1 โครินธ์ 6 เราต้องตัดสินกันเอง

1 โครินธ์ 6:1-2 มีใครในพวกท่าน ที่มีเรื่องราวต่อกันกล้าไปฟ้องให้ดำเนินคดีจากคนอธรรม แทนที่จะฟ้องกันต่อหน้าคนของพระเจ้า? ท่านไม่รู้หรือว่า คนของพระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาโลกนี้ และถ้าท่านจะเป็นผู้พิพากษาโลก ท่านไม่สามารถจัดการกับเรื่องเล็กน้อยหรือ?

1 โครินธ์ 6:3-4 ท่านไม่รู้หรือว่า เราจะเป็นผู้พิพากษาตัดสินพวกทูตสวรรค์? ดังนั้น เราจะพิพากษาตัดสินเรื่องของชีวิตนี้ได้ดีกว่ามาก ดังนั้น หากท่านมีคดีต่อกันในเรื่องของชีวิต ท่านจะตั้งคนที่คริสตจักรไม่ได้ยอมรับมาเป็นผู้ตัดสินอย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 6:5-6 ข้ากล่าวอย่างนี้ เพื่อให้ได้รู้สึกละอายใจ
ในพวกท่านไม่มีสักคนที่จะมีปัญญาพอที่จะตัดสินเรื่องระหว่างพี่น้องอย่างนั้นหรือ? แล้วพี่น้องกลับต้องไปว่าความสู้กัน ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 6:7-8 ความจริง ท่านก็แพ้ตั้งแต่ต้น เมื่อมีปัญหากัน ทำไมท่านไม่ยอมเป็นฝ่ายผิด ทำไมท่านจึงไม่ยอมถูกเข้าโกง
แต่กลับทำร้ายกันและกันแล้วยังโกงพี่น้องของท่าน?

1 โครินธ์ 6:9-10 ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าคิดผิดไป คนที่ทำผิดทางเพศ ไหว้รูปเคารพ ผิดประเวณี โสเภณีชาย รักร่วมเพศขโมย คนโลภ ขี้เมา กล่าวร้าย คนโกงจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

1 โครินธ์ 6:11 แต่ก่อนมีบางคนในหมู่พวกท่านเคยเป็นคนอย่างนี้ แต่ท่านได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ได้รับการชำระให้สะอาดพ้นผิดแล้วโดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและโดยพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา

1 โครินธ์ 6:12“ข้าทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ ข้าทำทุกสิ่งได้ แต่ข้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย

1 โครินธ์ 6:13 อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องมีไว้สำหรับอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งอาหารและท้อง ร่างกายไม่ได้มีไว้สำหรับการทำผิดทางเพศ แต่มีเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้เพื่อร่างกาย

1 โครินธ์ 6:14 พระเจ้าทรงทำให้องค์พระเยซูเจ้าคืนชีวิตขึ้นมา และพระองค์จะทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาด้วยโดยฤทธิ์เดชของพระองค์

1 โครินธ์ 6:15 พวกท่านรู้อยู่ว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์ ดังนั้น สมควรแล้วหรือที่ข้าจะเอาอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพระคริสต์ มาเกี่ยวข้องกับหญิงโสเภณี? อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

1 โครินธ์ 6:16-17 ท่านก็รู้นี่นาว่า คนที่ผูกพันกับหญิง
โสเภณีก็เป็นกายเดียวกับเธอ
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน”แต่คนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์

1 โครินธ์ 6:18-19 จงหนีให้พ้นจากการทำผิดทางเพศ! เพราะบาปอื่นที่มนุษย์ทำนั้น เป็นบาปนอกกายแต่คนที่ทำผิดทางเพศ เท่ากับทำบาปต่อกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ประทับในท่าน พระองค์ผู้ซึ่งท่านรับจากพระเจ้า
และท่านไม่ใช่เจ้าของตัวเอง?

1 โครินธ์ 6:20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง
ดังนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 6:1-2
นอกจากที่พวกเขาไม่จัดการกับคนที่ทำผิดในคริสตจักรแล้ว(ดังที่ท่านกล่าวถึงในบทที่ 5) พี่น้องยังมีเรื่องราวต่อกันในคริสตจักร แล้วมีการ
ไปฟ้องร้องต่อศาล ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งจะสร้างปัญหาต่อไปอีกคือ จะมีพี่น้องในชุมชนผู้เชื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้น แถมยังสื่อให้เห็นว่า พวกเขาเห็นการตัดสินของคนภายนอกสำคัญกว่าการตัดสินภายในที่ใช้บทบัญญัติของพระเจ้าเป็นหลัก
1 โครินธ์ 6:3-4
ท่านเปาโลมองว่า การตัดสินโดยใช้หลักการของพระเจ้านั้นมีมาตรฐานสูงกว่า และทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นย่อมมีผลมาจากเรื่องของชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย ดังนั้นคริสเตียนจึงควรที่จะตกลงกันเอง ยิ่งกว่านั้น ท่านยังบอกว่า คริสเตียนจะเป็นผู้ที่พิพากษาทูตสวรรค์ (นั่นคือทูตที่เป็นทูตที่ทำผิดต่อพระเจ้า) ดูวิวรณ์ 22:5 ผู้เชื่อจะได้ครอบครองกับพระเจ้าตลอดไป นั่นคือ พวกเขาจะมีส่วนในการเป็นผู้ตัดสินความต่าง ๆ กับพระองค์

1 โครินธ์ 6:5-6
ทำไมพวกเขาจึงให้คนนอกตัดสินความ ทั้งที่เขาควรจะทำการภายในคริสตจักร? ท่านเปาโลไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ในหมู่พวก
เขาก็มีคนที่มีปัญญา มีกำลัง มีเกียรติ (4:4)คนพวกนี้ก็น่าจะใช้ปัญญาของตนช่วยพี่น้องที่กำลังมีปัญหา การออกไปให้คนอื่นตัดสินเป็นการทั้งดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้าที่พร้อมตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ (สดุดี 119) และทำให้คนนอกดูหมิ่นผู้เชื่อที่ยังมีปัญหาเหล่านี้

1 โครินธ์ 6:7-8
ดูเหมือนว่าคดีขัดแย้งกันที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเงินทอง ไม่ใช่อาชญากรรมทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องของการโกงเงิน ซึ่งถ้ามองผ่านพระคำ
ของพระเยซู การแก้ปัญหาจะเป็นอีกทางเป็นการยอมกันเพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ล้มลงตรงนี้อาจเป็นที่ยอมรับไม่ได้ในสายตาของโลก
แต่พระเยซูทรงสอนอะไรที่ตรงกันข้าม ดูลูกา6:27-31

1 โครินธ์ 6:9-10
เหตุผลอีกอย่างที่ไม่ควรให้คนนอก เข้ามาตัดสินคนในก็คือ พวกเขาไม่ได้เป็นคนในแผ่นดินของพระเจ้า ยังไม่ได้กลับใจ ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์แต่ยังคงมีชีวิตอยู่แบบที่เป็นอยู่ตามใจของตนเองไม่ได้เดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการให้ผู้คนที่เชื่อได้มีชีวิตอันบริสุทธิ์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ตั้งแต่ทรงสร้างพวกเขามาสมควรแล้วหรือที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นมาตัดสินคนของพระเจ้า แม้ว่าจะทำผิดต่อกันก็เถอะ


1 โครินธ์ 6:11
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงรับเราแม้ว่าชีวิตเคยผ่านสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพระองค์ พี่น้องชาวโครินธ์ก็เคยผ่านชีวิตแบบนี้ แต่พวกเขา
ได้รับการชำระจากพระเจ้า และละทิ้งชีวิตเก่าอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดพ้นผิดแล้ว ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้าไป
ในชีวิตของเขา พวกเขากำลังเริ่มมีพระลักษณะของพระองค์ในชีวิต

1 โครินธ์ 6:12
ท่านเปาโลบอกเราว่า เราได้เข้ามาหาพระเจ้าและพระเจ้าทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิต
ของทุกคนที่มาพบพระองค์แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เราจึงไม่ต้องการที่จะกลับไปในชีวิตแบบเดิมอีกต่อไป แม้ว่าตอนนี้เรายังต่อสู้กับบาปตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ในโลก พระเจ้าก็ยังทรงช่วยให้เราเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ดีขึ้น ๆ และท่านเปาโลก็แนะชัดเจนว่า เราจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจชั่วใดๆ

1 โครินธ์ 6:13
เราต้องรู้ว่า ร่างกายเรามีเพื่ออะไร ความอยากความหิวที่เรามี แล้วเราต้องสนองตอบนั้นประมาณไหนจึงจะกำลังดี ไม่มาก ไม่น้อยไป
ไม่ผิดศีลธรรม ถูกต้องตามพระทัยพระเจ้า ผู้เชื่อชาวโครินธิ์บางคนเข้าใจว่า เขาจะต้องตอบสนองตัณหาของเขา ความอยากที่มีทุกอย่าง
โดยมีเหตุผลของตัวเองรองรับ การทำทุกสิ่งได้หรือการมีเสรีภาพของคริสเตียนไม่ได้หมายความว่า เขาจะปล่อยตัวให้เป็นทาสบาปได้!

1 โครินธ์ 6:15
จากที่ท่านเปาโลอธิบายมา พี่น้องชาวโครินธ์ต้องเห็นแล้วว่า ร่างกายของเขาไม่ใช่เป็นของตนเอง แต่เขาเป็นอวัยวะของพระคริสต์ที่ต้องรักษาให้บริสุทธิ์สะอาดต่อพระเจ้าและพี่น้องด้วยกัน พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์มีปัญหาเรื่องนี้มาก เพราะพวกเขาก็มั่วสุมทางเพศมานาน

1 โครินธ์ 6:14
ในเมื่อร่างกายเรามีไว้เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงมีความหวังที่จะคืนชีวิตขึ้นมาในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตที่เต็มด้วยบาปคงไม่ได้มี
โอกาสที่จะคืนชีวิตและรับบำเหน็จจากพระเจ้าการที่พี่น้องผู้เชื่อคิดว่า ตนเองมีความอยากทางเพศแล้วก็ออกไปหาความสนุกสนานเพื่อตอบ
สนองสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีการควบคุมตนเองจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระองค์อย่างสิ้นเชิง

1 โครินธ์ 6:16-17
อย่างที่ท่านเปาโลเคยบอกว่า ถ้าทำผิดทางเพศเท่ากับเอาร่างกายไปผูกพัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้ที่ทำผิดร่วมกัน เขาไม่อาจจะมาเป็น
หนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ในเวลาเดียวกันพี่น้องชาวโครินธ์ที่ยังมีชีวิตมั่วสุมทางเพศเหล่านี้จะต้องเลิกทุกอย่างกลับใจจริง เพื่อพระเจ้าจะทรง
ชำระเขาให้สะอาด ท่านเปาโลยังคงมีความหวังกับพวกเขาว่า จะคิดได้ กลับใจ เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

1 โครินธ์ 6:18-19
บางทีข้อความตอนนี้ กำลังบอกเราว่า การทำผิดบาปไม่ว่าจะเป็นการโกหก ขโมย ล่อลวง คดโกง สารพัดนั้น เป็นการทำผิดที่อยู่นอกร่างกายของมนุษย์ แต่การทำผิดทางเพศเป็นการล่วงล้ำเข้ามาในร่างกาย ย้ำ.. ในร่างกายของผู้กระทำผิด ล่วงล้ำเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าร่างกายของผู้เชื่อเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงไม่ใช่เจ้าของตัวเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของร่างเรา

1 โครินธ์ 6:20
พระเยซูทรงซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เองและบาปทั้งสิ้นที่เราทำก็ไปตกอยู่ที่พระองค์ อิสยาห์ บทที่ 53 เราจะตระหนักได้ว่า ราคานั้นสูงเพียงใด :4 ทรงรับความอ่อนแอ ความทุกข์ของเราไป ทรงถูกพระเจ้าเฆี่ยนตี และทรมาน :5 ทรงถูกแทง บอบช้ำเพราะการชั่วช้าของเรา :6 พระเจ้าทรงวางความชั่วของเราไว้บนพระองค์ ยังมีอีกมาก พระเจ้าทรงจ่ายขนาดไหนเพื่อให้เรากลับมาหาพระองค์!

1 * มัทธิว 18:15-17
2* ลูกา 22:30; มัทธิว 19:28
3* ยูดา 1:6; มัทธิว 25:41
4* 1 โครินธ์ 5:12
5* ยากอบ 1:5 ; 3:13-18
6* 1 ยอห์น 3:11-15
7* โรม 12:17-19; 1 เปโตร 3:9

8* 1 เธสะโลนิกา 4:6; ยากอบ5:4
9* 1 ทิโมธี 1:9-10; กาลาเทีย 5:19-21
10* 1 โครินธ์ 5:11; เอเฟซัส 4:28
11* 1 โครินธ์ 1:30; 1:2
12* 1 โครินธ์ 10:23-33; 9:27
13* โรม 6:12; 1 เธสะโลนิกา 4:3-7

14* โรม 8:11; 2 โครินธ์ 4:14
15* เอเฟซัส 5:30; โรม 12:5
16*ปฐมกาล 2:24; เอเฟซัส 5:31
17* ยอห์น 17:21-23; กาลาเทีย 2:20
18* 1 เปโตร 2:11; 1 เธสะโลนิกา 4:3
19* 1 โครินธ์ 3:16; 2 โครินธ์6:16
20* 1 โครินธ์ 7:23; 1 เปโตร 2:9


กิจการ 14 เจอหินเข้าแล้ว

ที่เมืองอิโคนิยูม

เมื่อประชาชนอยากกราบไหว้

ถูกหินขว้าง.. ไปต่อ

ให้กำลังใจพี่น้อง

กิจการ 14:1-3 ที่เมืองอิโคนิยูม
เมื่อถูกปฏิเสธจากเมืองอันทิโอก ทั้งสองก็ไม่ได้ท้อถอย อย่างน้อยมีคนเชื่อแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นก็จะเป็นพลังคริสเตียนท้องถิ่นต่อไป เมื่อไปถึงเมืองอิโคนิยูม ก็เริ่มสอนในศาลาธรรมยิวก่อนเป็นอันดับแรก ดูเหมือนว่าเป็นสูตรที่ใช้ได้ทุก ๆ เมือง คำสอนเรื่องพระเยซูคริสต์ทำให้ทั้งยิวและกรีกหันมาเชื่อพระเจ้ามากมาย ทั้งสองเน้นคำแห่งพระคุณ นั่นคือ พระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์คือ ทางแห่งความรอดไม่ใช่กฎบัญญัติ และนี่เองส่งผลให้ยิวที่ไม่เชื่อเริ่มไม่พอใจ
แต่ทั้งสองไม่ได้รีบหนีออกจากเมือง ยังคงสอนต่อและพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ผ่านมือของเปาโล และบารนาบัส พระเจ้าทรงรับรองงานของเขา ผู้คนได้รับสิ่งดีจากพระเจ้า ก็ยิ่งมีคนมาเชื่อ
กิจการ 14:4-7
ยิวที่เคร่งกฎบัญญัติ ไม่พอใจที่พระกิตติคุณของพระเจ้าไม่ได้สอนให้คนที่เชื่อใหม่ต้องมาแบกภาระทำตามบัญญัติเพื่อให้รอด พวกเขาทั้งเสียหน้า และเสียผู้สนับสนุน จึงไม่มีทางที่จะประนีประนอมได้ แต่ทั้งเปาโลและบารนาบัสก็พยายามที่จะอยู่ในเมืองนี้ให้นานที่สุดเพื่อจะได้วางรากฐานแห่งความเชื่อให้แข็งแรก และต่อมายิวและกรีกที่ไม่พอใจก็พร้อมที่จะสังหารผู้รับใช้ของพระเจ้า
เมื่อถึงขั้นวิกฤติ ทั้งสองก็ต้องหนีอีกครั้ง ไปยังเมืองที่ไม่ห่างไปมากนัก จากคำบันทึกของท่านลูกา ดูเหมือนว่าท่านไปตามเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน
กิจการ 14:8-10 เมื่อประชาชนอยากกราบไหว้
ขณะที่อยู่ในเมืองลิสตรา มีชายง่อยคนหนึ่งตั้งใจฟังพระคำของพระเจ้ามาก และด้วยของประทานในการสังเกตวิญญาณ เปาโลมองเห็นว่า เขามีความเชื่อที่จะหายได้ และเมื่อเขารับคำสั่งให้ยืน เขาก็ยืนและเดินได้ทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยยืนมาตั้งแต่เกิด แน่นอน ประชาชนตื่นเต้นมาก
กิจการ 14:11-13
พอเห็นว่ามีการอัศจรรย์อย่างนั้น ประชาชนก็สรุปเหมาเอาเองว่า ทั้งสองเป็นเทพมาหาพวกเขา เป็นเทพที่มาในร่างของมนุษย์ ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีเทพมาเยี่ยมประชาชนอยู่ในอดีต เขามองว่า เปาโลเป็นเทพเฮอร์เมส เพราะพูดเก่ง และเป็นเหมือนโฆษกส่วนตัวของซุส ส่วนบารนาบัสเป็นเทพซุส เพราะดูนิ่งแต่มีพลัง
เรื่องนี้ไปถึงหูพวกพระในวิหารนอกเมือง พวกเขาก็พากันมาพร้อมที่จะนมัสการทั้งสอง
กิจการ 14:14-15
แทนที่จะรับการนมัสการ ทั้งสองฉีกเสื้อผ้าให้เห็นทันที ในสมัยก่อน การฉีกเสื้อผ้าเช่นนี้ เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจและความปวดร้าวใจอย่างมาก เห็นชัด เข้าใจง่าย นี่ถ้าเป็นพวกครูสอนผิด พวกเขาก็จะรับทันที ตั้งต้นเป็นพระเจ้าให้คนกราบนมัสการทันที แต่ไม่ใช่สำหรับเปาโลและบารนาบัส
แต่คนเมืองนี้ ไม่ชินกับคำสอนของโมเสส ไม่รู้จักพระคัมภีร์อย่างดีเหมือนกับคนในเยรูซาเล็ม มาดูกันว่าเปาโลบอกอะไรบ้าง .…​ทำไมมากราบเรา?….​เราเป็นคนเหมือนท่าน….พระเจ้าทรงพระชนม์.. พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง
กิจการ 14:16-18
ยุคก่อน พระเจ้าทรงปล่อยให้คนเดินตามทางตนซึ่งมีความหมายว่า พระเจ้ากำลังสำแดงพระองค์ให้พวกชาวเมืองได้รู้จักพระองค์ และพระองค์ประทานฝน ให้ฤดู ให้อาหาร ให้ความสุข
แต่ถึงขนาดนั้น ก็ยังมีคนที่ไม่อยากฟัง แต่ดื้อรั้นอยากจะนมัสการทั้งสอง นี่ทำให้เราเห็นว่า ความเชื่อในเรื่องพระต่าง ๆ นี้ฝังแน่นอยู่ในใจชาวลิสตรา
กิจการ 14:19 ถูกหินขว้าง.. ไปต่อ
ในขณะที่ชาวเมืองอยากนมัสการทั้งสอง แต่ยิวที่มาจากอันทิโอก(เหนือ) และเมืองอิโคนิยูม (น่าจะตามมารังควาญการประกาศของทั้งสอง) กลับชักชวน ปลุกปั่นให้ผู้คนเอาหินขว้าง และท่านก็คงเจ็บปวดมากถึงกับแน่นิ่งไป คนยิวที่ไม่พอใจ จะไม่ปล่อยให้เปาโลทำงานสะดวก แถมมีจิตใจที่เคียดแค้นมาก ซึ่งเราไม่ได้เห็นแค่ในอดีตเท่านั้น แม้ทุกวันนี้ ในอิสราเอล คนที่เชื่อในศาสนายิวเคร่งครัดก็จะพยายามขัดขวางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และพวกเขาก็ทำงานเกิดผลมาก เพราะมีคนยิวจำนวนมากที่ไม่ได้รู้จักชื่อพระเยซูเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ พระเจ้ากำลังทำงานผ่านผู้คนมากมายทำให้คนยิวสมัยใหม่ได้มารู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน
คนที่เอาหินขว้างก็ลากเปาโลออกไปเพราะคิดว่าตายแล้ว สมใจพวกเขา พวกเขาไม่ได้คิดจะขว้างแค่เพื่อสั่งสอน แต่ต้องการให้ตายไปเลย
กิจการ 14:20
เหล่าศิษย์ที่ตามไปนั้น ไม่ได้ถูกหินขว้างด้วย พวกเขาเข้ามาล้อมตัวเปาโลไว้ ถึงแม้ว่าจะเข้าเมืองไปอีกครั้ง ล้างตัว พักผ่อน รุ่งเช้าท่านออกออกเดินทางต่อไปยังเมืองเดอร์บีกับบารนาบัส พระเจ้าทรงดีต่อเปาโลเพราะ
ยังสามารถเดินทาง ทั้ง ๆ ที่ช้ำชอกขนาดนั้น เปาโลไม่ได้ออกจากเมืองนี้โดยการสลัดฝุ่นจากเท้า เชื่อว่าคงอธิษฐานให้คนทั้งหลายได้พบพระเจ้าโดยฝากเมืองนี้ไว้กับพระองค์
นี่เป็นคำของท่านในเวลาต่อมา กาลาเทีย 6:17 “ข้ามีเครื่องหมายของพระคริสต์บนกายแล้ว” ไม่แน่.. เปาโลอาจคิดถึงวันที่เห็นสเทเฟนโดนเอาหินขว้าง ตอนนี้ตัวเองก็เจอเหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องบ่นเลย..สมควรแล้วที่จะเจอแบบสเทเฟน
กิจการ 14:21-22 ให้กำลังใจพี่น้อง
เมื่อเข้าไปในเมืองเดอร์บี ปรากฏว่า ผู้คนตอบรับเรื่องราวของการสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นอย่างมาก พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดความทุกข์ยาก แต่พระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขาได้รับความชื่นชมยินดีเช่นกัน จากนั้น ทั้งสองเดินทางกลับไปเยี่ยมพี่น้องในลิสตราที่ต้องระเห็จออกมา เมืองอิโคนิยูมที่มีคนเกลียดชัง แล้วต่อไปยังอันทิโอกด้วย
จะเห็นว่าการเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่พี่น้องก็ต้องยอมรับว่า จะเกิดการข่มเหงในชีวิตแน่นอน
กิจการ 14:23-25
ในทุกคริสตจักรหรือชุมชนที่ทั้งเปาโลและบารนาบัสไปเยี่ยมนั้น ได้มีการค้นหา และตั้งคนที่ไว้ใจได้ มีความรู้พอสมควรที่จะคอยดูแลฝ่ายจิตวิญญาณ ลูกา ผู้เขียนได้บันทึกชัดเจนว่า ทั้งสองเดินทางไปไหนมาไหนบ้าง เรียกได้ว่า ได้มีการประกาศพระนามพระเยซูในแถบตุรกีตะวันออกอย่างทั่วถึง และมีคริสตจักรเกิดขึ้นหลายแห่งในพื้นที่แถบนั้นด้วย
อัททาลิยาเป็นเมืองท่าอยู่ริมฝั่งทะเล
กิจการ 14:26-28
จากอัททาลิยา ทั้งสองเดินทางลงไปยังเมืองอันทิโอกซึ่งอยู่ในเขตซีเรีย และก็ได้อยู่ในเมืองนั้น ประกาศและสร้างเสริมคริสตจักรอีกนานพอสมควร เพราะที่เมืองนั้น มีคนต่างชาติอาศัยอยู่มากมาย และพระเจ้าก็ทรงนำให้คนเหล่านั้นได้มาพบพระองค์ด้วย ไม่เฉพาะคนยิวเท่านั้น ทั้งเปาโลและบารนาบัสได้พักใจในเมืองนี้ด้วย

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 8:4, 13:51,13:46, 19:8
2* กิจการ 13:50, 21:27-30, 17:5
3* ฮีบรู 2:4; เอเฟซัส 6:18-20; กิจการ 4:29-30
4* กิจการ 28:24, ลูกา 11:21-23
5* 2 ทิโมธี 3:11; กิจการ 4:25-29
6* 2 ทิโมธี 3:11; มัทธิว 10:23
7* 2 ทิโมธี 4:2, 1 เธสะโลนิกา 2:2
8* กิจการ 3:2,4:9; ยอห์น 9:1-2
9*กิจการ 3:4; มัทธิว 15:28

10* อิสยาห์ 35:6; ยอห์น 14:12; 5:8-9; กิจการ 9:33-34
11* กิจการ 28:6; 8:10
12* กิจการ 19:35
15* 1 โครินธ์ 8:4; กิจการ 10:26; เยเรมี11ย์ 14:22
16* กิจการ 17:30; สดุดี81:22
17*โรม 1:19-20; โยบ 5:10;
เฉลยธรรมบัญญัติ 11:14
18* อพยพ 32:21-23

19* 2 ทิโมธี 3:11; 2 โครินธ์ 11:25; กิจการ 13:50-51
20* 2 โครินธ์ 6:9; 1:9-10
21* 2 ทิโมธี 3:11
22* 1 เปโตร 5:10; 2 ทิโมธี 3:12; ยอห์น 16:33
23* ทิตัส 1:5; 2 ทิโมธี 2:2
24* กิจการ 13:13-14
26* กิจการ 15:40; 11:19
27* 1 โครินธ์ 16:9; กิจการ 15:12; โคโลสี 4:3
28* กิจการ 11:26; 15:35

1 โครินธ์ 5 บาปร้าย..ที่อยู่ในคริสตจักร

1 โครินธ์ 5:1 มีเรื่องที่ข้าได้ยินมาว่า มีการประพฤติ
ผิดทางเพศท่ามกลางพวกท่าน แบบที่คนนอกยังไม่มีการทำเช่นนี้ คือการที่ลูกชายเอาภรรยาของพ่อมาเป็นของตน

1 โครินธ์ 5:2-3 แล้วพวกท่านยังหยิ่งผยองทั้งที่ควรจะโศกเศร้า และตัดขาดกับคนที่ทำเยี่ยงนี้ไปจากพวกท่านไม่ใช่หรือ?
แม้ตัวข้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจวิญญาณของข้าอยู่กับพวกท่านเสมอ ข้าจึงขอตัดสินคนที่ทำผิดเช่นนี้

1 โครินธ์ 5:4ในขณะที่ท่านร่วมประชุมกันในพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าและ ข้าก็อยู่กับท่านในฝ่ายวิญญาณพร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

1 โครินธ์ 5:5 พวกท่านจงมอบคนที่ทำเช่นนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังของเขาเสียเพื่อจิตวิญญาณของเขาจะได้รอดในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 5:6-7 ที่ท่านโอ้อวดนั้นไม่ดีเลย ท่านรู้อยู่ว่าเชื้อยีสต์เพียงนิดเดียวก็ทำให้แป้งนวดฟูขึ้นได้ทั้งก้อน จงชำระเชื้อยีสต์เก่าเสีย
เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งก้อนใหม่ตามที่ท่านเป็นอยู่
เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเรา ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาแล้ว

1 โครินธ์ 5:8 ดังนั้น ให้เรามาเข้าส่วนในเทศกาลปัสกา ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อยีสต์คือความจริงใจและความจริงไม่ใช่ด้วยเชื้อยีสต์เก่าที่มีความชั่วและความเลวร้าย

จัดระเบียบตัวเองให้ได้

1 โครินธ์ 5:9-10 ข้าเขียนจดหมายบอกท่านแล้วว่าอย่าไปคบคนที่ทำผิดทางเพศแต่ไม่ได้ห้ามคบทุกคนในโลกที่ทำผิดทางเพศ หรือเป็นคนโลภ โกงไหว้รูปเคารพ เพราะถ้าห้ามอย่างนั้นพวกท่านก็ต้องออกไปจากโลกนี้

1 โครินธ์ 5:11 แต่ตอนนี้ ข้ากำลังเขียนบอกท่านไม่ให้คบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องในความเชื่อ แต่ยังทำผิดทางเพศ เป็นคนโลภ ไหว้รูปเคารพ ให้ร้ายคนอื่นเป็นคนขี้เมา หรือฉ้อโกงผู้อื่นแม้แต่จะกินอาหารด้วยกัน ก็อย่าเลย

1 โครินธ์ 5:12-13 ข้าไม่มีหน้าที่ไปพิพากษาคนนอกคริสตจักร แต่ท่านต้องพิพากษาคนภายในมิใช่หรือ? พระเจ้าจะทรงเป็นผู้กล่าวโทษคนนอกเองส่วนท่าน จงกำจัดคนชั่วออกไปจากพวกท่านเสีย

บาปร้ายในคริสตจักร
1 โครินธ์ 5:1
เหลือเชื่อ! ในคริสตจักรมีการทำผิดอย่างที่คนนอกไม่ได้ทำ แต่แล้ว เมื่อเราหันมาดูปัญหาในคริสตจักรทุกวันนี้ เราพบว่า สิ่งที่ท่านเปาโลกล่าวถึงยังคงเป็นจริงในทุกวันนี้หลายคนคิดว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ทำผิดอย่างไรก็ไม่เป็นไร พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะไม่เอาผิด คิดว่าตนเองเป็นคนอยู่เหนือคนอื่นเป็นคนที่เข้าใจทางของพระเจ้าตามใจตัวเองและเอาพระคำของพระเจ้าข้อนั้น ข้อนี้มาเข้าข้างตน 
1 โครินธ์ 5:2-3
การทำผิดทางเพศเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโครินธ์ครั้งที่พวกเขายังไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่เมื่อมาเชื่อแล้วพวกเขาจะต้องละทิ้งชีวิตแบบนั้น ท่านเปาโลโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่โกรธยิ่งกว่านั้นคือการที่คริสตจักรไม่จัดการ กลับยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นท่านเป็นห่วงคริสตจักรที่มีความรู้สึกเฉยกับบาปเช่นนั้น การที่คริสเตียนไม่รู้สึกกับบาปดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากลัวพอ ๆ กับคนที่ลงมือกระทำบาปนั้น
1 โครินธ์ 5:4
พระคำข้อนี้ทำให้เราเห็นถึงหัวใจของท่านเปาโลว่าห่วงใยพี่น้องเพียงไร ท่านมีใจคิดถึง อธิษฐานเผื่อ และเฝ้าเป็นห่วง สอนแม้กระทั่งผ่านการเขียนจดหมาย ซึ่ง แต่ที่สำคัญ ท่านรู้ว่า พระเจ้าทรงทำการในหมู่พวกเขาด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ท่าน หวังใจว่าพวกเขาจะเปลี่ยนด้วยฤทธิ์ของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้รับใช้พระเจ้าจึงไม่ท้อถอยแม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากพี่น้อง
1 โครินธ์ 5:5
ทำไมส่งคริสเตียนที่ทำผิดไปให้ซาตานทำลาย เพื่อเขาจะได้รอด? มีความเห็นหลายอย่างจากข้อนี้ บางท่านเห็นว่าการส่งไปให้ซาตาน คือเขาจะพบกับการทนทุกข์ทางร่างกายจนเขากลับใจ ล่าสุดคือมีความคิดว่า เนื้อหนัง และวิญญาณของผู้เชื่อนั้นเป็นของชุมชนผู้เชื่อด้วย การที่ให้เขาออกไปก็เพื่อรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณของคนอื่นไม่ให้หลงผิดไปข้อนี้แปลความยากจริง ๆ แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าทรงใช้ศัตรูมาดัดหลังให้กลับใจได้เสมอ เราจะเห็นมาตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าทรงใช้ชาติต่าง ๆ มาโจมตีอิสราเอลเพื่อให้เขากลับใจ
1 โครินธ์ 5:6-7
ความบาปของคนหนึ่งในชุมชนของพระเจ้า ก็สามารถที่ทำให้ทั้งคริสตจักรถึงกับหายนะไปได้ ดังนั้น เมื่อมีการทำบาป จะต้องจัดการกับเรื่องนั้นอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็วเอามันออกไปเพื่อจะเป็นชุมชนที่ไร้เชื้อบาป ท่านกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงถูกถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับผู้ที่เชื่อ เราต้องเห็นแก่สิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อเรา ไม่ใช่เห็นแก่หน้าคนที่ทำบาป และยังอวดดี โอหังอยู่ในชุมชนผู้เชื่อ
1 โครินธ์ 5:8
ท่านเปาโลบอกให้พี่น้องคิดถึงเทศกาลปัสกา เป็นวันที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นให้คนอิสราเอลในอียิปต์ใหม่ ให้พวกเขาพ้นจากการเป็นทาส การเริ่มต้นเริ่มด้วยการกินขนมปังไม่มีเชื้อ ความหมายคือ คนของพระองค์จะต้องไม่เหมือนคนของโลกต้องแยกออกจากชีวิตอย่างโลก ไม่มีความชั่วร้ายของโลกอยู่ในชีวิต วิธีเดียวที่จะไม่ให้ขนมปังมีเชื้อ คือไม่ใส่เชื้อเข้าไป วิธีเดียวที่จะไม่ให้อาหารกลายเป็นรา คือ เมื่อเกิดรา ต้องเอาราออกไปเชื้อยีสต์ที่ท่านเปาโลนำมาเป็นคำเปรียบเทียบนี้เป็นภาพที่ช่วยให้เราเห็นชัดเจนทั้งในชุมชนผู้เชื่อและในชีวิตส่วนตัว หากปล่อยไว้ ก็จะลุกลามต่อไป

จัดระเบียบตัวเองให้ได้
1 โครินธ์ 5:9-10
แต่แล้ว เมื่อมาคิดถึงความเป็นจริงในชีวิตคนเราเราพบเจอกับคนทีทำบาป คนเหล่านั้น ไม่ได้เชื่อพระเจ้า มีชีวิตตามใจของตนเอง เป็นคนหลงทางที่ผู้เชื่อจะต้องช่วยให้พวกเขาได้พบพระเจ้า เราต้องรู้พันธกิจของชีวิต เหมือนอย่างที่พระเยซูตรัสว่า เราได้มาเพื่อช่วยผู้ที่หลงหายไปให้รอด ถ้าอย่างนั้นแล้ว ท่านเปาโลหมายความว่าอย่างไร?ทำไมถึงไม่ให้คบหาสมาคม?
1 โครินธ์ 5:11
ตรงนี้ ชัดเจนแล้ว หากคนที่บอกว่าตนเองเชื่อแต่ยังมีชีวิตที่ประพฤติผิดแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมา พี่น้องจะต้องไม่คบหาสมาคมกับคนเช่นนี้ เพราะพวกเขาเป็นเหมือนเชื้อยีสต์ หรือเชื้อราที่ทำลายชีวิตของคนที่ไปสุงสิงด้วย ท่านไม่ให้กินอาหารร่วมกับคนหน้าซื่อใจคดไม่ให้เป็นเพื่อนสนิทกับคนเหล่านี้ ท่านเปาโลได้เรียงความผิดบาปที่พี่น้องจะต้อง สังเกตให้ดี .. ท่านสอนตรงจุด กระชับ ได้ใจความ 
1 โครินธ์ 5:12-13
ผู้เชื่อไม่มีหน้าที่ไปตัดสินคนในภายนอก ผู้ที่ตัดสินคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ได้ติดตามพระเยซูคริสต์ หน้าที่เราคือ ชักชวนให้เขามาหาพระเจ้า เข้ามาสู่แผ่นดินของพระองค์ ส่วนสิ่งที่เราต้องทำในหมู่ผู้เชื่อคือ กำจัดคนที่ทำบาปร้ายแรงทั้ง ๆ ที่กล่าวว่าตนเป็นผู้เชื่อให้ออกไปจากชุมชนคนของพระเจ้า เผื่อว่าเขาจะพบว่าบาปนั้นทำร้ายเพียงใดและกลับใจมีโอกาสรอดอีกครั้ง (ดูข้อ 5)

พระคำเชื่อมโยง

1* วิวรณ์ 21:8; 2:21; โคโลสี 3:5; เอเฟซัส 5:3
2* วิวรณ์ 2:20-22; 2 โครินธ์ 12:21; 2โครินธ์ 7:7-11
3 * โคโลสี 2:5; 1 เธสะโลนิกา 2:17; 2โครินธ์ 13:2; 2 โครินธ์ 10:11
4* 2 โครินธ์ 13:3; 13:10; ยอห์น 20:3; 2 เธสะโลนิกา 3:6
5* 1 ทิโมธี 1:20; 2 เธสะโลนิกา 3:14-15; กาลาเทีย 6:1-2; ยากอบ 5:19-20

6* ยากอบ 4:16; กาลาเทีย 5:9; 1 โครินธ์ 15:33; 5:2; มัทธิว 13:33
7* 1 เปโตร 1:19-20; เอเฟซัส 4:22; โคโลสี 3:5-9 ; กิจการ 8:32-35
8* เฉลยธรรมบัญญัติ 16:3; 1 เปโตร 2:1-2; อพยพ 12:15; ลูกา 12:1; มาระโก 8:15
9* เอเฟซัส 5:11; 2 เธสะโลนิกา 3:14, 3:6

10* 1 โครินธ์ 10:27; วิวรณ์ 12:9; ยอห์น 17:15-16 ; 1 ยอห์น 5:19
11* โรม 16:17; 2 เธสะโลนิกา 3:6, 3:14 ; มัทธิว 18:7
12* 1 ทิโมธี 3:7; ลูกา 12:4; มาระโก 4:11; 1 โครินธ์ 5:3-5
13* เฉลยธรรมบัญญัติ 13:5; 17:7; 21:21; มัทธิว 18:17

กิจการ 13 ส่งผู้ประกาศออกไป

พระวิญญาณทรงส่งออกไป

อุปสรรคที่จัดการได้

คำเทศนาต้นแบบ

คำอธิบายเพิ่มเติม

พระวิญญาณทรงส่งออกไป
กิจการ 13:1
ที่เมืองอันทิโอก หลังจากที่ไปช่วยการบรรเทาทุกข์ในเยรูซาเล็ม เซาโล บารนาบัสก็กลับมาพร้อมกับยอห์น มาระโก ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเยรูซาเล็มจะเป็นสถานีหลักที่นำพระกิตติคุณออกไป แต่หลังจากบทนี้เราจะเห็นว่า อันทิโอก กลายเป็นเหมือนสถานีอีกแห่ง ลูกาเล่าว่ามีทั้งผู้กล่าวพระคำ(เรียกทั่วไปว่าผู้เผยพระวจนะหรือผู้พยากรณ์) และครูอาจารย์ เป็นผู้นำอยู่ แต่เรามองดี ๆ จะเห็นว่า ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้ประกาศด้วยจะเห็นว่าทั้งห้าคนนี้ มีพื้นเพแตกต่างกันอย่างมาก บารนาบัส เป็นยิวที่ใครๆ รู้ว่าเป็นคนพร้อมที่จะหนะนใจ สิเมโอนชื่อเป็นยิว แต่น่าจะเป็นคนจากอัฟริกา ลูซิอัส เป็นชื่อลาตินมาจากเมืองไซรีน ทางเหนือของอัฟริกา ส่วนมานาเอน เป็นชื่อกรีก(ถ้ายิว ว่ามานาเคม) เป็นคนที่เติบโตมาพร้อมกับเฮโรด เป็นเพื่อนของลูกเจ้านาย
และสุดท้ายคือเซาโล ที่เรารู้จักดีว่า เป็นฟาริสีเคร่งสุดโต่ง ที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้า
กิจการ 13:2-3
วันหนึ่งเมื่อเขากำลังอธิษฐานพร้อมกับอดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็ตรัสชัดเจนให้บารนาบัสกับเซาโลไปทำงานที่ทรงเรียกเฉพาะ เมื่อเราอ่านต่อไป.. พบว่างานนั้น คือการประกาศกับคนต่างชาติในพื้นที่ไกลออกไป การตรัสของพระเจ้าครั้งนี้ลูกาไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีไหน .. อาจจะผ่านผู้เผยพระคำก็เป็นได้ และพี่น้องได้เชื่อฟังพระเจ้าทันที พวกเขาอธิษฐานวางมือ ส่งเขาออกไป นับได้ว่าเป็นการส่งผู้รับใช้ออกไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เป็นครั้งแรกโดยคริสตจักรที่เข้มแข็ง
กิจการ 13:4-5
พวกเขาไปยังเมืองเซลูเคียเป็นแห่งแรก น่าจะมีผู้เชื่อบ้างเพราะไม่ไกลจากอันทิโอกเท่าไร จากนั้น ก็เดินทางเรือไปยังเมืองซาลามิส ซึ่งอยู่บนเกาะไซปรัส .. (บารนาบัสเติบโตมาจากที่นี่ กิจการ 4:36)
มีประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำกันประจำในศาลาธรรมยิว นั่นคือเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญพระคำเดินทางมา เขาก็จะเปิดโอกาสให้พูดกับพี่น้องผู้เชื่อ ยอห์นมาระโก เดินทางไปกับท่านทั้งสองด้วยในคราวนี้ เขาเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงทำ และได้เขียนหนังสือมาระโกในเวลาต่อมา
มิชชันนารีชุดนี้ทำหน้าที่ดีมาก เพราะออกไปประกาศทั่วเกาะ ไปแทบทุกเมือง ..

อุปสรรคที่จัดการได้
กิจการ 13:6-7
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองปาโฟส มีผู้ตรวจการจากโรมดูแลอยู่ชื่อ เสอร์จีอัสเปาลุส ท่านทำงานให้กับโรมโดยตรง ท่านผู้นี้ส่งคนมาเชิญผู้ประกาศทั้งสามไปหา ท่านอยากรู้จักพระเจ้า อยากเข้าใจว่า พระเจ้าทรงทำอะไรในโลกนี้ แต่.. มีอุปสรรค เพราะมีบางคนไม่อยากให้ผู้ตรวจการมาเชื่อพระเจ้า จะเป็นการทำลายอาชีพการงานของเขา
ท่านผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนฉลาดรอบรู้ เหมาะที่จะคุยกับเซาโลจริง ๆ
กิจการ 13:8-10
เอลีมาสผู้นี้เป็นคนเล่นไสยศาสตร์ ถ้าผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าเมื่อไร ก็จะเลิกใช้เขาแน่นอน ดังนั้น เขาจึงพยายามหาทางไม่ให้เปาโลและเพื่อนพบกับผู้ตรวจการทั้ง ๆ ที่ท่านเชิญทั้งสามไปพบ
แต่เปาโลประกอบด้วยพระวิญญาณ เห็นถึงเป้าหมายของเอลีมาสชัดเจน เปาโลไม่ได้กลัวเขาเลย แต่
จัดการกับเอลีมาสอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็ว ไม่ปล่อยให้สิ่งร้ายเกิดขึ้นก่อน
เราจะสังเกตว่า ตอนนี้คนเริ่มเรียกเซาโลว่า เปาโลแล้ว ชื่อเซาโลเป็นชื่อตอนเกิดเป็นภาษาฮีบรู พออายุได้เก้าวันจะมีชื่อเป็นภาษาของโรม ชื่อเปาโลเป็นชื่อทางการซึ่งใช้ในอาณาจักรโรม
กิจการ 13:11-12
เปาโลบอกกับเอลีมาสว่าเขาจะตามืดมัวไปสักพัก ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงทันที แต่เราไม่ทราบว่าเขาได้กลับใจหรือเปล่า เปาโลไม่ยอมให้เอลีมาสมาเป็นอุปสรรคกับความเชื่อของผู้ตรวจการ
การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเอลีมาส ทำให้ผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าง่ายขึ้นอีก คนที่เป็นเหมือนหมอผี แต่แล้วมาเจอกับคนของพระเจ้ากลับถูกทำให้ตาบอด เราไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก เขามาเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แต่ผู้ตรวจการผู้นี้ ทั้งครอบครัวได้เชื่อในพระเจ้า โดยเราได้พบเอกสารโบราณที่กล่าวถึงท่านผู้นี้ว่า เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว พระเจ้าได้ทรงทำการของพระองค์ตามที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาไปไม่หยุดยั้ง
กิจการ 13:13-14
จากนั้น เปาโล บารนาบัส ก็เดินทางจากเกาะไซปรัสมุ่งหน้าขึ้นไปแคว้น ปัมฟีเลีย โดยที่ยอห์นมาระโกได้แยกทางกลับไปเยรูซาเล็ม เมื่อถึงเมืองอันทิโอกทางเหนือซึ่งอยู่ห่างขึ้นไปประมาณ 220 กิโลเมตร ก็ได้เข้าไปในศาลาธรรมยิวเช่นเคย ดูเหมือนว่าตอนนี้ เปาโลเริ่มเป็นผู้นำในการประกาศ เพราะท่านลูกาบันทึกว่า เปาโลกับเพื่อน ๆ และเราทราบมาว่า
เปาโลไม่ค่อยพอใจกับการที่ยอห์นมาระโกทิ้งพวกเขาไป (กิจการ 15:36-41)

คำเทศนาต้นแบบ
กิจการ 13:15-16
นอกจากจะอ่านพระคัมภีร์เดิมที่กำหนดในศาลาธรรมตามธรรมเนียมยิว (พวกเขาจะเลือกอ่านจากพระคำที่โมสสเขียนก่อน แล้วตามด้วยบางส่วนของหนังสือผู้เผยพระวจนะที่เราเรียกกันว่า ผู้พยากรณ์) เปาโลยังมีโอกาสที่จะกล่าวคำหนุนใจอีกด้วย นี่เป็นโอกาสดีที่สุด
เปาโลกล่าวกับคนยิวและคนที่เกรงกลัวพระเจ้า นั่นคือ คนต่างชาติที่ขอเข้ามาเป็นเชื่อศาสนายิว
กิจการ 13:17-19
ต่อไปนี้เป็นคำเทศนาที่มีบันทึกไว้ คล้ายกับของสเทเฟน โดยที่จะมีการเล่าเรื่องราวย้อนหลังไป ถึงเหตุการณ์ในอียิปต์ การที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงนำคนอิสราเอลออกมา และพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในคานาอัน เป็นเรื่องราวที่ชาวยิวมักจะเล่าสู่กันฟังเสมอมา เปาโลชี้ให้พวกเขาเห็นว่า การเริ่มต้นของพวกเขามาจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์หรือพระยาห์เวห์ที่เขาเชื่อถือ
กิจการ 13:20-22
สี่ร้อยห้าสิบปีคือ 400 ปีในอียิปต์ 40 ปีในถิ่นกันดาร และอีก 10 ปีในการครอบครองดินแดนคานาอัน
เปาโลเล่าต่อไปเมื่อพวกยิวต้องการกษัตริย์ พระองค์ก็ประทานให้ ปรากฏว่ากษัตริย์ทำให้ผู้คนหันไปจากพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงถอดซาอูลจากตำแหน่ง และมอบให้ดาวิด
กิจการ 13:22-23
กษัตริย์ดาวิดเป็นคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้าทรงสัญญาว่า บัลลังก์ของดาวิดจะอยู่ตลอดไป เปาโลชี้ว่า ดาวิดมีลูกหลานผู้หนึ่งที่สำคัญมากคือ พระเยซู
กิจการ 13:24-25
ยอห์นได้มาก่อนพระเยซูไม่นาน และเขาได้แนะนำพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่อยู่ในวงศ์ของดาวิดให้ประชาชนได้รู้จัก พระองค์คือพระผู้ช่วยที่แท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้เผยพระคำสมัยโบราณกล่าวถึง
กิจการ 13:26-28
พระเจ้าได้ให้ชนอิสราเอลได้รู้เรื่องนี้ก่อนใคร ๆ แต่ชาวยิวทั้งหลายในเยรูซาเล็มกลับไม่ยอมรับคำของพระเจ้า ตอนนั้นเราต้องไม่ลืมว่า ยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ คนยิวจะอ่านพระคำพระเจ้าคืออ่านจากพระคัมภีร์เดิม
คนที่น่าจะเชื่อในคำของพระเจ้ามากที่สุดกลับพยายามทำลายพระคำของพระองค์ด้วยการตรึงพระบุตรพระเจ้าบนไม้กางเขน ไม่ใช่ใครอื่นที่ทำร้ายพระเยซู แต่เป็นชาวยิวเอง พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาทำให้คำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูนั้น สำเร็จในรายละเอียดแม้กระทั่งการนำพระองค์ไปฆ่าด้วยการตรึง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน ก็เกิดเป็นจริงตามที่เขียนไว้ ลองอ่านสดุดี 22 เราจะเห็นว่า ราวกับเป็นสคริปต์ที่เขียนเอาไว้จริง ๆ
กิจการ 13:29-31
ชาวยิวได้ประหารพระเยซู และคิดว่าจบ แต่…​พระเจ้า ทรงให้พระบุตรของพระองค์คืนพระชนม์​
เรื่องราวจึงพลิกไปจากความคาดหมายของยิว
เปาโลเล่าถึงการที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย และพี่น้องหลายคนได้พบพระเยซู และพวกเขาคือพยานปากเอกที่จะบอกใคร ๆ ในโลกให้รู้ นี่สำคัญมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องบอกกับคนที่เราเป็นพยานด้วย เราจะเอาเรื่องนี้ออกไปจากข่าวประเสริฐไม่ได้เลย การคืนพระชนม์ของพระเยซูทำให้เราได้มีชัยชนะเหนือความบาปและความตาย
คนที่เห็นพระเยซูได้กลายมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มั่นคงมากเพราะสิ่งที่เขาได้ประสบ ความเชื่อของเขาสืบเนื่องต่อมาจนถึงเราทุกวันนี้ นี่เป็นผลของการคืนพระชนม์!
กิจการ 13:32-35
ทำไมเปาโลจึงย้อนมาที่หนังสือสดุดี? เพื่อว่าจะให้เห็นถึงคำพยากรณ์ล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกเรื่องของพระเยซูให้ยิวได้พิจารณาอย่างชัด ๆ ที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้เช่นนั้นแล้ว พระบุตรลงมาในโลก จะทรงถูกประหาร และจะไม่อยู่ในถ้ำเก็บศพแต่จะฟื้นขึ้นมา
กิจการ 13:36-37
เปรียบเทียบกษัตริย์ดาวิดกับพระเยซู.. ดาวิดสิ้นแล้วสิ้นเลย แต่พระบุตรพระเจ้าซึ่งตามสายเลือดก็เป็นลูกหลานของดาวิด ทรงเป็นอยู่ตลอดไป นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแก่คนยิว สังเกตไหมว่า การประกาศพระนามครั้งนี้ แม้ว่าเปาโลจะพูดถึงพระคัมภีร์เดิม แต่ก็จะโยงมาถึงความจริงที่เกิดขึ้นในยุคของท่าน
เรื่องของคริสเตียนไม่ใช่แค่ข้อเขียนจากพระเจ้า แต่เป็นการกระทำเฉพาะเจาะจงของพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้า
กิจการ 13:38-41
เปาโลสอนชัดเจนว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้าไม่สามารถพ้นบาปด้วยพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส เมื่ออ่านบัญญัติเหล่านั้น เราเห็นข้อห้าม และคำบัญชาให้ทำ แต่ไม่มีใครสามารถรักษาบัญญัติเหล่านั้นเลย แสดงว่า มนุษย์ล้มเหลว ไม่มีใครสักคนพ้นโทษบาปได้
กิจการ 13:42-43
น่าแปลกใจที่พวกเขาฟังแล้ว ก็ยังอยากฟังอีก ขอร้องให้ท่านมาพูดให้ฟัง พวกเขาตอบสนองข่าวประเสริฐของพระเยซู แต่ท่านเองก็ไม่ได้ทิ้งพวกเขา แต่ขอให้พวกเขามั่นคงในพระคุณพระเจ้า นั่นหมายความว่า ขอให้เขาได้ทำทบทวนสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขา มีใจขอบพระคุณซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตต่อไปแม้ในหนึ่งสัปดาห์ที่จะห่างกันไป

กิจการ 13:44-46
สะบาโตต่อมา คนเกือบทั้งเมืองมาฟังเปาโลในศาลาธรรม เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์เขย่าเมืองเลยทีเดียว สำหรับยิวเปาโลทำมากเกินไปแล้ว พวกเขาโกรธเกรี้ยว แต่ยิวจะโกรธแค่ไหน พวกเขาก็ยังกล้าปฏิบัติงานของพระเจ้าอย่างไม่กลัวเกรง แล้วบอกด้วยว่า ที่มาประกาศเรื่องพระเยซูให้ในศาลาธรรมก็เพราะต้องให้ยิวรู้ก่อน แต่หากยิวไม่สนใจ ก็จะไปประกาศกับคนต่างชาติ

กิจการ 13:47-48
เปาโลกล่าวว่า จริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงตั้งคนยิวให้เป็นพรกับคนต่างชาติ ดังนั้นจะมียิวที่เชื่อและยิวที่ตั้งตัวเป็นศัตรู แบ่งกันเป็นสองพวกชัดเจน เปาโลกำลังเจอกับการเล่นงานของยิวเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเจอมาตลอดที่พระองค์รับใช้พระเจ้า สมกับที่พระเยซูตรัสว่า บ่าวไม่ใหญ่กว่านาย
ถึงอย่างนั้น ผู้บันทึกเรื่องราวนี้ ได้บอกข่าวดีกับเราว่า ทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ก็ได้เชื่อวางใจ เมื่อเราออกไปกล่าวคำของพระเจ้า อาจมีทั้งความเฉยเมย การต่อต้าน แต่ก็จะมีการตัดสินใจติดตามพระเจ้าด้วยเช่นกัน
กิจการ 13:49-52
หลังการประกาศ มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ แต่ศัตรูสำคัญคือ พวกยิวที่หาเรื่องไม่หยุดหย่อน พวกเขาไปชวนให้คนอื่น ๆ เลิกเชื่อ เลิกนับถือเปาโลและบารนาบัส ที่ใดมีการเชื่อเกิดขึ้น มารก็ไม่หยุดนิ่ง มันพยายามทำร้ายคนของพระเจ้าโดยยืมมือคนที่ไม่ชอบเขาเป็นทุนอยู่แล้ว และครั้งนี้ พวกเขาทำได้ผล ทำให้เปาโลและบารนาบัสถึงกับต้อง สลัดผงจากเท้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่า นี่เป็นเมืองที่ปฏิเสธพระเจ้า และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ไม่มีอะไรจะยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
แต่แล้วทั้งสองก็เข้าไปในอีกเมือง ไม่มีการหยุดทำงาน ทำงานโดยใบหน้าแจ่มใส ยินดีมาก ๆ

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 4:36, 15:35, 11:22-27; กาลาเทีย 2:9; เอเฟซัส 4:11
2* กาลาเทีย 1:15; กิจการ 9:15; 2 ทิโมธี 1:11; 1 โครินธ์ 12 11
3* กิจการ 6:6; 2 ทิโมธี 2:2; 1 ทิโมธี 4:14
4* กิจการ 4:36; 13:2; 11:19
5* กิจการ 13:14; 13:46; 19:8
6* มัทธิว 7:15; 1 ยอห์น 4:1; 2 เปโตร 2:1-3; 2โครินธ์ 11:13; มาระโก 10:46
7* กิจการ 19:38; 13:12; 18:12
8* 2 ทิโมธี 3:8; กิจการ 13:6-7; 9:36; 2 ทิโมธี 4:14-15
9* มีคาห์ 3:8; กิจการ4:8
10* ยอห์น 8:44; โฮเชยา 14:9; 2 โครินธ์ 11:3; มัทธิว 13:38
11* สดุดี 32:4; อพยพ 9:3; ฮีบรู 10:31; ยอห์น 9:39;โยบ 12:21
12* 2 โครินธ์ 10:4-5; กิจการ 13:7; ลูกา 4:22
13* กิจการ 15:38; 27:5; 14:24-24
14* กิจการ 17:2
15* โรม 12:8

16* กิจการ 12:17; 13:26
17* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6-8; กิจการ 7:2-53
18* กิจการ 7:36; ฮีบรู 3:16-19
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; สดุดี 78:55; กิจการ 7:45
20*ผู้วินิจฉัย 2:16; 1 ซามูเอล 3:20
21* 1 ซามูเอล 10:1; 15:1
22* 1 ซามูเอล 13:13-14 ; 1 พงศ์กษัตริย์ 15:5
23* มัทธิว 1:1; สดุดี 132:11
24* กิจการ 1:22; 19:3-4
25* มัทธิว 3:11; ยอห์น 1:26-27; มาระโก 1:7
26* ลูกา 1:77 ; 1:69; อิสยาห์ 46:3
27*กิจการ 3:17; 15:21; ลูกา 24:20
28* ยอห์น 19:4; ลูกา 23:21-25
29* ลูกา 23:53; ยอห์น 19:28, 30; กิจการ 5:30
30* กิจการ 2:24, 17:31; มัทธิว 28:6
31* กิจการ 1:3; ลูกา 24:48; กิจการ 1:11
32* โรม 4:13; กิจการ 26:6; เอเสเคียล 34:23
33* สดุดี 2:7; ฮีบรู 5:5
34* โรม 6:9; อิสยาห์ 55:3; สดุดี 89:2-4


35* สดุดี 16:10; กิจการ 2:27-31
36* กิจการ2:29; 13:22; 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10
37* กิจการ 13:30, 2:24
38* ลูกา 24:47; 2โครินธ์ 5:18-21; 1 ยอห์น 2:12
39* กาลาเทีย 2:16; โรม 10:4; โรม 8:3
40* มาลาคี 4:1
41* ฮาบากุก 1:5; 1 เปโตร 4:17; โรม 11:7
42* กิจการ 28:28; 13:14
43* กิจการ 11:23; 2 ยอห์น 1:9; 2 เปโตร 3:17-18
45* ยูดาห์ 1:10; กิจการ 18:6
46* กิจการ 28:28; 26:20
47* อิสยาห์ 49:6; 42:6
48* เอเฟซัส 1:4; โรม 11:7
49*กิจการ 12:24; ฟีลิปปี 1:13-14
50* กิจการ 14:19; 14:2; 2 ทิโมธี 3:11
51* มัทธิว 10:14; กิจการ 18:6
52* 1 เธสะโลนิกา 1:6; โรม 15:13; กิจการ 4:31