใหม่ คนที่รู้จักพระเจ้ามานาน กับคนที่กำลังเติบโตระดับกลาง ทั้งสามกลุ่มต่างมีสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะที่เป็นขั้นเป็นตอน จากรับการยกบาป ก็มีชัยชนะเหนือมารและมีความรู้ในองค์พระเจ้ามากขึ้น ชีวิตผู้เชื่อจึงไม่อยู่กับที่ แต่โตขึ้นทุกวัน




ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย
ข้าได้เขียนถึงเจ้า
เพราะเจ้ารู้จักพระบิดาแล้ว
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าได้เขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย
ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านเข้มแข็ง และพระคำของพระเจ้าดำรงในท่าน และท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:13ข-14

กาลาเทีย 4:6, โรม 8:15, 1 ยอห์น 2:13, สดุดี 119:11, เอเฟซัส 6:10

ราวกับว่าลอกข้อ 12-13ก มาเลย มีความแตกต่างเล็กน้อย ทำไมท่านยอห์นถึงกล่าวคำที่ซ้ำเช่นนี้? มารร้ายในข้อ13 และ 14 นี้มาจากยอห์น 17:15พระเยซูทรงอธิษฐานให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้พ้นจาก ผู้ที่ชั่วร้าย คือมารร้ายนั่นเอง น่าสังเกตว่าในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวก ก็มีประโยคหนึ่งที่ว่า ขอให้พ้นจากมารร้ายเช่นกัน (มัทธิว 6:13)

อย่ารักโลก

อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก
ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนที่รักโลก เพราะทุกสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นความอยากของร่างกาย ความอยากของตา และความอวดหยิ่งในสิ่งที่ตนครอบครอง ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก
1 ยอห์น 2:15-16

ยากอบ 4:4, โรม 12:2, มัทธิว 6:24, โคโลสี 3:1-2, กาลาเทีย 1:4; 5:17, โรม 13:14, ปฐมกาล 3:6, สดุดี 119:36-37

พระคำข้อนี้ ตรงไปตรงมา บอกกับเราว่า ไม่ให้รัก หลง ตามหาความอยากของร่างกาย ไม่ให้เราคลั่งไคล้สิ่งที่ตาอยากมอง ไม่ให้เราภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ซึ่งเหล่านี้ เมื่อมันมีมาก เมื่อเราลุ่มหลง มันทำให้เราลืม สิ่งที่ถูกต้อง ลืมพระเจ้า แต่หลงไปปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น ท่านยอห์นบอกว่าทั้งสามสิ่งนั้น ไม่ได้มาจาก พระบิดา แต่มาจากโลกโดยตรง

โลกกับความอยากแบบของโลกจะสูญไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงตลอดไป
1 ยอห์น 2:17

1 โครินธ์ 7:31, 1 เปโตร 1:24, มัทธิว 24:35, ฮีบรู 10:36

การที่ท่านยอห์นกล่าวชัดเจนเช่นนี้เรารู้ว่าโลกและวิถีแบบโลกจะต้องจบสิ้นไปในวันหนึ่ง ความจริงแล้วสำหรับมนุษย์ทุกคน ความอยากแบบโลกนั้นมันก็จบลงที่ความตาย แต่คนที่ได้พบพระเจ้า และจบกับความอยาก นั้นก่อน จะมีสันติสุขในพระเจ้าเป็นอย่างมาก เป็นความสุขที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ได้มีประสบการณ์ เป็นชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าทั้งที่ยังอยู่ในโลกนี้

การหลอกลวงในเวลาสุดท้าย

ลูกที่รักทั้งหลาย นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็อย่างที่เคยได้ยินมาว่า
ผู้ต่อต้านพระคริสต์กำลังมา
บัดนี้
มีฝ่ายตรงข้ามพระคริสต์ปรากฏตัว ออกมาหลายคน เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย
1 ยอห์น 2:18

2 ทิโมธี 3:1; ยากอบ 5:3; 2 เปโตร 3:3; ยูดา 18; 1 ยอห์น 4:3; 2 ยอห์น 7; มัทธิว 24:5, 24
1 ยอห์น 4:1; มัทธิว 24:5; 1 ทิโมธี 4:1

“ผู้ต่อต้านพระคริสต์” เป็นลักษณะของคนที่ตรงตามที่เราเรียกเขา แต่คำ ๆ นี้อาจหมายความได้สองอย่างคือ มาต่อต้าน หรือ มาแทน คน ๆ นี้อาจดูดีมาก ๆ ไม่ได้ดูเป็นผู้ร้ายเลยก็ได้แต่เป็นผู้ที่จะมาแทนที่พระเยซูในใจของผู้เชื่อ อาจเป็นได้ทั้งบุคคล และเป็นทั้งระบบองค์กรโลกท่านยอห์นบอกเราว่า มีหลายคนเสียด้วย ดังนั้น เราต้องดูให้ดีว่า ใครเป็นใครในยุคนี้

แม้ว่าพวกเขาออกมาจากกลุ่มของเรา แต่กลับไม่ได้เป็นฝ่ายเรา เพราะหากเขาเป็นพวกเราจริง เขาคงจะอยู่กับเราต่อไป
แต่พวกเขาออกไปจากเรา
เพื่อจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครสักคนในพวกเขาเป็นฝ่ายเรา
1 ยอห์น 2:19

เฉลยธรรมบัญญัติ 13:13; กิจการ 20:30; ยอห์น 17:12; 1 โครินธ์ 11:19, ยูดา 19


จากข้อความตอนนี้ ทำให้เรารู้ชัดว่า คนที่กลายเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์นั้น แต่ก่อนเคยเป็นคนที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน ในเมื่อเขาตัดสินใจออกไป. จากชุมชนนี้ แสดงว่า เขาไม่คิดจะเป็นผู้เชื่อใน พระเจ้าอีกต่อไป
คนเหล่านี้คงไม่ได้เกิดใหม่จริง ๆ มาตั้งแต่ต้น พวกเขาแค่เพียงเกาะติดเหล่าผู้เชื่อ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจ รู้จักพระเจ้าจริงจัง ไม่ได้รับการเปลี่ยนเหมือนคนอื่น ๆ ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิต 

และพวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์และท่านรู้ทุกสิ่ง ที่เขียนมานี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และไม่มีความเท็จใดออกมาจากความจริง
1 ยอห์น 2:20-21

2 โครินธ์ 1:21; กิจการ 3:14; ยอห์น 16:13; 14:26; สุภาษิต ​28:5; อิสยาห์ 61:1; 2 เปโตร 1:12; ยูดา 5

คนที่หลีกตัวออกไปจากพี่น้องนั้น บ่งชัดว่า พวกเขาเป็นคนละฝ่ายกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ไม่รู้ ไม่รับความจริงของพระเจ้า ส่วนผู้ที่ท่านยอห์นเขียนถึง แตกต่างออกไป พวกเขารู้ความจริง การที่บอกว่าท่านรู้ทุกสิ่งหมายความว่า รู้ และต้อนรับ ยินดีในความจริงนั้น พวกเขายังได้รับการเจิมจากพระเจ้า พวกเขาไม่ยึดความเท็จในการใช้ชีวิต
แต่ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า

ใครเป็นคนพูดเท็จ คนพูดเท็จคือคนที่ปฏิเสธว่า พระเยซูคือพระคริสต์
เขาคนนี้คือผู้ที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นคนที่ปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร
1 ยอห์น 2:22

2 ยอห์น 7; 1 ยอห์น 4:3; 4:20

คำว่าพระคริสต์มาจากภาษากรีกว่า คริสโตส คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกกันว่า พระเมสสิยาห์ ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู ทั้งสองชื่อนี้
มีความหมายเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมาในโลกเพื่อสร้างอาณาจักรของพระเจ้า ในหัวใจของมนุษย์ ที่คนในโลกมากมายไม่ยอมรับพระคริสต์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ เป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของพวกเขา บางคนรุนแรงขนาดต่อต้านพระองค์ทุกครั้งที่ทำได้

ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร
ก็ไม่มีพระบิดา
คนที่ยอมรับพระบุตร
ก็มีพระบิดาด้วย
1 ยอห์น 2:23

ยอห์น 15:23-24; 8:9; 10:30; 1 ยอห์น 4:15; 5:23

เหมือนกับว่า ท่านยอห์นรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไร เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ เราจะเห็นผู้สอนผิดที่เอาแต่พระบิดา และปฏิเสธพระบุตร อย่างศาสนายิว พยานพระยะโฮวาห์ เป็นต้น คนเหล่านี้ เชื่อว่า ตนเองถูกต้องที่จะปฏิเสธพระบิดาหรือพระบุตร องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ความจริงแล้ว พระบิดากับพระบุตรทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางแยกพระองค์ออกจากกันแล้วจะโอเคได้

ให้ความจริงดำรงในชีวิต

จงรักษาสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ให้ดำรงอยู่ในตัวท่านถ้าหากว่าท่านดำรงในสิ่งนั้นก็คือท่านดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดา
1 ยอห์น 2:24

2 ยอห์น 6,7; ยอห์น 14:23; 15:9-10; วิวรณ์ 3:3, 1 ยอห์น 4:16

ในประโยคสั้น ๆ นี้ ท่านยอห์นมีคำว่า ดำรงอยู่ถึงสามครั้ง คำนี้มีความหมายคือ อาศัยอยู่ใน คงอยู่ เมื่อเรารักษาคำของพระเจ้าไว้ในใจ ในชีวิตดำเนินตาม และเอาใจใส่ เท่ากับว่า เราได้อยู่ในพระบุตรและพระบิดานี่เป็นกำไรสุดยอดของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่จะได้อยู่ในพระเจ้าเต็มบริบูรณ์อย่างนี้

บัดนี้ ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้เราที่ได้เขียนมานั้นข้าเขียนถึงท่านเกี่ยวกับคนที่พยายามนำท่านให้หลงทางไป
1 ยอห์น 2:25-26

ยอห์น 3:14-16; 6:40; 17:2,3; ทิตัส 3:7; ยูดา 21; 2 ยอห์น 1:7; 2 เปโตร 2:1-3; กิจการ 20:29-30

ท่านยอห์นเตือนสติคนอ่านว่า พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้กับเราที่ดำรงในพระองค์ คนที่มาเชื่อในพระองค์ ไม่ได้จบชีวิตไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีพระองค์ แต่พวกเขาพิเศษคือมีพระสัญญามั่นเหมาะว่าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ และถ้าเราย้อนกลับไปดู ข้อ 19 มีคนกลุ่มหนึ่งที่ ออกไป และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเราอีกต่อไป พวกนี้ยังชักชวนให้คนที่อยู่ออกไปด้วย ชวนให้หลงทางไปจากพระเจ้า

การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ดำรงในท่านจึงไม่ต้องให้ใครมาสอนท่านเพราะการเจิมจะสอนท่านทุกสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่เป็นเท็จ ให้ท่านดำรงในพระองค์ ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้
1 ยอห์น 2:27

ยอห์น 14:16; 16:13; เยเรมีย์ 31:33; 2 เปโตร 1:16-17

การเจิมดังกล่าวคืออะไรหรือ? จำได้ไหมว่า พระเยซูทรงสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสอนความจริงให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์​เมื่อเราเข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับการเจิม
ด้วยพระวิญญาณจากพระองค์ พระวิญญาณจะทรงสอนผู้เชื่อผ่านพระวจนะที่เขาอ่าน ที่เขาติดตาม เขาไม่ต้องไปเรียนรู้จากคนที่พยายามสอนคำลวงให้กับพวกเขา อ่านยอห์น 14:26,

บัดนี้ ลูกเล็ก ๆ จงดำรงอยู่ในพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะกล้าหาญ และไม่ละอายต่อพระพักตร์
เมื่อพระองค์เสด็จมา หากท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ย่อม
รู้ว่าคนที่ประพฤติเที่ยงธรรมก็บังเกิดจากพระองค์
1 ยอห์น 2:28-29

1 ยอห์น 3:21; 4:17; 5:14, มาระโก 8:38, กิจการ 22:14, ยอห์น 3:7,10

ท่านยอห์นเตือนสติให้พี่น้องดำรงอยู่ในพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระเยซูเคยตรัสให้เราดำรงใน พระองค์ในยอห์น 15:1-11 เป็นการอยู่ในกันและกัน สองทางเลย เราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ในเรา ใกล้ชิด มีพระคำในใจ แล้วชีวิตจะเกิดผลมาก
ดูสิว่า การอยู่ในพระเจ้าจะทำให้ชีวิตมีแต่ดีขึ้นน่าเสียดายที่เรากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น บทที่สองจบลงด้วยคำขอให้ดำรงในพระเจ้า

กิจการ 6 แต่งตั้งผู้รับใช้ดูแลพี่น้อง

จับกุมสเทเฟน

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง
แต่งตั้งผู้รับใช้ดูแลพี่น้อง

กิจการ 6:1-4
ตอนที่เริ่มต้นคริสตจักรนั้น มียิวที่มาจากต่างประเทศ เข้ามาอาศัยในเยรูซาเล็ม เป็นพวกที่ใช้ภาษากรีกเป็นหลัก
และก็มียิวท้องที่ซึ่งใช้ภาษาอาราเมคสื่อสาร จึงมียิวสองพวกที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ที่คริสตจักรดูแลแม่ม่ายก็เพ1ราะพวกเธอไม่มีใครที่จะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น นี่เป็นลักษณะของคนยิวอยู่แล้วที่จะมีการดูแลแม่ม่ายและลูกกำพร้า

และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น อัครทูตก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย พวกเขาหาทางที่จะแก้ปัญหาด้วยการเลือกคนที่ มีสติปัญญา และเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาช่วยทำงานด้านสังคม ดูแลความเป็นอยู่ทั่วไป. ในขณะที่อัครทูตจะใช้เวลากับการสอนพระวจนะ ซึ่งเป็นงานหลักของคริสตจักร เพราะถ้าพี่น้องไม่มีความเข้าใจในพระคำของพระเจ้าพวกเขาก็จะไม่แข็งแรง เราจึงเห็นว่าคริสตจักรทำงานทั้งสองอย่างไม่ได้ละทิ้ง ด้านใดด้านหนึ่ง และก็ได้เลือกคนทำงานให้เหมาะสมด้วย ในสมัยใหม่นี้ น่าจะเรียกผู้รับใช้แบบนี้ว่ามัคนายก 
1* กิจการ 2:41; 4:4; 9:29; 11:20; 4:35; 11:292 อพยพ 18:17. 3* 1 ทิโมธี 3:7-13 4* กิจการ 2:42

กิจการ 6:5-7
เมื่อพวกเขาเลือกคนเข้ามา ท่านลูกาก็บันทึกให้ทราบด้วยว่า มีใครบ้าง แต่ดูเหมือนสเทเฟนจะเป็นคนที่โดดเด่นกว่าทุก ๆ คน เขาน่าจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ เราอาจคิดว่าทำไมท่านลูกาจึงต้องบอกชื่อคนเหล่านี้รู้ไหมเพราะอะไร?

เพราะว่าทุกคนมีชื่อเป็นกรีกหมดทั้ง ๆ ที่เป็นคนยิว พวกเขาคือกรีกที่เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามา น่าสนใจคือ ทุกคนในกลุ่มไม่ว่าจะเป็นยิวพูดอาราเมค หรือยิวพูดกรีกเห็นด้วยและมีการอธิษฐานวางมือให้พวกเขาได้ทำงานด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้าพวกเขาไม่ได้เห็นว่างานนี้เป็นงานเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญมากเช่นกัน
5* กิจการ 6:3; 11:24; 8:5; 26; 21:8; วิวรณ์ 2:6, 15 6* กิจการ 1:24; 2 ทิโมธี 1:6. 7* กิจการ 12:24, ยอห์น 12:42

กิจการ 6:8-11
แม้ว่าสเทเฟนไม่ได้เป็นอัครทูต แต่เป็นผู้ที่ดูแลความเป็นอยู่ของแม่ม่ายซึ่งมีอยู่มากมายพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ถูกเลือกเข้ามาทำงาน เขากลับเป็นคนที่ทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญซึ่งมีความหมายถึงการอัศจรรย์ ที่ชี้ไปถึงพระเมสสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ ที่เขาทำได้เพราะชีวิตของเขาเต็มด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในตัวเขา 

และเมื่อมีคนมาโต้แย้ง พวกนั้นก็ไม่อาจชนะข้อโต้แย้งได้ เพราะสเทเฟนมีทั้งสติปัญญา และพระวิญญาณทรงกล่าวผ่านเขา น่าตื่นเต้นจริง ๆ ที่ใครคนหนึ่งจะมีปัญญาพร้อมพระวิญญาณเช่นนี้ ให้สังเกตอย่างหนึ่งคือ ยิวที่มาจากแคว้่นซิลีเซีย เป็นบ้านเกิดของท่านเปาโลด้วย มีบางคนให้ความเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ ท่านลูกาน่าจะได้ยินมาจากท่านเปาโลอีกที แล้วศัตรูก็หาทางอื่นที่จะกำจัดสเทเฟนให้พ้นทาง เป็นวิธีเดิม ๆ ที่พวกเขาใช้กับพระเยซู และอัครทูต
8* กิจการ 2:43; 5:12; 8:15; 14:310* ลูกา 21:15. 11* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:10,13

จับกุมสเทเฟน

กิจการ 6:12-15
มีการยุยง ปลุกปั่นประชาชนและผู้ใหญ่ให้จับตัวสเทเฟนมา และพวกเขาก็ทำสำเร็จ จะเห็นว่าจากการคุยกันธรรมดา กลายเป็นการโต้แย้ง จากนั้นก็กลายเป็นการให้ร้าย และความ รุนแรงจนถึงชีวิต  

พวกเขาพยายามให้คนยิวคิดว่าสิ่งที่สเทเฟนพูดและทำนั้น เป็นการทำลาย ความเชื่อในศาสนายิว ทำลายวัฒนธรรม กฎบัญญัติของโมเสส แต่ในวันนั้นทุกคนกลับมองสเทเฟนเห็นเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร ชายคนที่พวกเขาจับตัวมา กลับนิ่งสงบ เป็นสุข และหน้าตามีราศีขนาดนั้น พวกเขาเข้าใจไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
14* กิจการ10:38, 25:8