มัทธิว 10 ทรงส่งศิษย์ออกไป

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 

1 พระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาไล่วิญญาณชั่วและรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
2 ศิษย์ที่เป็นอัครทูตทั้งสิบสองคนคือ คนแรก ซีโมน​มีอีกชื่อว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา
3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวผู้เป็นคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และธัดเดอัส
 4 ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระเยซู

พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
5 พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนโดยทรงสั่งว่า “อย่าเข้าไปในเขตแดนของคนต่างชาติ หรือในเมืองที่มีชาวสะมาเรียอยู่

6 แต่จงไปหาแกะหลงหายของอิสราเอล
7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’
8 จงรักษาคนป่วย ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา จงรักษาคนโรคเรื้อน ขับผีออกจากคน  เจ้าได้รับอำนาจนี้มาเปล่า ๆ ก็จงให้โดยไม่คิดราคา


 
9 อย่าพกเงิน ทองคำ แร่เงิน หรือแร่ทองแดงไปกับตัวเจ้า
 10 อย่าเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้าเดินทางไปด้วย เพราะคนทำงานก็ควรได้รับการสนับสนุนตอบแทน
 11 “เมื่อเจ้าเข้าไปยังเมืองหรือหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะเพื่อว่าเจ้าจะพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะออกจากเมืองไป     
12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด
ก็ขอให้พระพรแห่งสันติสุขอยู่กับบ้านนั้น 
13 หากคนในบ้านนั้นต้อนรับเจ้า ก็ขอให้สันติสุขของท่านดำรงในบ้านนั้น แต่หาไม่แล้ว จงให้สันติสุขคืนมาสู่เจ้าเอง

เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
14 และหากบ้านใดเมืองใดไม่ยอมต้อนรับเจ้าหรือฟังคำของเจ้า ก็จงละจากที่นั่นไป และสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเมื่อออกจากสถานที่นั้น (เป็นการแสดงเตือนถึงการพิพากษา)

15 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ยังเบากว่าเมืองนั้น  
16 “ฟังนะ เราส่งเจ้าออกไปเหมือนแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยอย่างนกพิราบ 

พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
17 จงระวังเหล่าคนที่จะจับเจ้าและนำเจ้าไปขึ้นศาล และโบยเจ้าในศาลาธรรมของพวกเขา
18 เป็นเพราะเรา พวกเจ้าจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเหล่ากษัตริย์ เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งเขาและคนต่างชาติ
 
19 เมื่อเจ้าถูกจับ อย่ากังวลว่าจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไร  เวลานั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าควรพูดให้ 
20  เพราะไม่ใช่เจ้าที่กำลังพูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดาของเจ้าที่ตรัสผ่านเจ้า



ศิษย์ไม่เหนือกว่าครู
21 พี่น้องจะทรยศกันถึงชีวิต เขาจะส่งพี่น้องสู่ความตาย และพ่อก็จะมอบลูก และลูก ๆ ก็จะต่อต้านพ่อแม่ของตน ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย
22 คนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าติดตามเรา แต่คนที่ยืนหยัดในความเชื่อจนถึงที่สุดจะรอด
23 เมื่อเจ้าถูกข่มเหงในเมืองหนึ่ง ก็จงหนีไปอีกเมือง
เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์ก็จะเสด็จมาแล้ว (ดาเนียล 7:13-14) 
 24 “ลูกศิษย์จะไม่เหนือกว่าครูของเขา และทาสจะไม่เหนือนายของเขา
25 แค่ศิษย์เป็นเหมือนครู และทาสเป็นเหมือนนายก็น่าพอใจแล้ว  หากหัวหน้าครอบครัวถูกเรียกว่า เบเอลเซบูล (ชื่อของซาตานอีกชื่อ)  เขาจะเรียกคนในครัวเรือนนั้นหนักยิ่งกว่าสักเท่าใด
 


26 “ดังนั้น อย่าไปกลัวพวกเขา เพราะทุกอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้จะได้รับการเปิดเผย ทุกสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ จะถูกเปิดให้เห็นประจักษ์ 

อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
27 สิ่งใดที่เราบอกแก่เจ้าในที่มืด แต่เจ้าจะต้องบอกออกไปในที่แจ้ง สิ่งที่เจ้าได้ยินกระซิบข้างหู เจ้าจะต้องตะโกนประกาศจากหลังคาบ้าน
28 อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตวิญญาณ ผู้เดียวที่เจ้าควรกลัวคือ พระองค์ผู้ทรงทำลายได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรก
  29 นกกระจอกนั้นเขาขายกันสองตัวบาทเดียวไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักตัวเดียวที่จะตายตกลงมาบนพื้นโดยพระบิดาของพวกเจ้าไม่ทรงอนุญาต
30 พระเจ้ายังทรงรู้ว่า บนศีรษะของเจ้ามีเส้นผมจำนวนเท่าไร  31 ดังนั้น อย่ากลัวไป เพราะเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว  

การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
32 “คนใดที่ยอมรับเราต่อหน้าคนอื่น  เราก็จะยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์
 33 แต่คนใดที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เช่นกัน 

ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
34 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติสุขมา แต่นำดาบมา
 35 เรามาเพื่อที่จะทำให้ลูกชายต่อต้านพ่อ ลูกสาวต่อต้านแม่ ลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 
36  ศัตรูของคน ๆ หนึ่งก็คือ คนในครอบครัวของเขาเอง 

การเป็นศิษย์ของพระเยซู
37 “คนใดที่รักพ่อหรือแม่มากยิ่งกว่ารักเรา
ไม่สมควรที่จะติดตามเรา  คนใดที่รักลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่สมควรที่จะติดตามเรา

 38 คนใดที่ไม่เต็มใจรับกางเขน
และติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา
 39 คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่คนใดที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะรักษาชีวิตแท้จริงนั้นไว้


การต้อนรับคนของพระเจ้า
40 ใครก็ตามที่ตอบรับเจ้าก็รับเราด้วย 
และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
41 ใครก็ตามที่ตอบรับผู้เผยพระดำรัส
เพราะเขาเป็นผู้เผยพระดำรัส
ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยพระดำรัสพึงได้รับ 
และใครก็ตามที่รับคนเที่ยงธรรม
เพราะเขาเป็นคนเที่ยงธรรม
ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างคนเที่ยงธรรม
42 คนใดที่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่คนเล็กน้อย
เพราะเขาเป็นคนของเรา

จะไม่ขาดรางวัลของเขาเลย

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 
10:1 เมื่อพระเยซูทรงเรียกศิษย์สิบสองคนที่ใกล้ชิดมา เป็นคนที่จะอยู่กับพระองค์ จะเห็นการทำงาน การสอน การรักษาโรคของพระองค์ และ พระองค์ทรงให้อำนาจการไล่ผี การรักษาโรคให้พวกเขาด้วยอย่างที่ไม่ได้หวงอำนาจเหล่านั้นไว้เลย พวกเขาไม่ได้ทราบว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในจักรวาลเป็นของพระเยซูคริสต์ .. แต่ต่อไปนี้ พวกเขาจะต้องใช้ฤทธิ์เดชนั้นอย่างพระอาจารย์ของพวกเขา

10:2-4 เราจะเห็นว่า ในบรรดาศิษย์สิบสองคนนี้ มีพี่น้องอยู่สองคู่คือ ซีโมนกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์น ที่เหลืออีกแปดคนนั้นมาจากคนละครอบครัว และยังมีคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรู้ว่าจะทรยศพระองค์ แต่ก็ทรงเลือกเขาไว้ด้วย
ศิษย์ทั้งสิบสองคน มีอาชีพเดิมต่างกัน ทั้งเป็นชาวประมง คนเก็บภาษี คนที่สนใจการเมืองอย่างซีโมน พระองค์ทรงให้คนต่างมุมมองมาเป็นศิษย์และให้พวกเขาทำงานด้วยกัน และแบบอย่างนี้ก็ส่งต่อลงมายังพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรด้วย … ผู้คนที่แตกต่าง มารักพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเป็นพี่น้อง มานมัสการและทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน

10:5-8 พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
ผู้ที่เป็นคนสำคัญในพันธกิจครั้งนี้ของศิษย์คือ คนอิสราเอลที่หลงไปจากทางของพระเจ้า เป็นคนที่พระเยซูทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มัทธิว 9:35-38 ; เยเรมีย์ 50:6 )
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนของพระองค์ออกไป และเวลานี้ พระเยซูก็ทรงส่งคนออกไปอย่างที่ได้อธิษฐาน แต่พระเยซูทรงห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองที่มีชาวสะมาเรีย นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มัทธิวกล่าวคำว่า สะมาเรีย!
พระองค์ทรงให้ทั้งประกาศ รักษาคนป่วยทั่วไปและโรคเรื้อน ทำให้คนฟื้นจากตาย รวมถึงขับผี ซึ่งเป็นการสู้กับโลกวิญญาณโดยตรง ​….​

10:9-10 ทอง เงิน ทองแดง ต่างมีค่าที่จะใช้ซื้อของได้ แต่พระเยซูไม่ให้พวกเขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงวางกฎไว้ชัดเจนว่า คนที่ทำงานจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่นที่เขาไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายหรือที่พัก เมื่อพักบ้านใดก็ให้พรแก่บ้านนั้น (ลูกา 10:5) คำว่าย่ามนั้นมีความหมายได้สองอย่างคือย่ามเดินทาง กับย่ามขอทาน เสื้ออีกตัวเพื่อที่จะใส่สลับกัน รองเท้า ไม้เดินทาง (ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือโจรที่ซุ่มตามทาง) พระเยซูจะให้เขาไปด้วยการพึ่งพระเจ้าเต็มที่

10:11-13 ในแต่ละเมืองพวกเขาจะต้องพักในบ้านของคนที่ยินดีต้อนรับ และให้อยู่ที่นั่นที่เดียว ไม่ให้ทำเหมือนกับพวกนักบุญสัญจรที่มีอยู่ระบาดในสมัยนั้น พวกเขาจะไปหลายบ้านเพื่อเอาย่ามไปขอทาน


10:14-15 เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
การที่บ้านเมืองใดไม่ต้อนรับพระวจนะของพระเจ้านั้น แสดงว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์ เราจะเห็นประเทศมากมายที่ห้ามการประกาศ ห้ามมีพระคัมภีร์ และจะจับผู้เชื่อจำคุกจนกว่าจะปฏิเสธพระนาม ที่พระเจ้าตรัสว่า โทษของโสโดม โกโมราห์ยังเบากว่า …​เราเชื่อได้ เพราะเห็นจากประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ดูตัวอย่างจาก https://www.opendoorsus.org/en-US/stories/10-most-dangerous-places-Christian/

10:16-17 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
ข้อความตอนนี้ พระเยซูทรงเปรียบศิษย์เป็นแกะที่ออกไปอยู่ท่ามกลางสุนัขป่า ซึ่งมีความหมายถึงความรุนแรง การถูกโจมตี ถูกข่มเหง คนของพระเจ้าอ่อนแอกว่าสุนัขป่าก็จริง แต่เจ้าของแกะนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าสุนัขป่า
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาฉลาดแต่ไม่มีอันตรายต่อคนอื่น โดยเปรียบกับงูที่มีความฉลาด ตื่นตัว รู้ตัวเสมอ คอยระวังตัว ส่วนนกพิราบมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ซื่อตรง อ่อนโยน สันติ และไม่มีภัยต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ตอบสุนัขป่าด้วยวิธีการของโลก แต่ใช้อาวุธจากพระเจ้า ทั้งพระคำ การอธิษฐาน และความฉลาดเฉลียวที่พระเจ้าได้ประทานให้ รู้จักหลบหลีกสิ่งที่ควร และสู้ในสิ่งที่ต้องสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องมีสติปัญญา ความคิดริเริ่มเพื่อที่จะทำงานของพระองค์อย่างเกิดผล พวกเขาจะถูกจับ ถูกไต่สวน มีความเป็นศัตรูอยู่สูงในโลกข้างนอกแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา

10:17-18 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า พวกเขาจะได้เจออะไรบ้าง เราไม่ทราบว่าในหมู่ศิษย์สิบสองคนนั้น มีใครค้านคำตรัสของพระองค์ในใจบ้างหรือเปล่า? จะส่งเราไป แต่เราจะเจอกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าให้คนของพระองค์ทราบ
การถูกโบยนั้น เป็นคำสั่งจากสภายิว พระองค์กำลังตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองโดยตรง แต่ก็เพื่อพวกเราด้วย
ดังนั้น คำถามเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับฉัน?” แต่ควรจะถามว่า “พระเจ้าจะให้เราเผชิญอย่างไร อะไรเป็นยุทธวิธีของพระองค์?”
พระองค์ทรงให้เขาเห็นมุมมองใหม่ การออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เพื่อเป็นพยานทั้งแต่ยิวและต่างชาติ! นี่คือเป้าหมายของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่ทรงกำหนดชัดเจนแต่แรกให้ไปประกาศกับคนอิสราเอล!”)

10:19-20
ตอนนี้ พระเยซูทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วย ในวิกฤติของชีวิต ในสถานการณ์ที่ต้องพูด สิ่งหนึ่งสำคัญคือเราจะพูดความจริง และที่สำคัญสุดคือ พระวิญญาณจะทรงอยู่ด้วย และทรงนำ ทรงทำให้เราได้พูดน้ำพระทัยของพระเจ้าออกมาต่อหน้าคนที่มุ่งร้าย

10:21-22 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระคำตอนนี้ เกิดขึ้นจริงในโลก เพราะในหลาย ๆ สังคม ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ ญาติก็ยังไม่สำคัญเท่าอุดมการณ์ที่ถูกหว่านไว้ อย่างเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ความเกลียดชังที่รุนแรง ความเกลียดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างในหลาย ๆ ประเทศตะวันออกกลาง ไม่แค่ในระดับชาติเท่านั้น แต่ในครอบครัวก็สร้างขึ้นมากันเองด้วย พระเยซูทรงเตือนว่า การเป็นคนติดตามพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง เมื่อเดือนที่แล้ว พฤษภาคม 2025 คริสเตียนในซูดานใต้ ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นก็ในคองโก โดยที่สำนักข่าวหลักมักไม่สนใจ ไม่รายงานและถ้าหนีได้ก็ให้หนี พระเจ้าทรงเปิดทางทุกอย่างไว้ให้ แต่สิ่งสำคัญที่เห็นคือ ไม่ว่าพระเยซูพบเจออะไร เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ก็เจอได้เช่นกันที่เราแตกต่างคือ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิต

10:23-26 พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุกฮือ แต่ให้หนี ก่อนที่จะหนีไปจนทั่ว พระเจ้าก็เสด็จมาก่อนแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ การหนีเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องหยุดจากการติดต่อทางมือถือ ทางอินเตอร์เนทอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงให้กำลังใจว่า สิ่งที่พระองค์เผชิญ การเป็นศัตรู การเข่นฆ่า การพยายามเอาชีวิตที่พระองค์ต้องเผชิญนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูทรงสอนให้เรายืนมั่น ยืนมั่นสิ และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าไว้ สิ่งที่มารต้องการมากที่สุดคือ ให้เราล้มลง ให้เราทรยศพระเจ้า ดังนั้น คนที่ข่มเหงเราอาจจะเป็นคนในครอบครัว คนในท้องถิ่นเอง

10:27-31 อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
สิ่งที่เราบอกเจ้าในที่มืด นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเป็นคำอุปมา เป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ศิษย์ของพระองค์ที่มีโอกาสถามและเข้าใจได้
อาจมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ หรือทนได้ในเวลานี้(ยอห์น 16:12)แต่เวลาต่อมาในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจและจะได้สอนคนอื่นต่อไป
และไม่ใช่แอบสอน แต่จะประกาศให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และเข้าใจเสียด้วย
พระเยซูทรงสอนชัดเจนตั้งแต่แรกว่า พระองค์มาเป็นที่หนึ่งก่อนครอบครัว และตรงนี้ทรงบอกว่า ไม่ต้องกลัวคนที่ฆ่าได้แค่ร่างกาย แต่ให้กลัวพระองค์ผู้ที่มีอำนาจเหนือร่างกายและจิตวิญญาณ
และพื้นฐานของความกลัวหรือความยำเกรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความกลัวลาน แต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าที่มั่นใจว่า ชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระองค์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบหมด เรายังมั่นใจว่า เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทรงยืนยันด้วยการพูดถึงจำนวนผมที่หลุดร่อน เกิดใหม่ทุกวัน พระองค์ทรงทราบจำนวน ของผมเราทุกวินาทีแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้เลย!!
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าแห่งจำนวนอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นดาวบนท้องฟ้า หรือ เซลต่าง ๆ ในร่างกายที่นับไม่ถ้วน หน้าที่ของเราคือเข้าใจพระองค์ให้ได้ว่า สิ่งที่ทรงบอกไว้ในโลกโบราณนั้น ยิ่งมีความหมายมากขึ้นในสมัยนี้ที่รู้รายละเอียด ความเป็นไปของสิ่งสารพัดทั้งที่ใหญ่โตมากและเล็กน้อยยิ่งกว่าคำว่านาโน

10:32-33 การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าคนอื่น คือการแสดงตนว่าเป็นคนของพระเจ้า การที่เราจะเก็บพระเจ้าเงียบไว้คนเดียวนั้น อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์ ทุกอย่างในชีวิตของเราจะต้องให้การกับพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:10

10:34-36 ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
แม้พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้นำสันติสุขมาให้ เหมือนอย่างที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็น ซาร์ชาโลม ราชาแห่งสันติสุข แต่ผู้คนในโลกจะแยกตัวออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด พวกหนึ่งจะตามพระองค์ไป อีกพวกจะตามสิ่งที่เขาเลือก เป็นทางสองทางที่ไม่มีทางมาพบกันได้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เราพบว่า ในประเทศที่ห้ามการเชื่อพระเยซู ยังมีการทำให้พี่น้อง พ่อแม่ในครอบครัวกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเพื่อจับตัวใครก็ตามที่เชื่อไปลงโทษ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่คนในครอบครัวจะหันหลัง กลายเป็นศัตรูต่อกัน
 

10:37-39 การเป็นศิษย์ของพระเยซู
ผู้ที่ทำให้คนในครอบครัวเดียวกันแตกแยกกัน ก็คือพระเยซูนั่นเอง การที่พระองค์กล่าวว่า คนที่รักครอบครัวมากกว่ารักพระองค์ ก็ไม่คู่ควรกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนโหดร้าย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะรักคนในครอบครัวได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดชังเขาเพียงใด
ครอบครัวที่คนหนึ่งได้มาติดตามพระเจ้าจริง เขาจะเป็นห่วงครอบครัว และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ครอบครัวได้พบความจริง เขาจะมุ่งมั่นที่จะนำครอบครัวมาสู่ความรอด ดูมัทธิว 13:53-58, มาระโก 3:21
การรับกางเขน การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ พระเยซูทรงยื่นการเลือกนี้ให้เราได้คิดใคร่ครวญ และตัดสินใจ
นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักคนในครอบครัว ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ทรงชวนให้ทุกคนรักพระเจ้ามากกว่า (เอเฟซัส 6:2, 4; 1 ทิโมธี 5:8; กิจการ 5:29)


10:40-42 การต้อนรับคนของพระเจ้า
การตอบรับดังกล่าวนอกจากจะเป็นการรับคำของคนที่พระเจ้าทรงส่งมา ก็ยังเป็นการมีน้ำใจรับแขกในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงให้พระพรที่มีในคนของพระองค์ ได้ส่งต่อไปยังคนที่รับพระดำรัสของพระเจ้า นี่เป็นพระพรแบบที่เราไม่คาดว่าจะได้รับ เมื่อคนของพระเจ้าเป็นพยาน และเพื่อนของเขา หรือคนที่ฟังอยู่ รับคำนั้น เขาก็จะได้รับพระพรเป็นการตอบแทน!!
ที่ลึกไปกว่านั้น หากเขารับคนของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่เป็นพยานให้เขาฟัง เท่ากับรับพระเยซู และรับพระบิดาด้วย ! นี่เป็นความมหัศจรรย์ของการเป็นพยานเรื่องพระเยซู
และหากต้อนรับคนของพระเจ้าด้วยน้ำแก้วเดียวอย่างเต็มใจ ก็ยังได้รับพระพรอีก เพราะเท่ากับกำลังยื่นน้ำเย็นให้กับพระเจ้าเอง ..

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:13
2* ยอห์น 1:42
3* กิจการ 1:13
4* กิจการ 1:13; ยอห์น 13:2; 26
5* มัทธิว 4:15; ยอห์น 4:9
6* มัทธิว 15:24; เยเรมีย์ 50:6
7* ลูกา 9:2; มัทธิว 3:2
8* กิจการ 8:18
9* 1 ซามูเอล 9:7; มาระโก 6:8
10* 1 ทิโมธี 5:18
11* ลูกา 10:8
12* ลูกา 10:5-6
13* ลูกา 10:5; สดุดี 35:13
14* มาระโก 6:11; กิจการ 13:51


15* มัทธิว 11:22,24
16* ลูกา 10:3; เอเฟซัส 5:15; ฟีลิปปี 2:14-6
17* มาระโก 13:9; กิจการ 5:40; 22:19; 26:11
18* 2 ทิโมธี 4:16
19* ลูกา 2:11-12; 21:14-15
20* 2 ซามูเอล 23:2
21* มีคาห์ 7:6
22* ลูกา 21:17; มาระโก 13:13
23* กิจการ 8:1; มาระโก 13:10; มัทธิว 16:28
24* ยอห์น  15:20
25* ยอห์น  8:48, 52
26* มาระโก 4:22
27* กิจการ 5:20
28* ลูกา 12:4-5


29* ลูกา 12:6-7
30* ลูกา 21:8
31* ลูกา 12:24
32* ลูกา 12:8; วิวรณ์ 3:5
33* 2 ทิโมธี 2:12
34* ลูกา 12:49
35* มีคาห์ 7:6
36* ยอห์น  13:18
37* ลูกา 14:26
38* มาระโก 8:34
39* ยอห์น  12:25
40* ลูกา 9:48
41* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:10
42* มาระโก 9:41

มัทธิว 9 ราชกิจเพื่อชาวเมือง

ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
1พระเยซูทรงลงเรือและข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 
2 ดูสิ มีบางคนได้นำชายอัมพาตคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้  พระองค์จึงตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกชายเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ความบาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
3 มีธรรมาจารย์บางคนได้ยินก็คิดในใจว่า ‘ชายผู้นี้กำลังพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า’
4 พระเยซูทรงหยั่งรู้ถึงความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดชั่วในใจเล่า?
5 การที่จะพูดว่า ‘เจ้าได้รับการอภัยบาปแล้ว กับการที่จะบอกเขาว่า จงยืนขึ้น และเดินไป อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน?’
6 แต่เราจะให้พวกท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์   มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปทั้งหลาย แล้วพระเยซูจึงตรัสกับชายอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แล้วแบกเปลนอนของเจ้า และกลับบ้านไปเถิด
7  ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นและกลับบ้านไป
8 เมื่อประชาชนเห็นดังนั้น ก็รู้สึกยำเกรงยิ่งนัก และสรรเสริญพระเจ้าที่ประทานสิทธิอำนาจอย่างนี้ให้กับมนุษย์

พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
9 ตอนที่พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ตามเรามา” และเขาก็ลุกขึ้น ตามพระองค์ไป
10 ขณะที่พระเยซูทรงทรงเอนกายเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว  มีคนเก็บภาษี และคนบาปจำนวนมากมาร่วมรับประทานกับพระองค์และพวกศิษย์ของพระองค์
11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นอย่างนั้น จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษี ?”  
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ตรัสว่า “คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการหมอ”

13จงไปเถิด ไปเรียนรู้ว่า คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
‘เราพอใจความเมตตาสงสารยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา”
(โฮเชยา 6:6) เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” 

คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์

14 แล้วศิษย์ของยอห์นก็มาพบพระเยซู ทูลถามว่า “เหตุใดพวกเราและฟาริสีถือศีลอดอาหารเสมอ แต่ศิษย์ของพระองค์ท่านกลับไม่ทำเช่นนั้น?” (การอดอาหารเพื่ออธิษฐาน จะได้ไม่เสียเวลากับการกินอยู่ แต่มุ่งมั่นเข้าเฝ้าพระเจ้า)
 15 พระเยซูทรงตอบว่า “เพื่อน ๆ ของเจ้าบ่าวน่ะ จะเศร้าใจเวลาที่เจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไรเล่า? แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำตัวไปจากพวกเขา แล้วตอนนั้นพวกเขาจะอดอาหาร
( เจ้าบ่าวในที่นี้ พระองค์หมายถึงพระองค์เอง ยอห์น 3:29; วิวรณ์ 19:7)
16 “ไม่มีใครจะเย็บปะผ้าใหม่ที่ยังไม่หดบนผ้าเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ผ้าใหม่จะหดตัว ดึงให้ผ้าเก่าของเสื้อนั้นให้ขาดมากกว่าเดิม

17 เช่นเดียวกัน ไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้น ถุงหนังจะแตกออก (เพราะขบวนการหมักเกิดขึ้นทำให้เกิดก๊าซ) และเหล้าองุ่นจะไหลรั่วออกมาหมด  และถุงหนังเองก็จะขาดด้วยแต่เขามักจะเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ และสามารถเก็บรักษาทั้งถุงและเหล้าองุ่น”

พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 

18 ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั้นเอง นายศาลาธรรมคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ และคุกเข่าลงทูลว่า    “ลูกสาวของข้าพเจ้าเพิ่งเสียชีวิตไป แต่หากพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนตัวลูก เธอจะได้มีชีวิตอีกครั้ง”
19 ดังนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์ก็ลุกขึ้นและตามชายคนนั้นไป
20 แล้วดูสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอมีอาการโลหิตตกเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้เข้ามาข้างหลังพระเยซู และแตะชายฉลองพระองค์ 

21 เพราะเธอคิดว่า ‘หากเพียงฉันได้แตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรคแล้ว’
22 พระเยซูทรงหันมาเห็นเธอ จึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด เจ้าหายโรคได้ก็เพราะเจ้าเชื่อ” และเธอก็หายโรคขณะนั้นเอง

23 พระเยซูเสด็จไปกับนายศาลาธรรม และเข้าไปในบ้านของเขา ก็พบพวกงานศพที่กำลังเป่าปี่ และคนจำนวนมากส่งเสียงร้องไห้เสียงดัง 
24 พระเยซูตรัสว่า “จงออกไปให้หมด เพราะเด็กหญิงยังไม่ตาย เพียงแต่กำลังหลับอยู่” ผู้คนจึงพากันหัวเราะเย้ยหยันพระองค์ 
25 หลังจากที่เอาผู้คนออกไปจากบ้านแล้ว พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในห้องของเด็กหญิงและจับมือเธอ  เธอก็ลุกขึ้น
 26 ข่าวนี้จึงเลื่องลือออกไปทั่วทั้งแคว้นนั้น 




พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
27 เมื่อพระเยซูเสด็จจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนเดินตามพระองค์  ทั้งสองร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” (คำว่าบุตรดาวิดหมายถึงพระเยซูเป็นลูกหลานของดาวิด และทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด 2 ซามูเอล 7:11-16)
28 หลังจากที่พระองค์เข้าไปในบ้าน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้าไปด้วย พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า เราทำให้เจ้ามองเห็นได้?”  เขาตอบว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า”
29 แล้วพระองค์ก็แตะดวงตาของพวกเขา ตรัสว่า “เพราะเจ้าเชื่อ ก็ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด”
30 แล้วเมื่อทั้งสองมองเห็นได้ พระเยซูกลับทรงกำชับพวกเขาว่า “ขอเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด”
31 แต่เมื่อทั้งสองออกไป พวกเขาก็ป่าวร้องเรื่องพระเยซูไปทั่วแคว้นนั้น 

32 ตอนที่เขากำลังจะออกไปนั่นเอง ดูสิ มีคนพาชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพบพระเยซู เขาพูดไม่ได้เพราะถูกผีสิง
33 หลังจากที่พระองค์ทรงขับผีออกไป ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาได้ ประชาชนพากันประหลาดใจ กล่าวว่า
“เราไม่เคยพบอะไรอย่างนี้ในอิสราเอลเลย”
34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “เขาขับผีออกได้ ก็โดยฤทธิ์ของเจ้านายผีต่างหาก”

คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก

35 พระเยซูเสด็จไปทั่วเมือง และหมู่บ้านต่าง ๆ  ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
36 เมื่อทรงเห็นประชาชน ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาเพราะพวกเขาถูกรังควาญ ไร้ที่พึ่งเหมือนกับฝูงแกะ
ที่ขาดผู้เลี้ยง
37 พระเยซูตรัสกับพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “งานที่ต้องเก็บเกี่ยวมีมากแต่มีคนงานน้อยเหลือเกิน
38 ดังนั้น จงทูลขอพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 9:1-8 ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
พระเยซูทรงข้ามฟากจากเมืองที่มีประชากรต่างชาติอยู่หนาแน่นพร้อมกับศิษย์ และ ทรงเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอูม ที่นั่นเราได้เจอเพื่อนสี่คนหามชายอัมพาตมา ซึ่งในมาระโก ลูกาได้บอกว่า พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านและหย่อนเพื่อนลงมา จากเหตุการณ์นี้ เราประเมินได้ว่า ชายอัมพาตนี้เป็นหนักไม่ใช่ประเภทลากขาได้ข้างหนึ่ง แต่ไม่สามารถเดินได้เลย
เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขา ก็ทรงให้กำลังใจและตรัสว่า พระองค์อภัยบาปเขาแล้ว .. พระองค์ทรงเห็นชัดว่า สิ่งสำคัญที่ชายคนนี้ต้องได้ก่อนการหายโรค และเดินได้ (เขาน่าจะป่วยจากบาปที่ทำลงไป) คือการได้รับการอภัยบาป .. และพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปให้มนุษย์ได้
ในเวลานั้นมีธรรมาจารย์หลายคนฟังพระองค์อยู่พร้อม ๆ กับประชาชน พวกเขาก็คิดทันทีว่า พระเยซูทรงทำเสมอพระเจ้า หรือให้ชัดคือ เขาพูดราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า!
แม้พระเยซูจะทรงมีเลือดเนื้ออย่างมนุษย์ แต่พระองค์ทรงรู้ถึงความคิดของทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงหันมาถามว่า ทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ตกใจทันที เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของเขา
พระองค์ตรัสว่า อภัยบาปนั้นยากกว่าการรักษาโรคเสียอีก เพราะว่า การที่ผู้คนจะได้รับการอภัย พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือสิ่งที่ยากกว่า แต่ตอนที่พระองค์ตรัสนั้น ไม่มีใครเข้าใจ …
แล้วพระองค์ตรัสออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ นั่นคือ ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา (เป็นคำที่ดาเนียลใช้ บ่งบอกว่าบุตรมนุษย์คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ดาเนียล 7:13-14  พวกธรรมจารย์รู้พระคำข้อนี้ดี แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น) ชายที่เป็นอัมพาต ลุกขึ้นได้ รับการอภัยบาป รับการรักษา เป็นการชุบชีวิตใหม่ให้เขา ..​ใคร ๆ เห็นก็ดีใจ มองได้แค่ว่า พระเจ้าประทานอำนาจยิ่งใหญ่ให้มนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อ พระเยซู !

มัทธิว 9:9-13 พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
เหตุการณ์นี้เกิดแถว ๆ เมืองคาเปอรนาอุม จะมีซุ้มเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เขตแดนเป็นที่เก็บภาษี พระเยซูทรงเรียกมัทธิวซึ่งนั่งเก็บภาษีอยู่ที่นั่นพอดี  เขาเป็นเหมือนกับผู้รับจ้างจากโรมเพื่อเก็บภาษีจากประชาชน  ทำให้ประชาชนไม่ชอบยิวที่เก็บภาษี เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นทั้งใจดำ ทั้งขูดรีด ทั้งคดโกง ในสายตาผู้นำศาสนา คนเก็บภาษีชั่วช้ามาก
แล้วพระเยซูกลับทรงเลือกมัทธิว คนเก็บภาษีมาเป็นศิษย์ใกล้ชิด! ใครจะรับได้?
มัทธิวอยู่ในวงการมาเฟีย แต่เขาคนนี้กลับตอบรับพระเยซู เขาลุกจากซุ้มที่ทำงานอยู่ เดินตามพระเยซูไปโดยไม่คิดจะกลับไปทำงานเดิมอีก  แล้วเขายังจัดงานเลี้ยงที่บ้าน โดยเชิญพระเยซู และเพื่อน ๆ ของเขาไปในงานด้วย  พระองค์ทรงรับคำเชิญ และไปรับประทานกับเพื่อนสนิท มิตรสหายของมัทธิว และนี่เองทำให้ฟาริสีรู้สึกเหมือนจะรับไม่ได้กับการที่พระเยซูทรงคลุกคลีกับกลุ่มคนที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นคนบาปเหลือเกิน  การกินอาหารด้วยกันถือเป็นการบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน
ฟาริสีเริ่มมีปัญหามากขึ้นพอ ๆ กับธรรมาจารย์ในข้อสาม พวกเขาถามศิษย์ของพระองค์ว่า ทำไมไปกินอาหารกับคนบาป …ไม่ถามพระองค์โดยตรง และคำถามของเขาก็บ่งบอกใจของเขา  คงจะต้องการถามว่า ทำไมอาจารย์ของเจ้า(ที่น่าจะทำตัวดีกว่านี้) จึงไปสุงสิงกับคนบาป อย่างนี้ใช้ไม่ได้
แทนที่ศิษย์จะตอบ พระเยซูทรงตอบให้เลย คำตอบของพระองค์คือ เหล่าฟาริสีคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องการพระเจ้าไม่ต้องการกลับใจ  แต่พวกเขาเหล่านี้ต้องการพระเจ้า  ต้องการชีวิตที่เปลี่ยนแปลง  คือ คนบาปที่รู้ว่าตัวเองต้องการที่จะกลับใจ
พระเยซูตรัสให้เขาไป และไปเรียนรู้ว่า … นั่นคือทรงให้ฟาริสีไปคิดดูให้ถ่องแท้ว่าพระคำของพระเจ้าที่ตรัสถึงในโฮเชยามีความหมายอย่างไร  นั่นคือ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะนำการรักษาฝ่ายวิญญาณมาให้อิสราเอลเสมอมา   แม้ทุกวันนี้ พระองค์ก็ยังทรงทำอยู่ (อิสยาห์ 19:22; 30:26; เยเรมีย์ 30:17)
แต่ฟาริสีเองกลับหมกมุ่นกับพิธีกรรม บทบัญญัติ การรักษากฎอย่างเคร่งครัดมากกว่าความเมตตาที่จะมีต่อประชาชน  พระเยซูทรงสอนฟาริสีต่างจากประชาชน พระองค์ทรงให้เขาไปใคร่ครวญว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไรจากพวกเขากันแน่

มัทธิว 9:14-17คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์
ฟาริสีต่อว่าพระเยซูไปแล้ว คราวนี้ ศิษย์ของยอห์นก็มาตั้งคำถามเชิงตำหนิกับพระเยซูโดยตรง  เมื่อพระเจ้าทรงส่งยอห์นมา เขาก็ประกาศและมีศิษย์หลายคนติดตามเขา เมื่อพระเยซูเริ่มทำราชกิจของพระเจ้า บางคนก็มาติดตามพระองค์ บางคนก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขายังคงถือศีลอดอาหารเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเสมอตามที่พระคัมภีร์เดิมสนับสนุนให้ทำฟาริสีก็ทำเช่นกัน   แล้วก็เลยแปลกใจว่า เหตุใดศิษย์ของพระเยซูยังใช้ชีวิตที่ดูไม่เคร่งเลย … ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
แล้วพระเยซูทรงตอบเป็นคำอุปมาสามประการ​..เจ้าบ่าวกับเพื่อน/ ผ้าใหม่กับผ้าเก่า / เหล้าองุ่นใหม่กับถุงน้ำองุ่นเก่า
ยอห์นกล่าวว่า เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่มานำเสด็จเจ้าบ่าวคือพระเยซูในยอห์น 3:27-29
พระเยซูเปรียบเทียบว่า ศิษย์ก็คือเพื่อนเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวคือพระองค์เอง และพวกเขาก็ยินดีมากที่ได้อยู่กับพระองค์ (คนยิวเข้าใจว่า ..พระเมสสิยาห์คือเจ้าบ่าว การที่พระเยซูตอบเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า พระองค์กำลังตรัสว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ อิสยาห์ 62:4-5; มัทธิว 22:2)
คำอุปมาที่สอง ก็เข้าใจได้ว่า จะไม่มีการเอาสิ่งใหม่กับเก่ามาปะปนกัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเสียหายมากกว่าเดิม
คำอุปมาที่สามนั้น ทรงบอกว่า เหล้าใหม่ก็เอาไปใส่ในถุงเก่าไม่ได้
อุปมาทั้งสามนี้มีความหมายว่า  ไม่อาจเอาหลักการศาสนายิวที่ศิษย์ของยอห์นยังถือรักษา ที่ฟาริสีกำลังประกาศ ที่ธรรมาจารย์เรียนรู้จริงจังมาผสมกับวิธีการ คำสอน ราชกิจ เป้าหมาย ของพระเยซูได้ บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมได้ทำหน้าที่ของบทบัญญัติไปแล้วคือการชี้ให้เห็นว่า พระเมสสิยาห์จะทรงมาเพื่อทำให้ทุกอย่างสำเร็จ  (อ่านกิจการ 19:1-7 เพิ่มเติม)

มัทธิว 9:18-26 พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 
 ต่อไปเป็นการอัศจรรย์ เป็นราชกิจรักษาโรคและทำให้คืนชีวิตจากตาย
จากบทที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่า พระเยซูทรงฤทธิ์มากมาย พระองค์ทรงสามารถรื้อฟื้นสิ่งที่เสียไปแล้วในร่างกายมนุษย์ให้คืนดีขึ้นมาได้.  นายศาลาธรรมของเมืองคาเปอรนาอุมชื่อไยรัส ได้มาหาพระองค์ (มาระโก 5:22)  เป็นยิวที่ฟาริสี และธรรมาจารย์รู้จักดี แต่เขาก็เข้ามาหาพระองค์ คุกเข่าลงโดยไม่อาย โดยไม่ใส่ใจว่า คนเหล่านั้นจะกล่าวหาอย่างไร  มัทธิวว่าเธอตายแล้ว แต่ในมาระโกว่าเธอป่วยหนัก  เมื่อพระเยซูไปถึง… เด็กหญิงก็ตายไปแล้ว
ระหว่างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความมั่นใจเหมือนไยรัสว่า เธอจะหายโรคเมื่อแตะชายเสื้อของพระองค์ สิบสองปีที่โลหิตตกทำให้เธออ่อนแรง ซีดเซียว และความจริงคือ ในกฎของบทบัญญัติ เธอจะไปเดินชนคนโน้นคนนี้ไม่ได้เพราะเธอเป็นมลทิน แต่เธอไม่อาจทนอยู่ในกฎระเบียบได้ต่อไป เธอเชื่อว่าแค่แตะ
ก็จะหาย  พระเยซูไม่น่าจะทราบเพราะคนเยอะแยะ เต็มไปหมด
แต่เธอเข้าใจปิด เพราะพระเยซูทรงทราบและเธอหายโรคทันทีที่แตะชายเสื้อพระองค์  พระเยซูทรงย้ำให้เธอทราบว่า เพราะเชื่อ เธอจึงหายโรค  ความเชื่อในพระเจ้าทำให้เธอได้รับคำตอบจากพระองค์
แล้วพระเยซูกับฝูงชนก็ไปถึงบ้านของไยรัสที่กำลังทำงานศพกันอยู่ มีคนมาร้องไห้เสียงดังตามพิธี  เป็นอันว่าเด็กหญิงตายแน่นอน
พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนออกไป และตรัสประกาศว่าเด็กหญิงแค่หลับอยู่  คนทั้งหลายจึงเยาะพระองค์ทันที  (ซึ่งจริง ๆ ในฮีบรู คำว่าหลับ ก็อาจหมายถึงตายด้วยเช่นใน ยอห์น 11:11)
แล้วพระเยซูก็ทรงแตะต้องเด็กหญิงที่ตายแล้ว ถ้าคิดตามบทบัญญัติ พระองค์ทรงแตะต้องคนเป็นมลทินสองคนเลย  และก็ทรงทำให้ทั้งสองได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง  เราลองเปรียบเทียบการที่พระเยซูทรงช่วยทั้งหญิงโลหิตตก และทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากตาย เราจะเพิ่มความเชื่อของเราเองอย่างมหาศาล 


มัทธิว 9:27-34 พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
ชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาจากบ้านของไยรัส  เขาทั้งสองร้องเรียกพระองค์ว่า บุตรดาวิด เป็นเครื่องหมายชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ยิวรอคอย  แน่นอนที่เมื่อฟาริสี ธรรมาจารย์ และผู้นำศาสนายิวได้ยินก็จะโกรธมาก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือ พระบุตรพระเจ้า แต่เป็นคนที่แอบแฝง ทำตัวเป็นพระบุตร 
พวกเขาร้องเรียกพระองค์ตามทาง แต่พระองค์ไม่ทรงรักษาเขาที่นั่น เมื่อเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสองก็ตามเข้าไป  พระองค์จึงทรงถามว่า เชื่อหรือว่าพระองค์สามารถทำให้เขามองเห็นได้  พระเยซูทรงเน้นหนักหนาถึงความเชื่อที่คนจะมีต่อพระองค์ เพื่อจะได้รับตามที่ทูลขอ  เราไม่ทราบว่าทั้งสองคนนี้รู้หรือเปล่าว่า ในอิสยาห์ เคยบอกไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น (อิสยาห์ 35:5-6)  พระองค์ทรงรักษาเขาในบ้าน ไม่ให้คนอื่นเห็นและยังทรงกำชับไม่ให้บอกใคร แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำตามนั้นเลย​ใครจะอดไม่บอกให้โลกรู้ได้?


แล้วอิสยาห์ 35:5-6 ก็ถูกย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อชายผีสิงที่เป็นใบ้คนหนึ่งถูกนำมาหาพระเยซู  มัทธิวบอกเราว่า เขาเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง  พระเยซูทรงขับผีออก และเขาก็พูดได้.. ใคร ๆ ตื่นเต้น แต่ฟาริสีกลับกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์ของนายผี
ฟาริสีเหล่านี้ มีความดื้อด้านในวิญญาณอย่างมาก ไม่ยอมสยบให้พระเยซู
และยังกล่าวหาพระองค์ด้วย พวกเขาทำราวกับว่าพระองค์ทรงมาจากมารไม่ได้มาจากพระเจ้า  และไม่ได้พูดครั้งเดียวแต่ยังพูดอีกในมัทธิว 12:24

มัทธิว 9:35-38 คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก
จากข้อ 35 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงทำราชกิจเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ทั้งประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาโรค ทรงช่วยประชาชนทั้งฝ่ายวิญญาณและร่างกายอย่างชัดเจน
แล้วอีกมุมหนึ่งในพระทัยของพระเยซู ..พระองค์ทรงทราบสภาพจิตวิญญาณของพวกเขา ความทุกข์ใจของประชาชนคือ ถูกรังควาญด้วยจากทั้งวิญญาณชั่ว และจากเหล่าผู้นำศาสนา  พวกเขา ไร้ที่พึ่งเพราะไม่รู้หนทางที่จะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า.. ผู้นำศาสนาพร่ำสอนเรื่องการทำตามทำบัญญัติ การถวาย การทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ แต่เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาพบองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย  พวกเขาไม่มีผู้เลี้ยงที่มีปัญญาและวิญญาณของพระเจ้าในตัว  … ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา พระเจ้าไม่ทรงส่งผู้รับใช้มาหาพวกเขาเหมือนอย่างที่เคย ..แล้วพระองค์ก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา
พระองค์ทรงเห็นสภาพที่มนุษย์มีแต่จะลงไปสู่ความตาย พระองค์ทรงเปิดทางให้ศิษย์เห็นว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ดูแลขบวนการหว่านและเก็บเกี่ยว เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของคนเหล่านี้   สิ่งที่พวกเราเป็นอยู่คือ เป็นคนงานของพระองค์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องขอจากท่านเจ้าของนาให้ส่งคนมามากกว่านี้!
(พระคัมภีร์เดิมที่พูดเรื่องผู้เลี้ยงของอิสราเอล..  เอเสเคียล 34:23-24; 37:24  พระเจ้าและพระเมสสิยาห์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคนของพระองค์  มัทธิว 2:6; 10:6, 16; 15:24; 25:31-46; 26:31)

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 4:13; 11:23
2* ลูกา 5:18-26; มัทธิว 8:10
4* มัทธิว 12:25
8* ยอห์น 7:15
9* ลูกา5:27
10* มาระโก 2:15
11* มัทธิว 11:19; กาลาเทีย 2:15
13* โฮเชยา 6:6; 1 ทิโมธี 1:15
14* ลูกา 5:33-35; 18:12
15* ยอห์น 3:29; กิจการ 13:2,3; 14:23

18* ลูกา 8:41-56
19*  มัทธิว 10:2-4
20* ลูกา 8:43; มัทธิว 14:36; 23:5
22* ลูกา 7:50; 8:48; 17:19; 18:42
23* มาระโก 5:38; 2 พงศาวดาร 35:25
24* กิจการ 20:10
25* มาระโก 1:31
26* มัทธิว 4:24
27* มัทธิว 20:29-34; ลูกา 18:38-39

30* มัทธิว 8:4
31* มาระโก 7:36
32* มัทธิว 12:22, 24
34* ลูกา 11:15
35* กันดารวิถี 4:23
36* มาระโก 6:34; กันดารวิถี 27:17
37* ลูกา 10:2
38* 2 เธสะโลนิกา 3:1

โรม 4 ผ่านได้ด้วยความเชื่อ

โรม 4:1-2
ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่ท่านอับราฮัม บรรพบุรุษของเรามีประสบการณ์เกี่ยวกับความเชื่อนั้นเราจะว่าอย่างไร?
หากอับราฮัมได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)เนื่องจากความประพฤติของท่าน ท่านก็มีเหตุผลที่จะอวดได้ แต่นั่นไม่ใช่พระดำริของพระเจ้า 

โรม 4:3-4
เพราะพระคัมภีร์บอกเราว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนเที่ยงธรรม(ถูกต้องกับพระเจ้า)
เนื่องจากท่านเชื่อ .. เมื่อคนเราทำงาน ค่าจ้างไม่ใช่
ของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาลงมือทำ เพื่อได้ค่าจ้างนั้นมา

โรม 4:5-6
แต่คนที่ถูกนับว่าเป็นคนถูกต้องกับพระเจ้านั้นไม่ได้นับจากการประพฤติของเขา แต่จากการที่ เขาเชื่อในองค์พระเจ้าผู้ทรงอภัยบาปแก่คนบาป ดาวิดเองได้กล่าวถึงความสุขของคนที่ได้รับการนับว่าพ้นผิด (ถูกต้องกับพระเจ้า) โดยไม่อาศัยการประพฤติ


โรม 4:7-8
ความสุขเป็นของคนที่ได้รับการอภัย เนื่องจากการที่เขาได้ล่วงละเมิด คนที่ได้รับการกลบบาปให้พ้นไปความสุขเป็นของคนที่
พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษเขาอีกต่อไป

โรม 4:9-10 
นี่เป็นพระพรสำหรับคนเข้าสุหนัตเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เพราะเรากล่าวว่า อับราฮัมถูกนับว่าเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อ พระเจ้าทรงนับท่านเป็นคนเที่ยงธรรมก่อน
หรือหลังการเข้าสุหนัต?
(คำตอบคือ..)  เป็นก่อนการเข้าสุหนัตไม่ใช่หลังจากนั้น


โรม 4:11
อับราฮัมได้เข้าสุหนัตเป็นตราประทับความเที่ยงธรรมที่ท่านได้รับมาเพราะท่านเชื่อก่อนที่จะเข้าสุหนัต ดังนั้น อับราฮัมจึงเป็นบิดาของผู้เชื่อทุกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงถือ
ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมเช่นกัน 

โรม 4:14-15
หากคนเราสามารถรับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาด้วยการทำตามบทบัญญัติความเชื่อก็ไร้ค่า! และพระสัญญาที่มีต่ออับราฮัมก็ไร้ค่าด้วย เพราะบทบัญญัตินั้น นำพระพิโรธของพระเจ้ามาถึงเรา แต่หากไม่บทบัญญัติ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องละเมิดเลย 

โรม 4:16
ดังนั้น คนเราจึงได้รับพระสัญญาของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพื่อว่า พระสัญญาจะขึ้นอยู่กับพระคุณ โดยที่
ลูกหลานของอับราฮัมจะได้รับพระสัญญานั้นทุกคน  ไม่ได้ให้เฉพาะคนที่มีชีวิตใต้บทบัญญัติของโมเสส แต่สำหรับทุกคนที่มีความเชื่อเหมือนอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน



โรม 4:17
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่าง ๆ” (ปฐมกาล 17:5)
ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ที่อับราฮัมเชื่อ
พระเจ้าผู้ประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้วพระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีให้เกิดขึ้นมา  

โรม 4:18
แม้ว่า การที่อับราฮัมจะมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ดูไร้ความหวัง
แต่อับราฮัมก็เชื่อพระเจ้า และยังคงหวังต่อไป และท่านก็ได้เป็นบิดาของชาติต่าง ๆ อย่างที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า
“ลูกหลานเจ้าจะมีมากมายเกินที่จะนับได้”

โรม 4:19-20
อับราฮัมอายุเกือบร้อยปีแล้ว ผ่านวัยที่จะมีลูก ร่างกายของท่านเป็นเหมือนคนตายแล้ว และครรภ์ของซาราห์ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าท่านจะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ความเชื่อก็ไม่ได้ลดลงไปเลย  ท่านไม่ได้สงสัยหรือหยุดที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักษาพระสัญญา
ท่านกลับมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น และถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า


โรม 4:21-22
อับราฮัมแน่ใจว่า พระเจ้าทรงสามารถที่จะทำสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาดังนั้น พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม และความเชื่อนั้นทำให้ท่านถูกนับว่า เป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 4:23-24 
คำว่า “พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม”ไม่ได้เขียนไว้เพื่ออับราฮัมคนเดียว แต่เพื่อพวกเราด้วย พระเจ้าจะทรงรับเราเช่นกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูเจ้าของเราคืนพระชนม์จากความตาย

โรม 4:25
พระเยซูทรงถูกยื่นให้กับความตายเพราะความบาปของเรา
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย
เพื่อทำให้เราถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
(ถูกต้องกับพระเจ้า)


โรม 4:1-2
เนื่องจากยิวมองว่า อับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เที่ยงธรรมเนื่องจากความเชื่อของท่าน  แต่ในขณะเดียวกัน คนยิวทั่วไปก็กำลังสนับสนุนให้คนเป็นผู้เที่ยงธรรม หรือถูกต้องกับพระเจ้าผ่านการกระทำตามธรรมบัญญัติ แสดงว่า ไม่ตรงกันกับท่านอับราฮัม …การเอาอับราฮัมมาเป็นตัวอย่างนี้ นับได้ว่า เป็นสติปัญญาเหนือชั้นของท่านเปาโลจริง ๆ เพราะค้านไม่ออกเลย

โรม 4:3-4
ท่านเปาโลได้อ้างพระคัมภีร์ที่ทั้งยิวและคริสเตียนเชื่อมั่นจาก ปฐมกาล 15:6 คือเมื่ออับราฮัมเชื่อเขาถูกนับว่า เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า ไม่ใช่ความดีที่เขากระทำ การเข้าสุหนัตของอับราฮัมตามคำบัญชาของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขาถูกต้องกับพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อมาก่อน การทำตามต่าง ๆ จึงตามมา แต่หลายคนมองเห็นลำดับขั้นของความเชื่อกลับทาง อับราฮัมเชื่อ จากนั้นทำทุกสิ่งตามพระบัญชา ไม่ใช่ทำแล้วจึงเชื่อ 

โรม 4:5-6
ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องการกระทำและความเชื่อซึ่งคนในสมัยปัจจุบันก็ยังมีการโต้เถียงกันในเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน  แล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปหลังสมัยอับราฮัม เป็นสมัยของกษัตริย์ดาวิดว่า ความจริงเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเรามีความเข้าใจตรงกัน  แม้กษัตริย์ดาวิดจะเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย แต่ท่านก็มีบาปใหญ่หลายอย่างทั้งที่บันทึกในพระคัมภีร์ และบาปในใจที่ไม่มีใครเห็น

โรม 4:7-8 
สำหรับกษัตริย์ดาวิด ท่านได้ล่วงละเมิด ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ในช่วงเวลาที่ท่านทำผิดใหญ่หลวงกับอุรียาห์นั้น ชีวิตของท่านไม่ได้ต่อสู้ในสงครามแต่อยู่อย่างเป็นสุขในราชวัง ความบาปคืบคลานเข้ามากษัตริย์ดาวิดทำผิดมหันต์กับพระเจ้าอย่างนั้นทั้ง ๆที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ เมื่อรู้ตัว ดาวิดเป็นเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก การไม่ถือโทษจากพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการทำดีของดาวิด แต่จากการกลับใจเชื่อวางใจในการตัดสินพระทัยของพระเจ้า  

โรม 4:9-10 
ตอนนี้ท่านเปาโลตั้งคำถามที่ทุกคนอยากจะถามคือ พระพรที่เชื่อแล้วได้รับความรอดนั้น เป็นของยิวเท่านั้น หรือเป็นของคนต่างชาติด้วยล่ะ เพราะคริสตจักรที่โรมนั้นมีทั้งคนยิวและคนต่างชาติปะปนกันอยู่  แล้วท่านก็ช่วยให้พวกเขาโล่งใจว่า พระเจ้าจะทรงรับคนที่เป็นต่างชาติ ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต อย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงรับอับราฮัมเป็นคนเที่ยงธรรม ก่อนที่ท่านจะรับสุหนัต  

โรม 4:11
อับราฮัมจะเป็นดั่งบิดาของทั้งคนยิวและคนที่เชื่อซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่เชื่อพระเจ้าโดยไม่พึ่งพาการทำพิธีอย่างที่คนยิวส่วน
ใหญ่เชื่อ  การทำสุหนัตของอับราฮัมเป็นการทำตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อบอกว่า เขาและทั้งครอบครัวจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ตลอดไปทั้งลูกหลานของเขาในอนาคตด้วย (ปฐมกาล 17:9-16)

โรม 4:14-15
ความเชื่อไร้ค่า และบทบัญญัติไร้ค่าถ้าเรายังยึดถือการทำตามบทบัญญัติ มองไปรอบ ๆ ตัวเรา เราเห็นคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมได้โดยการรักษาศีลต่าง ๆ คนที่คิดว่าตนเองจะโอเค เมื่อเข้าไปบวชเรียน พวกเขาเข้าใจว่า เเขาจะได้รับการบรรลุ นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งเพราะเป็นการโกหกตนเอง  ศีลธรรมที่มี บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ก็เพื่อให้เรารู้ว่า ยังไง ๆ เราก็ละเมิดอยู่ดี ที่ความเชื่อสำคัญเพราะทำให้เราเลิกพึ่งตนเอง แต่พึ่งพระคุณเท่านั้น 

โรม 4:16
พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม มีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อจริงจัง เชื่อมั่นคงต่อพระสัญญาที่ดูเหมือนเป็นไปไ่ม่ได้ นี่คือความรอดของเราก็ได้มาโดยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่ว่าพระคุณคือ เราตะเกียกตะกาย พยายามเอามาด้วยตนเองไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ว่าอับราฮัม เป็นบิดาของเราทุกคนที่เชื่อเพราะท่านได้ตามสัญญาโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรม ไม่ผ่านบัญญัติใด ๆ 

โรม 4:17
พระเจ้าประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้ว มีความหมายถึงชายชราที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ กับหญิงชราที่พ้นวัยการตั้งครรภ์ไปนานมากจนถือได้ว่า การเจริญพันธุ์สูญสิ้นไปเหลือแล้ว คืออับราฮัม อายุ 100 ปีและซาราห์ 90 ปี พระเจ้าผู้ทรงสร้างของเรา ทรงพอพระทัยที่จะทำอะไรเหนือธรรมชาติ พระองค์ก็ทรงทำได้อย่างที่ทรงประสงค์ทุกอย่าง ชนชาติอิสราเอลที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงจะได้ถือกำเนิดขึ้นมา 

โรม 4:18
เวลาที่พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม เป็นเวลาเหมือนสายเกินไป  พระเจ้าไม่ได้มาทันเวลา แต่พระองค์ทรงมาก่อน ตามแผนการของพระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าถึงชนชาติอิสราเอลที่จะมีจำนวน ถึงสองล้านกว่าคนตอนที่ออกมาจากอียิปต์ และยิ่งหากเราจะนับคนที่เชื่อในพระองค์ ในเวลานี้ก็เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ว่า ลูกหลานนั้นเกินที่จะนับได้ เพราะเกิดใหม่มากมายทุกวัน ตามที่ต่าง ๆ ของโลกทั่วทุกหัวระแหง

โรม 4:19-20
คนในสมัยโบราณรู้ดีว่า วัยเจริญพันธุ์ทั้งชายและหญิงนั้นอยู่ประมาณไหน จากพระคำข้อนี้เราเห็นว่า อับราฮัมตระหนักในใจว่า ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีทางที่จะมีลูกได้แน่ เวลาเราจะเชื่อพระเจ้าในเรื่องใด เรามักเชื่อเมื่อเราเห็นความเป็นไปได้ แต่สำหรับอับราฮัม เชื่อ .. เพราะพระสัญญา เชื่อ แม้ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน  ท่านรู้จักพระเจ้าที่ท่านเชื่อ ได้พบพระองค์ คุยกับพระองค์ ต่อรองเรื่องเมืองโสโดมโกโมราห์ ท่านรู้จักพระเจ้าจริง!!

โรม 4:21-22
ในปฐมกาล 15:2 อับราฮัมคิดว่าบ่าวของท่านจะเป็นคนรับมรดกไป แต่พระเจ้าทรงเตือนในข้อ 5 ว่า ลูกหลานจะมากเหมือนดาว ท่านก็เปลี่ยนความคิดตั้งแต่นั้นทันที ในข้อ 6 บอกชัดเจนว่าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  อุปสรรคขวางความเชื่อของท่านคือ ร่างกายของทั้งตัวท่านและภรรยาถึงกระนั้นความเชื่อของท่านมั่นคง ท่านแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าจะทรงทำจริง อย่างที่พระองค์ตรัส เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า!  

โรม 4:23-24 
การเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูคืนพระชนม์จากความตายนั้น คือหัวใจสำคัญของความเชื่อในข่าวประเสริฐ (1 โครินธ์ 15:2-4) เราไม่ได้แค่เชื่อว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเราเท่านั้น แต่เราเชื่อในการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยอับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เชื่อ ทั้งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อทั้งที่อะไร ๆ ก็ดูเป็นไปไม่ได้ เชื่ออย่างที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าจริง ๆ

โรม 4:25
การถูกยื่นให้ความตาย คือ การถูกส่งให้ไปรับโทษบาปของมนุษย์ทั้งปวง เป็นการรับโทษบาปที่ไม่ได้ทรงกระทำเองเลยแม้แต่น้อย  และเมื่อทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าทรงให้คืนพระชนม์ขึ้นมาเพื่อเราจะได้รับชีวิตที่ตายไปแล้วคืนมาเหมือนพระองค์ จะได้รับการประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม หรืออีกอย่างคือ เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าการที่พระเยซูทรงคืนพระชนม์เท่ากับพระเจ้าทรงได้รับเครื่องบูชาไถ่บาปจากพระเยซูแล้ว 

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 51:2; ยากอบ 2:21
2* โรม 3:20, 27
3* ปฐมกาล 15:6
4* โรม 11:6
5* เอเฟซัส 2:8-9; โยชูวา 24:2
6* สดุดี 32:1-2
7* สดุดี 32:1-2

11* ปฐมกาล 17:10; ลูกา 19:9
12* โรม 4:18-22
13* ปฐมกาล 17:4-6; 22:17
14* กาลาเทีย 3:18
15* โรม 3:20
16* โรม กาลาเทีย อิสยาห์
17* ปฐมกาล 17:5; โรม 8:11; 9:26


18* ปฐมกาล 15:5
19* ปฐมกาล 17:17; ฮีบรู 11:11
21* ฮีบรู 11:19
22* ปฐมกาล 15:6
23* โรม 15:4
24* กิจการ 2:24
25* อิสยาห์ 53:4-5; โครินธ์ 15:17

โรม 3 พ้นผิดได้ ด้วยพระคุณ

โรม 3:1-2
ถ้าอย่างนั้น คนยิวได้เปรียบอย่างไร? หรือการเข้าสุหนัตมีประโยชน์พิเศษอย่างไร?
มีสิ มีประโยชน์มากทุกด้าน อย่างแรกซึ่งสำคัญที่สุดคือ
พระเจ้าทรงมอบความไว้วางใจให้พวกเขารักษาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระองค์

โรม 3:3-4
หากบางคนไม่เชื่อพระองค์ ที่เขาไม่เชื่อจะเป็นเหตุให้พระองค์ทรงล้มเลิกพระสัญญาอย่างนั้นหรือ? ไม่เลย พระเจ้าจะทรงซื่อตรงต่อไป แม้ว่าทุกคนกล่าวคำเท็จ ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระองค์จะได้รับการพิสูจน์ว่า  ทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อพระองค์ตรัสและพระองค์ทรงชนะ เมื่อพระองค์ทรงพิพากษา” (สดุดี 51:4)

โรม 3:5-6
บางคนอาจพูดว่า “ในเมื่อความบาปชั่วของเรามีประโยชน์ตรงที่ช่วยให้คนได้เห็นว่า พระเจ้าทรงเที่ยงธรรมขนาดไหน(ตามความเห็นแบบมนุษย์) มันไม่ยุติธรรมที่พระเจ้าจะทรงลงโทษเรา ไม่ใช่หรือ?  ไม่เลย.. หากพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมเต็มร้อย  พระองค์จะทรงพิพากษาโทษโลกได้อย่างไร?


โรม 3:7-8
คนหนึ่งอาจกล่าวว่า “เมื่อข้าโกหกทำให้เห็นพระสิริของพระเจ้ามากขึ้น เพราะการโกหกของข้าทำให้เห็นความจริงของพระเจ้า  แล้วทำไมข้าจึงถูกตัดสินว่าทำบาปเล่า? ทำไมไม่กล่าวว่า “มาทำความชั่วกัน ความดีจะได้เกิดขึ้น”? ตามที่มีบางคนใส่ร้ายว่าเราพูดอย่างนั้น  คนพวกนั้นสมควรที่จะได้รับการลงโทษ 

โรม 3:9
จะว่าอย่างไรดี? เราซึ่งเป็นยิว ดีกว่าคนอื่น
อย่างนั้นหรือ? ไม่เลย!
เราได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ
ต่างอยู่ใต้อำนาจบาปกันทั้งนั้น

โรม 3:10-12
ดังที่มีพระคัมภีร์เขียนว่า ไม่มีสักคนที่มีความเที่ยงธรรม ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนหันหลังกลับ ต่างกลายเป็นคนไร้ค่าไม่มีใครที่ทำความดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว (สดุดี 14:1-3, 53:1-4)

โรม 3:13-14
ลำคอของพวกเขาเป็นเหมือนหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ 
พวกเขาใช้ลิ้นของตนกล่าวคำหลอกลวง
คำของพวกเขาเป็นเหมือนพิษงูร้าย” ปากของพวกเขา
เต็มด้วยการสาปแช่งและความเกลียดชัง(สดุดี 10:7)

โรม 3:15-18
เท้าของพวกเขาพร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือด เขาก่อให้เกิดหายนะและความทุกข์เข็ญตามทางที่เขาผ่านไป
พวกเขาไม่รู้จักชีวิตที่มีสันติสุข(อิสยาห์ 59:7-8)
ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา(สดุดี 36:1)

โรม 3:19-20
เรารู้อยู่ว่า คำสั่งในบทบัญญัติก็มีเพื่อใช้กับคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อหยุดคำแก้ตัว และนำทั้งโลกมาอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า  เพราะไม่มีใครจะถูกประกาศว่า เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้าได้โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะบทบัญญัตินั้นมีเพื่อให้เราตระหนักรู้ว่า ตนทำบาป

โรม 3:21-22
แต่บัดนี้ วิธีการของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์ได้ถูกต้องกับพระองค์ก็ปรากฏแก่เราแล้ว เป็นวิธีที่ทั้งบทบัญญัติ ผู้เผยพระดำรัสเป็นพยาน พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความถูกต้องกับพระเจ้าได้ก็โดยที่พวกเขาเข้ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่เป็นความจริงสำหรับทุกคนที่เชื่อพระคริสต์ เพราะทุกคนไม่ได้แตกต่างกัน      

โรม 3:23-24
เพราะทุกคนทำบาป  และไม่อาจเข้าถึงพระสิริของพระเจ้าได้ (เพราะชีวิตต่ำกว่าระดับมาตรฐานอันทรงเกียรติของพระเจ้า)
เราทุกคนได้รับการประกาศว่า เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ซึ่งประทานให้เราโดย
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ไถ่บาปนั้น

โรม 3:25
พระเจ้าได้ส่งพระองค์มาสิ้นพระชนม์ เป็นเครื่องบูชาเพื่อชดใช้(ลบ)บาปของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะตอบรับด้วยความเชื่อในพระโลหิตที่ทรงทำเช่นนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงถูกต้อง เพราะในอดีต ทรงอดกลั้นพระทัยไม่ลงโทษมนุษย์ที่ทำบาป 

โรม 3:26
ปัจจุบัน พระเจ้าประทานพระเยซูเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรม (ถูกต้อง)​พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม  และพระองค์ทรงถือว่าคนใดที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ (พ้นผิดแล้ว/เป็นคนชอบธรรม)

โรม 3:27
แล้วเราจะเอาอะไรมาอวดเรื่องตัวเราเอง?
ไม่มีเลย  ทำไมเราจึงอวดไม่ได้เล่า?
เป็นเพราะหลักของความเชื่อทำให้เราต้องหยุดการโอ้อวด 
ต่างจากหลักการประพฤตตามบทบัญญัติ
ที่ทำให้เอามาโอ้อวดได้

โรม 3:28-29
เราสรุปได้ว่า คน ๆ หนึ่งจะถูกต้องกับพระเจ้าได้ (พ้นผิดได้) ก็โดยความเชื่อ นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังบทบัญญัติ
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของยิวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติหรือ?  ใช่สิ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วย

โรม 3:30
เพราะว่า มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงทำให้ยิว(คนเข้าสุหนัต)ถูกต้องกับพระองค์ด้วยความเชื่อ และทรงทำให้คนต่างชาติ (คนไม่เข้าสุหนัต)ถูกต้องกับพระองคก็โดยความเชื่อเช่นกัน

โรม 3:31
ถ้าอย่างนั้น เท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..
ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ 

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 3:1-2
การรักษาพระดำรัสของพระเจ้าไว้ มีความหมายหลายอย่าง เป็นทั้งการส่งต่อเรื่องราวของพระเจ้าด้วยการเล่าด้วยปาก หรือเก็บรักษาสิ่งที่เขียนบันทึกไว้เป็นอย่างดี และยิวก็ได้ทำหน้าที่นี้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาเก็บรักษา คัดลอกพระดำรัสของพระเจ้าต่อเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น รักษาให้ข้อความนั้นถูกต้องตามต้นฉบับ พวกเขาเอาจริงจังกับเรื่องนี้ และสามารถเก็บรักษาไว้แม้บ้านเมืองต้องเผชิญกับสงคราม หลายครั้ง เราเห็นได้ชัดในหนังสือม้วนแห่งทะเลตาย

โรม 3:3-4
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงสร้างโลกมา. มนุษย์อ้างว่าไม่ใช่ โลกเกิดเอง  พระองค์ตรัสว่า ทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง มนุษย์อ้างว่า ในโลกมีหลายเพศ เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด  อย่างไร ความจริงก็คือความจริง ยิ่งโลกดำเนินไปนานเท่าไร เรายิ่งพิสูจน์ได้มากขึ้น ๆ ว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระเยซูทรงเป็นจริง ดำเนินในโลกเมื่อสองพันปีก่อน ทรงทำการอัศจรรย์ในวันนี้เหมือนที่ทรงทำในอดีต

โรม 3:5-6
พระคำข้อนี้ ถอดความให้เป็นภาษาที่ง่ายขึ้นอีก นั่นคือ  มีบางคนเห็นว่ายิ่งคนเราบาปเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งดูทรงธรรมมากขึ้นเพียงนั้น นั่นคือยิ่งคนทำชั่ว
พระเจ้ายิ่งดูดีมากเพียงนั้น พวกเขาจึงให้เหตุผลโง่ ๆว่า ถ้ามีประโยชน์อย่างนั้น  พระเจ้าก็ไม่ควรจะลงโทษคน เพราะไม่ยุติธรรม แต่ท่านเปาโลไม่เห็น
ด้วย ท่านมองว่า นี่เป็นคำถามโง่ ๆ ความยุติธรรมของพระเจ้านั้นพระองค์เป็นผู้วางมาตรฐาน  ไม่มีใครจะวางมาตรฐานใหม่ได้

โรม 3:7-8
คำพูดข้างบนนี้เป็นเรื่องเดียวกับสองข้อที่ผ่านมาอ่านครั้งแรกอาจเข้าใจว่า ข้อความที่ฝ่ายตรงข้ามท่านเปาโลพูดนั้นถูกต้อง แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาแค่ต้องการเสนอว่า การทำบาปของเขาดีแล้วเพราะทำให้พระเจ้าทรงดูมีศักดิ์ศรีขึ้น (ซึ่งไม่เกี่ยวเลย) ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ควรได้รับการพิพากษาโทษ ท่านเปาโลไม่ได้พยายามแก้ต่างคำที่พวกเขากล่าวมาเพียงแจ้งว่า คนเหล่านั้นควรรับโทษ 

โรม 3:9
คำถามคือ ที่เราเป็นยิวนั้น ดีกว่าคนต่างชาติอื่น ๆอย่างนั้นหรือ?  มีอะไรที่เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้เราไม่ได้รับโทษบาปได้บ้าง ปรากฏว่า แม้จะเป็นยิวที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นชนชาติที่จะประกาศพระนาม เป็นชาติที่มีความรับผิดชอบพิเศษ แต่ยิวทุกคนก็ตกอยู่ใต้อำนาจบาปเหมือนกับชาวต่างชาติ  ความเข้าใจผิดในหมู่คนยิวก็คือเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงรักเป็นพิเศษ จึงดีกว่าคนอื่น เป็นยิวแล้ว ก็พ้นบาปได้เลย  

โรม 3:10-12
แม้ยิวมีสิทธิพิเศษเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกแต่พวกเขาก็ยังอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้ถูกต้องกับพระเจ้าตามที่ทรงประสงค์  ท่านเปาโลได้นำเอาหนังสือสดุดีมาย้ำเตือนให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่า เรื่องนี้ เขารู้กันมาตั้งแต่สมัยดาวิดแล้ว ข้อ 10-12 ได้บอกให้เห็นถึงความบกพร่องของมนุษย์ ไม่สามารถเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้เลย พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่ทำสิ่งที่ดี ถึงแม้เรามีคนที่ทำดี ดีมาก ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ยังไม่ถึงมาตรฐานพระเจ้าอยู่ดี 

โรม 3:13-14
ท่านเปาโลทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ความบาปที่เกิดขึ้นจากตัวมนุษย์นั้น มันเกิดจากอวัยวะที่บนหน้าตาของเรานี่เอง การระมัดระวังไม่ให้มีหลุมศพแห่งความตายอยู่ในตัวเราเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ ยิ่งกว่านั้น ต้องระวังคำพูดที่สามารถทำลาย.. ซึ่งโลกทุกวันนี้ ใช้คำพูดทำลายได้ง่ายกว่าใช้อาวุธเสียอีกทั้งจิตใจ ความคิด ลำคอ ลิ้น ปากเต็มไปด้วยบาปและการดื้อด้านต่อพระเจ้า ที่ร้ายคือเวลาพูดออกไปนึกว่าตัวเองเก่ง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น!

โรม 3:15-18
คนที่ไม่มีพระเจ้ามีความคิดว่า ชีวิตคนไม่มีค่าแต่อย่างใด จึงสามารถที่จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไม่รู้สึกผิด เขาไม่ต้องเกรงกลัวผู้ที่มีอำนาจกว่าเขา เพราะเขาคิดว่า เขาใหญ่สุด ในโลกเราทุกวันนี้ แม้จะมีคนที่เกรงกลัวและไม่กล้าทำร้ายผู้อื่น แต่สงครามที่เรากำลังเผชิญในโลก ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มนุษย์กล้าฆ่า กล้าทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่ายิ่งคนที่อ้างเอาพระมาเป็นเหตุผลของการทำร้ายนี่ยิ่งโหดเหี้ยมทารุณนัก

โรม 3:19-20
บทสรุปคำพิพากษาของพระเจ้านั้น พบว่าไม่มีใครสักคนในโลกที่เป็นคนบริสุทธิ์ ถูกต้องกับพระเจ้แบบไม่มีที่ติ กลับกลายเป็นว่า ทุกคนทั้งโลกต่างตระหนักดีว่า เขาแต่ละคนเป็นคนบาปที่ทำบาปทั้งนั้น  ไม่มีใครสักคนที่แก้ตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นคนยิวที่พระเจ้าทรงเลือก หรือคนต่างชาติที่พระเจ้าทรงเรียกมาให้เข้าในแผ่นดินของพระองค์ เรามักเข้าใจว่าบัญญัติมีให้เราทำตาม แต่ประโยชน์ของบัญญัติอีกอย่างคือ แจ้งให้เรารู้ว่า เราบาปอะไรบ้าง  

โรม 3:21-22
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลกล่าวถึงการพิพากษาของพระเจ้า แล้วท่านก็มาพูดถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ เป็นวิธีที่ไม่ได้ใช้บทบัญญัติ ไม่ใช้การทำตามศีลหลาย ๆข้อ แต่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ถูกต้องกับพระองค์เมื่อเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์  ในภาษาของพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ทำให้มนุษย์เป็นคนชอบธรรม .. ซึ่งมีความหมายเดียวกับการเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า 

โรม 3:23-24
เหตุใดเราจึงต้องการเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า?อยู่ไปแบบเดิม ๆ ไม่ได้หรือ? ที่พระเจ้าทรงยื่นความเป็นอิสระจากบาปให้เรา ด้วยวิธีของพระองค์
คือด้วยชีวิตของพระเยซู  เราอาจคิดว่า เราเป็นคนดีเมื่อเทียบกับกับฆาตกร หรือคนที่ทำลายล้างคนเป็นจำนวนมาก เปล่าเลย ดูคนที่สอบตกสิ ไม่ว่าจะ
ตกด้วยสองคะแนนหรือสิบคะแนน เท่ากับเขาสอบตกอยู่ดี เราเองเป็นคนบาปที่ไม่อาจไปเทียบกับพระสิริของพระเจ้าเลย เราจึงต้องการพระเยซู!

โรม 3:25
พระเยซูทรงถูกพระเจ้าพิพากษาลงโทษแทนที่ตัวเราทุกคน  เราสมควรที่ถูกลงโทษด้วยความตายที่ทำให้แยกจากพระเจ้านิรันดร์  นี่แสดงว่า พระเจ้าพระบิดาทรงเที่ยงธรรม ทรงถูกต้องเพราะพระองค์ผู้บริสุทธิ์ ไม่อาจประณีประนอมกับความบาป หรือปล่อยให้บาปลอยนวลไปได้  ในเวลาเดียวกับที่ทรงเว้นโทษคนที่สมควรรับโทษโดยให้พระบุตรพระเจ้ามาทรงรับโทษนั้นแทนโทษบาปที่คนนั้นต้องรับ  

โรม 3:26
นี่คือเหตุผลของการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถ้าเราอ่านเฉพาะพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม เราอาจไม่เข้าใจชัดเจนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรพระเจ้า เพราะดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้ของพระเจ้าต่อเหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ และโรม แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ .. พระเยซูทรงแสดงว่า พระเจ้าทรงพิพากษาอย่างยุติธรรมแล้ว
ทรงลงโทษบาปของมนุษย์แล้วผ่านพระองค์ 

โรม 3:27
ตรงนี้ ท่านเปาโลกำลังกล่าวถึงยิวทั้งหลายที่ชอบอวดอ้างความดีของตน ความสามารถในการรักษาบทบัญญัติของโมเสส  พวกเขาอวดว่า เป็นคนใกล้ชิดกับพระเจ้า (โรม 2:17) อวดว่าตนเองไม่ล่วงประเวณี ไม่กราบไหว้รูปเคารพไม่ละเมิดบทบัญญัติ ฯลฯ  และคนกลุ่มฟาริสีธรรมาจารย์เองที่เป็นศัตรูของพระเยซู  โดยเอาการที่พระองค์ทรงละเมิดบัญญัติสะบาโต (ตามการตีความของพวกเขา)

โรม 3:28-29
เวลาเราอ่านหนังสือโรมบทที่สามตอนนี้ เราอาจมองเห็นคำพูดที่มีความหมายอันเดียวกัน แต่พูดด้วยมุมมองต่าง ๆ  เป็นความชัดเจนในเรื่องของคนยิว คนต่างชาติ  สุหนัต ไม่เข้าสุหนัต เรื่องบทบัญญัติ กับความเชื่อ  ส่วนใหญ่พระคัมภีร์จะใช้คำว่า เราจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยความเชื่อ นั้นมีความหมายเดียวกับว่า เราจะเป็นคนที่พ้นผิดเป็นคนที่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษแล้ว  

โรม 3:30
คนทั้งโลก ทุกคน ไม่เว้นใครเลย จะถูกต้องกับพระเจ้าได้ จะได้รับการถือว่าเป็นคนเที่ยงธรรมพ้นผิดได้ ก็โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์เท่าเทียมกัน ทั้งเป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างพวกเขามา และหนทางที่จะไปหาพระบิดา พระเจ้าองค์นั้น ก็เป็นหนทางอันเดียวกัน คือ ต้องเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์!ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์เหนือใครเลย นี่เท่ากับหักหน้ายิวอย่างรุนแรง

โรม 3:31
Nelson bible study กล่าวว่าคำว่าบทบัญญัติมีความหมายสามอย่าง 1.บทบัญญัติจากโมเสส 2.พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดที่ยิวใช้ 3.บทบัญญัติทางศีลธรรมโดยทั่วไป ถ้าเป็นบัญญัติโมเสส พระเยซูทรงทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิมเท่ากับการมาของพระเยซูทำให้คำพยากรณ์ทั้งสิ้นสำเร็จ การยกโทษบาปจากพระเจ้ามาถึงมนุษย์แล้วถ้าเป็นข้อสามมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องได้โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์! 

พระคำเชื่อมโยง

2* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:5-8
3* ฮีบรู 4:2; 2 ทิโมธี 2:13
4* โยบ 40:8 ; ยอห์น 3:33; สดุดี  62:9; 51:4
5* กาลาเทีย 3:15
6* ปฐมกาล 18:25
8* โรม 5:20

9* กาลาเทีย 3:22
10* สดุดี 14:1-3; 53:1-3; ปัญญาจารย์ 7:20
13* สดุดี 5:9; 140:3
14* สดุดี 10:7
15* สุภาษิต 1:16; อิสยาห์ 59:7-8
18* สดุดี 36:1

19* ยอห์น 10:34; โยบ 5:16
20* กาลาเทีย 2:16
21* กิจการ 15:11; ยอห์น 5:46; 1 เปโตร 1:10
22* โคโลสี 3:11
23* กาลาเทีย 3:22
24* เอเฟซัส 2:8; ฮีบรู 9:12;15