กิจการ 10 การแสวงหาของนายร้อย

กิจการบทที่ 10 นี้ สำคัญอย่างยิ่งที่บอกเราว่า สิ่งที่ยิวคิดว่าเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกพวกเดียวนั้นกำลังจะต้องคิดใหม่แล้ว พระเจ้าทรงให้กรอบความคิดเดิมที่มีอยู่สลายไป อคติที่มีอยู่ทั้งหมดต้องถูกทำลาย พระเจ้าทรงประสงค์ให้ความรอดของพระองค์ไปยังคนทั้งโลก สำหรับเราเองซึ่งเป็นคนไทย ก็อยู่ในแผนการอันเลิศของพระเจ้านี้ด้วย

คำอธิบายเพิ่มเติมกิจการ 10

กิจการ 10:1-2
โครเนลิอัสเป็นนายร้อยชาวโรม อยู่ในเมืองซีซาริยา ซึ่งเป็นเมืองใหม่ สร้างโดยเฮโรดเป็นเกียรติแก่ซีซาร์ออกัสตัสประมาณ 25 ปีก่อนคริสตศักราช กษัตริย์วงศ์เฮโรดและนายทหารมักจะพักกันอยู่ในเมืองนี้ นับได้ว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวย ทันสมัยพอควร มีทั้งคนยิวและคนต่างชาติอาศัยปนเปกันอยู่
แต่สำหรับคนยิวแล้ว พวกเขาเลือกที่จะไม่สุงสิง ไม่ไปกินข้าวในบ้านคนต่างชาติ ไม่กินอาหารที่คนต่างชาติเป็นคนเตรียม พวกเขามองว่าคนต่างชาติเป็นคนไม่สะอาด เป็นมลทิน
แม้ว่าโครเนลิอัสจะเป็นทหารที่อยู่ภายใต้ซีซาร์ แต่เขาเชื่อพระเจ้า เป็นคนต่างชาติที่เกรงกลัวพระเจ้า (เหมือนกับขุนนางที่ฟีลิปพบตามทาง) เราไม่ทราบว่า เป็นอย่างไรมาอย่างไร แต่พระเจ้ากำลังจะทำการยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาและครอบครัว
กิจการ 10:3-6
เพราะความมีน้ำใจ และการอธิษฐานของเขา พระเจ้าทรงฟัง และทรงยินดีที่จะตอบคำอธิษฐานของเขา เขาคงต้องอธิษฐานขอพระเจ้าทรงมอง และรับเขาเป็นคนของพระองค์ เขาอาจอธิษฐานเรื่องอื่น ๆ อีก และทั้ง ๆ ที่คนยิวไม่รับเขา แต่พระเจ้าทรงรับ พระองค์ทรงรับคำอธิษฐานและสิ่งดีที่เขาทำเพื่อผู้อื่น รู้ได้อย่างไรหรือ?นั่นคือ พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาตอบคำอธิษฐาน! โครเนลิอัสน่าจรู้เรื่องของพระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลจากคนยิวบางคน แต่เขายังไม่รู้จักพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงเป็นทางไปถึงพระบิดา ครั้งนี้ พระเจ้าทรงนำเขาอย่างมหัศจรรย์ ทูตสั่งให้เขารีบไปตามเปโตรมา
เมืองยัฟฟาอยู่ริมทะเลทางใต้ของซีซาริยา ห่างไปประมาณ 48 กิโลเมตร
กิจการ 10:7-8
โครเนลิอัสไม่ได้กลัวทูตสวรรค์เลย แต่กลับมองว่าเป็นผู้สื่อสารจากพระเจ้าที่เขาต้องทำตามคำสั่ง
เขาเป็นคนดี คนน่านับถือ มีตำแหน่งสูง แต่ยังไม่ได้รับความรอด พระเจ้ากำลังจัดทางแห่งความรอดให้เขาแม้ว่าเขาจะไม่รู้ทางนั้น แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ยื่นให้เอง
เขาจัดคนออกไปเชิญเปโตรทันที และกำชับว่า ต้องทำให้สำเร็จ ตอนนี้เขาคงตื่นเต้นมาก จะเกิดอะไรขึ้น
กิจการ 10:9-11
ขณะที่คนของโครเนลิอัสอยู่ระหว่างทาง เปโตรขึ้นไปอธิษฐานบนดาดฟ้าบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังแล้วเขาก็เห็นนิมิตที่ประหลาดมาก
กิจการ 10:12-14
เขาเห็นสัตว์ที่มีมลทิน ทั้งสัตว์สะอาด สัตว์ไม่สะอาดในสายตาของยิว เต็มไปหมด เปโตรถือในกฎในเลวีนิติ 11:47 ที่ให้รู้จักแยกแยะสัตว์สะอาด กับสัตว์ไม่สะอาด แต่พระเจ้ากลับทรงสั่งให้เขาฆ่ากินได้เลย … นี่เป็นคำบัญชาที่ประหลาดจริง ๆ คนยิวถือกฎเรื่องอาหารสะอาด ไม่สะอาดเคร่งครัดมาก ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากคนทั่วไป ทำให้พวกเขาไม่อาจมากิน สุงสิงกับคนต่างชาติได้(ที่จริงเปโตรอยู่ในบ้านของคนฟอกหนัง ที่ต้องทำงานกับสัตว์ตายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนยิวก็ถือว่าไม่สะอาดอยู่แล้ว แต่คนฟอกหนังผู้นี้ก็เป็นผู้เชื่อ )
กิจการ 10:15-16
พระเจ้าตรัสว่า “อย่าเรียกสิ่งที่พระองค์ชำระว่าเป็นมลทิน” พระเจ้าทรงบอกเขาสามครั้ง แล้วผ้าที่ลอยลงมานั้นก็ลอยขึ้นไป พระเจ้าทรงย้ำให้เปโตรมั่นใจ
กิจการ 10:17-18
ขณะที่คิดหาคำตอบก็มีคนมาหาเปโตร คนเหล่านั้นเป็นคนต่างชาติ ตอนนี้เปโตรน่าจะเริ่มเข้าใจอะไรราง ๆ แล้ว สัตว์ที่ไม่สะอาด กับชาวต่างชาติที่คนยิวคิดว่าไม่สะอาด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงชำระเอง
กิจการ 10:19-21

สิ่งที่เห็นในนิมิต กับสิ่งที่เกิดขึ้นช่างมาพร้อมกัน มีคนต่างชาติมาตามหาเขา ให้ไปหาที่บ้านคนต่างชาติ นอกจากคำสั่งแรกจากพระเจ้าแล้ว ยังมีคำสั่งต่อไปให้เปโตรเดินทางไปกับแขกทั้งสามที่มาหา พระองค์ทรงส่งเขามาเอง ไม่ต้องกังวล ดูสิว่า พระเจ้าทรงเตรียมเปโตรให้อยู่ในเมืองใกล้ ๆ หลังจากที่เขาอธิษฐานให้โครคัสฟื้นจากตาย
กิจการ 10:22-23

เมื่อเห็นสัตว์ที่คนยิวมองว่าไม่สะอาด กับเหตุการณ์ที่มีคนต่างชาติมาเชิญให้ไปที่บ้าน ..​เปโตรต้องครุ่นคิดหนักทั้งคืนเลย แน่นอนว่า ในคืนนั้น เขาคงอธิษฐานขอความเข้าใจจากพระเจ้า และเขาน่าจะเข้าใจแล้วตอนที่เขาเริ่มออกเดินทาง เปโตรเองจำต้องฟังคำบัญชาของพระเจ้าไม่ว่าตนเองจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เขาไม่ได้ไปคนเดียวแต่มีพี่น้องตามไปด้วย เพื่อจะได้เห็นเป็นพยานในเรื่องที่เกิดขึ้น เราทราบมาว่ามีทั้งหมด 6 คนที่ไปด้วย (11:12)
กิจการ 10:24-27
เมื่อเปโตรไปถึงบ้านโครเนลิอัส ปรากฏว่า เขาได้เจอกับคนต่างชาติหลายคนทีเดียว เพราะว่า โครเนลิอัสชวนญาติพี่น้องมาด้วย นายร้อยที่ยิ่งใหญ่กลับก้มลงกราบเปโตร … เขาปฏิเสธทันที และขอให้นายร้อยลุกขึ้น ตัวโครเนลิอัสเองคงคิดว่า เปโตรต้องเป็นคนสำคัญ ยิ่งใหญ่มาก ที่ทำให้ทูตสวรรค์บอกให้เขาไปเชิญมา
ตอนนี้เปโตรกำลังทำสิ่งที่คนยิวทั่วไปไม่ยอมทำ คือการเข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ การที่เปโตรเข้าไปประกาศสอนเรื่องพระเจ้าในบ้านนี้ เป็นก้าวแรกสำคัญที่ทำให้คริสตจักรออกไปประกาศแก่คนต่างชาติตามพระบัญชาของพระเยซู
กิจการ 10:28-29
ก่อนที่เปโตรจะได้ประกาศพระนามแก่คนต่างชาติ พระเจ้าทรงเตรียมใจเขาล่วงหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงพระประสงค์อะไร เขาจึงอธิบายให้โครเนลิอัสเข้าใจว่า พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับคนต่างชาติ พระองค์ไม่ได้เป็นเหมือนคนยิวที่ถือตัวใหญ่กว่าคนอื่น พระเจ้าทรงแตกต่าง
พระเจ้าทรงใช้เปโตร คนที่เป็นชาวประมงธรรมดามาก่อน เป็นผู้เปิดประตูความรอดต่อมากจากฟีลิปที่ประกาศให้แก่ขุนนางชาวเอธิโอเปีย
แต่.. เปโตรสนใจว่า ทำไมโครเนลิอัสจึงตามเขามาพบ
กิจการ 10:30-33
ซึ่งโครเนลิอัสได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่เปโตร ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ คราวนี้ เปโตรกับโครเนลิอัสเข้าใจกันดีแล้วว่า พระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด และโครเนลิอัสและครอบครัวพร้อมที่จะฟังคำตรัสของพระเจ้า ตัวเปโตรเองก็พร้อมที่จะประกาศ! นี่เป็นการประกาศที่ราบรื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับประเพณียิวโดยสิ้นเชิง
กิจการ 10:34-36
แล้วเปโตรก็เริ่มเล่าข่าวดีแห่งสันติสุขซึ่งพระเยซูทรงทำให้คนอิสราเอลแก่พวกเขาฟัง สิ่งสำคัญที่เปโตรเพิ่งตระหนักก็ คือ พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าใคร พระเมตตาของพระเจ้าอยู่เหนือคนที่เกรงกลัวพระองค์ และทำสิ่งที่ถูกต้อง .. พระองค์จะทรงทำให้เขาได้พบพระองค์ตัวต่อตัวเลย
ความจริงเรื่องพระเจ้าต้องการให้คนทั้งโลกมาพบพระองค์นั้น พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็น มีอยู่ในหนังสือผู้เผยพระคำอย่างอิสยาห์ เยเรมีย์อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนยิวยังไม่ค่อยจะยอมรับสักเท่าไร
คำว่า ข่าวดีแห่งสันติสุข .. คือการได้คืนดีกับพระเจ้าผ่านไม้กางเขนของพระเยซู (เอเฟซัส 2:16) ผู้ที่เชื่อไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป
กิจการ 10:37-39
โดยย้อนเรื่องราวไปถึงการบัพติศมาจากยอห์น เพื่อให้เขารู้ว่า ถ้ากลับใจใหม่จะมีการบัพติศมาเพื่อประกาศว่า เขากลับใจแล้ว และรับพระเยซู .. เปโตรเล่าเรื่องของพระเยซูอย่างละเอียดให้โครเนลิอัสฟัง เรื่องราวของพระเยซูเป็นข่าวที่รู้กันในหมู่คนโรมอยู่แล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ว่า พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อพวกเขา
เขาน่าจะพูดแบบเดียวคล้าย ๆ กับที่ประกาศในวันเพนเตคอส เขาเล่าให้ฟังถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงทำการพร้อมกับพระเยซู เขาเล่าถึงการสิ้นพระชนม์
กิจการ 10:40-43

เปโตรได้เล่าถึงการคืนพระชนม์ และเปโตรเป็นพยานว่า พระเยซูทรงคืนชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เขาเล่าถึงการที่พระองค์ทรงบัญชาให้เขาประกาศพระนามของพระองค์ และให้คนรู้ว่า ที่จะได้รับการยกบาปจากพระเจ้านั้น ก็คือ ต้องเชื่อพระเยซู ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น เมื่อโครเนลิอัสได้ยินข่าวดีอย่างนั้น ใจของเขาก็ปลาบปลื้ม ยินดีนัก สิ่งที่เขาเคยรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามานั้น วันนี้ เขาได้ยินอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
กิจการ 10:44-46

ประหลาดมาก ขณะที่เปโตรประกาศข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณของพระเจ้าก็ลงมาเหนือคนที่ฟังอยู่นั้น ทำให้ยิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจสำหรับเปโตรมากขึ้นไปอีก !! คนที่มาด้วยก็เห็นเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงโปรดแก่คนชาวต่างชาติด้วย ที่เขารู้ว่าพี่น้องเหล่านี้ได้รับพระวิญญาณก็จากการที่เห็นว่า เขาพูดภาษาต่าง ๆ และกล่าวคำยกย่องพระเจ้า
กิจการ 10:47-48
ในเมื่อได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์กัน เปโตรจึงชวนให้ทุกคนที่เชื่อ รับบัพติศมาในน้ำไปพร้อมกันเลย …​ ในหนังสือกิจการเราพบว่า เมื่อพี่น้องเชื่อพระเยซู พวกเขาก็เต็มใจที่จะรับบัพติศมาด้วย เป็นการตอบสนองจากใจที่พร้อมจะติดตามพระเจ้า (มัทธิว 28:19-20) บัพติศมาเป็นพิธีสื่อความหมายว่า คน ๆ หนึ่งได้รับการชำระบาปและฟื้นขึ้นมาสู่ชีวิตใหม่ และพิธีนี้บอกให้รู้ว่า พี่น้องคนนั้นได้รับการต้อนรับเข้าสู่ชุมชนของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์
และเปโตรก็ได้อยู่เพื่อสอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับพี่น้องต่างชาติในบ้านของโครเนลิอัสต่อไป เป็นการเริ่มต้นคริสตจักรของผู้ที่เป็นคนต่างชาติในคริสตจักรยุคแรก

พระคำเชื่อมโยง กิจการ 10
1* กิจการ 8:40; 23:23
2* กิจการ 8:2; 9:221; 22:12; 13:16,26
3* กิจการ 10:30; 11:13
5* กิจการ 11:13-14
6* กิจการ 9:43; 11:14
9* กิจการ 10:9-32; 11:5-14
11* กิจการ 7:56

14* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:3,7
15* โรม 14:14
19* กิจการ 11:12
20* กิจการ 15:7-9
22* กิจการ 22:12
23* กิจการ 10:45; 11:12
26* กิจการ 14:14-15
28* ยอห์น 4:9; 18:28; กิจการ 10:14,35; 15:8-9

42*มัทธิว 28:19; ยอห์น 5:22,27; 1 เปโตร 4:5
43*เศคาริยาห์ 13:1; กาลาเทีย 3:22; กิจการ 13:38,39
44* กิจการ 4:31
45* กิจการ 10:23; 11:18
47* กิจการ 2:4; 10:44; 11:17; 15:8
48* โครินธ์ 1:14-17; กิจการ 2:38; 8:16; 19:5

กิจการ 9 พบผู้ถูกข่มเหงตัวจริง !

ไอเนอัส โดรคัส กับเปโตร

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 9:1-2
เซาโล ผู้เห็นเหตุการณ์วันที่เขาเอาหินขว้างสเทเฟน ได้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นทำลายล้างความเชื่อใหม่ การที่ผู้คนเปลี่ยนในจากศาสนายูดาห์ไปเชื่อพระเยซูที่ใคร ๆ บอกว่าฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น เป็นเรื่องรับไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้จับผู้เชื่อในเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่ยังตามไปทางเหนือถึงเมืองดามัสกัสซึ่งเป็นดินแดนต่างชาติเสียด้วย ​(กิจการ 26:11) เซาโลมั่นใจว่า เขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ถือทางใหม่นี้ เทศนาทำให้คนยิวไขว้เขว เขาได้ขอจดหมายจากปุโรหิตเพื่อว่าเขาจะได้จับตัวคริสเตียนที่เข้าไปในศาลาธรรมยิวได้ แล้วจะจับตัวมาขึ้นศาลในเยรูซาเล็ม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องภายในของพวกยิว โรมไม่เข้ามาจัดการ
เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกคริสเตียน จึงเรียกผู้เชื่อกันว่า คนที่ถือ “ทางนั้น”

กิจการ 9:3-5
เหตุการณ์วันที่เซาโลพบพระเยซูหน้าเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีเสียงจากฟ้าถามเขาว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”เมื่อเขาถามว่าผู้พูดเป็นใคร เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เราคือเยซู ผู้ที่เจ้าข่มเหง” แสดงว่า การที่เขาข่มเหงคนของพระองค์ คือการข่มเหงพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคนเหล่านั้น พระคริสต์กับผู้เชื่อเป็นกายเดียวกัน มีพระองค์เป็นศีรษะ พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเซาโล
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เซาโลได้ยินแค่เสียงของพระเยซู แต่ใน 1 โครินธ์ 9:1 ได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?” จึงดูเหมือนว่า เขาได้เห็นพระเยซูที่ตรัสกับเขา ไม่ครั้งนี้ ก็ครั้งอื่นที่ไม่ได้บันทึกไว้

กิจการ 9:6-8
พระเจ้าทรงสั่งใ
ห้เขาเข้าเมืองดามัสกัส ดังนั้น เพื่อน ๆที่มาด้วยก็ต้องพาไป เพราะแสงจ้าครั้งนี้ทำให้เขามืดบอดไปทันที และพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์เพื่อช่วยให้เปาโลได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
แต่หากเราไปอ่านกิจการ 26: 15-18 จะเห็นว่า พระเจ้าตรัสมากกว่านั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขารับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเกี่ยวกับพระองค์ และจะส่งเขาไปหาคนยิว คนต่างชาติ เพื่อทำให้พวกเขาเข้ามาสู่ความสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ได้รับการอภัย และรับการชำระ

กิจการ 9:9-11
หลังจากการพบพระเยซูอย่างไม่คาดฝัน พบพระองค์จากแสงสว่างและเสียง เซาโลก็มองอะไรไม่เห็น ใช่แล้ว เป็นเวลาที่ ต้องมองเข้าไปในใจของตนเอง สามวันสามคืนที่ท่านไม่ได้กินดื่มเลย เหตุการณ์นี้ระทึกใจและต้องเปลี่ยนชีวิตไปตลอด แต่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจ… เวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขา จากคนที่ข่มเหงพระเจ้า ตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของพระองค์ไปยังชาติต่าง ๆ อย่างไร ทำไมพระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เขาเป็นคนที่ทำงานเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญที่เขาทำคือ อธิษฐาน… เซาโลที่กำลังตาบอด อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วพระเจ้าทรงมาหาอานาเนียในนิมิต เขาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่อาศัยในดามัสกัส พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำสิ่งที่ยากมากคือ ไปหาเปาโลผู้เป็นศัตรูตัวร้ายของผู้เชื่อ ถนนตรงคือ ถนนที่เริ่มจากเมืองด้านหนึ่งตรงไปอีกด้าน

กิจการ 9:15-16
แล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบมาก็ทำให้อานาเนีย อึ้ง ..​พระองค์จะทรงใช้เซาโลผู้นี้นำคนต่างชาติ กษัตริย์และยิวมาพบพระองค์ และเขาจะต้องทนทุกข์เพื่อพระองค์ ไม่ต้องทัดทานพระเจ้าแล้ว เขาต้องไปทำตามคำสั่งของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงกริ้วกับอานาเนีย แต่ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น แผนการของพระองค์เป็นอย่างไร

กิจการ 9:12-14
พระเจ้าทรงบอกรายละเอียดว่า ตัวเซาโลเองก็เห็นในนิมิตว่าอานาเนีย จะไปพบเขา วางมืออธิษฐานเพื่อเขาจะมองเห็นได้ ในนิมิตนั้น อานาเนีย ทูลค้านพระเจ้าว่า เซาโลผู้นี้เป็นคนทำร้ายคนของพระองค์ แล้วเขาก็มาดามัสกัสเพื่อการนี้ แสดงว่า การมาของเซาโลเป็นที่รู้กันทั่วดามัสกัส

กิจการ 9:17-19
อานาเนียสไม่มีอะไรจะโต้ตอบแล้ว เขาทำตามพระองค์ทันที
อานาเนีย บอกเซาโลว่า พระเจ้าที่ปรากฏแก่เขานั้น เป็นพระเยซูคริสต์ และทรงส่งเขามาอธิษฐานให้ เพื่อจะมองเห็น เพื่อจะเต็มด้วยพระวิญญาณ และเขาวางมือบนเปาโล เรียกเซาโลว่าเป็นพี่น้อง อานาเนียกำลังรับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในชุมชนผู้เชื่อ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อานาเนียได้กล่าวด้วยจากกิจการ 22:14 ทำให้เรารู้ว่า เซาโลทั้งเห็นและได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออธิษฐานก็มีเกล็ดตกออกมาจากตา เซาโลก็มองเห็น เขาจึงได้รับบัพติศมาวันนั้น .. แล้วมีกำลังขึ้นจากอาหารที่พี่น้องเตรียมให้

กิจการ 9:19ข-22
เมื่อเซาโลได้พบอานาเนียส และบัพติศมาแล้ว ก็ยังคงอยู่ที่ดามัสกัสกับพี่น้อง แล้วทำสิ่งที่กล้าหาญมากคือ ประกาศพระนามพระเยซู ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ที่ยิวรอกันมานาน ตอนนี้ คนที่มาเพื่อเข่นฆ่าพี่น้องกลับกลายเป็นคนทรยศต่อศาสนายิวไปเสียแล้ว ใคร ๆ ก็สงสัย แต่ยังงุนงงอยู่ ส่วนเซาโลเองก็ไม่ได้กลัวเลย ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย พระวิญญาณทรงทำให้เขารู้ตัวว่า ทำผิดต่อพระเจ้าไปมากเพียงไร นี่เป็นเวลาที่เซาโลต้องบอกให้โลกรู้ว่า พระเจ้าแท้จริงคือผู้ใด
คำว่าเขาพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพระเยซูคือผู้ใด คือเขานำเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็น โดยเอาพันธสัญญาเดิมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์มาทำให้พี่น้องได้เห็นความจริงว่า พระเยซูองค์นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้น

กิจการ 9:23-25
หลายวันผ่านไป เซาโลก็ยังประกาศเรื่องพระเยซูนี้ เริ่มชีวิตใหม่ไม่เท่าไร เซาโลก็สร้างศัตรูแล้ว ข่าวประเสริฐแผ่ออกไปทั่วเมือง คิดดูว่า ในเมืองดามัสกัสจะวุ่นเพียงไหน ข่าวเรื่องเซาโลมาทำร้ายแต่พระเจ้าทรงป้องกันพี่น้องไว้ แถมยังให้เซาโลกลับกลายเป็นพวกของพระองค์อีก นี่ทำให้ยิวไม่อาจอยู่นิ่งได้ พวกเขาวางแผนฆ่าเซาโล ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถูกหมายหัว แต่ก็ออกจากเมืองไม่ได้เพราะตรงประตูเมืองเป็นจุดนัดสังหารเซาโล แถมยังมีทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจับกุมเขา (อ่าน 2 โครินธ์ 11:32) พวกยิวเหล่านี้ร่วมมือกับเจ้าเมืองเพื่อกำจัดเขา
ดังนั้น คืนหนึ่ง พี่น้องผู้เชื่อจึงจับเขาใส่เข่งใหญ่ หย่อนลงมานอกเมือง สั่งเซาโลหนีไป

กิจการ 9:26
จากดามัสกัส
เซาโลไม่ได้เดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มทันที ถ้าเราอ่านกาลาเทีย 1:16-17 เขาไปยังอาระเบียก่อน เชื่อว่าท่านทำอะไรหลายอย่างในเวลานั้น สิ่งที่หนึ่งที่ทำแน่นอนคือการประกาศพระนามพระเยซู กลับมาดามัสกัสอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาสามปี จึงเข้าไปเยรูซาเล็ม พบเปโตรและยากอบ ซึ่งเป็นน้องของพระเยซูแต่การที่จะเข้าไปอยู่กับพี่น้องก็มีปัญหา เพราะใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเซาโลกลับใจจริง แม้จะได้ยินเรื่องการกลับใจที่ชัดเจนนอกเมืองดามัสกัส ได้ยินเรื่องการประกาศ และการที่เขาถูกตามฆ่า ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการที่จะเข้ามาสืบความลับในหมู่พี่น้อง มารู้ว่าใครเป็นใคร และตลบหลังทำร้ายอีกทีก็เป็นได้

กิจการ 9:27-28
แต่มีคนหนึ่งเป็นประกันให้ว่า เซาโลผู้นี้กลับใจจริง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่น้องฟัง พวกเขาจึงสบายใจขึ้น บารนาบัส เป็นคนที่มีหัวใจของพระคริสต์ เชื่อในความจริงใจของผู้อื่น เป็นคนให้โอกาสคนที่จะรับใช้พระเจ้าเสมอ และการพบครั้งนี้ เป็นใครบ้างก็น่าจะเป็นสองท่านใน กาลาเทีย 1:16-17 เซาโลมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยประมาณสองสัปดาห์ เขาเข้านอกออกในอย่างอิสระในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องเต็มที่
สิ่งสำคัญยิ่งคือ เซาโลกล้าในการประกาศพระนามพระเยซู!

กิจการ 9:29-30
แต่แล้วเซาโลก็ไปโต้แย้งกับยิวที่นำความเชื่อ วัฒนธรรมกรีกเข้ามาผสมกับศาสนายิว ในเรื่องของพระเจ้า ทำให้เขาถูกหมายหัวอีกครั้ง ยิวกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันกับที่เอาหินขว้างสเทเฟน พอเซาโลมาเป็นอย่างนี้ พวกยิวก็พร้อมที่จะฆ่าเขา ดูเหมือนว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นของพระเจ้า มักอยู่เบื้องหลังของคนที่ยึดมั่น เคร่งครัดในศาสนาของตน ครั้งนี้พี่น้องคริสเตียนช่วยให้เซาโลได้ไปซีซาริยา และขึ้นเหนือไปทาร์ซัส

กิจการ 9:31
ในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อไม่มีเปาโล คริสตจักรก็สงบสุข และยังมีการเปลี่ยนจักรพรรดิโรม องค์ใหม่คือคาลิกูลา ต้องการสร้างรูปปั้นของตนไปไว้ในพระวิหาร จึงเป็นอีกเรื่องที่ดึงความสนใจของเหล่าปุโรหิต ฟาริสีไปจากคริสเตียน เพราะต้องไปสู้กับจักรพรรดิใหม่นั้น

กิจการ 9:32-35
เปโตรไม่ได้ประกาศแค่ในเยรูซาเล็ม แต่เดินทางไปทั่ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้คนคือ พระเยซูทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลา พระวิญญาณทรงอยู่กับเขาในการรักษาโรคทำให้คนได้กลับมาเชื่อพระเจ้ากันมากมาย

กิจการ 9:36-38
ขณะที่เปโตรอยู่ในเมืองลิดดา ที่เมืองใกล้ ๆ ก็มีผู้เชื่อสตรีคนหนึ่งคือ โดรดัสสิ้นชีวิตลง เธอเป็นคนมีชื่อเสียงดีว่ามีน้ำใจยิ่งนัก เป็นที่รักของคนยากจนในเมือง แต่มีคนรู้ว่า เปโตรอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ พวกเขาจึงส่งคนไปตามมา รู้ว่า เปโตรจะเป็นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ … พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเปโตร

กิจการ 9:39-40ก
เมื่อมีการตามเปโตร .. เปโตรก็มาทันที และเห็นว่าผู้คนเศร้าเสียใจกันมาก เปโตรสั่งให้ทุกคนออกไป
เขาทำเหมือนตอนที่พระเยซูกำลังจะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งฟื้นจากความตาย นั่นคือ ไม่ให้มีใครที่ขาดความเชื่อ หรือเป็นแค่ยิวมุง เข้ามาอยู่ในการอธิษฐาน

กิจการ 9:40ข-43
เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานเหมือนที่พระเยซูทำกับเด็กหญิง เขาเรียกชื่อเธอ และบอกให้ลุกขึ้น และพระเจ้าทรงตอบ โครคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนในเมืองยัฟฟาก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า โดยที่พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านของซีโมน ผู้เชื่อคนหนึ่งที่เป็นช่างฟอกหนัง เราจะเห็นการทำงานของพระเจ้า และการตอบสนองของผู้คน การทำงานต่อในการสอนของอัครทูต เหล่านี้ไปด้วยกันเป็นขบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระเจ้า
อย่างที่พระเยซูทรงบอกไว้ในยอห์น 14:12 ว่า ผู้ที่เชื่อในเรา จะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และคำของพระองค์ก็เป็นจริงในมือของเปโตร! และงานของพระเจ้าก็เกิดผลในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กัน ในบทต่อไปเราจะเห็นงานของพระเจ้าขยายไปอีกพื้นที่

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:57; 8:1,3; 26:10,11
2* กิจการ 22:5
3* 1 โครินธ์ 15:8
4* มัทธิว 25:40
7* กิจการ 22:9;26:13
10* กิจการ 22:12
11* กิจการ 21:39; 22:3
13* กิจการ 9:1
14* กิจการ 7:59; 9:2,21
15* เอเฟซัส 3:7,8; โรม 1:5; 11:13; กิจการ 25:22,23; 26:1; โรม 1:16; 9:1-5
16* กิจการ 20:23; 2 โครินธ์ 4:11

17* กิจการ 22:12,13; 8:17; 2:4; 4:31; 8:17; 13:52
19* กิจการ 26:20
21* กาลาเทีย 1:13,23
22* กิจการ 18:28
23*2 โครินธ์ 11:26
24* 2 โครินธ์ 11:32
25* โยชูวา 2:15
26* กิจการ 22:17-20; 26:20
27* กิจการ 4:36; 13:2; 9:20,22
28* กาลาเทีย 1:18

29* กิจการ 6:1; 11:20; 2 โครินธ์ 11:26
31* กิจการ 5:11; 8:1; 16:5; เอเฟซัส 4:16,29; สดุดี 34:9; ยอห์น 14:16; กิจการ 16:5
32* กิจการ 8:14
34* กิจการ 3:6, 16; 4:10
35* 1 พงศาวดาร 5;16; 27:29; กิจการ 11:21; 15:19
36* 1 ทิโมธี 2:10
37* กิจการ 1:13; 9:39
40* มัทธิว 9:25; กิจการ 7:60; มาระโก 5:41-42
42* ยอห์น 11:45
43* กิจการ 10:6

กิจการ 8 พระวิญญาณ ฟีลิป กับขุนนาง

จากร้ายกลายเป็นดี

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย

อธิบายเพิ่มเติม

ร้ายกลายเป็นดี
กิจการ 8:1-3
การสิ้นชีวิตของสเทเฟนส่งผลให้กับชุมชนคริสเตียนยุคแรกเป็นอย่างมาก ยังมีคนที่รักพระเจ้าซึ่งได้ช่วยทำศพของสเทเฟนอย่างมีเกียรติ
ศัตรูตัวร้ายสุดก็คือ เซาโลที่พยายามทำลายคริสตจักรของพระเจ้าเพราะความเชื่อมั่นว่า คริสเตียนกำลังทำผิดต่อพระเจ้าที่เขาเชื่ออยู่
เขาเห็นด้วยกับพวกยิวที่ประหารสเทเฟนโดยการใช้หินขว้างจนตาย ไม่ใช่ย่อยเลย เซาโลคนนี้ เขาน่าจะได้ยินคำอธิบายของสเทเฟนทั้งหมด (ในบทที่ 7) สิ่งที่เขาทำคือ การออกไปตามบ้านและลากตัวผู้เชื่อออกไปจำคุก ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้น แต่ทั้งผู้หญิงซึ่งต้องเป็นคนดูแลลูก ๆ ด้วย ได้ยินแค่ชื่อของเขาใคร ๆ ก็กลัวตัวสั่นแล้ว การข่มเหงของเซาโลและพรรคพวก ทำให้คริสเตียนหนีกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ประเทศอิสราเอล
กิจการ 8:4-8
แต่คนที่ย้ายถิ่นไปนั้น ไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปตามทาง ทั้ง ๆที่หนีออกมาเพราะกลัวตาย แต่กลายเป็นว่า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลับได้ถูกเผยแผ่ไปทั่วอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาหว่านพระคำของพระเจ้าไปทุกแห่งที่เขาหนีไปอยู่ ในขณะที่คนยิวทั่วไปมองคนสะมาเรียเป็นลูกครึ่งที่น่ารังเกียจ คริสเตียนกลับมองพวกเขาเป็นพี่น้องที่ต้องการพระเจ้าเหมือนกับพวกเขา
ที่สำคัญคือ ฟีลิป หนึ่งในอัครทูตก็ได้ไปประกาศที่สะมาเรียทางเหนือด้วย ปรากฏว่า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ผ่านเขามากมาย ผู้คนต่างตื่นเต้นและได้รับการช่วยเหลือมาก คิดดูสิ คนง่อยเดินได้ คนผีสิงก็เป็นอิสระ นี่เป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว พวกเขาไม่เคยเจออะไรที่มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะมีพวกพ่อมด หมอผีอยู่ในเมืองของพวกเขา ผู้คนในเมืองต่างพากันยินดียิ่งนักกับเหตุการณ์เหล่านี้
กิจการ 8:9-13
ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นคนทำวิทยาคม ซีโมนสนใจหมายสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติ ซีโมนคนนี้ถูกมองว่า เป็นคนมาจากพระเจ้า อำนาจของเขาที่ใคร ๆ เห็นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากศัตรูของพระองค์
ซีโมนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู เขาก็กลับใจพร้อมกับชาวเมืองหลายคน และรับบัพติศมาประกาศว่าเขารับเชื่อพระเยซูด้วย
กิจการ 8:14-17
เมื่อผู้ใหญ่ในชุมชนคริสเตียนได้ข่าวเรื่องการรับเชื่อของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ชาวยิวจงเกลียดจงชัง พวกเขาจึงส่งยอห์นและเปโตรให้ไปอธิษฐานเพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า .. เราไม่ทราบว่า การที่พวกเขารับพระวิญญาณนั้น มีอะไรเป็นเครื่องบอกว่า เขาได้รับแล้ว น่าจะเป็นของประทานฝ่ายพระวิญญาณต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างชุมชนคริสเตียนขึ้นในเขตสะมาเรีย
กิจการ 8:18-20
ต้องมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นจากการรับพระวิญญาณครั้งนี้ เพราะซีโมนได้เห็นว่า เมื่อคนรับพระวิญญาณชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาจึงอยากได้พระวิญญาณแบบที่อัครทูตมีด้วย ความต้องการดี แต่แรงจูงใจของซีโมนนั้นน่าชังมาก เป็นคนที่เฉียบแหลมในการหาเงิน เขาจึงมาขอลงทุนซื้อฤทธิ์แห่งพระวิญญาณจากอัครทูต!! เขาเข้าใจว่าพระวิญญาณเป็นพลังที่ซื้อขายได้ เขาต้องการเป็นผู้ควบคุมพระวิญญาณเพื่อจะได้กำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
ความเข้าใจผิดของซีโมนยังคงมีอยู่ในพี่น้องทุกวันนี้ หลายคนไม่เข้าใจว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือองค์พระเจ้าเอง พระองค์ไม่ใช่พลังทางฟิสิกส์ที่เราจะเอามาทดสอบ หรือควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ จึงมีการสร้างบรรยากาศการรับพระวิญญาณที่มาจากการปรุงแต่ง สร้างบรรยากาศที่ดูหวือหวาสารพัดแบบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรู้จักสังเกตว่า อะไรจริง อะไรเท็จ เมื่อพระวิญญาณทรงประสงค์จะทำให้ใครรู้จักพระเจ้า ให้เขาสำนึกผิด พระองค์จะทำตามพระทัยนั้นโดยที่เราไม่ทราบว่า พระองค์ทรงทำอย่างไร เมื่อไร อย่างที่พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณกับลม (ยอห์น 2:7-8)
เราได้รับพระวิญญาณและของประทานจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ในเวลาที่พระองค์ทรงเห็นสมควรสำหรับแต่ละคน
กิจการ 8:21-25
เปโตรจัดการเรื่องนี้ทันที ไม่ปล่อยให้มีการเล่าลือกันไปในหมู่พี่น้อง ท่านบอกซีโมนตรง ๆ ว่า เขาจะพินาศแน่ถ้าคิดอย่างนี้ …​
ใจของซีโมนไม่ถูกต้อง ..ในสายพระเนตรของพระเจ้า
 น่าสนใจคำนี้ เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า ใจของเราถูกต้องกับพระองค์หรือเปล่า
เราจำเป็นต้องสำรวจตัวเอง
แล้วเปโตรก็ให้โอกาสกับเขากลับใจใหม่ อธิษฐานขอพระเจ้าทรงยกโทษ ท่านสังเกตวิญญาณได้ว่า ในตัวของซีโมนนั้น แม้ว่าจะเข้ามาเชื่อพระเจ้า ติดตามฟีลิปอยู่ แต่ในใจของเขายังมี ความขมขื่นใจงอกอยู่ และยังความผิดบาปตกค้างอยู่ด้วย เป็นบาปและความขมขื่นที่ยังไม่ได้จัดการให้สิ้นซาก
ซีโมนได้รับบัพติศมา รับเชื่อและประกาศว่าเขาเป็นผู้เชื่อแล้วก็จริง เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขาติดตามพระเจ้าแล้วก็จริง แต่ไม่มีใครเห็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเขาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ที่ท่านลูกาได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ทำให้เราเองต้องสำรวจตัวเองด้วยว่า ยังมีความบาป ความขมขื่นที่ตกตะกอนอยู่ในชีวิตหรือไม่ เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระเจ้าเต็มร้อย
แล้วซีโมนก็ได้กลับใจอีกระดับ เขาเข้าใจแล้ว ..​ความรักเงินของเขา บาปที่ยังค้างคาอยู่จะทำให้เขาพินาศ เขาจึงขอที่จะกลับใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้
ดินแดนสะมาเรียที่ขาดพระกิตติคุณ ในเวลานี้ก็ได้รับฝนแห่งพระกิตติคุณโปรยลงในแผ่นดินเพราะการที่พี่น้องกระจัดกระจายออกไปเนื่องจากการข่มเหงของเซาโล

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย
กิจการ 8:26-28
พระวิญญาณทำการของพระองค์โดยทรงให้กำลังกายใจ โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียน ตามคำของพระเยซูในกิจการ 1:8 ที่พวกเขาจะได้ออกไปประกาศจากเยรูซาเล็มไป ยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดิน
จากสะมาเรีย พระวิญญาณทรงสั่งให้ฟีลิปออกไปตามถนนที่ลงไปทางใต้
บนถนนนั้น ฟีลิปพบขุนนางชาวเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ผิวดำ ในสมัยนั้น คนยิว คนโรมจะชื่นชอบคนเอธิโอเปียมาก ( จากหนังสือ Acts:John Knos Press, หน้า 72) เขาเป็นขุนนางและเป็นขันทีด้วย แต่เขาเป็นคนที่ในสายตาของยิวคือ คนสุดปลายแผ่นดิน … เขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ รถวิ่งไปก็ขยับขลุกขลักไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้เป็นอุปสรรคกับการอ่านเลย
กิจการ 8:29-31
พระวิญญาณทรงทำการของพระองค์ต่อไป ทรงสั่งให้ฟีลิปเข้าไปใกล้ ๆ จนได้ยินเสียงที่ขุนนางกำลังอ่าน .. โอ เป็นพระธรรมอิสยาห์นั่นเอง แสดงว่าท่านได้หนังสือม้วนนี้มาใหม่ จากเยรูซาเล็มแน่เลย ..
ฟีลิปถามท่านตรง ๆ ว่า อ่านแล้วเข้าใจไหม ..​เขาก็ไม่ได้อวดตัวสักนิด แต่ยินดีที่จะให้คนรู้ อธิบายให้ฟัง เขาคนนี้น่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเอธิโอเปีย เพราะทั้งฉลาดและพร้อมที่จะเรียน… ขุนนางผู้ดูแลการคลังในวังกำลังจะได้เรียนจากลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
เขาเป็นคนต่างชาติที่เพิ่งกลับจากการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็ม เขาเป็นหนึ่งในคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นขันทีด้วย ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นคนต้องห้ามในกฎของโมเสส คือชายที่ถูกตัดอวัยวะสืบพันธ์ุไม่ให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:1) ชายคนนี้ เป็นทั้งคนต่างชาติ เป็นคนที่มีอวัยวะผิดปกติ แต่พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับเขาเป็นลูกของพระองค์
กิจการ 8:32-34
สิ่งที่เขาสงสัยคือ ผู้เขียนอิสยาห์เขียนถึงตัวเองหรือเขียนถึงผู้อื่นกันแน่ แกะที่ไม่ปริปากนี้หมายถึงใคร ในสมัยโบราณ การเล่าเรื่องมีการใช้คำเปรียบเทียบเยอะมาก ซึ่งทำให้คนที่อ่านจะต้องไขปริศนาว่า ใครเป็นใครในเรื่อง เป็นโอกาสดีที่ฟีลิปจะบอกเขาว่า ท่านอิสยาห์กำลังพูดล่วงหน้าถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปไม่นานนี้ แล้วใครจะเป็นคนอธิบายพระกิตติคุณไปได้ดีกว่าคนที่อยู่กับพระเยซูมาหลายปีเช่นฟีลิป?
กิจการ 8:35-39ก
น่าประหลาดมาก พวกเขากำลังเดินทางในทะเลทราย แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูจับใจขุนนาง และเขาพร้อมที่จะรับเชื่อ พร้อมประกาศว่าเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู พระเจ้าได้จัดเตรียมบ่อน้ำให้เขาทั้งสองในเวลานั้น เป็นธารน้ำที่ร้างห่างไกล นี่เป็นการอัศจรรย์สำหรับการประกาศให้กับชาวอัฟริกันคนแรกนี้
กิจการ 8:39ข-40
พอรับบัพติศมาเสร็จ ทั้งสองขึ้นจากน้ำ พระเจ้าก็ทรงรับฟีลิปไปเลย ..​แน่นอน พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสอนขุนนางผู้แสวงหาพระเจ้าคนนี้ต่อไป ตามคำสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระวิญญาณจะทรงสอนให้รู้ทุกสิ่ง เขาเดินทางกลับประเทศอย่างมีความสุขล้น มีเรื่องราวนอกพระคัมภีร์เล่าต่อว่า เขาผู้นี้ได้ประกาศพระนามพระเจ้าให้กับคนในประเทศของเขาต่อไปด้วย 
ส่วนฟีลิป ไปโผล่ที่เมือง อาโซทัส ประกาศที่นั่น และเดินทางขึ้นเหนือจนถึงซีซาริยา

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 8:4; 11:19
2* ปฐมกาล 23:2
3* ฟีลิปปี 3:6
4* มัทธิว 10:23
5* กิจการ 6:5; 8:26,30
7* มาระโก 16:17
9* กิจการ 8:11; 13:6; 5:36
12* กิจการ 1:3; 8:4
14* กิจการ 5:12, 29, 40
15* กิจการ 2:38; 19:2

16* กิจการ 19:2; มัทธิว 28:19; กิจการ 10:48;19:5
17* กิจการ 6:6. ;19:6
20* มัทธิว 10:8; กิจการ 2:38; 10:45; 11:17
21* เยเรมีย์ 17:9
22* 2 ทิโมธี 2:25
23* ฮีบรู 12:15
24* ยากอบ 5:16
26* กิจการ 6:5

27* สดุดี 68:31; 87:4; ยอห์น 12:20
32* อิสยาห์ 53:7-8; ยอห์น 12:20
33* ลูกา 23:1-25; 213:33-46
35* ลูกา 24:27 
36* กิจการ 10:47;16:33
37* มาระโก 16:16; มัทธิว 16:16
39* เอเสเคียล 3:12,14
40* กิจการ 21:8

1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด