1 โครินธ์ 8 เนื้อสัตว์ในวิหารเทพ

คำถามเรื่องเนื้อที่บูชารูปเคารพ

1 โครินธ์ 8:1-2 เรื่องอาหารที่ถูกนำไปบูชารูปเคารพ เรารู้อยู่ว่า ทุกคนต่างก็มีความรู้ และความรู้ทำให้เกิดอาการหยิ่งยโส แต่ความรักเสริมสร้างกัน คนใดถือว่าตนเองรู้สิ่งใด คนนั้นยังไม่ได้รู้ตามที่ควรจะรู้
1 โครินธ์ 8:3-4 แต่ถ้าคนใดรักพระเจ้า พระองค์ก็ทรงรู้จักคนนั้น
ดังนั้นเรื่องการกินอาหารที่ถูกนำไปบูชารูปเคารพแล้วนั้น เราเองรู้ว่า รูปเคารพเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายในโลก เรารู้ว่ามีพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียวเท่านั้น
1 โครินธ์ 8:5-6 บางคนอาจจะกล่าวว่า มีเทพมากมายในสวรรค์และในโลก นั่นก็จริง ดังนั้นแม้จะมีเทพ มีเจ้านายฝ่ายวิญญาณมาก
ก็ตาม แต่สำหรับเรา มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา ทุกสิ่งเกิดมาจากพระองค์เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระองค์ และมีองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพียงองค์เดียว

หลักการของความรัก

1 โครินธ์ 8: 7 แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้ บางคนเคยใช้ชีวิตกับรูปเคารพมาก่อนเมื่อกินอาหารที่ได้บูชารูปเคารพเขาก็ถือว่ามันได้บูชามาแล้วจริง ๆและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขายังอ่อนอยู่ เขาจึงเป็นมลทิน
1 โครินธ์ 8:8-9 และอาหาร ไม่ได้นำให้เราใกล้ชิดพระเจ้า
เราจะกินหรือไม่ สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เราดีขึ้นหรือเลวลงแต่ขอให้ระวังว่า อิสรภาพของพวกท่านจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนอ่อนแอ
ต้องสะดุด!

1 โครินธ์ 8:10-11 เพราะถ้าคนที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดียังอ่อนแออยู่ เห็นท่านผู้มีความรู้นั่งกินอาหารในวิหารที่มีรูปเคารพ จะไม่ทำให้เขารู้สึกอยากกินอาหารที่ได้บูชารูปเคารพแล้วหรือ ความรู้ที่ท่านมี อาจทำให้พี่น้องที่อ่อนแอพินาศไป ทั้ง ๆ ที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเขาแล้ว

1 โครินธ์ 8:12-13 เมื่อพวกท่านทำผิดต่อพี่น้อง และทำร้าย
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา เท่ากับท่านได้ทำบาปต่อพระคริสต์
ดังนั้นถ้าสิ่งที่ข้ากินทำให้พี่น้องต้องสะดุดข้าก็จะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไปเพื่อจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำถามเรื่องเนื้อที่บูชารูปเคารพ
1 โครินธ์ 8:1-2

ในสมัยของท่านเปาโล คนที่ไหว้รูปเคารพจะมีพิธีกรรมการกิน ประกอบไปกับพิธีกรรมทางศาสนา เช่นการฆ่าสัตว์แล้วถวายเป็นเครื่องบูชา จากนั้น ก็กินเลี้ยงเนื้อสัตว์เหล่านั้นกันในวิหารที่ประกอบพิธี เนื้อที่เหลือก็เอาไปขายในตลาดทั่วไปนี่จึงเป็นเรื่องที่คริสเตียนขอถามท่านเปาโลว่า เนื้อประเภทนี้ กินได้หรือไม่เป็นมลทินหรือไม่ในเมื่อมันถูกฆ่าในวิหารเทพต่าง ๆ

1 โครินธ์ 8:3-4
สำหรับคนที่รู้จักพระเจ้าใกล้ชิด เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เขารู้ว่า รูปเคารพไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ รูปเคารพเป็นเพียงสิ่งที่คนไม่รู้จักพระเจ้า ตั้งให้เป็นพระตามใจพวกเขา เป็นพระแห่งสงคราม พระแห่งดินฟ้าอากาศ และพระใด ๆ ที่เขาต้องการสร้างขึ้นมาทำให้ตัวเองได้สบายใจ คนของพระเจ้ารู้ว่า รูปเคารพไม่มีอำนาจ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอย่างที่คนอื่นคิดกัน

1 โครินธ์ 8:5-6

ท่านเปาโลไม่ได้ปฏิเสธโลกวิญญาณ ท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณยังมีเทพ หรือ วิญญาณที่มีอำนาจอยู่จริง และพวกเขาก็เป็นผู้สนับสนุนความคิดที่ทำให้มนุษย์สร้างรูปเคารพขึ้นมาเพื่อแทนที่พระเจ้าเที่ยงแท้ จากข้อนี้เอง เราเห็นว่าโลกฝ่ายวิญญาณเป็นโลกที่เราต้องเรียนรู้อีก และเราก็จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในฝ่ายโลกทางกายภาพของเรามากขึ้น ท่านบอกชัดว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าบุคคลในโลกฝ่ายวิญญาณต่าง ๆ เหล่านั้น

หลักการของความรัก
1 โครินธ์ 8: 7
พี่น้องที่เคยบูชากราบไหว้ถวายเครื่องบูชาเป็นเนื้อแก่เทพและเทพีมาก่อนนั้น เขาจะรู้สึกว่า ของบูชากลายเป็นกรรมสิทธิ์ของรูปเคารพนั้นแล้ว รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าเขาจะมาเป็นคนของพระเจ้าแล้วก็ตาม รู้สึกว่า เขาไม่ควรแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทินเช่นนี้ ที่ว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดียังอ่อนอยู่นั่นคือ เขายังไม่ผ่านความเข้าใจที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกอย่างและพระองค์ทรงชำระให้เขา. เมื่อเขากินด้วยการขอบพระคุณ

1 โครินธ์ 8:8-9
บทเรียนตรงนี้ไม่ใช่ว่ากินอะไรได้หรือไม่ได้แต่เป็นเรื่องของการระวังไ่ม่ให้ผู้ที่มีจิตสำนึกต่างไปนั้น จะไม่สะดุด นี่คือความรักและเอาใจใส่
ต่อใจของผู้อื่นสำคัญกว่ากฎเรื่องอาหารที่ไม่ได้ส่งผลให้คนเราดีขึ้นหรือเลวลง. พี่น้องชาวโครินธ์ และเราจะต้องระวังพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นที่ยังขาดความเข้าใจหลงผิดไป บางทีแค่คำพูดสั้น ๆ แต่ก็อาจทำให้พี่น้องเข้าใจผิดไปได้ท่านเปาโลสอนให้ระวังเรื่องนี้มาก ๆ

1 โครินธ์ 8:10-11
นี่เป็นภาพที่กระอักกระอ่วนมาก เพราะหากผู้เชื่อใหม่ เห็นผู้ที่บอกว่าตนเป็นคริสเตียนแล้วยังไปนั่งกินอาหารในวิหารเทพต่าง ๆ โดยที่ตัวเองคิด
ว่ารูปเคารพไม่มีความหมาย ไม่ใช่พระเจ้า ก็กินโดยไม่รู้สึกผิด ในขณะที่พี่น้องใหม่ซึ่งเข้าใจว่า การบูชาด้วยเนื้อ เป็นการกราบไหว้ นมัสการ ก็อาจจะ
เข้าใจผิดไปเลยว่า เป็นคริสเตียนแล้ว สามารถกราบไหว้บูชารูปเคารพได้ด้วย กลายเป็นความเชื่อที่ผิด ..และทำให้เขาหลงไปจากความรอด!!

1 โครินธ์ 8:12-13

การทำร้ายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพี่น้องด้วยกันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก เพราะพวกเขาจะทั้งสะดุดทั้งถูกทำลายความเชื่อที่ถูกต้องที่จะนำไปสู่ชีวิต
นิรันดร์ กลายเป็นการสร้างคริสเตียนสายใหม่ที่มีความเชื่อประหลาดชีวิตมุ่งตรงไปสู่ความพินาศทั้ง ๆ ที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาแล้วโลกใหม่ทุวันนี้ ไม่ได้ต่างจากโลกโครินธ์ เพราะมีคำสอนน่ากลัวที่เราต้องระมัดระวังทุกครั้งที่ฟังก่อนจะเชื่ออะไร อย่าหลงเชื่อใครง่าย ๆ

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 15:20; โรม 14:14;14:3
2* 1 โครินธ์ 13:8-12
4* อิสยาห์ 41:24; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35, 39; 6:4
5* ยอห์น 10:34
6* มาลาคี 2:10; กิจการ 17:28; ยอห์น 13:3; 1:3
โรม 5:11

7* 1 โครินธ์ 10:28: โรม 14:14,22
8* โรม 14:17
9* กาลาเทีย 5:13; โรม 14:13,21
10* 1 โครินธ์ 10:28
11* โรม 14:15,20
12* มัทธิว 25:40
13* โรม 14:21


1 โครินธ์ 7 ชีวิตสมรสและชีวิตโสด

คำตอบเรื่องความสัมพันธ์สามีภรรยา

1 โครินธ์ 7:1-2 ส่วนเรื่องที่ท่านเขียนมาว่า “การที่ผู้ชายจะไม่แตะต้องข้องแวะกับผู้หญิงก็ดีกว่า” แต่เพื่อป้องกันการทำผิดทางเพศผู้ชายแต่ละคนจึงควรมีภรรยาของตน และผู้หญิงแต่ละคนก็ควรมีสามีของตน

1 โครินธ์ 7:3-4 สามีควรทำหน้าที่ของตนต่อภรรยาอย่างสมควร ส่วนภรรยาก็ทำหน้าที่ต่อสามีอย่างสมควรเช่นกัน ร่างกายของภรรยาไม่ได้เป็นของเธอเพียงผู้เดียว แต่เป็นของสามีด้วย เช่นเดียวกัน ร่างกายของสามีไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่เป็นของภรรยาด้วย

1 โครินธ์ 7:5 อย่าปฏิเสธกันและกัน เว้นแต่ได้มีการตกลงกันชั่วคราว เพื่อมุ่งมั่นในการอธิษฐาน จากนั้นจึงมาอยู่ร่วมกันอีก
เพื่อซาตานไม่อาจจะล่อลวงท่านให้ทำผิดในช่วงเวลาที่ท่านควบคุมตนเองไม่ได้

คำตอบเรื่องการหย่าร้าง

1 โครินธ์ 7:6-7 ข้ากล่าวอย่างนี้ เพื่ออนุญาต แต่ไม่ใช่คำสั่ง
ข้าหวังให้ทุกคนเป็นเหมือนข้า แต่ทุกคนต่างได้รับของประทานจากพระเจ้าไม่เหมือนกัน คนหนึ่งได้อย่างนี้ อีกคนได้อย่างนั้น

1 โครินธ์ 7:8-9 ส่วนคนที่ยังโสด และคนที่เป็นม่าย ข้าขอกล่าวว่า เป็นการดีที่จะไม่แต่งงานเหมือนอย่างข้า แต่ถ้าพวกเขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ก็ควรแต่งงานไป เพราะแต่งงานก็ดีกว่ามี
ใจรุ่มร้อนด้วยราคะตัณหา

1 โครินธ์ 7:10-11 สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ข้าขอสั่งว่าภรรยาจะต้องไม่แยกออกจากสามี (นี่เป็นคำบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ข้าสั่ง)แต่ถ้าเธอจะแยกจากไป เธอต้องไม่แต่งงาน หรือมิฉะนั้นก็ต้องกลับมาคืนดีกับสามีของเธอ ส่วนสามีนั้น อย่าได้หย่าร้างจากภรรยาของตนเลย

1 โครินธ์ 7:12 ส่วนคนอื่น ๆ นอกจากนี้ ข้าขอบอกว่า ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาซึ่งไม่เชื่อพระคริสต์ แต่เธอตั้งใจจะอยู่กับสามี เขาก็ต้องไม่หย่าร้างจากเธอ (นี่เป็นคำของข้าเอง ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้า)

1 โครินธ์ 7:13-14 หากภรรยาคนใดมีสามีซึ่งไม่เชื่อ และเขาเต็มใจจะอยู่กับเธอ เธอต้องไม่หย่าร้างจากเขา เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านสามีซึ่งมีความเชื่อ มิฉะนั้น ลูก ๆ จะเป็นมลทินแต่เท่าที่เป็นอย่างนี้เท่ากับลูก ๆก็บริสุทธิ์

1 โครินธ์ 7:15 แต่ถ้าคู่สมรสอีกฝ่ายที่ไม่เชื่อ แยกตัวออกไป ก็ปล่อยให้เขาไป แบบนี้ ฝ่ายที่เชื่อพระคริสต์ จะไม่มีข้อผูกมัดให้จำใจอยู่ด้วยกัน เพราะพระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสงบสุข

1 โครินธ์ 7:16 ท่านผู้เป็นภรรยา ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านช่วยให้สามีรอดบาปได้หรือไม่? ส่วนท่านที่เป็นสามี จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านช่วยให้ภรรยารอดบาปได้หรือไม่?

ใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าทรงเรียก

1 โครินธ์ 7:17 จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ละคน ควรจะใช้ชีวิตของตนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ ตามที่พระองค์ทรงเรียก นี่คือกฎที่ข้าวางไว้สำหรับคริสตจักรทุกแห่ง

1 โครินธ์ 7:18 บุรุษคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาเข้าสุหนัตแล้ว ก็ไม่ควรลบรอยการเข้าสุหนัต บุรุษคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ก็ไม่ควรเข้าสุหนัต

1 โครินธ์ 7:19-20 การเข้าสุหนัตหรือไม่ มิใช่สิ่งสำคัญแต่สิ่งสำคัญคือ การปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า ทุกคนควรดำรงอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาที่พระเจ้าทรงเรียก

1 โครินธ์ 7:21-22 พระเจ้าทรงเรียกท่านเมื่อยังเป็นทาสอยู่หรือ? ไม่ต้องกังวลใจไป แต่หากท่านเป็นไทได้ ก็ให้ทำเถิด
เพราะคนที่พระเจ้าทรงเรียก แม้ว่าจะเป็นทาส แต่เขาก็เป็นผู้มีเสรีภาพในพระคริสต์ คนที่พระเจ้าทรงเรียกในขณะที่เป็นไท เขาก็เป็นทาสของพระคริสต์

1 โครินธ์ 7:23-24 พระเจ้าทรงซื้อท่านมาด้วยราคาสูง ฉะนั้น อย่าเป็นทาสของมนุษย์พี่น้องทั้งชายและหญิง ไม่ว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านเมื่อท่านอยู่ในฐานะอะไรก็ขอให้ท่านคงอยู่ในฐานะอย่างนั้น

สำหรับคนโสดและคนเป็นม่าย

1 โครินธ์ 7:25-26 ส่วนเรื่องเกี่ยวกับคนที่ไม่ได้แต่งงานนั้น
ข้าไม่ได้รับคำบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ข้าขอออกความเห็น ในฐานะที่เป็นคนที่ได้รับพระเมตตาของพระเจ้าให้เป็นคนที่ไว้ใจได้ เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤตในขณะนี้ ข้ามีความเห็นว่าท่านอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ก็ดีอยู่แล้ว

1 โครินธ์ 7:27-28 ท่านที่แต่งงานแล้ว ก็ไม่ต้องหาทางที่จะหย่าร้าง ท่านไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่ต้องพยายามหาคู่ แต่หากท่านจะแต่งงาน
ก็ไม่ถือว่าบาป เพราะสาวพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่บาป เรื่องของเรื่องคือคนที่มีครอบครัวก็จะต้องเจอกับความยุ่งยากในชีวิตนี้ และข้าพยายามช่วยให้ท่านไม่ต้องไปเจอปัญหาดังกล่าว 

คำอธิบายเพิ่มเติม

ความสัมพันธ์สามีภรรยา
1 โครินธ์ 7:1-2 

ท่านเปาโลกำลังตอบจดหมายของพี่น้องคำกรีกที่ว่าแตะต้องมีความหมายไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ยิ่งกว่านั้นยังหมายความรวมไปถึงการใช้ร่างกายของผู้หญิงสนองราคะของตน (ถ้าประเมินจากปัญหาที่เขาเจอ น่าจะมีความหมายถึงทั้งร่างชายและหญิง) และเพื่อไม่ให้มีปัญหานี้ การแต่งงานมีคู่ของตน จะเป็นสิ่งดีที่สุด ความเชื่อในเรื่องการแต่งงาน มีคู่หนึ่งเดียวตลอดชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญในความเชื่อคริสเตียน

1 โครินธ์ 7:3-4
ตอนนี้ท่านเปาโลได้บอกว่า สิ่งที่จะช่วยให้ไม่มีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์คือ ทั้งสองฝ่ายต้องยอมกันและกัน พวกเขาต่างมีหน้าที่ในชีวิตสมรสต่างเป็นของกันและกัน เรื่องการที่สามีภรรยาต่างมีสิทธิเหนือร่างของอีกฝ่ายนั้น เป็นแนวคิดที่
เปลี่ยนสังคมโบราณ เพราะในโลกเก่านั้น สามีเป็นใหญ่เหนือร่างภรรยา แต่ตรงนี้กลับบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่มีสิทธิต่อกันและกันท่านเปาโลกำลังเปลี่ยนโลกทัศน์ เห็นชัด ๆ

1 โครินธ์ 7:5
ความเห็นของพี่น้องชาวโครินธ์นั้น ก็สุดขั้วอย่างที่พวกเขาได้เขียนจดหมายมาหาท่านเปาโล ในข้อที่หนึ่ง เรื่องนี้ท่านเปาโลมองเห็นว่า สามีภรรยาจะต้องไม่หลีกเลี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยกเว้นมีเหตุการณ์ที่ต้องอธิษฐานหรือแต่ก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผิดทางเพศกับคนอื่น สิ่งที่ท่านเปาโลเป็นห่วงคือ พวกเขาถูกล่อลวงง่าย
พวกเขาจึงควรฟังและเชื่อฟังสิ่งที่ท่านเปาโลเตือน

คำตอบเรื่องการหย่าร้าง

1 โครินธ์ 7:6-7
หลังจากที่พูดเรื่องสามี ภรรยา ตอนนี้ ท่านเปาโลกับพลิกความคิดให้คนเข้าใจว่า การอยู่ในโลกไม่ใช่เป็นเรื่องของการหาคู่ อย่างที่สังคมกำลังบอกว่า มนุษย์ทุกคนต้องหาคู่ ท่านมองว่า แต่ละคนมีของประทานจากพระเจ้าแตกต่างกัน
บางคนเหมาะกับชีวิตคู่ บางคนเหมาะกับการอยู่คนเดียว แต่ละคนจะได้ตามที่เหมาะกับตนเองไม่ต้องไปพยายามเค้นว่าจะต้องได้แบบเดียวกัน 

1 โครินธ์ 7:8-9
เรื่องที่ท่านเปาโลเตือนนี้ มีพื้นฐานอยู่ที่ว่า แต่ละคนได้รับของประทานจากพระเจ้าแตกต่างกันไปเราเห็นคนที่เหมาะกับการเป็นโสด เห็นคนที่เหมาะกับการแต่งงาน และในชีวิตจริงก็มีคนที่เป็นโสดทั้ง ๆ ที่อยากแต่งงาน และคนที่แต่งงานไปแล้ว แต่อยากเป็นโสดเหลือเกิน แต่หากใครคนหนึ่งมีใจเร่าร้อนมาก ก็ควรแต่งงานไปไม่ทำให้คนรอบข้างเขาต้องมาแปดเปื้อนตามราคะของเขา

1 โครินธ์ 7:10-11
สิ่งที่ท่านเปาโลสั่งไว้ คือ เมื่อแต่งงานแล้วไม่ให้แยกทางกัน ท่านเตือนทั้งหญิงและชาย เพราะท่านรู้ดีว่า ชีวิตคู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และถ้าเรามองไปรอบ ๆ ในสังคมทั้งโลก เราจะเห็นว่า ชีวิตคู่มีปัญหามากกว่า แก้ไขได้ก็ดีไป แต่ที่แก้ไขไม่ได้ก็เลิกกัน ในชีวิตสมรสของผู้เชื่อมีหลักชัดว่าไม่ควรที่จะหย่าร้าง แต่จะแยกจากไปก็ได้ เพื่อจะมีโอกาสกลับมาคืนดีกัน

1 โครินธ์ 7:12
ท่านเปาโลได้สอนไว้ว่าไม่ให้เทียมแอกกับผู้ที่ไม่เชื่อแต่ในกรณีนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องว่า ทั้งสองเคยไม่เชื่อมาก่อน แล้วมีคนหนึ่งมาเชื่อ ทั้งสองก็ยังคงอยู่ด้วยกันต่อไปได้ อย่างสงบสุข ท่านเปาโลรู้ว่าท่านเองเป็นผู้ที่มีพระวิญญาณของพระเจ้า ดังนั้น การตัดสินใจที่จะวางกฎให้ปฏิบัตินั้น ท่านได้รับสติปัญญาจากพระเจ้า (ดูข้อ 40) ให้ท่านได้วางแบบอย่างไว้เช่นนี้ เพราะในข้อต่อไปเราจะเห็นความล้ำลึกของชีวิตแต่งงานที่มีมากนี้อีก

1 โครินธ์ 7:13-14
นี่คือความล้ำลึกที่เราคาดไม่ถึง การมีชีวิตคู่กับคนที่เชื่อพระเจ้า มีผลต่อลูก และต่อคู่สมรส พระเจ้าทรงชำระครอบครัว คู่สมรส ลูก ๆ ให้บริสุทธิ์ คือพวกเขาจะได้รับรู้ข่าวประเสริฐว่า ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนในครอบครัวที่ได้มาเชื่ออย่างไร ลูก ๆได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตคู่ ช่วยให้การเป็นพยานถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าชัดเจนมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะไม่เกิดการข่มเหง

1 โครินธ์ 7:15
ท่านเปาโลเห็นว่า ครอบครัวควรอยู่ต่อไปด้วยกัน แต่หากคู่สมรสที่ไม่เชื่อต้องการแยกตัวออกไป (เพราะเข้ากันไม่ได้เรื่องความเชื่อ)
ก็ต้องปล่อยไปเพื่อความสงบ ในแต่ละครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน มีความซับซ้อนไม่เหมือนกัน หากคนที่เชื่อเป็นภรรยา แล้วสามีขอแยกไป เธอก็จะไม่มีใครเลี้ยงดู หากคนที่เชื่อเป็นสามี ภรรยาขอแยกตัวไป ใครจะเป็นผู้ดูแลลูก ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี

ใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าทรงเรียก
1 โครินธ์ 7:16-17

ท่านเปาโลกล่าวถึงเรื่องนี้โดยมีความหวังใจมาก ๆ ว่า คู่สมรสที่เชื่อในพระเจ้าอาจจะนำอีกฝ่ายให้มาพบพระเจ้าได้ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านหวังมากที่สุด เพื่อให้ทั้งสองมีกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตมุมมองโลกเหมือนกัน ไปด้วยกัน รับใช้พระเจ้าด้วยกัน เป็นพระพรต่อคนรอบข้างต่อไป เพราะเราแต่ละคนไม่รู้ว่า พระเจ้าจะทรงเมตตาพวกเขาอย่างไร

1 โครินธ์ 7:18
ท่านเปาโลได้สอนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าทรงเรียก ไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปกับความเชื่อในพระเจ้า การที่ท่านใช้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างน่าจะเป็นเพราะเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชื่อใหม่ และคนที่เชื่อมาก่อนมีความเชื่อหลายอย่างที่ทำให้พี่น้องสับสน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม ศาสนายิว ความคิดสร้างสรรค์ที่ผิดกับพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านเปาโลจึงต้องกล่าวย้ำให้ชัดเจน

1 โครินธ์ 7:19-20
ตอนที่ท่านเปาโลเขียนจดหมายถึงพี่น้องในคริสตจักรกาลาเทียนั้น ท่านได้กล่าวเรื่องนี้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า การมาเชื่อพระเจ้าไม่ใช่การมาเข้าพิธีสุหนัต การทำพิธีนี้ไม่ได้ทำให้คนหนึ่งดีขึ้นหรือได้ความโปรดปรานจากพระเจ้า เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ได้ล้างบาปพวกเขาแล้ว ไม่ใช่พิธีกรรมต่าง ๆ ดั้งเดิม หรือพิธีใหม่ ๆ ที่มนุษย์พากันคิดขึ้นมา

1 โครินธ์ 7:21-22
นอกจากเอาเรื่องของการเข้าสุหนัตมาเป็นตัวอย่างแล้ว ท่านยังได้เอาเรื่องสถานภาพของแต่ละคนเมื่อเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วย ไม่ให้เป็นปัญหา แต่หากเรามีโอกาสทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ก็ให้ทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด พระเจ้าทรงรับ ทรงเรียก การมองจากพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสถานภาพที่เราเป็นอยู่ คนในโลกนี้จึงได้เข้ามาหาพระเจ้าอย่าง
อิสระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ สถานภาพ ฐานะ

1 โครินธ์ 7:23-24

เราทุกคนที่ถูกเรียกมา เป็นทาสของพระคริสต์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาจเป็นผู้นำหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นนายอำเภอ นักธุรกิจ แต่ละคนเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ ที่จะต้องรับใช้คนรอบข้างของเขา ไม่ได้เข้ามาเชื่อแล้วเป็นนายตรงนี้ชัดเจนมากในการดำเนินชีวิตใหม่ของผู้เชื่อการที่ท่านบอกว่า เราอยู่ในฐานะอะไร พระเจ้าก็ทรงรับเราในฐานะนั้น แล้วคนโสดกับคนที่สมรสแล้วล่ะ? เราจะดูกันต่อไป

สำหรับคนโสดและคนเป็นม่าย
1 โครินธ์ 7:25-26
เนื่องจากองค์พระเยซูคริสต์ไม่ได้ทรงสอนเรื่องนี้ท่านเปาโลมองว่า ในฐานะที่ท่านเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก และไว้ใจได้ ท่านจึงออกความเห็นของท่านเองว่า ถ้าจะเป็นโสดก็ดีแล้ว “วิกฤติ” น่าจะหมายถึงการที่ทุกคนอยู่ในยุคสุดท้ายแต่ในชีวิตจริงผู้คนก็ยังมีครอบครัว มีลูกหลานเพิ่มพูน ชายหญิงก็ยังมีความรักที่จะสร้างชีวิตด้วยกัน ส่วนท่านเปาโลเป็นห่วงเรื่องมุ่งมั่นรับใช้และมองเห็นว่าชีวิตแต่งงานก็มีเรื่องให้วุ่นเยอะ

1 โครินธ์ 7:27-28
จากข้อที่แล้ว และข้อนี้ จะเห็นได้ชัดว่าตัวท่านเปาโลสนใจที่จะรับใช้ชักชวนให้คนอยู่เป็นโสดเหมือนที่ท่านเป็นอยู่ คำพูดของท่านตอนนี้เป็นเรื่องตรงข้ามกับสิ่งที่ชาวโครินธ์นิยม การมีครอบครัวเป็นสิ่งที่คนยอมรับกันมากกว่าชีวิตที่เป็นโสด ความเห็นของท่านน่าจะทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในคริสตจักรโครินธ์ไม่น้อย แต่แล้วถ้ามองในอีกมุมท่านกำลังทำให้คนที่เป็นโสดไม่รู้สึกต่ำต้อยไปกว่า
คนอื่น เพราะชีวิตโสดเป็นที่รับได้ในสายตาของท่าน

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 7: 8,26-27, 37-38; มัทธิว 19:10-11
2* เอเฟซัส 5:28; สุภาษิต 5:18-19
3* 1 เปโตร 3:7; อพยพ 21:10
4* มัทธิว 19:9; โฮเชยา 3:3; มาระโก 10:11-12
5* โยเอล 2:16; อพยพ 19:15; เศคาริยาห์ 12:12-14
6* 2 โครินธ์ 8:8; 7:25, 12, 11:17
7* มัทธิว 19:11-12; 1โครินธ์ 9:5, 12:4
8* 1 โครินธ์ 7:32,34-35;
9* 1 ทิโมธี 5:14;5:11; 1 โครินธ์7:2,28,29,36

10* มัทธิว 5:32; ลูกา 16:18; มาลาคี 2:14-16
11* 1 โครินธ์ 7:10; เยเรมีย์ 3:1 อิสยาห์ 50:1
12* 2โครินธ์ 11:17
14* มาลาคี 2:15-16; ทิตัส 1:15; 1 ทิโมธี 4:5
15* โรม 14:19; 2 โครินธ์ 13:11; ยากอบ 3:17-18
16* 1 เปโตร 3:1-2; 1 โครินธ์ 9:22; โรม 11:14
17* 1 โครินธ์ 4:17; 7:24; โรม 12:3-8
18* กิจการ 15:5; 15:28; 15:24

19* กาลาเทีย 6:15; 5:6
20* 1 โครินธ์ 7:17
21* โคโลสี 3:11; 1 เปโตร 2:18-24
22* 1 เปโตร 2:16; ฟิเลโมน 1:16
23* 1 เปโตร 1:18-19; ทิตัส 2:14
24* โคโลสี 3:23-24
26* 1 โครินธ์ 7:8
27* 1 โครินธ์ 7:20
28* 1 โครินธ์ 7:32-36; ฮีบรู 13:4

1 โครินธ์ 6 เราต้องตัดสินกันเอง

1 โครินธ์ 6:1-2 มีใครในพวกท่าน ที่มีเรื่องราวต่อกันกล้าไปฟ้องให้ดำเนินคดีจากคนอธรรม แทนที่จะฟ้องกันต่อหน้าคนของพระเจ้า? ท่านไม่รู้หรือว่า คนของพระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาโลกนี้ และถ้าท่านจะเป็นผู้พิพากษาโลก ท่านไม่สามารถจัดการกับเรื่องเล็กน้อยหรือ?

1 โครินธ์ 6:3-4 ท่านไม่รู้หรือว่า เราจะเป็นผู้พิพากษาตัดสินพวกทูตสวรรค์? ดังนั้น เราจะพิพากษาตัดสินเรื่องของชีวิตนี้ได้ดีกว่ามาก ดังนั้น หากท่านมีคดีต่อกันในเรื่องของชีวิต ท่านจะตั้งคนที่คริสตจักรไม่ได้ยอมรับมาเป็นผู้ตัดสินอย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 6:5-6 ข้ากล่าวอย่างนี้ เพื่อให้ได้รู้สึกละอายใจ
ในพวกท่านไม่มีสักคนที่จะมีปัญญาพอที่จะตัดสินเรื่องระหว่างพี่น้องอย่างนั้นหรือ? แล้วพี่น้องกลับต้องไปว่าความสู้กัน ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 6:7-8 ความจริง ท่านก็แพ้ตั้งแต่ต้น เมื่อมีปัญหากัน ทำไมท่านไม่ยอมเป็นฝ่ายผิด ทำไมท่านจึงไม่ยอมถูกเข้าโกง
แต่กลับทำร้ายกันและกันแล้วยังโกงพี่น้องของท่าน?

1 โครินธ์ 6:9-10 ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าคิดผิดไป คนที่ทำผิดทางเพศ ไหว้รูปเคารพ ผิดประเวณี โสเภณีชาย รักร่วมเพศขโมย คนโลภ ขี้เมา กล่าวร้าย คนโกงจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

1 โครินธ์ 6:11 แต่ก่อนมีบางคนในหมู่พวกท่านเคยเป็นคนอย่างนี้ แต่ท่านได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ได้รับการชำระให้สะอาดพ้นผิดแล้วโดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและโดยพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา

1 โครินธ์ 6:12“ข้าทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ ข้าทำทุกสิ่งได้ แต่ข้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย

1 โครินธ์ 6:13 อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องมีไว้สำหรับอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งอาหารและท้อง ร่างกายไม่ได้มีไว้สำหรับการทำผิดทางเพศ แต่มีเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้เพื่อร่างกาย

1 โครินธ์ 6:14 พระเจ้าทรงทำให้องค์พระเยซูเจ้าคืนชีวิตขึ้นมา และพระองค์จะทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาด้วยโดยฤทธิ์เดชของพระองค์

1 โครินธ์ 6:15 พวกท่านรู้อยู่ว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์ ดังนั้น สมควรแล้วหรือที่ข้าจะเอาอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพระคริสต์ มาเกี่ยวข้องกับหญิงโสเภณี? อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

1 โครินธ์ 6:16-17 ท่านก็รู้นี่นาว่า คนที่ผูกพันกับหญิง
โสเภณีก็เป็นกายเดียวกับเธอ
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน”แต่คนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์

1 โครินธ์ 6:18-19 จงหนีให้พ้นจากการทำผิดทางเพศ! เพราะบาปอื่นที่มนุษย์ทำนั้น เป็นบาปนอกกายแต่คนที่ทำผิดทางเพศ เท่ากับทำบาปต่อกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ประทับในท่าน พระองค์ผู้ซึ่งท่านรับจากพระเจ้า
และท่านไม่ใช่เจ้าของตัวเอง?

1 โครินธ์ 6:20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง
ดังนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 6:1-2
นอกจากที่พวกเขาไม่จัดการกับคนที่ทำผิดในคริสตจักรแล้ว(ดังที่ท่านกล่าวถึงในบทที่ 5) พี่น้องยังมีเรื่องราวต่อกันในคริสตจักร แล้วมีการ
ไปฟ้องร้องต่อศาล ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งจะสร้างปัญหาต่อไปอีกคือ จะมีพี่น้องในชุมชนผู้เชื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้น แถมยังสื่อให้เห็นว่า พวกเขาเห็นการตัดสินของคนภายนอกสำคัญกว่าการตัดสินภายในที่ใช้บทบัญญัติของพระเจ้าเป็นหลัก
1 โครินธ์ 6:3-4
ท่านเปาโลมองว่า การตัดสินโดยใช้หลักการของพระเจ้านั้นมีมาตรฐานสูงกว่า และทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นย่อมมีผลมาจากเรื่องของชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย ดังนั้นคริสเตียนจึงควรที่จะตกลงกันเอง ยิ่งกว่านั้น ท่านยังบอกว่า คริสเตียนจะเป็นผู้ที่พิพากษาทูตสวรรค์ (นั่นคือทูตที่เป็นทูตที่ทำผิดต่อพระเจ้า) ดูวิวรณ์ 22:5 ผู้เชื่อจะได้ครอบครองกับพระเจ้าตลอดไป นั่นคือ พวกเขาจะมีส่วนในการเป็นผู้ตัดสินความต่าง ๆ กับพระองค์

1 โครินธ์ 6:5-6
ทำไมพวกเขาจึงให้คนนอกตัดสินความ ทั้งที่เขาควรจะทำการภายในคริสตจักร? ท่านเปาโลไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ในหมู่พวก
เขาก็มีคนที่มีปัญญา มีกำลัง มีเกียรติ (4:4)คนพวกนี้ก็น่าจะใช้ปัญญาของตนช่วยพี่น้องที่กำลังมีปัญหา การออกไปให้คนอื่นตัดสินเป็นการทั้งดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้าที่พร้อมตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ (สดุดี 119) และทำให้คนนอกดูหมิ่นผู้เชื่อที่ยังมีปัญหาเหล่านี้

1 โครินธ์ 6:7-8
ดูเหมือนว่าคดีขัดแย้งกันที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเงินทอง ไม่ใช่อาชญากรรมทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องของการโกงเงิน ซึ่งถ้ามองผ่านพระคำ
ของพระเยซู การแก้ปัญหาจะเป็นอีกทางเป็นการยอมกันเพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ล้มลงตรงนี้อาจเป็นที่ยอมรับไม่ได้ในสายตาของโลก
แต่พระเยซูทรงสอนอะไรที่ตรงกันข้าม ดูลูกา6:27-31

1 โครินธ์ 6:9-10
เหตุผลอีกอย่างที่ไม่ควรให้คนนอก เข้ามาตัดสินคนในก็คือ พวกเขาไม่ได้เป็นคนในแผ่นดินของพระเจ้า ยังไม่ได้กลับใจ ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์แต่ยังคงมีชีวิตอยู่แบบที่เป็นอยู่ตามใจของตนเองไม่ได้เดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการให้ผู้คนที่เชื่อได้มีชีวิตอันบริสุทธิ์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ตั้งแต่ทรงสร้างพวกเขามาสมควรแล้วหรือที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นมาตัดสินคนของพระเจ้า แม้ว่าจะทำผิดต่อกันก็เถอะ


1 โครินธ์ 6:11
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงรับเราแม้ว่าชีวิตเคยผ่านสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพระองค์ พี่น้องชาวโครินธ์ก็เคยผ่านชีวิตแบบนี้ แต่พวกเขา
ได้รับการชำระจากพระเจ้า และละทิ้งชีวิตเก่าอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดพ้นผิดแล้ว ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้าไป
ในชีวิตของเขา พวกเขากำลังเริ่มมีพระลักษณะของพระองค์ในชีวิต

1 โครินธ์ 6:12
ท่านเปาโลบอกเราว่า เราได้เข้ามาหาพระเจ้าและพระเจ้าทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิต
ของทุกคนที่มาพบพระองค์แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เราจึงไม่ต้องการที่จะกลับไปในชีวิตแบบเดิมอีกต่อไป แม้ว่าตอนนี้เรายังต่อสู้กับบาปตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ในโลก พระเจ้าก็ยังทรงช่วยให้เราเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ดีขึ้น ๆ และท่านเปาโลก็แนะชัดเจนว่า เราจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจชั่วใดๆ

1 โครินธ์ 6:13
เราต้องรู้ว่า ร่างกายเรามีเพื่ออะไร ความอยากความหิวที่เรามี แล้วเราต้องสนองตอบนั้นประมาณไหนจึงจะกำลังดี ไม่มาก ไม่น้อยไป
ไม่ผิดศีลธรรม ถูกต้องตามพระทัยพระเจ้า ผู้เชื่อชาวโครินธิ์บางคนเข้าใจว่า เขาจะต้องตอบสนองตัณหาของเขา ความอยากที่มีทุกอย่าง
โดยมีเหตุผลของตัวเองรองรับ การทำทุกสิ่งได้หรือการมีเสรีภาพของคริสเตียนไม่ได้หมายความว่า เขาจะปล่อยตัวให้เป็นทาสบาปได้!

1 โครินธ์ 6:15
จากที่ท่านเปาโลอธิบายมา พี่น้องชาวโครินธ์ต้องเห็นแล้วว่า ร่างกายของเขาไม่ใช่เป็นของตนเอง แต่เขาเป็นอวัยวะของพระคริสต์ที่ต้องรักษาให้บริสุทธิ์สะอาดต่อพระเจ้าและพี่น้องด้วยกัน พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์มีปัญหาเรื่องนี้มาก เพราะพวกเขาก็มั่วสุมทางเพศมานาน

1 โครินธ์ 6:14
ในเมื่อร่างกายเรามีไว้เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงมีความหวังที่จะคืนชีวิตขึ้นมาในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตที่เต็มด้วยบาปคงไม่ได้มี
โอกาสที่จะคืนชีวิตและรับบำเหน็จจากพระเจ้าการที่พี่น้องผู้เชื่อคิดว่า ตนเองมีความอยากทางเพศแล้วก็ออกไปหาความสนุกสนานเพื่อตอบ
สนองสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีการควบคุมตนเองจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระองค์อย่างสิ้นเชิง

1 โครินธ์ 6:16-17
อย่างที่ท่านเปาโลเคยบอกว่า ถ้าทำผิดทางเพศเท่ากับเอาร่างกายไปผูกพัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้ที่ทำผิดร่วมกัน เขาไม่อาจจะมาเป็น
หนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ในเวลาเดียวกันพี่น้องชาวโครินธ์ที่ยังมีชีวิตมั่วสุมทางเพศเหล่านี้จะต้องเลิกทุกอย่างกลับใจจริง เพื่อพระเจ้าจะทรง
ชำระเขาให้สะอาด ท่านเปาโลยังคงมีความหวังกับพวกเขาว่า จะคิดได้ กลับใจ เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

1 โครินธ์ 6:18-19
บางทีข้อความตอนนี้ กำลังบอกเราว่า การทำผิดบาปไม่ว่าจะเป็นการโกหก ขโมย ล่อลวง คดโกง สารพัดนั้น เป็นการทำผิดที่อยู่นอกร่างกายของมนุษย์ แต่การทำผิดทางเพศเป็นการล่วงล้ำเข้ามาในร่างกาย ย้ำ.. ในร่างกายของผู้กระทำผิด ล่วงล้ำเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าร่างกายของผู้เชื่อเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงไม่ใช่เจ้าของตัวเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของร่างเรา

1 โครินธ์ 6:20
พระเยซูทรงซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เองและบาปทั้งสิ้นที่เราทำก็ไปตกอยู่ที่พระองค์ อิสยาห์ บทที่ 53 เราจะตระหนักได้ว่า ราคานั้นสูงเพียงใด :4 ทรงรับความอ่อนแอ ความทุกข์ของเราไป ทรงถูกพระเจ้าเฆี่ยนตี และทรมาน :5 ทรงถูกแทง บอบช้ำเพราะการชั่วช้าของเรา :6 พระเจ้าทรงวางความชั่วของเราไว้บนพระองค์ ยังมีอีกมาก พระเจ้าทรงจ่ายขนาดไหนเพื่อให้เรากลับมาหาพระองค์!

1 * มัทธิว 18:15-17
2* ลูกา 22:30; มัทธิว 19:28
3* ยูดา 1:6; มัทธิว 25:41
4* 1 โครินธ์ 5:12
5* ยากอบ 1:5 ; 3:13-18
6* 1 ยอห์น 3:11-15
7* โรม 12:17-19; 1 เปโตร 3:9

8* 1 เธสะโลนิกา 4:6; ยากอบ5:4
9* 1 ทิโมธี 1:9-10; กาลาเทีย 5:19-21
10* 1 โครินธ์ 5:11; เอเฟซัส 4:28
11* 1 โครินธ์ 1:30; 1:2
12* 1 โครินธ์ 10:23-33; 9:27
13* โรม 6:12; 1 เธสะโลนิกา 4:3-7

14* โรม 8:11; 2 โครินธ์ 4:14
15* เอเฟซัส 5:30; โรม 12:5
16*ปฐมกาล 2:24; เอเฟซัส 5:31
17* ยอห์น 17:21-23; กาลาเทีย 2:20
18* 1 เปโตร 2:11; 1 เธสะโลนิกา 4:3
19* 1 โครินธ์ 3:16; 2 โครินธ์6:16
20* 1 โครินธ์ 7:23; 1 เปโตร 2:9


1 โครินธ์ 5 บาปร้าย..ที่อยู่ในคริสตจักร

1 โครินธ์ 5:1 มีเรื่องที่ข้าได้ยินมาว่า มีการประพฤติ
ผิดทางเพศท่ามกลางพวกท่าน แบบที่คนนอกยังไม่มีการทำเช่นนี้ คือการที่ลูกชายเอาภรรยาของพ่อมาเป็นของตน

1 โครินธ์ 5:2-3 แล้วพวกท่านยังหยิ่งผยองทั้งที่ควรจะโศกเศร้า และตัดขาดกับคนที่ทำเยี่ยงนี้ไปจากพวกท่านไม่ใช่หรือ?
แม้ตัวข้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจวิญญาณของข้าอยู่กับพวกท่านเสมอ ข้าจึงขอตัดสินคนที่ทำผิดเช่นนี้

1 โครินธ์ 5:4ในขณะที่ท่านร่วมประชุมกันในพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าและ ข้าก็อยู่กับท่านในฝ่ายวิญญาณพร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

1 โครินธ์ 5:5 พวกท่านจงมอบคนที่ทำเช่นนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังของเขาเสียเพื่อจิตวิญญาณของเขาจะได้รอดในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 5:6-7 ที่ท่านโอ้อวดนั้นไม่ดีเลย ท่านรู้อยู่ว่าเชื้อยีสต์เพียงนิดเดียวก็ทำให้แป้งนวดฟูขึ้นได้ทั้งก้อน จงชำระเชื้อยีสต์เก่าเสีย
เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งก้อนใหม่ตามที่ท่านเป็นอยู่
เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเรา ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาแล้ว

1 โครินธ์ 5:8 ดังนั้น ให้เรามาเข้าส่วนในเทศกาลปัสกา ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อยีสต์คือความจริงใจและความจริงไม่ใช่ด้วยเชื้อยีสต์เก่าที่มีความชั่วและความเลวร้าย

จัดระเบียบตัวเองให้ได้

1 โครินธ์ 5:9-10 ข้าเขียนจดหมายบอกท่านแล้วว่าอย่าไปคบคนที่ทำผิดทางเพศแต่ไม่ได้ห้ามคบทุกคนในโลกที่ทำผิดทางเพศ หรือเป็นคนโลภ โกงไหว้รูปเคารพ เพราะถ้าห้ามอย่างนั้นพวกท่านก็ต้องออกไปจากโลกนี้

1 โครินธ์ 5:11 แต่ตอนนี้ ข้ากำลังเขียนบอกท่านไม่ให้คบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องในความเชื่อ แต่ยังทำผิดทางเพศ เป็นคนโลภ ไหว้รูปเคารพ ให้ร้ายคนอื่นเป็นคนขี้เมา หรือฉ้อโกงผู้อื่นแม้แต่จะกินอาหารด้วยกัน ก็อย่าเลย

1 โครินธ์ 5:12-13 ข้าไม่มีหน้าที่ไปพิพากษาคนนอกคริสตจักร แต่ท่านต้องพิพากษาคนภายในมิใช่หรือ? พระเจ้าจะทรงเป็นผู้กล่าวโทษคนนอกเองส่วนท่าน จงกำจัดคนชั่วออกไปจากพวกท่านเสีย

บาปร้ายในคริสตจักร
1 โครินธ์ 5:1
เหลือเชื่อ! ในคริสตจักรมีการทำผิดอย่างที่คนนอกไม่ได้ทำ แต่แล้ว เมื่อเราหันมาดูปัญหาในคริสตจักรทุกวันนี้ เราพบว่า สิ่งที่ท่านเปาโลกล่าวถึงยังคงเป็นจริงในทุกวันนี้หลายคนคิดว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ทำผิดอย่างไรก็ไม่เป็นไร พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะไม่เอาผิด คิดว่าตนเองเป็นคนอยู่เหนือคนอื่นเป็นคนที่เข้าใจทางของพระเจ้าตามใจตัวเองและเอาพระคำของพระเจ้าข้อนั้น ข้อนี้มาเข้าข้างตน 
1 โครินธ์ 5:2-3
การทำผิดทางเพศเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโครินธ์ครั้งที่พวกเขายังไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่เมื่อมาเชื่อแล้วพวกเขาจะต้องละทิ้งชีวิตแบบนั้น ท่านเปาโลโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่โกรธยิ่งกว่านั้นคือการที่คริสตจักรไม่จัดการ กลับยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นท่านเป็นห่วงคริสตจักรที่มีความรู้สึกเฉยกับบาปเช่นนั้น การที่คริสเตียนไม่รู้สึกกับบาปดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากลัวพอ ๆ กับคนที่ลงมือกระทำบาปนั้น
1 โครินธ์ 5:4
พระคำข้อนี้ทำให้เราเห็นถึงหัวใจของท่านเปาโลว่าห่วงใยพี่น้องเพียงไร ท่านมีใจคิดถึง อธิษฐานเผื่อ และเฝ้าเป็นห่วง สอนแม้กระทั่งผ่านการเขียนจดหมาย ซึ่ง แต่ที่สำคัญ ท่านรู้ว่า พระเจ้าทรงทำการในหมู่พวกเขาด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ท่าน หวังใจว่าพวกเขาจะเปลี่ยนด้วยฤทธิ์ของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้รับใช้พระเจ้าจึงไม่ท้อถอยแม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากพี่น้อง
1 โครินธ์ 5:5
ทำไมส่งคริสเตียนที่ทำผิดไปให้ซาตานทำลาย เพื่อเขาจะได้รอด? มีความเห็นหลายอย่างจากข้อนี้ บางท่านเห็นว่าการส่งไปให้ซาตาน คือเขาจะพบกับการทนทุกข์ทางร่างกายจนเขากลับใจ ล่าสุดคือมีความคิดว่า เนื้อหนัง และวิญญาณของผู้เชื่อนั้นเป็นของชุมชนผู้เชื่อด้วย การที่ให้เขาออกไปก็เพื่อรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณของคนอื่นไม่ให้หลงผิดไปข้อนี้แปลความยากจริง ๆ แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าทรงใช้ศัตรูมาดัดหลังให้กลับใจได้เสมอ เราจะเห็นมาตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าทรงใช้ชาติต่าง ๆ มาโจมตีอิสราเอลเพื่อให้เขากลับใจ
1 โครินธ์ 5:6-7
ความบาปของคนหนึ่งในชุมชนของพระเจ้า ก็สามารถที่ทำให้ทั้งคริสตจักรถึงกับหายนะไปได้ ดังนั้น เมื่อมีการทำบาป จะต้องจัดการกับเรื่องนั้นอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็วเอามันออกไปเพื่อจะเป็นชุมชนที่ไร้เชื้อบาป ท่านกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงถูกถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับผู้ที่เชื่อ เราต้องเห็นแก่สิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อเรา ไม่ใช่เห็นแก่หน้าคนที่ทำบาป และยังอวดดี โอหังอยู่ในชุมชนผู้เชื่อ
1 โครินธ์ 5:8
ท่านเปาโลบอกให้พี่น้องคิดถึงเทศกาลปัสกา เป็นวันที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นให้คนอิสราเอลในอียิปต์ใหม่ ให้พวกเขาพ้นจากการเป็นทาส การเริ่มต้นเริ่มด้วยการกินขนมปังไม่มีเชื้อ ความหมายคือ คนของพระองค์จะต้องไม่เหมือนคนของโลกต้องแยกออกจากชีวิตอย่างโลก ไม่มีความชั่วร้ายของโลกอยู่ในชีวิต วิธีเดียวที่จะไม่ให้ขนมปังมีเชื้อ คือไม่ใส่เชื้อเข้าไป วิธีเดียวที่จะไม่ให้อาหารกลายเป็นรา คือ เมื่อเกิดรา ต้องเอาราออกไปเชื้อยีสต์ที่ท่านเปาโลนำมาเป็นคำเปรียบเทียบนี้เป็นภาพที่ช่วยให้เราเห็นชัดเจนทั้งในชุมชนผู้เชื่อและในชีวิตส่วนตัว หากปล่อยไว้ ก็จะลุกลามต่อไป

จัดระเบียบตัวเองให้ได้
1 โครินธ์ 5:9-10
แต่แล้ว เมื่อมาคิดถึงความเป็นจริงในชีวิตคนเราเราพบเจอกับคนทีทำบาป คนเหล่านั้น ไม่ได้เชื่อพระเจ้า มีชีวิตตามใจของตนเอง เป็นคนหลงทางที่ผู้เชื่อจะต้องช่วยให้พวกเขาได้พบพระเจ้า เราต้องรู้พันธกิจของชีวิต เหมือนอย่างที่พระเยซูตรัสว่า เราได้มาเพื่อช่วยผู้ที่หลงหายไปให้รอด ถ้าอย่างนั้นแล้ว ท่านเปาโลหมายความว่าอย่างไร?ทำไมถึงไม่ให้คบหาสมาคม?
1 โครินธ์ 5:11
ตรงนี้ ชัดเจนแล้ว หากคนที่บอกว่าตนเองเชื่อแต่ยังมีชีวิตที่ประพฤติผิดแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมา พี่น้องจะต้องไม่คบหาสมาคมกับคนเช่นนี้ เพราะพวกเขาเป็นเหมือนเชื้อยีสต์ หรือเชื้อราที่ทำลายชีวิตของคนที่ไปสุงสิงด้วย ท่านไม่ให้กินอาหารร่วมกับคนหน้าซื่อใจคดไม่ให้เป็นเพื่อนสนิทกับคนเหล่านี้ ท่านเปาโลได้เรียงความผิดบาปที่พี่น้องจะต้อง สังเกตให้ดี .. ท่านสอนตรงจุด กระชับ ได้ใจความ 
1 โครินธ์ 5:12-13
ผู้เชื่อไม่มีหน้าที่ไปตัดสินคนในภายนอก ผู้ที่ตัดสินคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ได้ติดตามพระเยซูคริสต์ หน้าที่เราคือ ชักชวนให้เขามาหาพระเจ้า เข้ามาสู่แผ่นดินของพระองค์ ส่วนสิ่งที่เราต้องทำในหมู่ผู้เชื่อคือ กำจัดคนที่ทำบาปร้ายแรงทั้ง ๆ ที่กล่าวว่าตนเป็นผู้เชื่อให้ออกไปจากชุมชนคนของพระเจ้า เผื่อว่าเขาจะพบว่าบาปนั้นทำร้ายเพียงใดและกลับใจมีโอกาสรอดอีกครั้ง (ดูข้อ 5)

พระคำเชื่อมโยง

1* วิวรณ์ 21:8; 2:21; โคโลสี 3:5; เอเฟซัส 5:3
2* วิวรณ์ 2:20-22; 2 โครินธ์ 12:21; 2โครินธ์ 7:7-11
3 * โคโลสี 2:5; 1 เธสะโลนิกา 2:17; 2โครินธ์ 13:2; 2 โครินธ์ 10:11
4* 2 โครินธ์ 13:3; 13:10; ยอห์น 20:3; 2 เธสะโลนิกา 3:6
5* 1 ทิโมธี 1:20; 2 เธสะโลนิกา 3:14-15; กาลาเทีย 6:1-2; ยากอบ 5:19-20

6* ยากอบ 4:16; กาลาเทีย 5:9; 1 โครินธ์ 15:33; 5:2; มัทธิว 13:33
7* 1 เปโตร 1:19-20; เอเฟซัส 4:22; โคโลสี 3:5-9 ; กิจการ 8:32-35
8* เฉลยธรรมบัญญัติ 16:3; 1 เปโตร 2:1-2; อพยพ 12:15; ลูกา 12:1; มาระโก 8:15
9* เอเฟซัส 5:11; 2 เธสะโลนิกา 3:14, 3:6

10* 1 โครินธ์ 10:27; วิวรณ์ 12:9; ยอห์น 17:15-16 ; 1 ยอห์น 5:19
11* โรม 16:17; 2 เธสะโลนิกา 3:6, 3:14 ; มัทธิว 18:7
12* 1 ทิโมธี 3:7; ลูกา 12:4; มาระโก 4:11; 1 โครินธ์ 5:3-5
13* เฉลยธรรมบัญญัติ 13:5; 17:7; 21:21; มัทธิว 18:17