2 เปโตร 3 พระสัญญาของพระเจ้าไม่เนิ่นช้า

เพื่อนที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าเขียนถึงท่าน ในจดหมายทั้งสองฉบับ ข้าต้องการให้เป็นคำกระตุ้นเตือนใจบริสุทธิ์ของท่านเพื่อว่าท่านจะได้จำคำที่ผู้เผยพระคำบริสุทธิ์กล่าวไว้ รวมทั้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานผ่านเหล่าอัครทูตของท่าน
2 เปโตร 3:1-2

2 เปโตร 1:13, 2 ทิโมธี 1:6, 2 เปโตร 1:21, ยูดา 1:17, ลูกา 1:10

สิ่งที่ท่านเปโตรอยากให้พี่น้องจำได้ก็คือ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้เผยพระคำในอดีตได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิม รวมทั้งอัครทูตเอง ก็ได้ส่งต่อคำสอนเรื่องนี้มาด้วย ท่านเปโตรเองก็ยังเป็นห่วงที่จะเตือนสติไม่ให้พี่น้องลืมพระคำของพระเจ้า

อย่างแรก ให้ระวังสิ่งนี้คือ ในยุคสุดท้าย
จะมีคนช่างเยาะเย้ยเข้ามา โดยใช้ชีวิตตามตัณหาชั่วของตน กล่าวว่า
“ไหนล่ะ คำสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมา? ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม มาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
2 เปโตร 3:3-4

2 เปโตร 2:10, ยูดา 1:18, ปฐมกาล 6:1-7, เยเรมีย์ 17:15, 5:12-13

เราไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่มาถากถางพระคำของพระเจ้า เพราะท่านเปโตรเตือนไว้แล้ว ยุคสุดท้ายในความหมายของพระคัมภีร์คือ ตั้งแต่วันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์จนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาอีกที พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย แต่คนพวกนี้ เป็นคนที่มีปัญหาทั้งทางศีลธรรม และทางความเชื่อ พวกเขาต้องการให้คนเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง และพระเจ้าเป็นฝ่ายผิด

พวกเขาจงใจที่จะลืมว่า นานมาแล้ว
ฟ้าสวรรค์เกิดขึ้น และแผ่นดินเกิดขึ้นจากน้ำและโผล่ขึ้นมาจากน้ำ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และแล้วโลกในสมัยนั้นก็ถูกทำลาย
เมื่อน้ำนี้ท่วมแผ่นดินจนมิด
2 เปโตร 3:5-6

ปฐมกาล 1:6-9, สดุดี 24:2,136:6, ปฐมกาล 7:11, 12, 21-23

ตอนนี้ท่านเปโตรกำลังกล่าวว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินถูกสร้างขึ้นมาโดยพระดำรัสของพระเจ้าโดยตรง และ คนที่ชอบท้าทายพระเจ้านั้น ลืมไปว่าในอดีต พระเจ้าทรงสร้างโลก และทรงทำลายได้ด้วยพระองค์เอง โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น การที่พวกเขาเยาะหยันว่า สิ่งต่าง ๆ ก็ยังเหมือนเดิมนั้น พวกเขาไม่สำนึกว่า ตนเองไม่
สามารถในเรื่องใด นอกจากใช้ปากถากถางไปวัน ๆ

แต่ด้วยพระดำรัสเดียวกัน ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่มีในปัจจุบันก็ถูกเก็บไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้จนถึงวันพิพากษา
และวันหายนะของคนอธรรม
2 เปโตร 3:7

2 เปโตร 3:10,12, 2 เธสะโลนิกา 1:8, วิวรณ์ 21:1, 2 เปโตร 2:9

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือเป็นการทำลายพระเจ้าทรงใช้พระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ครั้งหน้าที่โลกจะเจอมหันตภัยใหญ่กว่าน้ำท่วมนั้น คือไฟที่เผาผลาญ วันพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่นอนแต่เราทั้งหลายคิดว่าคงไม่มี คงไม่เกิดแล้วจึงทำตัวตามสบาย ไม่คิดอะไรเลย ตอนนี้ถือว่า ท่านเปโตรได้เตือนแล้ว

แต่เพื่อนที่รักของข้า อย่าลืมความจริงที่ว่า
สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
หนึ่งวันก็เหมือนพันปี
และพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน
2 เปโตร 3:8

สดุดี 90:4, โรม 11:25,

สำหรับมนุษย์ หนึ่งวันเหมือนสั้นมาก หนึ่งเดือนก็ไม่ยาวนัก หนึ่งปี ก็ยังพอเข้าใจ พอหนึ่งร้อยปีก็เข้าใจยากขึ้น พันปีเรานึกไม่ออกเลยว่าหากชีวิตอยู่นานขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับพระเจ้า เวลาไม่ใช่กรอบของพระองค์ ท่านเปโตรบอกเราชัดเจนว่า เวลาขนาดไหนก็เหมือน ๆ กันสำหรับพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงอยู่นอกกรอบเวลาไม่เหมือนมนุษย์เลย

พระผู้เป็นพระเจ้ามิได้ทรงชักช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ตามอย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดทนต่อพวกท่าน ไม่ทรงประสงค์ให้ใครสักคนพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้กลับใจ
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:9

ฮาบากุก 2:3, อิสยาห์ 30:18, เอเสเคียล 33:11, โรม 2:4

ในขณะที่เรามองโลกในวันนี้ เราก็ท้อใจว่า ผู้คนต่าง มีความคิดห่างจากทางของพระเจ้ามากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่เกิดมา ก็ยิ่งห่างไป แต่พระเจ้าทรงมองต่างจากเรา พระองค์ทรงให้โอกาสที่มนุษย์จะได้กลับใจมากขึ้นพระองค์ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทรงส่งพระคำของพระองค์ไปยังที่ ๆ ใครเข้าไปไม่ถึงพระเจ้าทรงอดทนต่อเราเพราะไม่ประสงค์ให้ใครสักคน ถูกทิ้งลงในนรก! 

วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่วันของพระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยลอบเข้ามา ฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นหายไปด้วยเสียงดังกึกก้อง เทหวัตถุบนท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญและสูญสลายไป แผ่นดินโลกและงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบนโลกจะถูกเปิดเผย
2 เปโตร 3:10

วิวรณ์ 3:3, 21:1,16:15, มัทธิว 24:35, 1 เธสะโลนิกา 5:2

เวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการ เตรียมต้อนรับจากแผ่นดินโลกล่วงหน้าสองสามวัน การเตรียมตัวคือ การเตรียมพร้อมชีวิตเสมอ เพราะพระองค์มาอย่างทันทีทันควัน รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อพระองค์มานั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ เราอยู่อย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนด้วยไฟ ไม่ใช่ด้วยน้ำท่วมเหมือนสมัยโนอาห์ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะรับพระองค์ไหม?

ในเมื่อสรรพสิ่งจะถูกทำลายไปเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า ท่านควรเป็นคนอย่างไร
ให้ใช้ชีวิตบริสุทธิ์ในทางของพระเจ้ารอคอยและเร่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นวันที่ฟ้าสวรรค์จะถูกเผาและสูญสลายไป และเทหวัตถุในนั้นจะหลอมละลายไปกับความร้อนยิ่ง
2 เปโตร 3:11-12

1 เปโตร 1:15, ฟีลิปปี 1:27, มีคาห์ 1:4, อิสยาห์ 34:4, สดุดี 50:3

ท่านเปโตรกล่าวไว้ชัดเจนว่า ชีวิตควรจะบริสุทธิ์ อยู่ในทางของพระเจ้า ไม่ใช่ใช้เวลาหมดไปกับทุก ๆอย่างในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ได้หันมาหา ติดตามทางของพระเจ้า ความคิดของเราอาจจะอยู่ในหน้าที่การงานในการดำรงชีวิต แต่ก็ต้องให้ความสำคัญมีความปรารถนาวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า น่าแปลกที่โลกนี้จะถูกทำลาย แต่มนุษย์จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเยซูเจ้า!

แต่ตามพระสัญญาของพระองค์ เรารอคอยฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินใหม่ ที่ความเที่ยงธรรมดำรงอยู่
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:13

อิสยาห์ 65:17, 66:22, วิวรณ์  21:1

จากคำของท่านเปโตรในตอนนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า โลกเก่าคือโลกที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้จะต้องถูกทำลายไป และจะมีฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เต็มด้วยความดีของพระเจ้า เป็นภาพเดียวกับอิสยาห์ 65:17 เป็นภาพของโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่ที่ทรงสร้างโลกนี้มา
เราอยากเห็นวันนั้นไหม?

ขอให้ไร้ตำหนิ ไร้ด่างพร้อย

ดังนั้น ที่รักของข้า ในเมื่อท่านกำลังรอคอยสิ่งนี้ จงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พระองค์ทรงพบท่านไร้จุดด่างพร้อยไร้ที่ตำหนิ พร้อมใจสงบสุข
2 เปโตร 3:14

1 โครินธ์ 1:8, 15:58, 1 เธสะโลนิกา 3:12,13, 5:23

การที่ท่านเปโตรได้เตือนเราล่วงหน้าในเรื่องนี้ ก็เพื่อว่า เราจะใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าผู้พิพากษา จะทรงพอพระทัย ท่านได้เตือนให้เรามีความพยายามมาก ๆ ไม่ใช่อยู่อย่างเฉย เฉื่อย ชา ด้านตายกับพระคำ ของพระองค์ การที่จะมีชีวิตไร้ตำหนิ ไม่มีประเด็นที่เสียหายในชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องพยายามเพื่อ
พระเจ้าของเรา

จงระลึกว่า ความอดทนอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้านำมาซึ่งความรอด ตามที่เปาโลน้องชายที่รัก ได้เขียนถึงท่านตามสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้เขา
2 เปโตร 3:15

สดุดี 86:15, โรม 2:4, 1 เปโตร 3:20

ในขณะที่พระเจ้าทรงรออยู่นั้น พระองค์ทรงให้โอกาสทั้งคนไม่เชื่อ ได้มาพบพระองค์ ส่วนคนที่เชื่อแล้ว จะได้มีโอกาสพยายามใน การที่จะใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในทางของพระองค์ ในสดุดี 22:27 กล่าวว่าคนทั่วโลกจะคิดได้และหันกลับมาหาพระเจ้า ทุกครอบครัวจะพากัน มาหมอบกราบองค์พระเจ้า และท่านเปโตรได้กล่าวถึงเปาโลว่า ได้เขียนสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับท่านด้วยการดลใจจากพระเจ้าด้วย

ในจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียน ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ มีบางสิ่ง ในนั้นที่ยากจะเข้าใจ ซึ่งคนไม่ได้เรียนรู้กับคนที่ไม่มั่นคงก็นำเอาไปบิดเบือนเช่นเดียวกับที่เขาบิดเบือนพระคำข้ออื่น ๆ เป็นเหตุให้พวกเขาพบกับหายนะ
2 เปโตร 3:16

โรม 8:19, 1 โครินธ์ 15:24, 1 เธสะโลนิกา 4:15, 2 เธสะโลนิกา 1:10, 2 ทิโมธี 3:16

ท่านเปาโลเองได้เขียนเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดมาก ๆ ในหนังสือ 2 เธสะโลนิกา แต่คนที่อ่าน ก็ไม่เข้าใจ ก็นำไปบิดเบือนตามความคิดของตน ในประวัติศาสตร์ เราพบว่า มีคนมากมายได้แปลความเรื่องการเสด็จมาขององค์พระเยซูแตกต่างกันไป ทำให้แบ่งความคิด เป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีการอ่าน แล้วตีความ ไปตามแบบที่ตัวเองต้องการ

ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า
ในเมื่อท่านรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ก็จงระมัดระวังให้ดี เพื่อว่าท่านจะไม่หลงกลไปตามความผิดของคนอธรรม ทำให้ท่านสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่านไป
2 เปโตร 3:17

โคโลสี 2:8, มาระโก 13:23, เอเฟซัส 4:14, 1 โครินธ์ 10:12

ท่านเปโตรได้สรุปทุกสิ่งที่ท่านได้กล่าวมา และก็ยังย้ำเตือนว่า ให้ระวังตัวอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเรา ได้อ่านจดหมายของท่านมาจนจบ เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นการเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กระจัดกระจายกันให้ระวังเหล่าครูสอนเท็จที่เดินทางไปทั่ว ตามเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ ครูสอนเท็จยังคงโหมกระหน่ำทำงานของ พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในโลกปัจจุบันด้วย คำเตือนของท่านจึงไม่ตกยุคเลยอย่าลืมคำของท่าน … จำ รับรู้ มุ่งมั่น ระวังตัว

แต่จงเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ในพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสต์
ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งวันนี้ และวันแห่งนิรันดร์กาล อาเมน
2 เปโตร 3:18

โคโลสี 1:10, เอเฟซัส 4:15, โรม 11:36, 2 ทิโมธี

ท่านเปโตรยังคงเตือนสติให้ผู้อ่านยึดมั่นในพระคุณ
และขยันหาความรู้ในพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่อยู่เฉย แต่พยายามรู้จักพระองค์ให้มากขึ้นทุก ๆ วัน เราจะเติบโตได้ในพระเจ้า ต้องอยู่ในกรอบของพระคุณ และพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ๆ และท่านจบจดหมายด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์

2 เปโตร 2 คำเตือนเรื่องครูสอนผิด

ครูสอนผิดกับหายนะ

แต่ยังมีผู้เผยพระคำเท็จอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกับที่มีครูสอนผิดท่ามกลางพวกท่านด้วย พวกเขาแอบนำคำสอนผิดที่สร้างความหายนะเข้ามา โดยถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายที่ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาย่อยยับอย่างรวดเร็ว
2 เปโตร 2:1

มัทธิว 24:5,24, 1 ทิโมธี 4:1-2

เปโตรเตือนให้ระวังคนสอนเท็จที่ใช้ประโยชน์จากพี่น้อง 1 ทิโมธี 4:1 เตือนแล้วว่า คนสอนเท็จเหล่านี้จะระบาดหนักในยุคสุดท้าย ครูสอนผิดมีอยู่ทุกยุค ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ ศัตรูของพระเจ้าทำงานอย่างแข็งขันที่จะให้มีครูสอนผิดเหล่านี้ มาหลอกให้คนของพระเจ้าที่ไม่เอาใจใส่ติดตามพระดำรัสของพระองค์ให้ หลงไปจากความจริง คนพวกนี้แปลพระดำรัสของพระเจ้าตามใจตนเอง

มีคนมากมายจะติดตามหนทางหายนะของพวกเขา ทำให้เกิดการดูหมิ่นทางแห่งความจริงด้วยความโลภ พวกเขาจะหาประโยชน์จากท่านด้วยเรื่องที่กุขึ้นมา การกล่าวโทษพวกเขาก็มีมานานแล้ว และความพินาศของเขาไม่ได้หลับอยู่
2 เปโตร 2:2-3

โรม 2:24, ยูดา 1:10,15, 2 โครินธ์ 2:17, 1 เธสะโลนิกา 2:5 , 1 ทิโมธี 6:5

จากคำตอนนี้ของท่านเปาโล เราจะเห็นชัดว่า ในโลกโซเชียล มีการขายของที่หลอกลวงว่าจะทำให้ดูดี สวยงามถ้ากินอาหารที่เขาโฆษณา ในคริสตจักร ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย หากคริสเตียนไม่ระวังตัว ก็จะมีความเห็นที่คล้อยตามคนที่เข้ามาหลอกลวง เช่นว่า พระเจ้าจะทรงทำให้เรารวยขึ้น ถ้าเราถวายทรัพย์เยอะ ๆ ทางของความจริงก็กลาย เป็นหลบอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีใครอ่านพระคำต่อไป คอยแต่ฟังคนที่หลอกลวง

เพราะหากว่า พระเจ้ามิได้ทรงยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงนรก และล่ามโซ่ไว้ในความมืดมิดเพื่อรอวันพิพากษา
2 เปโตร 2:4

ยูดา 1:6, มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 20:10

จากพระคำข้อนี้ เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับทูตสวรรค์ที่ทำบาปต่อพระองค์​ พวกที่กบฎต่อพระเจ้าพร้อม ๆ กับซาตาน พวกเขาไม่ได้มีโอกาสลอยนวล ดูเหมือนว่าทูตที่ทำบาป จะไม่มีโอกาสรอดได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะพระเยซูได้ทรง ทรงมีทางที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นการพิพากษาผ่านไม้กางเขนของพระเยซู แต่ถ้าใครไม่รับพระเยซูคริสต์อีก ทางรอด ก็ไม่เหลืออีกเลย (ฮีบรู 2:16, วิวรณ์ 20:10)

และพระองค์ก็มิได้ยกเว้นโลกโบราณตอนที่ทรงให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม แต่ทรงปกป้องโนอาห์ ผู้เทศนาเรื่องความเที่ยงธรรมรวมทั้งอีกเจ็ดคน
2 เปโตร 2:5

2 เปโตร 3:6, 1 เปโตร 3:19-20,

นอกจากทูตสวรรค์ถูกจำจองแล้ว ในโลกโบราณ พระเจ้าก็ไม่ได้ยกเว้นคนอธรรมด้วย“พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) ดังนั้นพระองค์จึงทรงกวาดล้างผู้คนทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินหลายคนไม่ได้กลัวพระพิโรธของพระเจ้า เขาจึง จมอยู่ในความบาปต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีโอกาสกลับตัวก็ทิ้งโอกาสนั้นไป

พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับคนแต่ละประเภท?

แล้วพระองค์ทรงเผาเมืองโสโดม โกโมราห์ จนเป็นเถ้าถ่าน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอธรรม
2 เปโตร 2:6

ปฐมกาล 19:16, 28-29, ยูดา 1:7, ลูกา 17:28-30

โลท ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้เลือกเข้าไปอาศัยในเมืองที่ชั่วช้า และพระเจ้าทรงลงโทษทั้งสองเมืองนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์จะทรงลงโทษความชั่วร้ายอย่างไร ในปฐมกาล 18:20 เขียนว่า .. พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์นั้น ดังเหลือเกิน บาปของพวกเขาก็หนักมาก” พระเจ้าทรงลงโทษ ทั้งทูตสวรรค์ที่ทำผิด คนอธรรมในโลกสมัยโนอาห์ และเมืองสองเมืองในสมัยของโลท เราสักคนจึงไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้จากการพิพากษาโทษบาป

และทรงช่วยกู้โลทคนเที่ยงธรรมที่ต้องทุกข์หนักเพราะชีวิตโสโครกของคนชั่วช้า(เพราะในขณะที่เขาใช้ชีวิตเที่ยงธรรมทุกวัน ท่ามกลางคนพวกนั้น จิตใจของเขาจะทรมานนักจากการกระทำไร้คุณธรรมที่ได้เห็นและได้ยิน)
2 เปโตร 2:7-8

ปฐมกาล 19:16,29, 1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 119:158, 136, เอเสเคียล 9:4

พระเจ้าทรงช่วยโลทให้พ้นจากเมืองโสโดมทันเวลา อ่านการช่วยเหลือของพระเจ้าจากปฐมกาล 19:12-29 พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากเมืองชั่วร้ายก่อนที่เขาเองจะกลายเป็นคนชั่วเหมือนชาวเมืองเหล่านั้น เพราะถึงแม้เขาจะเป็น คนของพระเจ้า แต่การอยู่ในเมืองแบบนั้น มันสุดจะทน และชีวิตก็พร้อมที่จะตกในความชั่วด้วย ในที่สุดถึงแม้โลทจะรอดมาอย่างหวุดหวิด แต่เขาสูญเสียทุกสิ่ง บ้านเรือน ภรรยา ออกมาตัวเปล่าพร้อมกับลูกสาวอีกสองคน

ดังนั้น พระเจ้าทรงทราบว่า จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้พ้นจากการล่อล่วงอย่างไร และจะทรงกักขังคนอธรรมไว้เพื่อให้รับโทษในวันพิพากษา
2 เปโตร 2:9

1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 34:15-`19, วิวรณ์ 3:10

จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระเจ้าทรงลงโทษและทรงช่วย พระเจ้าทรงรู้ว่าจะช่วยให้เราพ้นจากการล่อลวงอย่างไร เมื่อเราเลือกให้พระองค์ทรงช่วย ทำได้โดยหันจากบาป สำนึกผิด และเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงพระคุณและเมตตา ให้เรารู้เสมอว่า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย

ลักษณะของคนที่บิดเบือนพระคำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำตัวเป็นมลทินไปตามกิเลสตัณหา
และยังเหยียดหยามผู้มีอำนาจปกครอง พวกเขากล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวที่จะพูดสบประมาทเหล่าผู้ทรงอำนาจ……
2 เปโตร 2:10

ยูดา 1:4,7,8, อพยพ 22:28

รู้อะไรไหม? ครูสอนที่อ่านพระคัมภีร์จริง ๆ จะไม่มีอาการประเภทดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เขาจะใช้ความ สุภาพ อ่อนโยนตามแบบของพระเยซูคริสต์ ในการสอน ในการเทศนา แต่เหล่าครูสอนผิด มักจะอวดตัวว่าเก่ง สามารถไล่วิญญาณชั่ว และหาเงินจากการกระทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสบประมาทใครอยู่ ท่านเปโตรกำลังเตือนคนเหล่านี้

ซึ่งแม้แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังและฤทธิ์เดชมากกว่า ก็ยังไม่ใส่ร้ายสบประมาทพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า
2 เปโตร 2:11

ยูดา 1:9, 2 เธสะโลนิกา 1:7

ครูสอนผิดเหล่านี้ ทั้งเย่อหยิ่ง ยโส เกลียดชังอำนาจปกครองทุกชนิด เพวกเขาจะพูดใส่ร้าย ทุก ๆ อย่างในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะพบว่า มีบางคนที่บอกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านสงคราม การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ มาให้เขาช่วยได้แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้มันเต็มดวยความเย่อหยิ่ง และอวดตัว ลองสังเกตกันดูด้วยตัวเอง จะเห็น ชัดเจนมาก ๆ ถึงแม้คริสเตียนมีสิทธิที่จะไล่ผีออกจากคนที่ถูกทรมานได้ แต่ในเรื่องการที่จะด่าว่า อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของมนุษย์

แต่คนเหล่านี้ เป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำตามสัญชาตญาณ มันเกิดมาเพื่อถูกจับและฆ่า พวกเขากล่าวคำดูหมิ่นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ในที่สุดพวกเขาจะต้องถูกพบกับหายนะเหมือนสัตว์เหล่านั้น
2 เปโตร 2:12

ยูดา 1:10, เยเรมีย์ 12:3, สดุดี 92:6

คนเหล่านี้ คือเหล่าครูสอนเท็จทั้งหลายแตกต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้า เพราะคิดและทำโดยใช้ความอยาก ไม่ได้ใช้เหตุผลแบบที่ควรเป็น เขากล้าที่จะดูหมิ่นสิ่งที่พระเจ้า ทรงตั้งไว้ ไม่ว่าจะในโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ ที่จริงแล้วในสังคมเราทุกวันนี้ เราเห็นคนที่กล้าท้าทายผู้มีอำนาจ โดยใช้วาจาสามหาวที่คิดว่า วาจา แบบนั้นจะช่วยให้เขามีชัย แปลกจริง ๆ เป็น อย่างนี้กันทั้งโลก

บาปของครูสอนผิด

และจะได้รับความทุกข์ยากสนองคืน เพราะการอธรรมของตน เพราะพวกเขาคิดว่า การมั่วสุมสุดเหวี่ยงในเวลากลางวันนั้น คือความบันเทิงเริงใจ พวกเขามีมลทิน ด่างพร้อย หาความสำราญกับการหลอกตัวเอง ในขณะที่กินเลี้ยงกับท่าน
2 เปโตร 2 :13

ฟีลิปปี 3:19, โรม 13:13, 1 โครินธ์ 11:20

การอธรรมของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างสาสม มันเป็นค่าจ้างของบาป. คนเหล่านี้ทำลายคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่มีน้อยคน แต่มีมากจนน่าเป็นห่วง พวกเขาจะบอกใคร ๆ ว่าตนรักพระเจ้า แต่การกระทำไม่ได้ไปกับคำพูด พวกเขาทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น

ดวงตาเต็มด้วยความกระหายทางกาม ไม่สามารถหยุดทำบาปชั่ว คอยดักจับคนที่ไม่มั่นคง ใจนั้นมีความชำนาญในความโลภ เป็นคนที่ถูกแช่งสาป
2 เปโตร 2:14

เอเฟซัส 2:3, 2 เปโตร 3:16, 2:3

พระคำข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า การมองของครูสอนผิดที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนั้น เป็นสายตามองสิ่งต่ำ สิ่งที่สกปรก ไม่อาจหยุดทำบาปเพราะตายังมองสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือเรื่องผลประโยชน์ ความละโมภในตัว ที่เขาดักจับคนไม่มั่นคง เพราะคนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นต่อไปได้ ดังนั้น ภาพของข้อนี้ ชัดเจนว่า เราต้องมั่นคง หนักแน่น เข้าใจพระคำของพระเจ้า เป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้

พวกเขาละทิ้งทางที่ถูกต้อง แล้วก็หลงไปตามทางของบาลาอัม ลูกชายเบโอร์ที่รักรายได้จากการทำชั่ว แต่เขาถูกตำหนิเพราะเขาทำผิด ลาที่พูดไม่ได้กลับพูดออกมาด้วยเสียงมนุษย์ เพื่อห้ามความวิกลจริตของเขา
2 เปโตร 2:15-16

กันดารวิถี 22:5-7, 21-33, ยูดา 1:11

บาลาอัม เป็นต้นแบบของคนที่รับจ้างทำลายคนดี ทำลายสิ่งดีของพระเจ้าที่มีอยู่ คนเหล่านี้มีอยู่มากมายในโลก มีในคริสตจักรด้วย (โยชูวา 13:22, กันดารวิถี 22-24) แต่พระเจ้าทรงใช้ลา ให้พูดเพื่อเตือนสติเขา! เรื่องนี้ต้องตามกลับไปอ่านแล้วจะเห็นว่า ถึงบาลาอัมจะดึงดันขนาดไหน แต่ถ้าพระเจ้าทรงจัดการ ทุกอย่างจะสำเร็จ ครูสอนผิดเองต้องรู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะชนะพระองค์ได้

พวกเขาเป็นบ่อไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป มีความดำมืดนิรันดร์ที่ถูกเตรียมไว้รอคอยพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาใช้การโอ้อวดที่โง่เขลา ใช้ความอยากทางเพศ ดักจับคนที่เพิ่งหนีมาจากพวกที่เดินทางผิด
2 เปโตร 2:17-18

เยเรมีย์ 14:3, ยูดา 1:12-16, 2 เปโตร 2:20, 1:4, วิวรณ์ 13:5-6

ท่านเปโตรกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นบ่อไร้น้ำ นั่นคือเป็นบ่อเปล่า ๆ ไม่มีน้ำที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้คน เป็นหมอกที่อยู่ให้เห็นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เราเห็นจากพวกเขาคือ การโอ้อวดในเรื่องที่ตอบสนองความอยาก ของคนที่ฟัเป็นการใช้กิเลสตัณหามาล่อลวง บอกว่าพระเจ้าจะให้สิ่งดี ๆ ให้ความมั่งคั่งให้อะไร ๆ ที่ทูลขอตามใจทุกอย่าง เจอคนสอนแบบนี้ จงหนีให้ไกล!

พวกเขาสัญญาให้อิสรภาพ แต่ตัวเองกลับเป็นทาสความเสื่อมทราม เพราะสิ่งใดมีชัยเหนือใคร เขาก็ย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น
2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:34, โรม 6:16-22, กาลาเทีย 5:13

พวกเขาสัญญาว่าทุกคนที่ตามเขาจะมีเสรีภาพซึ่งเป็นสถานะที่คนสมัยใหม่อยากได้ และเรียกร้อง คนที่สัญญาเช่นนี้ ตัวเองยังเป็นทาสของความอยากส่วนตนอยู่อย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการแฟนคลับ ต้องการคนติดตามมาก ๆ เพราะนั่นหมายถึง ประโยชน์ส่วนตน ครูสอนผิด นักเทศน์สอนผิด เหล่านี้ยังเป็นทาสความคดโกงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างของคนเหล่านี้คือ มักให้ร้ายคนอื่น และยกตัวเองว่าดีกว่าใคร

อันตรายของการกลับไปทางเดิม

ถ้าหลังจากที่เขาได้หนีจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ แล้วยังกลับไปเกี่ยวข้องและแพ้มันอีก สุดท้าย ชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเริ่มต้น
2 เปโตร 2:20

มัทธิว 12:45, ฮีบรู 10:26-27, 6:4-8, ฟีลิปปี 3:19

สภาพนี้ เป็นสภาพที่น่าเศร้าใจมาก ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าไปฟื้นฟูบำบัดอาการเสพติด แล้วในที่สุดก็กลับไปติดยาอีกครั้ง และไม่สามารถออกมาได้อีกเลย ท่านเปโตรบอกไว้ล่วงหน้าให้รู้ว่า ใครก็ตามที่ได้พบพระเจ้าแล้ว และตัดสินใจหันหลัง กลับไปอยู่ในชีวิตเดิมๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตนั้นจะจมดิ่งลงไปในความบาปโดยถอนตัวไม่ขึ้น

หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางแห่งความเที่ยงธรรม ก็จะดีกว่าที่รู้ทางแล้วยังกลับหันหลังให้บัญญัติบริสุทธิ์ที่เขาเคยยอมรับ
2 เปโตร 2:21

ลูกา 12:47, ยากอบ 4:17, เอเสเคียล 18:24

การที่เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรารู้ การหันกลับไปสู่มลทินของโลกนั้นน่าเสียดายมาก ๆ ไม่รู้เลยก็ดีกว่า ยุคนี้มีคน ไม่น้อยที่หันกลับจากทางของพระเจ้าไปในทางที่เขาเลือกเอง ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาแตะทางของพระเจ้าแล้ว ไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่เรียนรู้ ไม่สัมผัสพระเจ้าจริงดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองตามทางที่ตนพอใจ

สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสุภาษิตที่ว่า
“สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา” และ “สุกรที่อาบน้ำแล้วก็จะกลับไปจมปลักอีก”
2 เปโตร 2:22

สุภาษิต 26:11

คนที่มีสิ่งดี ครอบครัวดี งานดี โรงเรียนดี แล้วยังตกไปอยู่ในสภาพเลวร้ายเพราะการตัดสินใจผิดนั้นน่าเสียดายมาก หากใครคนหนึ่งมีชีวิตที่ตามใจตนเอง ไม่สนใจสิ่งดี ๆ แต่หลงไปตามความรู้สึกพอใจทั้งที่มันส่งผลเสียกับตนเองและครอบครัวก็เหมือนสุภาษิตนี้เลย

2 เปโตร 1 เริ่มต้นที่ความเชื่อ

หนุนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเรา

จากซีโมน เปโตร ทาสรับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงพี่น้องที่ได้รับความเชื่ออันมีค่าเช่นเดียวกับเราผ่านทางความชอบธรรมของพระเจ้าและ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2 เปโตร 1:1

โรม 1:1, 12, 3:21, กิจการ 15:14,

ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงตนเองว่าเป็นทั้งทาสผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนอย่างพี่น้อง และก็ยังอยู่ในฐานะอัครทูต คือผู้ที่พระเจ้า ทรงส่งออกไปประกาศพระนามด้วยความเชื่อที่มีอยู่นั้นทรงคุณค่าและเป็นความเชื่อที่เหมือนกัน มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้มาเพราะความชอบธรรมของพระเยซูเหมือนกัน

ขอพระคุณและสันติสุขมีอย่างทวีคูณ เหนือพวกท่าน ในการรู้จักพระเจ้า และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2 เปโตร 1:2

ยูดา 1:2, 1 เปโตร 1:2, ยอห์น 17:3

การรู้จักพระเจ้าจริง ๆ รู้มากขึ้นทุกวันมีความหมายว่าสนิทสนมขึ้น ติดตาม และทำตามพระองค์มากขึ้น ความเชื่อของเรานั้น มีพื้นฐานอยู่ที่การรู้จักความจริงของพระองค์ ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากเท่าไร พระคุณและสันติสุขในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ (ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม)

ฤทธิ์เดชจากเบื้องบนได้นำให้เรามีทุกสิ่ง ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และการติดตามพระเจ้าด้วยการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเรียกเรามายังพระสิริและความดีเลิศของพระองค์​
2 เปโตร 1:3

1 เปโตร 1:5, 1 เธสะโลนิกา 2:12, 2 เธสะโลนิกา 2:14, 1 เปโตร 5:10

คำกุญแจในหนังสือสองเปโตรนี้คือ “ความรู้ และการรู้จักพระเจ้า”  เป็นความรู้จักพระบิดาและพระเยซูอย่างลึกซึ้ง  และวิธีที่จะใกล้ชิดกับพระองค์ คือต้องสนิทสนมกับพระองค์ รู้จักพระลักษณะเฉพาะของพระองค์มากขึ้นทุก ๆ วัน  นี่เป็นชีวิตที่มีเกียรติมาก ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน ..พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำให้เราได้รับความรอด มนุษย์ไม่สามารถทำเองได้
คำว่า ความดีเลิศนี้ ภาษากรีกมีความหมายว่าเป็นคุณสมบัติ ลักษณะที่น่าปรารถนาทุกอย่างครบถ้วน (กรีก- อาเรเต คุณความดี ความล้ำเลิศ)

พื่อว่าโดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงประทานพระสัญญายิ่งใหญ่และล้ำค่าแก่เรา เพื่อว่าท่านจะได้เข้ามามีส่วนใน พระลักษณะของพระเจ้า จะพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกที่เกิดจากความทะยานอยากที่ชั่ว
2 เปโตร 1:4

2 โครินธ์ 1:20, 7:1, 3:18,

พระสัญญานี้มีรากฐานมาจากพระสิริและ ความดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าประทานสัญญาเพื่อให้เราได้เข้ามีส่วนในลักษณะของพระองค์ที่บริสุทธิ์ยิ่ง
การเข้ามีส่วน (กรีก:คอยโนนอย หมายถึงผู้เข้ามามีส่วนแบ่ง) เราไม่ได้เข้าไปมีส่วนในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่เรารับส่วนแบ่งพระลักษณะของพระองค์จนเราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้น ขยายความในกิจการ 2:14-41 : การเทพระวิญญาณให้คนของพระเจ้า

ชีวิตแบบที่มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

เพราะเหตุนี้เอง จึงขอให้ท่านทุ่มเทอย่างที่สุด จากความเชื่อที่มีอยู่ ให้เพิ่มความดีงาม จากความดีงามให้เพิ่มความรู้
2 เปโตร 1:5

2 เปโตร 3:18, 1 เปโตร 3:7, โคโลสี 2:3

การที่จะมีชีวิตเป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนใน พระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าได้แล้ว ก็จะอยู่เฉย ๆ หรือกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม พระเจ้าทรงให้เราทุ่มสุดกำลังของเราด้วย เพราะสิ่งที่เราได้มานั้น มีค่ายิ่งนัก จะทำเป็นเหมือนสิทธิที่ยังไง ๆก็เป็นของฉันไม่ได้ เริ่มต้นจากความเชื่อ ทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ จากนั้น ก็ต้องมีสิ่งดี ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต ไม่เริ่มจากความเชื่อ ก็จะกลายเป็นแค่คนมีศีลธรรมเท่านั้น แต่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า

จากความรู้ เพิ่มด้วยการควบคุมตนเองจากการควบคุมตนเองเพิ่มความอดทนลงไป จากความอดทนนั้น เพิ่มด้วยชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า
2 เปโตร 1:6

ลูกา 21:19, 2 เปโตร 1:3, กิจการ 24:25

เมื่อเริ่มด้วยความเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องใช้ชีวิตให้ดี แสวงหาความรู้ในพระเจ้า รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน จากนั้นก็ต้องรู้จักบังคับตน ในโลกที่วุ่นวาย ซับซ้อน เต็มด้วยความบาปโดยเฉพาะบาปทางเพศที่มันเข้ามาประชิดตัวเราในสื่อสังคม ในอุปกรณ์ที่เราใช้ทุกวัน ความอดทนนั้นคือการสู้ต่อไปแม้มีการต่อต้าน รับภาระหนัก ๆ ได้ ชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า กรีก: eusebeia มีความหมายครอบคลุมถึงการอุทิศถวายแด่พระเจ้า จริงใจ ซื่อตรง

จากชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า เพิ่มด้วยความรักฉันพี่น้องจากความรักฉันพี่น้อง เติมลงไปด้วยความรัก
2 เปโตร 1:7

กาลาเทีย 6:10, โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22

เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนยังต้องใช้ชีวิตอย่างที่สมควรกับพระเจ้าความรักในหมู่พี่น้อง คำนี้ใช้ในกรีก: ฟีลาเดเฟีย คือการที่จะมีความคิดที่เหมาะควรกับพี่น้อง มีน้ำใจต่อกันส่วนความรักสุดท้ายนั้น ท่านเปโตรใช้คำว่า อากาเป เป็นความรักขั้นสูงสุด เป็นการหาสิ่งดี สวัสดิภาพให้กับผู้อื่น แม้ต้องแลกด้วยการเสียสละ

เพราะหากว่าท่านมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา และยังมีเพิ่มพูนขึ้นอีก ท่านก็จะไม่เป็นคนไร้ค่า ไม่ไร้ผลในความรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
2 เปโตร 1:8

ยอห์น 17:3, ฟีลิปปี 3:8, โคโลสี 1:10

คุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่ความเชื่อไปจนจบสมบูรณ์ที่ความรักนี้ จะต้องมีการพัฒนา เติบโต เพิ่มพูนขึ้น การที่ไม่มีการพัฒนาทำให้เราเป็นคนไร้ผล พูดง่าย ๆ คือ ถ้าทำธุรกิจแล้วละก็ เท่ากับประสบความล้มเหลว (คำว่าไร้ค่า= อารกูส ไร้ผล =อาคาพูส เป็นคนละคำในภาษากรีก) ผู้เชื่ออย่างเราจึงควรมีเป้าหมายในชีวิตที่จะเติบโตงดงาม ชีวิตทั้งมีค่าและเกิดผล การที่เรารู้ แล้วเชื่อฟัง แสดงว่าเรารู้จักพระเจ้าจริง

คนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว ก็เป็นคนสายตาสั้นจนบอด เพราะได้ลืมไปว่า ตนได้รับการชำระจากบาปในอดีตแล้ว
2 เปโตร 1:9

เอเฟซัส 5:26,ทิตัส 2:14, 1 ยอห์น 2:11

แต่หากในชีวิตไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาล่ะ ? จะเกิดอะไรขึ้น แสดงว่า เราไม่รู้จักพระเจ้าจริง เพราะเราไม่สนใจที่จะทำให้ชีวิตของเรามีกำไร เพียบพร้อมด้วยการเพิ่มพูนคุณความดีของพระเจ้าในชีวิต ท่านเปโตรถึงกับว่าเป็นคนตาสั้นจนบอด ท่านยากอบเรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว (ยากอบ 2:17,26) การลืม ในที่นี้คือ การไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าใจความหมายแท้ของการที่พระเจ้าได้ทรงไถ่

ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงหมั่นย้ำเตือนตนเองถึงการทรงเรียก และการทรงเลือกท่าน ตราบเท่าที่ท่านปฏิบัติตามทางนี้ ท่านจะไม่มีวันสะดุดล้มลง
2 เปโตร 1:10

2 โครินธ์ 13:5, 1 ยอห์น 3:19, ยากอบ 2:10, ยูดา 1:24

เมื่อเราได้ตามสิ่งที่ท่านเปโตรเตือนไว้ก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า เรากำลังย้ำเตือนให้ตัวเองรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียก(โดยผ่านข่าวประเสริฐ 2 เธสะโลนิกา 2:14) และทรงเลือกเรา (ก่อนการวางรากสร้างโลก เอเฟซัส 1:4)เราต้องเอาใจใส่ชีวิตที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ อย่าให้หลุด หลง สะดุดไปเพราะสิ่งที่ล่อหลอกในโลกนี้ ความดีทั้งแปดอย่างที่ท่านเปโตรกล่าวถึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจากใจจริง แกล้งทำไม่ได้ เมื่อความดีต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นในชีวิต เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่า เราได้บังเกิดใหม่จริง. กำลังเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน 

ด้วยวิธีนี้ ท่านจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการต้อนรับเข้าสู่
อาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเราอย่างเหลือล้น
2 เปโตร 1:11

สดุดี 145:13, 1 ทิโมธี 6:17, 2 เปโตร 3:18

มีบางท่านให้ความเห็นว่าเป็นการเข้าโดยมีเสียงเพลงร้องต้อนรับเข้าไปที่นั่นเหมือนกับ นักรบที่ชนะกลับมาจากการรบ หรือนักกีฬาที่ชนะกลับมา ผู้คนต่างโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดียิ่งนัก เราจะเข้าไปในสวรรค์ด้วยวิธีไหน เข้าไปเงียบ ๆ หรือ มีการร้องไชโยที่ได้เข้ามา หรือว่าเข้าสวรรค์โดยหนีจากไฟนรก อย่างหวุดหวิด หนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต ?

จำเป็นที่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ

ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงจะเตือนท่านถึงเรื่องดังกล่าวเสมอไม่ขาด แม้ว่าท่านรู้อยู่แล้ว และได้ยืนมั่นในความจริงนั้น
2 เปโตร 1:12

ฟีลิปปี 3:1, 1 ยอห์น 2:21, ยูดา 1:5, 1 เปโตร 5:12

จากข้อ 1 -11 ท่านเปโตรได้แนะนำให้เรารู้ว่า ควรมีคุณสมบัติใดในชีวิตเพื่อให้เหมาะกับอาณาจักรของพระเจ้าที่ผู้เชื่อกำลังจะเข้าไป ท่านเปโตร ยินดีที่จะเตือนแล้วเตือนอีก เพื่อผู้เชื่อจำไม่ลืม ผู้ที่อ่านจดหมายของท่านเปโตรนี้จึงควรรักษาสิ่งดีต่าง ๆ นี้ตลอดเวลาทุกวันที่เราเดินตามพระเจ้าอยู่

ความเร่งด่วนในหัวใจ

ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในเต็นท์นี้
ข้ามองเห็นว่าการคอยเตือนฟื้น
ความจำให้ท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
2 เปโตร 1:13

2 เปโตร 3:1, 2 โครินธ์ 5:1,4

เพราะการที่จะได้เข้าไปสู่อาณาจักรนิรันดร์ เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นคำว่า …ตราบที่ยังอยู่ใน เต็นท์นี้… เท่ากับตอนนี้ท่านเปโตร กำลังคิดถึงความตายท่านถือว่าร่างกายเป็นเพียงที่อาศัยของชีวิตเพียงชั่วคราวใ ช้พักพิงไม่นานนัก เหมือนกับที่ผู้เขียนสดุดีเคยอธิษฐานว่า“ขอทรงสอนให้เรานับวันเวลาของเรา เพื่อเราจะมีปัญญา” สดุดี 90:12

เพราะข้ารู้ว่า อีกไม่นาน
ข้าก็ต้องปล่อยเต็นท์นี้ไป
ดังที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำให้ข้าเห็นชัดเจนแล้ว
2 เปโตร 1:14

2 โครินธ์ 5:1, 2 ทิโมธี 4:6, ยอห์น 13:36, 21:18-19

ตอนที่ท่านเปโตรยังหนุ่มแน่น เป็นชาวประมงที่ออกมาติดตามพระเยซู ท่านมีพลังคนหนุ่ม แต่ใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ตรัส ให้เขาได้รู้ว่า ในยามชรา จะมีคนพาเขาไปในที่ ๆ
ไม่อยากไป ท่านรู้ดีว่า ท่านจะได้ตายอย่างที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า ดูเหมือนท่านจะเห็นว่าอีกไม่นานท่านจะถูกลงโทษจากโรมแน่นอน
คำว่า ปล่อยเต็นท์นี้ หรือเอาเต็นท์นี้ออกไป หมายถึงความตาย และจากร่างนี้ไป

และข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อว่า ท่านยังจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอยามที่ข้าจากไปแล้ว
2 เปโตร 1:15

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:19-29

ความพยายามของท่านประสบความสำเร็จเกินคาด แม้เวลาจะผ่านไปสองพันปีแล้ว แต่จดหมายของท่านก็ยังช่วยให้คริสเตียนได้นำมาใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ พระเจ้ายังทรงใช้งานเขียนของท่าน ให้เป็นรากฐานของคริสตจักร ของความเชื่อที่ถูกต้องมาทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ควรคิดแบบท่านด้วยว่า เรามีอะไรดี ๆ ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปบ้าง

คำพยานที่จริงจากผู้เห็นเหตุการณ์

ตอนที่เราแจ้งให้ท่านทราบถึงฤทธิ์เดชและการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เราไม่ได้พูดตามเรื่องราวที่มนุษย์ปั้นแต่งขึ้น แต่เราเป็นพยานที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยตัวเอง
2 เปโตร 1:16

1 โครินธ์ 1:17, มัทธิว 28:18, เอเฟซัส 1:19-22, 1 เปโตร 5:4, , มัทธิว 17:1-5, ลูกา 1:2

ท่านเปโตรยืนยันชัดเจนว่าท่านไม่ได้ใช้เรื่องราวจากเหล่าครูสอนผิดที่คิดเรื่องขึ้นมาเอง แต่ท่านเองเป็นคนที่เห็นสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู เด็ดสุดก็คือวันที่ท่านได้เห็นพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์บนภูเขา และทรงเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นพระเจ้าที่ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งนัก (มัทธิว 17:1-8) และทรงส่องแสงประกายราวกับดวงอาทิตย์ !

เพราะเมื่อพระองค์ทรงรับพระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าพระบิดาก็มีพระสุรเสียงจากพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่มายังพระองค์ว่า
“นี่คือลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราโปรดปรานมาก”
2 เปโตร 1:17

สดุดี 2:7, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 17:5, มาระโก 9:7, ลูกา 1:35, 9:35

Transfiguration of Jesus, 1520 (Oil on Canvas), by Raphael

ท่านเปโตรกำลังสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าพระเยซูที่ทรงเปลี่ยนร่างให้ท่านเห็นองค์นี้คือ พระเมสสิยาห์ผู้ที่ พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาปของชาวโลกจริง ๆ เพราะยังมีพระสุรเสียงของ
พระบิดาเจ้ายืนยันว่าทรงเป็นพระบุตรที่รัก ที่พระบิดาทรงโปรดปรานด้วย ดูสิ พระเจ้าผู้ที่เดินดินอย่างคนทั่วไป ได้สำแดงพระองค์จริงให้เปโตรและเพื่อนได้เห็น

และพวกเราเองได้ยินพระสุรเสียงนี้ จากสวรรค์ เวลาที่เราอยู่กับพระองค์
บนภูเขาบริสุทธิ์
2 เปโตร 1:18

มัทธิว 17:1

Painting:  “Transfiguration”
[cropped] by the Danish Lutheran artist Carl Bloch
[Public domain], via Wikimedia Commons

ความมหัศจรรย์ครั้งนี้ยังเพิ่มระดับให้กับเปโตร และเพื่อนด้วยการที่พวกเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ ยากอบและยอห์นก็ได้เห็น ได้ยินเสียงนี้ด้วย ผู้ที่บันทึกเรื่องราวสำคัญคือ มัทธิว มาระโกและลูกา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เปโตรเล่าถึงเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ถ้าเราคิดให้ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะพระบิดาเจ้าทรงมา แจ้งให้พวกเขาทราบด้วยพระองค์เอง

นี่เอง ที่ทำให้เรามีความมั่นใจคำพยากรณ์ในอดีตมากยิ่งขึ้น จะเป็นการดีหากท่านใส่ใจคำนั้น เพราะเป็นเหมือนกับตะเกียงที่สองแสงในที่มืด จนกว่าเช้าตรู่
ดาวประจำรุ่งก็จะส่องแสงเข้ามาในใจท่าน
2 เปโตร 1:19

ยอห์น 1:4-5, 9, สุภาษิต 4:18, วิวรณ์ 2:28, 22:16, 2 โครินธ์ 4:5-7

การที่ได้อยู่ในเหตุการณ์พระเยซูทรงเปลี่ยน
พระกายจากมนุษย์เป็นพระเจ้านั้น นับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่พระเจ้า ตรัสเกี่ยวกับพระเยซูมาตั้งแต่อดีตนั้น ยิ่งทำให้เขามั่นคง มั่นใจมากยิ่งขึ้น และท่านเองได้
ชักชวนให้เราใส่ใจคำพยากรณ์เรื่องพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเจ้าควรใส่ใจพระคัมภีร์เดิมและคำสอน แท้จากอัครทูต คำเหล่านั้นเป็นแสงสว่าง
สำหรับชีวิตของทุกคน

อย่างแรกท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะ แปลความของพระผู้เผยพระคำตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะคำจากผู้เผยพระคำ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์. แต่เป็นการที่มนุษย์พูด เพราะเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์​
2 เปโตร 1:20-21

โรม 12:6, เยเรมีย์ 23:26, 2 ทิโมธี 3:16, 2 ซามูเอล 23:2, ลูกา 1:70, กิจการ 1:16, 3:18, 1 เปโตร 1:11

คำพยากรณ์แท้จริงมาจากการที่พระเจ้าตรัส ผ่านคนของพระองค์ในเวลาที่เขาได้รับการขับเคลื่อนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่จะพูดเมื่อไรตามใจของคนพูดได้ คำว่า ดลใจจากพระวิญญาณในภาษากรีกมี ความหมายถึงการไปตามกัน อย่างเช่นเรือถูกลมพัดไป เรือแล่นไปตามกระแสน้ำ พระวิญญาณทรงนำให้เขาพูดตามพระองค์ ผู้เชื่อจะต้องไม่หลงเชื่อตามความเห็นครูสอนผิด