ยอห์น 18 มอบชีวิตให้ด้วยพระองค์เอง

** พระคำตอนนี้ ได้ทำออกมาเป็นภาพประกอบ บางครั้งคำจึงหายไปกลายเป็นภาพที่ต้องสังเกต ดังนั้น ควรกลับไปอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้คำครบ และอ่านคำอธิบายเพิ่มเติม

การจับกุมในสวน

ต่อหน้าอันนาส

เปโตรกับคำทำนายของพระเยซู

พระเยซูถูกส่งไปพบคายาฟาส

ส่งต่อไปหาผู้ว่าราชการจากโรม

ก่อนอื่นใด เราต้องรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในคืนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ก่อน พระเยซูตรัสว่าเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นผู้ที่ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ยอม ในคืนนั้น พระเยซูทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้


คำอธิบายเพิ่มเติม

ยอห์น 18:1-2
ยูดาสรู้ดีว่า พระเยซูกับพวกศิษย์ชอบมาที่สวนนี้ อธิษฐาน และสนทนากันเรื่องของพระเจ้า เขาเดาว่า อย่างไรคืนนี้ พระองค์คงต้องมาที่นี่แน่นอน และเขาเป็นผู้ที่พาทหารมาจับพระเยซู โดยได้รับค่าจ้างก่อนหน้านี้ น่าแปลกที่ยูดาสอยู่กับพระเยซูมานาน แต่กลับกลายเป็นผู้ที่หลงหาย สามารถทรยศพระอาจารย์เพื่อเห็นแก่เงินได้ เขาได้เรียนรู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น เสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้เปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนชีวิตเลย .. เขาเป็นต้นแบบที่ทำให้เรารู้ว่า ต่อให้รู้มากแค่ไหน อยู่ในทางพระเจ้ามานาน แต่หากไม่ยอม หากรักเงินมากกว่าพระเจ้า ชีวิตน่าเป็นห่วงนัก
ยอห์น 18:3-5
เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า พระเยซูไม่ได้กลัวทหารที่มากันเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงยืนเผชิญหน้ากับพวกเขา ที่ต้องพากันมามากแบบนี้เพราะเหล่าปุโรหิตเองกลัวว่าจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกเขาคิดว่า พระเยซูจะไม่ยอม อาจจะจับพระองค์ไม่ได้ เพราะว่า พวกเขาพยายามหลายครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยจับกุมพระองค์ได้เลย
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ยอห์นเป็นคนเดียวที่บันทึกว่า มีทหารโรมเข้ามาด้วย รวมกับทหารที่ดูแลพระวิหาร (ยอห์น 18:3) แสดงว่า พวกผู้นำศาสนาต้องไปขอความร่วมมือจากปีลาตมาก่อนแล้ว
ยอห์น 18:6-8
ครั้งนี้ แค่พระเยซูตรัส พวกเขาก็ล้มลงทันที นี่แสดงว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าพระเยซูทรงประสงค์อะไร พระองค์ก็จะได้สิ่งนั้น แต่คืนนี้ เป็นคืนที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำตามพระบิดา และจะให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่ทรงบอกกับศิษย์ล่วงหน้า และตามที่ได้มีการพยากรณ์ถึงพระองค์ไว้ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี
พระเยซูทรงสั่งให้ทหารปล่อยศิษย์ทุกคนไป พระองค์ไม่ได้ให้เขาสักคนต้องถูกทำร้าย พวกเขายังมีพันธกิจที่จะต้องทำต่ออีก และพระองค์ได้ทูลต่อพระบิดาแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ให้พวกเขาหายไปสักคนเดียว (ในบทที่ 17)
ยอห์น 18:9-11
แต่แล้วด้วยความใจร้อน ความโมโหสุดขีด เปโตรก็ได้เอาดาบที่เขามักจะพกไปด้วยนั้น ออกมาฟันหูทานคนหนึ่งขาดไปเลย … แทนที่พระเยซูจะชม กลับทรงตำหนิเขาและบอกว่า เหตุการณ์นี้มาจากพระบิดา เป็นถ้วยความตายที่พระองค์ต้องดื่ม ในบันทึกเล่มอื่นบอกว่า พระองค์ทรงหยิบหูของเขามาติดให้
ยอห์น 18:12-14
คายาฟาสเป็นปุโรหิตใหญ่ขณะนั้น แต่คนที่เป็นผู้กุมอำนาจของศาสนายิวในตอนนั้นจริง ๆ คืออันนาส ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร เขาโกรธพระเยซูที่ทรงไปทำลายร้านค้า ร้านแลกเปลี่ยนเงินที่ทำธุรกิจในพระวิหาร ถึงสองครั้ง จริง ๆ เขาพยายามจับกุมพระองค์มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยทำสำเร็จ อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสอีกที เขามีลูกชายคนอื่น ๆ ที่ทำงานในพระวิหารอีกด้วย
ยอห์น 18:15-16
เปโตรกับศิษย์อีกคน ซึ่งคุ้นเคยกับคนในบ้านของปุโรหิตได้เข้าไปในบ้านนั้น ศิษย์อีกคนผู้นี้ไม่ได้กล่าวว่าชื่ออะไร แต่เราพอจะประเมินได้ว่าคือยอห์น ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ตอนแรกเปโตรก็แอบอยู่ริมประตู แต่แล้ว เพื่อนคนนี้ก็ได้พาเขาเข้าไปในลานบ้าน
ยอห์น 18:17-18
สาวใช้ในบ้านรู้ว่า อีกคนที่มากับเปโตรเป็นคนของพระเยซู เธอจึงถามเขาโดยที่จากภาษาที่ใช้ทำให้เรารู้สึกว่า เธอต้องการคำตอบว่า ไม่… ด้วยความกลัว เปโตรตอบว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์ และตอนนั้นเองก็ทำให้เขากล้าเข้าไปผิงไฟกับคนในบ้าน
ยอห์น 18:19-20
มีรายละเอียดเรื่องการสอบสวนในบ้านของอันนาส ซึ่งเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ได้มีอำนาจเป็นทางการ แต่อำนาจของเขาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เขาถามพระองค์เรื่องศิษย์ และคำสอน เขาต้องการได้หลักฐานที่บอกว่า พระองค์กำลังจะทำการลุกฮือต่อต้านโรม เพราะเป็นประเด็นที่เขาใช้เพื่อทำลายพระองค์
พระเยซูทรงตอบตรง ๆ ว่า ทรงสอนอะไรอย่างเปิดเผย ไม่ได้แอบสอน ไม่ได้แอบก่อตั้งกลุ่มศิษย์เพื่อต้านโรม
ยอห์น 18:21
ดูเหมือนว่าการสอบสวนพระเยซูไม่ได้คืบหน้าไปเท่าไร ในเมื่อพระเยซูก็ทรงสอนในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ใคร ๆ ก็รู้ว่า พระองค์กล่าวถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า กล่าวถึงการกลับใจใหม่ ทรงเทศนาหลายครั้ง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะต่อต้านโรม (ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น จะได้เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่า พระองคกบฎ) พระองค์ทรงบอกให้เขาไปถามคนที่เคยได้ยินพระองค์สอน ซึ่งพวกเขาจะเป็นพยานได้ แต่พวกเขาไม่พอใจกับคำตอบ
ยอห์น 18:22-23
แล้วแทนที่พระองค์จะทรงตอบตรง ๆ กลับทรงบอกให้ไปถามคนที่ฟังว่า พระองค์ตรัสอะไร เป็นเหตุให้คนหนึ่งในที่นั้น เดือดขึ้นมาทันควันและตบพระพักตร์พระองค์ คนที่ตบพระพักตร์คงรู้สึกว่า พระเยซูช่างไร้มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านี้
จากบ้านของอันนาส พวกเขาไม่อาจหาเหตุฟ้องร้องพระองค์เพื่อให้ถูกลงโทษประหารได้ อย่าลืมว่า การประหารของยิวจะใช้หินขว้างจนตาย ส่วนการประหารของโรมเป็นการตรึงกางเขน และช่วงเวลานี้ก็อยู่ในเทศกาลด้วย จะมาประหารคนในเวลานี้ก็แปลก ๆ อยู่ อันนาสจึงส่งพระเยซูไปบ้านคายาฟัส เขาต้องการให้คายาฟัสช่วยหาเหตุที่จะฟ้องพระเยซู
เราดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้จาก มัทธิว 26:57-68, มาระโก 14:53-65, ลูกา 22:66-71
ยอห์น 18:24-26
ระหว่างนั้น ยอห์นก็หันมาดูเหตุการณ์ที่ลานบ้านอีกครั้ง ชายอีกคนตั้งคำถามเดียวกับหญิงสาวคนแรก เปโตรตกใจมาก บอกตัดความสัมพันธ์กับพระเยซูด้วยการปฏิเสธคำถามนั้น
ชายอีกคนเป็นญาติของทาสที่เปโตรตัดหู แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่สาม โดยที่มีไก่ขันบอกสัญญาณว่า เขาได้ทำอะไรลงไป เราดูรายละเอียดของเรื่องราวได้ที่มัทธิว มาระโกและลูกาได้เช่นกัน ตรงนี้เห็นว่า ยอห์นรู้จักคนในบ้านของปุโรหิตเป็นอย่างดี
ยอห์น 18:27-28
จริง ๆ แล้ว เหล่าผู้นำศาสนาของยิวต้องการประหารพระเยซู แต่กลับทำตัวบริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าไปในศาลของโรมได้ จิตใจที่สกปรกของพวกเขาประกอบกับการทำตัวดูเคร่งครัดช่างขัดแย้ง แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าแปลกแต่อย่างใด คนเราทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
ตอนนี้พวกเขาคิดว่า วิธีดีสุดในการกำจัดพระเยซูคือยืมมือของทหารโรมแล้วกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องได้คือ คำตัดสินจากปีลาต ซึ่งเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยที่ถูกแต่งตั้งมาจากโรม พวกเขาสมคบคิดกันหาทางที่จะเอาชีวิตพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ จะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
ยอห์น 18:29-32
จริง ๆแล้ว ปีลาตเป็นคนที่ดุร้าย และเกลียดชังพวกยิว ที่เขาต้องมาอยู่ในเยรูซาเล็มเวลานี้ก็เพราะถูกส่งมา เพื่อดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายในเทศกาลปัสกา ปกติแล้วจะพักอยู่ที่เมืองอื่น ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวคนสำคัญ คำถามแรกของเขาสมเหตุผลคือ จะฟ้องเรื่องอะไร.. แต่พวกเขาก็ไม่ตอบตรง ๆ กลับเลี่ยงคำตอบ
ความจริงพวกยิวเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าจะต้องทำเหมือนว่า พระเยซูทรงกบฎต่อโรม ทรงเป็นคนที่ปลุกระดมคนขึ้นมาต่อต้านโรม … เพื่อว่าจะได้รับการตัดสินประหารจากปีลาตโดยตรง
ยอห์น 18:33-34
อิสราเอลไม่ได้อยู่ใต้กษัตริย์ใด หลายคนในช่วงเวลานั้นมักพูดกันไปว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอล ทำให้เกิดการสับสนขึ้น พวกยิวชั้นสูงเหล่านี้อ้างว่า พระเยซูนำคนจำนวนมากไปทางผิด ฝ่าฝืนการจ่ายภาษีให้ซีซาร์ อ้างว่าพระองค์เองเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งเหล่านี้ (ลูกา 23:2)ทำให้ปีลาตต้องถามพระเยซูว่า พระองค์คือกษัตริย์ของยิวหรือเปล่า?
คำตอบของพระเยซูไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจอย่างที่ต้องการ นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ยิวส่งพระองค์มาให้เขาตัดสินทำไม? ปีลาตอาจจะเริ่มมองเห็นภาพราง ๆว่า เขาเป็นหุ่นเชิดของยิว
ยอห์น 18:35-36
ปีลาตเองไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้องมายุ่งกับความผิดทางศาสนาที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พวกผู้นำศาสนาควรที่จะจัดการกับพระเยซูไปเอง แต่กลับส่งนักโทษมาให้ การตอบโต้กันระหว่างปีลาตในช่วงนี้ ทำให้ปีลาตได้รู้ว่า พระเยซูทรงมีอาณาจักรที่ไม่ใช่เป็นแบบที่เขาเข้าใจ เขาเองรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของพระเยซู
ยอห์น 18:37-38
พระเยซูทรงยอมรับว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มาเกิดในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง .. ซึ่งก็หมายความว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อบอกให้โลกรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง นำผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คำพูดสั้น ๆ ของพระองค์นั้น ปีลาตไม่เข้าใจ แม้จะถามว่าความจริงคืออะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการคำตอบในเวลานั้น เขาจึงออกไปหาพวกยิวที่ลานอีกครั้ง ยอห์น 18:39-40
ปีลาตเห็นว่า พระเยซูไม่มีความผิด แล้วเขาจึงใช้ประเพณีที่จะปล่อยนักโทษหนึ่งคนในเทศกาลปัสกามาใช้ เขาคาดการณ์ผิดคิดว่าประชาชนจะยินยอม แต่ผู้คนถูกพวกผู้นำศาสนาทั้งหลายปั่นหัวไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์จึงพลิกอย่างที่ปีลาตไม่อาจทำอะไรได้เลย
ที่บอกว่า บารับบัสเป็นโจรนั้น คือ เขาเป็นโจรประเภทหัวรุนแรง เป็นพวกโหดเหี้ยม แต่กลับถูกเลือกให้ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่า ปีลาตถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของเหล่าผู้นำศาสนายิวอย่างที่สู้อะไรกลับไม่ได้เลย …​พวกนี้ฉลาดเป็นกรด ทำทุกอย่างเพื่อประหารพระเยซู


พระคำเชื่อมโยง
1* มาระโก 14:26,32; 2 ซามูเอล 15:23
2* ลูกา 21:37; 22:39
3* ลูกา 22:47-53
4* ยอห์น 6:64; 13 ; 1,3; 19:28
5*มัทธิว 21:11; สดุดี 41:9
9* ยอห์น 6:39; 17:12
10* มัทธิว 26:51
11* มัทธิว 20:22; 26:39
13* มัทธิว 26:57; ลูกา 3:2; มัทธิว 26:3
14* ยอห์น 11:50
15* มาระโก 14:54; ยอห์น 20:2-5
16* มัทธิว 26:69
17* มัทธิว 26:34
20* ลูกา 4:15; ยอห์น 6:59; มาระโก 14:49
21* มาระโก 12:37
22* เยเรมีย์ 20:2; บทเพลงคร่ำครวญ 3:30
24* มัทธิว 26:57; ยอห์น 11:49
25* ลูกา 22:58-62
27* มัทธิว 26:34; ยอห์น 13:38
28* มาระโก 15:1; ยอห์น 18:32; กิจการ 10:28; 11:3
29* มัทธิว 27:11-14
32* มัทธิว 27:17-19, 26:2; ยอห์น 3:14, 8:28, 12:32-33
33* มัทธิว 27:11
36* 1 ทิโมธี 6:13; ดาเนียล 2:44; 7:14
37* มัทธิว 5:17; 20:28; อิสยาห์ 55:4; ยอห์น 4:6
39* ลูกา 23:17-25
40* กิจการ 3:14; ลูกา 23:19

ยอห์น 17 คำทูลก่อนไม้กางเขน

พระบุตรทูลต่อพระบิดาเพื่อพระองค์เอง

คำอธิษฐานเพื่ออัครทูต

คำอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน

ยอห์น 17:1-2 บทนี้ได้บันทึกคำทูลอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดาที่ทรงอธิษฐานก่อนจะถูกจับไป พระองค์ทรงทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และตรัสว่า “ถึงเวลาแล้ว” พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อพระองค์เอง เพื่ออัครทูต และเพื่อพวกเราที่มาเชื่อในพระคำของพระองค์ พวกเราที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาในโลกนี้
ไม่ใช่ว่าเราอ่านทุกอย่างในพระคัมภีร์ แล้วเราจะเข้าใจหมด เพราะมีคำที่ล้ำลึกเกินความเข้าใจมากมาย แต่การที่เราได้อ่าน ได้รับรู้และได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระคำนั้น เป็นสัญญาณบอกเราว่า เราอยู่ถูกทางแล้ว ให้เดินตามทางนี้ต่อไป แล้วจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน
พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ทรงมีสิทธิอำนาจเหนือคนในโลกทั้งหมด พระองค์มีอำนาจที่จะให้ชีวิตนิรันดร์ได้… ไม่มีทางอื่นที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ + คือที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป

ยอห์น 17:3-4 จะได้ชีวิตนิรันดร์นั้น เราต้องรู้จักทั้งพระบิดาและพระบุตร การรู้จักพระบิดาองค์พระผู้สร้าง องค์พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมนั้น เราจะรอดได้อย่างไรเล่า เพราะหากพระองค์ตัดสินชีวิตของเราตามความจริงแล้ว ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ จะรอดได้เลย
พระเยซูได้ลงมาในโลกเพื่อทำราชกิจแห่งการไถ่บาปให้สำเร็จ ทำให้คนบาปได้รับการตัดสินว่าเป็นคนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เริ่มตั้งแต่วันที่เขาสำนึกผิด และได้รับเชื่อวางใจว่า พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของเขา

ยอห์น 17:5-6 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่มาก่อนโลกนี้ ก่อนอับราฮัม พระสิริ พระเกียรติยิ่งใหญ่นั้น ทรงมีกับพระบิดามาก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา ก่อนมนุษย์จะเข้าใจอะไร คำพูดแบบนี้ ไม่มีใครพูดออกมาได้นอกจากบุคคลที่เป็นดังนั้นจริง ๆ
ไม่มีมนุษย์คนใดจะคาดคิดได้ว่าต้องพูดอย่างนี้ แต่พระเยซูทรงกล่าวถึงความเป็นจริงของพระองค์ตั้งแต่นิรันดรกาล
ให้ศิษย์ทุกคนได้ยิน
ในข้อต่อมา ทรงอธิษฐานเพื่ออัครทูต…สิ่งที่พระองค์ตรัสทำให้เราเห็นว่า เหล่าศิษย์ของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ได้เผยพระนามให้เขารู้จัก นั่นคือ พระองค์ทรงสอนให้เขารู้จักพระบิดาว่าทรงมีลักษณะอย่างไร และพวกเขาก็รักษาพระคำของพระบิดา ซึ่งหมายถึงใช้ชีวิตตามพระบัญชาของพระองค์​

ยอห์น 17: 7-8 สามปีที่อัครทูตอยู่กับพระเยซู พวกเขามั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นตัวกลางระหว่างเขากับพระเจ้า และทรงเป็นพระเจ้าที่พระบิดาส่งมาแน่นอน เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงย้ำเรื่อง การที่พระเจ้าทรงส่งพระองค์มานั้น เป็นเรื่องสำคัญที่อัครทูตและผู้เชื่อจะต้องเข้าใจ หากเราไม่มีความเชื่อนี้ เราจะเชื่อเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เลย

ยอห์น 17:9-10 ข้อความที่ชัดเจนให้เราจับได้คือ เวลานี้ พระองค์ทรงทูลขอเพื่อคนของพระองค์ ไม่ได้ทูลขอเพื่อคนในโลก ขอเพื่อคนที่พระบิดาประทานให้กับพระองค์โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระองค์ไม่ได้ทรงรักคนในโลก พวกเขาจำเป็นต้องแข็งแรงเพื่อจะช่วยคนอื่นได้ พวกเขากำลังจะเจอกับการกดขี่ข่มเหงมากมาย และพวกเขาเป็นคนที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเจอกับความยากลำบากเหล่านั้น

ยอห์น 17:11. พระเยซูทรงขอให้อัครทูตมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างกับพระบิดาและพระองค์
คำอธิษฐานของพระเยซูไม่ได้จบในวันนั้น แต่เป็นสำหรับวันนี้ด้วย พี่น้องคริสเตียนต้องการหัวใจเดียวกันที่จะสร้างแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงหยุดอธิษฐานเพื่อพวกเขา พระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขาจะไม่ล้มลง (ลูกา 22:32)


ยอห์น 17: 12 จากอัครทูต 12 คน มีคนเดียวที่หลงไปจากทางของพระเจ้า พวกเขาได้รับการปกป้องอย่างดีจากพระบุตรพระเจ้า คนที่หลงไปนั้น พระเยซูทรงเรียกเขาว่า ลูกแห่งความพินาศ
ยูดาสเองอยู่กับพระเยซูเหมือนกับคนอื่น ๆ ซึ่งทุกคนตั้งใจที่จะติดตามพระเยซูไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ยูดาสมีเป้าหมายชีวิตเป็นอย่างอื่น นั่นคือ เขาไม่ได้ต้องการทำอย่างที่เพื่อน ๆ ทำ แต่เขาต้องการเป็นคนมีเงิน นั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของเขา แต่เป้าหมายนั้นกลับทำให้เขาต้องพินาศ และทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นตัวเขาต้องทำเลยสักนิด

ยอห์น 17:13-14 พระเยซูทรงอธิษฐานด้วยความมั่นใจ รู้ว่า อีกไม่นานพระองค์จะจากโลกนี้ไปหาพระบิดาแล้ว เป็นความชัดเจนมากที่เหล่าศิษย์ไม่เข้าใจเลย
ความยินดีของพระเยซูที่ทรงขอพระบิดาให้เติมเต็มพวกเขานั้น เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ เพราะอีกไม่นานพวกเขาจะพบเจอกับการข่มเหงและความเกลียดชังอย่างหนัก แต่ความยินดีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นจะทำให้พวกเขาผ่านไปได้
พระเยซูได้สอนพระดำรัสของพระเจ้าแก่อัครทูตอย่างพอเพียงที่จะทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้

ยอห์น 17:15-17 ดูสิว่า พระเยซูไม่ได้ทรงประสงค์ให้คนของพระองค์ต้องออกไปจากโลกให้หมด แต่พระองค์ทรงให้เขาอยู่ที่นี่ เพื่อช่วยคนอื่น และให้เขาพ้นจากผู้ที่ชั่วร้าย จากศัตรูของพระองค์ หากพวกเขารู้ว่า พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาคงต้องอยากไปกับพระองค์แน่นอน เพราะในโลกนั้น มีแต่ความทุกข์ยากรออยู่
หากพวกเขาออกจากโลกไปกับพระองค์ โลกก็หมดหวังเช่นกัน เพราะไม่เหลือคนของพระเจ้าที่จะอยู่บอกพวกเขาเรื่องของพระองค์ อีกประการพวกเขาจะได้รับการชำระให้สะอาด ให้แยกออก คิดไม่เหมือนโลกด้วยพระคำของพระองค์
การชำระให้สะอาดด้วยความจริงของพระเจ้านั้นคือการแยกออกจากสิ่งไม่สะอาดในโลก เพื่อว่าจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ตามพระประสงค์ มีความหมายถึงชีวิตที่บริสุทธิ์ตามมาตรฐานของพระเจ้า ความบริสุทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับความจริงที่พระคัมภีร์สอนให้ทุกคนรับรู้

17:18-19 เมื่ออัครทูตได้รับการชำระจากพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ถูกส่งออกไปเพื่อประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู เขารับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตที่ได้รับการชำระ ถูกแยกออกจากความบาป ไม่ใช่นึกจะออกไปก็ทำได้ตามใจตัวเอง ..
ตรงนี้ที่บอกว่า ลูกได้สละชีวิตเพื่อพวกเขา มีความหมายด้วยว่า ลูกได้ชำระตัว แยกตัวออกเพื่อเห็นแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รับการชำระ แยกตัวออกจากโลกด้วยความจริงของพระเจ้า พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระองค์เองตั้งแต่ที่ทรงลงมาเกิดในโลก สละสวรรค์ สละฐานะ และยังจะสละชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ยอห์น 17:20-21 และแล้ว พระเยซูก็ทรงอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน ซึ่งหมายถึงพวกเราเอง ที่ได้เชื่อคำจากพระคัมภีร์ กลับใจใหม่ วางใจพระเยซูคริสต์ ทรงขอให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอให้พวกเขาได้อยู่ในพระบิดาและพระองค์ สิ่งสำคัญที่พระเยซูกล่าวหลายครั้งคือ เพื่อเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา

ยอห์น 17:22-23 พระเยซูทรงพร้อมที่จะประทานเกียรติให้กับผู้เชื่อ นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตเราที่เราไม่ค่อยคิดกัน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับเกียรติสูงสุดในการได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระองค์ ได้เป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวของพระองค์ และยังมีอะไรดี ๆ ที่มากมายในเกียรติที่พระองค์ประทาน เป็นเรื่องที่เราต้องสืบค้นเพื่อจะเข้าใจให้ลึกซึ้ง
อีกครั้งที่พระเยซูทรงขอให้ผู้เชื่อได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และเพื่อว่าเขาจะเชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา โลกจะมั่นใจได้ว่า พระเยซูเป็นพระบุตรที่พระบิดาทรงส่งมาได้เพราะพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นี่เป็นเคล็ดลับสำคัญ ที่เราจะเห็นว่า มีการต่อสู้ของความเชื่อที่แตกต่างกัน มีความไม่เข้ากันมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์
เราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง เพราะความไม่เข้ากันนั้น เป็นศัตรูสำคัญของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ยอห์น 17:24
พระเยซูทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เชื่อได้อยู่กับพระองค์ ได้ชื่นชมกับพระเกียรติสิริที่มีมาก่อนพระเจ้าทรงสร้างโลก นี่เป็นการย้อนกลับไปก่อนปฐมกาลเสียอีก ตอนนี้ พระเยซูกำลังตรัสย้อนอดีตที่ทรงอยู่กับพระบิดา และก้าวไปสู่อนาคตที่คนของพระองค์จะได้มาอยู่กับพระองค์ เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณที่ประทานให้เรา (เอเฟซัส 1:3)

ยอห์น 17:25-26 คนที่เชื่อพระเยซู คือ คนที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประกาศพระนามของพระเจ้า
อย่าลืมว่า พระเยซูทรงเน้นย้ำเรื่องนี้หลายครั้ง การจบคำอธิษฐานของพระเยซูกล่าวถึงการที่โลกไม่รู้จักพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงเป็นผู้นำพระนามนั้นไปให้โลกรู้จัก เพื่อพระวิญญาณและความรักของพระเจ้าจะได้อยู่ในพวกเขาทุกคน

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 11:41; 7:30; 12:23; 7:39
2* มัทธิว 28:18; วิวรณ์ 2:26, 27 ; ยอห์น 10:28; 1 ยอห์น John 2:25; ยอห์น 17: 6, 9, 24; ยอห์น 6:37, 39; 10:29; 18:9; ฮีบรู 2:13
3* 1 ยอห์น 5:20; โฮเชยา 2:20; 6:3; 2 เปโตร 1:2, 3 ยอห์น 5:44; 1 เธสะโลนิกา 1:9; 1 ยอห์น 5:20; เยเรมีย์ 10:10; ยอห์น 3:17
4* ยอห์น 17: 1; ยอห์น 13:31; ยอห์น 19:30; ลูกา 22:37
5* ยอห์น 13:32; 1:1, 2; วิวรณ์​ 3:21; ดูข้อ 24; สุภาษิต 8:23; ยอห์น 8:58
6* ดูข้อ 26; สดุดี 22:22 ดูข้อ 2, 9
7* ดูข้อ 9
8* ดูข้อ 14; ยอห์น 15:15; 8:26; 12:49; 8:42; 16:27 ดูข้อ 21, 25; ยอห์น 11:42; 16:30
9* ดูข้อ 20, 21; ยอห์น 2l :6
10* ยอห์น 16:15; 2 เธสะโลนิกา 1:10
11* ยอห์น 13:1 1 เปโตร 1:5 ยอห์น 14:12; 10:30
12* ฮีบรู 2:13; 1 ยอห์น 2:19; ยอห์น 6:70; สดุดี 41:9; 109:8
13* ยอห์น 14:12; 15:11
14* ยอห์น 15:19; ดูข้อ 16; ยอห์น 8:23
15* ดูข้อ 9; 1 โครินธ์ 5:10; ดูข้อ 11 ; มัทธิว 13:19
16* ดูข้อ 14
17* 1 เธสะโลนิกา 5:23; 2 เธสะโลนิกา 2:13; 1 เปโตร. 1:22 ; ยอห์น 15:3; 2 ซามูเอล 7:28; สดุดี 119:160
18* ยอห์น 20:21; 4:38; มัทธิว 10:5
19* ทิตัส 2:14 ; ยอห์น10:36; 1 โครินธ์ 1:2, 30; 6:11; ฮีบรู 2:11; 10:10
20* ดูข้อ 9; ยอห์น 4:39; โรม 10:14; 1 โครินธ์ 3:5
21* ดูข้อ 11; 1 โครินธ์ 6:17; 1 ยอห์น 1:3; 3:24; 5:20 ; ยอห์น 14:23; ดูข้อ8
22* 1 ยอห์น 1:3; 2 โครินธ์ 3:18
23* ยอห์น 14:20; โรม 8:10; 2 โครินธ์ 13:5; 1 ยอห์น 2:5; โคโลสี 3:14; 1 ยอห์น 4:12, 17
24* 2 ทิโมธี 2:11, 12; ยอห์น 12:26 ; 1:14; 2 โครินธ์ 3:18; 1 ยอห์น 3:2; เอเฟซัส 1:4; 1 เปโตร 1:20
25* เยเรมีย์ 12:1; วิวรณ์ 16:5 ; 1 ยอห์น 1:9; ยอห์น 8:55; 10:15
26* ดูข้อ 6; ยอห์น 15:15;9

ยอห์น 16 ราชกิจขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

คำเตือนล่วงหน้า

ราชกิจของพระวิญญาณกับคนทั่วไป

ราชกิจของพระวิญญาณต่อผู้เชื่อ

พระเยซูทรงเตรียมใจคนใกล้ชิด

ความทุกข์จะกลายเป็นความยินดี

ขอได้ในพระนามพระเยซู

เราชนะโลกแล้ว

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง


คำอธิบายเหล่านี้ เป็นเพียงอธิบายสั้น ๆ พระคำของพระเจ้านั้นลึกซึ้งกว่านี้มาก เราจึงศึกษาพระคำของพระเจ้าได้ตลอดชีวิต บทที่16 เป็นคำของพระเยซูที่ทรงย้ำเตือนสิ่งที่ตรัสมาก่อนล่วงหน้าแล้ว


คำเตือนล่วงหน้า ยอห์น 16:1-6
พระเยซูทรงเตือนศิษย์ล่วงหน้าว่า พวกเขาจะเจอมรสุมใหญ่มาก แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทรงให้เขารู้เพื่อว่าเขาจะไม่กระจัดกระจายไปจากกันและกัน ไม่สะดุดไปเพราะเหตุการณ์ร้ายนั้น สิ่งที่ทรงบอกก็น่ากลัว คือพวกเขาจะถูกไล่จากกลุ่มพี่น้องในศาลาธรรมถูกตามฆ่าด้วย (ต่อมาเหตุการณ์ก็เป็นไปตามนั้นจริง อัครทูตทั้งสิบถูกประหารด้วยวิธีที่น่าสยดสยอง ยกเว้นท่านยอห์น คนที่ทำต่างคิดว่าพวกเขาทำเพื่อพระเจ้า แต่ความจริงคือพวกเขาไม่รู้จักทั้งพระบิดาและพระบุตร ตัวอย่างเห็นได้จากท่านเปาโลที่คิดว่าตัวเองข่มเหงคริสเตียนเพราะทำเพื่อพระเจ้า)
ทรงบอกเหตุผลว่า พระองค์กำลังจะไม่อยู่กับพวกเขาแล้ว พวกเขาต้องเตรียมใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสิบเอ็ดคนจึงเป็นทุกข์มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่ดูเหมือนว่าพระเยซูไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย

1* มัทธิว 11:6
2* ยอห์น 9:22; 12:42; 4:21; กิจการ 8:1; 9:1; 26:9-11
3* ยอห์น 8:19, 55; 15:21; 17:25
4* ยอห์น 13:19; 14:29; ลูกา 22:53; มัทธิว 9:15 
5* ยอห์น 14:12; 13:36; 14:5; 16:22; 14:1; 16:5; 14:12 ;13:36; 14:5 
6* ยอห์น 16:22; 14:1

ราชกิจของพระวิญญาณกับคนทั่วไป ยอห์น 16:7-11
แล้วพระองค์ทรงปลอบใจเขาให้รู้ความจริงว่า ที่พระองค์จากไปนั้น เป็นผลดีเพราะว่า พระองค์จะทรงองค์พระผู้ช่วยมาหาพวกเขา
สิ่งที่พระวิญญาณทรงทำในใจของผู้ที่ยังไม่เชื่อก็คือ ทรงให้พวกเขาตระหนักถึงบาปของตนที่ไม่เชื่อพระเยซู ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนการกลับใจ
ความชอบธรรมที่พวกเขาต้องมีซึ่งเขาจะมีได้เพราะพระเยซูกำลังจะสิ้นและคืนพระชนม์ ทรงกลับไปหาพระบิดา แล้วพระวิญญาณจะทรงให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงพิพากษามาร การงานของมันและลิ่วล้อของมันด้วยอย่างแน่นอน
บาปสำคัญที่มนุษย์ทุกคนต้องกำจัดให้ได้คือการไม่เชื่อพระเยซู เพราะบาปนั้นเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์


7* ยอห์น 7:39; 15:26; 14:16; กิจการ 2:33; ยอห์น 14:2; 14:26
8* ยอห์น 8:28; 8:46
9* ยอห์น 8:24; กิจการ 2:36, 37; 1 โครินธ์ 12:3]
10* กิจการ 17:31; ยอห์น 16:16, 17, 19
11* ยอห์น 12:31; โคโลสี 2:15; ฮีบรู 2:14

าชกิจของพระวิญญาณต่อผู้เชื่อ ยอห์น 16:12-15
ยังมีหลายสิ่งที่พระเยซูจะบอกศิษย์ใกล้ชิด แต่ว่า พวกเขายังไม่อาจรับได้ทุกเรื่อง ดังนั้น พระเยซูจึงให้สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องบอกเป็นราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงยืนยันว่า พระวิญญาณจะตรัสในสิ่งที่ทรงได้ยินจากพระบิดาที่ส่งต่อผ่านมาทางพระบุตร เวลาเรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ ๆ เราก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป บางสิ่งมันก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ อาจจะต้องใช้เวลา เพราะว่า ความรู้ที่ได้จากพระเจ้านั้นไปพร้อมกับการเติบโต ยิ่งเติบโต พระเจ้าก็จะทรงสอนในสิ่งที่ยากขึ้น ละเอียดขึ้นให้แก่เรา
พระบุตรทรงถวายพระเกียรติแด่พระบิดา และพระวิญญาณก็จะทรงถวายพระเกียรติแด่พระเยซู แต่ทั้งหมดนี้ ศิษย์ทั้ง 11 คน ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรกระจ่าง …​เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า เรียนรู้จักพระเจ้าไปเถอะ มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจเวลานี้ แต่พระวิญญาณจะทรงให้ความเข้าใจแก่เรา และเราเองก็จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย


13* ยอห์น14:17; 14:26; กิจการ 8:31; ยอห์น 1:17; 14:6; สดุดี 25:5; ยอห์น 15:15
14* ยอห์น 7:39
15* ยอห์น17:10 ; ดูข้อ 14

วามทุกข์จะกลายเป็นความยินดี ยอห์น 16:18-23ก
พวกเราสมัยนี้ รู้ว่า พระเยซูตรัสถึงอะไร ความตายที่ใกล้เข้ามา แต่ศิษย์ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ทำไมพวกเขาร้องไห้ในขณะที่โลกยินดี? นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ? ศิษย์ถาม แต่พระเยซูไม่ได้ตอบอย่างที่พวกเขาต้องการเพราะอย่างไร ๆ พวกเขาก็จะไม่เข้าใจอยู่ดี
แล้วพระเยซูทรงเปรียบเทียบว่า ความยินดีของพวกเขาจะมา เหมือนกับแม่ที่คลอดบุตร ใช่แล้ว มันเจ็บปวดมากก่อนที่จะได้เจอกับเวลาแห่งความยินดี เช่นกัน พวกเขาเป็นทุกข์ แต่ก็จะได้พบกับพระองค์อีก แล้วเมื่อพบพระองค์ ก็ไม่ต้องมีคำถามอะไรอีกเลย เพราะความยินดีนั้นท่วมท้น


18* ยอห์น 14:5
19* ดูข้อ 30; ยอห์น 2:24, 25
20* มัทธิว 9:15; มาระโก 16:10; ลูกา 23:27; วิวรณ์ 11:10; เยเรมีย์ 31:13; มัทธิว 5:4
21* อิสยาห์ 26:17; สดุดี 48:6; อิสยาห์ 13:8; 1 เธสะโลนิกา 5:3; วิวรณ์12:2
22* ดูข้อ 6; 2 โครินธ์ 6:10; ดูข้อ 16;สดุดี 33:21; อิสยาห์ 66:14; ลูกา 24:52; กิจการ 2:46; 8:8, 39;
23* ดูข้อ 26; ยอห์น 14:20; ดูข้อ 19, 30; ยอห์น 14:13; 15:16; เอเฟซัส 1:3

ขอได้ในพระนามพระเยซู อห์น 16:23ข-28
การขอในพระนามพระเยซูคือการขอโดยสิทธิอำนาจของพระองค์
เราบอกเจ้าเป็นคำภาพ (Figurative Language) บางครั้งคำที่เป็นภาพก็เข้าใจได้ง่ายขึ้นอย่างเช่นเรื่องพระองค์เป็นต้นองุ่น ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
ที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์จะไม่อธิษฐานต่อพระบิดาเพื่อพวกเขาอีก เพราะว่า เวลานี้ พวกเขาทูลขอต่อพระบิดาได้โดยตรง ในพระนามของพระบุตรที่พระบิดาทรงรักมาก พวกเขาไม่ใช่แค่ขอเพื่อตัวเอง แต่ขอเพื่อคนอื่น ๆ ได้เหมือนที่พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อชาวโลกนี้ (ฮีบรู 7:25)
ข้อ 28 นี้ เป็นการบอกชีวิตของพระองค์ในประโยคสั้น ๆ ทรงมาจากพระบิดา ทรงเข้ามาเป็นมนุษย์ในโลก จะทรงสิ้นพระชนม์ และจะทรงมีชีวิตกลับไปหาพระบิดา


24* มัทธิว 7:7 ; ยอห์น 15:11
25* ดูข้อ 2
27* ยอห์น 14:21, 23; 17:23; 21:15-17; 1 โครินธ์ 16:22; ดูข้อ 30; ยอห์น 17:8
28* ยอห์น 8:14; 13:3; 14:12

เราชนะโลกแล้ว ยอห์น 16:29-33
แล้วในที่สุด ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเห็นภาพ และเข้าใจว่า ตนเองเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง มีความมั่นใจในความเชื่อมากกว่าความเป็นจริง จากนั้นทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า พวกเขาจะกระจัดกระจายหนีไปเพราะความกลัว และทิ้งพระองค์ไว้ผู้เดียว พระองค์ทรงเตือนเขาว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ไม่ได้ทรงตำหนิพวกเขา ดูเหมือนว่าพระองค์อยู่ผู้เดียวหรือ? เปล่าเลย พระบิดาทรงอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา
ที่พระองค์ทรงบอกเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้านี้เพื่อไม่ให้พวกเขาทุกข์ใจ แต่ให้เป็นสุขเพราะว่า พระองค์ทรงชนะตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ทุกประการ
พระเยซูทรงบอกไว้เลยว่า แม้จะพบความทุกข์ยากแต่ก็ขอให้ยินดี เพราะว่า พระเยซูทรงชนะแล้ว ทรงไถ่มนุษย์ให้กลับไปหาพระบิดา ทรงมีชัยชนะเหนือความตาย


29* ดูข้อ 25
30* ยอห์น 21:17; 2:24, 25; ดูข้อ 27, 28; ยอห์น 3:2]
32* ยอห์น 4:21, 23; มัทธิว 26:31; มาระโก14:27; อิสยาห์ 63:5; ยอห์น 8:16, 29
33* ยอห์น 14:27; โคโลสี 3:15; ยอห์น 15:18-21; วิวรณ์ 1:9; กิจการ 14:22
ยอห์น 14:1, 27; โรม 8:37; 1 ยอห์น 4:4; 5:4, 5; วิวรณ์ 3:21; 12:11

ยอห์น 15 ต้องเข้าสนิทในพระเยซู

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น

ความรักและการเชื่อฟัง เป็นของคู่กัน

ความรักที่เราต้องเลียนแบบ

พระเจ้าทรงเลือกเราให้เกิดผล ให้รักกันและกัน

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง

โลกไม่รับเราเพราะพระเยซู

พระวิญญาณทรงเป็นพยาน

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง ยอห์น 15

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้ ข้อ 1-3
หลังจากที่ทรงปลอบใจว่าไม่ให้เหล่าศิษย์ของพระองค์ต้องกังวลใจ ทุกข์ใจ พวกเขาก็ออกมาจากที่นั่น แล้วพระเยซูทรงเปรียบเทียบว่า พระองค์คือ ต้นองุ่นแท้ พระบิดาทรงดูแล เหล่าศิษย์คือ กิ่งก้านของต้นองุ่นนี้ ส่วนผู้ดูแลองุ่นก็คือ พระบิดา เราจึงเห็นความสัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ในคำเปรียบนี้
การเกิดผลในชีวิตขึ้นอยู่กับการที่พระเจ้าทรงลิดผลที่ติดกับต้น เป็นการทำงานของพระบิดา พระบุตร และผู้เชื่อ การเข้าสนิทกับพระเยซู มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด รู้จักพระองค์เป็นอย่างดี เดินตามพระองค์เป็นเคล็ดลับสำคัญที่คน ๆ หนึ่งจะเกิดผล ตอนที่อยู่ในห้องอาหารนั้น พระเยซูก็ตรัสให้พวกเขาเข้าสนิทกับพระองค์แล้ว (ดู 14:20-24) ที่น่าเสียดายมากคือ กิ่งที่ไม่เกิดผลจะถูกตัดทิ้ง

1* เยเรมีย์ 2:21; 1 โครินธ์  3:9]
2* ดูข้อ 6; มัทธิว 3:10; 7:19; โรม 11:17; 2 เปโตร 1:8; มัทธิว 15:13; โรม 11:22;มัทธิว 13:12
3* ยอห์น 13:10 ; ยอห์น 17:17; เอเฟซัส  5:26

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน ข้อ 4-5
เรื่องนี้ชัดเจน ง่ายมาก หากไม่ติดกับต้น ก็จะเฉาตายไปเอง ติดกับต้น ก็จะเกิดผลมาก พระเยซูทรงบอกเราว่า การอยู่ในพระองค์นั้น ทำให้เราเกิดผล ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะจริง ๆ แล้วคือพระเจ้าที่อยู่ในเราทรงทำให้
ข้อสังเกตสภาพของกิ่งก้านคือ กิ่งที่ไม่เกิดผล กิ่งที่เกิดผล กิ่งที่เกิดผลมากขึ้น และกิ่งที่เกิดผลมากมาย

4* ดูข้อ 5-7; 1 ยอห์น 2:6; ฟีลิปปี1:11; โคโลสี 1:23 ; ยอห์น 6:56;  3:15
5* โรม 6:5; ดูข้อ16; โคโลสี 1:6, 10

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น ข้อ 6-8
และยังมีสภาพของกิ่งที่ถูกโยนทิ้ง แห้งเหี่ยว ถูกมัดรวม โยนลงเป็นกอง และเผาไฟด้วย พระเยซูทรงพูดถึงผู้เชื่อที่ไม่ติดสนิทกับพระองค์ บางทีเราคิดว่า เชื่อแล้วก็โอเคแล้ว รอดแน่ แต่คำตรงนี้ฟังแล้วดูจะไม่ใช่อย่างที่คิด
คนที่อยู่ในพระเจ้า ก็จะขอสิ่งที่ไม่ได้ขัดหรือผิดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ เขาจะเกิดผลมาก ทำให้ใคร ๆ รู้ว่า นี่คือคนติดตามพระเยซูจริง ๆ

6* ดูข้อ 2 ; มัทธิว 13:40-42; เอเสเคียล15:4
7* ยอห์น 8:31; 14:13
8* อิสยาห์ 61:3; มัทธิว 5:16; 2 Cor. 9:13; Phil. 1:11และข้อ 5

ความรักและการเชื่อฟังเป็นของคู่กัน ข้อ 9-11
ความเป็นจริงของการอยู่ในพระเยซูคือ การทำตามคำบัญชาของพระองค์ด้วยความรัก โดยทำตามแบบอย่างของพระเยซูที่ทรงทำตามพระบิดาสุดพระทัย
ความรักของโลกนี้ แตกต่างจากรักที่พระเจ้ารักเรา ดังนั้น หากไม่มีตัวอย่างของรัก พวกเราอาจเข้าใจผิดไปได้ รักที่พระเยซูหมายถึงไม่ใช่รักด้วยอารมณ์ ไม่ใช่รักลึกซึ้งลี้ลับ แต่เป็นความรักที่มีความเชื่อฟังแบบที่ว่ายอมตายเลยทีเดียว

9* ยอห์น 5:20
10* ยอห์น 14:15, 23; 8:55; 17:4; Phil. 2:8; ยอห์น 10:18
11* 2 Cor. 2:3; ยอห์น 3:29; 16:24; 17:13; 1 ยอห์น 1:4; 2 ยอห์น 12


ความรักที่เราต้องเลียนแบบ ข้อ 12-15
ที่จริง พระเยซูพูดคำนี้มาแล้วในห้องอาหาร และทรงย้ำอีกครั้งหนึ่ง รักที่ยิ่งใหญ่สุดคือเพื่อนตายแทนได้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พวกเขาจะได้เห็นว่า พระองค์นี่แหละ ทรงตายแทนพวกเขาจริง ๆ (ซึ่งในเวลานั้นพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ)
ทรงย้ำว่าพวกเขาคือเพื่อนของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาสรับใช้ ทรงรู้ว่า ในอนาคตต่อไป พวกเขาจะได้ทำตามคำสั่งสุดท้ายแน่นอน อีกอย่างที่ถือว่าเป็นเพื่อนเพราะพระองค์ทรงได้ยินอย่างไรจากพระบิดา ก็ทรงบอกพวกเขาโดยไม่ปิดบัง เว้นแต่พวกเขาจะไม่เข้าใจเอง
**คำว่าคนรับใช้ ในที่นี้มีความหมายถึง ทาส

12* ยอห์น 13:34
13* โรม 5:7, 8; เอเฟซัส 5:2; ยอห์น 10:11
14* ลูกา 12:4; ดูข้อ 10; มัทธิว 12:50]
15* ดูข้อ 20; ยอห์น 13:7, 12; 3:32; 8:26, 40; 16:13 ;17:26; ปฐมกาล18:17; 1 โครินธ์ 2:16; 13:9, 10

พระเจ้าทรงเลือกให้เราเกิดผล ให้รักกันและกัน 16-17
พระเจ้าได้ทรงเลือกศิษย์แต่ละคนให้ไปเกิดผลที่ยั่งยืน พวกเขาเป็นคนที่ได้อยู่กับพระเยซูอย่างใกล้ชิด ได้สังเกตเห็น ได้ทำงานร่วมกับพระองค์มาโดยตลอด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น เป็นผู้ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ
พระองค์ทรงย้ำอีกว่า ให้รักกันและกัน ….

16* ยอห์น 13:18; 2 ยอห์น 8; ดูข้อ 7; ยอห์น 14:13
17* ดูข้อ 12

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง ข้อ 18-20
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเห็นล่วงหน้าว่าพวกเขาจะเจอการข่มเหงจากโลกนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงทำคุณให้พวกเขา แต่ก็ยังมีคนที่เลือกจะเกลียดพระองค์ทุกยุคทุกสมัย เมื่อไม่พอใจพระเยซู ก็ไม่พอใจคนของพระองค์ไปด้วย แต่หากคนของพระองค์รู้แน่ว่า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก เขาจะมั่นคงไม่ว่าจะพบเจอหนักเพียงไร
การที่พระเยซูเสด็จมาในโลก และเป็นพยานเรื่องของพระเจ้ากับผู้คน ทรงชักชวนพวกเขาให้กลับใจ พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเยซู แต่ยังปฏิเสธพระองค์ ยิวทุกคนจึงไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้ว


18* ยอห์น 7:7; 1 ยอห์น 3:13; ยอห์น 15:23, 24
19* 1 ยอห์น 4:5; 17:14, 16; ลูกา 6:26; กาลาเทีย 1:4; ยากอบ 4:4
20* ยอห์น 13:16; มัทธิว 10:24; ดูข้อ15; ยอห์น 16:33; 1 โครินธ์ 4:12; 2 โครินธ์ 4:9; 1 เธสะโลนิกา 2:15; 2 ทิโมธี 3:12; เอเสเคียล 3:7; ยอห์น 8:51

โลกไม่ยอมรับเราเพราะพระเยซู ข้อ 21-25
ศิษย์ทุกคนที่พระเยซูตรัสด้วยในคืนวันนั้น ต่างพบกับการข่มเหงอย่างรุนแรงจนถึงตายเกือบทุกคน ..ยกเว้นท่านยอห์นที่ถูกเนรเทศไปเกาะปัทมอส
ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือเป็นไปตามสดุดี 69:4 ที่บอกว่า เขาได้ชังเราโดยไม่มีสาเหตุ
สรุปคือพระเยซูตรัสว่า หากเขาชังพระองค์ เขาจะชังพระบิดา และคนของพระองค์ตามไปด้วย

21* ยอห์น 16:3; มัทธิว 10:22; 24:9; วิวรณ์ 2:3; กิจการ 5:41; 1 เปโตร 4:14, 16; กิจการ 3:17
22* มัทธิว 11:22, 24; ลูกา12:47, 48; ยอห์น 9:41
23* ยอห์น 5:23
24* ยอห์น 3:2; 7:31; 9:32; มัทธิว 9:33; ยอห์น 10:32, 37;ยอห์น 14:9
25* ยอห์น 10:34; 12:38


พระวิญญาณทรงเป็นพยาน ข้อ 26-27
พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ทำให้เราเห็นว่า พระวิญญาณทรงอยู่กับผู้เชื่อเสมอ ในอนาคต พวกเขาจะเจอกับการข่มเหงที่กำลังมนุษย์ไม่อาจทนได้ พวกเขาต้องการพลังแห่งพระวิญญาณที่จะสู้สิ่งร้ายเหล่านั้น
พระวิญญาณจะทรงเป็นพยานให้ผู้เชื่อได้รับรู้ถึงพระเยซูคริสต์ และจะทรงหนุนกำลังพวกเขาให้เป็นพยานเพื่อพระองค์ด้วย

26* ยอห์น 14:16, 17, 26; 1 โครินธ์12:3; 1 ยอห์น 5:7
27* ยอห์น 19:35; 21:24; 1 ยอห์น 1:2; 4:14; [3 ยอห์น 12]; ลูกา 24:48; กิจการ 4:20