ฮีบรู 10 มีชีวิตโดยความเชื่อ

ฮีบรู 10:1 บทบัญญัตินั้น เป็นเพียงเงาของสิ่งดีที่จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นบทบัญญัติจึงไม่อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อนมัสการนั้น บริสุทธิ์เพียบพร้อมได้ด้วยเครื่องบูชาเดิม ๆ​ ซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า


ฮีบรู 10:2-3 เพราะหากเครื่องบูชาชำระบาปได้ เขาก็ควรหยุดถวายเครื่องบูชาไปแล้วเพราะผู้ที่มานมัสการคงได้รับการชำระครั้งเดียวจบ จะไม่รู้สึกผิดกับบาปของพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นการเตือนให้คิดถึงบาปอยู่ทุกปี

ฮีบรู 10:4-5 เพราะเลือดของโคผู้และแพะไม่อาจ
จะชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเครื่องสักการะและของถวาย แต่พระองค์ทรงเตรียมร่างหนึ่งไว้ให้ข้าพระองค์ได้ถวาย (สดุดี 40:6-8)


ฮีบรู 10:6-7 พระองค์ไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ตามที่มีคำเขียนถึงข้าพระองค์ในหนังสือม้วน’”

ฮีบรู 10:8 ก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสว่า “พระองค์มิได้ทรงพอพระทัยใน เครื่องสักการะและของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาปและพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งเหล่านั้นด้วย (แม้ว่าจะเป็นการถวายตามบทบัญญัติก็ตาม)

ฮีบรู 10:9-10พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า “โอ พระเจ้าข้าข้าพระองค์มาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกแบบแรกออกไปเพื่อสร้างแบบที่สอง และด้วยพระประสงค์เช่นนี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยที่พระเยซูคริสต์ถวายพระกายครั้งเดียวเป็นพอ

ฮีบรู 10:11-12 ปุโรหิตทุกคนได้ยืนปรนนิบัติรับใช้และถวายเครื่องบูชาแบบเดิม วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ไม่อาจลบล้างบาปได้ แต่เมื่อพระองค์
ท่านนี้ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบบาปทั้งสิ้น ตลอดไป พระองค์ก็ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 

ฮีบรู 10:13-14 ณ ที่นั้น พระองค์ก็ทรงรอจนกว่าศัตรู
ทั้งหลายจะถูกนำมาเป็นแท่นรองพระบาท ด้วยการถวายเครื่องบูชาครั้งเดียว พระองค์ทรงทำให้คนที่รับการชำระให้บริสุทธิ์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์

ฮีบรู 10:15-16 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน
กับเราเรื่องนี้ อย่างแรก พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขา หลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในใจพวกเขา และจะจารึกคำนั้นไว้ในความคิดของพวกเขา

ฮีบรู 10:17-18 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะไม่จดจำบาปและการอธรรมของเขาอีกต่อไป” และเมื่อมีการอภัยบาปแล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป

ฮีบรู 10:19-21 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามีใจกล้า
ที่จะเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด โดยพระโลหิตของพระเยซู
โดยหนทางใหม่ที่มีชีวิต ได้เปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์และในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ทรงดูแลพระนิเวศของพระเจ้า….

ฮีบรู 10:22 พวกเราจงเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง และมั่นใจในความเชื่อเต็มที่ โดยมีจิตใจที่ได้รับการประพรม
เพื่อชำระเราให้หมดจากจิตสำนึกผิดและร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยนำ้บริสุทธิ์

ฮีบรู 10:23-24 ให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราเชื่ออย่าง
แน่วแน่ เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงซื่อตรง
และให้เราพิจารณาดูว่า เราจะทำอย่างไรที่จะหนุนใจกันให้รักกันและกันและทำความดี

ฮีบรู 10:25 เราอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างที่บางคนทำเป็นนิสัย แต่ให้เราหนุนใจกันและกันมากขึ้น เพราะท่านก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ฮีบรู 10:26-27 หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบาปต่อไปทั้ง ๆ ที่ได้รู้จักความจริง ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปให้
มีแต่ความหวาดกลัวเพราะการพิพากษาที่จะมา และไฟอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า


ฮีบรู 10:28-29 คนที่ทำผิดบทบัญญัติโมเสสก็ยังต้อง
ตายโดยไม่ได้รับความเมตตา หากมีพยานสองสามปาก แล้วท่านคิดว่า ผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่
หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญาที่ชำระเขาให้บริสุทธิ์ ผู้ที่ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณแห่งพระคุณ จะถูกลงโทษหนักกว่านั้นสักเพียงใด?

ฮีบรู 10:30-31 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การ
ตอบแทนเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” และอีกครั้งว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”การตกอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์นั้น เป็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ฮีบรู 10:32 จงนึกถึงวันแรก ๆ ที่ท่านได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ในช่วงเวลาเหล่านั้น ท่านมีความทรหดอดทนอย่างมั่นคงขณะที่เผชิญความทุกข์ยาก

ฮีบรู 10:33-34 บางครั้งท่านถูกประจานต่อหน้า สาธารณชน ถูกเยาะเย้ย และถูกข่มเหง บางครั้งท่านร่วมทุกข์กับคนที่ถูกกระทำเช่นนั้นท่านเห็นใจผู้ที่ถูกขัง และยอมให้ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปด้วยใจยินดีเพราะรู้ว่า ท่านยังมีทรัพย์สินที่ยั่งยืนและดีกว่านั้น


ฮีบรู 10: 35-36
ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป เพราะท่านจะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่ท่านจำเป็นต้องพากเพียรอดทน เพื่อว่าเมื่อท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะได้รับสิ่งทรงสัญญาไว้

ฮีบรู 10:37-39 เพราะว่า “อีกครู่เดียว พระองค์ผู้เสด็จ
มาก็จะมาถึง พระองค์จะไม่ล่าช้า แต่คนเที่ยงธรรมของเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากเขาถอยกลับไป เราจะไม่
ยินดีในตัวเขา” แต่เราไม่ใช่เป็นคนที่จะถอยกลับสู่หายนะ แต่เป็นคนที่มีความเชื่อ และได้รักษาจิตวิญญาณให้รอด

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 10:1
เราจะเห็นว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นเพียงเงาที่มาก่อนของจริงคือพันธสัญญาใหม่ การที่มีเงามาก่อน ก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงสอน
ให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริงของพันธสัญญาที่สมบูรณ์แบบน่าจะเป็นเช่นไร เงานั้นมีโครงร่าง รูปร่างคล้ายของจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ท่านผู้เขียน
พยายามที่จะอธิบายกับพี่น้องฮีบรูที่มาเป็นคริสเตียนว่า ที่พวกเขาเคยเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์แบบ

ฮีบรู 10:2-3
การถวายเครื่องบูชาแบบที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ผู้คนระลึกถึงบาปของตนเองที่ไม่อาจหลุดไปจากตัวพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขายังต้อง
รู้สึกกับความผิดไม่หยุดยั้ง ยิ่งถ้าเป็นบาปร้ายมาก ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะเสียใจอย่างที่อาจถึงทำให้เขาต้องทำลายตัวเองไปเพราะไม่อาจลบบาปที่
ทำผิดได้ พวกเขาถูกเตือนไว้ว่า “นายยังบาปอยู่นายยังไม่อาจเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ นายมันคนโสโครก ไม่มีวันดีขึ้นได้!”

ฮีบรู 10:4-5
ชัดเจนว่า เลือดของสัตว์ไม่พอที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้จากตรงนี้ เราจะเห็นว่า มีคำพยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์มาตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ดาวิด ผู้เขียนได้พยายามให้คริสเตียนยิวได้เข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้ผิดพลาด แค่เป็นเงาของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้จริง ๆ คือองค์พระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่จะไม่ต้องถวายเครื่องบูชาซ้ำ ๆ อีกต่อไป

ฮีบรู 10:6-7
ในประโยคใกล้ ๆ กัน มีการย้ำว่า พระเจ้าไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชา ของถวายเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนไม่มีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตจากมืดเป็นสว่างไม่มีความผูกพันทางจิตใจระหว่างเจ้าตัวที่สละเลือด กับคนที่ได้รับการยกโทษในวันนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การยกบาปให้มนุษย์ พระองค์จะต้องทรงสละพระบุตรของพระองค์ ให้รับความอับอายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ!

ฮีบรู 10:8
พระเจ้าไม่ได้พอพระทัยทั้งสี่สิ่งนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยที่มนุษย์จะรักและเชื่อฟังพระองค์ การถวายสิ่งของเหล่านี้ มนุษย์ทำไปทำมา ก็กลายเป็นพิธีที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า กลายเป็นภาระของพวกเขา กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนคิดว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าชำระ ทั้ง ๆที่ใจไม่ได้ใสสะอาดสักนิด พระเจ้าทรงเห็นภายในที่มนุษย์พูด คิด ทำ ทรงเห็นแรงจูงใจทั้งสิ้น สดุดี 139

ฮีบรู 10:9-10
เราต้องไม่ลืมว่า ที่เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ก็เป็นเพราะพระเยซูทรงตั้งใจมาทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดา ถ้าพระเยซูไม่ทรงเต็มพระทัย
ที่จะทำสิ่งนี้ จะไม่มีคนใดในโลกได้รับความรอดเลย! พระองค์ทรงยกเลิกพิธีกรรมแบบเดิมเพื่อว่า พระเยซูคริสต์จะทรงทำตามน้ำพระทัยที่ให้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นคำที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำบ่อย ๆ อย่างที่เราได้อ่านมาแล้ว

ฮีบรู 10:11-12
ดูความแตกต่างของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า แตกต่างกันมากเหลือเกิน ผู้เขียนฮีบรูต้องการให้พี่น้องยิวที่มาเชื่อพระเยซูมั่นใจ และไม่กลับไปหาพิธีกรรมแบบเดิมอีก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงรักษารูปแบบปุโรหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาทำให้ผู้เชื่อต้องพึ่งพาเหล่านักบวชอย่างไม่สามารถหลุดออกได้เลย พระคำตอนนี้จึงทำให้เรามั่นใจว่า พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นปุโรหิตแท้ของเรา

10:13-14
อ้างถึงสดุดี 110:1 ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวไว้นี้จะสำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองและเมื่อมนุษย์ทุกคนจะต้องคุกเข่ากราบลงและยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งแม้ว่าในวันนี้ เราจะเห็นคนมากมายดูหมิ่นพระเจ้าและท้าทายพระองค์ แต่วันหนึ่งทุกคนที่โอหัง ก้าวร้าวจะพบว่าเขาเป็นผู้แพ้ ศัตรูของพระองค์จะถูกปราบจนราบคาบ

10:15-16
พันธสัญญาใหม่มาหลังจากวันเหล่านั้น เท่ากับพันธสัญญาใหม่นั้นใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในใจของ
ผู้คน นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแค่รูปแบบภายนอก พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พระดำรัสของพระองค์เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ
ในความคิดของผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ที่แผ่นศิลา หรือหนังสือม้วนอีกต่อไป (ดูเยเรมีย์ 31:33-34,โคโลสี 3:16) พระเจ้าทรงทำให้ เราตอบสนอง

ฮีบรู 10:17-18
เราโล่งใจเมื่อได้ยินคำแบบนี้ ความบาปใด ๆ ที่ได้ทำมานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ ยิ่งกว่านั้น จะไม่ทรงจำบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่มีการบันทึกไว้ในที่จะสืบค้นได้อีก นี่ไง พันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ..ทรงยกโทษให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีการเรียกกลับคืนมาให้รับโทษอีก และพระองค์ยังทรงให้ชีวิตเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก

ฮีบรู 10:19-21
พระคำตอนนี้บอกว่า เรามีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่เหมือนตอนที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความกลัวลาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเยซู
ทรงมาเป็นทางนั้น ที่ทำให้เราเข้าหาพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่มีม่านใด ๆ มากั้นไว้ พระเยซูทรงเป็นองค์ปุโรหิตที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้
ผู้เชื่อพระเยซูทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ ในอดีตแตกต่างจากนี้มาก พวกเรามักต้องเห็นคุณค่า สิทธิพิเศษของการเข้าเฝ้าโดยตรงเช่นนี้

ฮีบรู 10:22
เราเข้ามาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้ชวนให้เราเข้ามาใกล้องค์พระเจ้า ไม่ใช่มีชีวิตที่อยู่ห่างพระองค์ ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาของพวกเราเอง พระเจ้าทรงเตรียมทุกอย่างให้แล้ว แต่พวกเราไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตจนเหนื่อย หมดกำลังก่อนที่จะเข้ามาหาพระเจ้า สิ่งสำคัญของเราคือการที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แสวงหาพระองค์ก่อน แล้วจะเห็นว่า ชีวิตจะแตกต่างจากวันที่ห่างพระองค์!

ฮีบรู 10:23-24
ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ลังเลใจ หรือพูดง่าย ๆ คือให้เรามีความแน่วแน่ในความหวังที่มีในพระเจ้าโดยไม่ให้อะไรมาทำให้เราไขว่้เขวได้เลย การยึด
มั่นในพระเจ้าคือการไว้ใจในพระสัญญาของพระองค์ว่าที่ทรงสัญญาไว้ จะทรงทำให้แน่นอนสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่เราต้องใส่ใจทำต่อมา คือรักกัน และทำดีให้กันและกัน ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ส่วนตัวอีกต่อไป แต่เราต้องมีคนที่รักและทำดีให้

ฮีบรู 10:25
เราเห็นพี่น้องจำนวนมากไปประชุม เจอเพื่อนได้หนุนใจกันอย่างต่อเนื่อง เราเห็นคนที่ขาดการประชุมเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในระยะยาว มัน
ส่งผลร้ายต่อผู้เชื่อไม่ว่าใครก็ตาม การหลงทางไปจากพระเจ้า การไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไปเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อเราไม่มีพี่น้องที่คอย
ช่วยเหลือกันแม้ว่าคนหนึ่งอาจอ้างว่า เฝ้าพระเจ้าคนเดียวก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สุขภาพจิตที่แข็งแรง แม้คริสตจักรจะมีข้อเสียบ้างแต่เราอย่าขาดประชุมเลย

ฮีบรู 10:26-27
เรื่องของคริสเตียนยิวที่ผู้เขียนเป็นห่วงคือการที่เขาจะหันกลับไปหาศาสนายิว กลับไปสู่กฎบัญญัติพิธีการลบบาปแบบเดิม หันหลังให้กับไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่เราคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะในข้อต่อไปได้พูดถึง แต่สำหรับพวกเขาก็ชัดเจนว่า ถ้าเราทำผิดทั้งที่รู้ความจริงเราจะเจอกับอะไร หากเราปฏิเสธพระเจ้า ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไปนั่นเอง สิ่งที่จะเพิ่มมาคือการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่มาเชื่อแล้วก็เลิกไป


ฮีบรู 10:28-29
นี่คือความบาปที่ทำซ้ำ ๆ ซึ่งผู้เขียนได้พูดในก่อนหน้านี้ หากใครคนหนึ่งดูหมิ่นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยการปฏิเสธพระองค์
ทั้ง ๆ ที่รู้ ผู้เขียนอธิบายว่า การทำเช่นนั้น เป็น 1 การเหยียบย่ำพระเยซู 2หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญา 3 ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณผู้
ทรงสอนให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนเตือนไม่ให้คนที่เชื่อกลับไปสู่พิธีกรรมแบบเดิมที่เคยทำและเตือนเราเช่นกันด้วย

ฮีบรู 10:30-31
การตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า คือการที่ต้องเผชิญกับพระเจ้าในวันที่พระองค์ทรงพิพากษา ไม่มีใครจะหนีพ้นวันนั้นไปได้ ตอนที่
ไม่เอาใจใส่ เดินหนีพระองค์ไป ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที เพราะพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกทำให้ถูกต้องที่สุดคือ การ
ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราให้รอด พวกเราไม่ควรที่จะท้าทายพระองค์เลย เพราะผลนั้นน่ากลัวมาก

ฮีบรู 10:32
ตอนแรกที่พวกยิวมาเชื่อใหม่ ๆ นั้น พวกเขามีรักแรกให้กับพระเจ้า เป็นรักที่แนบสนิท รักมากจากคนที่เคยอยู่ในความมืดมาพบความสว่างของ
พระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงนั้นเป็นเวลาฮันนีมูน ที่พวกเขาเจออะไรก็ทนได้หมด สามารถทนทุกข์เพื่อพระคริสต์อย่างเต็ม
ใจ สุดใจ สุดกำลัง พวกเขาถูกยิวในศาสนายิวขับไล่จากชุมชน ถูกกดขี่ข่มเหงหนักมาก

ฮีบรู 10:33-34
ผู้เขียนได้อธิบายชัดเจนว่า พี่น้องเหล่านี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง พวกเขามาเชื่อ และถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากคนที่เคยเป็นเพื่อน เคยอยู่
ในชุมชนเดียวกัน ในศาลาธรรมเดียวกัน บัดนี้กลายเป็นถูกเกลียดชังอย่างรุนแรง แต่เวลานั้นพวกเขามีความหวังในพระเจ้าอย่างมั่นคง ไม่คิด
ที่จะหันกลับไป มั่นใจและยังร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงด้วย การที่พวกเขาเผชิญได้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนที่เปลี่ยนใจกลับสู่โลกเดิมเลย

ฮีบรู 10: 35-36
ตรงนี้ทั้งคริสเตียนยิวและเรารับการเตือนว่าอย่าให้เราทิ้งความมั่นใจในพระเจ้าเด็ดขาด! อาจมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่เรายังต้องวางใจ
เราจะไม่กลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใช้วิธีของตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เราจะวางใจพระเจ้าแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเรา รู้ไหมว่าความวางใจพระเจ้านั้นเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตได้ และต้องมีความอดทนอย่างสูงที่จะไม่ลังเลใจ

ฮีบรู 10:37-39
พระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอย่างล่องลอย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง พวกเขามั่นคง
ในพระเจ้า หวังใจในพระองค์เต็มร้อย ไม่ลังเลไม่รีรอที่จะเดินตามพระองค์​ และตอนนี้บอกเราชัดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยหากเราหันกลับไป
สู่ชีวิตเดิม ซึ่งจะนำสู่ความตาย จะเห็นว่า เราเองเป็นผู้ที่จะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการรักษาจิตวิญญาณให้ถึงความรอด

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 8:5; 7:19; 9:9
4* มีคาห์ 6:6-7
5* สดุดี 40:6-8
10* ยอห์น 17:19; ฮีบรู 9:12
11* กันดารวิถี 28:3
12* โคโลสี 3:1; สดุดี 110:1
13* สดุดี 110:1
16* เยเรมีย์ 31:33-34
17* เยเรมีย์ 31:34
19* เอเฟซัส 2:18; ฮีบรู 9:8,12



20* ยอห์น 14:6
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 7:19; 10:1; เอเฟซัส 3:12
23* 1โครินธ์ 1:9; 10:13
25* กิจการ 2:42; โรม 13:11; ฟีลิปปี 4:5
26* กันดารวิถี 15:30; 2 เปโตร 2:20; ฮีบรู 6:6
27* เศฟันยาห์ 1:18
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 17:2-6; 19:15
29* ฮีบรู 2:3; 1โครินธ์ 11:29; มัทธิว 12:31


30* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35-36
31* ลูกา 12:5
32* กาลาเทีย 3:4
33* 1โครินธ์ 4:9; ฟีลิปปี 1:7
34* 2 ทิโมธี 1:16; มัทธิว 5:12; 6:20
35* มัทธิว 5:12
36* ลูกา 21:19; โคโลสี 3:24
37* ลูกา 18:8; ฮาบากุก 2:3-4
38* โรม 1:17
39* 2 เปโตร 2:20; โรม 3:22




ฮีบรู 9 พระโลหิตคือคำตอบ

ฮีบรู 9:1-2 ในพันธสัญญาแรกนั้น มีกฎเกณฑ์ต่างๆเรื่องการนมัสการ และยังมีสถานบริสุทธิ์บนแผ่นดินโลก พลับพลาถูกเตรียมไว้ในห้องแรกคือคันประทีป โต๊ะ และขนมปังบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์ ณ ที่นี้ เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ (วิสุทธิสถาน)




ฮีบรู 9:3-4 หลังจากม่านชั้นที่สอง เป็นห้องที่เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ที่สุด (อภิสุทธิสถาน)ในห้องนี้ มีแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำ ข้างในหีบมีโถทองคำใส่มานาไว้รวมทั้งไม้เท้าที่ผลิดอกตูมของอาโรนและแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา

ฮีบรู 9:5 บนหีบพันธสัญญามีรูปเครูบแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า โดยเครูบกางปีกปกคลุมฝาหีบของพระที่นั่งแห่งพระกรุณา แต่เรายังไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในเวลานี้


ฮีบรู 9:6-7 ในเมื่อทุกสิ่งถูกจัดเตรียมดังกล่าว เหล่าปุโรหิตก็จะเข้าไปยังส่วนแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในส่วนที่สองได้และเข้าได้เพียงปีละครั้ง พร้อมกับนำเลือดเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นเลือดที่ถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปที่ประชาชนซึ่งทำลงไปโดยไม่เจตนา

ฮีบรู 9:8 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงจากการทำทุกสิ่ง (คือระบบปุโรหิต)ตามที่กล่าวมา ให้รู้ว่าทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ยังไม่เปิดออกมา ตราบใดที่พลับพลาแรกยังคงตั้งอยู่

ฮีบรู 9:9-10 นี่เป็นภาพอธิบายเพื่อปัจจุบัน เพราะทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ถวายไป ไม่อาจชำระให้มโนธรรมของผู้นมัสการให้บริสุทธิ์ได้เลย ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม พิธีการชำระล้าง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัตินอกกาย ที่ใช้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่

ฮีบรู 9:11 แต่เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะมหาปุโรหิตเหนือสิ่งดีที่มาก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่า ซึ่งเป็นพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์และไม่ได้เป็นส่วนของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ฮีบรู 9:12 พระองค์มิได้เข้าไปด้วยเลือดของแพะ และวัว แต่ทรงเข้าไปยังที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งเดียวเป็นพอพร้อมกับพระโลหิตของพระองค์เองทำให้ได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

ภาพวาดโดย Leon Joseph Florentin Bonnat

ฮีบรู 9:13-14 เพราะหากเลือดแกะและโคผู้ และเถ้าจากลูกโคเมียที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระให้ร่างกายมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองอย่างไร้ตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ จะชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำที่นำสู่ความตาย เพื่อว่าเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

ฮีบรู 9:15 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อว่าคนที่ได้รับทรงเรียกจะได้รับมรดกนิรันดร์ที่ทรงสัญญาไว้ เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขาจากการล่วงละเมิดที่ได้กระทำลงไปภายใต้พันธสัญญาแรก 

ฮีบรู 9:16-18 ในกรณีของหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตแล้ว เพราะพินัยกรรมจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคนที่ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิตไป หากเขายังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมก็ไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น พันธสัญญาแรกก็ไม่มีผลใด ๆ จนกว่าจะต้องมีโลหิตเสียก่อน

ฮีบรู 9:19 เพราะเมื่อโมเสสประกาศคำสั่งทุกข้อของบทบัญญัติแก่ประชาชน ท่านได้นำเลือดของลูกโคและแพะผสมน้ำพร้อมขนแกะสีแดง ไม้หุสบมาประพรมทั้งหนังสือม้วนและประชาชน

ฮีบรู 9:20-21 กล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงสั่งให้ท่านทั้งหลายรักษาไว้” และด้วยวิธีเดียวกัน ท่านก็ได้ประพรมพลับพลาและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการนมัสการด้วยโลหิตนั้น

ฮีบรู 9:22 ความจริง ตามบทบัญญัติ ทุกสิ่งได้รับการชำระให้สะอาดด้วยโลหิต! และหากไม่มีการหลั่งโลหิตก็จะไม่มีการให้อภัยบาป

ฮีบรู 9:23-24 ดังนั้น การที่ของจำลองตามแบบสวรรค์จะได้รับการชำระด้วยพิธีบูชาแบบนี้จึงจำเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์นั้น มีเครื่องถวายบูชาที่ดีกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงเข้ามายังสถานนมัสการซึ่งถูกสร้างด้วยมือโดยจำลองตามสถานนมัสการแท้ แต่เสด็จสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา



ฮีบรู 9:25 ทั้งพระองค์ไม่ได้เข้าไปยังสวรรค์เพื่อถวาย
พระองค์เอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับมหาปุโรหิตที่เข้าไปยังอภิสุทธิสถานทุกปีพร้อมกับโลหิตที่ไม่ใช่เป็นของตัวเขา

ฮีบรู 9:26 หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำ ๆ มาตั้งแต่การเริ่มต้นของโลก แต่เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา


9:27-28 เหมือนมนุษย์ทุกคนที่ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะพบการพิพากษา พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เป็นเครื่องลบบาปของคนจำนวนมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดสู่คนที่จดจ่อรอคอยพระองค์

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 9:1-2
บทที่ 8 ที่ผ่านมา ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่า จำเป็นต้องมีพันธสัญญาใหม่ เพราะพันธสัญญาเดิมนั้นมีข้อบกพร่องอยู่ ในบทที่ 9 นี้ ท่านได้บอกว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้มายังพันธสัญญาใหม่ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาในอนาคต และสิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูทรง
เหนือกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนได้เริ่มให้เราเห็นภาพว่าในพลับพลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

ถอดความจาก ฮีบรู 9:3-4
ในเมื่ออุปกรณ์ทุกชิ้นมีความหมาย ผู้เขียนจึงเริ่มทำให้ชาวยิวที่อ่านเรื่องราวนี้ ได้กลับไประลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพลับพลา ในห้องชั้นในสุดมีหีบพันธสัญญาอยู่ หีบนี้เป็นหีบทองคำ ท่านไม่ได้ให้รายละเอียดมาก บอกคร่าว ๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ มานาบ่งบอกการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูในถิ่นกันดาร ศิลาแห่งพันธสัญญาระลึกถึงบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส และไม้เท้าที่สื่อหน้าที่ปุโรหิต

ถอดความจาก ฮีบรู 9:5
เมื่อกล่าวถึงของที่มี่อยู่ในหีบพันธสัญญาแล้วผู้เขียนก็เล่าว่า บนหีบพันธสัญญาซึ่งเป็นหีบไม้ที่มีทองคำปิดทับไว้ ส่วนเครูปคือ ทองคำที่ทำเป็น
รูปเลียนแบบของเครูบซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ โดยที่เครูปเอาปีกปกคลุมเหนือหีบพันธสัญญา พระเจ้า
จะทรงพบกับปุโรหิต ณ ที่ตรงนี้ เพื่อบอกสิ่งที่ทรงประสงค์จะบอกคนอิสราเอล อพยพ 25:22

ฮีบรู 9:6-7
ตอนนี้ ผู้เขียนเริ่มที่จะอธิบายความว่า ปุโรหิตทำหน้าที่ในห้องชั้นแรกเป็นประจำทุกวัน แต่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น จะมีหนึ่งท่านที่เข้าไปเพียงปีละครั้งเท่านั้น และที่เข้าไปก็เพื่อถวายเลือดเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาปของตนเอง ของประชาชน การทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า การทำบาปทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า และเราต้องได้รับการอภัยเพื่อกลับเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์

ฮีบรู 9:8
รูปแบบพันธสัญญาเดิมที่อธิบายมานี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม ความผิดบาปของมนุษย์จะต้องถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเรายังใช้ระบบเดิมของพลับพลานี้อยู่ หากยังใช้ระบบปุโรหิตคนกลางที่เป็นมนุษย์แล้ว ทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ ทางที่จะเข้าไปหาพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์โดยตรงก็ไม่เปิดได้อย่างอิสระ ระบบเดิมกับใหม่ใช้ไปพร้อมกันไม่ได้

ฮีบรู 9:9-10
ระบบเดิมนั้น ไม่อาจชำระชีวิตของผู้ที่เข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างถาวร สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธี และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ไม่ได้เป็นแผนการสุดท้าย
ของพระเจ้า เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะจัดการกับบาปอย่างแท้จริงและยั่งยืนในองค์พระเยซูคริสต์​ผู้ทรงเป็นคนกลางเดียวเท่านั้นที่จะนำความรอดมาให้ พระเจ้าทรงแจ้งให้รู้ว่า ชีวิตบาปต้องมีการกำจัด

ฮีบรู 9:11
ข้อความตอนนี้ ได้สรุปชัดว่า ในสวรรค์มีพลับพลาที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในส่วนของธรรมชาติที่พระเจ้า
ทรงสร้าง เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่ง เป็นพลับพลาที่เหมาะกับองค์มหาปุโรหิต ซึ่งเราไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ และก็ไม่ได้มีบันทึกในที่อื่น ๆ ที่สำคัญคือพลับพลาสวรรค์สมบูรณ์แบบกว่าพลับพลาในโลก

ฮีบรู 9:12
วิธีการของพลับพลาสวรรค์นี้แตกต่างจากระบบของพลับพลาในโลก ตรงที่ว่า เลือดที่เข้าไปเพื่อรับการไถ่บาปให้มนุษย์ไม่ใช่เป็นเลือดสัตว์
แต่เป็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขน ในการถวายเครื่องบูชาของปุโรหิตในโลกเป็นการทำซ้ำ
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงทำครั้งเดียวเท่านั้นแล้วคนที่เชื่อวางใจก็ได้รับการไถ่บาปเลย

ฮีบรู 9:13-14
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังเล่าว่า ขนาดเลือดของโคและแกะยังมีพลังช่วยให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ยังมีพลังตามที่
พระเจ้าทรงกำหนดให้ ดังนั้น พระโลหิตของพระบุตรพระเจ้าจะยิ่งมีพลังเหลือล้นมากมายกว่านั้นขนาดไหน ​เป็นพระโลหิตที่ชำระเราจากชีวิต
เก่าที่วนเวียนอยู่กับการกระทำที่นำสู่ความตายกลายเป็นคนมีชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแต่มุ่งรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

ฮีบรู 9:15
เมื่อเห็นคำว่า “มรดกนิรันดร์” ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงเตรียมไว้ให้
พวกเขามาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพี่น้องยิวที่อ่านข้อความตอนนี้ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขา ไม่ใช่
พิธีกรรมใด ๆ ในพระวิหารหรือพลับพลาที่ต้องผ่านเหล่าปุโรหิตอีกต่อไป

ฮีบรู 9:16-18
คำว่าพินัยกรรม กับคำว่าพันธสัญญามีการใช้สลับกัน แต่ในภาษากรีกเป็นคำ ๆ เดียวกัน เสปอร์เจียนให้ความเห็นว่า ถ้าเรามีหลักฐานว่า
ผู้ทำสัญญาหรือผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตไปแล้วสัญญาหรือพินัยกรรมนั้นจะส่งผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับข่าวประเสริฐ ถ้าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์ข่าวประเสริฐนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ในพันธสัญญาเดิมต้องมีการใช้เลือดประพรมทุกอย่าง

ฮีบรู 9:19
อย่างที่ได้เล่าในข้อ 18 แล้วว่าพันธสัญญาเดิมนั้นต้องการเลือดของโค แพะ แกะมาเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีการอภัยบาปเกิดขึ้น บาปเป็น
เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะว่ามันทำให้คนที่ทำบาปนั้น รับโทษถึงตาย จะเกิดการอภัยให้บาปนั้นก็ต้องมีการรับโทษถึงตายเสียก่อน ในพันธสัญญาเดิมได้เลือกให้เป็นการตายของสัตว์เพื่ออภัยบาปตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสเอาไว้โดยต้องมีการฆ่าเอาเลือดกันเป็นประจำทุกวัน

ฮีบรู 9:20-21
ประชาชนจะต้องทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสในเรื่องเลือด ภายใต้พันธสัญญาเดิมนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้นในพลับพลา จะได้รับการชำระให้สะอาดด้วยการประพรมเลือดลงไป การทำเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึง ในมาระโก 14:24 พระเยซูตรัสในคืนสุดท้ายกับศิษย์ โดยทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและตรัสว่า นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนเป็นอันมาก ชี้ให้เห็นถึงพระโลหิตที่จะมาชำระเราให้สะอาด

ฮีบรู 9:22
พระเจ้าทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์ด้วยสิ่งที่มนุษย์เองคาดไม่ถึง ความดี ด้วยการขอโทษ หรือรับโทษที่ได้ทำไปแต่หลักพื้นฐานของการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์คือ การหลั่งเลือด ซึ่งในสมัยโบราณ พระองค์ทรงให้ประชาชนรับการอภัยบาปผ่านพิธีต่าง ๆ ที่ต้องมีการหลั่งเลือดของสัตว์ แต่ที่สุด พระองค์ทรงใช้พระโลหิตพระเยซู!

ฮีบรู 9:23-24
พลับพลา พิธีต่าง ๆ ซึ่งทำในสมัยโมเสสนั้น ช่วยให้คนรับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาซึ่งไม่สมบูรณ์แบบเต็มร้อย นี่เป็นพิธีในโลก
แต่ในสวรรค์ พระเยซูทรงเข้าไปในสถานนมัสการต้นแบบในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในฐานะองค์ปุโรหิตเพื่อช่วยให้เราพ้นจากความบาป นี่เป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นความล้ำเลิศที่ไม่มีใครให้ได้

ฮีบรู 9:25
การเข้าเฝ้าพระบิดาในฐานะปุโรหิตของมนุษยชาตินั้น เป็นการเข้าเฝ้าที่ยังคงทำเพื่อเราเสมอ คือพระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้อง
ถวายพระองค์บนไม้กางเขนอีกเลย สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวนั้น เป็นพอ สิ่งที่ปุโรหิตในสมัยก่อนทำหรือแม้กระทั่งในกลุ่มศาสนาที่ต้องมีตัวแทนติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้เลย มีพระเยซูเท่านั้นที่ทรงลบบาปให้และยังทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากมืดเป็นสว่างอย่างเห็นได้ชัด

ฮีบรู 9:26
เลือดของสัตว์ที่ปุโรหิตใช้เป็นสิ่งที่ต้องหามาใหม่ทุกครั้งที่ทำพิธีลบล้างบาป เพราะเป็นระบบการถวายเครื่องบูชาที่จำกัด แต่พระโลหิตของพระเยซูนั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำลายอำนาจและการลงโทษบาปได้ พระองค์ไม่ต้องทรงสิ้นพระชนม์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ในปลายยุคก็คือ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นผู้ขีดเส้นให้รู้ว่า ยุคของพันธสัญญาเดิมนั้นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือยุคของพันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 9:27-28
ชีวิตเดียว และตายครั้งเดียว พวกเราซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาให้เกิดมานั้น มีโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่จะรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเราทุกคนจะพบการพิพากษาของพระเจ้า เราต้องให้การกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องไม่ลืม เพื่อเราจะได้ไม่อายในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง พระเยซูทรงตายเพื่อคนเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่หยุดยั้งที่จะชวนคนอื่นให้มาพบพระองค์เช่นกัน

พระคำเชื่อมโยง

1* อพยพ 25:8
3* อพยพ 26:31-35; 40:3
4* อพยพ 25:10; 16:33; กันดารวิถี 17:1-10; อพยพ 25:16; 34:29
5* เลวีนิติ 16:2
6* กันดารวิถี 18:2-6; 28:3
7* อพยพ 30:10; ฮีบรู 5:3
8* ยอห์น 14:6
9* ฮีบรู 7:19
10* โคโลสี 2:16; กันดารวิถี 19:7;
เอเฟซัส 2:15

11* ฮีบรู 10:1
12* ฮีบรู 10:4; เอเฟซัส 1:7; เศคาริยาห์ 3:9; ดาเนียล 9:24
13* เลวีนิติ 16:14-15; กันดารวิถี 19:2
14* อิสยาห์ 53:2; 1 ยอห์น 1:7; ฮีบรู 6:1;
ลูกา 1:74
15* โรม 3:25; ฮีบรู 3:117* กาลาเทีย 3:15
18* อพยพ 24:6
19* อพยพ 24:5-6; เลวีนิติ 14:4,7

20* มัทธิว 26:28; อพยพ 24:3-8
21* อพยพ 29:12, 36
22* เลวีนิติ 17:11
23* ฮีบรู 8:5
24* ฮีบรู 6:20; 8:2; 8:34
25* ฮีบรู 9:7
27* ปฐมกาล 3:19; 2 โครินธ์ 5:10
28* โรม 6:10; 1 เปโตร 2:24; มัทธิว 26:28; ทิตัส 2:13


ฮีบรู 8 เราทุกคนรู้จักพระองค์

ฮีบรู 8:1-2 สิ่งที่เป็นจุดสำคัญคือเรามีมหาปุโรหิตเช่นนี้ ผู้ประทับนั่ง ณ เบื้องขวาของพระที่นั่งแห่งองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสวรรค์และพระองค์ทรงปฏิบัติกรณียกิจในสถานบริสุทธิ์ และพลับพลาแท้ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น

ฮีบรู 8:3-4 ในเมื่อมหาปุโรหิตทุกท่านถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อถวายทั้งของถวายและเครื่องบูชาจึงจำเป็นที่องค์ปุโรหิตท่านนี้จะต้องมีสิ่งที่จะถวายเช่นกัน หากพระองค์ทรงอยู่ในโลกพระองค์ก็จะไม่ได้เป็นปุโรหิตเพราะมีปุโรหิตท่านอื่น ๆ ที่ถวายของต่าง ๆ ตามที่บัญญัติกำหนดไว้อยู่แล้ว

ฮีบรู 8:5 ปุโรหิตเหล่านั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ซึ่งเป็นแค่แบบจำลอง เป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ นี่เองที่โมเสสได้เตือนไว้ตอนที่ท่านกำลังจะสร้างพลับพลาว่า “จงระวังทำทุกอย่างตามต้นแบบ(แบบร่าง)ที่ได้แสดงให้เจ้าเห็นบนภูเขานั้น”

ฮีบรู 8:6-7 อย่างไรก็ตาม พระเยซูองค์มหาปุโรหิตของเรา ทรงได้รับพันธกิจที่เป็นเลิศกว่า (ระบบปุโรหิตเดิม) เพราะพระองค์ทรงเป็นสื่อกลางให้กับพันธสัญญาดีกว่าซึ่งอยู่บนพระสัญญาที่เหนือกว่า เพราะหากว่าพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก

ฮีบรู 8:8 เมื่อพระเจ้าทรงพบความผิดในหมู่ประชากรและตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง พระเจ้าทรงประกาศ .. เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและกับวงศ์วานยูดาห์
ฮีบรู 8:9 จะไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา ในเวลาที่เราจูงมือนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์เพราะพวกเขาไม่ซื่อตรงในพันธสัญญาของเรา และเราจะหันหลังให้พวกเขา” องค์พระผู้เป็นพระเจ้าตรัสดังนั้น

ฮีบรู 8:10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับวงศ์วานอิสราเอลหลังจากสมัยนั้น นั่นคือเราจะใส่บทบัญญัติของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และจารึกมันไว้บนแผ่นหัวใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา

ฮีบรู 8:11-12 ไม่มีใครในพวกเขาที่จะสอนเพื่อนบ้านหรือพี่น้องว่า“จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า”เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยสุดไปจนถึงคนที่ใหญ่โตสุดเพราะเราจะอภัยความบาปชั่วของพวกเขา และจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”


ฮีบรู 8:13 เมื่อพระเจ้าตรัสถึงพันธสัญญาใหม่เท่ากับพระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาเดิมนั้นพ้นไป ในไม่ช้า สิ่งที่พ้นยุคและเก่าแก่นั้นจะสูญหายไป

ฮีบรู 8:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ทรงทำหน้าที่ในฐานะปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดคในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ ต้นแบบของพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น บัดนี้ เราจึงมีพลับพลานิรันดร์ องค์ปุโรหิตของ เราทรงอยู่ใกล้ชิดพระบิดามากและทรงอยู่ด้วยกันทุกเวลา ไม่เหมือนปุโรหิตที่มาพระวิหารแล้วก็ไป

ฮีบรู 8:3-4
พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดคทรงมาจากตระกูลยูดาห์ซึ่งเป็นตระกูลของกษัตริย์ดาวิด หากทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็ไม่อาจเป็นปุโรหิตตามสายเลือดได้เลย แต่ผู้เขียนเองได้บอกเราก่อนหน้านี้ว่า จะมีปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่าสายของเลวีมากนัก หากเรากลับไปอ่านในฮีบรู 7:11-19 จะเห็นว่าผู้เขียนพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับยิวที่กำลังลังเลว่าจะกลับไปอยู่ในศาสนายิวเดิมหรือไม่เพราะเป็นคริสเตียนถูกข่มเหงเสมอ

ฮีบรู 8:5
พระเจ้ามักจะทรงใช้เหตุการณ์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวรูปแบบจำลองเรื่องราว มาช่วยให้ผู้คนเข้าใจพระดำริของพระองค์ การสร้างพลับพลาเพื่อนมัสการพระเจ้า ระบบปุโรหิตและการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ ต่างมีเพื่อให้คนได้เข้าใจว่า ความรอดจากพระเจ้ามีการวางแผนอย่างชัดเจน รอบคอบโดยพระองค์เอง ดังนั้น เราจึงต้องมองเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทะลุถึงพระดำริในแต่ละสถานการณ์

ฮีบรู 8:6-7
ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านชาวยิวที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนว่า ระบบปุโรหิตเดิมที่พวกเขาคุ้นเคยนั้น เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่า พวกเขาไม่อาจทำตามบัญญัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ได้ครบครันเลย พวกเขายังต้องกลับมาถวายเครื่องบูชาไถ่บาปไม่หยุดหย่อน พระเจ้าทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าหลายร้อยปีแล้วว่า พระองค์จะทรงทำอะไรกับบัญญัติเดิม แต่ตอนนั้นคนยิวที่ได้ยินคำพยากรณ์นี้ ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ฮีบรู 8:8
ตั้งแต่สมัยของเยเรมีย์ พระเจ้าได้ทรงบอกล่วงหน้าว่า พระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับพวกเขา และตอนนั้น พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอย่างไร พระองค์ทรงชัดเจนมาก ว่าพระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับชนอิสราเอล พวกเขาจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเดิมในเรื่องการมาถวายเครื่องบูชาในพลับพลาหรือพระวิหารอีกต่อไป

ฮีบรู 8:9 (เยเรมีย์ 31:31-32)
ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำพันธสัญญาใหม่มาตั้งนานแล้ว พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น แต่หากไม่มีระบบเดิมอันนี้มาก่อน ผู้คนก็จะไม่รู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะทำตามบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวเอง พันธสัญญาใหม่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ การรักพระเจ้าสุดใจสุดจิตสุดกำลังความคิด มาเหนือการกระทำใด ๆ

ฮีบรู 8:10 (เยเรมีย์ 31:31-32)
นี่ไง พันธสัญญาใหม่ที่เหนือกว่าพันธสัญญาเดิมมากมายนัก ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่อยู่บนศิลาสองก้อนที่พระเจ้าประทานให้กับโมเสส แต่เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าจะจารึกเข้าไปในจิตใจ ในความคิด ในสมอง ในชีวิตของประชากรของพระองค์ ผู้ที่ติดตามพระเจ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพระองค์ผ่านคนกลางไม่ว่าเป็นแบบใดทั้งสิ้น เพราะพวกเขาจะติดต่อกับพระเจ้าโดยตรง

ฮีบรู 8:11-12 (เยเรมีย์ 31:34)
ในเวลานั้น การมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา คนทั่วไปจะไม่รู้วิธีที่จะเข้ามาหาพระเจ้า และไม่ได้รับอนุญาตขนาดนั้นด้วย ในประวัติศาสตร์ของยิว จากระบบปุโรหิตก็ยังมีเหล่าธรรมาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่เราเห็นในพระคัมภีร์ใหม่ คือพวกสะดูสี ฟาริสี ที่สำคัญคือ
พระเจ้าทรงสัญญาว่า เมื่อยกโทษแล้วพระองค์จะไม่ทรงจำบาปนั้นอีกต่อไป

ฮีบรู 8:13
พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าประทานผ่าน พระเยซูคริสต์นั้น แตกต่างจากระบบเดิมของความเชื่อที่ส่งต่อมาตั้งแต่สมัยโมเสสลงมาจนยุคของพระเยซูอย่างสิ้นเชิง และในข้อนี้ได้บอกชัดว่า เมื่อระบบเดิมสิ้นไป มันจะหายไปเลย ไม่มีต่อไปอีก นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยิวที่เคยชินกับการทำพิธีต่าง ๆ ในพระวิหาร สิ่งที่เขารักษาไว้จะหายไปอย่างนั้นหรือ? พวกเขาต้องยอมรับให้ได้

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 3:1
2* ฮีบรู 9:8, 12; 9:11, 24
3* ฮีบรู 5:1; 8:4; เอเฟซัส 5:2

5* ฮีบรู 9:23-24; โคโลสี
2:17; อพยพ 25:40
6* 2 โครินธ์ 3:6-8; ฮีบรู 7:22
7* อพยพ 3:8; 19:5
8* เยเรมีย์ 31:31-34

10* เยเรมีย์ 31:33; เศคาริยาห์ 8:8
11* อิสยาห์ 54:13; เยเรมีย์ 31:34
12* โรม 11:27
13* 2 โครินธ์ 5:17

มาระโก 14 ก้าวสู่แดนประหาร

แผนสังหารพระเยซู
(มัทธิว 26:1–5; ลูกา 22:1–2; ยอห์น 11:45–57)
1 อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไร้เชื้อและเหล่าหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์กำลังหาวิธีที่จะลอบจับกุม และสังหารพระเยซูอย่างลับ ๆ
2 “แต่อย่าลงมือในช่วงเทศกาล”พวกเขากล่าว “ไม่อย่างนั้น ผู้คนอาจจะก่อความไม่สงบขึ้นมาได้”

ระวัง
ประชาชน
ก่อจลาจล!

การชโลมที่เบธานี
(มัทธิว 26:6–13; ลูกา 7:36–50; ยอห์น 12:1–8)
3 ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้านเบธานี ประทับนั่งเอนพระกาย ที่โต๊ะอาหารบ้านของซีโมนชายโรคเรื้อน มีหญิงผู้หนึ่งนำกระปุกใส่น้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงมากมา น้ำมันหอมนั้นทำจากไม้หอมบริสุทธิ์ เธอทุบกระปุก และเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรของพระเยซู!
4 บางคนที่อยู่ด้วยได้แสดงความเห็นต่อกันอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดจึงทำให้น้ำมันหอมนี้เสียเปล่าเล่า?
5 ถ้าเอาไปขายก็ได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอัน (ค่าจ้างคนงานทั้งปี) และเอาเงินไปแจกให้คนยากจนได้” และพวกเขายังตำหนิเธอด้วย
6 แต่พระเยซูตรัสว่า “ปล่อยเธอไป เหตุใดพวกเจ้าต้องกวนใจเธอด้วย? เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา
7 คนยากคนจะอยู่กับเจ้าเสมอ และเจ้าก็ช่วยพวกเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป
8 เธอได้ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อเจิมร่างของเราล่วงหน้า ก่อนที่จะมีพิธีศพ



9 และเราขอบอกความจริงแก่เจ้าว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะถูกประกาศในที่แห่งใดในโลก สิ่งที่เธอทำนี้จะถูกกล่าวถึงเป็นการระลึกถึงเธอ

ยูดาสตกลงใจที่จะทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:14–16; ลูกา 22:3–6)
10 แล้วยูดาส อิสคาริโอท ซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคน ได้ไปหาเหล่าหัวหน้าปุโรหิต เพื่อจะมอบพระองค์ให้พวกเขา 11 ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาต่างดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่เขา ยูดาสจึงเฝ้ารอโอกาสที่จะทรยศพระเยซู

เตรียมปัสกา
(มัทธิว 26:17–19; ลูกา 22:7–13)
12วันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อมีการฆ่าเพื่อถวายลูกแกะปัสกา
พวกศิษย์ของพระเยซูทูลถามว่า “พระองค์ท่านต้องการให้พวกเราเตรียมปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหนขอรับ?”
13 ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งศิษย์สองคนไป ตรัสว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งแบกเหยือกน้ำมาพบเจ้า จงตามเขาไป
14 ไม่ว่าเขาจะเข้าไปบ้านไหน ก็จะกล่าวกับเจ้าของบ้านว่า ‘ท่านอาจารย์ถามว่า ห้องรับแขกของเราอยู่ที่ไหน? และเราจะรับประทานปัสกากับศิษย์ของเราได้ที่ไหน?’
15 และเขาก็จะชี้ให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่ง เตรียมไว้พร้อมแล้ว จงเตรียมปัสกาไว้ให้เราที่นั่น”

16ดังนั้นศิษย์ทั้งสองก็เข้าไปในเมือง และที่นั่นพวกเขาก็พบทุกสิ่งตามที่พระเยซูทรงบอกไว้ และพวกเขาก็เตรียมปัสกา

อาหารมื้อสุดท้าย
(มัทธิว 26:20–30; ลูกา 22:14–23; 1 โครินธ์ 11:17–34)
17 เมื่อถึงเวลาค่ำ พระเยซูทรงมาถึงพร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสอง
18 และขณะที่พวกเขาเอนกาย และรับประทานอยู่นั้น พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีคนหนึ่งในพวกเจ้าที่กำลังรับประทานด้วยกันกับเราจะทรยศเรา”
19พวกเขารู้สึกเสียใจ และถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือไม่?”

20 พระองค์ทรงตอบว่า “เขาคือคนหนึ่งในสิบสองคน คนที่กำลังจิ้มขนมปังในชามนี้ร่วมกับเรา
21บุตรมนุษย์จะต้องไป ตามที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมายังคนที่ทรยศท่าน จะว่าไปแล้วหากเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า”

พิธีมหาสนิท
22 ขณะที่เขากำลังรับประทานกันอยู่ พระเยซูทรงหยิบขนมปัง และขอพระพร ทรงหักขนมปังเป็นชิ้น ยื่นให้กับศิษย์ ตรัสว่า “จงรับไปเถิด นี่คือกายของเรา”


23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วประทานให้เขา ทุกคนก็ดื่มจากถ้วยนั้น
24 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนจำนวนมาก
25 เราบอกความจริงว่า เราจะไม่ดื่มจากน้ำจากผลองุ่นนี้อีกจนกว่าถึงวันที่เราจะดื่มใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของพระเจ้า”

26และหลังจากที่ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ

พระเยซูทรงบอกเรื่องที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ล่วงหน้า
(เศคาริยาห์ 13:7–9; มัทธิว 26:31–35; ลูกา 22:31–38; ยอห์น 13:36–38)

27 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะทิ้งเราไป เพราะมีคำเขียนว่า ‘เราจะฟาดผู้เลี้ยงแกะ แล้วแกะทั้งหลายจะกระจัดกระจายไป’
28 แต่หลังจากที่เราคืนชีพขึ้นมา เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าพวกเจ้า”

29 เปโตรกล่าวออกมาว่า “แม้คนอื่นจะทิ้งพระองค์ไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น”
30​“เราบอกเจ้าจริง ๆ” พระเยซูตรัสตอบ “คืนนี้ ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”
31แต่เปโตรยังยืนยันหนักแน่นว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธพระองค์แน่นอน”
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็พูดอย่างเดียวกัน

พระเยซูทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
(มัทธิว 26:36–46;ลูกา 22:39–46)
32 แล้วพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และพระเยซูตรัสกับศิษย์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ตอนที่เราไปอธิษฐาน”
33พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์ และทรงปวดร้าวพระทัยลึกนัก และทรงหนักพระทัยเป็นอย่างมาก
34 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราเป็นทุกข์หนักแทบจะตายอยู่แล้ว จงอยู่ที่นี่ และเฝ้าระวังไว้”
35 พระองค์ทรงเดินไปอีกหน่อย ทรงซบพระพักตร์ลงและอธิษฐานว่า หากเป็นไปได้ ขอให้ชั่วโมงนั้นพ้นผ่านไปจากพระองค์
36 “โอ อับบา พระบิดาเจ้า” พระองค์ทูล “ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ออกไปจากข้าพระองค์ด้วย แต่อย่าให้เป็นตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
37 แล้วพระเยซูทรงกลับมา พบศิษย์หลับอยู่ “ซีโมนเอ๋ย เจ้าหลับอยู่หรือ?”พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่อาจเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเลยหรือ?
38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าไปในการทดลอง เพราะวิญญาณพร้อมก็จริง แต่ร่างกายอ่อนกำลัง

39 พระองค์ทรงออกไปอีกครั้งและอธิษฐาน ตรัสอย่างเดียวกัน
40 ทรงกลับมาอีก และพบพวกเขาหลับอยู่ เพราะง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้จะตอบพระองค์อย่างไร
41 เมื่อพระเยซูทรงกลับมาครั้งที่สาม พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้ายังจะนอนหลับพักผ่อนอยู่อีกหรือ? พอเถอะ ! เวลามาถึงแล้ว ดูสิ บุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกในเงื้อมมือคนบาป
42 ลุกขึ้นเถิด ไปกัน ดูสิ คนทรยศมาใกล้เต็มที!”

การทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:47–56; ลูกา 22:47–53; ยอห์น 18:1–14)
43 ขณะที่พระเยซูยังคงตรัสไม่ขาดคำ ยูดาสซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคนก็มาถึง โดยมีฝูงชนถือดาบและกระบองมาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และ ผู้อาวุโสเป็นคนส่งพวกเขามา
44 และตอนนี้เองที่คนทรยศได้ส่งสัญญาณที่เตรียมไว้กับพวกเขา “คนที่ข้าไปจูบก็คือชายคนนั้น พวกเจ้าจับกุมและคุมตัวเขาไปได้เลย”
45 ยูดาสตรงเข้าไปหาพระเยซู กล่าวว่า “รับบี!” และจูบพระองค์
46 แล้วคนเหล่านั้นก็ยึดและจับกุมพระองค์ไว้
47 มีคนที่ยืนดูอยู่คนหนึ่ง ชักดาบออกมาและฟันหูของคนรับใช้ปุโรหิตใหญ่คนหนึ่งออก
48 พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าออกมาจับเราพร้อมดาบและกระบองราวเหมือนกับจับโจรอย่างนั้นหรือ?
49 ทุกวันเราอยู่กับพวกเจ้า สอนในบริเวณพระวิหาร และเจ้าไม่จับกุมเรา แต่ที่เกิดเหตุเช่นนี้ก็เพื่อเป็นจริงตามพระคัมภีร์”

50 จากนั้นทุกคนก็หนีไป ทิ้งพระองค์ไว้

51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยติดตามพระเยซู เขาใช้ผ้าลินินคลุมตัวไว้ แล้วพวกเขาก็ดึงตัวชายคนนั้นไว้
52 แต่เขาสลัดผ้าทิ้ง วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย

พระเยซูต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
(มัทธิว 26:57–68; ลูกา 22:66–71; ยอห์น 18:19–24)
53 พวกเขานำพระเยซูไปพบมหาปุโรหิตใหญ่ และหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย รวมทั้งผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ที่เข้ามาชุมนุมกัน
54 ส่วนเปโตรตามพระเยซูมาห่าง ๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาไปนั่งผิงไฟกับพวกเจ้าหน้าที่
55 ตอนนี้ทั้งหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดริน พยายามรวบรวมหลักฐานปรักปรำพระเยซูเพื่อให้ต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้
56 หลายคนขึ้นเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขากลับไม่สอดคล้องกันเลย
57 แล้วมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์

58 “เราได้ยินเขากล่าวว่า ‘เราจะทำลายวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น และภายในสามวันเราจะสร้างวิหารขึ้นใหม่ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือ’ ”
59 ถึงอย่างนั้น คำพยานของเขาก็ยังไม่สอดคล้องกัน
60 ดังนั้น ปุโรหิตใหญ่จึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขา ถามพระเยซูว่า “ท่านไม่มีคำตอบอะไรเลยรึ? จะว่าอย่างไรกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้?”
61แต่พระเยซูยังคงนิ่งและไม่ทรงตอบอะไร ปุโรหิตใหญ่ถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญอย่างนั้นหรือ?”
62 “เราคือผู้นั้น” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้เห็นบุตรมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆแห่งสวรรค์”
63 เป็นเช่นนี้ มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและประกาศว่า “เราจะต้องไปหาพยานที่ไหนอีก?
64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้วไง ท่านตัดสินอย่างไรเล่า? พวกเขาจึงรวมหัวกันตัดสินว่า พระองค์สมควรรับโทษประหาร
65 แล้วบางคนก็เริ่มต้นถ่มน้ำลายใส่พระองค์ พวกเขาเอาผ้ามาผูกปิดพระเนตร และต่อยพระองค์ ถามว่า
“ทำนายมาสิ!” พวเจ้าหน้าที่มานำตัวพระองค์ไปพร้อมกับตบพระพักตร์

เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มัทธิว 26:69–75; ลูกา 22:54–62; ยอห์น 18:15–18)
66 ขณะที่เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้นเอง มีสาวใช้ของมหาปุโรหิตคนหนึ่งเดินผ่านมา
67 เห็นเขากำลังผิงไฟอยู่ เธอมองตรงไปที่เปโตร และกล่าวว่า “เจ้าก็อยู่กับท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธด้วย”
68 แต่เขาปฏิเสธ “ข้าไม่รู้จักท่านสักหน่อย เจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” แล้วเขาก็ออกไปยังทางเข้าออก และตอนนั้นเองไก่ก็ขัน
69 ที่นั่น สาวใช้คนนั้นเห็นเขา จึงพูดกับคนที่ยืนแถวนั้นอีกว่า “ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเขา”
70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก สักครู่ต่อมา คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดกับเขาว่า “แน่เลย เจ้าเป็นหนึ่งในพวกเขา เพราะสำเนียงเจ้าบอกว่า เจ้าเป็นชาวกาลิลี”
71 แต่เขาเริ่มต้นสบถ และสาบานขึ้นมา “ข้าไม่รู้จักชายคนที่เจ้าพูดถึงสักหน่อย”

72 ทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง
แล้วเปโตรก็นึกถึงคำที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ก่อนที่ไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรคิดขึ้นได้นั้น เขาก็ร้องไห้ออกมา

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 14:1-2
การฉลองปัสกาอยู่ในวันที่สิบสี่ของเดือนนิสาน(เทียบได้กับมีนาคม-เมษายน) ส่วนเทศกาลขนมปังไร้เชื้อจะทำในวันที่สิบห้าต่อไปจนถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนเดียวกัน พวกผู้นำต้องการจับกุมและสังหารพระเยซูอย่างจริงจังและต้องการทำแบบลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ด้วย แต่อุปสรรคคือ ในช่วงเทศกาลจะมีชาวยิวเข้ามารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มมากมายถ้าคนรู้เข้าก็จะเกิดเรื่องแน่นอน

มาระโก 14:3-9
เราไม่ทราบว่า ซีโมนคนนี้เป็นคนเดียวกับที่พระเยซูทรงรักษาในบทที่ 1:40-42 หรือไม่ดูเหมือนน่าจะเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องออกไปอยู่เองนอกเมืองตามกฎบัญญัติแล้ว แต่มีบ้านที่สามารถรับแขกได้ด้วย พระเยซูได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านชายคนนี้
แล้วมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งเอาน้ำมันหอมราคาแพงมาเทบนพระเศียรของพระองค์ … (เรื่องนี้แตกต่างจากอีกเรื่องที่มีผู้หญิงชโลมพระบาท) คนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันหอมนั้น แต่พระเยซูทรงห้ามพวกเขาไว้ และยังตรัสด้วยว่า ไม่ว่าเรื่องของพระเจ้าประกาศที่ใด ผู้คนก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย และก็เป็นจริงดังนั้น เพราะมาระโก มัทธิว ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ส่วนยอห์น 12 ได้บอกถึงมารีย์ที่ชโลมพระบาท
พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว และทรงแจ้งให้ศิษย์ทราบด้วยว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร แต่ดูเหมือนพวกศิษย์จะไม่ได้สนใจมาก พวกเขารู้สึกเหมือนว่า พระเยซูจะทรงอยู่กับพวกเขาไปตลอด. น้ำมันหอมดังกล่าวราคาแพงขนาดค่าจ้างแรงงานทั้งปี และพระเยซูก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องสิ่งนั้น แต่เป็นสิ่งที่เธออยากจะทำถวายพระเยซู … มีคำถามเดียวว่า พวกเราแต่ละคน มีอะไรบ้างที่จะทำถวายพระเยซูอย่างเธอคนนี้?

มาระโก 14:10-11
จากเรื่องเดียวกันนี้ มัทธิวได้บันทึกว่า ยูดาสตกลงราคาที่สามสิบเหรียญ
จากวันนี้ได้ ยูดาสก็คอยโอกาสที่จะได้เงินนั้นมาเป็นของคนทั้ง ๆ ที่หมายถึงเขาต้องทรยศพระเจ้าและพระอาจารย์ของเขา
นี่คือสิ่งที่ยูดาสแตกต่างจากผู้หญิงคนที่มาเทน้ำมันเจิมพระเยซูมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นศิษย์วงในของพระองค์

มาระโก 14:12-16
ลูกแกะจะถูกฆ่าในวันที่สิบสี่ตอนเย็น วันต่อมาคือวันที่สิบห้าของเดือนนิสาน ก็เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อต่อจากเทศกาลปัสกา นี่นับเป็นวันพฤหัส ซึ่งพระเยซูทรงเตรียมที่สำหรับการรับประทานอาหารปัสการ่วมกัน พระองค์ทรงส่งเปโตร และยอห์นไปพบชายคนหนึ่งที่แบกเหยือกน้ำมา และคนนี้จะบอกว่า สถานที่รับประทานอาหารปัสกาอยู่ที่ไหน ซึ่งมีการจัดอยู่ที่ห้องชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว และพระเยซูทรงให้ศิษย์ทั้งสองเตรียมอาหารให้ที่นั่น สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่เดียวกับห้องชั้นบนที่ผู้เชื่อรอคอยพระวิญญาณในกิจการ 1:13

มาระโก 14:17-21
สดุดี 41:9 บันทึกว่า “แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ  คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้” และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นกับพระเยซูจริง ๆ
นั่นคือยูดาสที่จิ้มขนมปังชามเดียวกับพระเยซู แต่ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่เข้าใจแม้พวกเขาจะถามพระองค์ และได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มัทธิว
มาระโกและยอห์นได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ มีรายละเอียดต่างกันบ้างนิดหน่อย ตามแต่ว่าแต่ละคนเห็นอะไรชัดกว่ากัน มัทธิว ยอห์นบอกชัดว่า คน ๆ ที่จะทรยศพระเยซูก็คือยูดาห์นั่นเอง
พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่า ยูดาห์จะเลือกทรยศพระองค์ เพราะเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังทรงเลือกเขาให้เป็นศิษย์ใกล้ชิด … แปลกจริง
หลังจากตอนนี้ ยูดาห์ออกไปจากห้อง เขาไม่ได้มีส่วนในพิธีมหาสนิท

มาระโก 14:22-26
ในการรับประทานอาหารปัสกาแบบนี้ ทุกอย่างที่ทำ ที่กินเข้าไปมีความหมายทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการระลึกถึงการเป็นทาสในอียิปต์ ความทุกข์ทรมาน และการได้เป็นอิสระออกมาพวกเขาจะกินขนมปังไร้เชื้อ เพื่อระลึกถึงการหนีจากอียิปต์ ขนมปังจะเป็นแผ่นที่ต้องหักกิน พวกเขาไม่มีเวลารอให้ขนมปังฟูขึ้นด้วยเชื้อ
พระเยซูทรงเปรียบเทียบขนมปังนี้ว่าเป็นพระกายของพระองค์ ที่กินแล้วจะไม่ตาย คือเรายอมให้พระองค์มาเป็นส่วนในชีวิตของเรา
ส่วนเหล้าองุ่นนั้น พระองค์ทรงอ้างถึงพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ในวันที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์บนไม้กางเขน การที่ดื่มเข้าไปนั้นบ่งบอกถึงว่า ฤทธิ์เดชการชำระบาปได้เข้าไปในชีวิต จะเปลี่ยนแปลงชีวิตจากข้างในมายังข้างนอก
การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากการทำพิธีมหาสนิทแบบนี้ มักจะร้องจากหนังสือสดุดี 116-118 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะถูกจับในคืนเดียวกันนั้นเอง

มาระโก 14:27-31
ระหว่างทางนั้นเอง พระเยซูทรงบอกเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งล่วงหน้าแก่เปโตรและศิษย์คนอื่น นั่นคือ พวกเขาจะทิ้งพระองค์ไปแน่นอน เมื่อพระองค์ถูกจับกุม แต่เปโตรและทุกคนยืนกรานว่า จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ และตรัสด้วยว่า พระองค์จะไปรอพวกเขาที่กาลิลี ซึ่งเมื่อพวกเขาเจอทูตสวรรค์ในเช้าวันที่คืนพระชนม์ ทูตก็ได้ย้ำคำนี้ด้วย (16:7)
เปโตรมั่นใจมากเป็นคนแรกว่า เขาจะไม่ทิ้งพระองค์ แต่สิ่งที่ทรงตอบเขากลับมานั้น น่าจะทำให้เปโตรเสียหน้าพอควรเลยทีเดียว
มีมาระโกเท่านั้นที่บันทึกว่า เปโตรจะปฏิเสธพระเยซูสามครั้งก่อนไก่ขันสองครั้ง เชื่อว่า เมื่อเปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มาระโกฟัง เขายังรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่

มาระโก 14:32-42
ในเวลาเช่นนี้ พระเยซูทรงต้องการเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่จะทรงเผชิญต่อไปคือ ความตายที่น่าอับอายดั่งนักโทษประหาร ความน่ากลัวของการรับโทษบาปของคนทั้งโลก การทำตามพระทัยพระบิดาโดยที่เวลาหนึ่งพระองค์จะทรงถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเวลาไม่นานในสายตาของพวกเรา แต่พระองค์ไม่เคยห่างจากพระบิดาเลย…เป็นเวลาที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับพระเยซูพระบุตรเลย
ทรงเป็นทุกข์เจียนตาย ศิษย์ของพระองค์ไม่อาจเข้าใจถึงความเจ็บปวดในพระทัยได้ คนอื่น ๆ ทรงให้นั่งอยู่ แต่ทรงนำเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แม้กระนั้น ทั้งสามก็ไม่ได้เข้าไปอธิษฐานพร้อมกับพระองค์ พวกเขาเห็นการคร่ำครวญของพระองค์ ได้ยินคำอธิษฐานนั้นบางส่วน แต่แล้วก็หลับไป เป็นอย่างนี้ถึงสามรอบ พวกเขาง่วง เหนื่อยจนไม่อาจนั่งอธิษฐานกับพระเยซูได้
พระเยซูทรงเป็นทุกข์มากจนถึงกับขอว่า หากเป็นได้ .. ก็ขอให้ไม้กางเขนนั้นผ่านไป แต่..พระบิดาได้ไม่ได้ทรงประสงค์เช่นนั้น เพราะเป็นถ้วยแห่งพระพิโรธที่พระบุตรผู้เดียวเท่านั้นที่ดื่มได้! (ยอห์น 18:11)
ในคำอธิษฐานของพระเยซู คำว่า ถ้วยนี้คือ ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของมนุษย์ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นบาปของพระองค์ที่ต้องมารับเลย (อิสยาห์ 57:17; สดุดี 75:8) แต่พระองค์ทรงรับแทนมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก แม้ว่าพวกเขาจะกบฏต่อพระองค์มากแค่ไหนก็ตาม
และพระองค์ก็ตรัสให้เขาและเรารู้ว่า การเฝ้าระวังและอธิษฐานสำคัญมาเพื่อจะไม่เข้าในการทดลอง เป็นงานสำคัญที่ต้องตั้งใจสู้ ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว

มาระโก 14:43-52
ที่ยูดาสออกไปจากการกินอาหารร่วมกันนั้น ก็เพื่อไปรวบรวมทหารและผู้คนมาจับกุมพระเยซูนั่นเอง ยอห์นกล่าวว่าเป็นกองทหารกับเจ้าหน้าที่จากปุโรหิต ถ้าเป็นทหารหนึ่งกองจะมีประมาณ 600 คน พวกเขาตั้งใจมาจับกุมเพื่อนำพระองค์ไปประหารให้ได้ พวกเขามีทั้งดาบและกระบองมาครบครัน และยูดาสก็เข้ามาพบพระองค์ จูบพระองค์เป็นเครื่องหมายให้คนเหล่านั้นรู้ว่า คนนี้แหละ พระเยซู!
ในเหตุการณ์นี้ มีทาสคนหนึ่งถูกฟันหูขาด มาระโกไม่บอกว่าใคร แต่ยอห์นบันทึกว่าเป็นเปโตรที่ทำเช่นนั้น (ยอห์น 18:10)
จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ได้หลบ ไม่หนี ไม่ต่อต้าน แต่เพียงกล่าวให้พวกเขารู้ว่า ที่พวกเขาพากันมาจับพระองค์ในลักษณะนี้เพราะเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ถึงพระองค์ (อิสยาห์ 53:7-9)
ดูสถานการณ์แล้ว พระเยซูทรงยอมให้พวกเขาจับพระองค์แน่นอน ศิษย์ของพระองค์ทุกคนก็เลยพากันหนีไปหมด เกรงว่าตัวเองจะโดนจับตามไปด้วย
เป็นเพราะมาระโกเท่านั้นที่เล่าเรื่องนี้ หลาย ๆ คนจึงให้ความเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นมาระโกนั่นเอง

มาระโก 14:53-65
การสอบสวนพระเยซูนั้น แบ่งเป็นสองขั้นตอนคือ กับสภาสูงของยิวก่อนแล้วจึงส่งพระองค์ไปสอบสวนโดยผู้มีอำนาจจากโรม
หลังจากที่ยูดาห์พาทหารไปจับกุมพระเยซู ก็พามายังผู้นำศาสนายิวที่บ้านของมหาปุโรหิต
ถ้าเรานำเรื่องราวจากมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มาเรียบเรียงให้ถูกตามเวลา เราจะเห็นถึงขบวนการทั้งหมด ตอนนี้เราดูว่า มาระโกรายงานว่าอย่างไร …
1 หัวหน้าปุโรหิตและสภาสูงพยายามหาหลักฐานมาเพื่อให้พระเยซูถูกตัดสินประหาร แต่หาไม่ได้
2 เอาคนมาเป็นพยานเท็จ แต่คำพยานของคนเหล่านั้นขัดแย้งไปคนละทิศละทาง
3 ในที่สุดจึงถามพระเยซูเอง .. พระองค์ไม่ตอบ
4 เมื่อพวกเขาถามว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิม พระองค์ทรงตอบว่าทรงเป็นผู้นั้น …​จุดนี้เองที่ทำให้พวกเขาเอามาเป็นข้อฟ้องร้องพระองค์เท่ากับตอนนี้ ผู้นำศาสนายิวได้บทสรุปว่า พระเยซูสมควรถูกประหารจากนั้นก็มีการเยาะเย้ยถากถางพระองค์ มีคนถ่มน้ำลายรดพระเยซู เอาผ้าปิดพระเนตร และให้ทายว่าใครทำร้าย
ถ้าเป็นสำนักงานข่าว เราจะพบว่า มาระโกรายงานเพียงเท่านี้

มาระโก 14:66-72
แล้วมาระโกก็หันไปรายงานเรื่องของเปโตรที่ได้ปฏิเสธพระเยซู
เราจะเห็นว่า เขาเดินตามพระเยซูไปห่าง ๆ ยังมีความกลัวว่าพวกทหารอาจจะจับเขาไปด้วย และในความกลัวนี้เอง เมื่อมีคนทักสามครั้งทำให้เขา
ปฎิเสธพระองค์ทันที
ครั้งที่ 1 พูดว่า ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องที่เขาพูดออกมา
ครั้งที่ 2 ปฎิเสธอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 คนจับได้ว่าสำเนียงทางเหนือ เริ่มสบถ
บอกว่าไม่รู้จักอีก
เมื่อไก่ขันครั้งที่สอง เปโตรก็นึกได้ว่า พระเยซูได้ตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะปฏิเสธพระองค์ เขาเสียใจมาก …
เปโตรได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง พระเยซูทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์ถึงสามครั้งหลังจากที่ทรงฟื้นจากความตาย (ยอห์น 21 )
แต่น่าเสียดาย ยูดาส อิสการิโอท ไม่ได้กลับใจ แต่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ทำให้หมดโอกาสที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอีกครั้ง (กิจการ 1:18)




พระคำเชื่อมโยง

Cross Reference มาระโก 14
1* ลูกา 22:1-2; อพยพ 12:1-27
3* ลูกา 7:37
5* มัทธิว 18:28; ; ยอห์น 6:61
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11; ยอห์น 7:77; 8:21; 14:2, 12; 16:10, 17, 28
8* ยอห์น 19:40-42
9* ลูกา 24:47
10* มัทธิว 10:2-4
12* มัทธิว 26:17-19
17* มัทธิว 26:20-24
18* สดุดี 41:9; ยอห์น 6:70, 71; 13:18
21* ลูกา 22:22
22* 1โครินธ์ 11:23-25; 1 เปโตร 2:24
26* มัทธิว 26:30
27* มัทธิว 26:31-35; เศคาริยาห์ 13:7

28* มาระโก 16:729* ยอห์น 13:37-38
30* มาระโก 14:72; ลูกา 22:6132* ลูกา 22:40-46
33* มาระโก 5:37; 9:2; 13:3
34* ยอห์น 12:27
36* กาลาเทีย 4:6; ฮีบรู 5:7; อิสยาห์ 50:5; ยอห์น 5:30; 6:38
38* ลูกา 21:36; โรม 7:18; 21-24
41* ยอห์น 13:1; 17:142* ยอห์น 13:21; 18:1-2; มัทธิว 20:18; 26:2143* ลูกา 22:47-53
44* สุภาษิต 27:648* มัทธิว 26:55
49* มัทธิว 21:23; อิสยาห์ 53:7
50* สดุดี 88:8
53* มัทธิว 26:57-68; มาระโก 15:1; ยอห์น 7:32; 18:3; 19:6
54* ยอห์น 18:15

55* มัทธิว 26:59
56* อพยพ 20:1657* สดุดี 27:12; 35:11
58* ยอห์น 2:19
60* มัทธิว 26:62
61* อิสยาห์ 53:7; ลูกา 22:67-7162* ลูกา 22:69
64* ยอห์น 10:33, 36; มัทธิว 20:18; มาระโก 10:33;ยอห์น 19:7
65* อิสยาห์ 50:6; 52:1466* ยอห์น 18:16-18; 25-27
67* ยอห์น 1:45
69* มัทธิว 26:71
70* ลูกา 22:59
71* กิจการ 2:7
72* มัทธิว 26:75