กิจการ 19 การต่อสู้ที่แปลกออกไป

เปาโลในเมืองเอเฟซัส

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

คำอธิบายเพิ่มเติม

เปาโลในเมืองเอเฟซัส
กิจการ 19:1-3
นี่เป็นการเดินทางออกไปประกาศเยี่ยมเยี่ยนครั้งที่สาม ของเปาโล และบทนี้เราได้รู้ว่า เปาโลได้อยู่ในเอเฟซัสประมาณสามปั เป็นความสุข ที่ได้กลับมายังเอเฟซัสอีก และเมื่อพบพี่น้องก็รู้สึกว่าต้องคุยกันเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพี่น้องเอเฟซัสก็ไม่เคยรู้จักเลย ซึ่งคล้ายกับอปอลโลแรก ๆ ที่รู้เรื่องของพระเจ้าแต่ยังรู้ไม่ครบถ้วน
กิจการ 19:4-7
พี่น้องเหล่านี้ฟังคำของท่าน ฟังความหมายของบัพติศมาของยอห์น และของพระเยซูว่าแตกต่างกันอย่างไร
พวกเขาจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพูดภาษาต่าง ๆ มีการเผยพระคำด้วย เหมือนกับวันแรกที่พระวิญญาณทรงเติมเต็มเหล่าคนที่รอคอยพระองค์ในเยรูซาเล็ม (กิจการ 2)
กิจการ 19:8-10
ยิวที่เกลียดชังเรื่องที่เปาโลพยายามจะอธิบายให้เข้าใจก็ใช้วิธีเดิม คือ การให้ร้ายความจริง วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมาแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ เวลานี้ มีคำ ๆ หนึ่งบอกว่า การโฆษณาชวนเชื่อสามารถเปลี่ยนประเทศได้ ซึ่งเป็นความจริง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการโหมพูดสิ่งที่ต้องการซำ้แล้วซำ้เล่าจนคนได้ยินบ่อยก็เชื่อว่าเป็นจริง
เปาโลจึงแก้ไขโดยการออกไปคุยเรื่องของพระเจ้าในห้องใหญ่ของทีรัสนัส และได้ใช้ที่นั่นนานถึงสองปี ทำให้คนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในเมือง ที่ไม่เคยเข้าไปในศาลาธรรมได้ยินเรื่องของพระเยซูด้วย

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต
กิจการ 19:11-12
การอัศจรรย์นี้มีความหมายถึงอำนาจ ฤทธิ์เดชซึ่งมาจากคำกรีกว่า ไดนามิส การอัศจรรย์จากเปาโลเป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านตัวเขา ทำแบบวิเศษมากคือ ตรงเป้าหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากการวางมือเสียด้วยซ้ำ ในเมืองอื่น ๆ เราไม่ค่อยเห็นการอัศจรรย์แบบนี้ แต่สำหรับเอเฟซัสเป็นสิ่งที่เหมาะมากเพราะพวกเขาเชื่อในเรื่องอำนาจผีไม่น้อย ดูจากจดหมายของเปาโลที่เขียนมายังพี่น้องในเอเฟซัส โดยมีการอ้างถึงวิญญาณต่าง ๆ หลายครั้ง การอัศจรรย์เหล่านี้ทำให้รู้ว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณที่พวกเขาเชื่อถือ
กิจการ 19:13-14
และแล้ว ก็เกิดการเลียนแบบขึ้น มียิวหัวใสคิดทำตามเปาโล ทำตัวเป็นหมอผีเพื่อจะได้เงินจากครอบครัวของคนที่ถูกผีสิง แม้กระทั่งลูกชายของเสวาหัวหน้าปุโรหิตยังเลียนแบบด้วย พวกเขาช่างกล้าที่จะเอาพระนามของพระเยซูมาหาเงิน เป็นความกล้าทางมืดที่ไม่ได้หมดไปจากโลกนี้ แม้กระทั่งในหมู่ผู้เชื่อที่ไม่ค่อยเข้าใจพระคัมภีร์ หรือแค่เชื่อเผิน ก็จะโดนคนที่ไวในการหาประโยชน์เข้าตัวปอกลอกด้วยวิธีการแบบนี้ (ยิ่งในอเมริกา และในอัฟริกา จะพบสิบแปดมงกุฎสายนี้ไม่น้อย)
กิจการ 19:15-16
ที่เปาโลช่วยรักษาโรคและไล่ผีออกในพระนามพระเยซูได้ ก็เพราะพระเจ้าทรงสัญญาจะให้อำนาจนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ที่ออกไปในพระนาม (พระมหาบัญชาระบุชัดเจน ดูมัทธิว 28:18-20)
แต่เรื่องนี้ลูกชายของเสวาไม่ได้รู้ด้วย พวกเขาคิดว่า ใช้พระนามพระเยซู ก็เหมือนใช้มนต์ของหมอผี พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้ทำอย่างนั้น พวกเขาเองไม่รู้จักพระองค์เสียด้วยซ้ำ
ที่ผีมารต้องออกจากคนที่มันสิงอยู่เวลาเปาโลไล่มันออกไป เพราะเปาโลมีอำนาจของพระเยซูอยู่ มันรู้ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า เรื่องนี้ ผีทุกตัวรู้ดี (ดูมาระโก 3:11-12, 5:7)
“พระเยซูข้ารู้จัก เปาโลข้าเคยได้ยิน แต่พวกเจ้าเป็นใคร?” นี่เป็นคำถามของผี จริง ๆ มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร กลุ่มวิญญาณชั่วที่สิงในคนรู้ว่าลูกชายเสวาเป็นของปลอม มันเลยใช้ให้คนที่ถูกสิง กระโจนใส่ ทำร้ายพวกเขาจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
กิจการ 19:17-18
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนยิว กรีก พวกเขาแปลกใจที่ผีเองยังรู้จักพระเยซู และจัดการกับตัวปลอมได้ ในขณะที่คนชาวโรมันชอบรูปเคารพและพระต่าง ๆ แต่คนยิวบางส่วนกลับสนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะหาเงินเข้ากระเป๋า มีอาชีพเป็นหมอผี และเมื่อเห็นว่า แค่ผ้าที่เคยแตะต้องตัวเปาโลมายังมีฤทธิ์ขนาดนั้น พวกเขาจึงสวมรอยใช้พระนามของพระเจ้าในทางที่ผิด เหมือนอย่างลูกชายของเสวา
เรื่องนี้ทำให้หมอผีจำนวนหนึ่งที่มีปัญญา ต้องมาจำนนต่อฤทธิ์เดชจริงของพระเจ้า
กิจการ 19:19-20
ไม่ใช่แค่กลับใจเท่านั้น แต่ยังเผาตำราแพง ๆ ทั้งหมดด้วย ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงเปิดตาพวกเขาให้เห็นความจริงและยอมรับว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ ถ้าไม่เห็นจริง คงไม่เผาสิ่งที่ช่วยให้ทำมาหากินคล่อง ๆ แบบนี้
เหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อทำให้พระคำของพระเจ้าขยายออกไปอีก มีฤทธิ์มากขึ้นอีกในเมืองเอเฟซัสและรอบ ๆ
นี่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า หากยังมีสิ่งใดที่ทำให้เราไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตร เราต้องทำลายมันทิ้งเสีย
กิจการ 19:21-23
การที่ได้เกิดผลในเอเฟซัส ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ที่นั่นตลอดไป เปาโลมีความหวังว่าจะเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโรมด้วย เป็นคริสเตียนที่เชื่อด้วยการประกาศของพี่น้องท่านอื่น ๆ ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณ เปาโลจึงเดินทางผ่านไปยังมาซิโดเนีย อาคายา โดยให้ทิโมธีกับเอรัสทัสไปล่วงหน้าก่อน แต่แล้ว ยังไม่ทันไรก็เกิดความวุ่นวายขึ้น …

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

กิจการ 19:24-25
นั่นคือช่างเงินที่ทำรูปเคารพเกิดรู้ตัวขึ้นมา โดยมีเดเมตริอัสเป็นหัวหน้าแกนนำ โดยเรียกช่างทองมาเพื่อแจ้งให้รู้ว่า “ทางนั้น” คือความเชื่อในพระเยซูเป็นภัยต่ออาชีพของพวกเขา
อาชีพของพวกเขาคือการทำรูปหล่อวิหารอารเทมิสที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกโบราณ ใคร ๆ ก็เห็นว่าเทพีนี้ให้ความอุดมสมบูรณ์กับชีวิต ช่างเงินเหล่านี้กำลังอยู่ช่วงขาขึ้น กำลังโกยเงินทองมากมายจากการขายรูปหล่อเล็ก ๆ ให้คนเอาไปไว้บูชาตามบ้าน
ที่แปลกคือ วิหารอารเทมิสเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลกโบราณด้วย
กิจการ 19:26-27
เหตุผลของ เดเม-ตริอัส ช่างน่าเชื่อถือสำหรับช่างเงินทั้งหลายที่มารวมตัวกัน พวกเขาเห็นด้วยกับเดเม-ตริอัส ในเมื่อพวกเขาขายของเหล่านี้ หากคนไปเชื่อ “ทางนั้น” ก็เท่ากับธุรกิจต้องล่มสลาย. แปลกที่คนเชื่อพระเยซู ไม่ได้มาขอให้พวกเขาสร้างรูปเคารพของพระเยซูเลย คนเชื่อพระเยซูนมัสการพระเจ้าที่มองไม่เห็น ทั้งร้องเพลงด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แต่ไม่มีรูปเคารพสักรูป!
กิจการ 19:28-29
พอคนเริ่มไม่พอใจก็เริ่มจากเพื่อนร่วมงานของเปาโล คือ กายอัส และอาริสทาคัส เอาเข้าไปสำเร็จโทษในโรงละครซึ่งเป็นโรงใหญ่จุคนได้ประมาณ สองหมื่นสี่พันคน เป็นที่ ๆ ชาวเมืองจะพบกันเพื่อดูละคร และถกเถียงกันในเรื่องต่าง ๆ
กิจการ 19:30-32
เปาโลไม่ได้กลัวเลย แต่จะเข้าไปช่วยเพื่อน แต่..หัวเด็ดตีนขาด ไม่มีใครยอมให้เปาโลมีส่วนตรงนี้ พวกเขาคงต้องลากเปาโลออกไป เพราะเรื่องแบบนี้ เปาโลถนัดมาก!! ขณะนั้นเองคนก็เริ่มงุนงงว่า มาทำอะไรกันอยู่ เนื่องจากต่างคนต่างตะโกน ไม่เป็นเรื่อง
กิจการ 19:33-34
พวกยิวต้องการให้คนรู้ว่า ยิวกับเปาโลไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน แต่.. ช่างเงินช่างทองถือว่าถ้าเป็นยิวก็เป็นพวกเปาโลแน่นอน อเล็กซานเดอร์จึงไม่มีโอกาสจะพูดเลย
กิจการ 19:35-37
ผู้ว่าการเมืองเป็นคนเก่ง สามารถที่ทำให้คนที่กำลังโกรธสงบลงได้ ผู้ว่าจะไม่ยอมให้พวกเขาก่อจลาจลเพราะเดี๋ยวโรมจะเข้ามาคุมเข้มมากขึ้น ทำให้เขาทำงานไม่สะดวก จะกลายเป็นว่า โรมส่งคนมาควบคุมพวกเขาเอง อย่างนี้ ผู้ว่าก็รับไม่ได้เหมือนกัน
กิจการ 19:38-41
ใครมีเรื่องกับใคร ก็ไปฟ้องศาล อย่ามาทำให้บ้านเมืองต้องจลาจลอย่างนี้ ท่านให้ทุกคนเลิกชุมนุมได้
คนที่เข้ามาชุมนุมกันตอนนี้ก็เหนื่อยอ่อนไปตาม ๆ กัน ยังไม่ได้พักกันเลย เคยอยู่ทำงานไปกลับมาต้องโห่ร้องตะโกนสองชั่วโมง พวกเขาก็ฟังเหตุผลของผู้ว่าด้วย เป็นอันว่าเลิกรากันไป

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 1:12; 3:5-6; กิจการ 18:23
2* 1 ซามูเอล 3:7
3* กิจการ 18:25
4* มัทธิว 3:11
5* กิจการ 8:12, 16; 10:48
6* กิจการ 6:6; 8:17; 2:4; 10:46
8* กิจการ 17:2; 18:4; 1:3; 28:23
9* 2 ทิโมธี 1:15; กิจการ 9:2; 19:23; 22:4; 24:14

10* กิจการ 19:8; 20:31
11* มาระโก 16:20
12* กิจการ 5:15
13* มัทธิว 12:27; มาระโก 9:38; 1โครินธ์ 1:23; 2:2
17* ลูกา 1:65; 7:16
18* มัทธิว 3:6
20* กิจการ 6:7; 12:24

21* โรม 15:25; กิจการ 20:22; 20* โรม 1:13; 15:22-29
22* 1 ทิโมธี 1:2; โรม 16:23
23* 2 โครินธ์ 1:8; กิจการ 9:2
24* กิจการ 16:16, 19
26* อิสยาห์ 44:10-20
29* โรม 16:23; โคโลสี 4:10
33* 2 ทิโมธี 4:14; กิจการ 12:17

1 โครินธ์ 11 อาหารมื้อสุดท้าย

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ

1 โครินธ์ 11:1-2
ขอให้ท่านทำตามอย่างข้า เหมือนที่ข้าทำตามอย่างพระคริสต์
ข้าขอชมท่านที่ได้คิดถึงข้าในทุกเรื่องและยังดำเนินตาม
สิ่งที่ข้าได้ส่งต่อให้พวกท่านไว้
1 โครินธ์ 11:3
แต่ข้าต้องการให้ท่านรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน และผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์

1 โครินธ์ 11:4-5
ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยมีสิ่งปกคลุมศีรษะนั้น ก็นำความอับอายมายังศีรษะของเขา แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะก็นำความอับอายมายังศีรษะของเธอราวกับว่า เธอได้โกนผมไปแล้ว
1 โครินธ์ 11:6-7
ถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ ก็ควรตัดผมออกเสีย แต่ถ้าเป็นสิ่งน่าอายเมื่อผู้หญิงตัดผมหรือโกนผม เธอก็ควรคลุมศีรษะ ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า
ส่วนผู้หญิงเป็นสง่าราศีของผู้ชาย

1 โครินธ์ 11:8-10
เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้หญิง แต่ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้ชาย เพราะเหตุนี้ และเพื่อเห็นแก่ทูตสวรรค์ ผู้หญิงจึงควรมีสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้บนศีรษะของเธอ
1 โครินธ์ 11:11-12
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็ต้องพึ่งพาผู้ชายและผู้ชายก็พึ่งพาผู้หญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายก็เกิดมาจากหญิง และทุกสิ่งก็มาจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 11:13-14
ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยที่ไม่มีผ้าคลุมศีรษะ? ธรรมชาติเองได้สอนท่านไม่ใช่หรือว่าผู้ชายที่ไว้ผมยาวก็เป็นสิ่งที่น่าละอาย?
1 โครินธ์ 11:15-16
แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอ เพราะว่า ผมยาวที่ประทานให้เธอมาก็เพื่อปกคลุมศีรษะ แต่หากว่าใครจะคิดโต้แย้งเรื่องนี้ ทั้งเราและคริสตจักรก็ไ่ม่ได้มีธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมา

งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 11:17-18
สำหรับคำสั่งต่อไปนี้ ข้าไม่อาจชมท่านเพราะว่า การประชุมของท่านกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี อย่างแรกคือ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อมาประชุมกันในคริสตจักร พวกท่านแตกคอกัน และข้าก็คิดว่าต้องมีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง
1 โครินธ์ 11:19-21
เพราะคงมีการแตกแยกกันในพวกท่านเพื่อว่าจะเห็นชัดว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกเมื่อพวกท่านมาประชุมพร้อมกันนั้นจึงไม่ใช่การเข้ามาร่วมในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะในการกินอาหารนั้น คนหนึ่งก็กินอาหารของตนก่อน บางคนก็ยังหิวอยู่ และบางคนก็เมาค้าง
1 โครินธ์ 11:22
อะไรกัน? ท่านไม่มีบ้านของตนเองที่จะกินและดื่มหรือ? หรือท่านดูแคลนคริสตจักรของพระเจ้า และทำให้พี่น้องที่ขัดสนต้องอับอาย จะให้ข้าพูดอย่างไร? ชมเชยพวกท่านหรือ?
ข้าไม่อาจชมท่านในเรื่องนี้เลย

อาหารมื้อสุดท้าย

1 โครินธ์ 11:23-24
สิ่งที่ข้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าขอมอบให้พวกท่าน คือ ในคืนที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกทรยศนั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง หลังจากที่ทรงขอบพระคุณแล้วจึงทรงบิขนมปัง ตรัสว่านี่เป็นกายของเราที่ได้แตกสลายเพื่อเจ้าทั้งหลาย จงทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงเรา
1 โครินธ์ 11:25
หลังจากอาหารเย็น พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยวิธีการอย่างเดียวกันตรัสว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา ทุกครั้งที่เจ้าดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา”

การสำรวจตนเอง

1 โครินธ์ 11:26-27
เพราะว่าครั้งใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่ม ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
ดังนั้น ใครที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสมก็เท่ากับเขาทำผิดต่อพระกาย และพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1 โครินธ์ 11:28-29
ทุกคนต้องสำรวจตนเอง ก่อนที่กินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้เพราะผู้ใดที่กินและดื่มโดยไม่ระลึกถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับกินและดื่มเพื่อให้ตนเองถูกลงโทษ

1 โครินธ์ 11:30-32
ด้วยเหตุนี้ พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแรงและเจ็บป่วย และบ้างคนก็ล่วงหลับไปแล้ว แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเองอย่างถูกต้อง
เราก็จะไม่ถูกพิพากษา
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงลงวินัยเรา เพื่อว่าเราจะไม่ถูกพิพากษา
พร้อมกันกับโลก

1 โครินธ์ 11:33-34
ดังนั้น พี่น้องของข้า เมื่อพวกท่านมากินอาหารร่วมกัน ก็ควรรอกันและกัน ถ้าใครหิว ก็ให้กินมาจากบ้านก่อนเพื่อว่าเวลามาประชุมกัน ท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ข้าจะสอนท่านเมื่อข้ามา

อธิบายเพิ่มเติม

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ
1 โครินธ์ 11:1-2
แม้ว่าพี่น้องชาวโครินธ์จะมีปัญหาหลายอย่างในคริสตจักร แต่อย่าลืมว่า พวกเขาเขียนจดหมายมาหาท่านเพื่อขอคำแนะนำ (บทที่ 7) แสดงว่า มีคนที่เป็นห่วงคริสตจักร และต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องพวกเขาไม่ได้เสียหายไปหมด ทั้งคริสตจักร มีคนที่ไม่เชื่อฟัง และมีคนที่ต้องการติดตามพระเจ้าจริงจัง ท่านเปาโลบอกถึงหลักการที่ควรเดิน และวิธีที่ต้องเดินไปตามนั้น ที่สำคัญท่านให้เราเดินตามอย่างที่ท่านสัมพันธ์กับพระเจ้า
1 โครินธ์ 11:3
พระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์ ยอห์น 17:28 “พระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน นั่นคือพระองค์ทรงเป็นผู้นำของชีวิตชายทุกคนที่เชื่อ ผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง ทั้งบิดา ทั้งสามีเป็นผู้นำชีวิตของผู้หญิงนี่เป็นเหมือนสายงานว่า ใครเป็นคนต้น ใครเป็นคนต่อไป เป็นหลักการในการยอมรับผู้ที่มีสิทธิอำนาจหนือตน พระเยซูทรงเป็นต้นแบบให้เห็นชัดเจน
1 โครินธ์ 11:4-5
อย่าลืมว่า นี่เป็นหลักการของผู้เชื่อในโครินธ์ซึ่งมีวัฒนธรรมแตกต่างจากเรา ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อปฏิบัติของพี่น้องชาวโครินธ์ ทั้งชายและหญิงต่างมีหน้าที่ในการอธิษฐาน และการเผยพระดำรัสของพระเจ้าให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นกัน ต่อมาในศตวรรษที่ 3-4 ผู้ชายยิวก็เริ่มใช้ผ้าคลุมศีรษะเพราะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มตัลมุด ในศาสนายิว
1 โครินธ์ 11:6-7
ผู้หญิงที่อธิษฐานหรือกล่าวพระคำโดยไม่ได้คลุมศีรษะ ก็เหมือนกับว่า เธอไม่ให้เกียรติต่อสามี หรือบิดาซึ่งเป็นดั่งศีรษะของเธอ (ผู้นำของชีวิตเธอ)ผู้หญิงในสมัยของเปาโล ผู้หญิงคริสเตียนก็มักจะมีผ้าคลุมผมเมื่อเข้ามาอยู่ในการประชุมกับพี่น้อง ในสมัยนั้น ผู้หญิงที่ทำงานในวิหารเทพ มักจะไว้ผมสั้นกว่าปกติ และไม่คลุมศีรษะ เพื่อสื่อให้รู้ว่า เธอทำอาชีพอะไร ท่านเปาโลไม่ต้องการให้มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นผู้หญิง
1 โครินธ์ 11:8-10
ท่านเปาโลกำลังให้เหตุผลว่าเหตุที่ผู้ชายเป็นศีรษะของหญิงนั้น มาจากการทรงสร้างของพระเจ้าเลยแต่เสียดายที่เวลาล่วงเลยไป ผู้ชายจำนวนมากได้สละสิทธิของตนด้วยการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่พระเจ้าประทานให้ และที่กล่าวถึงทูตสวรรค์เพราะมีความเชื่อว่า ในการนมัสการพระเจ้า นอกจากที่พระเจ้าประทับอยู่เหนือการนมัสการแล้ว ยังมีวิญญาณของทูตสวรรค์เข้ามาเฝ้าดูด้วย 1 เปโตร 1:12
1 โครินธ์ 11:11-12
ที่สุดของที่สุดคือ ทั้งชายและหญิงมีต้นกำเนิดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เอวามาจากอาดัม แต่ลูก ๆก็มาจากเอวา และทั้งสองฝ่ายต่างต้องมีกันและกันจึงจะมีลูกหลานสืบต่อไปได้ ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันต่างต้องช่วยเหลือกันในการมีชีวิตอยู่และในการรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ บทบาทแตกต่าง แต่ความสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นเท่ากัน กาลาเทีย 3:28 ทุกคนต่างเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
1 โครินธ์ 11:13-14
แล้วในที่สุด ท่านเปาโลก็บอกให้พวกเขาตัดสินเอาว่า อะไรพอเหมาะ พอควรสำหรับคริสตจักร พี่น้องเองก็ต้องหาจุดที่ลงตัวสำหรับพวกเขา
ที่ว่าผู้ชายไว้ผมยาวน่าละอายนั้น คือในสังคมส่วนใหญ่ผู้หญิงจะต้องมีผมที่ยาวกว่า ผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิงแสดงว่า อยากเป็นหญิง เป็นสิ่งที่น่าละอายในสายตาของสังคมโบราณ

1 โครินธ์ 11:15-16
ท่านเปาโลสรุปว่า ผมยาวของผู้หญิงเป็นเหมือนกับสิ่งที่มาใช้คลุมศีรษะ เป็นอันว่า ในสมัยโบราณ ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงจะโกนศีรษะหรือตัดผมสั้นแบบผู้ชาย ไม่ชอบผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิง ในการที่จะแต่งตัวมาในที่ประชุม เป็นเรื่องของมารยาท ความเหมาะสมในสังคม เป็นเรื่องที่ทุกคริสตจักรจะต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมาะสมเอง เช่น ไม่ควรแต่งตัวเย้ายวนเพื่อดึงสายตามาที่ตัวเองเป็นต้น
1 โครินธ์ 11:17-18
การเข้ามาประชุมกันเป็นเรื่องนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 1:10-17 มาก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เน้นไปที่การเข้ามาชุมนุมกันเพื่องานเลี้ยงอาหารที่เรียกภาษาเดิมว่า การเลี้ยงแห่งความรัก เป็นงานเลี้ยงเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ความรักในหมู่พี่น้องมีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน เมื่อเลี้ยงกันแล้วก็มักจะตามด้วยพิธีศีลมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

1 โครินธ์ 11:19-21
“งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ทุกคนเอาอาหารมาแบ่งกันในงาน เป็นงานที่คนฐานะดีกว่า จะได้มีโอกาสแบ่งปันอาหารให้กับคนยากจน ขัดสน แต่ครั้งนี้ กลับมีการแตกแยกกัน มีความหมายเป็นภาพของผ้าที่ขาดออกจากกัน จากที่ท่านเปาโลกล่าวคือ บางคนกินของที่ตนเองเอามาเสียจนอิ่ม ส่วนคนยากจนไม่ได้มีอาหารมาแบ่งคนอื่น ก็ต้องหิวท้องกิ่วและยิ่งกว่านั้น ยังมีคนที่เมาราวกับงานเลี้ยงของคนภายนอก สับสนมาก
1 โครินธ์ 11:22 ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ถ้าอยากจะกินอย่างคนตะกละ อยากกินตามใจตัวเอง ขอกลับไปกินที่บ้านให้สบายใจเถิด อย่ามาทำให้พี่น้องที่ยากจนกว่า ต้องอับอายเพราะหิว ไม่มีอะไรกินทั้งที่เป็นงานเลี้ยง เจ้าของอาหารกับพรรคพวกกินเองหมดแล้ว สภาพเช่นนี้ เป็นการดูหมิ่นความรักของพระเจ้าโดยตรง พฤติกรรมดังกล่าวสืบเสื่องมาจากพวกเขาเคยกินเลี้ยงกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย เห็นแก่ตัวครั้งยังไม่เชื่อพระเจ้า

อาหารมื้อสุดท้าย
1 โครินธ์ 11:23-24
ที่จะพูดต่อไป เปาโลไม่ได้คิดขึ้นมาเองแต่ได้รับมาโดยตรงจากองค์พระเยซู ว่าในคืนสุดท้ายก่อนถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงถูกศิษย์ทรยศ ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังที่เป็นสัญลักษณ์ของร่างกายที่แตกออกเพื่อศิษย์ทุกคน พระองค์ทรงสั่งให้พวกเขาทำอย่างพระองค์ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เป็นพิธีเพื่อพิธี แต่เพื่อผู้ที่ร่วมกินขนมปังไร้เชื้อ (ซึ่งหมายถึงร่างกายที่ไร้บาป) จะระลึกย้อนไปในวันที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา 
1 โครินธ์ 11:25
ครั้งนี้ พระเยซูทรงหยิบถ้วยให้เขาระลึกถึงพระโลหิตที่พระเยซูได้ทรงหลั่งบนไม้กางเขนเพื่อเรา ไม่ใช่เลือดสัตว์เหมือนในพันธสัญญาเดิมดื่มเพื่อระลึกถึง ไม่ใช่ดื่มเฉย ๆ เป็นพิธีตามที่คริสตจักรได้ทำมาตลอดสองพันปี แต่ทุกครั้งที่ดื่ม ให้ระลึกถึงพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และ
ทำให้เราทั้งหลายได้พ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า ดื่มเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปเพื่อพระนามของพระองค์ ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตัวเอง

การสำรวจตนเอง
1 โครินธ์ 11:26-27
พระกิตติคุณถูกย้ำในพิธีศีลมหาสนิท ชี้ไปถึงการเกิด การสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ การคืนพระชนม์ และการเสด็จมาครั้งที่สองครั้งใดที่เราเข้ามามีส่วนในศีลมหาสนิท เราคิดถึงการสิ้นพระชนม์ และเรายังนึกถึงอนาคตที่พระองค์จะเสด็จกลับมาด้วย การเข้าร่วมพิธีศีลมหาสนิท
เป็นการยอมรับพร้อมกับพี่น้องว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาในอนาคต ส่วนการกินขนมปัง ดื่มจากถ้วยอย่างไม่เหมาะสมคือการกินดื่มโดยไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กินดื่มโดยยังมีความขมขื่นในกับพี่น้องอยู่เต็มหัวใจ จะต้องมีการสำนึกผิด สารภาพบาป กลับใจก่อนเข้ามาร่วมในพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:28-29
การสำรวจตนเองก่อนกินและดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ก่อนพิธีนั้น อาจไม่พอ เราเองควรจะสำรวจตัวเองเสมอ ก่อนหน้าที่จะมาร่วมพิธีนี้เราทุกคนได้มีโอกาสทำผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ไม่เว้นใครเลย การที่ท่านเปาโลเน้น ย้ำ ก็เพื่อปกป้องพี่น้องไม่ให้ทำผิดต่อพระเจ้าเพิ่มเติมวางรากฐานของการร่วมศีลมหาสนิทอย่างถูกต้องให้กับคริสตจักร เมื่อเข้าร่วมพิธี ต้องเข้าใจถึงความบริสุทธิ์แห่งพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:30-32
การไม่สำรวจตนเอง แล้วเข้าไปร่วมในพิธีอย่างไม่สมควร ทำให้พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์อ่อนแอเจ็บป่วย และตายไป คำพูดของท่านน่ากลัวมากท่านกำลังกล่าวถึงการตายก่อนเวลาอันสมควรพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราพิจารณาชีวิตของตนเอง ยังไม่ต้องถูกคนอื่นพิจารณาหรือตัดสินเสียด้วยซ้ำ การกลับใจใหม่เสียก่อนดีกว่า แต่บางครั้งพระเจ้าทรงลงวินัยเพื่อคนที่ทำผิด จะไม่ถูกพิพากษาอย่างชาวโลก
1 โครินธ์ 11:33-34
สิ่งที่ท่านเปาโลได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจถึงการกินอาหารร่วมกันว่า เป็นไปเพื่อส่งต่อความรักของคนต่างฐานะ ให้โอกาสคนที่ยากจนได้กินอาหารด้วย ให้มีมารยาทที่จะรู้จักรอกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรผิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ และสร้างระเบียบในการกินอาหารพร้อมกับพิธีมหาสนิทที่จะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* เอเฟซัส 5:1
3* เอเฟซัส 1:22; 4:15; 5:23; ปฐมกาล 3:16; ยอห์น 14:28
4* 1 โครินธ์ 12:10
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 21:12
6* กันดารวิถี 5:18
7* ปฐมกาล 1:26,27; 5:1; 9:6
8* ปฐมกาล 2:21-23

9* ปฐมกาล 2:18
11* กาลาเทีย 3:28
16* 1 ทิโมธี 6:4; 1 โครินธ์ 7:17
18* 1 โครินธ์ 1:10-12; 3:3
19* 1 ทิโมธี 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 13:3
21* ยูดา 12
22* 1 โครินธ์ 10:32; ยากอบ 2:6
23* 1 โครินธ์ 15:3, มัทธิว 26:26-28

26* ยอห์น 14:3
27* ยอห์น 6:51
28* 2 โครินธ์ 13:5
31* 1 ยอห์น 1:9
32* สดุดี 94:12
33* 1 โครินธ์ 14:26

กิจการ 18 เพื่อนร่วมงานจากพระเจ้า

เพื่อนร่วมรับใช้และทำงานหาเลี้ยงชีพ

พระเจ้าทรงบัญชาและประทานกำลังใจ

ผู้รับใช้หนุ่มจากแดนไกล

คำอธิบายเพิ่มเติม

เพื่อนร่วมรับใช้และทำงานหาเลี้ยงชีพ
กิจการ 18:1-4
จากเอเธนส์ เปาโลเดินทางไปเมืองโครินธ์ นี่เป็นการเดินทางในแถบเอเชียน้อย ที่นั่นได้พบพี่น้องสามีภรรยาซึ่งย้ายมาจากโรม และเป็นช่างทำงานเกี่ยวกับหนังเช่นกัน วันธรรมดาท่านเปาโลก็ทำงาน แต่วันสะบาโตจะไปที่ศาลาธรรมเพื่อประกาศพระนามพระเยซู
สามีภรรยาคู่นี้มาจากโรม เราจึงเห็นได้ว่า มีคริสเตียนยิวที่ย้ายไปโรม และถูกไล่ออกมา พวกเขาก็ยังกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เมดิเตอร์เรเนียน การประกาศพระนามของพระเจ้าก่อนหน้าเปาโลนี้ได้ผลดี. มีพี่น้องที่เข้มแข็งแม้ว่าจะถูกพวกยิวคอยบั่นทอนอยู่ตลอดเวลา
เมืองโครินธ์แตกต่างจากเมืองเอเธนส์คู่แข่งทางการค้า ในขณะที่เอเธนส์สนใจความเชื่อ สนใจเรื่องเทพต่าง ๆ คนโครินธ์เชี่ยวในการมั่วสุมทางเพศ เรื่องประเภทนี้ และหากได้อ่านจดหมายฝากไปถึงพี่น้องชาวโครินธ์เราจะเห็นว่า พวกเขายังชอบคนเก่งพูดด้วย จะยกย่องและให้เกียรติคนที่มีวาจาคมคายอย่างสูง
เพื่อนใหม่ทั้งสองของเปาโลนี้ก็เป็นผู้ที่รับใช้พระเจ้าอย่างแข็งขัน เปาโลได้พูดถึงคนทั้งสองในจดหมายของท่านหลายครั้ง และทั้งสองได้กลับไปรับใช้พระเจ้าที่โรมอีกด้วย (โรม 16:3)
กิจการ 18:5-6
ที่เมืองโครินธ์นี้เอง เปาโลได้ทุ่มสุดตัวในการสอน ที่เราจะเห็นชัดคือ ไม่ว่าเขาจะไปในเมืองใด ก็มักจะไปยังศาลาธรรมก่อนเพื่อน ไปคุยกับยิวก่อน แต่สำหรับครั้งนี้ คนยิวก็มาระรานอีก เปาโลจึงประกาศชัดว่าจะไม่รับผิดชอบพวกเขา และจะมุ่งประกาศพระกิตติคุณแก่คนต่างชาติ
ในเมื่อยิวปฏิเสธที่จะฟังเรื่องของพระเยซู เปาโลก็ปฏิเสธพวกเขาเช่นกัน!
กิจการ 18:7-8
แล้วเราก็เห็นว่า มีชาวโครินธ์เป็นจำนวนมากกลับใจมาพบพระเจ้า ถึงแม้พวกเขาจะยังมีประสบการณ์
และมีความคิดเห็นเดิม ๆ แบบชาวโครินธ์อยู่ เปาโลก็ยังมั่นใจเชื่อว่าพวกเขาจะเติบโตได้
ในโครินธ์นี้ คนที่เชื่อไม่ได้เป็นชนชั้นสูงเท่าไร แต่เป็นชาวเมืองธรรมดาที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย ที่เราทราบเพราะเปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 1:26
สำหรับทิทิอัส ยุสทัส เขาน่าจะเป็นคนเดียวกับกายอัสที่เปาโลกล่าวถึงใน 1 โครินธ์ 1:14

พระเจ้าทรงบัญชาและประทานกำลังใจ
กิจการ 18:9-11
ในระหว่างที่ประกาศกับชาวโครินธ์ พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเปาโล แต่ตรัสกับเขาในนิมิตว่า ไม่ให้กลัวสิ่งใดเพราะพระองค์ทรงอยู่ด้วย ..​นี่เป็นคำซึ่งพระเจ้าตรัสกับผู้ที่ติดตามพระองค์ในพระคัมภีร์เดิมให้เห็นบ่อย ๆ
ทรงย้ำด้วยพระองค์เองว่า มีคนมากมายของพระองค์ในเมืองนี้ ซึ่งทำให้เปาโลไม่ท้อใจ ถึงจะโดนต่อต้านเพียงไร แต่คริสตจักรก็เกิดแน่นอน เปาโลได้อาศัยในเมืองนี้นานถึงปีครึ่ง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานกว่าในเมืองใด ๆ ที่เข้าไปประกาศ. และในเมืองนี้เขาก็ไม่ได้ถูกทำร้ายรุนแรงเหมือนที่เจอในเมืองอื่น ๆ ด้วย
กิจการ 18:12-14
ยิวทำอะไรเปาโลไม่ได้ก็เลยไปฟ้องกัลลิโอซึ่งเป็นผู้ตรวจการ แต่กัลลิโอก็ไม่รับคำฟ้อง ถือเป็นเรื่องภายในของยิว จริง ๆ แล้วยิวต้องการขัดขวางเปาโลทุกวิถีทาง และความที่กลัวว่า เปาโลจะไปประกาศทั่วไปในแคว้นอาคายา พวกเขาถึงกับเข้าพบผู้ตรวจการแคว้นเลย แต่ดูเหมือนว่า คำกล่าวหาของเขาไม่ส่งผลอะไรกับการปกครอง กัลลิโอจึงไม่สนใจ
กิจการ 18:15-17
กัลลิโอเองยื่นคำขาดว่าไม่ตัดสินให้ในเรื่องของธรรมบัญญัติยิว ยิวจึงทำอะไรเปาโลไม่ได้ เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงทำให้กัลลิโอตัดสินใจอย่างถูกต้อง ในเมื่อไม่มีการทำผิดต่อโรม ก็ไม่ต้องไปสนใจทำคดีให้เสียเวลาพวกยิวโกรธนัก ก็เลยไปลากตัวโสสเธเนสซึ่งเป็นผู้ดูแลศาลาธรรม ที่ปล่อยให้เปาโลเข้าไปสอน มาเฆี่ยนให้กัลลิโอรับรู้ แต่กัลลิโอก็ไม่สนใจอยู่ดี
เราจะเห็นว่าความเกลียดชังที่ยิวมีต่อเรื่องของพระเยซูนั้น มันรุนแรงมาตั้งแต่สมัยคริสตจักรยุคแรก และยืดเยื้อมานาน จนในสมัยนี้พวกยิวออโธดอกซ์ในประเทศอิสราเอล ก็ยังเกลียดชังพระกิตติคุณอยู่ เป็นความเกลียดต่อเนื่องมาหลายศตวรรษ
กิจการ 18:18
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เปาโลมีกำลังใจ .. ต่อมาจึงเดินทางไปซีเรียพร้อมสามีภรรยาเพื่อนร่วมงาน
พิธีกล้อนผมเพราะ การสาบานตนนี้ น่าจะเป็นพวกที่เรียกว่า นาศีร์ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยของโมเสส คือชายชาวยิวที่จะเว้นจากเหล้า องุ่น รักษาตัวให้บริสุทธิ์ เข้าใกล้ชิดพระเจ้า และปล่อยให้ผมยาวไปเรื่อย ๆ โดยจัดเป็นช่วงเวลาที่จะอุทิศตนให้กับพระเจ้า(กันดารวิถี 6:1-21)
การที่เปาโลกล้อนผมหลังจากทำงานที่โครินธ์ก็อาจเป็นไปได้ที่ท่านอาจเคยสาบานตนไว้ก่อนหน้านี้
กิจการ 18:19-21a
จำได้ไหม เปาโลอยากไปเอเฟซัสก่อนหน้านี้ แต่พระเจ้าทรงห้ามไว้ ( 16: 6) พระวิญญาณทรงห้ามไม่ให้ไปทางนั้น โดยมีนิมิตจากชายชาวมาซิโดเนียให้เดินทางไปยุโรป. ครั้งนี้ พอถึงเอเฟซัส เปาโลก็ดีใจมาก เข้าไปศาลาธรรมทันที และหลังจากที่ได้สนทนาเรื่องของพระเจ้านาน ๆ ขนาดนั้น คนที่เอเฟซัสก็อยากให้ท่านอยู่ แต่ท่านมีภาระใจในที่อื่น
กิจการ 18:21b-23
การเดินทางครั้งนี้ เป็นความพยายามที่จะเยี่ยมพี่น้อง และเสริมสร้างความเชื่อ เปาโลเอาจริงเอาจังมาก ๆ และมีคนเชื่อไม่น้อย

ผู้รับใช้หนุ่มจากแดนไกล
กิจการ 18:24-25
ต่อมาผู้เขียนได้กล่าวถึงชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวยิว ที่มีคำพูดดี น่าฟัง และกล้าหาญ ทำให้ผู้คนชอบเข้ามาฟังเขาพูด เขามาที่เอเฟซัส และกลายเป็นคนที่ใคร ๆ นิยม
เขาที่เกิดในอัฟริกาเหนือ เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เป็นที่สองในอาณาจักรโรม เป็นเมืองท่าที่สร้างขึ้นโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เมืองนี้มีห้องสมุดใหญ่ด้วย แสดงว่าผู้คนในเมืองนี้เป็นนักคิด นักศึกษาค้นคว้า คนชาวกรีก โรม อียิปต์ และยิว อยู่กันอย่างคับคั่งรวมกันในเมืองนี้
สิ่งหนึ่งที่ท่านลูกาผู้เขียนได้สังเกตให้เราคือ อปอลโลผู้นี้ มีความรู้เรื่องพระคัมภีร์ดีมาก ..
อปอลโลมีความเข้าใจเรื่องบัพติศมาของยอห์น นั่นก็คือ บัพติศมาแห่งการกลับใจใหม่ ดูเหมือนว่าอปอลโลจะรู้จักพระคัมภีร์เดิมเป็นอย่างดี แต่ยังไม่รู้เรื่องของพระเยซู และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
กิจการ 18:26
ปริสสิลลา และอาควิลลาเห็นดังนั้น ก็เลยเชิญมาและเพิ่มเติมความเข้าใจให้เขา ซึ่งทำให้อปอลโลยิ่งลึกซึ้งในพระคัมภีร์ มากขึ้น เราเห็นเลยว่า อปอลโลเป็นคนมีปัญญาจริง ๆ ก็ตรงที่เขามีความถ่อมตนที่จะเรียนรู้ เป็นคนที่ยอมฟังผู้อื่น ไม่ใช่คนหนุ่มที่คิดว่าตัวเองเหนือใคร ๆ
งานของพระเจ้าจึงขยายไปด้วยผู้รับใช้ที่ร่วมมือกัน และยอมฟังกันและกัน
กิจการ 18:27-28
แล้วอปอลโลก็มีภาระใจที่แตกต่างขึ้นมา เขาพร้อมที่จะไปแคว้นอาคายา และได้ไปคุยกับยิวโดยไม่กลัว
ในขณะที่พี่น้องต่างชาติที่เชื่อพระเจ้าไม่รู้จะตอบยิวอย่างไร อปอลโลคนนี้เป็นหน้าทัพไปเผชิญหน้าต่อกรกับยิวด้วยตัวเอง



พระคำเชื่อมโยง

2* 1โครินธ์ 16:19
3* กิจการ 20:34
4* กิจการ 17:2
5* กิจการ 17:14, 15; 18:28
6* กิจการ 13:45; เนหะมีย์ 5:13; 2 ซามูเอล 1:16; เอเสเคียล 3:18-19 ; กิจการ 13:46-48; 28:28

8* 1โครินธ์ 1:14
9* กิจการ 23:11
10* เยเรมีย์1:18,19
15* กิจการ 23:29; 25:19
17* 1โครินธ์ 1:1
18* กิจการ 21:24; โรม 16:1

21* กิจการ 19:21; 20:16; 1โครินธ์ 4:19
22* กิจการ 8:40
23* กาลาเทีย 1:12; กิจการ 14:22; 15:32, 21
24* ทิตัส 3:13
25* โรม 12:11; กิจการ 19:3
27* 1โครินธ์ 3:6

มาระโก 4 อุปมาเรื่องดินและเมล็ดพันธุ์

(มัทธิว 13:1-9; ลูกา 8:4-8)
1 อีกครั้ง ที่พระเยซูทรงสอนริมทะเลสาบ  มีคนจำนวนมากห้อมล้อมพระองค์ ดังนั้น จึงทรงลงเรือและประทับนั่งในเรือ ส่วนประชาชนชุมนุมกันตามชายฝั่ง 2 พระองค์ทรงสอนพวกเขาเป็นคำอุปมาหลายเรื่อง ทรงสอนว่า
3 “จงฟังให้ดี มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 4 ระหว่างที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดพันธุ์ตกไปตามทาง แล้วก็มีนกมาจิกกินจนหมด 5 บางเมล็ดพันธุ์ตกลงบนพื้นหิน ไม่ค่อยมีเนื้อดิน จึงงอกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะดินตื้น 6 แต่เมื่อแสงแดดส่อง เมล็ดก็ถูกความร้อนเผา มันจึงเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก 7 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามต้นไม้หนามที่เติบโต แย่งอาหารไป ทำให้เมล็ดพันธุ์นั้นไม่อาจเติบโตขึ้นมา 8 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกลงบนดินดี ซึ่งมันงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่า บ้างก็หกสิบเท่า บ้างก็ร้อยเท่า
9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “คนที่มีหูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด”

จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(อิสยาห์ 6:1-13; 13:10-17; ลูกา 8:9-10)
10 พอพระองค์ทรงอยู่ตามลำพังกับศิษย์ทั้งสิบสอง 
และคนอื่น ๆ ที่ล้อมอยู่ พวกเขาก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น11 พระองค์ตรัสว่า “ความลี้ลับของแผ่นดินของพระเจ้านั้นได้มอบให้กับพวกท่าน แต่สำหรับคนนอกนั้นทุกอย่างจะได้รับฟังเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า “พวกเขาจะมองดูไปเรื่อย แต่ไม่มีวันมองเห็นจริง พวกเขาจะฟังไปเรื่อย แต่ไม่มีวันเข้าใจ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้า และได้รับการอภัย!”

คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(มัทธิว 13:18-23; ลูกา 8:11-15)
13 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องอุปมานี้รึ? แล้วเจ้าจะเข้าใจเรื่องอุปมาอื่น ๆ ได้อย่างไร?” 14 ชาวนาเขาได้หว่านพระคำ 15 บางคนนั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทาง ที่พระคำถูกหว่านไป พอได้ยินพระคำ ซาตานก็มาและเอาพระคำที่หว่านให้พวกเขานั้นไปเสียทันที 16 บางคนเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทางหินเขาได้ยินพระคำ และได้รับด้วยความยินดีอย่างรวดเร็ว 17 แต่เป็นเพราะไม่มีราก พวกเขาจึงอยู่เป็นต้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อมีความยากลำบากหรือการข่มเหงเกิดขึ้นเนื่องจากพระคำนั้นพวกเขาก็เลิกเชื่อทันควัน 18 คนอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธ์ุที่หว่านลงกลางหมู่ต้นหนาม พวกเขาได้ยินพระคำ 19 แต่แล้วความกังวลเรื่องชีวิต ความอยากที่จะรวย และความต้องการสิ่งต่าง ๆเข้ามาถมทับพระคำนั้น จึงไม่เกิดผล 20 และคนอื่นก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงบนดินดี เมื่อได้ยินพระคำก็ตอบรับ และเกิดผล สามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือร้อยเท่า

เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า 
(ลูกา 8:16-18)
21 แล้วพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า
“มีใครบ้างที่นำเอาตะเกียงเข้ามาแล้ววางมันไว้ใต้ตะกร้าหรือใต้เตียง? 
เขาจะไม่วางมันไว้บนเชิงตะเกียงอย่างนั้นหรือ?
22 เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกเปิดเผย 
และไม่มีสิ่งใดที่ถูกปกปิดไว้จะไม่ถูกนำมาเผยในที่แจ้ง 23 ใครมีหูที่จะฟัง ก็ฟังเถิด”


การได้รับคืนจากการให้
24 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “จงพิจารณาสิ่งที่เจ้าได้ยินให้ดี
เจ้าตวงให้คนอื่นด้วยทะนานขนาดใด
เจ้าจะได้รับเท่ากับทะนานขนาดนั้น
และอาจจะได้รับเพิ่มเติมขึ้น
25 เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีก
แต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” 

คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
26 พระองค์ยังตรัสอีกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่โปรยเมล็ดพันธุ์ลงไปบนดิน 27 ทั้งคืนและวัน เขาหลับและตื่น  ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็งอกเติบโตไป ทั้งที่เขาไม่รู้ขบวนการงอก การเติบโตของมัน 28  และด้วยตัวของดิน ดินก็ทำให้เกิดผลเป็นต้นอ่อนและมีรวงจากนั้นก็มีเมล็ดข้าวสุกเต็มรวง29 เมื่อข้าวสุกแก่เต็มที่ เขาก็นำเคียวไปเกี่ยวเก็บเพราะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
(มัทธิว 13:31-32; ลูกา 13:18-19)
30 ต่อมา พระองค์ตรัสถามว่า“เอ เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใดดี? เราจะใช้คำอุปมาแบบใดมาอธิบาย?  31 อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์มัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กจิ๋วที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่เขาหว่านลงไปในดิน 32 แต่หลังจากที่มันงอกขึ้นแล้ว มันเติบโตกลายเป็นต้นใหญ่สุดในบรรดาพืชสวนทั้งหลาย มันขยายแผ่กิ่งก้านออกไป จนนกในอากาศก็มาทำรังใต้ร่มของมัน” 33 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาคล้ายคลึงกันแบบนี้อีกหลายเรื่อง เท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ 34 พระองค์ไม่ตรัสแบบอื่นนอกจากการใช้คำอุปมาแต่พออยู่กันเป็นส่วนตัว พระองค์ก็ทรงอธิบายทุกสิ่งกับศิษย์ของพระองค์ 

ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
(สดุดี 107:1–43; มัทธิว 8:23–27; ลูกา 8:22–25)
35 วันนั้น เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์ตรัสกับศิษย์ว่า “เราข้ามไปอีกฝั่งกันเถิด”36 หลังจากที่พวกเขาทิ้งฝูงชนไว้ พวกเขาก็ไปกับพระองค์ซึ่งประทับอยู่ในเรือแล้ว แต่ก็มีเรืออื่น ๆ ตามไปด้วย 

37 ไม่นาน ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้น คลื่นโถมเข้ามาในเรือจนเรือเกือบจะจม 
38 แต่พระเยซูทรงอยู่ท้ายเรือ บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่พวกเขาไปปลุกพระองค์ ร้องว่า “อาจารย์เจ้าข้าพระองค์ไม่ทรงสนใจหรือว่า พวกเรากำลังจะจมน้ำตายแล้ว?”


39 พระเยซูทรงลุกขึ้นและตรัสห้ามลมพายุ
ทรงกำชับทะเลว่า“จงเงียบสงบ!”
พระองค์ทรงสั่ง “จงสงบนิ่ง!”
ลมก็หยุดพัด และทะเลก็สงบนิ่ง

40 “ทำไมเจ้าจึงกลัวนัก” พระองค์ตรัสถาม
“เจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือนี่?”
41ด้วยความตกใจกลัว ศิษย์จึงถามกันว่า
“ท่านผู้นี้เป็นใครกันนะ?
ทำไมแม้กระทั่งพายุและทะเลยังเชื่อฟังคำของท่าน?”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 4:1-9 คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์กับดินสี่แบบ
พระเยซูคริสต์ของเรา ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่มาเพื่อจะสำแดงพระเจ้าให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพระองค์ก็จะทรงช่วยบอกให้คนได้รู้ว่า จะมาหาพระเจ้าได้อย่างไร แต่หากพระเยซูทรงเทศนาด้วยคำที่ยาก ๆ  เช่นความรอดคืออะไร กลับใจแปลว่าอะไร ..  แบบนี้ คงยากที่คนจะฟังและรับรู้ได้  พระเยซูทรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองที่ไม่ได้มีความรู้สูง บางคนใจเปิด บางคนแค่มาดูการอัศจรรย์ของพระเยซู แต่จะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย..
พระเยซูจึงทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา เพื่ออธิบายความเป็นไปฝ่ายวิญญาณให้พวกเขาฟัง พระองค์ใช้การเล่าเรื่องเปรียบเทียบ เป็นเรื่องอุปมาที่พวกเขาได้ยินแล้วก็จะจำได้ แม้จะไม่เข้าใจดี ก็ยังจำได้เมื่อกลับไปบ้าน  มาระโกบทที่  4  นี้จึงมีเรื่องอุปมาหลายเรื่องที่ทรงสอนจากเรือลำเล็ก ๆ ที่อยู่ริมฝั่งทะเลกาลิลี 
ทรงเริ่มต้นด้วยคำว่า จงฟังให้ดี จบด้วยคำว่า คนที่หูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด
เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมพระเยซูตรัสเช่นนี้ เป็นเพราะ มีคนที่ฟัง และตั้งใจและอยากรู้ความหมาย และมีคนที่ฟังแล้วแค่ฟัง ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไรต่อชีวิตตนเอง  ฟังแล้วจำได้ไม่นานก็ลืม ไม่ค้นหาความหมายของเรื่องราว  คำตรัสที่บอกว่า มีหูก็ให้ฟัง เป็นคำที่คนยิวใช้อยู่แล้ว มีความหมายว่า ให้ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจก็จะไม่ได้อะไรกลับไป
เราจะเห็นดินสี่ชนิดที่พระเยซูกล่าวถึง พื้นที่ในปาเลสไตน์นั้นมีหินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ท้องนาดำ ๆ เหมือนบ้านเรา หินเป็นสิ่งที่อยู่ทั่วผสมไปกับดิน จะทำไร่นาก็ต้องจัดการกับหินก่อนอื่นใด … อ่านดี ๆ เราจะพบ
1ทาง(ซึ่งเป็นทางคนเดิน ไม่อาจปลูกอะไรขึ้น ดินแข็ง)
2 พื้นหินที่มีดินน้อย
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต 

มาระโก 4:10-12 จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
ดูเหมือนว่า ข้อ 10-20 เป็นเรื่องเล่าที่มาระโกบอกว่า เวลาอยู่ตามลำพัง พระเยซูทรงสอน อธิบายอะไร
โรม 16:25-26 อธิบายไว้ว่า มีความจริงที่ถูกปิดบังไว้หลายชั่วอายุคน แต่ตอนนี้ เปิดเผยแล้ว .. เปิดเผยเพื่อคนทุกชาติจะได้เชื่อและทำตามคำของพระเจ้า
อิสยาห์ 6:9-10 ว่า จะมีการฟังแล้วฟังอีกแต่ไม่เข้าใจ  ดูแล้วดูอีกแต่ก็ไม่เห็น
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูทรงประสงค์ให้คนไม่เข้าใจ พระองค์ได้บอกเคล็ดลับว่า ถ้าฟัง เข้าใจ มองเห็นก็จะเกิดการกลับใจ พระเจ้าจะทรงให้อภัยบาป พวกเขาจะได้รับพระพรยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่จะมีคนที่ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจเพราะใจของเขาปิดต่อพระคำของพระเจ้า ในสมัยพระเยซูเห็นชัดได้จากพวกธรรมาจารย์ ฟาริสีส่วนใหญ่ ที่เอาแต่ต่อต้าน ไม่ยอมฟัง   

มาระโก 4:13-20 คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
คำอุปมาเรื่องนี้น่าจะง่ายสุด เพราะตรัสว่า ถ้าไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้ จะเข้าใจเรื่องอื่นไม่ได้ จากนั้น พระเยซูก็ทรงอธิบายความหมายของอุปมานี้ให้ศิษย์เข้าใจว่ามีดินสี่แบบ ที่เมล็ดพันธ์ุจะไปตกอยู่… หมายถึงหัวใจของคนสี่แบบที่ฟังพระคำแล้วตอบสนองต่างกัน
แบบแรก
1 ทางเดิน (ซึ่งเป็นทางคนเดินดินแข็งมาก แถมมีนกมารอจิก) เป็นใจที่แข็ง ได้ยินพระคำก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะมารมาช่วยให้ลืม ให้ไม่สนใจ ไม่แคร์กับคำเหล่านั้น อาจจะดูถูกเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ
2 พื้นหินที่มีดินน้อย  เป็นใจที่มีอารมณ์ตื่นเต้น  ชอบที่ได้ยินพระคำ  เกิดผลบ้างในใจ แต่ไม่นานก็ลืมพระคำนั้นไป ไม่สนใจ บางคนเจอความยากในการเชื่อพระเจ้าก็เลยจบ กลับไปมีชีวิตเดิม ๆ
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น เป็นหัวใจที่ได้ยินพระคำของพระเจ้า  ก็ได้ยินชัด รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับพวกเขา พระคำของพระเจ้า ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องชีวิตส่วนตัว การใช้ชีวิตประจำวัน  การงาน เรื่องอื่น ๆ สำคัญยิ่งกว่า พวกเขาสนใจเรื่องเหล่านั้น พระคำจึงไม่เกิดผลในหัวใจนี้ 
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต  เป็นดินดีที่พร้อมจะให้เมล็ดพันธุ์งอกเป็นต้น เป็นหัวใจที่ฟังพระคำแล้ว ตอบรับ เอาใจใส่ ติดตาม ตัดสินใจไปตามทางของพระเจ้า พวกเขาจึงมีชีวิตที่เกิดผล
จากดินสี่แบบเราเห็นว่า เกิดผลแค่ ยี่สิบห้าเปอร์เซนต์  แต่ในดินชนิดที่สี่ ในตัวของเขาเกิดผลหลายเท่าเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า … (ยอห์น 15:8)

มาระโก 4:21-23เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า
เรื่องราวนี้มีอยู่ในมัทธิว และลูกาด้วย  แต่สำหรับมาระโกแล้ว มีความพิเศษ เพราะมาระโกได้ ให้ความสำคัญกับคำว่า ตะเกียง ด้วยการบอกย้ำชัดในภาษาเดิมว่า ตะเกียงดวงนั้น คือ ὁ λύχνος โฮ ลุคโนส( หรือ the lamp ) ซึ่งทำให้เราเข้าใจทันทีว่า พระเยซูกำลังตรัสว่า  พระองค์คือผู้ทรงเป็นแสงสว่าง ไม่ได้อยู่เพื่อถูกปิดไว้เงียบ ๆ แต่ว่า จะเป็นที่ประกาศเปิดเผยให้คนทั้งหลายได้เห็น ได้รับแสงนั้น   พระองค์ที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้สามสิบปีนั้น มาบัดนี้ เปิดเผยแล้วว่า พระองค์คือผู้ใด  คนที่มีหู จะเข้าใจความหมาย แต่ในเวลาที่พระองค์ตรัสนั้น ทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจ

มาระโก 4:24-25 การได้รับคืนจากการให้
เราอาจเคยเข้าใจว่า อุปมาเรื่องนี้ มีความหมายว่าถ้าเราให้ใครขนาดเท่าไร พระเจ้าจะทรงคืนให้อย่างนั้น และจะเพิ่มให้ด้วย แต่คำของพระเยซูในประโยคต่อมาที่ว่า “เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกแต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าคนที่มีน้อย น่าจะได้เพิ่มมิใช่หรือ?
ถ้าเราฟังพระคำของพระเจ้า เราตอบสนองคำของพระองค์อย่างดี ก็เหมือนกับการตวงให้พระเจ้าด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเรามอบใจให้กับพระคำ เราก็จะได้ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้ากลับคืนมา ไม่ใช่แค่ที่อ่าน เรียนไป หรือทำตามไป แต่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้อีก ให้มีความเข้าใจมากขึ้น (เอเฟซัส 1:17) ส่วนคนที่มีอยู่น้อยนิดคือคนที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระเจ้าเลย อาจจะปฏิเสธพระองค์ด้วยซ้ำ สิ่งดี ๆ จากพระคำของพระเจ้าที่เขาเคยมี ก็จะค่อย ๆ หายไปจากตัว และไม่หลงเหลือร่องรอยไว้

มาระโก 4:26-29 คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
พระเยซูทรงประสงค์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจว่า อาณาจักรของพระเจ้า นั้นเป็นงานของพระเจ้าพร้อมกับที่มนุษย์ช่วยกันทำกับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเป็นผู้หว่านพระคำออกไป หว่านไปทางนั้น ทางนี้ ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในที่ทำงาน ในโรงงาน ในสถานที่ส่วนตัวและในที่สาธารณะ  แต่แล้ว ผลที่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนหว่าน  หรือคนที่ปลูกและงานนี้มีหลายคนทำ ไม่ได้ทำอยู่คนเดียว  หน้าที่ของเราคือการหว่าน ไม่ใช่การทำให้เติบโตคนที่หว่านก็ใช้ชีวิตของตนไป และฝากการเกิดผลไว้กับพระเจ้า เราไม่ทราบหรอกว่า สิ่งที่หว่านไปนั้น จะไปเกิดผลในหัวใจของคนไหนบ้างจากนั้นคนที่หว่านจะไปเกี่ยว หรืออาจมีคนอื่นไปช่วยเกี่ยว พวกเขาคือคนงานในไร่นาของพระเจ้าทำงานในหน้าที่ต่อไป
1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

มาระโก 4:30-34  คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
พระเยซูตรัสว่า เมล็ดพันธุ์เล็กที่สุด คือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เล็กสุดซึ่งพวกเขารู้จักกันในเวลานั้น เพราะในปัจจุบันเรายังพบเมล็ดที่เล็กกว่า แต่ตอนนี้เราต้องเข้าใจว่า นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในปาเลสโตน์ รู้จักและเข้าใจดี  นี่เป็นคำเปรียบเทียบของพระเยซู มันเล็กกว่าเมล็ดพันธุ์ของปาล์ม หรือมะเดื่อ หรือ องุ่น
เมื่อมีคนเอาเจ้าเมล็ดพันธุ์นี้ปลูกลงไปในดิน สิ่งที่เล็ก ๆ ดูไม่เหมือนสำคัญนี้ สามารถกลายเป็นต้นใหญ่โตได้ แถมยังใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ ด้วย เมล็ดพันธุ์นี้คือพระคำของพระเจ้าที่จะเกิดผลในหัวใจของเรา  เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเราทำการของพระเจ้าอยู่ เราไม่ได้เสียเปล่าในการรับใช้ เมื่อเราเรียนพระคำของพระองค์อยู่ แม้เมื่อเราลืมสิ่งที่เราเรียน แม้คนที่ฟังพระกิตติคุณจะต่อต้าน  แต่ขบวนการงอก การเติบโตของพระคำของพระเจ้ายังอยู่ในตัวและมันจะเกิดผลในเวลาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย 

มาระโก 4:35-41 ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
เมื่ออ่านมาถึงพระคำตอนที่บอกว่า พระเยซูทรงห้ามพายุ อาจจะมีการแปลความหมายไปหลายอย่างเช่น เมื่อเรามีพายุ ปัญหาหนักในชีวิต พระเจ้าจะทรงทำให้สงบ
 หรือ พระเยซูกำลังห้ามลม เหมือนกับที่ทรงห้ามผีสิงคน  และบางคนอาจรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้ไม่เกิดในสมัยนี้หรอก 
หากเราจะมองอีกมุม มองในแง่ของคนยิว หรือศิษย์ที่อยู่กับพระองค์ในเวลาแห่งความน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น เราอาจจะได้พบอะไรที่แตกต่างไปจากนั้น
นั่นก็คือ คนยิวรู้จากพันธสัญญาเดิมที่พวกเขาอ่านว่า  พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ไม่มีใครทำได้อย่างพระองค์ 
สดุดี 65:7 พระเจ้าทรงระงับเสียงคลื่นทะเล เสียงครึกโครมของคลื่น ..
สดุดี 89:9 พระเจ้าทรงครองเหนือทะเลที่ปั่นป่วน เมื่อคลื่นกระหน่ำ ทรงทำให้สงบข้อ 11 ยืนยันว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ..
อิสยาห์ 50:2  เราสั่งคำเดียว ทะเลก็แห้ง..
สดุดี 107:23-30 เป็นภาพใกล้เคียงกับที่เกิดกับทุกคนในเรื่องนี้ 
โยบ 38 ทั้งบท ได้ยืนยันว่า พระเจ้าทรงอยู่เหนือทะเล ข้อ 8 ถามว่า ใครเป็นผู้ปิดประตูกั้นทะเล..​

ดังนั้น เมื่อศิษย์ของพระเยซูมาเรียกพระองค์ แถมยังตัดพ้อว่า พระองค์ไม่สนพระทัย  พระองค์ก็ตรัสให้พายุสงบและน้ำทะเลนิ่งได้อย่างเหนือคาด เหนือธรรมชาติเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาอึ้งไปทันควัน .. พวกเขาถามกันว่า พระองค์คือใคร  และยังเจอกับคำถามของพระเยซูด้วยว่า ทำไมจึงกลัว ไม่เชื่อหรือ?
การที่พระเยซูทรงสยบพายุครั้งนี้ เป็นการบอกให้ศิษย์ทุกคนรู้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือพายุเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือพายุ และนี่ชี้ให้พวกเขาเข้าใจตั้งแต่ต้นเลยว่า พระองค์คือพระเจ้าที่ลงมาในโลก  พระเยซูสามารถทำการยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าได้!
ถ้าเราจะย้อนดูสิ่งที่มาระโกเล่าให้เรานั้น เราจะเห็นว่า การอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ ยังไม่ถึงขนาดปราบธรรมชาติอย่างนี้ ทรงรักษาโรค ทรงยกโทษให้ ทรงสอนแผ่นดินของพระเจ้า ..
ความยำเกรงที่เกิดกับเหล่าศิษย์ไม่ได้เหมือนกลัวพายุ แต่เป็นความยำเกรงที่พระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ และพวกเขารู้แล้วว่า พระองค์ทรงห่วง อย่าได้ถามพระองค์อีกว่า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ อย่าขาดความเชื่อต่อไป.. ให้วางใจพระเจ้าสุดใจ

พระคำเชื่อมโยง

มาระโก 4
1* ลูกา 8:4-10
2* มาระโก 12:38
10* ลูกา 8:9
11* 1 โครินธ์ 2:10-16; โคโลสี 4:5
12* อิสยาห์ 6:9, 10; 43:8
14* มัทธิว 13:18-23
19* ลูกา 21:34; 1 ทิโมธี 9,10,17
20* โรม 7:4

21* มัทธิว 5:15
22* มัทธิว 10:26, 27
23* มัทธิว 11:15; 13:9, 43
24* มัทธิว 7:2
25* ลูกา 8:18; 19:26
26* มัทธิว 13:24-30, 36-43
27* 2 เปโตร 3:18
28* ยอห์น12:24
29* วิวรณ์ 14:15

30* มัทธิว 13:31, 32
33* มัทธิว 13:34, 35
34* ลูกา 24:27, 45
35* ลูกา 8:22, 2538* มัทธิว 23:8-10; สดุดี 44:23
39* ลูกา 4:39; สดุดี 65:7 89:9; 93:4; 104:6,7
40* มัทธิว 14:31,32