ยอห์น 1 อธิบายเพิ่มเติม+พระคำเชื่อมโยง

จริง ๆ แล้ว การอธิบายพระคัมภีร์ดีที่สุดคือ การให้พระคำตอนอื่น ๆ ช่วยอธิบาย ดังนั้น เราจึงควรใช้พระคำเชื่อมโยงช่วยให้เราเข้าใจพระคำตอนที่เรากำลังศึกษา

พระคำนิรันดร์

ยอห์น 1:1-3
ท่านยอห์นวางเรื่องราวไว้ ณ ต้นกำเนิดของกาลเวลา ใช้คำ “เมื่อเริ่มต้น หรือ ในปฐมกาล” เริ่มต้นหนังสือเล่มนี้ จากนั้นท่านแนะนำ “พระคำ” ว่า “ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์”  ชัดเจนว่า พระคำท่านนี้เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง โดยไม่เว้นสักสิ่งเดียว
พระคำ คือใคร ให้อ่านข้ามไปที่ยอห์น 1:14
 พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:1-3
ปฐมกาล 1:1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน
โคโลสี 1:17  พระองค์ทรงอยู่มาก่อนสรรพสิ่ง  และสรรพสิ่งเหล่านี้ ถูกเชื่อมโยงติดกันในพระองค์
สุภาษิต 8:23-30 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กำเนิดเรา ก่อนบรรดาราชกิจของพระองค์แต่โบราณ  เราอยู่ที่นั่นเมื่อพระองค์สถาปนาฟ้าสวรรค์ 
1 ยอห์น 1:1 เราประกาศพระคำแห่งชีวิต ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล  
วิวรณ์ 3:14 พระองค์ทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
วิวรณ์ 19:13 พระนามของพระองค์นั้นคือ พระคำของพระเจ้า

ยอห์น 1:4-5 ชีวิตดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ท่านยอห์นเน้นคำว่าชีวิตที่มาจากพระคำ ตรงนี้ท่านใช้คำว่า โซเอ zoē ซึ่งหมายถึงชีวิตนิรันดร์ ชีวิตของพระเจ้า แหล่งที่มาของชีวิต ไม่ใช่คำว่า bios ซึ่งหมายถึงชีวิตทางสรีระ 
ในพระคำมี ชีวิตที่เป็นแสงสว่างของมนุษย์   คำว่า แสงสว่างนี้  เป็นคำที่ยอห์นหมายถึงความจริง ความรู้ในพระเจ้า  (ยอห์น 3:19 )   ชีวิตนั้นมีเพื่อคนทุกคน 
ความสว่างที่ส่องมาในความมืดนี้ ท่านยอห์นใช้คำที่สื่อว่าเป็นสว่างที่ส่องมาอย่างต่อเนื่อง ต่อไป ไม่หยุด ความมืดไม่ชนะความสว่าง หรือ ความมืดไม่เข้าใจความสว่าง  สว่างไม่แพ้มืด
จากพระคำเชื่อมโยงข้างล่าง เราจึงได้รู้ว่า ความสว่างนั้นก็คือองค์พระเยซูนั่นเอง
พระเยซูทรงยืนยันชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก
พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:4-5
 ยอห์น 9:5 ขณะที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก 
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง เพื่อว่าคนที่เชื่อเราจะไม่ตกในความมืด
ยอห์น 12:36 จงวางใจในความสว่างขณะที่ยังมีความสว่าง เพื่อจะได้กลายเป็นลูกของความสว่าง 
ยอห์น 3:19-20  ความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว  แต่มนุษย์รักความมืด แทนที่จะรักความสว่าง   ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง กลัวว่าจะถูกเปิดโปง

ยอห์น 1:6-8 ช่วงเวลา 400 ปีก่อนหน้านี้  พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรกับคนอิสราเอลเลย   แล้วในเวลาอันเหมาะ พระเจ้าทรงยอห์นมาเพื่อเป็นพยาน มีการพยากรณ์ถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาจะเป็นคนที่มาก่อนพระเยซู   การที่ใคร ๆ ก็สงสัยว่ายอห์นคือผู้ใด ผู้เขียนจึงบอกให้รู้ชัดเจน ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมานั้น เป็นรองจากพระเยซูเพื่อว่าทุกคนจะได้เชื่อ ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นหนึ่งในพยานหลาย ๆ คนที่กล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด   หน้าที่ของเขาชัดเจนมาก คือช่วยเตรียมใจของคนที่ฟังให้ตอบรับพระเมสสิยาห์   ผู้เขียนย้ำอีกว่า ยอห์นไม่ใช่องค์ความสว่างที่เข้ามาในโลก
คำว่าเชื่อ มีใช้ถึง 78 ครั้งในหนังสือยอห์น แน่นอน เป็นคำสำคัญมาก  เราไม่ได้เชื่อเพราะอารมณ์ หรือได้ความรู้มา เราเชื่อเพราะเราเต็มใจตอบรับความรอดที่พระเจ้าทรงยื่นให้
ความสว่างที่ยอห์นเป็นพยานให้ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะให้มาตั้งแต่นานมาแล้ว ดูพระคำข้างล่าง

พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:6-8
มัทธิว 3:1-17 เรื่องราวของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ยอห์น 3:25-36 ผู้คนประหลาดใจที่มีทั้งยอห์น และพระเยซู จึงสงสัยว่าใครเป็นใคร
อิสยาห์ 9:2 คนที่เดินในความมืดได้เห็นสว่างที่ยิ่งใหญ่

ยอห์น 1:9-11 พระเยซูทรงเป็นความสว่างแท้  ทรงลงมาจากสวรรค์เข้ามาในโลกธรรมชาติที่พระองค์เองเป็นผู้สร้าง โลกที่มีพื้นที่ มีเวลาเป็นกรอบจำกัด  พระเยซูทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ทรงมาอยู่กับมนุษย์ชาติที่พระเจ้าทรงรัก (ยอห์น 3:16) พระองค์ทรงให้ความสว่าง คือพระองค์เองแก่ทุกคน  สว่างของพระองค์ เมื่อฉายเข้าไปในใจของเราแล้ว  เราจะเห็นตัวเองชัดเจนว่าเป็นคนบาปชั่วอย่างไร  ยอห์น 3:19-21 เมื่อเราตอบสนองความสว่างนั้น สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นมากมายในชีวิต
ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ทั้งโลกนี้จึงเป็นของพระองค์ ทรงมีสิทธิเป็นผู้ครอบครอง แต่มนุษย์ไม่รู้จักพระองค์เพราะตาฝ่ายวิญญาณนั้นบอดไปเพราะความบาป
“ไม่รู้จัก” มีความหมายว่าไม่มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระองค์  ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ ปฐมกาล 4:1; เยเรมีย์ 1:5

อิสยาห์ 49:6 เจ้าจะเป็นความรอดของเราจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
ฮีบรู 1:2 พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ผ่านพระบุตรของพระองค์
ลูกา 19:14 คนที่ไม่ต้องการให้ชายที่รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์มาปกครองเขา

ยอห์น 1:12-13 แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนปฏิเสธพระองค์ไปหมด ยังมีอีกมากที่ต้อนรับพระองค์ มนุษย์มีส่วนในความรอดของตน พวกเขาต้องตอบรับพระคุณที่ผ่านมาทางพระเยซูคริสต์    พระเจ้าทรงเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขกับคนบาป โดยที่พวกเขาจะต้องกลับใจ เชื่อ เชื่อฟัง และบากบั่นในความเชื่อต่อไป ไม่หยุด  เป็นขั้นตอนที่ควรเกิดขึ้นกับเราทุกคน 
เมื่อใครคนหนึ่งรับและเชื่อพระเยซูคริสต์เท่ากับเขารับพระบิดาด้วย เมื่อได้รับแล้วเขาก็จะมีความสัมพันธ์สนิทส่วนตัวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
พระองค์ประทานสิทธิ.. ให้เป็นบุตรของพระเจ้า  มหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว!  คนชั่วที่รับพระเจ้าได้รับการชำระ เปลี่ยนไปเป็นลูกของพระเจ้า เขาได้รู้จักพระเจ้าและมีพระองค์เป็นพระเจ้าพระบิดาของเขา  ยอห์น 5:27; 17:2; 19:10,11 อย่างไรก็ดี คำกรีกที่กล่าวถึงพระบุตร คือ huios  ส่วนผู้เชื่อที่มาเป็นลูกของพระเจ้า เรียก teknon, tekna  พวกเขาได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่คนละแบบกับพระเยซู  พระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง แต่มนุษย์ต้องเป็นผู้ตอบสนองพระคุณยิ่งใหญ่นั้น  ในสมัยพันธสัญญาเดิมนั้น ชื่อของบุคคลสำคัญมาก เป็นดั่งคำอธิบายบุคลิกภาพของเขา เชื่อในพระนามของพระองค์ การเชื่อคน ๆ นั้น เท่ากับเชื่อเขาและรับเขาคนนั้น  ยอห์น 2:23; 3:18; 20:31; 1 ยอห์น 5:13    ลูกคนนี้ คือผู้เชื่อพระเยซูทุกคน จะเป็นวัยไหนชาติใด เพศหญิงหรือชายไม่สำคัญ แต่เขามาเป็นลูกเพราะ เขาเชื่อในพระบุตร พระเจ้าทรงรับเขาไว้แล้ว  

พระคำเชื่อมโยง
กาลาเทีย 3:26 เรามาเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อ
ยอห์น 3:6-8 การกลับใจของทุกคน เกิดจากพระเจ้าก่อน
ทิตัส 3:5 พระเจ้าทรงช่วยเราไม่ใช่เพราะเราดี แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์
1 ยอห์น 3:9 คนที่บังเกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาป
1 เปโตร 1:23 เราบังเกิดใหม่จากเมล็ดที่มีชีวิต
ยากอบ 1:18 พระเจ้าทรงเลือกให้เราเกิดใหม่จากคำแห่งความจริง

ยอห์น 1:14 พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางประชาชน ไม่ได้ทรงแยกตัวออกไป ที่มหัศจรรย์ล้ำลึกนักก็คือ พระเจ้าผู้มองไม่เห็น กลับกลายมาเป็นมนุษย์ที่มองเห็นได้ องค์ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ กลับมาอยู่กรอบเวลา องค์ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ทรงมาเป็นมนุษย์เหมือน ๆ อย่างเรา แต่ถึงกระนั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าไม่ได้หยุดที่จะเป็นพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าในร่างของมนุษย์ !
ทรงเมตตาเราเพียงใดที่ทรงลงมาในโลกเช่นนี้ อพยพ 33:20 บอกเราว่า มนุษย์เห็นพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาต้องตาย … พระสิริของพระเจ้านั้น รุนแรง เข้มข้น ทรงพลัง น่ายำเกรงนัก ถ้าจะให้เปรียบให้เข้าใจก็คือ ถ้าเราเพ่งมองดวงอาทิตย์ไม่นานเราจะตาบอดนั่นเอง

พระคำเชื่อมโยง
ฮีบรู 1:1-3 พระเจ้าตรัสกับเราทางพระบุตรผู้ทรงสร้างจักรวาล พระบุตรองค์นี้ทรงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระบิดา
มัทธิว 17:1-8 ศิษย์ของพระเยซูได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เมื่อทรงนำพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา ยอห์นเป็นหนึ่งในสามคนที่ได้เห็น
2 เปโตร 1:17 เปโตรก็ได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์นั้น
ยอห์น 10:30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน
โคโลสี 1:19 พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระเยซู

ยอห์น 1:15 ยอห์นเกิดก่อนพระเยซู (ลูกา 1:36) พระองค์ทรงเริ่มราชกิจประกาศแผ่นดินของพระเจ้าหลังยอห์น แต่ยอห์นบอกว่า พระองค์ดำรงอยู่ก่อน ท่านหมายความว่า พระเยซูทรงมาจากนิรันดร์กาล (ดูข้อ 30)

พระคำเชื่อมโยง
มาลาคี 3:1 พระยาห์เวห์ตรัสว่าเราจะส่งทูตของเราไปเตรียมทางไว้
ยอห์น 3:32 พระเยซูทรงเป็นพยานสิ่งที่ทรงเห็น ทรงได้ยิน แต่ไม่มีใครรับคำนั้น
มัทธิว 3:11 ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แสดงการกลับใจ แต่ผู้ที่มาภายหลังจะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณและด้วยไฟ
โคโลสี 1:17 พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง ทุกสิ่งเชื่อมโยงยึดกันโดยพระองค์

ยอห์น 1:16-18 ท่านยอห์นผู้เขียน ได้ย้ำเรื่องการรับพระคุณซ้อนพระคุณ รับแล้วรับอีก พระคุณในที่นี้ คือความโปรดปราน ความดีของพระเจ้าที่ส่งลงมาให้มนุษย์ ให้โดยไม่ได้นับความดีงามหรือคุณค่าในตัวเองของมนุษย์ ทรงให้เพราะพระองค์มีพระดำริจะแบ่งให้ มนุษย์ทั้งโลกได้รับพระคุณของพระเจ้าทุกวันทุกเวลา จากโลกที่มีวันเดือนปี ฤดูกาล อาหาร อากาศ แต่คนที่พบพระเยซูได้พระคุณมากกว่านั้นอีก เพราะเขาได้ทุกอย่างที่พระบิดาจะประทานให้

พระคำเชื่อมโยง
เอเฟซัส 1:23 คริสตจักรเป็นพระกายพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ทรงเติมทุกอย่าง ทุกแห่งให้บริบูรณ์
เอเฟซัส 3:19 เมื่อเราซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าที่เกินความรู้ เราก็จะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
เอเฟซัส 4:13 คริสเตียนเติบโตถึงความบริบูรณ์ของพระคริสต์
โคโลสี 1:19 พระเจ้าทรงพอพระทัยให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นอยู่ในพระเยซู
โคโลสี 2:9 ความเป็นพระเจ้าครบถ้วนดำรงในพระกายพระเยซู

อพยพ 20:1 พระเจ้าทรงนำออกจากแดนทาส
ยอห์น 1:14 พระคำมาบังเกิดในโลก ทำให้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
โรม 5:21 บาปทำให้ตาย พระคุณทำให้ถึงชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 8:32 ความจริงที่รู้จะทำให้เป็นไท
ยอห์น 18:37 พระเยซูทรงมาในโลกเพื่อเป็นพยานให้ความจริง และคนที่อยู่ฝ่ายความจริงจะฟังเสียงของพระองค์

อพยพ 33:20 มนุษย์เห็นพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ เห็นแล้วต้องตาย
มัทธิว 11:27 ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรดำริให้รู้
1 ทิโมธี 6:16 พระเจ้าทรงอมตะ สถิตในความสว่างที่ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ ไม่มีใครเห็นและเห็นไม่ได้
1 ยอห์น 4:9 ประจักษ์รักของพระเจ้าคือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตในพระบุตร

คำพยานยืนยัน:เสียงจากถิ่นกันดาร

ยอห์น 1:19-20 ไม่ว่าท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาจะไปเทศนาที่ไหน ผู้คนก็ตามไปฟังกันมากมาย แม้จะออกไปนอกเมืองพวกเขาก็ดั้นด้นตามไป ยอห์นไม่เหมือนธรรมาจารย์ ไม่เป็นฟาริสี ทำให้ยิวในเยรูซาเล็มกังขามาก ถึงกับส่ง ปุโรหิต เลวีจากพระวิหารไปตามหาข้อมูล
คำตอบแรกของยอห์น คือเขาปฏิเสธว่า เขาไม่ใช่พระเมสสิยาห์(เรียกด้วยภาษาฮีบรู) หรือพระคริสต์ (เป็นชื่อภาษากรีก) หมายถึงผู้ที่ถูกเจิม เป็นชื่อตำแหน่งของผู้ช่วยกู้อิสราเอลที่ผู้กล่าวพระคำในอดีตได้ทำนายเอาไว้
(พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์เป็นผู้ที่ชาวยิวตั้งตารอคอยให้มากู้ชาติให้เป็นอิสระ)

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 3:25-36 ความสับสนของผู้คนว่า พระเยซูและยอห์นเป็นใคร

ยอห์น 1:21-22 ที่พวกเขาย้อนถามไปถึงเอลียาห์ เพราะท่าทาง บุคลิกภาพของยอห์นนั้น คล้ายเอลียาห์ อีกอย่างพวกเขาเชื่อว่า เอลียาห์จะมาก่อนพระเมสสิยาห์ (มาลาคี 4:5-6 เราจะส่งเอลียาห์มาก่อนวันแห่งพระเจ้า) ยังมีคำถามต่อว่า เขาคือผู้เผยคำของพระเจ้าท่านนั้นหรือ? (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-18 เป็นคำพยากรณ์ว่าพระเจ้าจะตั้งผู้เผยพระคำของพระองค์เหมือนอย่างโมเสส ผู้จะเป็นกระบอกเสียงแทนพระองค์)

ยอห์น 1:23-25 ท่านยอห์นกล้าหาญมากที่จะบอกว่า ตนเองเป็นคนที่อิสยาห์กล่าวถึงใน อิสยาห์ 40:3 เป็นผู้ที่มาก่อนพระเมสสิยาห์(พระคริสต์) และท่านก็กล่าวว่าตนเป็นเสียง เป็นเสียงที่เตรียมทางให้อีกผู้หนึ่ง ทำทางให้ราบเรียบ ตรงไป เพื่อให้เดินทางสะดวก ทำงานสะดวก อิสยาห์ 40:5 กล่าวว่า จะเผยให้มนุษย์ทั้งสิ้นได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า (ยอห์น 1:14)
พวกเขาจึงสงสัยว่า ท่านยอห์นเอาสิทธิในการให้บัพติศมา มาจากไหน การให้บัพติศมานั้น ถูกมองว่าเป็นการบอกว่าผู้ให้มีสิทธิอำนาจ ถ้าเรามองย้อนกลับไปในพันธสัญญาเดิมจึงรู้ว่า การเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เป็นเรื่องของการกลับใจและชำระฝ่ายวิญญาณ …………..

ยอห์น 1:26-28 คนที่มาฟังยอห์นไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พวกเขากลับใจใหม่ จิตใจของเขาถูกเตรียมไว้สำหรับการพบกับพระเยซูในเวลาต่อมา พวกเขาแสดงการกลับใจด้วยการรับบัพติศมาจากยอห์น
การถอดสายรัดรองเท้านั้นเป็นหน้าที่ของทาส เป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของยิว  ความหมายของยอห์นคือ เขาต่ำต้อยมากไม่สมควรแม้จะเป็นทาสของพระเยซู เพราะพระองค์สูงส่งเกิน

พระคำเชื่อมโยง
มัทธิว 3:11 เรื่องราวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาลาคี 3:1 พระเจ้าตรัสว่าจะมีคนมาเตรียมทาง

ลูกแกะของพระเจ้า

ยอห์น 1:29-31 วันต่อมา คือเป็นอีกวันแล้ว ที่เรื่องความสับสนของผู้คนยังค้างคาอยู่ (ข้อ19-28 เกิดขึ้นก่อนหน้าวันนี้) ยอห์นคงพูดกับคนอีกกลุ่ม คำว่า “ข้าไม่ได้รู้จักพระองค์” ยอห์นกำลังบอกว่า ท่านไม่ทราบว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) มาตั้งแต่ต้น ทั้งสองเป็นญาติกันห่าง ๆ กัน สิ่งที่ยอห์นรู้คือ ท่านต้องให้บัพติศมาแก่พระเยซู เพื่อว่าอิสราเอลจะได้เห็นว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ เครื่องหมายที่ทำให้ยอห์นทราบว่าพระเยซูคือใครคือข้อต่อไป…
อย่างน้อยตรงนี้ ยอห์นรับว่า พระเยซูคือ ลูกแกะของพระเจ้าที่จะนำความบาปของทั้งโลกออกไป คำนี้เป็นคำที่ยิวทั้งหลายคุ้นเคยดี เพราะลูกแกะเป็นเครื่องออกไปถวายบูชาระหว่างพิธีปัสกา ลูกแกะถูกนำไปฆ่า ลูกแกะเป็นเครื่องบูชาประจำวันของคนอิสราเอล ยอห์นกำลังบอกพวกเขาว่า พระเยซูคือผู้ที่จะรับบาปของคนทั้งโลกไป

พระคำเชื่อมโยง
อพยพ 12:21 ลูกแกะของครอบครัว มาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา
อิสยาห์ 52:13-53:12 ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ของพระเจ้า อิสยาห์นี้ได้พยากรณ์ถึงพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เหตุการณ์เกิดตรงกันในสมัยพระเยซู
วิวรณ์ 5:6-14 ลูกแกะของพระเจ้าถูกปลงพระชนม์ ทรงไถ่ทุกคนด้วยพระโลหิต ทรงทำให้พวกเขาเป็นอาณาจักร เป็นปุโรหิตของพระเจ้า
1 เปโตร 2:24 พระเยซูทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกาย

ยอห์น 1:32-34 ขณะที่ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู พระวิญญาณที่มีรูปทรงดั่งนกพิราบทรงลงมา ทำให้ยอห์นมั่นใจตามคำของพระเจ้าที่เคยตรัสบอกท่านไว้ก่อนหน้านี้
ยอห์นจึงย้ำ ยืนยันว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ยอห์นเน้นให้ผู้ฟังรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่มีความสัมพันธ์สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คำนี้ท่านสื่อความเป็นพระเจ้าของพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอด และยอห์นยืนยันว่า พระองค์เป็นผู้ให้บัพติศมาแก่ผู้คนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระคำเชื่อมโยง
มัทธิว 3:16 หลังรับบัพติศมา พระเยซูขึ้นจากน้ำ สวรรค์เปิดออก พระวิญญาณดั่งพิราบลงมาและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์ว่า ทรงเป็นคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมาก
มาระโก 1:10 บอกอย่างเดียวกับข้อข้างบน
ลูกา 3:22 เรื่องเดียวกัน

ศิษย์รุ่นแรก

วันต่อมา ยอห์นได้ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซูกับศิษย์ทั้งหลายของท่าน ท่านให้ศิษย์มุ่งติดตามพระเยซูโดยไม่แสดงความเป็นเจ้าของศิษย์ของท่านเองเลย สนับสนุนให้ศิษย์ของท่านไปกับพระเยซู

ยอห์น 1:35-37 ในสองคนที่เป็นศิษย์ของยอห์นนี้ คนหนึ่งชื่ออันดรูว์ อีกคนเราไม่ทราบว่าเป็นใคร อาจเป็นยอห์นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้ก็เป็นได้ ทั้งสองลาอาจารย์ตัวเองตามพระเยซูไปด้วยความเต็มใจของอาจารย์ ทั้งสองคงต้องการรู้จักพระเยซูมากขึ้น (ดูข้อ 41) ต่อมาพวกเขาจึงติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 4:18-22)

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 1:29 ยอห์นบอกให้ดูลูกแกะของพระเจ้าที่จะเอาบาปของโลกไป
มัทธิว 4:20,22 พระเยซูทรงเรียกชาวประมง และเขาทิ้งอาชีพ ติดตามพระองค์ทันที

ยอห์น 1:38-39 พระเยซูถูกเรียกว่า อาจารย์ (รับบี) พระคัมภีร์บางเล่มว่า สิบโมง ยิวแบ่งเวลากลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง ดังนั้น สี่โมงเย็น คือชั่วโมงที่สิบ ตรงนี้ที่ทำให้เราคิดว่ายอห์นผู้เขียน เป็นคนที่มากับอันดรูว์ เขาจำได้แม้เวลาที่พบพระเยซูอย่างใกล้ชิดครั้งแรก

ยอห์น 1:40-42 อันดรูว์ไม่รอช้า เมื่อเขามั่นใจว่าพระเยซูคือใคร ก็ตามพี่ชายไปพบพระองค์ทันที อันดรูว์เรียกพระเยซูว่า พระผู้ช่วยให้รอด คำว่าพระเมสสิยาห์เป็นคำเรียกผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ซึ่งเรียกในภาษากรีกว่าพระคริสต์ เป็นคำมีความหมายเหมือนกัน คำพระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์ ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นตำแหน่งของพระเยซูที่พระเจ้าทรงตั้งไว้
เมื่อพระเยซูทรงมองเปโตร พระองค์เห็นลึกเข้าไปในใจของเขา และทรงเปลี่ยนชื่อให้เขาเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซีโมนลูกชายของยอห์น จะกลายเป็นเคฟาสซึ่งมีความหมายว่า หินในภาษาอาราเมค(ยิวโบราณ) เป็นชื่อที่ประกาศว่า พระเยซูจะทรงเปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างไร และเขาจะเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรในยุคแรกอย่างเหลือเชื่ออย่างไร (กิจการ 2:14-4:32)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 4:18 ที่ชายทะเลสาบกาลิลี พระเยซูทรงพบซีโมนกับอันดรูว์
มัทธิว 16:18 พระเยซูตรัสว่า ท่านคือเปโตร บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ พลังแห่งความตายไม่สามารถเอาชนะคริสตจักร

ยอห์น 1:43-45 วันต่อมา นี่เป็นวันที่สี่หลังจากคำพยานของยอห์น เมื่อฟีลิปรับคำชวนของพระเยซูให้ตามพระองค์ เขาก็รีบไปบอกนาธานาเอลถึงความชัดเจนของพระเยซูที่ทรงเป็นคนที่ใคร ๆ เขียนถึง ตอนเล็ก ๆ เปโตรกับอันดรูว์น้องชายคงอยู่เบธไซดาเหมือนกับฟีลิป เขาจึงรู้จักกันดี ฟีลิปบอกว่า พระเยซูเป็นคนที่โมเสสและผู้เผยพระคำในอดีตเขียนถึง ซึ่งตรงนี้เองช่วยสรุปพระกิตติคุณยอห์นชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่ทำให้คำพยากรณ์ทั้งหลายในพันธสัญญาเดิมสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 6:5 พระเยซูกับฟีลิปกับปัญหาที่ต้องเลี้ยงคนจำนวนมาก
ยอห์น 12:21 คนกรีกไปหาฟีลิป บอกว่า พวกเขาอยากพบพระเยซู
ยอห์น 14:8 คำสนทนาระหว่างพระเยซูกับฟีลิป

ยอห์น 1:46-49 คำของนาธานาเอล ทำให้เรารู้ว่า นาซาเร็ธไม่ได้เป็นเมืองที่มีอะไรสำคัญเลย ไม่มีชื่อเสียงดี เขามาจากบ้านคานา แคว้นกาลิลี (ยอห์น 21:2) และดูถูกคนที่มาจากนาซาเร็ธ
แต่พระเยซูกลับทรงบอกว่า เขาไม่มีอุบายเลย จากความตรงไปตรงมาของเขา เขาแตกต่างจากคนยิวทั่วไป พระองค์น่าจะทรงเอ็นดูเขาอยู่เหมือนกัน นาธานาเอลทึ่งกับการที่พระองค์ทรงเห็นเขาก่อนหน้านั้น การเห็นของพระองค์นั้นอาจจะไกลมากเกินสายตามนุษย์จะเห็นได้ เขาจึงกล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นทั้งพระบุตรของพระเจ้า และเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล พระองค์เป็นผู้ที่เขาไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา น่าสนใจจริง ๆ ที่เขาเห็นด้วยกับฟีลิปแล้ว

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 7:41,42,52 ฝูงชนมีความเห็นขัดแย้งกันว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ เป็นเพราะพระองค์มาจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีซึ่งเป็นสถานที่ ๆ คนรู้สึกว่าต่ำต้อยมาก ๆ
มัทธิว 14:29-33 ศิษย์ของพระเยซูยอมรับว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง

ยอห์น 1:50-51 พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ และเป็นคำที่พระองค์ทรงกล่าวถึงพระองค์เองบ่อย ๆ
พระเยซูทรงบอกให้พวกเขารู้ว่า มีการติดต่อระหว่างสวรรค์และโลกด้วยในฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ

พระคำเชื่อมโยง
ดาเนียล 7:13 ดาเนียลเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ในนิมิต
ปฐมกาล 28:12 ยาโคบฝันเห็นแบบที่พระเยซูตรัส

โคโลสี 2 พระคริสต์เท่านั้น

ไม่เอาปรัชญาคำสอนใด นอกจากพระคริสต์เท่านั้น

ไม่เอากฎของมนุษย์ใด ๆ นอกจากพระคริสต์เท่านั้น

อย่าให้ใครมาตัดสิทธิ์ความเป็นคนของพระเจ้า