มาระโก 5 อัศจรรย์ท้าชีวิต

ผีมาร ชายผู้เป็นเหยื่อ กับฝูงหมู


1 พวกเขาข้ามฟากมาถึงเขตเกราซา(หรือเกราซีน)
2 ทันทีที่พระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ก็พบชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณโสโครกสิงอยู่ เขาออกมาจากแถบถ้ำสุสาน
3 ชายคนนี้เร่ร่อนอาศัยตามถ้ำสุสานและไม่มีใครมัดเขาให้อยู่กับที่ได้แม้ว่าจะใช้โซ่ล่ามไว้

4 แม้ว่าเขาถูกล่ามด้วยโซ่และตรวนบ่อย ๆ เขาก็ได้หักโซ่และตรวนกระจาย ตอนนี้ไม่มีใครมีแรงพอที่จะปราบเขาอยู่มือ
5 เขาเอาแต่ร้องโหยหวนตามถ้ำสุสาน ตามภูเขา และเอาหินกรีดตัวเอง
6 เมื่อชายคนนี้เห็นพระเยซูแต่ไกล เขาก็วิ่งมาและคุกเข่าลงต่อพระองค์
7 และเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านต้องการอะไรจากข้าพเจ้า พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด? ข้าพเจ้าขอท่านเมตตาข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า โปรดอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
8 ที่กล่าวอย่างนั้นเพราะพระองค์ตรัสว่า
“จงออกมาจากชายคนนี้ เจ้าวิญญาณโสโครก!”

9 พระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาตอบว่า
“ข้าพเจ้าชื่อกอง..เพราะว่าเราอยู่กันหลายตน”
10 จากนั้นก็ขอร้องพระเยซูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้พระองค์ส่งพวกมันออกไปจากเขตแดนนั้น

11 ใกล้ ๆ ที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
12 ดังนั้น พวกผีมารจึงร้องขอพระเยซู “ขอท่านส่งเราไปที่ฝูงหมู พวกเราจะได้เข้าสิงมัน”
13 พระองค์ทรงอนุญาต ดังนั้นเหล่าวิญญาณโสโครกจึงออกมาจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงในตัวหมู ฝูงหมูที่มีประมาณ สองพันตัวก็วิ่งลงมาจากหน้าผาชัน ลงไปในทะเล แล้วจมน้ำตายจนหมด
14 ส่วนคนที่เลี้ยงหมูก็วิ่งออกไป เข้าไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง และหมู่บ้านโดยรอบ และผู้คนก็พากันออกมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น

15 แล้วพวกเขาก็มาหาพระเยซู ก็ได้เห็นชายที่ผีสิงทั้งกองนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาจึงกลัวนัก
16 คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น กับคนที่ถูกผีสิง และฝูงหมูให้ผู้คนได้ฟัง
17 พวกเขาจึงวิงวอนขอให้พระเยซูไปจากดินแดนของพวกเขา

18 ขณะที่พระองค์ทรงลงเรือ ชายคนที่มีผีสิงก็ทูลขอไปกับพระองค์
19 แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต “เจ้าจงกลับไปบ้าน หาครอบครัวของเจ้า” พระองค์ตรัส “ และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าได้ทรงทำการเพื่อเจ้ามากแค่ไหน และพระองค์ทรงเมตตาเจ้าอย่างไร”
20 ดังนั้น เขาจึงลาไป และเริ่มต้นประกาศทั่วในแคว้นเคคาโปลิสว่า พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเขามากเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจนัก

ลูกสาวเอ๋ย..

21 อีกครั้งที่พระเยซูทรงลงเรือข้ามฟากมา ประชาชนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ริมทะเลสาบ
22 นายศาลาธรรมชื่อไยรัสมาที่นั่นด้วย เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ทรุดตัวหมอบที่พระบาทพระองค์
23 เขาทูลอ้อนวอนอย่างร้อนใจว่า
“ลูกสาวตัวเล็กของข้าพเจ้าใกล้ตายพระเจ้าข้า ขอโปรดมาและวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อว่าลูกจะได้หายและได้มีชีวิต”
24 ดังนั้นพระเยซูเสด็จไปกับเขา ฝูงชนก็ตามไปด้วย เบียดเสียดรอบ ๆพระองค์


25 ในหมู่คนนั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ทุกข์ทรมานจากโรคเลือดตกมานานถึง 12 ปี
26 เธอทุกข์ทรมานยิ่งนัก ได้ไปหาหมอหลายคน และใช้เงินที่มีอยู่จนหมดตัว แต่ไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งกว่านั้น เธอกลับมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ
27 เมื่อหญิงคนนี้ได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เดินไปในหมู่ชนด้านหลังของพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์
28 เพราะเธอพูดกับตัวเองว่า “หากฉันได้ทำเพียงแตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรค”
29 ทันที! .. เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด และเธอรู้ตัวว่า เธอหายจากโรคแล้ว

30 เวลาเดียวกันนั้น พระเยซูทรงทราบว่า ฤทธิ์ได้ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์ทรงหันไปในหมู่คน ตรัสถามว่า “ใครมาแตะเสื้อผ้าของเรา?”
31 พวกศิษย์ของพระองค์ตอบว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีคนมากมายเบียดพระองค์อยู่ แต่ยังทรงถามว่า ใครมาแตะเรา”
32 แต่พระองค์ยังทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อจะดูว่า ใครเป็นคนที่ทำเช่นนั้น
33 แล้วหญิงคนนั้นรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อพระบาท และเธอก็บอกความจริงทั้งหมด
34 “ลูกสาวเอ๋ย!” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถอะ และพ้นจากความทุกข์ทรมาน”

ลูกสาวใคร ได้ฟื้นขึ้นมา ?


35 ขณะที่พระองค์ตรัสนั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากบ้านของไยรัสนายศาลาธรรม กล่าวว่า
“ลูกสาวของท่านตายแล้ว ทำไมต้องไปรบกวนพระอาจารย์อีกเล่า?”
36 พระเยซูทรงได้ยินคำสนทนานั้น จึงตรัสกับ
ไยรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น”
37และพระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้ใครไปกับด้วย
ยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ


38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของนายศาลาธรรม พระเยซูทรงเห็นผู้คนในบ้านวุ่นวายโกลาหล มีการร้องไห้ ร้องโหยหวนเสียงดัง
39 พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสถามว่า “ทำไมจึงมาร้องไห้วุ่นวายไปอย่างนี้? เด็กยังไม่ตาย เธอหลับอยู่เท่านั้น”
40 และพวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์กัน
หลังจากที่พระองค์ทรงให้พวกเขาออกไปอยู่ข้างนอก ทรงให้พ่อแม่ของเด็ก และศิษย์ที่มากับพระองค์เข้าไปข้างในหาเด็ก


41 ทรงจับมือเธอ ตรัสว่า “ทาลิธา คูม” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกให้หนูลุกขึ้น”
42 ทันใดนั้นเองเด็กหญิงก็ลุกขึ้น และเริ่มเดินไปรอบ ๆ เธออายุ 12 ปี และพวกเขาต่างตกตะลึงไปตาม ๆกัน
43 แล้วพระเยซูทรงกำชับว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทรงบอกให้เขาหาอาหารให้เด็กหญิงรับประทาน

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 5:1-5
เกราซาเป็นเมืองเล็ก ๆ ด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี  ซึ่งเป็นเมืองที่มีหน้าผาสูงมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีสิง มาพบพระเยซูทันที! (ในหนังสือมัทธิว บอกว่ามีชายสองคนที่นั่น เพราะมัทธิวเขียนให้คนยิวอ่าน  มาระโก เล่าเน้นคนคนที่มีวิญญาณชั่วหลายตน )  น่าแปลกใจที่ในพระคัมภีร์เดิมเราไม่ได้อ่านเรื่องคนถูกผีสิง แต่เมื่อพระเยซูมาถึง คือเวลาของพระองค์ที่จะเหยียบหัวของมารนั่นเอง (เวลาของพระเมสสิยาห์) และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มันมักจะเข้าไปสิงคนในแถบชนบทมากกว่าในเมือง 
ให้เรานึกถึงชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ไม่ปกติ ไม่อาจจะทำมาหากิน มีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ได้ สิ่งที่ทำยี่สิบสี่ชั่วโมงคือ การร้องเสียงดังตามถ้ำ และเอาหินกรีดตัวเองจนโชกเลือด  และเขาทำอย่างนั้นตลอดเวลา  แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างทรมานเป็นที่สุด
เห็นไหมว่า มารทำอะไรในตัวเขา คือเอาความเป็นคนออกไป เขาต้องถูกแยกออกไปจากผู้คนในเมือง 
ผู้คนกลัวเขามาก และมีความพยายามเอาโซ่ล่ามเขาไว้ แต่เขาก็หักโซ่ตรวนนั้นได้ ที่เขามีกำลังมากขนาดนี้เป็นเพราะเขามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในตัวทำให้มีพลังเกินกำลังคนธรรมดา  และที่สำคัญ วิญญาณชั่วนั้น   ผลักดันให้เขาทำร้ายตัวเองไม่หยุดหย่อน แต่มาตอนนี้ พระเยซูเสด็จมาใกล้ ๆ ที่เขาอยู่ !
 
มาระโก 5:6-10
ปฏิกริยาของมารต่อพระเยซูเมื่อเห็นพระเยซูมันวิ่งมานมัสการพระองค์ คุกเข่าลง มันหมดอำนาจเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู มันไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนเลย. พระเยซูตรัสสั่งให้วิญญาณโสโครกออกมาจากตัวเขา วิญญาณในตัวจึงร้องเสียงดัง
** มันใช้คำถามว่า ท่านต้องการอะไรจากพวกมัน
** มันรู้ว่า พระเยซูคือ พระบุตรของพระเจ้าสูงสุดเสียด้วย มันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง (ไม่เหมือนคนมากมายที่ไม่ยอมเชื่อว่ามีพระเจ้า)
** มันขอให้พระเยซูเมตตา ไม่ทรมานมัน (ดูเหมือนการที่จะออกจากการสิงชายคนนี้เป็นสื่งที่ทรมานวิญญาณชั่ว) เราเห็นชัดว่า มันไม่มีอำนาจเหนือพระเยซูสักนิด มันรู้ว่าพระเยซูอยู่เหนือมันแน่นอน มัทธิวบันทึกว่าอย่าทำร้ายมันก่อนเวลา …​
** เมื่อพระเยซูถามชื่อ มันตอบว่า กอง เพราะมีอยู่หลายตนในตัวชายคนนั้น นี่เป็นเหตุผลที่เขาทรมานเหลือเกิน
** มันขอที่จะอยู่ในเขตแดนนั้นต่อไป มันรู้ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า

มาระโก 5:11-13
**มารขอร้องพระเยซูให้ไปสิงในฝูงหมูแทนสิงชายคนนั้น แน่นอนพระเยซูจะไม่ทรงยอมให้พวกมันไปจัดการกับคนอื่น ตอนนี้มันต้องการบ้านใหม่ และเห็นว่า ฝูงหมูก็ยังดีกว่าถูกไล่ไปยังบึงไฟ ทำไมพระเยซูทรงยอม? … ทำไมพระองค์ไม่จัดการส่งมันลงบึงไฟเลย?​
อาจมีเหตุผลหลายอย่างตามที่คนเราในสมัยใหม่คิดกัน อย่างเช่น แต่ที่เราเห็นอย่างหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้
หมูทั้งฝูง พอถูกมารสิง มันก็กระโจนลงน้ำไปหมด

มาระโก 5:14-20
ชาวเมืองกังวลว่า หากพระเยซูอยู่อีกอาจจะทำลายฝูงหมูอื่นอีกก็เป็นได้
ยังมีฝูงสัตว์อื่น ๆ อีก พวกเขามองไม่เห็นสิ่งดีที่พระองค์ทรงทำให้กับชาวเมืองที่ถูกผีเข้า พวกเขาจึงขอให้พระองค์ออกไปจากดินแดนนั้น อย่าได้มาทำลายเครื่องมือทำมาหากินของพวกเขา
ชาวเมืองไม่ได้เห็นการดีที่พระเยซูทรงทำเพื่อชายที่ทรมานจากผีเข้าสิงเลย และไม่สนใจด้วยว่า มีคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากผีเป็นกองทัพ!
ชายคนนี้ที่เป็นอิสระแล้ว ขอไปกับพระเยซู แต่ทรงให้เขากลับไปแจ้งให้ครอบครัว พี่น้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงดีต่อเขาอย่างไร เขาก็ตกลงทำตามนั้น เขากลายเป็นคนที่ประกาศให้ชาวเมืองแถบนั้นได้รู้ว่า พระเยซูคือผู้ใด และทรงทำอะไรเพื่อเขา  พื้นที่ ๆ เขาเป็นพยานก็ไม่ใช่พื้นที่ยิวแต่เป็นของชาวต่างชาติ


ลูกสาวเอ๋ย
มาระโก 5:21-23
นายศาลาธรรมไยรัส น่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ของฟาริสี และหากใคร ในหมู่ผู้ทำงานในศาลาธรรม รู้ว่าเขามาหมอบที่พระบาทของพระองค์เช่นนี้ คงเกิดเรื่องขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ เรื่องเหล่านั้น ไม่สำคัญต่อไยรัสแต่อย่างใด เขาเพียงขอแค่ลูกสาวมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง  ชีวิตของลูกสาวย่อมสำคัญกว่าความบีบคั้นจากสังคมยิวไยรัสรู้ดีว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะช่วยลูกสาวของเขาได้ เขาต้องเคยได้ยินและได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมาบ้างแล้ว 
มาระโก 5:24-34
และยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยมานานสิบสองปี และหาหมอที่ไหนก็ไม่ช่วยให้หาย แต่กลับทำให้ฐานะยากจนลงไปเรื่อย ๆ เธอกำลังอยู่ในหมู่ชนที่เบียดเสียดกับพระเยซู เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเยซูเป็นผู้ที่รักษาโรคให้หาย ท่านคือผู้มีฤทธิ์ ฉันว่าแค่แตะท่านผู้ทรงฤทธิ์ ฉันหายโรคแน่.. ไม่มีใครสอนเธอเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันเป็นไปได้ นี่เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นพระเยซู เมื่อเข้าไปใกล้พระองค์ เธอพยายามที่สุดที่จะเข้าไปแตะชายเสื้อให้ได้
ขณะที่คนกำลังตื่นเต้น และรีบร้อนกับการไปดูพระเยซูรักษาโรคให้ลูกสาวไยรัส หญิงคนนี้เบียดเสียดเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นใจ มั่นคง ไม่มีอะไรมาทำให้เธอหันกลับ (อย่าลืมว่าจริง ๆ แล้ว การมีเลือดไหลแบบนี้เท่ากับเธอเป็นคนมลทินในกฎของยิว ถ้าใครรู้ว่าเธอมีอาการแบบนี้ จะเกิดการลุกฮือแน่นอน เพราะเธอต้องแยกตัวออกมา จะมาชิดใกล้กับผู้คนแบบนี้ไม่ได้) ต่อให้ใครมาลากเธอออกไป เธอก็จะยังแตะพระองค์ให้ได้
ทันทีที่เธอแตะต้องชายเสื้อของพระเยซู แอบแตะเท่านั้น เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด ทันทีที่ฤทธิ์ซ่านออกจากพระเยซู ก็ทรงรู้สึก พระองค์ทรงรักษาเธอแล้ว พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เธอมาใกล้ ๆ เธอคิดอะไรอยู่
ในหมู่คนจำนวนมากเป็นร้อย มีสองคนที่รู้ว่า เกิดการทำงานของฤทธิ์เดชขึ้น
คนหนึ่งหายโรค อีกท่าน..ปล่อยฤทธิ์ออกไปรักษาโรคนั้น!
เมื่อพระเยซูทรงหันมาถามว่า ใครแตะเรา? ทำให้ศิษย์และผู้คนรู้สึกรำคาญ เพราะกำลังรีบ พวกเขาให้เหตุผลถูกแล้วที่ว่า คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่
แต่พระเยซูทรงประสงค์จะให้กำลังใจเธอ พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับหญิงผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็รีบหมอบต่อพระบาทบอกความจริงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เธอได้รับคืนมา ไม่ใช่คำต่อว่า แต่เป็นพระเมตตาที่ย้ำให้เธอรู้ว่า ความเชื่อที่เธอมีต่อพระองค์ทำให้เธอหายโรคสนิทแล้ว ให้กลับไป ทรงเรียกเธอว่า ลูกสาว ตอนนี้เป็นลูกสาวของพระองค์แล้ว เธอจะไม่ต้องทรมานเหมือนเดิมอีก

ลูกสาวใครได้ฟื้นขึ้นมา?
มาระโก 5:35
เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตรงนี้กินเวลากี่นาที แต่ในช่วงวิกฤตินั้นเองที่มีคนมาจากบ้านของไยรัส และบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา “ลูกสาวท่านตายแล้ว!” ในขณะที่มีหญิงคนหนึ่งหายจากโรคที่เป็นมานาน 12 ปี ลูกสาวของชายอีกคน อายุ 12 ปีเหมือนกันได้สิ้นชีวิตลง ไยรัสทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะคิดอย่างไร แต่พระเยซูตรัสกับเขาทันทีว่า อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น
แน่นอนที่ความเชื่อของหญิงโลหิตตก ต้องทำให้ไยรัสเองสยบต่อคำของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทรงทำไม่ได้ พระเยซูทรงฤทธิ์มาก จนเขามากราบขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์ยังทรงมุ่งหน้าไปบ้านของเขา แน่นอนที่เขาจะไม่ห้ามพระองค์ เขาจะเชื่อเท่านั้น เขาจะไม่กลัว พระเยซูจะทรงเรียกชีวิตลูกสาวของเขาคืนมา
มาระโก 5:36-43
เมื่อมาถึงบ้าน พระเยซูตรัสบอกทุกคนว่า เด็กน้อยแค่หลับอยู่ ในสายพระเนตรของพระองค์ ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด เพราะในอาณาจักรของพระเจ้า จะมีการฟื้นคืนชีวิตได้อยู่แล้ว ความตายไม่ชนะพระองค์ แต่คนที่อยู่ในบ้านไยรัส ซึ่งกำลังร้องไห้ตามพิธี เป็นการบอกความโศกเศร้า กลับกลายเป็นหัวเราะเยาะพระเยซู
แล้วพระเยซูทรงอนุญาตพ่อแม่และศิษย์ใกล้ชิดสามคนเข้าไปกับพระองค์ คือเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ (ทั้งสามเป็นคนที่ไปบนภูเขาและเจอเหตุการณ์พระเยซูทรงคืนร่างเป็นพระเจ้า…9:2 กับวันที่ทรงอธิษฐานก่อนสิ้นพระชนม์ 14:32-33)
แล้วพระเยซูทรงจับมือเด็กหญิงตรัสว่า ให้ลุกขึ้น เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว เด็กหญิงก็ลุกขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ ทั้งพ่อ แม่ และศิษย์ต่างตกตะลึง ชีวิตของเด็กหญิงกลับคืนมา
แต่พระเยซูจากบ้านนี้ไป โดยตรัสให้พ่อแม่ เก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องไว้ก่อน จะไม่มีใครตามพระองค์ไป แต่ทั้งบ้านก็ได้รับรู้ว่า เด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้ตายอย่างที่พระเยซูตรัส เธอแค่นอนหลับไปเท่านั้น

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 8:28–34
2* มาระโก 1:23; 7:25
7* กิจการ 19:13
8* มาระโก 1:25; 9:25
11* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:8
15* มัทธิว 4:24; 8:16; ลูกา 10:39 ;
อิสยาห์ 61:10
17* กิจการ 16:39

18* ลูกา 8:38, 39
20* สดุดี 66:16; มัทธิว 9:8, 33
21* ลูกา 8:40
22* มัทธิว 9:18-26
23* กิจการ 9:17; 28:8
25* เลวีนิติ 15:19,25
27* มัทธิว 14:35,36
30* ลูกา 6:19; 8:46

33* สดุดี 89:7
34* มัทธิว 7:50; 8:48
35* ลูกา 8:4936* ยอห์น 11:40
38* กิจการ 9:39
39* ยอห์น 11:4; 11
40* กิจการ 9:4042* มาระโก 1:27; 7:3743* มัทธิว 8:4; 12:16-19; 17:9









กิจการ 21 เยรูซาเล็ม … ไปหรือไม่ไปดี?

คำเตือนระหว่างทาง

เยี่ยมยากอบ

เปาโลถูกจับในพระวิหาร

คุยกับประชาชนให้เข้าใจ

อธิบายเพิ่มเติม

คำเตือนระหว่างทาง
กิจการ 21:1-3
เราทราบจากกิจการ 20: 4 ว่าเพื่อนเดินทางของเปาโลในครั้งนี้คือ ทิโมธี ลูกา และคนอื่น ๆ โดยพวกเขาเดินทางจาก มิเลทัส (ตุรกีตะวันตกเฉียงใต้) ไปยังฝั่งฟินิเชีย เป้าหมายคือเมืองไทระที่พวกเขาตั้งใจจะเยี่ยมพี่น้องที่นั่น
กิจการ 21:4-6
เปาโลและทุกคนได้พบพี่น้องในเมืองไทระจริง และมีบางคนเตือนว่า ไม่ให้ไปเยรูซาเล็มเพราะจะถูกจับกุมตัว พวกเขาพยายามที่จะให้เปาโลเปลี่ยนใจ แต่ไม่ได้ผล เพราะวันที่เจ็ดพวกเขาก็ออกเดินทางต่อตามที่ตั้งใจไว้
เปาโลเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม แต่พี่น้องเห็นจากพระเจ้าอีกมุมคือ เปาโลจะถูกจำจอง
ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความรู้นี้มาจากพระเจ้า แต่ทำไมเปาโลไม่ฟังเพื่อนที่มาห้ามไว้ เราอาจตั้งคำถามว่าเปาโลควรฟังใครกัน …
กิจการ 21:7-11
เดินทางผ่านเมืองใด ก็จะไปเยี่ยมพี่น้องเมืองนั้น และในบ้านของฟีลิป ก็พบลูกสาวที่เป็นผู้กล่าวพระคำของพระเจ้าสี่คน ซึ่งทำให้เราเห็นว่า ผู้หญิงก็ได้ทำงานรับใช้พระเจ้าเช่นกัน จำได้ไหม ฟีลิปเป็นคนที่ประกาศพระนามพระเจ้าอย่างแข็งขันในกิจการบทที่ 8
มาถึงบ้านนี้ก็มีคนมาเตือนอีกแล้วว่า อย่าไปเยรูซาเล็มเลย .. และอากาบัสก็แสดงให้เห็นราวกับเป็นการแสดงละครสดเลยว่า เปาโลจะเจออะไร .. ดูน่ากลัว น่ากังวลมาก
กิจการ 21:12-16
แต่เปาโลไม่ได้กลัวสักนิด เพราะใจเปาโลนั้นพร้อมตายเพื่อพระเจ้า แต่ขอให้ได้ทำอะไรที่เกิดประโยชน์แล้วกัน การที่มีคนมาเตือนเช่นนี้ อาจเป็นการลองใจของพระเจ้าก็เป็นได้ … ว่าเปาโลจะตัดสินใจอย่างไร แล้วที่สุด ทุกคนในคณะของเปาโลก็เดินทางไปเยรูซาเล็มจริง

เยี่ยมยากอบ
กิจการ 21:17-20ก
เราจะเห็นว่า ในเยรูซาเล็มมีโครงสร้างของผู้นำอยู่อย่างชัดเจน และเปาโลเองก็ยอมรับโครงสร้างนั้น เขาได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในการประกาศที่ผ่านมา พบว่า พระเจ้าทรงทำการยิ่งใหญ่ในหมู่คนต่างชาติ เราจะเห็นว่าพี่น้องชาวยิวก็ดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ในกิจการบทที่ 15 เราจะเห็นว่ามีการปรับความเข้าใจระหว่างพี่น้องชาวยิวและชาวต่างชาติที่เชื่อให้เหมาะสม
กิจการ 21:20ข-22
เปาโลมาพบข่าวลือว่า เปาโลสอนให้ผู้เชื่อต่างชาติต่อต้านพิธีของยิว ดังนั้น ยากอบซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูรวม ทั้งผู้อาวุโสในเยรูซาเล็มได้ขอให้เปาโลพิสูจน์ว่าเขาเป็นยิวแท้ด้วยการช่วยให้คนกลุ่มหนึ่งได้ทำตามคำปฏิญาณตนแบบพวกนาซารีน (กันดารวิถี 6:1-21)
กิจการ 21:23-25ก
เปาโลตกลงที่จะทำตามที่พวกเขาขอร้อง คือทำตามธรรมเนียมยิวด้วย จะเห็นว่า การทำตามธรรมเนียมที่ไม่ได้ผิด แต่กลับกลายเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่น้อง เป็นการทำตามสิ่งที่ท่านกล่าวในเอเฟซัส 4:1-2 ,13
กิจการ 21:25ข-26
การยินยอมของเปาโลเท่ากับทำให้คนเหล่านั้นไว้ใจเปาโล และไม่คิดจะเชื่อข่าวลือต่อไป พี่น้องในเยรูซาเล็มเข้าใจท่าที ทัศนคติจริงของท่านที่มีต่อความเชื่อในพระเจ้า


เปาโลถูกจับในพระวิหาร
กิจการ 21:27-29
พอดีเปาโลไปไหนต่อไหนกับโตรฟีมัสซึ่งเป็นชาวเมืองเอเฟซัส ทำให้คนยิวได้กระพือข่าวเพราะคิดเอาเองว่า เขาเอาคนต่างชาติเข้าไปในพระวิหาร ทำให้พระวิหารเป็นมลทิน โตรฟีมัสเป็นคนหนึ่งที่มากับทีมเปาโลที่เอาเงินถวายมาส่ง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเยรูซาเล็ม
กิจการ 21:30-31
ดังนั้นวันที่เปาโลไปพระวิหาร และกำลังออกมา พวกเขาก็คิดว่านี่ไง มาแล้ว เอาคนต่างชาติเข้าไปในวิหารได้อย่างไร พวกเขาจับเปาโลและรุมทำร้ายเขา ดีที่มีคนไปแจ้งข่าวให้ทหารโรมที่รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยทันทีเหมือนกัน เขาจึงสั่งคนให้ไปยังพื้นที่ทันที!
กิจการ 21:32-34ก
พวกเขาหยุดทำร้ายเปาโลเมื่อเห็นทหารเข้ามา เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมีคนตอบคำถามคนละเรื่องกัน ขัดแย้งไปหมด
กิจการ 21:34ข-35
ถึงแม้กลุ่มชนเหล่านี้ต้องการลงประชาทัณฑ์เขา แต่เปาโลก็ยังอยากที่จะประกาศพระนามในช่วงที่ผู้คนกำลังเร่าร้อน อยากให้เขาตาย เราจะเห็นว่า กลุ่มผู้นำศาสนานี้ เป็นตัวดีที่คอยทำให้ประชาชนทำผิดตามคำสั่งของพวกเขา

คุยกับประชาชนให้เข้าใจ
กิจการ 21:37-39
ตอนแรกนายทหารเข้าใจว่าเปาโลเป็นคนอียิปต์ที่เป็นคนร้าย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เปาโลไม่ใช่คนนั้น (คนนั้นได้ปลุกระดมคนมากมายไปที่ภูเขามะกอกเทศ และได้อ้างว่าเขาจะทำให้โรมล่มไป จึงมีคำสั่งจากโรมให้กำจัดเหล่ากบฎซึ่งโรมก็ได้สังหารผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก แต่หัวโจกหนีไปได้ พวกนี้มักจะปะปนอยู่กับคนยิวและพยายามฆ่ายิวที่เข้าข้างโรม
และเวลานี้เองเปาโลก็ขออนุญาตพูดกับประชาชน …
กิจการ 21:40-22:3
แล้วเขาก็ได้รับอนุญาตอย่างไม่คาดฝัน นี่เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่เราไม่ค่อยได้เห็น ยิ่งต่อหน้าประชาชนที่กำลังโกรธแบบนี้ เปาโลน่าจะรีบเข้าไปในกองทหารก่อนเพื่อความปลอดภัย เขากลับได้มีโอกาสพูดกับประชาชนเป็นภาษาฮีบรู ทำให้ผู้คนที่เข้าใจผิดเหล่านั้นได้นิ่งฟังเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เปาโลจะได้กล่าวคำชี้แจงเรื่องชีวิตที่มาพบพระเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เธสะโลนิกา 2:17
2* กิจการ 27:6; 15:3
3* กิจการ 21:16’ 12:20
4* กิจการ 21:10-12
5* กิจการ 20:36,38
8* กิจการ 8:40; 21:16;
เอเฟซัส 4:11; กิจการ 6:5
9* โยเอล 2:28
10* กิจการ 11:28
11* กิจการ 20:23; 21:33; 22:25

13* กิจการ 20:24, 37
14* ลูกา 11:2; 22:42
17* กิจการ 15:4
18* กาลาเทีย 1:19; 2:9
19* โรม 15:18, 19;
กิจการ 14:27; 1:17; 20:24
20* กิจการ 15:1; 22:3
24* กิจการ 18:18
25* กิจการ 15:19,20,29
26* กิจการ 21:24; 24:18;
กันดารวิถี 6:13

27* กิจการ 20:19; 24:18; 26:21
28* กิจการ 6:13; 24:26
29* กิจการ 20:4
30* กิจการ 16:19; 26:21
31* 2 โครินธ์ 11:23
32* กิจการ 23:27; 24:7
33* กิจการ 24:7; 20:23; 21:11
36* ยอห์น 19:15
38* กิจการ 5:36
39* กิจการ 9:11; 22:3
40* กิจการ 12:17; 22:2

1 โครินธ์ 13 ความหมายแห่งรัก

1 โครินธ์ 13:1-3
แม้ว่าข้าจะพูดเป็นภาษาแปลกที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาของมนุษย์หรือของทูตสวรรค์ แต่ไม่มีความรัก ข้าก็เป็นแค่เสียงฆ้องหรือฉาบที่ส่งเสียงอยู่เท่านั้น
แม้ข้าจะเผยพระดำรัสของพระเจ้าได้มีความรู้ในสิ่งล้ำลึก รอบรู้ในทุกเรื่องมีความเชื่อจนเคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ตัวข้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าข้าแจกจ่ายสิ่งของที่มีแก่คนขัดสนและยอมเอาตัวไปเผาไฟ แต่หากไม่มีความรัก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

1 โครินธ์ 13:4-8
ความรักเริ่มต้นที่ความอดทนนานและใจเมตตาปราณี
ความรักไม่อิจฉา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งยโส ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกรธง่าย ไม่ช่างจำความผิด ไม่พอใจกับการทำผิด
แต่ยินดีกับความจริง
ความรักทนต่อทุกอย่าง เชื่อมั่นอยู่เสมอ มีความหวังใจ และมีหัวใจพากเพียร บากบั่นในทุกสิ่ง
ความรักนั้นยืนยงมั่นคงนิรันดร์
แม้การเผยพระคำจะเลิกไป หรือการพูดภาษาที่แปลกจะเลิกไป หรือความรู้ใด ๆ จะเสื่อมไป

1 โครินธ์ 13:9-11
เป็นเพราะว่า เรามีความรู้เพียงบางส่วนและเผยพระคำเพียงบางส่วนแต่เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมมาถึงความไม่สมบูรณ์นั้นจะสูญไป

เมื่อข้ายังเป็นเด็ก ข้าพูดอย่างเด็กคิดและหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็เลิกพฤติกรรมอย่างเด็ก

1 โครินธ์ 13:12-13
เพราะเวลานี้ เราเห็นภาพสะท้อนมัว ๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นเราจะเห็นภาพชัดตามความเป็นจริง
เวลานี้ข้ารู้เพียงบางส่วน แต่ในเวลานั้นข้าจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับที่พระองค์ทรงรู้จักข้า
และบัดนี้ สามสิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมด ก็คือความรัก

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 13:1-3
หนังสือ 1 โครินธ์บทที่ 13 นับได้ว่า เป็นข้อพระคำที่ผู้คนรู้จักกันมากที่สุด เพราะมีการนำมาร้องเป็นเพลงรัก และใช้อ่านในงานแต่งงานกันเสมอแต่พระคำข้อแรกนี้ กำลังแนะนำเราว่า การมีของประทานที่ปราศจากความรักนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น คน ๆหนึ่งที่มีของประทานจากพระเจ้า อาจสอนเก่ง เทศน์เกิดผล พูดและแปลภาษาที่แปลกได้ รักษาโรคได้ แต่หากไร้รัก ก็ไร้ค่าสำหรับตัวเขาเอง
จะเห็นว่าการใช้ของประทานนั้น บางคนอาจใช้โดยไม่ได้มีความรักเลย เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เผยพระคำ ให้แบ่งปันความรู้ ให้มีความเชื่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องแต่หากไร้ซึ่งความรัก สิ่งที่ทำสำเร็จกลับไม่มีค่าเป็นความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เต็มร้อย มีคนกล่าวว่า สัญญาณว่าคน ๆ หนึ่งเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ใช่การอัศจรรย์ต่าง ๆแต่เป็นความรัก
ท่านเปาโลยังอธิบายต่อไปว่า จะเป็นคนใจดีแจกจ่ายให้คนอื่นมากมาย ทำงานที่ทำให้คนอื่นได้ดี แถมยังยอมแม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง ยอมถูกทรมานเพื่อความเชื่อ ถึงขนาดนั้นแล้วท่านเปาโลยังมองว่าหากไม่ประกอบด้วยความรัก นั่นจะไม่มีค่าอะไรเลย
ทำให้เราย้อนไปถึงพระเยซู บนไม้กางเขน การที่พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์ยอมอับอาย ยอมทุกอย่างไม่ใช่เพื่อเป็นวีรบุรุษแต่เพราะพระองค์ทรงรักพระบิดาและชาวโลกนี้

1 โครินธ์ 13:4-8
เราอาจจะถามว่า แล้วรักคืออะไรล่ะสองสิ่งที่รักเป็น คืออดทนและเมตตา เมื่อเรามีความรัก สองสิ่งแรกที่เป็นส่วนประกอบของรักนั้น จะต้องปรากฏ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รัก ยังมีอีกแปดอย่างที่ไม่ใช่รัก ..คำอธิบายของสิ่งที่ไม่ใช่ความรักของท่านเปาโล ทำให้เรารู้เลยว่า ในชีวิตครอบครัว ในความสัมพันธ์กับเพื่อนของเรานั้น มันใช่ไหมว่าเป็นรักหรือเปล่า
ไม่เฉพาะอดทนนาน และเมตตาเท่านั้น แต่คนที่รักจะทนต่อทุกอย่าง มีความเชื่อหวังใจ บากบั่นพากเพียรแม้จะยากเพียงไร สิ่งที่เป็นของประทาน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามอาจเสื่อมไป แต่ความรักจะอยู่ตราบเท่าที่มีนิรันดร์กาล
สุดยอด พระคำตอนนี้ เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นส่วนที่อยู่ไปตลอดไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น

1 โครินธ์ 13:9-11
เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมจากพระเจ้ามาถึงของประทานก็จะหมดไป หยุดไปจากพระคำข้อนี้ เราพอจะสรุปได้ว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นสำคัญ แต่ของประทานนั้นมีวันที่จะสูญสิ้นไปด้วย มันจะสูญไปเมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมของพระเจ้ามาถึง นั่นคือ เมื่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์มาถึงเราครบถ้วน เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงชนะเหนือศัตรูทั้งปวง
ทำไมท่านเปาโลพูดเช่นนี้ ท่านกำลังจะบอกว่าเด็กก็เหมาะกับการเล่น การคิด การทำอะไรแบบเด็ก ๆ น่ารักบ้าง น่าโมโหบ้าง แต่ก็เป็นเด็ก
เมื่อเราเติบโตในพระเจ้า เราก็ไม่มีความคิดแบบเด็กอีกต่อไป เหมือนกับเมื่อคริสเตียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความหมกมุ่นวุ่นวายกับของประทาน
นั้นก็จะลดลง เพราะความรักมาเหนือสิ่งเหล่านั้นท่านไม่ต้องการให้พี่น้องเน้นเรื่องของประทานเกินความรักที่มีต่อกัน

1 โครินธ์ 13:12-13
เมื่อเราเห็นพระเยซูต่อพระพักตร์ ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นก็เหมือนจะเลือนไปเลยเพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อเรามีพระองค์อยู่ตรงหน้าเรา เราจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า ดังนั้นท่านเปาโลจึงมองว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นจะสูญไป แต่พระเจ้าและความรักของพระองค์จะยืนยง และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นพระองค์ชัด เราจะรู้ถึงพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เหมือนตอนนี้ที่รู้ไม่หมด
ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านเปาโลได้สรุปให้เราเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างที่เป็นความรู้ความสามารถ ของประทาน การอัศจรรย์
ฤทธิ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่หายไป ไม่มีอีก เมื่อมาถึงเส้นชัยสุดท้ายของโลกและจักรวาลเมื่อพระเจ้าเปลี่ยนโลกนี้เป็นอีกโลกสิ่งที่ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ ความรักและท่านเปาโลมองว่า รักนั้น สำคัญที่สุด

 พระคำเชื่อมโยง

กิจการ 20 คงไม่ได้พบกันอีก

กลับมายังมาซิโดเนีย โตรอัส และแคว้นเอเชียน้อย

การสอนครั้งนี้ ยาวนาน…..จนเกิดอัศจรรย์

เตือนใจพี่น้องที่มาจากเอเฟซัส

ให้ระมัดระวังอันตรายที่มีต่อคริสตจักร

พื้นฐานการรับใช้

อธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 20:1-3
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกลุ่มช่างเงินช่างทองในเอเฟซัส ทำให้เปาโลต้องออกจากที่นั่น โดยวางแผนที่จะไปเยรูซาเล็ม ผ่านมาซิโดเนียและอาคาเชีย
โดยที่เปาโลจะช่วยนำกลุ่มคนที่นำเงินถวายไปช่วยคนที่เยรูซาเล็มที่พวกเขาเจอกับการกันดารอาหารอย่างหนัก เราทราบเรื่องนี้เพราะว่าเปาโลได้เขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ก่อนที่จะออกมาจากเอเฟซัส ( 1 โครินธ์ 16:1-4 )
เป็นอันว่าได้มีโอกาสเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้(ดูกิจการ 16-17) และไปพักในกรีก (ซึ่งหมายถึงอาคาเชียนั่นเอง ซึ่งน่าจะเป็นเมืองโครินธ์ ตามที่เขียนใน 1 โครินธ์ 16:5-7) สามเดือน ซึ่งระหว่างนั้นเอง ก็ได้ทำให้ชาวยิวในพื้นที่ไม่พอใจเหมือนเคย พวกเขาพยายามทำร้ายเปาโล ซึ่งเปาโลก็เลี่ยงโดยการเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมจะไปแคว้นซีเรียทางเรือ ก็เลยไปทางบก
กิจการ 20:4-6
เปาโลให้พี่น้องส่วนหนึ่งไปรอที่เมืองโตรอัส พี่น้องเหล่านี้น่าจะเป็นคนจากคริสตจักรต่าง ๆ ที่ได้ถวายเงินเพื่อส่งไปเยรูซาเล็ม เราจะชินกับคนสองสามคนในกลุ่มนี้ อย่างเช่นกายอัส ทิโมธี พวกเขาเป็นคนที่เปาโลพบและสอนให้รู้จักทางของพระเจ้า และพยายามที่จะส่งต่อความเชื่อให้กับคนเหล่านี้ เพื่อพวกเขาจะสอนต่อไปได้ ( 2 ทิโมธี 2:2). เปาโลยังได้อยู่ที่เมืองฟีลิปปีพักหนึ่งเพื่อร่วมเทศกาลไร้เชื้อด้วย
ครั้งนี้เปาโลลงเรือข้ามทะเลอีเจียนไปทางตะวันตก เข้าไปทางแคว้นเอเชียน้อย ที่เมืองโตรอัส การเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการเล่าของลูกา ที่จากเนื้อความเราจะเห็นว่า ลูกาได้พูดคำว่า เรา หลาย ๆ ครั้ง ทำให้รู้ว่า ลูกาได้เดินทางไปพร้อมกับเปาโล
กิจการ 20:7-9 ก
น่าสนใจที่ลูกาเล่าว่า วันอาทิตย์ พี่น้องมาประชุมกัน พวกเขาไม่ได้ประชุมกันวันเสาร์ในศาลาธรรมอย่างยิวแล้ว เราไม่ทราบว่าเป็นเช้าหรือเย็น อย่างไรก็ดีการประชุมครั้งนี้ยืดยาวไปถึงเที่ยงคืน เนื่องจากในอาณาจักรโรม วันอาทิตย์คนที่เป็นทาสก็ยังต้องทำงาน พวกเขาจึงน่าจะประชุมกันตอนเย็นของวันอาทิตย์
(สตีเวน เจ โคล) พวกเขามาหักขนมปังด้วยกัน ก็คือ มีพิธีระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูด้วยกัน
และครั้งนี้เปาโลสอนนานมาก … จนมีคนหนึ่งหลับคาหน้าต่าง ในห้องมีตะเกียงหลายดวง อากาศก็ไม่ค่อยดี คนก็เหนื่อย แต่เปาโลก็ตื่นเต้นที่จะสอน
กิจการ 20:9
แล้วเด็กหนุ่มที่หลับคาหน้าต่างชื่อยุทิกัส ชื่อของเขาแปลว่า โชคดี เขาอาจเป็นทาสที่ทำงานมาทั้งวัน และมานั่งฟัง พยายามตื่นแต่ร่างกายก็ไม่ไหว แล้วในที่สุดเขาตกลงมาจากตึกชั้นที่สาม เมื่อมีคนวิ่งไปดูประคองเขาขึ้นมา ก็บอกว่าเขาตายแล้ว! และการที่ลูกาผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์ยืนยัน เราจึงเชื่อได้ว่า ยุทิกัสนี้สิ้นลมจริง
กิจการ 20:10-12
แต่เปาโลไม่นิ่งนอนใจ เขาลงไปข้างล่าง โอบยุทิกัสไว้ และบอกพี่น้องว่า ว่า ไม่ต้องตกใจ เขายังมีชีวิต .. ลูกาผู้เขียนไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องนี้เลย แต่เราเห็นได้ว่า การเข้าไปสัมผัสครั้งนี้ ทำให้ยุทิกัสมีชีวิตคืนขึ้นมา
ดูเหมือนการตกลงมาจากตึกสามชั้นไม่ได้ทำให้ยุทิกัสมีบาดแผลด้วย พวกเขาขึ้นไปบนตึก และยังไปหักขนมปังด้วยกัน เช้ามา ต่างก็ลาจากกันไป เป็นการจากไปที่ต่างมีความยินดีมาก ๆ
กิจการ 20:13-16
ข้อความตอนนี้ได้เล่ารายละเอียดว่า เปาโลเดินทางบกแล้วไปเจอพี่น้อง จากนั้นก็ลงเรือไปด้วยกัน ที่นั่นที่นี่หลายแห่ง โดยไม่แวะเอเฟซัส จนกระทั่งมาถึงเมืองมิเลทัสซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเอเฟซัสเท่าไรนัก ที่เปาโลทำเช่นนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ได้ประกาศกับเมืองระหว่างทาง หรือเป็นเวลาที่จะอยู่ตามลำพังเพื่อเดินไปอธิษฐานไป? เปาโลสั่งให้คนอื่นไปก่อน แต่ตัวเองกลับเดินเท้าไปยังอัสโสสซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างโตรอัสประมาณ 40 กิโลเมตร
กิจการ 20:17-19
เปาโลส่งคนไปเชิญ ผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสที่รู้จักกันใกล้ชิด มาประชุมด้วยกันเพื่อจะได้สอนและหนุนใจพี่น้องเหล่านั้น โดยที่ไม่ไปแวะเอเฟซัสเลย
อย่างแรกที่เปาโลกล่าวถึงคือ เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องในเอเฟซัสว่า เป็นอย่างไร การอยู่อย่างถ่อมตน การเจอกับแผนร้ายของยิวสารพัด
แคว้นเอเชียในที่นี้ คือดินแดนที่โรมครอบครองในแคว้นเอเชีย ซึ่งอยู่ในตุรกีปัจจุบันบางส่วน และพื้นที่เมืองโตรอัส มิเซีย ลิเดีย คาเรีย ฟรีเจียบางส่วน โดยมีเอเฟซัสเป็นเมืองหลวง
กิจการ 20:20-23
เปาโลได้สอนยิวในศาลาธรรม ตามบ้าน และสอนกรีกที่ของทิรันนัส (19:9) ชักชวนให้กลับใจเชื่อพระเยซู แต่แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม ซึ่งเปาโลเองก็รู้ดีว่า ต้องมีเรื่องร้าย ๆ รออยู่แน่นอน
กิจการ 20:24-25
ที่เปาโลต้องเรียกพวกเขามาคุยเพราะรู้ว่า จะไม่ได้มีโอกาสเจอกันอีก .. อ่านโรม 15:23 จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องหลัง แต่เป้าหมายชีวิตของเปาโลนั้นชัดเจนมาก คือ การประกาศข่าวดีของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทำให้เปาโลมุ่งมั่นไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับเปาโล พระบัญชาของพระเยซูในเรื่องนี้มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจคือ เปาโลได้แจ้งให้พวกรู้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน
กิจการ 20:26-28
ตอนนี้เปาโลเห็นว่า งานในพื้นที่แถบนี้เสร็จลงแล้ว ได้บอกแผนการ พระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ทราบ โดยไม่ได้ปิดบังไว้เลย ดังนั้น เปาโลจะฝากพี่น้องไว้กับเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกเขามีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูพี่น้องต่อไป ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพี่น้องอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทุกคนที่เข้ามาฟังเปาโล เป็นผู้ใหญ่พอที่จะช่วยกันรักษาคริสตจักรของพระเจ้าในเอเฟซัส ซึ่งเปาโลบอกว่า เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระบุตรนั่นเอง
กิจการ 20:29-31
เปาโลรู้แก่ใจดีว่า ในอนาคตจะมีคนที่หลอกลวงเข้ามาในคริสตจักร และเราก็จะเห็นว่า ในคริสตจักรทุกวันนี้ก็จะเจอคนที่เข้ามาหลอก ปัญหาจากทั้งข้างนอกและข้างในคริสตจักรเอง สำคัญคือต้องตื่นตัว อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ไม่ได้ เวลาเปาโลรับใช้ ไม่ได้แค่ตั้งใจรับใช้ แต่เต็มด้วยหัวใจที่เป็นห่วง อธิษฐานร้องไห้เพื่อพวกเขา
กิจการ 20:32-35
เปาโลฝากพี่น้องไว้กับพระเจ้า ฝากไว้กับพระคุณที่จะสร้างและรักษาชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัย เปาโลรักพี่น้องจากเอเฟซัสที่ได้อยู่ด้วยกันนานถึงสามปี ดูเหมือนว่าเปาโลจะตระหนักดีว่า พี่น้องจะต้องเจอการข่มเหงอีกไม่น้อย และตัวเปาโลเองก็มีภาระหนักอยู่ข้างหน้าด้วย
เปาโลได้ย้ำเตือนพวกเขาว่า ได้รับใช้ท่ามกลางพวกเขาด้วยความคิดอย่างไร ต้องเห็นแก่คนที่อ่อนแอกว่า ต้องทำงานหนัก ชีวิตไม่ใช่อยู่สบาย ๆ ง่าย ๆ การดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างทำให้เปาโลสามารถพูดกับพี่น้องได้ว่า ให้ทำตามตัวอย่างชีวิตของเขา
คำที่บอกว่า การให้นั้นเป็นสุขกว่าการรับ ก็กลายเป็นพื้นฐานความคิดของการรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้าเพื่อผู้อื่น หลายศตวรรษต่อมา ทำให้คริสตจักรได้ส่งคนออกไปเพื่อประกาศและรับใช้ด้านต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางการศึกษา การแพทย์ การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ
กิจการ 20:36-38
พวกเขาอธิษฐานด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน เป็นความรักของคนที่รักพระเจ้าและผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเพื่อข่าวประเสริฐ เพื่อให้คนอื่นได้รับความรอด พวกเขารู้สึกว่า จะไม่ได้พบกับเปาโลอีก จึงรู้สึกเสียใจมาก แต่ยังมีความหวังว่า จะได้พบกันต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งเวลานี้พวกเขาก็คงได้พบกันแล้ว




พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:3
2* กิจการ 17:15; 18:1
3* 2 โครินธ์ 11:26
4* โคโลสี 4:10; กิจการ 19:29; 16:1; เอเฟซัส 6:21; 2 ทิโมธี 4:20
5* 2 ทิโมธี 4:13
6* อพยพ 12:14-15; 2 ทิโมธี 4:13
7* 1 โครินธ์ 16:2; กิจการ 2:42, 46; 20:11
8* กิจการ 1:13
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:21; มัทธิว 9:23-24


16* กิจการ 18:21; 19:21; 21:4; 24:17; 2:1
18* กิจการ 18:19; 19:1, 10; 20:4, 16
19* กิจการ 20:3
20* กิจการ 20:2721* กิจการ 18:5; 19:10; มาระโก 1:15
22* กิจการ 19:21
23* กิจการ 21:4, 11
24* กิจการ 21:13; 2 ทิโมธี 4:7; กิจการ 1:17; กาลาเทีย 1:1
26* กิจการ 18:6

27* ลูกา 7:30
28* 1 เปโตร 5:2; 1โครินธ์ 12:28; เอเฟซัส 1:7, 14; ฮีบรู 9:14
29* มัทธิว 7:15
30* 1 ทิโมธี 1:20
31* กิจการ 19:8,10; 24:17
32* ฮีบรู 13:9; กิจการ 9:31; ฮีบรู 9:15
34* กิจการ 18:3
35* โรม 15:1
37* กิจการ 21:13; ปฐมกาล 45:14