มัทธิว 1 วันที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิด

ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 ต่อไปนี้เป็นบันทึกลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม

อับราฮัมถึงดาวิด
2 อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค
อิสอัคเป็นพ่อของยาโคบ
ยาโคบเป็นพ่อของยูดาห์กับพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นพ่อของเปเรศกับเศราห์
มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์
เปเรศเป็นพ่อของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นพ่อของราม
4 รามเป็นพ่อของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นพ่อของนาโชน
นาโชนเป็นพ่อของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นพ่อของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ
โบอาสเป็นพ่อของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ
โอเบดเป็นพ่อของเจสซี
6 และเจสซีเป็นพ่อของกษัตริย์ดาวิด

ดาวิดถึงเยโคนิยาห์
ดาวิดเป็นพ่อของโซโลมอนมารดาของโซโลมอน
เคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 โซโลมอนเป็นพ่อของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นพ่อของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นพ่อของอาสา
8 อาสาเป็นพ่อของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นพ่อของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นพ่อของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นพ่อของโยธาม
โยธามเป็นพ่อของอาหัส
อาหัสเป็นพ่อของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นพ่อของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นพ่อของอาโมน (บางทีเรียกอาโมส)
อาโมนเป็นพ่อของโยสิยาห์
11 และโยสิยาห์เป็นพ่อของเยโคนิยาห์
กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน

เยโคนิยาห์ถึงโยเซฟ สามีมารีย์
12 หลังจากที่ได้ตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว….
เยโคนิยาห์เป็นพ่อของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นพ่อของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นพ่อของอาบียุด
อาบียุดเป็นพ่อของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นพ่อของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นพ่อของศาโดก
ศาโดกเป็นพ่อของอาคิม
อาคิมเป็นพ่อของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นพ่อของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นพ่อของมัทธาน
มัทธานเป็นพ่อของยาโคบ
16 และยาโคบเป็นพ่อของโยเซฟ
สามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซู
ซึ่งพระองค์ถูกเรียกว่า พระคริสต์
หรือพระเมสสิยาห์
“พระคริสต์” (เป็นคำกรีก) และ
“พระเมสสิยาห์” (เป็นคำฮีบรู)
แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”


7 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิด
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วอายุคน

18 นี่เป็นเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ คือ
มารีย์ มารดาของพระองค์นั้น ได้หมั้นที่จะสมรสกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้ามาเป็นสามีภรรยากัน พบว่า เธอตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
19 เป็นเพราะโยเซฟ คู่หมั้นของเธอเป็นผู้ชายที่ดี มีคุณธรรม เขาไม่ต้องการทำให้เธอเสียหายในหมู่ชาวบ้าน เขาจึงคิดว่าจะถอนหมั้นเงียบ ๆ
20 แต่หลังจากที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏกับเขาในความฝัน และกล่าวว่า “โยเซฟ ลูกชายดาวิดเอ๋ย อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะพระองค์ที่ทรงปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอนั้น ทรงมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
21 เธอจะให้กำเนิดลูกชาย และท่านจะตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู เพราะพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์จากความบาป

1:21 “เยซู” เป็นคำกรีกของคำว่า “โยชูวา” ในภาษาฮีบรู ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอด”


22 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านผู้เผยพระดำรัสนั้นสำเร็จ ที่ว่า
23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกพระองค์ว่า อิมมานูเอล” (ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์จากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ และรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา
25 โดยที่เขาไม่ได้มีสัมพันธ์กับเธอในฐานะสามีภรรยา จนกระทั่งเธอให้กำเนิดลูกชาย และเขาตั้งชื่อลูกชายว่า เยซู

อธิบายเพิ่มเติม

คนอิสราเอลโบราณได้ให้ความสำคัญกับการบันทึกลำดับวงศ์วานมาตั้งแต่ต้น เพราะทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ใครเป็นใคร มาจากครอบครัวไหน มีสิทธิจะเป็นปุโรหิตได้หรือไม่  เขาคนนั้นเป็นคนยิวแท้หรือว่า ปลอมแปลงมา
เมื่อเราดูวงศ์วานของพระเยซูด้านของโยเซฟ ทางกฎหมายพระองค์ก็ได้สืบเชื้อสายด้านพ่อมาจากดาวิด และด้านของมารีย์ก็เช่นกัน (ดูจากลำดับวงศ์วานในลูกา)แค่เชื้อสายทางโยเซฟ พระเยซูก็ทรงมีสิทธิที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองเพราะมาทางเชื้อสายดาวิด ส่วนทางร่างกายนั้นทรงเป็นพระบุตรที่ปฏิสนธิ์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณและอยู่ในครรภ์ของมารีย์ซึ่งเป็นมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์เดินดินอย่างพวกเรา
จะสังเกตได้ว่า มีชื่อของสตรีอยู่สามคน และบอกเพียงว่าเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อนอีกหนึ่งคน ทั้งสามคนแรกเป็นผู้หญิงต่างชาติที่เข้ามาแต่งงานกับคนในสายอิสราเอล ส่วนเบธเชบาห์ก็เป็นสตรีที่ดาวิดแย่งจากอุรียาห์มา
กษัตริย์ที่กล่าวถึงก็มีทั้งกษัตริย์ที่มีคุณธรรมและกษัตริย์ที่ชั่วช้าด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็ยังคงอยู่ในเชื้อสายนี้ และเชื้อสายในตำแหน่งกษัตริย์จบลงที่การเป็นเชลยในบาบิโลน

มัทธิว 1:18-25
การหมั้นในหมู่คนยิวนั้น เป็นการตกลงระหว่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย และมีความหมายลึกซึ้งกว่าการหมั้นในโลกปัจจุบัน  หากง่ายหญิงหรือฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พวกเขาก็มีความผิดในฐานะการล่วงประเวณี หรือเทียบเท่าการมีชู้ 
ตอนแรกนั้น โยเซฟไม่ทราบเลยว่า มารีย์ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์พระวิญญาณ เขารู้เพียงว่าเธอตั้งครรภ์ ทำให้เขาลำบากใจมากกับการที่จะแต่งงานกับเธอ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ถอนหมั้นกับเงียบ ๆ ไม่บอกอะไรกับใครเลย  เขาตั้งใจจะไม่ให้เธอเสียชื่อเสียง
แต่แล้ว ทูตสวรรค์กลับมาบอกในความฝันว่า เรื่องเป็นอย่างไร  ลูกชายที่จะมาเกิดนั้น มาจากพระเจ้า เกิดโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ  การเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรม และอยู่ในสายของดาวิดก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เขาเป็นผู้ดูแลมารีย์ด้วย 
ถึงกระนั้น ต่อมาเราก็ไม่ได้รู้เรื่องของเขาอีกหลังจากวันที่พระเยซูทรงหายตัวไปอยู่ในพระวิหารที่เยรูซาเล็มตอนที่ทรงเริ่มแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ 
จะเห็นว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าทรงใช้ทั้งผู้เผยพระคำหรือความฝันเพื่อส่งข่าวให้มนุษย์ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์  ในข้อความตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงติดต่อกับเขาเป็นส่วนตัว และทูตได้กล่าวกับเขาว่า ลูกชายดาวิด…
ข่าวสารที่โยเซฟได้รับ เป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย เป็นเกียรติไม่ใช่เป็นความอับอาย โยเซฟ ทำตามที่พระเจ้าทรงสั่งโดยรับมารีย์มาเป็นภรรยา และได้ให้เกียรติกับพระเจ้า และมารีย์โดยที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ใด ๆ กับเธอจนกว่า เธอได้คลอดพระบุตรพระเจ้าแล้ว
ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ โยเซฟได้รับรู้พระนามทั้งสองของพระเยซูคือ เยซู และอิมมานูเอล … และเขาได้รับการย้ำเตือนว่า นี่เป็นคำที่พระเจ้าได้ตรัสมา
ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนผ่านท่านอิสยาห์

จากนั้น เขาเป็นคนที่ดูแลทั้งเธอ และพระเยซูจนเติบโต  ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในฐานะมนุษย์ ก็ทรงเป็นลูกชายคนโตของโยเซฟด้วย และต่อมาก็ได้มีครอบครัว มีลูกชาย ลูกสาวอีกหลายคน  (มัทธิว 13:55-56) 

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 3:23; เยเรมีย์ 23:5; ยอห์น 7:42;
ปฐมกาล 12:3; 22:18
2* ปฐมกาล 21:2, 12; 25:26; 28:14; 29:35
3* ปฐมกาล 38:27; 49:10; รูธ 4:18-22
5* รูธ 2:1; 4:1-13
6* 1 ซามูเอล 16:1; อิสยาห์ 11:1, 10; 2 ซามูเอล7:12; 12:24

7* 1 พงศาวดาร 3:10; 2 พงศาวดาร 11:20
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 3:10;
2 พงศ์กษัตริย์ 15:13
9* 2 พงศ์กษัตริย์ 15:38
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 20:21; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:2
11* 1 พงศาวดาร 3:15-16; 2 พงศ์กษัตริย์ 24:14-16

12* 1 พงศาวดาร 3:17; เอสรา 3:2
16* Matt 13:55
18* ลูกา1:27,35 ; อิสยาห์ 49:1,5
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
20* ลูกา 1:35
21* ลูกา 1:31; 2:21; ยอห์น 1:29; โรม 5:18-19
23* อิสยาห์ 7:14
25* ลูกา 2:7,21

มาระโก 16 คืนพระชนม์!

นัดกันมาชโลมพระศพ
1 วันสะบาโตผ่านไป มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ
และซาโลเมได้ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อว่าพวกเธอจะได้มาชโลมพระศพของพระเยซู
2 เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น
พวกเธอมายังถ้ำเก็บพระศพ
3 พวกเธอถามกันและกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินออกจากปากถ้ำ?”
4 แต่เมื่อพวกเธอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่า
หินที่ใหญ่มาก ถูกกลิ้งออกมาแล้ว!
5 เมื่อเข้าไปในถ้ำ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา พวกเธอตกใจมาก
6 แต่เขาพูดกับทุกคนว่า “อย่าตื่นตระหนกไปเลย ท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ที่ทรงถูกตรึง พระองค์ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี้ ดูตรงที่ ๆ เขาวางพระศพสิ

7 แต่ขอให้ท่านไปบอกพวกศิษย์ และเปโตรว่า
‘พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีล่วงหน้า ที่นั่น พวกท่านจะได้พบพระองค์ อย่างที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้’ ”

8 ดังนั้นพวกผู้หญิงจึงออกจากถ้ำ และวิ่งออกไป พวกเธอตัวสั่น ตะลึงลาน และเป็นเพราะกลัวมาก พวกเธอจึงไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย

พระเยซูทรงปรากฎแก่มารีย์ชาวมักดาลา
9 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ หลังจากที่พระเยซูคืนพระชนม์แล้วพระองค์ทรงปรากฏพระองค์ครั้งแรกกับมารีย์ชาวมักดาลาซึ่งเป็นคนที่ทรงขับผีออกจากเธอ 7 ตน
10 เธอจึงออกไปและบอกเรื่องนี้กับคนที่เคยอยู่กับพระองค์พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่
11 และเมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูทรงพระชนม์
และเธอได้เห็นพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องนี้!

ระเยซูปรากฏพระองค์ต่อศิษย์สองคน
12หลังจากนี้ พระเยซูทรงปรากฏพระกายอีกแบบหนึ่ง
ให้กับศิษย์ทั้งสองขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นอกเมือง
13 พวกเขากลับมาเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง
แต่กลับไม่มีใครเชื่อพวกเขาเลย!

พระมหาบัญชา
(Matthew 28:16–20)
14 ต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหารด้วยกัน
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์แก่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคน
และทรงตำหนิที่พวกเขาขาดความเชื่อ และยังมีใจแข็งกระด้างเพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่เห็นพระองค์หลังจากที่ทรงคืนพระชนม์แล้ว
15 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“จงออกไปทั่วโลก และสั่งสอนเรื่องพระกิตติคุณให้แก่ทุกคน 16 ใครที่เชื่อ และรับบัพติศมาจะได้รับความรอด
ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะถูกพิพากษาโทษ
17 และหมายสำคัญต่อไปนี้ จะตามคนที่เชื่อไป คือ พวกเขาจะขับผีในนนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาที่แปลกออกไป 18 พวกเขาจะจับงูด้วยมือ และหากดื่มยาพิษแรงถึงตายก็จะไม่มีอะไรทำร้ายพวกเขาได้ พวกเขาจะวางมือคนป่วยและคนเหล่านั้น จะหายโรค”

สด็จสู่สวรรค์

19หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสจบ พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ และประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
20 แล้วพวกศิษย์ก็ออกไป และเทศนาสั่งสอนทุกหนแห่ง
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำการผ่านพวกเขา
ยืนยันถึงพระดำรัสโดยหมายสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันไป

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 16:1-8
1 วันสะบาโตจบในเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์  ซึ่งหลังจากเวลานั้น พวกผู้หญิงสามารถซื้อเครื่องหอมได้โดยไม่ผิดกฎสะบาโต  เช้าวันอาทิตย์ มาระโกกล่าวถึงผู้หญิงสามคน แต่ยอห์นบอกว่า มีมารีย์ มารดาของพระเยซูด้วย (ยอห์น  19:26) ลูกาเองบอกว่า มีผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกเช่นกัน (ลูกา 24:10). พวกเธอตั้งใจจะนำเครื่องหอมเหล่านี้มาเพื่อทำให้พระศพเน่าช้าลง  จะได้ไม่มีกลิ่นที่รุนแรง  ถ้าเราจะมองความตั้งใจของพวกเธอ เราเห็นว่า ไม่มีใครคาดว่าจะมีการคืนพระชนม์
 2-6 พอฟ้าสว่างแล้ว  พวกเธอมาพร้อมเครื่องหอม   เจอหินที่ปิดถ้ำไว้ (หินถูกปิดไว้ตามคำขอของเหล่าธรรมาจารย์  มัทธิว 27:62-66) ถูกกลิ้งออกแล้ว  พวกเธอเข้าไปในถ้ำ แทนที่จะพบพระเยซู กลับพบชายใส่เสื้อขาวนั่งอยู่  ชายผู้นั้นก็คือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง ในถ้ำนั้นมีทูตสองท่านแต่มาระโกสนใจท่านที่พูดกับพวกผู้หญิง
7-8 ทูตนั้นได้บอกพวกเธอให้รู้ชัดว่า กำลังพูดถึงพระเยซูผู้ถูกตรึงเมื่อวันศุกร์ เช้าวันนี้ พระศพไม่มีให้พวกเธอชโลมด้วยเครื่องหอม ที่ ๆ วางพระศพ ก็ไม่มีพระองค์จริง ๆ  ยิ่งไม่พบพระศพยิ่งทำให้พวกเธอตื่นตะลึง “ทำไมไม่มีพระศพ? พระศพหายไปไหน?”คำถามเหล่านี้วนอยู่ในความคิดของพวกเธอ และช่วงนี้ มาระโกบอกเราว่า พวกเธอกลัวมากจนไม่ได้พูดกับใคร
และน่าแปลกที่ท่านกล่าวชื่อเปโตรชัดเจน​.. แสดงว่า การที่เปโตรกล่าวปฏิเสธพระองค์ในวันศุกร์นั้น พระเยซูไม่ได้ทรงตัดเขาออกจากการเป็นศิษย์ของพระองค์ 
มาระโก 16:9-11
จากข้อ 9-20  เป็นตอนที่ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ให้ความเห็นว่า อาจเป็นข้อความที่เติมเข้ามา ไม่ใช่ของมาระโกเขียนตั้งแต่ต้น 
9 จากนั้น มีบันทึกว่า พระเยซู ทรงปรากฏกับมารีย์มักดาลาเป็นคนแรก .. มารีย์ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ มัวแต่ร้องไห้ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  พระเจ้าทรงให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก มารีย์มักดาลา เป็นคนที่ทำตามคำบัญชาของพระเยซูทันที 
แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่เชื่อคำของเธอ … ทำไม? ทั้ง ๆ ที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะคืนพระชนม์  อ่าน มาระโก 14:28
มาระโก 16: 12-13
12ทรงเจอศิษย์สองคนนอกเมือง ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ รายละเอียดของเรื่องนี้ อยู่ใน  ลูกา 24:13-32
พวกเขากำลังเดินทางระหว่างนครเยรูซาเล็มกับเมืองเอมมาอู  สองคนที่คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ได้พบพระเยซูองค์ที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว  พระองค์ทรงเดินสนทนาไปกับพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ได้เห็นว่า เป็นพระองค์ จนกระทั่งพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เอง เขาทั้งสองจึงมั่นใจ
13 แต่เมื่อไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น    คนอื่น ๆ ไม่เชื่อพวกเขา  (จะเห็นจากบทนี้ว่า ไม่มีใครสักคนคิดว่า พระเยซูจะฟื้นคืนพระชนม์เลย  บอกแล้วยังไม่เชื่อด้วย  ผู้ที่ติดตามพระองค์เวลานั้น เอาแต่เสียใจว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ไป โดยลืมไปว่า พระองค์ได้ตรัสแล้วว่าจะคืนพระชนม์ขึ้นมา
มาระโก 16:14-18
14 แล้วพระองค์มาปรากฏกับศิษย์ 11 คน (เป็นเรื่องเดียวกับมัทธิว 28:16-20) ทรงต่อว่าที่พวกเขาไม่เชื่อ ใจแข็ง นั่นคือ ไม่เชื่อพี่น้องที่ได้เห็นพระเยซูแล้ว แปลกที่พวกเขาไม่ไว้ใจพี่น้องที่พูดความจริง  และคราวนี้ทุกคนต้องยอมรับว่า ได้เห็นพระองค์จริง  
15แต่แล้วจากคนที่ไม่ยอมเชื่อเหล่านี้  จากคนที่ต้องเห็นพระองค์จริง ๆ จึงเชื่อ พระองค์ก็ได้ตรัสสั่งให้ออกไปประกาศพระนามของพระองค์ทั่วโลก 
ทำไมพระเยซูทรงสั่งแบบนั้น?
เป็นเพราะนี่คือแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยอับราอัม พระองค์ทรงบอกเขาหลายพันปีก่อนว่า ลูกหลานของพวกเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก แต่ชาวยิวสมัยพระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยพวกเขาเห็นแค่เพียงว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากโรม
คำตรัสของพระเยซูจึงแปลกสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้ออกไปประกาศต่างประเทศจริงจังจนกระทั่งมีการข่มเหงคริสตจักร จนกระทั่งท่านเปาโลได้รับคำสั่งของพระเยซูด้วยตัวเอง 
พระเยซูทรงสั่งศิษย์ของพระองค์ และเราทุกคน และพระองค์ได้ทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง …เป็นหมายสำคัญตามหลังการประกาศพระนาม
มาระโก 16:19-20
ตรัสจบก็เสด็จขึ้นสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมาก  อ่านเรื่องเดียวกันนี้ที่ลูกา 24:50-53  และกิจการ 1:6-11
พระเยซูทรงสัญญาว่า เมื่อพวกเขาประกาศพระนาม ก็จะมีหมายสำคัญเกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อ เราจึงติดตามข่าวประเสริฐก่อน ไม่ใช่ติดตามหมายสำคัญ 

พระคำเชื่อมโยง

1* ยอห์น 20:1-8; ลูกา 23:56
2* ลูกา 24:1
5* ยอห์น 20:11-12
6* มัทธิว 28:6; โฮเชยา 6:2
7* มัทธิว 26:32; 28:16-17
8* มัทธิว 28:8

9* ลูกา 8:2
10* ลูกา 24:10
11* ลูกา 24:11,14
12* ลูกา 24:13-35
14* 1โครินธ์ 15:5
15* มัทธิว 28:19; โคโลสี 1:23

16* ยอห์น 3:18,36; 12:48
17* กิจการ 5:12; ลูกา 10:17; กิจการ 2:4
18* กิจการ 28:3-6; ยากอบ 5:14
19* กิจการ 1:2-3; อิสยาห์ 9:7; ลูกา 9:51; 24:51; สดุดี 110:1
20* ฮีบรู 2:4

มาระโก 15 พระเยซูสิ้นพระชนม์

พระเยซูถูกสอบสวนต่อหน้าปีลาต

1 เช้าตรู่ของวันต่อมา พวกหัวหน้าปุโรหิต ผู้อาวุโส ธรรมาจารย์ และ
สภาแซนเฮอดรินทั้งหมดก็วางแผนร่วมกัน เขามัดพระเยซู และส่งให้กับปีลาต
2 ปีลาตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของยิวอย่างนั้นหรือ?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็เป็นอย่างที่ท่านว่า”
3 แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตก็เริ่มต้นกล่าวหาพระองค์หลายกระทง
4 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า“ท่านจะไม่ตอบหรือ? เห็นไหมว่า พวกเขากล่าวหาท่านหลายอย่างขนาดนี้!”
5 แต่พระเยซูไม่ทรงตอบประการใด ทำให้ปีลาตประหลาดใจนัก

ฝูงชนเลือกอาชญากรตัวจริง

6 เป็นธรรมเนียมของปีลาตที่จะปล่อยนักโทษคนที่ประชาชนเลือกออกมาในช่วงเทศกาล
7 และมีชายคนหนึ่งชื่อบารับบัสถูกจำคุกพร้อมกับพวกกบฏที่ได้ฆ่าคนระหว่างการจลาจล
8 ดังนั้นฝูงชนได้ขึ้นไปขอให้ปีลาตทำตามธรรมเนียมที่เคย
9 “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” ปีลาตถาม
10 เพราะเขารู้อยู่ว่า เหล่าหัวหน้าปุโรหิตต้องการส่งมอบพระเยซูให้เขาก็เพราะพวกเขาอิจฉาพระองค์
11 แต่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต กลับปลุกปั่นฝูงชนให้เรียกร้องปีลาตปล่อยบารับบัสมาแทน

ปีลาตมอบพระเยซูให้ประหาร

12 แล้วปีลาตก็ถามพวกเขาอีกว่า“แล้วพวกเจ้าจะให้เราทำอย่างไรกับคนที่ท่านเรียกว่า กษัตริย์ของพวกยิว?”
13 พวกเขาตะโกนกลับมาว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
14“ตรึงทำไม?” ปีลาตถาม “เขาทำชั่วร้ายอะไรเล่า?” แต่พวกเขากลับตะโกนดังขึ้น “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
15 ปีลาตพยายามเอาใจฝูงชน เขาจึงปล่อยบารับบัสออกมาให้ แต่กลับสั่งให้โบยพระเยซู และมอบตัวพระองค์ให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พวกทหารเยาะเย้ยพระองค์

16 แล้วพวกทหารจึงนำพระเยซูออกไปยังวังของผู้ว่า​คือศาลปรีโทเรียม และระดมกองกำลังทั้งหมดเข้ามา
17 พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระองค์ และสานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร
18 จากนั้นก็ถวายคำนับและร้องว่า “ขอกษัตริย์ของพวกยิวจงทรงพระเจริญ!”
19 พวกเขาเอาไม้ฟาดพระเศียรและถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วจากนั้นคุกเข่าถวายคำนับต่อพระองค์
20 หลังจากที่ได้เยาะเย้ยพระองค์ขนาดนั้นแล้ว
ก็ถอดเสื้อคลุมออก นำฉลองพระองค์กลับมาสวมให้
จากนั้นจึงนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน

การตรึงบนไม้กางเขน

21 ซีโมนชาวเมืองไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส ได้เดินทางจากเมืองข้างนอกเข้ามาพอดี และทหารก็บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนแทนพระองค์
22 พวกเขานำพระเยซูมายังสถานที่ชื่อโกละโกธา
ซึ่งหมายถึงสถานที่แห่งหัวกระโหลก
23 แล้วเขาก็เอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบมาให้พระองค์ แต่พระเยซูไม่ทรงรับ
24 จากนั้นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และยังนำฉลองพระองค์มาจับฉลากเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ส่วนใดไป
25 ตอนที่เขาตรึงพระเยซูนั้น เป็นเวลาเก้าโมงเช้า
26 มีป้ายข้อกล่าวหาเขียนไว้ว่า“กษัตริย์ของพวกยิว”
27 พวกเขายังตรึงโจรอีกสองคนพร้อมกับพระเยซูด้วย
ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
28 (เพื่อเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“และพระองค์ทรงถูกนับเข้ากับคนที่ล่วงละเมิด”)

เหล่าคนเยาะเย้ย
29 คนที่เดินผ่านไป ก็พากันทับถมเยาะเย้ยพระองค์ ส่ายหัว กล่าวว่า “ฮะฮ้า ท่านผู้ที่จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ในสามสิบวัน
30 ลงมาจากไม้กางเขน และช่วยตัวเองให้รอดเถอะ!”
31เช่นเดียวกัน ในหมู่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ กล่าวว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่กลับช่วยตัวเองไม่ได้!”
32 “ให้พระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เห็นและเชื่อพระองค์กัน!” แม้กระทั่งคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ยังกล่าวสบประมาทพระองค์ด้วย



การสิ้นพระชนม์

33 จากเที่ยงวันจนกระทั่งบ่ายสามโมง เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดิน
34 พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงละทิ้งข้าพระองค์ไป?”
35 เมื่อมีคนบางคนที่ยืนอยู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็ว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
36 มีบางคนวิ่งไปแล้วเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นติดปลายไม้อ้อ ยื่นให้พระองค์ได้จิบ แล้วพูดว่า”ปล่อยเขา มาดูกันสิว่า เอลียาห์จะมาเอาเขาลงไปหรือไม่”
37 แต่พระเยซูทรงร้องออกมาเสียงดัง และหายพระทัยครั้งสุดท้าย
38 และม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงมาล่าง
39เมื่อนายร้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเยซูเห็นว่า พระองค์ได้ทรงหายพระทัยครั้งสุดท้ายอย่างไร เขากล่าวว่า “แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
40 มีพวกผู้หญิงเฝ้ามองดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งในหมู่ผู้หญิงก็มี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อย และโยเสส และนางสะโลเม
41 พวกเธอได้ติดตามพระเยซู และรับใช้ปรนนิบัติพระองค์ขณะที่ทรงอยู่ในกาลิลี และมีผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคนซึ่งขึ้นมายังเยรูซาเล็มกับพระองค์




ฝังพระศพ

42 วันนั้นเย็นแล้ว เป็นวันเตรียม ซึ่งหมายถึงวันก่อนสะบาโต
43 โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญที่รอคอยอาณาจักรของพระเจ้า ได้เข้าไปพบปีลาตอย่างกล้าหาญ เพื่อขอพระศพของพระเยซู
44 ปีลาตเองรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ดังนั้น เขาจึงเรียกนายร้อยมาถามว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือไม่
45เมื่อปีลาตได้รับคำยืนยัน จากนายร้อย เขาจึงอนุญาตให้โยเซฟ นำพระศพไป
46 ดังนั้นโยเซฟได้ซื้อผ้าลินินมา และนำร่างของพระองค์ลงมา พันพระศพ และนำพระศพไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพที่สกัดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็กลิ้งหินปิดปากถ้ำไว้
47 โดยที่มารีย์มักดาลา และมารีย์มารดาของโยเซฟ ก็ได้เห็นที่เก็บพระศพด้วย


อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 15:1-5
เมื่อคืน พวกยิวได้สอบสวนพระเยซูตามแบบของยิว เพื่อหาหลักฐานมาส่งฟ้องตอนเช้า ซึ่งพวกเขานำพระเยซูไปส่งให้ปีลาต แต่เช้าตรู่ เพราะโดยปกติแล้ว การทำคดีของโรมมักจะทำเช้ามาก ๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากประหารพระเยซูมากเพียงไร แต่เป็นเพราะโรมปกครองอยู่ เขาจึงไม่มีสิทธิทำอะไรเช่นนั้น อีกอย่างประชาชนคงลุกฮือขึ้นอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่ปลอดภัยคือยืมมือของปีลาตให้ทำตามแผนของพวกเขา
ข้อกล่าวหาคือ “พระเยซูทรงตั้งตนเป็นกษัตริย์ของยิว” ซึ่งหมายถึงการที่พระองค์จะนำประชาชนลุกฮือ ต่อต้านโรมนั่นเอง นับเป็นข้อหาทางการเมืองที่จะส่งผลถึงการประหารได้ (ที่จะบอกว่า พระเยซูทรงอ้างว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าส่งมา หรือว่าพระองค์ทรงอ้างว่า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั้น ปีลาตจะไม่เข้าใจเลย)
พอปีลาตถามว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ยิวหรือ พระองค์ก็ทรงตอบในเชิงว่าใช่ตามที่ปีลาตถาม
จากนั้น เมื่อพระองค์โดนใส่ความเพิ่มทับถมเข้ามา ปีลาตก็แปลกใจนักที่พระองค์ไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

มาระโก 15:6-11
ปีลาตรู้มาตั้งแต่แรกว่า พวกยิวพยายามใช้ให้เขาเป็นคนสั่งประหารพระเยซู เนื่องจากพวกเขาอิจฉาที่พระองค์ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แล้วตอนนี้พวกยิวกลับมาใช้ประเพณีที่มีการปล่อยตัวนักโทษประจำปีเลือกปล่อยอาชญากร ที่ทั้งกบฏ และฆ่าคน ทั้ง ๆ ที่ปีลาตเสนอให้ปล่อยพระเยซู เพราะจากการสนทนาสอบสวน ปีลาตรู้อยู่แก่ใจว่า การฟ้องร้องของยิวนั้น ไม่มีหลักฐานแน่นหนา แต่เป็นการใส่ร้ายอย่างจงใจ ปีลาตเห็นอาการอิจฉาอย่างชัดเจน (10)
ก่อนหน้านี้ฝูงชนส่วนหนึ่งติดตามพระเยซู แต่เมื่อมีการใส่ร้าย ผู้คนได้ฟังความพยานเท็จ พวกเขาก็เปลี่ยนใจจากชอบพระเยซูเป็นเกลียดจนต้องการประหารพระองค์ ฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ และแน่นอนในเหตุการณ์นี้ต้องมีคนที่คอยบงการปลุกระดมฝูงชนอยู่ ก็เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันด้วย

มาระโก 15:12-15
ปีลาตหันไปถามฝูงชนว่าต้องการอะไร เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นว่า เขาต้องการเอาใจคนยิวที่มาฟ้องพระเยซู แต่กลับได้คำตอบที่ไม่คาดว่า จะรุนแรงขนาดนั้น …ให้ตรึงที่ไม้กางเขน .. เป็นการลงโทษอาชญากรที่โหดเหี้ยม เลวร้ายแบบโรม แต่พระเยซูไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ได้เป็นฆาตกรหรือกบฏด้วยซ้ำ
การสั่งโบยพระเยซู เป็นเพียงเพื่อเอาใจฝูงชน การโบยนี้รุนแรงกว่าการสั่งเฆี่ยนนักโทษธรรมดา
พระเยซูถูกโบยด้วยแส้หนังหลายเส้น ที่ตรงปลายติดไว้ด้วยกระดูกแหลม หรือเหล็กคมเพื่อขูดเนื้อของนักโทษออกไปทุกครั้งที่โบยทำให้เกิดแผล ผิวหนังจะลอกออกมาเป็นริ้ว ๆ เป็นรอยที่เจ็บปวดมาก อิสยาห์ 52:14 ได้อธิบายไว้ล่วงหน้าว่า พระบุตรของพระเจ้าจะทรงเผชิญอะไร เวลานี้ พระโลหิตไหลท่วมร่างของพระองค์!

มาระโก 15:16-20
วังของผู้ว่าก็คือ สถานที่พักทางราชการของผู้ว่าฯ ที่โรมจัดไว้ให้ เป็นที่ ๆ สามารถสอบสวน ตัดสินความได้ มีการระดมกำลังทหารเข้ามาเพื่อจัดระเบียบ ไม่ให้ฝูงชนทำร้ายจำเลย..
พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้และสวมมงกุฎหนามด้วยเป็นการเยาะเย้ยพระองค์อย่างถึงที่สุด มงกุฎนี้ ทำจากกิ่งไม้หนามที่มีอยู่ทั่วไป และบัดนี้พระเศียรของพระองค์ก็อาบโลหิตเต็มไปหมด! มาระโกไม่ได้บันทึกถึงความรู้สึกของพระเยซูเลย เขาเพียงรายงานว่า พระองค์ทรงถูกกระทำอย่างไรบ้าง …​เราเองเป็นผู้ที่จะต้องทบทวนว่า พระบุตรของพระเจ้าทรงโดนคนต่ำทรามเหล่านี้ ดูแคลนพระองค์ขนาดไหน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวขนาดไหนในเวลานั้น แล้วพระองค์ถูกฟาดพระเศียรด้วยไม้อีกครั้ง หนามทิ่มลึกลงไป พระโลหิตไหลออกมาอีกเป็นสายโลหิตท่วมพระพักตร์! ตามด้วยน้ำลายของทหารอันธพาลที่โสโครกเหล่านั้น ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
พวกเขายังเยาะเย้ยพระองค์ด้วยวิธีสามานย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุกเข่า คำนับพร้อมกับแสดงความเหยียดหยาม
ช่วงนี้เองที่ยอห์นเล่าว่า ปีลาตพยายามช่วยให้พระเยซูไม่ถูกตรึงอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ (ยอห์น 19:4-5)
จากนั้น พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ ให้สวมเสื้อเดิม และนำพระองค์ออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะประหารในวันนั้นเอง โดยให้พระองค์แบกกางเขนออกไปเอง แบกท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่คนแข็งแรงยังแบกยาก…

มาระโก 15:21-28
การแบกกางเขนนั้น ก็เหมือนการลากไม้กางเขนไป เพราะทหารจะให้ปลายไม้อยู่บนดิน นักโทษจะต้องแบกและลากไป
ซีโมนชาวเมืองไซรีน อยู่ทางเหนือของอัฟริกา เขาน่าจะเป็นคนยิวที่เข้ามาร่วมในพิธีปัสกา เขาได้รับเกียรติจากพระเจ้าสูงสุดให้ช่วยแบกไม้กางเขนแทนพระเยซูที่ทรงบาดเจ็บอย่างสาหัส ผ่านคำสั่งของทหารโรมเองที่เห็นว่า นักโทษคงไม่มีแรงพากางเขนไปถึงที่หมายได้ (ส่วนรูฟัสคนนี้ รู้จักกับเปาโลในโรมด้วย (โรม 16:13)
สถานที่ซึ่งเขาจะตรึงพระเยซูน่าจะเป็นเนินที่มีรูปร่างคล้ายหัวกระโหลก คนจึงเรียกเช่นนั้น เป็นสถานที่อยู่นอกเมืองออกไป
มีคนหนึ่งเอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบซึ่งจะช่วยทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลงได้ มีคุณสมบัติทำให้ชาไปทั้งตัว แต่พระเยซูเลือกที่จะไม่รับสิ่งนั้น พระองค์ต้องรู้พระองค์จนถึงสิ้นลมหายใจ…​ พระองค์เองเคยตรัสว่าจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนถึงวันนั้นที่จะมีคริสตจักรดื่มกับพระองค์
(มัทธิว 26:29)ดาวิดได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในข้อ 24 ล่วงหน้าในสดุดี 22:16-18

มาระโก 15:29-32
การทำโทษด้วยตรึงมักทำในที่ ๆ คนเดินไปมานอกเมืองเพื่อนักโทษจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม คนที่ผ่านมาก็นิสัยทรามมากเพราะว่าสามารถหาเรื่องมาลงที่ผู้ที่อยู่บนไม้กางเขน ไม่มีเห็นใจ มีแต่การทับถมซ้ำ
หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์กล่าวหาว่า พระเยซูทรงหมิ่นประมาทพระเจ้า(มาระโก 14:64) แต่พวกเขานั่นแหละที่กำลังทำบาปนี้อย่างไม่รู้ตัว สมควรที่จะได้รับโทษประหาร(เลวีนิติ 24:16)

มาระโก 15:33-41
ทั้งแผ่นดิน มืดสนิท ช่างเป็นภาวะที่น่ากลัว เป็นความมืดในเวลากลางวันถึงสามชั่วโมง พระเยซูทรงเจ็บปวดในพระทัยขนาดไหน จนกระทั่งทรงร้องตัดพ้อพระบิดาว่า เหตุใดทรงทิ้งพระองค์ไป .. เป็นคำเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในสดุดีบทที่ 22 ทรงทำให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในสมัยโบราณนั้น จำเป็นต้องเกิดขึ้นตามจริง จำได้ไหมว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์ผู้ไม่ได้มีบาปต้องรับบาปเพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า (อ่าน 2 โครินธ์ 5:21)
เราไม่อาจมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้าโดยผ่านความดีของตัวเอง หรือการช่วยเหลือของใคร นอกจากองค์พระเยซูเท่านั้น
แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังตามที่ยอห์น 19:30 บันทึกไว้คือ “สำเร็จแล้ว”แล้วก็สิ้นพระชนม์

ม่านในพระวิหารเป็นผ้าทอหนาราว 9 นิ้ว เป็นผ้าที่หนาแบบหาได้ยาก ขนาดประมาณ 30×60 ฟุต
ในวันนั้น ม่านที่แยกคนออกจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ขาดออกเป็นสองท่อน บนลงล่าง ทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำ แต่พระเจ้าทรงทำเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์ทรงฉีกที่กั้นออกไปแล้ว พระเยซูทรงทำให้มนุษย์สามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมีตัวแทนอย่างปุโรหิตอีกต่อไป
ผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าคนหนึ่งคือ นายร้อยโรมเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้น เขากล่าวยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า! ชายคนนี้ต้องเห็นการทำโทษโดยตรึงบนไม้กางเขนมาบ้าง และเขาก็รู้ว่า พระเยซูไม่ใช่นักโทษ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ ๆและยังมีคนที่ติดตามพระเยซูดูอยู่ห่าง ๆ อย่างเศร้าใจ มาระโกได้บันทึกถึงสตรีเหล่านี้ให้เราได้รู้ว่า มีทั้งชายและหญิงที่ติดตามพระองค์ใกล้ชิด

มาระโก 15:42-47
แม้เราจะไม่ได้รู้จักโยเซฟชาวอาริมาเธียมาก่อน แต่ในช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูจะถูกตัดสิน เขาก็ไม่เห็นด้วย (ลูกา 23:50-51) แต่จำเป็นต้องมีการเก็บพระศพของพระเยซูนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนสำคัญในการเมือง และก็มีฐานะ กล้าที่จะเข้าไปขออนุญาตจากปีลาตโดยตรง เหตุที่วันต่อมาจะเป็นวันสะบาโต และวันต่อมาก็จะเป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ จะไม่มีการทำงานใด ๆ (เลวีนิติ 23:5-7) ผู้ที่เชื่อ ติดตามพระองค์ ก็จะต้องเก็บพระศพทันที
ปีลาตแปลกใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะจริงแล้ว การตรึงบนไม้กางเขนจะทรมานนักโทษที่ถูกตรึงหลายวันก่อนตาย ตามธรรมเนียมของโรม ก็จะทิ้งศพไว้อีกหลายวันเพื่อประจาน และให้สัตว์มาทึ้งร่างด้วยแต่ปีลาตก็อนุญาตให้เอาพระศพลงมา แสดงว่า เขาน่าจะเข้าใจชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิด ไม่เป็นอาชญากรอย่างที่พวกผู้นำศาสนายิวกล่าวหา
โยเซฟได้นำพระศพมา และตามธรรมเนียมจะต้องทำความสะอาดพระศพด้วยจึงจะใส่เครื่องหอมสมุนไพรที่พวกเขาจะใช้ชโลมศพที่ นิโคเดมัสเป็นผู้นำมา (ยอห์น 19:39) ในคืนนั้น เขาเตรียมพระศพเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าลินิน และโยเซฟ เก็บพระศพไว้ที่ถ้ำเก็บศพของครอบครัวเขาเองซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ประหารนั้น
ส่วนพวกผู้หญิงที่อยู่ตรงไม้กางเขนก็เห็นสิ่งที่โยเซฟ นิโคเดมัส และคนของพวกเขาได้เตรียมให้พระเยซูก่อนจะเก็บพระศพและกลิ้งหินปิดปากถ้ำตามคำขอของพวกผู้นำศาสนายิว

พระคำเชื่อมโยง

มาระโก15
1* สดุดี 2:2; อิสยาห์ 53:7; กิจการ 3:13
2* มัทธิว 27:11-14
3* ยอห์น 19:9
4* มัทธิว 27:13
5* สดุดี 38:13-14; อิสยาห์ 53:7; ยอห์น 19:9
6* มัทธิว 27:15-26
11* กิจการ 3:14
12* มีคาห์ 5:2
14* 1 เปโตร 2:21-23
15* มัทธิว 27:26; อิสยาห์ 53:8
16* มัทธิว 27:27-31
19* อิสยาห์ 50:6; 52:14; 53:5; มีคาห์ 5:1



20* ลูกา 22:63; 23:11
21* มัทธิว 27:32
22* ยอห์น 19:17-24
23* มัทธิว 27:34
24* สดุดี 22:18
25* ยอห์น 19:14
26* มัทธิว 27:37
27* อิสยาห์ 53:9, 12; ลูกา 22:37
28* อิสยาห์ 53:12; ลูกา 22:37
29* สดุดี 22:6-7; 69:7; 109:25; ยอห์น 2:19-21
30* สดุดี 22:8
31* สดุดี 69:19; ลูกา 18:32; ยอห์น 11:43

32* สดุดี 22:8; มัทธิว 27:44
33* อาโมส 8:9; ลูกา 23:44-49
34* สดุดี 22:1
36* ยอห์น 19:29; สดุดี 69:21
37* มัทธิว 17:23; 27:50
38* อพยพ 26:31-33; เศคาริยาห์ 11:10-11
39* ลูกา 23:47
40* มัทธิว 27:55; สดุดี 38:11
41* ลูกา 8:2-3
42* ยอห์น 19:38-42
43* อิสยาห์ 53:9; ลูกา 2:25, 38; 23:51
46* มัทธิว 27:59-60; 26:12; มาระโก 14:8

ฮีบรู 13 ชีวิตที่พอพระทัย

ฮีบรู 13:1-2 จงรักกันอย่างพี่น้องสืบต่อไป
อย่าละเลยการต้อนรับแขกแปลกหน้า
เพราะการทำเช่นนั้นทำให้บางคนได้
ต้อนรับทูตสวรรค์อย่างไม่รู้ตัว


ฮีบรู 13:3 จงระลึกถึงผู้ที่ถูกจำจองราวกับว่าท่าน
เองอยู่ในเรือนจำเช่นเดียวกับพวกเขา
และระลึกถึงคนที่ถูกข่มเหงราวกับว่า
ท่านก็ได้ทนทุกข์ไปพร้อมกับเขา



ฮีบรู 13:4 จงให้การสมรสเป็นเกียรติน่านับถือ
แก่คนทั้งหลาย และให้เตียงสมรส
ไร้มลทิน เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษา
คนที่ผิดศีลธรรมทางเพศ
และคนที่ผิดประเวณี


ฮีบรู 13:5-6 จงรักษาชีวิตให้พ้นจากการรักเงิน และจงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีวันที่เราจะละจากเจ้า ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้าไป” ดังนั้นเราจึงพูดด้วยความมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?”


ฮีบรู 13:7 จงระลึกถึงผู้นำของท่านที่ได้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่าน จงพิจารณาผลการดำเนินชีวิตของพวกเขา และทำตามอย่างความเชื่อของพวกเขา

ฮีบรู 13:8 องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์

ฮีบรู 13:9 อย่าหลงเชื่อคำสอนแปลก ๆ หลากหลายอย่าง เพราะเป็นการดีที่ใจของเราจะรับพลังจากพระคุณ ไม่ใช่จากอาหารตามพิธีกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์กับคน
ที่ปฏิบัติตาม

ฮีบรู 13:10-11 เรามีแท่นบูชาซึ่งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาไม่มีสิทธิกินอาหารจากแท่นนั้น ปุโรหิตนำเลือดของสัตว์เข้ามาในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปแต่ร่างของสัตว์ก็จะถูกเผานอกค่าย

ฮีบรู 13:12 องค์พระเยซูก็เช่นกัน ทรงทนทุกข์นอก
เขตประตูเมืองเพื่อให้คนทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์​

ฮีบรู 13:13-14 ดังนั้น ให้เราออกไปหาพระองค์นอกค่าย
และรับความอับอายที่พระองค์ได้ทรงแบกรับไว้ เพราะเราไม่มีเมืองถาวรที่นี่ แต่เรากำลังรอคอยเมืองที่กำลังจะมา

ฮีบรู 13:15-16 ดังนั้น ให้เราถวายเครื่องบูชาแห่งคำ
สรรเสริญแด่พระเจ้าผ่านองค์พระเยซูตลอดไป เป็นการถวายคำยอมรับพระนามของพระองค์จากปากของเรา
อย่าลืมที่จะทำความดี และแบ่งปันให้ผู้อื่น เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้

ฮีบรู 13:17 จงเชื่อฟังผู้นำของท่าน และยอมใต้การดูแลของเขา เพราะพวกเขาดูแลท่าน ในฐานะของผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน ถึงขนาดนี้แล้ว จงให้เขานำท่านด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ใจ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ท่าน

ฮีบรู 13:18-19 จงอธิษฐานเผื่อเรา เราแน่ใจว่า เรามีจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ และมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติในทุก ๆ ทาง เราขอร้องเป็นพิเศษ
ที่ท่านจะอธิษฐานเพื่อให้ข้าพเจ้า
มาพบกับท่านในไม่ช้านี้

ฮีบรู 13:20 บัดนี้ ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข
พระองค์ผู้ทรงนำองค์พระเยซูเจ้า
องค์พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของฝูงแกะ
ให้ฟื้นจากความตาย
ด้วยพระโลหิตของพันธสัญญานิรันดร์ได้ทรง………

ฮีบรู 13:21 ได้ทรง…ให้ท่านได้เต็มด้วยสิ่งดี ที่จะช่วยให้ทำ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และขอให้พระองค์ทรงทำราชกิจสำเร็จในตัวเราตามที่ชอบพระทัยของพระองค์ทาง
พระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน

ฮีบรู 13:22-23 พี่น้องเอ๋ย ข้าขอให้ท่านได้อดทนรับ
คำเตือน คำหนุนใจจากข้า เพราะข้าเขียนจดหมายสั้น ๆ มาถึงท่าน ขอเรียนให้ทราบว่า ทิโมธีน้องของเราถูกปล่อยตัวแล้ว หากเขามาถึงเร็ว ข้าจะมาพร้อมกับเขาเพื่อจะได้พบท่าน

ฮีบรู 13:24-25 ข้าขอฝากความคิดถึงมายังผู้นำของ
ท่านและวิสุทธิชนทุกท่านผู้ที่มาจากอิตาลีขอฝากความคิดถึงมาด้วยขอพระคุณจงดำรงกับท่านทุกคน

ฮีบรู 13:1-2
พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาศิษย์และผู้เชื่อของพระองค์ให้รักกันและกัน เพื่อโลกจะรู้ว่า เราเป็นของ ๆ พระองค์ (ยอห์น 13:35) เรารักกันอย่างพี่น้องเพราะเรามีพระบิดาองค์เดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละเชื้อชาติ แต่ผู้เชื่อพระเยซูก็เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่แปลกไปจากความคิดของคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ยังให้เรามีใจต้อนรับในแง่ของการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพื่อบันเทิง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราดีต่อคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ฮีบรู 13:3
ในช่วงเวลานั้น คริสเตียนจำนวนมากถูกจับเพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาไปยังวิหารต่างชาติ กราบไหว้เทพชาวโรม แต่พอพวกเขาเชื่อพระเจ้าก็เลิกถูกจับเข้าคุกไม่พอ ยังถูกส่งให้สัตว์ร้ายกิน ถูกเผา ผู้เขียนบอกเราให้ระลึกถึง​คนที่ถูกจองจำและให้
ตระหนักว่า เราถูกจองจำเหมือนเขาด้วย บางคนสามารถที่จะไปเยี่ยม ให้กำลังใจ อธิษฐานด้วยกัน บางคนอธิษฐานเผื่อ

ฮีบรู 13:4
พระคำข้อนี้ ไม่ต้องอธิบายมากเลย ชัดเจน สั้นตรงไปตรงมา ข้อเสียของโลกปัจจุบันคือ เราคิดว่า เรื่องนี้ไม่สำคัญ ใคร ๆ ก็ได้กันก่อนทั้งนั้นแล้วคริสเตียนแทนที่จะคิดอย่างพระเจ้า แต่กลับไปคิดอย่างโลก แล้วก็คิดด้วยว่า อยู่ด้วยกันแล้วไม่ถูกใจก็เลิก ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้กับครอบครัว พระองค์ทรงประสงค์ครอบครัวที่ถูกต้องกับพระองค์ และคู่สมรสที่จะอยู่ยืนยาวไปด้วยกัน

ฮีบรู 13:5-6
เมื่อเราอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขาไม่รู้จักที่จะวางใจพระเจ้าในทุกก้าวของชีวิต พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเราที่ทำงานเหมือน ๆ กับเขาแต่ทำไมช่างวางใจว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง พวกเขามองว่า การที่เราวางใจพระเจ้าเป็นความอ่อนแอ เราต้องพึ่งตนเองมากที่สุดเขาไม่รู้กันเลยว่า การที่มีความเชื่อในพระเจ้านั้นเป็นประกันความปลอดภัยในชีวิตที่ดีสุด

ฮีบรู 13:7
พระคำตอนนี้ไม่ได้มีเพื่อผู้ตามให้ตามอย่างดี แต่มีเพื่อผู้นำที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของรุ่นต่อ ๆ มามีผู้นำเป็นจำนวนมากที่นำมานานจนหลงตัวเองคิดว่า ตนเองโอเคทุกเรื่อง อย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องพิจารณาความเชื่อ การกระทำของตนเองว่า
ตรงกับที่ตนเองสอนผู้อื่นหรือเปล่า ชีวิตของทุกคนต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน หากไม่เปลี่ยน ชีวิตก็เหมือนกิ่งไม้ที่ไม่ได้ติดกับลำต้น มีแต่จะแห้งเหี่ยวไป

ฮีบรู 13:8
ก่อนหน้านี้ ได้กล่าวถึงการที่จะมีชีวิตคริสเตียนเต็มด้วยความเชื่อและการกระทำที่ตรงกับพระคำของพระเจ้า และข้อต่อไปได้กล่าวถึงการที่จะไม่หลงไปตามความเชื่อผิด ผู้เขียนต้องการให้พี่น้องได้รู้ว่า ความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงที่ว่าพระเยซูไม่ทรงเปลี่ยนแปลง มาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เสด็จมาเป็นมนุษย์จนเสด็จสู่สวรรค์ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ เรายังมั่นใจในพระองค์ได้เสมอ

ฮีบรู 13:9
เนื่องจากมักจะมีคำสอนแปลก ๆ เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่สมัยคริสตจักรเริ่มแรกจนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวก็มีพิธีกรรมใหม่ ๆ ให้ผู้เชื่อได้ตื่นเต้น แทนที่จะดื่มด่ำในพระคำของพระเจ้า ดังนั้น ผู้เชื่อจึงต้องระวังคำสอนที่เน้นการกระทำ บิดเบือนพระคำของพระเจ้า เราได้รับพลังในการใช้ชีวิตตามพระเจ้าจากพระคุณยิ่งใหญ่ มิใช่ด้วยการกระทำตามพิธีกรรม

ฮีบรู 13:10-11
แท่นบูชาที่ผู้เขียนกล่าวถึงในข้อนี้ คือไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์ เป็นแท่นบูชาที่บรรดาคนที่ยังเชื่อในระบบการถวายเครื่องบูชาแบบของโมเสส พูดง่าย ๆ คือ คนที่ยังติดอยู่กับพิธีกรรมของโมเสส ไม่มีสิทธิใด ๆ ในไม้กางเขนนี้คนที่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น จะไม่ได้รับการประกาศว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าเหมือนอย่างคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์

ฮีบรู 13:12
เหมือนอย่างที่โคบูชานั้นถูกฆ่าเพื่อทำให้อาโรนและเหล่าปุโรหิตได้บริสุทธิ์ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อให้คนที่เชื่อได้กลายเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า เป็นผู้ที่ถูกรับว่าเป็นคนบริสุทธิ์ พ้นจากโทษบาป สัญญลักษณ์ของการถูกทิ้งนอกค่าย ชี้มายังพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์นอกประตูเมือง มีความหมายถึงการที่พระองค์ทรงถูกทิ้งถูกปฏิเสธ นี่คือความอับอายที่ทรงเผชิญเพื่อเรา

ฮีบรู 13:13
ความอับอายของพระเยซูคริสต์ที่ทรงเผชิญนั้นลึกล้ำกว่าที่เราจะเข้าใจได้จริง ๆ พระองค์ทรงกลายเป็นอาชญากรผู้ถูกประหารทั้งที่ไม่มีความผิดใด ๆ ถูกผู้คนละทิ้ง และปฏิเสธ ที่สำคัญไปถึงพระบิดาที่รักทรงทอดทิ้งพระองค์ด้วยอย่างที่พระองค์ได้ตรัสด้วยความเจ็บปวดในพระทัยว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของ ข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มาระโก 15:34)

ฮีบรู 13:14
ก็เหมือนกับบรรพบุรุษของอิสราเอลที่ต่างมีความเชื่อในพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาแม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ ก็จะเชื่อต่อไป ตรงจุดนี้เป็นขั้นของการพิสูจน์ความเชื่อของทุกคนยังไม่เห็น แต่จะเชื่อหรือเปล่า.. ยังไม่เกิด แต่จะเชื่อต่อไปไหม เราทุกคนผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาอยู่แล้ว และต่อไปข้างหน้าหรือแม้วันนี้เราจะยังเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเชื่อแม้ว่าสิ่งที่ทูลขอยังมาไม่ถึง

ฮีบรู 13:15-16
พระคำข้อนี้ ช่วยบอกเราชัดเจนว่า การสรรเสริญนมัสการพระเจ้านั้น ไม่ได้อยู่แค่ที่การร้องเพลงสรรเสริญนมัสการจากวิญญาณและความจริงเท่านั้น แต่การทำความดีให้กับผู้อื่น แบ่งปันสิ่งดีที่มีให้ผู้อื่น ก็เป็นเครื่องบูชาจากเราได้ด้วย
เราจะเห็นสิ่งดีที่ผู้รับใช้ในประเทศต่าง ๆ ได้ทำเพื่อคนอื่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ แต่เราคนเล็ก ๆ ก็สามารถทำสิ่งดีให้กับคนรอบข้างได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน

ฮีบรู 13:17
ผู้นำฝ่ายวิญญาณของเรา เขาต้องดูแลเรา พระเจ้าทรงเรียกให้เขานำประโยชน์ฝ่ายวิญญาณมาให้ชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องถวายรายงานเรื่องชีวิตของเราด้วยสำหรับพระคำข้อนี้ เราต้องคิดย้อนด้วย หากเราเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของคนรอบข้างล่ะ หากเราเป็นพ่อ แม่ หรือ ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่นำทุกคนมาหาพระเจ้าล่ะ เราต้องรับผิดชอบอย่างไรที่จะ
เข้าไปเสนอรายงานต่อพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจ?

ฮีบรู 13:18-19
ตอนนี้ผู้เขียนกำลังสรุปเรื่องราวทั้งหมดมา เขาขอร้องให้พี่น้องได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาที่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ เราอย่าคิดว่า ผู้นำไม่ต้องการคำอธิษฐาน พวกเขายิ่งต้องการมากเพราะเขาจะต้องทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผล เราเจอมามากที่ผู้ตามไม่ได้อธิษฐานเผื่อผู้นำ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้นำแล้ว เขาก็เก่งแล้วนี่นา เขาต้องผ่านได้ทุกเรื่อง แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ให้เราทิ้งผู้นำไว้คนเดียว อธิษฐานเผื่อทุกเรื่อง

ฮีบรู 13:20
นี่เป็นคำอธิษฐานของผู้เขียนฮีบรู ซึ่งเราไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร หลายคนคิดว่าเป็นท่านเปาโล แต่วิธีการเขียนนั้น แตกต่างจากท่านมาก คำอธิษฐานนี้เป็นการจบจดหมายที่ท่านเขียนมา ท่านมีใจปรารถนาให้พี่น้องได้รับสิ่งดีจากพระเจ้า ท่าน
อธิษฐานถึงพระเจ้าแห่งสันติสุข เน้นว่าพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย จำได้ไหมว่าท่านเริ่มต้นจดหมายนี้ด้วยการยกย่องพระเยซูคริสต์อย่างสูงและท่านจะจบจดหมายด้วยพระเยซูเช่นกัน

ฮีบรู 13:21
ท่านทูลขอพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงทำให้พี่น้องมีสิ่งดี ๆ เป็นเครื่องมือที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้พระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรานั้นสำเร็จ นี่เป็นคำอธิษฐานตัวอย่างที่เราจะอธิษฐานเผื่อทั้งผู้นำและพี่น้องที่มีความเชื่อร่วมกับเรา คำอธิษฐานนี้ก็เพื่อว่า พระเยซูเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสูงสุด จากสิ่งดีที่เราทำ จากการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงทำให้ชีวิตของพวกเรา

ฮีบรู 13:22-23
เราจะเห็นว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าเช่นเปาโลหรือแม้ทิโมธีเองซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ใกล้ชิดของเปาโลก็ถูกจำจองด้วยซึ่งเป็นเพราะเขารับใช้พระเจ้านั่นเอง ผู้เขียนฮีบรูคงเป็นส่วนหนึ่งของราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในช่วงคริสตจักรยุคแรกนี้ ท่านขอให้พี่น้องรับทั้งคำเตือน คำหนุนใจ ซึ่งก็รวมถึงคำสอนต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์ปุโรหิตนิรันดร์

ฮีบรู 13:24-25
จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มาถึงแค่พี่น้องในคริสตจักรแต่มาถึงทั้งผู้นำและผู้ตาม เป็นชุมชนคริสเตียนที่มีอยู่จริง ๆ เป็นขุมชนที่ต้องการคำสอนของหนังสือฮีบรูนี้ คำสุดท้ายของจดหมายคือ ขอให้พระคุณของพระเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคน นี่เป็นสิ่งที่เราเองก็จะได้รับเมื่ออ่านพระคัมภีร์ฉบับนี้ และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเพราะการติดตามพระเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:10
2* มัทธิว 25:35; ปฐมกาล 18:1-22; 19:1
3* มัทธิว 25:36
4* สุภาษิต 5:18-19;1โครินธ์ 6:9
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6, 8;โยชูวา 1:5
6* สดุดี 27:1; 118:6
8* ฮีบรู 1:12

9* เอเฟซัส 4:14; 1 ทิโมธี 6:3-5
10* 1โครินธ์ 10:20; 5:7-8
11* เลวีนิติ 16:27
12* ฮีบรู 9:12-14; ยอห์น 19:17-18
13* 1 เปโตร 4:14
15* เอเฟซัส 5:20; เลวีนิติ 7:12; โฮเชยา 14:2

16* โรม 12:13; ฟีลิปปี 4:18
17* ฟีลิปปี 2:29; เอเสเคียล 3:17
18* เอเฟซัส 6:19; กิจการ 23:1
20* โรม 5:1-2, 10; 15:33 โฮเชยา 6:2; โรม 4:24; 1 เปโตร 2:25; 5:4เศคาริยาห์ 9:11
21* ฟีลิปปี 2:13