โรม 1 ข่าวประเสริฐมีฤทธิ์!

โรม 1:1-2
จากข้า เปาโลผู้เป็นทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเรียกข้าให้เป็นอัครทูตและทรงเลือกให้ข้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้ทรงสัญญานานมาแล้ว ผ่านเหล่าผู้เผยพระดำรัสของพระองค์ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์

โรม 1:3-4
เป็นข่าวประเสริฐเรื่องของพระบุตรของพระองค์ ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด พระเจ้าทรงประกาศผ่านองค์พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ว่า ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงฤทธานุภาพของพระเจ้า โดยการที่ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย 

โรม 1:5-6
โดยพระคุณ เราได้รับมอบหมายให้เป็นอัครทูต ผ่านองค์พระคริสต์ เพื่อนำประชาชนจากชาติต่าง ๆ ให้มาเชื่อฟังจนถึงเชื่อวางใจ และท่านทั้งหลายที่อยู่ในโรมนั้น ก็เป็นผู้ที่อยู่ในหมู่คนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นคนของพระเยซูคริสต์

โรม 1:7
ถึง ท่านทุกคนซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระองค์ที่อยู่ในโรม ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด


โรม 1:8
ก่อนอื่นใด ข้าขอขอบพระคุณพระเจ้า
ของข้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์
สำหรับพวกท่านทุกคน
เพราะคนทั้งหลายในโลกต่างกล่าวถึง
ความเชื่อของพวกท่าน


โรม 1:9-10
องค์พระเจ้าผู้ที่ข้ารับใช้ด้วยสุดจิตสุดใจด้วยการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์ ทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าไม่เคยหยุดที่จะเอ่ยถึงพวกท่าน ทุกครั้งที่ข้าอธิษฐาน
ข้าอธิษฐานว่าที่สุดแล้ว หากพระองค์ทรงประสงค์ ข้าจะไดัมาเยี่ยมพวกท่าน


โรม 1:11-12
ข้าปรารถนาที่จะพบพวกท่านเป็นอย่างมากเพื่อจะได้แบ่งปันของประทานแห่งพระวิญญาณ เพื่อว่าพวกท่านจะเข้มแข็ง
ข้าหมายถึงว่า อยากจะให้เราทั้งสองฝ่ายต่างหนุนใจซึ่งกันและกัน ด้วยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย ความเชื่อของพวกท่านช่วยข้า และความเชื่อของข้าก็ช่วยท่าน

โรม 1:13
พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ข้าอยากให้พวกท่านทราบว่า ข้าวางแผนเพื่อจะมาหาพวกท่านหลายครั้ง แต่มีอุปสรรคจนกระทั่งเวลานี้
ข้าต้องการที่จะมาเพื่อจะได้ช่วยพวกท่านให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ ได้เกี่ยวเก็บผลท่ามกลางพี่น้อง เหมือนอย่างที่ข้าได้ทำในหมู่คนต่างชาติ

โรม 1:14-15
ข้าเอง เป็นหนี้คนทั้งหลาย ทั้งชาวกรีก และชนชาติอื่น ๆ (ที่ถูกมองว่า เป็นคนที่ไม่มีอารยะ) ทั้งคนที่มีสติปัญญา และคนที่รู้น้อย ดังนั้นข้าเองจึงร้อนใจที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย

โรม 1:16
เพราะข้าพเจ้าไม่อายเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะข่าวประเสริฐนี้เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อช่วยทุกคนที่เชื่อช่วยคนยิวก่อน และจากนั้นก็ช่วยคนต่างชาติด้วย


โรม 1:17
ข่าวประเสริฐนี้ แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์เรามีความถูกต้องอย่างเที่ยงธรรมกับพระองค์โดยเริ่มต้นที่
ความเชื่อ และจบลงด้วยความเชื่อ
ตามที่พระคัมภีร์บันทึกว่า
“คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”(ฮาบากุก 2:4)

โรม 1:18
พระพิโรธของพระเจ้า ได้แสดงออกมาจากสวรรค์ต่อต้านการอธรรม และความชั่วร้ายที่มนุษย์ได้ลงมือกระทำ
พวกเขาได้เหยียบย่ำ บิดเบือนความจริง
ด้วยความชั่วร้ายของพวกเขาเอง

โรม 1:19
เพราะว่า สิ่งที่มนุษย์จะรู้เกี่ยวกับ
พระเจ้านั้น ก็ปรากฏชัดเจนแก่พวกเขา
เพราะพระเจ้าทรงสำแดง
ให้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขา

โรม 1:20
เพราะตั้งแต่การสร้างโลกนี้มา พระลักษณะของพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตา นั่นก็คือ ฤทธิ์เดชนิรันดร์ และสถานะความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เป็นที่สัมผัสรู้ และเข้าใจได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัว

โรม 1:21
พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์ หรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดของพวกเขาจึงกลายเป็นความไร้ประโยชน์ (ไร้เหตุผล) ความคิดอันโง่เขลาของพวกเขาจึงถูกเติมเต็มด้วยความมืด

โรม 1:22-23
พวกเขาอ้างว่าตนเองฉลาดแต่กลับกลายเป็นคนโง่เขลา
และได้แลกพระสิริตระการของพระเจ้าผู้ทรงดำรงนิรันดร์ กับรูปเคารพที่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ นก สัตว์ต่าง ๆ รวมไปถึงสัตว์เลื้อยคลาน!

โรม 1:24
เพราะเขากระทำเช่นนั้น
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาทำตาม
ความเร่าร้อนที่จะทำบาป
ทำให้เขาได้กระทำความอัปยศ
อดสูต่อร่างกายของกันและกัน

โรม 1:25
พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้าแลกกับความเท็จ และกราบไหว้ รับใช้สรรพสิ่งที่ถูกสร้างแทน
องค์พระผู้สร้างผู้ทรงสมควรที่จะได้รับการสรรเสริญตลอด
ไปเป็นนิตย์ อาเมน

โรม 1:26
เพราะพวกเขาทำเช่นนี้ 
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาตามติดตัณหาที่ต่ำทราม
พวกผู้หญิงก็หยุดความสัมพันธ์ตาม
ธรรมชาติ และไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง



โรม 1:27
ฝ่ายผู้ชายก็ทำเช่นกัน คือ หยุดมี
ความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง ต่างกระสันกันและกัน
ผู้ชายได้ทำสิ่งที่น่าละอายกับผู้ชายด้วยกัน
และพวกเขาจึงได้รับการลงโทษในร่างกาย
สมกับความผิดที่เขาได้กระทำไปนั้น 

โรม 1:28
นอกเหนือไปจากนั้น เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่า การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่สมควร
พระเจ้าจะทรงละทิ้ง ปล่อยให้เขาทำตามความคิดเสื่อมทรามที่ไร้ค่า ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่ไม่ควรทำ


โรม 1:29
ดังนั้น ในตัวพวกเขาจึงเต็มด้วยความอธรรม ความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวและความเกลียดชัง พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การทะเลาะวิวาท
โกหกหลอกลวง และคิดร้ายต่อกันและกันและยังนินทากัน

โรม 1:30-31
พวกเขากล่าวร้ายกันและกัน เกลียดพระเจ้า หยาบคาย และโอหัง อวดตัว คิดแผนชั่วไม่ให้เกียรติพ่อแม่
พวกเขาโง่งม ไม่เคยรักษาสัญญา
ไร้ความเมตตา ไร้ความสงสารผู้อื่น

โรม 1:32
แม้พวกเขารู้ว่า พระเจ้าทรงสั่งว่า
คนที่ทำสิ่งเหล่านี้สมควรตาย
แต่พวกเขายังคงทำการชั่วเหล่านี้ต่อไป
และยังสนับสนุนคนที่ทำเช่นนั้น


อธิบายเพิ่มเติม

โรม 1:1-2
ท่านเปาโล แนะนำตัวเองว่า เป็นทาสรับใช้ขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทาสแบบสมัครใจ ไม่ใช่ทาสที่ถูกบังคับให้เป็น (อพยพ 21:1-6) และพระเจ้าก็
ทรงเลือกให้ท่านเป็นอัครทูต ซึ่งมีความหมายว่า คนที่ถูกส่งออกไป หน้าที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านเปาโลคือการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องที่พระเจ้า
ทรงรักโลก และประทานพระเยซูมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรัก ในหนังสือโรมจะบอกเราว่า ขอบเขตข่าวประเสริฐมีกว้างขนาดไหน
โรม 1:3-4
การที่พี่น้องมาจากหลายที่หลายแห่ง ยังไม่มีคริสตจักรที่แน่นอน เป็นการประชุมตามบ้าน ทำให้ท่านเปาโลเขียนจดหมายนี้ อธิบายแผนการแห่งความรอดให้ชัดเจนเริ่มต้นที่พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งมาทางสายของดาวิด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ​(ลูกา 1:35 อิสยาห์ 7:14) ไม่ว่าพระองค์จะทำสิ่งใด ทรงทำตามพระบิดาโดยการทรงนำ พลัง และอำนาจแห่งพระวิญญาณ (มัทธิว 3:16; ยอห์น 3:34) ยิ่งกว่านั้น ทรงฟื้นขึ้นจากความตายอย่างที่พวกเขาได้ทราบแล้ว
โรม 1:5-6
คำว่าอัครทูต มีความหมายกว้าง ๆ ถึงคนที่ถูกส่งไปเพื่อประกาศความรอด (กิจการ 14:14) พระเยซูก็ทรงเป็นอัครทูตด้วย (ฮีบรู 3:1) การเชื่อฟังข่าวประเสริฐมาก่อน การวางใจและการจำนนต่อพระเยซูคริสต์จึงตามมา (โรม 10:9-10) พระเจ้าจะทรงเรียกให้ทุกคนมาหาพระองค์ ไม่ประสงค์ให้ใครพินาศเลย (2 เปโตร 3:9) และพี่น้องชาวโรมเหล่านี้ทั้งยิวและคนต่างชาติตอบรับการทรงเรียกของพระองค์
โรม 1:7
ในโรมสมัยของท่านเปาโล เป็นเมืองที่นับได้เป็นมหาอำนาจเวลานั้น ตอนนั้นยังไม่มีคริสตจักรในโรม แต่พวกเขานมัสการในบ้านเป็นส่วนใหญ่ เราเห็นว่า ท่านเปาโลบอกถึงฐานะของท่านว่าเป็นทาสของพระเยซูคริสต์ พี่น้องก็จะเข้าใจว่าท่านภักดีต่อพระองค์อย่างไร โรมช่วงเวลานั้นเป็นมหาอำนาจ และคริสเตียนก็จะถูกกดขี่ข่มเหงเพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะก้มหัวนมัสการซีซาร์ว่าเป็นพระเจ้า
โรม 1:8
ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หัวใจของท่านเปาโลอยู่ที่ข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนชีวิตของพี่น้อง ไม่เฉพาะยิว แต่เป็นคนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ในจดหมายนี้ท่านเน้น
คนที่อยู่ในโรมก็จริง ข่าวเรื่องความเชื่อของคนในโรมนั้น โด่งดังไปทั่วดินแดนยุโรปตอนใต้ เอเชียน้อย ท่านขอบคุณพระเจ้าเพราะการประกาศได้รับการตอบรับมีคนเชื่อ มีคนเปลี่ยนชีวิต นั่นเป็นที่สุดในหัวใจของท่านเปาโลแล้ว
โรม 1:9-10
ท่านเปาโลอธิษฐานเผื่อพี่น้องในโรมเสมอ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วท่านไม่รู้จักเป็นส่วนตัว ท่านรู้ดีว่าจะเกิดผลได้ ต้องพึ่งพาพระเจ้า ใจของท่านเปาโลอยากพบพี่น้อง และท่านก็อธิษฐานขอพระเจ้าโปรดเปิดทางให้ มีบางครั้งพระเจ้าก็ไม่ได้ให้ตามที่ท่านขอ และท่านก็ต้องยอมกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกครั้งไป (ดู 2 โครินธ์ 12:7-10)
โรม 1:11-12
เหตุผลที่อยากมาพบก็คือ อยากจะให้ทั้งสองฝ่ายได้แบ่งปันสิ่งที่เป็นพระพรให้กันและกัน ครูแท้จริงทุกคนได้รับสิ่งดี ๆ จากนักเรียนของเขา นักเรียน
สามารถที่จะทำให้ครูเก่งขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อท่านเปาโลเป็นเช่นนั้น ท่านรู้ว่า พี่น้องมีสิ่งดีที่จะแบ่งปันให้ท่าน ต่างจากสิ่งดีที่ท่านกำลังจะแบ่งปันให้เขา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันและกัน ดังนั้นพี่น้องทุกคนอย่างคิดว่าตนไม่มีประโยชน์ เราทุกคนมีสิ่งดีที่จะให้กันและกัน
โรม 1:13
ท่านเปาโลตั้งใจ วางแผนที่จะมาหาพี่น้องชาวโรมแต่พระเจ้าทรงกั้นไว้ การเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมีการดูแล เอาใจใส่ ให้อาหารเหมือนอย่างต้นไม้ที่เราปลูก ต้องดูแลสม่ำเสมอ เติมปุ๋ยท่านเปาโลต้องการแบ่งปันทุกสิ่งที่ท่านเข้าใจจากพระเจ้าให้กับพี่น้อง เพื่อเขาจะเติบโตอย่างดี แข็งแรงและสามารถส่งต่อความเข้าใจนั้นให้ผู้อื่นประโยคสุดท้ายของท่านนั้น ทำให้รู้ว่าท่านเปาโลทำงานท่ามกลางคนต่างชาติไม่น้อยเลยทีเดียว
โรม 1:14-15
ทำไมจึงรู้สึกเป็นหนี้คนทุกคนเช่นนี้? ความรู้สึกอย่างนี้มาจากไหน? พระเจ้าทรงมอบงานประกาศเรื่องราวแห่งแผ่นดินสวรรค์ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไว้ให้ท่าน งานที่พระเจ้าทรงมอบให้นี้ เป็นสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ ท่านเปาโลรู้สึกเป็นหนี้ในฐานะที่ยังจ่ายความรู้ ความเข้าใจในพระเจ้าไม่ครบ
จึงร้อนใจมากที่จะคืนสิ่งดีนี้ให้กับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ชนชั้นใด ไม่ว่าจะมีความรู้หรือไม่ จะร่ำรวยหรือยากจน ท่านก็เป็นหนี้อยู่
โรม 1:16
สำหรับท่านเปาโลแล้ว เรื่องข่าวประเสริฐ (ที่รัฐบาลโรม ผู้นำศาสนายิวพยายามกำจัด) คือความภูมิใจที่สุดในชีวิต แม้ว่ามีความพยายามที่จะทำลายข่าวประเสริฐด้วยสารพัดวิธี แต่ข่าวประเสริฐนั้น เต็มด้วยฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงทำการพร้อมกับผู้รับใช้ของพระองค์โดยการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างมหัศจรรย์ ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูนี้ ช่วยชีวิตคนทุกคนในโลก ไม่ได้เว้นใครเลย
โรม 1:17
ข่าวประเสริฐ ทำให้คนที่บาปกลับกลายเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า วิธีคือ คนบาปนั้นต้องกลับใจสำนึกผิด และเชื่อในวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทำ
ให้เขาถูกต้องกับพระองค์ เป็นความเชื่อในพระเยซูสิ่งที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน จนคืนพระชนม์ ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้เราถูกต้องกับพระเจ้าได้นอกจากเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาเพื่อให้เราได้กลับไปอยู่กับพระองค์
โรม 1:18
ผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ครั้งหนึ่งก็คือคนที่ได้เหยียบย่ำและบิดเบือนความจริง แต่พระเจ้าได้ทรงเมตตา ผ่านองค์พระเยซู พระเจ้าทรงยกโทษให้กับคนที่กลับใจ
และไม่ทำเช่นนั้นอีก เราจะเห็นความพยายามของคนที่ทำผิดแล้วอ้างว่าตนไม่ผิดมากมาย และเรื่องที่จะอ้างว่า ไม่มีพระเจ้าก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาไม่อยาก
ให้มีพระเจ้า เขาก็จะอ้างสารพัดอย่าง จะพยายามพิสูจน์ให้ได้เพื่อจะบอกว่า ไม่มีพระเจ้า
โรม 1:19
ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกได้ยินเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพระคัมภีร์ ยังมีคนอีกมากมายในโลกที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องของพระเจ้าเที่ยงแท้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตำตาของพวกเขาคือตัวมนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวของเขา ท่านเปาโลได้บอกว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้แมนุษย์ได้รู้ว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างอยู่จริง ๆพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มองไม่เห็น แต่ทรงสร้างสิ่งที่มองเห็นมาให้เป็นพยานถึงพระองค์เอง
โรม 1:20
จากธรรมชาติที่เราเห็นรอบตัว เราจะเห็นพระเจ้าได้หากเราไม่ปิดใจไปเสียก่อน ทุกอย่างในจักรวาลต้องมีผู้สร้าง สิ่งต่าง ๆที่เราใช้อยู่ทุกวัน มีการผลิต
ออกมาจากโรงงานบ้าง จากการสร้างสรรค์ด้วยมือคน ธรรมชาติที่เราเห็นในต้นไม้ ในแม่น้ำ ทะเล ต่างมีทั้งความงาม มีประโยชน์ มีความซับซ้อนมีระบบระเบียบการทำงานเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแพทย์ ที่เห็นระบบของร่างกาย ต้นไม้อวกาศ ยิ่งอดไม่ได้ที่จะสรุปว่า มีองค์ผู้ทรงสร้างแน่!
โรม 1:21
แต่ก่อนเราก็เป็นอย่างนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง เราเคยเชื่อในวิวัฒนาการซึ่งวันนี้ เริ่มพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างมีแต่จะด้อย
ลง ไม่ใช่จากสัตว์เซลเดียวแล้วขยายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น แต่คนที่ไม่ต้องการรับพระเจ้าก็ยังยืนยันที่จะเชื่อทฤษฎีซึ่งเปลี่ยนสมมติฐานไปเรื่อย ๆ น่าเสียดาย
ที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้เสียเวลาของชีวิตอันแสนสั้น เพื่อพิสูจน์ว่า ในจักรวาลนี้ไม่มีพระเจ้าใจของเขามืดไป ไม่อาจรับความสว่างได้…
โรม 1:22-23
เวลาเราย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า และกราบไหว้รูปปั้นใด ๆ ที่เป็นรูปคน สัตว์ เราก็จะรู้สึกแย่เอามาก ๆ ว่า ทำลงไปได้อย่างไรกัน เมื่อ
ก่อนทำไมจึงมืดบอดได้ขนาดนี้ จำได้ไหมถึงวันที่เราวางใจในสร้อยตะกรุดของเราที่คิดว่าจะกันไม่ให้ผีเข้ามาสิงเรา ตอนนั้นเราคิดว่า ตัวเองเก่งและรู้
จักผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจจะช่วยได้ โดยไม่ได้รู้เลยว่าเป็นแค่มารปลอมตัวมาให้เราหลงทาง หลงกราบหลงไหว้และหลงให้ความไว้วางใจ
โรม 1:24
มีการเอามาทำเป็นภาพยนต์โดยมีบทให้ตัวเอกในหนังหลายเรื่อง มีพฤติกรรมที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นบาป พยายามทำให้เป็นพฤติกรรมธรรมดาที่รับได้ ความจริงคนที่กระทำการเช่นนี้เขารู้ตัวว่ามันผิดธรรมชาติ แต่ก็พอใจที่จะทำและเกลียดชังคนที่ไม่รับพฤติกรรมเช่นนี้ไปด้วย มันเป็นบาปที่มีการทำให้กลายเป็นถูกกฎหมาย แต่ยังฝืนกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาอยู่ดี
โรม 1:25
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง สมควรที่เราจะนมัสการเป็นผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายควรตามหาเพื่อขออยู่ใต้ร่มพระคุณ การที่เอาความจริงของพระเจ้าแลกความ
เท็จนั่นก็คือ แทนที่จะเลือกนมัสการพระเจ้าผู้คนกลับเลือกชื่นชมกับไอดอล รูปปั้นต่าง ๆสิ่งที่นิยมกันในช่วงเวลานั้น แทนที่จะยึดมั่นในพระเจ้า ก็กลับเชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่คนโอ้อวดว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ ทำให้รวย ทำให้สวย ทำให้ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
โรม 1:26
นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านเปาโลกล่าวว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนกระทำตามความต้องการทางชั่วของเขาเอง เรารู้ว่า ถ้าพระเจ้าไม่ปล่อย พระองค์จะทรงทำอะไรก็ได้ จะลงโทษอย่างทันทีทันควันก็ได้ แต่เรารู้ว่า พระเจ้าทรงดี ทรงอดกลั้น และอดทนนานมาก เพื่อให้เขาคิดใหม่ กลับใจใหม่ (โรม 2:2-3)
โรม 1:27
ท่านเปาโลได้เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการชี้ให้ผู้เชื่อในโรมได้รู้ว่า การนิยมความสนุกทางเพศแบบนี้อย่างดาษดื่น เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาจะต้องถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการไม่ทำตาม ละเว้นจากสิ่งที่สังคมโรมกำลังนิยมชมชอบ ดังนั้นจะเห็นว่า ความเชื่อของคริสเตียนนั้นตรงข้ามกับโลกอย่างสิ้นเชิง สังคมโรมเกลียดชังคริสเตียนเพราะพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นต่ำทรามเพียงใด
โรม 1:28
ข้อนี้เป็นความคิดที่ต่อเนื่องมาจากข้อก่อน ๆ ในเรื่องที่ว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ไม่สนใจ ไม่ติดตาม คนที่ไม่เห็นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ
สำหรับชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าทรงปล่อยและตรงนี้เอง ทำให้พวกเขาจะรู้สึกว่า อะไรก็โอเคไม่ต้องรับผิดชอบกับใคร จากความคิดที่ทำให้เกิด
ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ ต่อมาก็เป็นความคิดที่เสื่อมทรามทำให้คนเราสามารถทำได้ทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตของตนตกต่ำลงไปอีก
โรม 1:29
พระคำข้อนี้ ท่านเปาโลอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หันเหไปจากความจริงจากพระเจ้า แต่หากเราคิดในระดับชาติ เราจะพบว่า ในสังคมของเรานั้น คนที่
ต้องการควบคุมคนอื่น คนมีอำนาจ จะควบคุมให้คนอื่นทำตามอย่างเขาต้องการ ให้ใช้ชีวิตแบบที่เอื้อประโยชน์กับพรรคพวกของเขา จึงเกิดความทุกข์
ไม่ใช่สันติสุข เราเห็นความพยายามที่จะแก้กฎหมายให้พวกตนเองได้รับประโยชน์ ผู้คนจะทุกข์ยากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สนใจ
โรม 1:30-31
คนที่มุ่งมั่นใช้ชีวิตบาป ไม่อาจรักพระเจ้าได้ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าไม่ตรงกับความต้องการของเขาและเขาตกอยู่ใต้อำนาจมารที่ทำลายชีวิตตนเอง
เวลาเดียวกัน เขาต้องการพวกพ้อง จึงต้องทำทีว่ารัก และเห็นใจคนอื่น ชักชวนคนอื่นให้ทำบาปอย่างเขา ตรงนี้ที่ทำให้โลกยิ่งไม่น่าอยู่เข้าไปอีก คนที่
น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ถูกหลอก ถูกทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นเหมือนปลาที่ถูกจับเป็นฝูง
โรม 1:32
การที่คนเราเกลียดพระเจ้าทำให้เขาทำทุกอย่างที่จะให้คนเกลียดชังกัน ทำทุกอย่างที่จะชักชวนให้คนทำชั่วต่อกัน ชวนให้ผู้คนทำร้ายตัวเอง ในโลก
ของยาเสพติด โลกของการค้ามนุษย์ การล่อลวงให้ร่ำรวยอย่างแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เป็นการล่อให้คนมีความสุขที่ไม่จริง ทั้งอันตรายผสมอยู่กับความทุกข์ทรมานเพราะการหลงเชื่อคนที่ทำชั่ว คนเหล่านี้ ไม่ได้ทำชั่วคนเดียวแต่ยังช่วยกันทำเพื่อทำร้ายคนอื่นอีกด้วย

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:11; กิจการ 9:15; 13:2
2* กิจการ 26:6; กาลาเทีย 3:8
3* กาลาเทีย 4:4
4* สดุดี 2:7; 16:10-11; กิจการ 9:20; 13:33; ฮีบรู 9:14
5* เอเฟซัส 3:8; กิจการ 6:7; 9:15
6* 1 เปโตร 2:9
7* 1โครินธ์ 1:2, 24; 1:3
8* 1โครินธ์ 1:4; โรม 16:19
9* โรม 9:1; กิจการ 27:23;
1 เธสะโลนิกา 3:10
11* โรม 15:29

12* ทิตัส 1:4
13* 1 เธสะโลนิกา 2:18; ฟีลิปปี 4:17
14* 1โครินธ์ 9:16-23
15* โรม 15:20
16* สดุดี 40:9-10; 1โครินธ์ 1:18,24; กิจการ 3:26
17* โรม 3:21; 9:30; ฮาบากุก 2:4
18* กิจการ  17:30; 2 เธสะโลนิกา 14:17
19* กิจการ 14:17;17:24; ยอห์น 1:9
20* สดุดี 19:1-6
21* เยเรมีย์ 2:5

22* เยเรมีย์ 10:1423* 1 ทิโมธี 1:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:16-1
24* เอเฟซัส 4:18-19; 1โครินธ์ 6:18; เลวีนิติ 18:22
25* 1 เธสะโลนิกา 1:9; อิสยาห์ 44:20
26* เลวีนิติ 18:22
27* เลวีนิติ 20:13; 18:22
28* เอเฟซัส 5:4
29* 2 โครินธ์ 12:20
30* 2 ทิโมธี 3:2; ยูดา 1:16
31* 2 ทิโมธี 3:3; สุภาษิต 18:2

ฟีเลโมน : อภัยให้เขาด้วย

ฟีเลโมน 3:1-2
จากเปาโล นักโทษเพื่อพระเยซูคริสต์และจากทิโมธี น้องชายของข้า. ถึงฟีเลโมน เพื่อนที่รักและเพื่อนร่วมงานของเรา
ถึงอัปเฟีย น้องสาวของเรา ถึงอาร์คิปปัส เพื่อนทหารรับใช้ด้วยกันกับเรา และถึงคริสตจักรที่ประชุมกันในบ้านของท่าน

ฟีเลโมน 3:3-4
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้าของเราอยู่กับท่านข้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าเสมอ
เมื่อข้าอธิษฐานเพื่อท่าน


ฟีเลโมน 1:5-6
เพราะข้าได้ยินเรื่องความรักของท่านที่มีต่อวิสุทธิชนของพระเจ้า และความเชื่อที่ท่านมีในองค์พระเยซูเจ้า ข้าอธิษฐานว่า
ความเชื่อที่ท่านแบ่งปันกับคนอื่น ๆ นั้นจะส่งผลทำให้ท่านได้เข้าใจลึกซึ้งถึงสิ่งดีต่าง ๆ ที่เรามีในพระคริสต์


ฟีเลโมน 1:7-8
ข้าเองยินดีมาก และรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
เพราะความรักที่ท่านมีต่อวิสุทธิชนของพระเจ้า ได้ทำให้พวกเขาได้สดชื่นดังนั้น ในพระคริสต์ ข้าจึงกล้าและสั่ง
ให้ท่านทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สมควร


ฟีเลโมน 1:9-10
แต่เป็นเพราะข้ารักท่าน ข้าจึงขอร้องท่านดีกว่า ในฐานะที่ข้าเปาโล ชราแล้วและยังเป็นนักโทษอยู่ในโรมเพราะรับใช้
พระเยซูคริสต์ ข้าขอร้องท่านในเรื่องลูกชายของข้าคือ
โอเนสิมัสที่มาเป็นลูกชายของข้า ขณะที่ข้าถูกจำจองอยู่

ฟีเลโมน 1:11-13
เมื่อก่อนเขาไร้ประโยชน์สำหรับท่าน แต่บัดนี้ เขามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับท่านและข้า ข้าส่งเขากลับมาหาท่าน ซึ่ง
เท่ากับส่งหัวใจของข้าเองมา ข้าอยากให้เขาอยู่กับข้าเพื่อจะทำหน้าที่ช่วยข้าแทนท่านขณะที่ข้าถูกจำคุกเพื่อข่าวประเสริฐ

ฟีเลโมน 1:14
แต่ข้าไม่ต้องการทำสิ่งใดโดยไม่ถามความเห็นของท่านก่อน เพื่อว่าสิ่งดี ๆที่ท่านได้ทำให้นั้นจะไม่เป็นการบังคับให้ทำแต่เป็นความตั้งใจของท่านเอง

ฟีเลโมน 1:15-16
การที่โอเนสิมัสต้องห่างท่านไปสักพัก ก็เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนไปหาท่านตลอดไป โดยไม่เป็นทาสอีกแต่ดียิ่งกว่าเป็นทาส คือกลายเป็นน้องที่รัก ข้ารักเขามากและท่านจะรักเขามากกว่านั้นอีก ทั้งในฐานะเพื่อนมนุษย์ และในฐานะพี่น้องในองค์
พระผู้เป็นเจ้า

ฟีเลโมน 1:17-18
ดังนั้น หากท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้ร่วมงานของท่าน ก็ขอโปรดรับโอเนสิมัสเหมือนอย่างที่ท่านต้อนรับข้า
หากเขาได้ทำสิ่งใดผิดต่อท่านหรือหาก
เขาติดค้างสิ่งใดกับท่าน ก็ขอให้ท่าน
คิดเอาคืนจากข้าเถิด

ฟีเลโมน 1:19-20
ข้าเปาโลเขียนจดหมายนี้ด้วยมือของข้าเองข้าจะใช้คืนทุกอย่างโดย ไม่กล่าวถึงชีวิตที่ท่านยังติดค้างข้าอยู่ ดังนั้นน้องชายเอ๋ยข้าขอให้ท่านทำสิ่งนี้เพื่อข้าจะได้ประโยชน์ขอทำให้ข้าได้สดชื่นขึ้นใหม่ในพระคริสต์

ฟีเลโมน 1:21-22
ข้ามั่นใจว่า ท่านจะเชื่อฟัง ข้าจึงเขียนจดหมายถึงท่าน ข้ารู้ว่าท่านจะทำให้มากกว่าที่ข้าขอร้อง อีกสิ่งหนึ่งคือ ขอให้ท่านเตรียมห้องพักสำหรับข้าด้วย เพราะข้าเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน นั่นคือข้าจะกลับมาหาท่านได้

ฟีเลโมน 1:23-25
เอปาฟรัส เพื่อนร่วมจำจองกับข้าเพื่อองค์พระเยซูคริสต์ ฝากความคิดถึงท่านมาระโก อาริสทาร์คัส เดมาส และลูกาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของข้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่
กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด 

อธิบายเพิ่มเติม

ฟีเลโมน 3:1-2
ฟีเลโมนเป็นจดหมายสั้นๆจากท่านเปาโลและ ทิโมธีถึงพี่น้องหลายๆคนเป็นจดหมายที่ต้อง เดินทางไกลด้วยบุรุษไปรษณีย์โบราณที่เดินทาง ลุยข้ามน้ำข้ามทะเลทรายลงเรือเพื่อจัดส่งจดหมาย ให้ถึงที่หมายเราขอบคุณพระเจ้าที่ทรงบันดาลใจให้ ผู้นำคริสเตียนในสมัยสองพันปีก่อนได้เขียนเพื่อ หนุนใจและอธิบายความจริงเรื่องของพระเจ้าที่ ทำให้พี่น้องเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ฟีเลโมน 3:3-4
นอกเหนือไปจากการเขียนจดหมายเพื่อสั่งสอนตักเตือนแล้ว ท่านเปาโลยังอธิษฐานเผื่อฟีเลโมนและคนใกล้ชิดของเขาเป็นประจำด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นคนที่เกิดผล เพราะเขาทำงานไปกับพระเจ้า ขอพระองค์ทรงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงชีวิตพี่น้องเหล่านี้ เราจะเห็นว่าท่านเปาโลบอกเสมอว่า ท่านอธิษฐานเผื่อคนที่ท่านเขียนจดหมายถึง ฟิลิปปี 1:3, โรม 1:8
ฟีเลโมน 1:5-6
ท่านเปาโลและฟีเลโมนต่างก็มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเดียวกัน และยังรับใช้พระเจ้าร่วมกันด้วยทั้งสองมีความรักและปรนนิบัติพี่น้องด้วยหัวใจแบบเดียวกัน ท่านเปาโลเห็นแล้วว่า ฟีเลโมนเดินในเส้นทางเดียวกับท่าน ท่านจึงอธิษฐานขอพระเจ้าให้ฟีเลโมนจะได้เข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังจะขอร้องให้เขาทำเพื่อเห็นแก่พระเจ้าอีกอย่างหนึ่งนั่นคือการขอให้ยกโทษให้แก่โอเนสิมัสซึ่งได้หนีไปก่อนหน้านี้
ฟีเลโมน 1:7-8
คำขอของท่านเปาโลตอนนี้ เกิดจากการที่ท่านมั่นใจในตัวของฟีเลโมนเป็นอย่างยิ่ง การที่เขารักพี่น้อง และแสดงออกมาให้เห็น ท่านเปาโลจึงกล้าที่จะขอร้องด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นคำสั่งเหมือนอย่างหลายครั้งที่ท่านสั่งคริสตจักรอย่างเข้มงวดในเรื่องต่าง ๆ ตัวฟีเลโมนก็เป็นตัวอย่างของเราด้วยว่า จะให้ใครสักคนไว้ใจนั้น ต้องมาจากหัวใจจริง รักและเป็นห่วงจริง ไม่ใช่ทำเพราะหน้าที่หรืออยากให้คนอื่นยกย่องชมเชย
ฟีเลโมน 1:9-10
ตอนที่ท่านเปาโลเขียนถึงฟีเลโมนนี้ ท่านน่าจะอายุประมาณหกสิบปี แต่การที่ท่านต้องพบเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมายในชีวิต ต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อ และยังต่อสู้เพื่อพี่น้อง เข้าคุกมาก็ตั้งหลายครั้ง ชีวิตของท่านในหนังสือกิจการจะทำให้เราได้เห็นว่า ท่านต้องพบเจออะไรบ้าง นี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้ท่านรู้สึกว่า เหนื่อยอ่อน เป็นคนชราก็เป็นได้ ชีวิตสมัยก่อนนั้นยากกว่าสมัยนี้ ท่านใช้คำว่าขอร้อง …เพื่อโอเนสิมัส
ฟีเลโมน 1:11-13
โอเนสิมัสได้ทำผิดกฎหมายของโรม และยังมีปัญหาขโมยเงินของฟีเลโมนด้วย (ดูจากข้อ 18)เขาหนีไปโรม เพื่อว่าจะได้่หลบหนีง่าย ง่ายกว่าที่อยู่ในเมืองเล็ก แต่แล้วเขากลับมาพบท่านเปาโลและเมื่อได้ยินข่าวประเสริฐก็ได้กลับใจใหม่ และกลายเป็นคนที่คอยดูแลท่านเปาโลในขณะที่ท่านถูกจำจอง ท่านได้ส่งโอเนสิมัสพร้อมกับจดหมายไปกับทีคิกัส เพราะหากทาสเดินทางคนเดียวอาจถูกคนที่ชอบค้าทาสจับตัวไปได้ (โคโลสี 4:7-9)
ฟีเลโมน 1:14
คำพูดของท่านเปาโลจนถึงตอนนี้ ฟีเลโมนอ่านแล้วน่าจะเริ่มเห็นเงาราง ๆ ว่าท่านเปาโลต้องการอะไรกันแน่ ในขณะที่ท่านไม่ได้บังคับ แต่ก็เหมือนบังคับอย่างอ่อนโยน เพราะท่านแสดงความไว้ใจในตัวฟีเลโมนเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้ว การที่ทั้งสองต่างเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกัน เท่ากับมีมาตรฐานการตัดสินแบบเดียวกันอยู่แล้ว คืออยู่บนพื้นฐานแห่งความรักของพระเจ้า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามมา 
ฟีเลโมน 1:15-16
คำขอของท่านเปาโลนั้น เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะทำให้ได้ โอเนสิมัสเคยร้ายต่อฟีเลโมน การที่ทาสทำอย่างที่เขาทำ ไม่น่าจะได้รับการให้อภัยสมควรที่จะโดนจำจองเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านเปาโลกลับมองเห็นอีกแบบ ไม่ให้กลับมาให้ฐานะทาสแต่เป็นในฐานะน้องชาย เป็นลูกของพระบิดาเดียวกัน ฟีเลโมนจะทำให้ได้ไหม ขึ้นอยู่กับว่าตัวเขา ซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าต่อตัวเองขนาดไหน
ฟีเลโมน 1:17-18
เป็นคำขออย่างอ่อนโยน สุภาพ น่าฟัง ขอแบบนี้ขัดไม่ได้เลย ท่านเปาโลเอาตัวมาเป็นประกันว่าโอเนสิมัสจะเป็นคนที่ดี คนที่ใช้ได้ เป็นคนที่ฟีเลโมนไม่ต้องกังวลว่าจะทำสิ่งร้ายเหมือนเดิมอีก การที่ท่านเปาโลรับประกันขนาดนี้ เท่ากับว่าท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของทาสเก่าคนนี้จริง ๆ ท่านรักเขา พระเจ้าทรงอยู่ในตัวเขาจริงหากใครได้รับการยืนยันแบบนี้ น่าจะเป็นเกียรติของชีวิตมากเลย
ฟีเลโมน 1:19-20
ขอบคุณพระเจ้า ท่านเปาโลยังไม่ลืมที่จะบอกฟีเลโมนด้วยว่าเขา ก็ติดค้างท่านเหมือนกันสรุปแล้วว่าเมื่อเราอยู่ใน พระคริสต์จริงๆเราต้องฟังกันและกันเพื่อว่า สิ่งที่ร่วมมือทำด้วยกันนั้นจะสร้างเสริมชีวิตของ สองฝ่ายและคนอื่นที่อยู่รอบข้างหากฟีเลโมนได้ทำตามคำขอของท่านเปาโลแล้วก็ล้วนแต่จะมีความชื่นชมเกิดขึ้นในทุกฝ่ายหากฟีเลโมนยังมี ปัญหาติดค้างในใจท่านเองเป็นคนที่จะต้องจัดการใจของตนเองให้ทำอย่างถูกต้องกับพระเจ้า
ฟีเลโมน 1:21-22
ท่านเปาโลมั่นใจอย่างยิ่งว่า ฟีเลโมนจะฟังคำขอของท่าน นั่นคือ ปล่อยโอเนสิมัสให้เป็นไท ไม่เป็นทาสอีกต่อไป ให้รับเป็นน้องในพระคริสต์ และทำตาม
อย่างเต็มใจ ไม่มีความเคืองใจหลงเหลืออยู่เลยซึ่งจะทำให้โอเนสิมัสกลายเป็นคนหนึ่งที่จะรับใช้พระเจ้าต่อไปกับฟีเลโมน อย่างน้อย ทาสคนนี้ก็ได้ฝึกฝนที่จะรับใช้จากท่านเปาโลตอนที่ท่านอยู่ในคุกแล้ว เขาน่าจะเป็นคนหนึ่งที่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เขา (เอเฟซัส 2:10)
ฟีเลโมน 1:23-25
ท่านเปาโลมีเพื่อนร่วมงานรับใช้พระเจ้าหลายคนและท่านก็มักเอ่ยชื่อของพวกเขาในจดหมายที่ท่านเขียนไปตามที่ต่าง ๆ เอปาฟรัสถูกจำจองเพราะความเชื่อของเขา และเขาก็เป็นชาวโคโลสีด้วย (โคโลสี 1:7; 4:12) มาระโกเป็นญาติของบารนาบัส เดมาสเคยทำงานด้วยกัน แต่ก็จากกันไป(โคโลสี4:14; 2 ทิโมธี 4:10) ลูกาเขียนลูกาและกิจการ ส่วนอาริสทารคัส ได้เดินทางไปกับท่าน(กิจการ 19:29; 20:4; โคโลสี 4:10)

พระคำเชื่อมโยง

1* เอเฟซัส 3:1
2* โคโลสี 4:17
4* 2 เธสะโลนิกา 1:3
5* โคโลสี 1:4
6* ฟีลิปปี 1:9; 1 เธสะโลนิกา 5:18

10* โคโลสี 4:9
14* 2 โครินธ์ 9:7
16* โคโลสี 3:22
19* 1โครินธ์. 16:21
21* 2 โครินธ์ 7:16

22* ฟีลิปปี 1:25; 2:24; 2 โครินธ์ 1:11
23* โคโลสี 1:7; 4:12
24* กิจการ 12:12,25; 15:37-39; 19:29; 27:2; โคโลสี 4:14 ; 2 ทิโมธี 4:11
25* 2 ทิโมธี 4:22



มัทธิว 4 ทดสอบก่อนราชกิจ

เผชิญการทดสอบ
มาระโก 1:12-3; ลูกา 4:1-13
1 แล้วพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลองพระองค์
2 หลังจากที่พระองค์อดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ทรงหิว
3 ผู้ทดลองมาหาพระองค์ ทูลว่า “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้บอกหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปังเสียสิ”
4 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ดังนี้ “มนุษย์จะมีชีวิตต่อไปด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ด้วยพระดำรัสทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

5 จากนั้น มารได้นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับบนยอดสูงของพระวิหาร
6 “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” มารกล่าว “ก็กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ทรงบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์เรื่องท่าน และทูตนั้นจะยกท่านไว้ในมือของพวกเขาเพื่อว่าเท้าของท่านจะไม่กระทบหินสักก้อน’ ” (สดุดี 91:11-12)
7 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”

8 อีกครั้ง มารได้นำพระองค์ไปยังภูเขาสูง และให้พระองค์มองดูอาณาจักรในโลกที่ยิ่งใหญ่ตระการ
9 “ทั้งหมดนี้เราจะมอบให้ท่าน” มารกล่าว “หากท่านจะคุกเข่าลงและนมัสการข้าพเจ้า”
10 “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน!” พระเยซูตรัส “เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น’”
11 จากนั้น มารจึงละจากพระองค์ไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจ
อิสยาห์ 9:1-7; มาระโก 1:14-15; ลูกา 4:14-15
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินว่า ยอห์นถูกจำคุก พระองค์ก็ทรงเดินทางไปยังกาลิลี
13 ทรงออกจากนาซาเร็ธ และทรงไปอาศัยในเมืองคาเปอรนาอูม ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเล ในแคว้นเศบูลุน และนัฟทาลี
14 เพื่อให้สำเร็จตามผู้เผยพระดำรัสอิสยาห์ว่า
15 “แผ่นดินเศบูลุน และแผ่นดินนัฟทาลี เหนือขึ้นไปจากแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลีของชาวต่างชาติ
16 ประชาชนที่อยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ คนที่อาศัยในแผ่นดินเงาความตาย แสงสว่างส่องได้มาถึงแล้ว ”
17 จากนั้นเป็นต้นมา พระเยซูทรงเริ่มเทศนาว่า
“จงกลับใจเสียใหม่เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ศิษย์กลุ่มแรก
มาระโก 1:16-20; ลูกา 5:1-11; ยอห์น 1;35-42
18 ขณะที่พระเยซูดำเนินไปตามริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทรงเห็นพี่น้องชายสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อว่าเปโตร และน้องชายของเขาคืออันดรูว์ ทั้งสองกำลังโยนอวนลงไปในทะเล เพราะว่าเขาเป็นชาวประมง
19 “มาเถอะ ตามเรามา!” พระเยซูตรัส “เราจะทำให้เจ้าเป็นคนที่หาคนอย่างคนหาปลา
20 ทันใดนั้นเอง ทั้งสองก็ละจากอวนของเขา และติดตามพระองค์ไป
21 จากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นพี่น้องชายสองคนคือยากอบ ลูกชายเศบีดี และน้องชายของเขาคือ ยอห์น ทั้งสองกำลังซ่อมชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อของเขาคือเศบีดี พระเยซูทรงเรียกเขา
22 และเขาก็ละจากเรือและพ่อของเขา
ติดตามพระองค์ไปทันที!

ทรงรักษาโรคของคนจำนวนมาก
มาระโก 3:7-12; 6;17-19
23พระเยซูทรงเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดิน
และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดของประชาชน 
24ข่าวเรื่องของพระองค์นั้น เลื่องลือไปถึงซีเรีย และผู้คนก็พากันนำเอาคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  คนที่เจ็บปวดตามตัว คนที่ถูกผีสิง และคนที่มีอาการชัก รวมทั้งคนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขา
25 ประชาชนกลุ่มใหญ่มากติดตามพระองค์
พวกเขามาจาก กาลิลี แคว้นทศบุรี นครเยรูซาเล็ม และจากอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 4:1-11
หลังจากการบัพติศมา พระวิญญาณทรงลงมาในรูปลักษณ์ของนกและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์แจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงรักมากทำให้ยอห์นมั่นใจว่าพระเยซูคือองค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมและทรงส่งลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอด เหตุการณ์วันนั้น คนจำนวนมากได้เห็น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากพระพรยิ่งใหญ่ พระเยซูกำลังจะเข้าไปเผชิญกับมาร…ศัตรูของพระเจ้า มันต้องการทำลายพระเยซูเหมือนอย่างที่มันพยายามทำมาตลอด
จากนั้น พระวิญญาณทรงนำไป ให้พระเยซูทรงเผชิญกับการทดลอง (ถิ่นกันดารเป็นสถานที่กว้างใหญ่ที่เต็มด้วยขุนเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนเดินทางผ่านมา ไม่มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และในพระคัมภีร์ ยังมีความหมายถึงสถานที่ ๆ มารอยู่ ไม่สะอาด ดูเลวีนิติ หลังจากที่ปุโรหิตเอาบาปของประชาชนไว้บนตัวแพะ แล้วไล่มันไปอยู่ในถิ่นกันดาร )
หลังจากทรงอดอาหาร อธิษฐาน มีการสนทนากับพระบิดาตลอดเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าด้วย (มาระโก 1:12-13)
เมื่อทรงอ่อนแรง อิดโรยที่สุด ผู้ทดลองหรืออีกชื่อคือมาร, ซาตาน ได้มาพบพระองค์​
การทดลองสามประการและการตอบกลับของพระเยซู.
วิธีการ
1 ท้าให้พระเยซูเปลี่ยนหินเป็นขนมปัง เป็นการดูหมิ่นองค์พระบิดาว่า พระองค์ไม่ทรงดูแลพระบุตร ดังนั้น พระบุตรจะต้องจัดหาเอง ตอบด้วยพระคำ “แค่กินอาหารไม่พอ ต้องกินพระคำด้วย” 8:3 พระเจ้าทรงรักษาชีวิตของเราด้วยพระคำ
2 ท้าให้พระเยซูกระโจนลงจากที่สูง โดยอ้างพระคำ ตามความเห็นของยิวแล้ว โลกมีจุดศูนย์กลางที่เยรูซาเล็ม (เอเสเคียล 5:5) เท่ากับพระเยซูกำลังอยู่ที่ศูนย์กลางของโลก และเป็นที่ ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า การกระโจนลงไปจากระเบียง 450 ฟุต พิสูจน์สิว่า พระบิดาจะทรงปกป้องพระบุตรไว้ ..
(มาลาคี 3 ตอบด้วยพระคำ “อย่าทดลองพระเจ้า” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ มาท้าให้ทำทำไม? 16 อย่างไร.. เราก็จะไม่ทดสอบในสิ่งที่เรารู้แล้วว่า พระเจ้าทรงทำได้ เราวางใจพระองค์ได้
3 สร้างเงื่อนไข (ที่มารหวังว่าพระเยซูจะรับ)
ต่อมามันพาพระองค์ไปดูอาณาจักรในโลก .. มาระโก ลูกามีคำว่า…….ในพริบตาเดียว ชั่วขณะเดียว………ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการมองดูอาณาจักรต่าง ๆ ในโลกในฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เดินทางไปดูตามที่ต่าง ๆ
เพราะอาณาจักรเหล่านี้เป็นของมาร ดังนั้น ซาตานล่อพระองค์ว่าจะให้อาณาจักรถ้าคุกเข่าลงกราบนมัสการตัวมัน แค่นมัสการชั่วขณะ พระเยซูก็จะได้ทุกอย่างที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ในสดุดีบทที่ 2 ไม่ต้องไปทำงานของพระเจ้า ไม่ต้องไปตายบนไม้กางเขน… ไม่ต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ความทุกข์ยากต่าง ๆ แต่จะได้อาณาจักรเหล่านี้เลยตอบด้วยพระคำ และไล่มันไป “จงนมัสการและรับใช้พระเจ้าเท่านั้น” ไม่ใช่มากราบไหว้รับใช้มาร อย่างที่เราเคยทำเมื่อยังไม่รู้จักพระเจ้า เราจะไม่นมัสการใครทั้งสิ้น
หมายเหตุ
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า หากท่านนมัสการเรา จะได้….

มัทธิว 4:12-17
หลังจากที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำคุก นั่นเท่ากับงานของเขากำลังเริ่มจะจบลง เขาได้ทำทางขององค์พระเยซู ด้วยการเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย  ทุกคนควรจะต้องฟัง และเชื่อฟังพระองค์ 
พระองค์ก็ทรงออกจากนาซาเร็ธ เมืองที่พระองค์ทรงเติบโตมา และไปเริ่มงานของพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอูม  เมืองนี้ เป็นเมืองที่สมัยก่อนจะมีผู้คนเดินทางผ่านไปมามากมาย เมื่อมีสงคราม เมืองนี้ก็มักจะอยู่ในทางของกองทัพต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีคนต่างชาติ เชื้อชาติผสมอยู่ในเมืองนี้เป็นจำนวนไม่น้อย  ต่างจากทางใต้อย่างยูเดียที่เป็นถิ่นของคนเชื้อสายอิสราเอล
และที่ทรงทำเช่นนั้น เพื่อให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์ได้สำเร็จ  … ใช่แล้ว ดินแดนแห่งความมืดกำลังได้รับแสงสว่างของพระเจ้า  องค์ผู้เป็นแสงสว่างได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ไม่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทรงอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติมากมาย
และก็ทรงเรียกให้ประชาชนกลับใจใหม่  เป็นการประกาศแบบเดียวกับยอห์น นี่เป็นภาพที่สวยงาม แสงสว่างแห่งโลก ทรงอยู่ท่ามกลางชาวโลก…​… 

พระคำเชื่อมโยง

1* มาระโก 1:12-15; เอเสเคียล 43:5
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:18; อพยพ 34:28
3* 1 เธสะโลนิกา 3:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3
5* ลูกา 4:9
6* สดุดี 91:11-12
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16; 1โครินธ์ 10:9
8* 1 ยอห์น 2:15-16; ลูกา 4:5-7

10* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14; 10:20;
โยชูวา 24:14
11* ยากอบ 4:7; ฮีบรู 1:14
12* ยอห์น 4:43
13* มาระโก 1:21
15* อิสยาห์ 9:1-2
16* ลูกา 2:32
17* มาระโก 1:14-15; มัทธิว 3:2; 10:7

18* มาระโก 1:16-20; ยอห์น 1:40-42
19* ลูกา 5:10
20* มาระโก 10:28
21* มาระโก 1:19
22* มัทธิว 10:37; ลูกา 14:26
23* สดุดี 22:22; มัทธิว 9:35;24:14; มาระโก 1:34
24* ลูกา 4:40
25* มาระโก 3:7-8

มัทธิว 3 ทรงโปรดปรานท่านผู้นี้

พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา 
1 ในช่วงเวลานั้นเอง  ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มต้นเทศนาในพื้นที่ถิ่นกันดารในยูเดีย  
2 ท่านกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
3 ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้นี้ เป็นคนที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้ากล่าวถึงเมื่อท่านกล่าวว่า
“มีเสียงจากคนหนึ่ง ร้องเสียงดังในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำให้ถนนตรงราบเรียบเพื่อพระองค์’” (อิสยาห์  40:3)

4 เสื้อผ้าของท่านยอห์นทำจากขนอูฐ มีสายคาดหนังรอบเอวของท่าน
ท่านกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร 
5 มีประชาชนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม และพื้นที่ในยูเดีย รวมทั้งจากพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำจอร์แดน
6 พวกเขาสารภาพบาป และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน

7  แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีฟาริสีและสะดูสีมากมายได้มายังที่ ๆ ท่านให้บัพติศมา  ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าชาติงูพิษร้าย ใครเตือนให้เจ้าหนีจากการลงโทษของพระเจ้า? 
8 จงเกิดผลให้สมกับการที่เจ้ากลับใจใหม่ 
9 และอย่านึกไปเองว่า “เรา   มีพ่อคืออับราฮัม” เพราะเราบอกแก่เจ้าว่า พระเจ้าสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 
10 ขวานนั้นวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว  และต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นลง และโยนทิ้งลงในกองไฟ

11 เราให้บัพติศมาแก่เจ้าในน้ำ แสดงการกลับใจของเจ้า แต่หลังจากนี้ไป จะมีท่านผู้หนึ่งที่ทรงฤทธิ์กว่าเราเสด็จมา แม้แต่รองเท้าของพระองค์ เราก็ไม่คู่ควรที่จะถือให้พระองค์  พระองค์ผู้นี้จะบัพติศมาพวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 

12 ทรงถือพลั่วในพระหัตถ์เพื่อจะเก็บกวาดลานนวดข้าว  และเพื่อรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่อาจดับได้  

พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำ
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดน และทรงประสงค์ให้ยอห์นบัพติศมาให้พระองค์
14 แต่ยอห์นพยายามที่จะห้ามพระองค์ไว้ ทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรได้รับบัพติศมาจากพระองค์​
เหตุใดพระองค์จึงมาหาข้าพเจ้าเพื่อรับบัพติศมาเล่า?
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “เวลานี้ให้เป็นไปอย่างนี้เถิด สมควรแล้วที่เราจะทำให้ความเที่ยงธรรมบรรลุผลครบถ้วนด้วยวิธีนี้” ยอห์นจึงยอมทำตามพระองค์
16 ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาเสร็จ พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้ารูปลักษณ์ดุจนกพิราบลงมาประทับกับพระองค์
17 มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ ตรัสว่า
“ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 3:1-6
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นคนสำคัญยิ่งที่มาเตรียมทางให้พระเยซู เขาเป็นลูกชายของปุโรหิตเศคาริยาห์ เกิดในเวลาที่พ่อ แม่ชราแล้ว (อ่านลูกา 1) แต่แทนที่จะเตรียมตัวเป็นปุโรหิตเหมือนกับพ่อ เขากลับออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ในถิ่นกันดาร!
ยอห์น ตระหนักว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาในโลกแล้วก็ตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงของมารีย์ทักทายเอลีซาเบ็ธ ก็ดิ้นด้วยความดีใจในท้องของแม่ด้วย (ลูกา 1:44)ยอห์นกับพระเยซูน่าจะรู้จักกันมาบ้างตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครอบครัวจะไปพบกันระหว่างปีเมื่อมีเทศกาลสำคัญในเยรูซาเล็ม ครอบครัวของพระเยซูมาจากกาลิลีทางเหนือ ส่วนครอบครัวยอห์นจะอยู่ในยูเดียทั้งสองครอบครัวเป็นญาติกัน
เมื่อฟาริสี ถูกส่งมาถามยอห์นว่าเขาเป็นพระเมสสิยาห์ หรือเป็นเอลียาห์ เขาตอบว่า ไม่ใช่… แต่เขาเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’(ยอห์น 1:23) ตรงนี้น่าคิดมาก.. พระเยซูทรงเป็นพระคำและทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1) ส่วนยอห์นเป็นเสียงที่กล่าวพระคำนั้น!
อีกประการ เขากำลังเตรียมทางให้องค์กษัตริย์ สมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์จะเดินทางไปเมืองไหน ก็ต้องมีคนไปล่วงหน้าเพื่อทำทางให้เรียบ คนงานเหล่านั้นมีหน้าที่เตรียมทางให้ตรง ราบเรียบ ยอห์นเป็นคน ๆ นั้น
ยอห์นไม่ได้ประกาศในเมือง เขาไม่เหมือนใครเลย แต่งตัวก็ใช้หนังอูฐ กินอาหารก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กลับมีคนออกจากเมืองไปฟังเขาเทศนาในที่ห่างไกล ไกลจากเมืองมาก อยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นที่ ๆ เขาใช้บัพติศมาคนที่มาฟัง และกลับใจ
การบัพติศมาของยอห์นนี้ เรียกให้คนอิสราเอลเองกลับใจ จากชีวิตบาป และก็มีคนจำนวนมากฟังเขา รับบัพติศมาเตรียมใจที่จะฟังองค์กษัตริย์ที่กำลังมา ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เป็นใคร

มัทธิว 3:7-10
คนที่มาฟังยอห์นนั้น มีทั้งประชาชนชาวอิสราเอล และเหล่าฟาริสี สะดูสี พวกฟาริสีเป็นพวกที่ทุ่มเทชีวิตสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเพิ่มเติมจากบัญญัติต่าง ๆ ของโมเสส เชื่อว่ามีอยู่ราว ๆ 6000 คนในสมัยพระเยซู พวกเขาเชื่อการอัศจรรย์ทุกอย่าง และมีชีวิตวุ่นอยู่กับการทำดี การทำตามหลักต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมา
ส่วนพวกสะดูสีมักมีเชื้อสายจากปุโรหิต มีจำนวนน้อยกว่า ไม่เชื่อการอัศจรรย์ใด ๆ มีอำนาจทางการเมืองมาก ทั้งสองพวกนี้เกลียดกัน แต่ต่อมามีศัตรูคนเดียวกันคือ พระเยซู ทั้งฟาริสีและสะดูสีต่างเชื่อว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ไม่มีใครดีเท่าตัว มีความภูมิใจในการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลอย่างพิเศษ พวกเขาติดตามศาสนายิวอย่างเคร่งครัดโดยต่างก็มีความคิดแบบของตน แต่แทนที่ยอห์นจะเคารพพวกเขา กลับเรียกพวกเขาต่อหน้าประชาชนว่า เป็นชาติงูพิษที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ !!
ดังนั้น ยอห์นจึงเตือนสติพวกเขาให้มีกรอบความคิดใหม่ คิดอย่างเดิมไม่ได้ ต้องกลับใจจริง ๆ อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานอับราฮัมแล้วพระเจ้าจะยอมรับเขา จะเห็นได้ว่ายอห์นเน้นชีวิตที่กลับใจจากบาป เขาไม่ได้กล่าวถึงการที่ต้องทำตามกฎแบบฟาริสี
.การทำพิธีจุ่มน้ำชำระของยอห์นนี้ เพื่อแสดงว่า คน ๆ นั้นยอมรับผิด และกลับใจจากทางเดิมของตนแล้ว เป็นบัพติศมาที่ยอห์นทำให้ได้ แต่ยอห์นได้เตือนว่า พระองค์ที่ทรงฤทธิ์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟ…
การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? โยเอลเคยบอกไว้ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน (โยเอล 2:28-29) และคนที่จะให้คือผู้ที่ทรงฤทธิ์กว่ายอห์นเสียด้วย
ยอห์นอธิบายว่า เหมือนกับการแยกข้าวดีข้าวเสียออกจากกัน พระเจ้าจะทรงแยกคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอธรรมที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าออกจากกันในวันพิพากษาของพระองค์ (มาลาคี 3:3)

มัทธิว 3:13-17
การบัพติศมาของยิวโดยทั่วไปที่ทำให้คนต่างชาติ เป็นการจุ่มตัวลงในน้ำต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นการบอกว่า พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในศาสนายิว เป็นคนที่เชื่อพระเจ้าแบบคนยิว ..
แล้วพระเยซูก็ทรงมาพบกับยอห์น และรับบัพติศมาทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเหมือนคนที่มารับ แต่ทรงบอกยอห์นเองว่า เป็นสิ่งที่พระองค์สมควรทำ ดังนั้นความหมายของการบัพติศมาของพระเยซูน่าจะสื่ออะไร?
พระเยซูทรงมาในโลกอย่างผู้เที่ยงธรรม ไม่มีบาปใดติดมา และพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใด แต่เวลานี้ พระองค์กำลังจะทรงบอกยอห์นว่า เราจะให้ท่านบัพติศมาให้เรา ราวกับว่า เราเป็นมนุษย์ทั่วไปที่เป็นคนบาป … (2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า (ผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า))
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหลังจากการจุ่มน้ำของพระเยซูก็คือ
พระเจ้าเสด็จมาในรูปลักษณ์ดุจนกพิราบ และตรัสต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ต่อหน้ายอห์นว่า “ ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”
เหตุการณ์นี้ ยอห์นให้ความมั่นใจกับทุกคนเต็มร้อยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่มีข้อกังขาเหลืออยู่เลย (ยอห์น 1:33-34)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 31* มาระโก 1:3-8; โยชูวา 14:10
2* ดาเนียล 2:44; มาลาคี 4:5-6
3* อิสยาห์ 40:3; ลูกา 1:76
4* มาระโก 1:6; เลวีนิติ 11:22; 1 ซามูเอล 14:25-16
5* มาระโก 1:5

6* กิจการ 19:4, 18
7* มัทธิว 12:34; 1 เธสะโลนิกา 1:10
9* ยอห์น 8:33
10* มัทธิว 7:19
11* ลูกา 3:16; กิจการ 2:3-4

12* มาลาคี 3:3; มัทธิว 13:30
13* มาระโก 1:9-11; มัทธิว 2:2216* มาระโก 1:10; อิสยาห์ 11:2; 42:1; ยอห์น 1:32
17* ยอห์น 12:28; สดุดี 2:7