1 เธสะโลนิกา 5 วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พี่นองทั้งหลาย เรื่องของเวลาและฤดูนั้น เราไม่จำเป็นต้องเขียนบอกท่าน เพราะท่านรู้ดีว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเหมือนขโมยยามค่ำคืน ขณะที่ผู้คนกล่าวว่า “เป็นสุข ปลอดภัย” หายนะจะมาถึงพวกเขาทันควัน เหมือนหญิงเจ็บท้องคลอดบุตร และพวกเขาจะหนีไม่พ้น
1 เธสะโลนิกา 5:1-3
กิจการ 1:7, มาระโก 13;30-32, 2 เปโตร 3:10,มัทธิว 24:3, ลูกา 21:34-35, 2 เปโตร 2:4
การเสด็จกลับมาของพระเยซูนั้น มีสัญญาณบอกว่า ใกล้แล้วนะ จะมาแล้ว แต่ไม่ได้มีบอกวันเวลาที่ชัดเจน “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึง วันที่พระเจ้าจะเสด็จเข้ามาแทรกในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ ทรงเข้ามาเพื่อพิพากษา และช่วยกู้คนของพระองค์
แต่ว่าพี่น้องทั้งหลายไม่ได้อยู่ในความมืด เพื่อว่าวันนั้นจะไม่มาถึงราวกับโจรบุกเข้ามา เพราะพวกท่านเป็นลูกของความสว่าง ลูกของกลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืน ไม่ได้เป็นของความมืด
1 เธสะโลนิกา 5:4-5
โคโลสี 1:13,2 เปโตร 3:10,เอเฟซัส 5:8,ยอห์น 12:36
ในบทที่ 4 ข้อ 13-17 ท่านเปาโลได้บอกแล้วว่า การเสด็จมาของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร พวกเขาจึงมีความเข้าใจดีการบอกว่า “เป็นลูกของ” หมายถึงว่าเป็นแบบนั้น พวกเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว ไม่เป็นของมารอีกต่อไป
ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น แต่จงตื่นตัว มีสติ ไม่เมาค้าง เพราะคนที่หลับ ก็หลับในเวลากลางคืน คนที่เมา ก็เมาในเวลากลางคืน
1 เธสะโลนิกา 5:6-7
1 เปโตร 1:13, ลูกา 22:46, มัทธิว 24:42,2 เปโตร 2:13, 1 โครินธิ์ 15:34, โรม 13:13
สิ่งสำคัญสำหรับพี่น้องคือ ตื่นตัวและรู้ตัวเสมอ เราต้องคอยดูว่า เมื่อไรผู้ต่อต้านพระคริสต์จะมาปรากฏตัว และทั้งต้องรอคอยพระเจ้าให้พร้อม
แต่ในเมื่อเราเป็นของกลางวัน ให้เราไม่เมามาย และสวมโล่แห่งความเชื่อและความรักป้องกันอกไว้ และสวมหมวกแห่งความหวังในความรอด 1 เธสะโลนิกา 5:8
1 เปโตร 1:13, โรม 13:12-13,อิสยาห์ 59:17, เอเฟซัส 6:11
เหมือนทหารที่ต้องปกป้องตนเอง พวกเขาจะต้องปกป้องชีวิตด้วยความเชื่อ ความรัก และความหวังในพระเจ้า สามประการนี้สำคัญยิ่งที่จะทำให้เรามั่นคงจนถึงวันนั้น
เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเตรียมเราไว้เพื่อพระพิโรธ แต่เพื่อรับความรอดโดยพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่า ไม่ว่าเราจะตื่นหรือหลับเราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ ดังนั้นให้เราหนุนใจกันและกัน สร้างเสริมกันและกันอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่
1 เธสะโลนิกา 5:9-11
1 เธสะโลนิกา 1:10, 3:3 กิจการ 13:48,1 เปโตร 3:18, โรม 14:8-9
ท่านเปาโลกำลังหนุนใจ ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จริง ๆ จะไม่ต้องรับพระพิโรธ ทั้งนี้เป็นเพราะเราอยู่ใต้พระคุณของพระเยซูที่ทรงรับพระพิโรธแทนเราแล้ว
เราจึงหนุนใจกัน พระคำตอนนี้ให้ความหวังว่า พระเจ้าจะทรงรับเราไปเมื่อถึงวันของพระองค์
ชีวิตกับพี่น้องที่เชื่อ
เราขอร้องพี่น้องทั้งหลาย ให้ความเคารพต่อผู้ที่ลงแรงทำงานท่ามกลางพวกท่านและดูแลท่านอยู่ในพระเจ้า และเป็นผู้สอนพวกท่าน จงเคารพพวกเขาให้มากด้วยความรักเพราะงานที่เขาทำ และจงมีสันติสุขในหมู่พวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 5:12-13
ฮีบรู 13:7,17, 1 โครินธ์ 16:18, กาลาเทีย 5:22
ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงผู้ที่ดูแลฝ่ายวิญญาณซึ่งทำงานอย่างขยันขันแข็ง เป็นห่วงเป็นใย เป็นผู้เลี้ยงที่ดี พี่น้องจึงควรที่จะให้เกียรติพวกเขา ไม่ใช่ทำลาย
เราขอวิงวอนท่านพี่น้องว่า ให้เตือนคนที่ไม่รับผิดชอบ หนุนใจคนที่ท้อแท้ ช่วยคนที่อ่อนแอและอดทนต่อทุก ๆ คน ดูว่า ไม่มีใครตอบแทนการชั่วด้วยการชั่ว แต่ให้ตามติดสิ่งที่ดี ทั้งเพื่อพวกท่านและเพื่อทุก ๆ คน
1 เธสะโลนิกา 5:14-15
2 ทิโมธี 4:2, โรม 14:1,1 เปโตร 3:9, 3 ยอห์น 1:11
ไม่เฉพาะให้เกียรติผู้นำที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการดูแลพี่น้องคนอื่น ๆ อย่างเหมาะสมด้วย ในชุมชนของผู้เชื่อเราไม่ได้อยู่กันอย่างไม่สนใจกัน แต่มีความเอาใจใส่ต่อกันและกันเป็นอย่างมาก
จงยินดีอยู่เสมอ อธิษฐานไม่หยุดหย่อน ให้ขอบพระคุณในทุก ๆ สิ่ง เพราะนี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
1 เธสะโลนิกา 5:16-18
โรม 12:12, ฟีลิปปี 4:4-6, โคโลสี 4:2, 3:17 เอเฟซัส 6:18,5:20
คำสั่งให้ยินดีนั้นมีมากมายในพระคัมภีร์ เรายินดีได้เสมอเพราะรู้ว่า เราผ่านจากนรกมาได้ก็เพราะพระเจ้า หัวใจที่อธิษฐานไม่หยุดนั้น ก็เพื่อสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นในชีวิตของคนอื่น การขอบพระคุณช่วยตัวเราให้เป็นคนไม่บ่น มองโลกอย่างมีความหวังเสมอ
อย่าดับไฟพระวิญญาณ อย่าดูหมิ่นคำเผยพระคำ จงพิสูจน์ทุกสิ่ง และยึดสิ่งที่ดีเอาไว้ ให้หลีกหนีความชั่ว
1 เธสะโลนิกา 5:19-22
เอเฟซัส 4:30, 1 ทิโมธี 4:14, 1 โครินธ์ 14:22-25, 1 ยอห์น 4:1, เอเฟซัส 5:10, ฟีลิปปี 4:8
การดับไฟพระวิญญาณคือการขัดขวางการทำงานของพระเจ้าในชีวิตของตัวเองและคนอื่น เหมือนกับเอาน้ำไปดับไฟ เราจำต้องตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามใจตัวเอง และเราต้องระวังที่จะไม่เชื่อทุกสิ่งที่ใคร ๆ กล่าวออกมา ต้องพิสูจน์ ต้องชัดเจน
บัดนี้ ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้สะอาดหมดจด และขอให้จิตใจ และวิญญาณและร่างกายของท่านถูกรักษาไว้ไม่ให้มีข้อตำหนิใด ๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงซื่อตรง และพระองค์จะทรงทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
1 เธสะโลนิกา 5:23-24
ยูดา 1:24, 1 โครินธ์ 1:8-9, 1 เปโตร 5:10, 2 เธสะโลนิกา 3:3, กันดารวิถี 23:19
ในข้อนี้เราเห็นชัดเจนว่า เราต้องสะอาดทั้งกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ทั้งสามส่วนนี้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในด้านต่างกัน วิญญาณของเราสื่อสารกับพระเจ้า จิตใจของเราใคร่ครวญเรียนรู้จากพระเจ้า ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณ
พี่น้องทั้งหลาย อธิษฐานเผื่อเราด้วย และทักทายกันด้วยธรรมเนียมจุบที่บริสุทธิ์ ข้อขอกำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า ให้อ่านจดหมายนี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย อาเมน
1 เธสะโลนิกา 5:25-28
ฟิเลโมน 1:22, โคโลสี 4:3,16, โรม 16:16, 20,23
ภาพข้างบนบอกเราว่า สมัยก่อนเขาทักทายกันอย่างนี้ ต่อมาก็เป็นแก้มชนแก้ม จดหมายทุกฉบับมีการอ่านเวียนกันในคริสตจักร ขอบคุณพระเจ้าที่แม้กระทั่งเราก็ได้มีโอกาสอ่านจดหมายของท่านเปาโล
1 เธสะโลนิกา 4 คำขอร้องในการใช้ชีวิต
ที่สุดแล้ว พี่น้องทั้งหลาย เราทั้งขอร้องและหนุนใจท่านในพระเยซูเจ้าว่าขณะที่ท่านรับรู้จากเราว่า ควรดำเนินชีวิตอย่างไร จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยอย่างไร ท่านก็ควรที่จะทำอย่างนั้นมากขึ้น
1 เธสะโลนิกา 4:1
1 โครินธ์ 15:58, ฟีลิปปี 1:27,โคโลสี 1:10
ไม่ว่าความรู้เรื่องใดก็ตามในโลก ความรู้ที่ผ่านเข้ามา เมื่อเราทุ่มเทฝึก เข้าใจ ตามหา สืบค้น เราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จาก ศูนย์ไปมากขึ้น ตามลำดับ
เพราะพวกท่านรู้ถึงคำสอนสั่งที่เราให้ไว้กับท่านตามทางของพระเยซูเจ้าว่า นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ ให้ทุกคนรู้จักควบคุมตนเองอย่างบริสุทธิ์และมีเกียรติ
1 เธสะโลนิกา 4:2-3
โรม 12:2, เอเฟซัส 5:27,1 โครินธ์ 6:15-20, โคโลสี 3:5
เรื่องความบริสุทธิ์ใจที่จะมีต่อพี่น้องนั้น ท่านเปาโลถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะลูกของพระเจ้าจะต้องไม่เป็นเหมือนคนในโลกที่ทำตามใจตนเอง การบังคับใจ การควบคุมตนเอง เป็นหนึ่งในผล ของพระวิญญาณ
ให้ทุกคนควบคุมร่างกายตนเองให้บริสุทธิ์และมีเกียรติ ไม่ใช่ด้วยตัณหาเร่าร้อนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า อย่าให้ใครล่วงเกิน เอาประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงในเรื่องนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษคนที่ทำผิดอย่างนั้น เราได้เตือนท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว
1 เธสะโลนิกา 4:4-6
โรม 6:19, โคโลสี 3:5, เอเฟซัส 4:17-18, 1 โครินธ์ 15:34,2 เธสะโลนิกา 1:8
สังคมคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าในโลกโบราณนั้น ผู้ชาย และชนชั้นสูงในสังคมเป็นใหญ่ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง พวกเขาสามารถเอาประโยชน์จากคนที่ต่ำต้อยกว่าง่าย ๆ อย่างไม่รู้สึกว่าผิดแม้แต่น้อย คำสอนคริสเตียนเป็นสิ่งที่นำความเท่าเทียมกันเข้ามา
พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเรา ให้เป็นคนหมกมุ่นทางเพศ แต่ทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ คนที่ไม่รับคำสั่งนี้ ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์แต่เป็นการปฏิเสธพระเจ้า ผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของพระองค์แก่พวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 4:7-8
เลวีนิติ 11:44, ฮีบรู 12:14,
เมื่อพระวิญญาณทรงเข้ามาประทับในชีวิตของใครคน ๆ นั้น ก็เป็นดั่งพระวิหารของพระองค์ แต่ในเวลาเดียวกัน ความต้องการของตนเองไม่ได้หายไป แต่เป็นโลกใหม่ที่จะต้องรู้จักควบคุมตนเองเป็นชีวิตที่ต้องตายต่อความต้องการด้านลบของตนเอง
ชีวิตพี่น้องในพระคริสต์
เราไม่ต้องเขียนเรื่องการรักพี่น้องถึงท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนให้รักกันและกัน ที่จริง ท่านก็รักพี่น้องทั่วแคว้นมาซิโดเนียอยู่แล้วแต่เราขอหนุนใจให้ท่านรักมากขึ้นกว่าเดิม
1 เธสะโลนิกา 4:9-10
เยเรมีย์ 31:33-34, ยอห์น 6:45,15:12,17, มัทธิว 22:39, 1 เธสะโลนิกา 3:12
ในเมื่อรู้แล้วว่า จะทำให้พอพระทัยพระเจ้าได้ อย่างไร ก็ขอทำให้มากขึ้น ตรงนี้ รักกันอยู่แล้ว ขอให้รักมากขึ้น
จงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบ เอาใจใส่การงานของตน ลงมือทำงานด้วยมือของตนเองเหมือนอย่างเคยเราบอกท่านไว้เพื่อท่านจะเป็นที่นับถือของคนภายนอกไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย
1 เธสะโลนิกา 4:11-12
2 เธสะโลนิกา 3:11, 1 เปโตร 4:15, กิจการ 20:35,โรม 13:13, โคโลสี 4:5
ชีวิตคริสเตียนไม่มีคำว่าพอแล้ว ดีพอ แต่จะต้องใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะอายุมากขึ้นก็ทำเฉื่อยชาไม่ได้ แต่ให้ ทำสิ่งที่พอพระทัยมากขึ้น ไม่มีขอบเขต ที่ว่าไม่พึ่งพาในข้อนี้คือ ไม่ทำตัวเป็นปลิงกินแรงคนอื่นเพื่อให้ตัวอยู่รอด
เรื่องการเสด็จมาครั้งที่สอง
แต่ข้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้สถานะของผู้ที่ล่วงหลับไปเพราะท่านอาจจะเศร้าใจเหมือนคนที่ไม่มีหวัง หากเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นชีพและคืนชีพขึ้นมา พระเจ้าจะทรงนำคนที่ล่วงหลับในพระเยซูกลับมาพร้อมกับพระองค์
1 เธสะโลนิกา 4:13-14
1 โครินธ์ 15:20-23, เอเฟซัส 2:12
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น พระองค์จะทรงนำผู้เชื่อที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้มาพร้อมกับพระองค์ด้วย วันที่พเสด็จมาจึงเป็นวันชุมนุมครั้งใหญ่ของผู้เชื่อที่สิ้นชีวิตไปนานมาแล้ว ทั้งโลกและสวรรค์จะเห็นไปพร้อม ๆ กัน วิญญาณมากมายจะมากับพระองค์
เราขอบอกท่านตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ และกำลังรอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ไปก่อนเหล่าผู้ที่ล่วงหลับอย่างแน่นอน
1 เธสะโลนิกา 4:15
2 โครินธ์ 12:1, กาลาเทีย 1:12, 1 โครินธ์ 15:51-52, 1 เธสะโลนิกา 5:10
จากข้อนี้ไปถึงข้อสิบแปด เป็นการเรียงลำดับเหตุการณ์ในเวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมา อะไรก็ตามที่พระเจ้าตรัสว่าจะเกิด มันจะเกิดขึ้นแน่นอน
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ พร้อมเสียงดังกึกก้อง ด้วยเสียงของอัครทูตสวรรค์ ด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนที่ตายในพระคริสต์จะคืนชีพขึ้นมาก่อน
1 เธสะโลนิกา 4:16
มัทธิว 24:30-31, 1 โครินธ์ 15:52,23,
2 เธสะโลนิกา 2:1, วิวรณ์ 14:13, 20:6
ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อกษัตริย์เสด็จออก จะมีเสียงตะโกนและเสียงแตรนำหน้าพระองค์ การเสด็จกลับมาของพระเยซูจะเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะทรงแบบที่เราไม่ทั้งตั้งตัว พระองค์จะไม่มาเงียบ ๆ แต่จะมีเสียงสนั่นที่ทั้งโลกได้ยิน
แล้วต่อมา คนที่ยังมีชีวิตและคงอยู่ในโลกนี้จะถูกรับขึ้นไปในหมู่เมฆพร้อมกับพวกเขาเราจึงจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ ดังนั้น จงหนุนใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้
1 เธสะโลนิกา 4:17-18
1 โครินธ์ 15:51-53, 1 เธสะโลนิกา 5:10, ดาเนียล 7:13, กิจการ 1:9, วิวรณ์ 11:12
นี่เป็นลำดับการเสด็จมาและการรับผู้เชื่อขึ้นไป พระเจ้าทรงวางลำดับเหตุการณ์ให้เห็นว่า อะไรมาก่อนมาหลัง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงบอกตั้งแต่ต้นจนจบมาตั้งแต่เริ่มแรก เราจึงวางใจได้ว่า เหตุการณ์จะเรียงลำดับตามนั้น
1 เธสะโลนิกา 3 กำหนดให้ทนทุกข์
ดังนั้น เมื่อเราทนต่อไปไม่ไหว เราจึงเต็มใจถูกทิ้งไว้ที่เมืองเอเธนส์ตามลำพังและเราส่งทิโมธี ซึ่งเป็นทั้งน้องชายและผู้ร่วมงานรับใช้พระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้วางฐานให้ท่านมั่นคง และหนุนใจท่านเรื่องความเชื่อ
1เธสะโลนิกา 3:1-2
กิจการ17:15,14:22-23,ฟีลิปปี 1:25
ทิโมธีมีความหมายต่อท่านเปาโลมาก เพราะยังหนุ่มแน่นและร่วมรับใช้อย่างซื่อสัตย์ ท่านยอมส่งทิโมธีมายังเมืองเธสะโลนิกาเพื่อวางรากฐานความเชื่อให้มั่นคง
เพื่อว่าจะไม่มีใครหวั่นกับความลำบากเหล่านี้ เพราะตัวท่านเองทราบว่า เราถูกกำหนดไว้สำหรับความลำบากดังกล่าว ความจริง ตอนที่เราอยู่กับท่าน เราได้บอกว่า เราจะต้องพบการข่มเหง และท่านก็รู้แล้วว่า มันเกิดขึ้นจริง
1 เธสะโลนิกา 3:3-4
กิจการ 14:22, 9:16,20:24 ยอห์น 16:2,33, 2 เธสะโลนิกา 1:4-6
เราอาจมีความเชื่อว่าชีวิตดี ๆ คือชีวิตที่สบาย แต่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตที่พบความยากลำบากมาก่อนคือชีวิตที่เข้มแข็ง ท่านต้องการให้รู้ว่า เราทุกคนถูกกำหนดไว้เพื่อเจอความลำบาก เพื่อชนะมันโดยพระคุณ ของพระเจ้า เราต้องเข้าใจว่า ความยากในชีวิตมีเพื่อทดสอบ และฝึกให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้การได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อข้าไม่อาจทนต่อไปได้ข้าจึงส่งทิโมธีไปเพื่อจะได้รู้ว่า ความเชื่อของท่านเป็นอย่างไรด้วยเกรงว่า ผู้ที่มาล่อหลอกอาจล่อลวงท่านสำเร็จ งานที่เราบากบั่นทำมา จะล้มเหลวไป
1 เธสะโลนิกา 3:5
มัทธิว 4:3, ยากอบ 1:13-14, 2 โครินธ์ 2:11
คนสอนผิด คนสอนล่อลวง คนที่เอาพระคำของพระเจ้ามาบิดเบือนนั้น ไ่ม่เคยขาดหายไปจากโลก เลย ทุกวันนี้ เราพบว่า มีสิบแปดมงกุฎที่ออกทีวี
พูดจาให้คนเชื่อถือ เอาพระคัมภีร์มาสอนผิดอย่างร้ายแรง ท่านเปาโลห่วงอย่างไรในสมัยของ ท่าน พวกเราก็ควรห่วงทั้งตัวเองและเพื่อน ๆ คอยระวังระไวให้ดีตลอดเวลา
ตอนนี้ ทิโมธีจากพวกท่านมาถึงเราแล้ว และได้นำข่าวดีเรื่องความเชื่อและความรักของท่านมาด้วย และเขากล่าวว่า พวกท่านคิดถึงเราในเรื่องดี ๆ เสมอ ปรารถนาที่จะพบเราเหมือนอย่างที่เราอยากจะพบพวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 3:6
1 โครินธ์ 11:2, อิสยาห์ 52:7
คริสเตียนในเธสะโลนิกาก็ต้องเจอกับ ปัญหา การข่มเหง การล่อลวง และปัญหาอื่น แต่พวกเขายังมั่นคงใน ความเชื่อและความรัก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิตทุก ๆ คน
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราได้รับการหนุนใจ เพราะความเชื่อของพวกท่าน ด้วยเหตุนี้ เราจึงเบาใจกับความลำบากและความยากเข็ญของเรา ตอนนี้เรามีชีวิตชีวา เพราะท่านมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า
1 เธสะโลนิกา 3:7-8
2 ทิโมธี 3:10-12, โคโลสี 1:23, ฮีบรู 10:23, ฟีลิปปี 1:21
จะมีอะไรที่ทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าดีใจ เป็นสุขได้ เท่ากับได้เห็นว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำราชกิจของพระองค์ในชีวิตของผู้ที่ฟังพระคำ
จากเขา ความยากเข็ญที่ท่านเปาโลกำลังพบอยู่จึงกลายเป็นความเบาใจ ทำให้ท่านมีกำลังที่จะสู้ต่อไป ทิโมธีเป็นผู้ส่งข่าวดีให้กับท่านในครั้งนี้
เราจะขอบคุณต่อพระพักตร์พระเจ้าให้สมกับความยินดีเพราะพวกท่านได้อย่างไร? ในขณะที่เราอธิษฐานทั้งคืนทั้งวันอย่างร้อนใจเพื่อจะได้พบหน้าท่านอีก และเพื่อจะเพิ่มเติมสิ่งที่ท่านยังขาดอยู่ให้เต็มบริบูรณ์
1 เธสะโลนิกา 3:9-10
2 โครินธ์ 9:15, สดุดี 98:8-9,2 ทิโมธี 1:3, 2 โครินธ์ 13:9
เราทุกคนเหมือน แก้วน้ำที่ยังไม่เต็ม เรายังขาดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีใครบอกได้ว่า ตนเองบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบแล้ว แม้แต่ท่านเปาโลเองก็กล่าวในฟีลิปปี 3:12 ว่า ไม่ใช่ว่าพร้อมแล้ว แต่กำลังก้าวไปข้างหน้าเพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูทรงเตรียม
ไว้ให้ ตราบใดที่มีชีวิตก็ต้องเติมเต็มด้วยพระเจ้าเสมอ
ขอพระเจ้าคือองค์พระบิดาและองค์พระเยซูเจ้าของเรา ทรงนำเราไปถึงท่าน และขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเพิ่มพูนให้ท่านไหลล้นด้วยความรักกันและกัน และรักทุกคนเหมือนอย่างที่เรารักท่าน
1 เธสะโลนิกา 3:11-12
2 เธสะโลนิกา 2:16, 1 ยอห์น 3:1, ฟีลิปปี 1:9, 1 ยอห์น 3:11-19
คำอธิษฐานของท่านเปาโล มาจากคำบัญชาของพระเยซูในยอห์น 13:35 ว่าให้เรารักซึ่งกันและกัน สังเกตไหมว่า ทุกวันนี้ความรักเยือกเย็นลงมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง จะเปลี่ยนให้เป็นรักที่ร้อนแรงได้ก็ด้วยพระเจ้าเท่านั้น ด้วยอย่างอื่น ไม่มีทาง
ขอพระองค์ทรงทำให้ใจของท่านไร้ตำหนิ อยู่ในความบริสุทธิ์ ต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดาของเรา เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
จะเสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์
1 เธสะโลนิกา 3:13
โคโลสี 1:22, 1 เธสะโลนิกา 5:23, เอเฟซัส 5:27
ความปรารถนาของท่านเปาโลคือ
ชีวิตที่ไร้ตำหนิ ชีวิตที่บริสุทธิ์
เป็นชีวิตที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยพระเจ้าในขณะที่ดำเนินชีวิตตามปกติในแต่ละวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ ไม่ได้ลืมว่า พระเยซูจะเสด็จ กลับมา จึงรอคอยพระองค์ด้วยหัวใจที่โหยหาและระมัดระวัง