2 โครินธ์ 4 สิ่งที่ไม่เห็นดำรงนิรันดร์

2 โครินธ์ 4:1-2
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับใช้ในพันธกิจนี้ โดยที่พระเจ้าทรงเมตตาเรา เราจึงไม่ท้อแท้เราไม่ทำแอบทำการลับ ๆ ที่น่าอับอายไม่หลอกลวงใคร ไม่บิดเบือนพระดำรัสของพระเจ้า แต่ประกาศความจริงอย่างเปิดเผย เราแสดงตัวของเราต่อมโนธรรมของทุกคน ในสายพระเนตรพระเจ้า

2 โครินธ์ 4:3-4
แต่หากว่า ข่าวประเสริฐที่เราประกาศยังถูกปิดบังไว้อีก ก็คือถูกปิดบังไว้จากคนที่กำลังจะพินาศเท่านั้น เจ้าแห่งยุคนี้ได้ปิดตาใจไว้ ทำให้เขาไม่เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐแห่งสง่าราศีของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า

2 โครินธ์ 4:5
เพราะว่า เราไม่ได้ประกาศตัวเราเองแต่ประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่า เราเป็นทาสของพวกท่านเพราะเห็นแก่องค์พระเยซู
2 โครินธ์ 4:6
เพราะพระเจ้าผู้ได้ตรัสว่า“ความสว่าง จงส่องออกมาจากความมืด”
คือพระองค์ผู้ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเราเพื่อให้เราได้รู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์

2 โครินธ์ 4:7
แต่เรามีสมบัติล้ำค่าอยู่ในภาชนะดินเพื่อให้รู้ว่า ฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่นี้มาจากพระเจ้า และไม่ได้มาจากตัวของเราเอง
2 โครินธ์ 4:8-9
เราเผชิญความทุกข์ยากรอบด้านแต่ก็ไม่แตกสลาย เรารู้สึกสับสนงงงัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้เราถูกกดขี่ข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้งเราถูกฟาดจนล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลายไป


2 โครินธ์ 4:10
เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายของเราทุกเวลาเพื่อว่า ชีวิตของพระเยซูจะเป็นที่ประจักษ์ในร่างกายของเรา
2 โครินธ์ 4:11-12
เพราะว่า เราซึ่งมีชีวิตอยู่นี้ ก็ถูกยื่นให้กับความตายอยู่เสมอ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราที่ต้องตายดังนั้น ความตายจึงทำงานอยู่ในตัวเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานในตัวพวกท่าน

2 โครินธ์ 4:13-14
แต่ในเมื่อเรามีวิญญาณความเชื่อเดียวกันตามที่มีเขียนไว้ว่า “ข้าเชื่อดังนั้นข้าจึงพูดออกมา” เราเองก็เชื่อ ดังนั้นเราจึงพูดออกมาด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นกับพระคริสต์ และจะทรงนำเราไปเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พร้อมกับพวกท่าน

2 โครินธ์ 4:15
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน เพื่อว่า เมื่อพระคุณได้เข้ามาแตะต้องคนเป็นจำนวนมากก็จะทำให้เกิดการขอบพระคุณมากด้วยเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

2 โครินธ์ 4:16
ดังนั้น เราจึงไม่ท้อแท้หมดหวัง ถึงแม้ว่าร่างกายของเรากำลังเสื่อมไป แต่ภายในของเรานั้นกำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุก ๆ วัน

2 โครินธ์ 4:17-18
เพราะความทุกข์ยากเบา ๆ ชั่วขณะหนึ่งนั้น ส่งผลให้เรามีสง่าราศีนิรันดร์ซึ่งไม่มีอะไรมาเปรียบได้ เพราะเราไม่ได้เฝ้ามองสิ่งที่มองเห็น แต่เฝ้ามองสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นได้ก็อยู่ชั่วคราวแต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ดำรงนิรันดร์

คำอธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 4:1-2
ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่า หากเราได้มีชีวตที่รับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการรับใช้แบบไหน ต้องถือว่าเป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ให้เราทำการนั้น สิ่งที่ทำให้เราเป็นผู้รับใช้ที่เหมาะสมคือ ทำงานโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ทำโดยรู้ว่า เราเองไม่สมควรที่จะได้พระเมตตาให้รับใช้เสียด้วยซ้ำ ทำอย่างเปิดเผย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ มีหลายคน ที่ทำงานอย่างมีเจตนาอื่น พวกเขาจึงบิดเบือนพระคำของพระเจ้าให้เข้ากับเป้าหมายของตน

2 โครินธ์ 4:3-4
การประกาศพระนามของพระเจ้าอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งดีที่สุด เพราะพระนามของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์ความรักที่พระเจ้าจะทรงเปิดใจของหลาย ๆ คนให้ได้พบพระองค์ แต่.. ยังมีอุปสรรคอีกอย่างที่ทำให้คนไม่เห็นความสว่าง คือ มารพยายามปิดตาใจของเขา ทำให้เขาเห็นแต่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ เห็นแต่ความมั่งคั่ง ความสบาย ความสุขเล็กน้อยที่โลกมีให้ ไม่อาจเห็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์

2 โครินธ์ 4:5
การประกาศพระนามของพระเจ้านั้น จะต้องไม่มีเรื่องของตนเองเข้าไปผสมปนเป เราสังเกตได้ว่า นักเทศน์ท่านใดประกาศพระเจ้า หรือประกาศตัวเองเราต้องระมัดระวังด้วยในเรื่องนี้ ตัวเราเองก็ต้องระวังว่า เวลาประกาศพระนามพระเจ้า เรามักพูดเรื่องของตัวเองหรือเปล่า น่าสนใจที่ท่านเปาโลมองว่า ท่านเองเป็นผู้รับใช้พี่น้อง ไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจเหนือพี่น้อง และที่ท่านเป็นอย่างนั้นก็เพราะเห็นแก่พระนามพระเยซู

2 โครินธ์ 4:6
ในปฐมกาล 1:3 บอกชัดว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกนั้น อย่างแรกที่ทรงทำคือ ให้ความสว่างออกมาจากความมืด ใช่แล้ว เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตคนบาปอย่างเรา สิ่งแรกที่ทรงทำคือ ทรงส่องความสว่างนิรันดร์เข้ามาในใจ ทำให้เราพบพระองค์ ในอิสยาห์ 9:2 พระเจ้าให้ความสว่างแก่เหล่าคนต่างชาติที่เดินในความมืด ทำให้พวกเขาได้หันกลับมาหาพระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เมื่อพระเจ้าทรงฉายแสงของพระองค์ลงมา ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิม

2 โครินธ์ 4:7
ท่านเปาโลกล่าวว่า ชีวิตเรานั้นเป็นเพียงภาชนะดินเป็นผู้ที่อ่อนแอ แตกได้ พังได้ ยับเยิน แต่ที่ผู้เชื่อทุกคนแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อคือ เขามีสมบัติล้ำค่าในชีวิต ที่คนอื่นขาดอยู่มีความสว่างของพระเจ้าจึงมองเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข มีพลังของพระเจ้าที่เป็นฤทธิ์ยิ่งใหญ่ช่วยแก้ไขชีวิตซึ่งเป็นภาชนะดินท่านเปาโลไม่ได้มองการอ่อนแอ เป็นสิ่งที่น่าอายแต่มองว่า เป็นโอกาสที่คน ๆ หนึ่งจะถ่อมตนและได้สัมผัส รับฤทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต

2 โครินธ์ 4:8-9
ในหนังสือกิจการ เราจะเห็นว่า สิ่งที่ท่านกล่าวข้างบนเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านถูกหมายหัว มีคนต้องการเอาชีวิต เพราะท่านประกาศพระนามพระคริสต์หรือ พระเมสสิยาห์ที่คนยิวเกลียดชังนักชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างให้ผู้เชื่อในเวลาต่อมา พวกเขาอดทน อดกลั้น และเชื่อว่า พวกเขาไม่อาจถูกมนุษย์หรือมารทำลายได้แม้พยายามจะขู่เข็ญ กดขี่ขนาดไหนก็ตาม ทั้งนี้เพราะในชีวิตมีฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้สามารถทนทานขนาดนั้น

2 โครินธ์ 4:10
ท่านเปาโลกำลังบอกอะไรเรา? ท่านต้องการให้ชีวิตของท่านมีพระเยซูปรากฏชัดเสมอ เมื่อคนพูดคุยด้วย เมื่อคนทั้งหลายได้ฟังท่านสอน ก็เหมือนกับว่าได้พบปะกับพระเยซูเองเลยทีเดียวการแบกความตายของพระเยซูในร่างกายเราคือเราตระหนักในการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเราเสมอ เพื่อเราจะไม่เพลี่ยงพล้ำตกในความบาปง่าย ๆ อีก ฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตของเรา เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

2 โครินธ์ 4:11-12
การรับใช้ของท่านเปาโล และผู้รับใช้จำนวนมากในโลกนี้จำเป็นต้องผ่านความทุกข์ยาก ผ่านอันตรายเพื่ออาณาจักรของพระเจ้าจะได้ตั้งอยู่ในแผ่นดินโลกนี้ เรานึกถึงมิชชันนารีที่เข้ามาในรัชกาลที่สี่ ที่ห้า อย่างเช่นหมอเฮาส์ หมอบรัดเลย์ นึกถึงอะโดนิราม จัดสันที่เข้าไปทำงานในพม่า และผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อยู่ในประเทศที่ห้ามเชื่อพระเจ้าอย่างเกาหลีเหนือ ประเทศในตะวันออกกลางดู แล้วเราจะเข้าใจว่า พระคำข้อนี้เป็นจริงเพียงไร

2 โครินธ์ 4:13-14
ท่านเปาโลเชื่อว่า ความทุกข์ยากของผู้รับใช้เป็นส่วนหนึ่งที่นำชีวิตให้กับผู้ที่เข้ามาเชื่อ ท่านรู้ว่า ความทุกข์ยากเป็นส่วนของการรับใช้อยู่แล้ว และผู้ที่ทำให้เกิดความรอดต่อคนเป็นอันมากก็คือพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ยังจะให้ท่านเปาโลและพี่น้องได้ฟื้นคืนชีวิต ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ด้วย เห็นได้ว่า ท่านเปาโลรักพี่น้องทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความหวังของท่านในการคืนชีพนั้นแน่นอน มั่นคง และส่งต่อให้กับพี่น้องด้วย

2 โครินธ์ 4:15
ท่านเปาโลมีความหวังใจว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแผ่นดินของพระเจ้าที่ได้ขยายออกไปตามพื้นที่ต่างๆทำให้ผู้คนได้สัมผัสแตะต้องพระคุณของพระเจ้า ได้ประโยชน์ทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตหน้า สุดท้ายคือ ผู้คนได้ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ไม่เฉพาะในเยรูซาเล็ม สะมาเรีย โครินธ์ และแว่นแคว้นอื่น ๆ แต่ทั้งโลกจะได้ขอบพระคุณพระเจ้า นี่คือการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เป็นเป้าหมายสำคัญของการรับใช้ของท่านเปาโล

2 โครินธ์ 4:16
นี่คือสุดยอดของความคิดที่โตไม่หยุด พวกเราผู้อาวุโสก็มักจะคิดถึงการเกษียณ แล้วก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ดูจอดำ สไลด์ไปเรื่อยไม่มีเป้าหมาย จากนั้น ออกไปทำต้นไม้นิดหน่อย ตื่นมาแล้วกิน แล้วนอนในบั้นปลายของชีวิต แต่ชีวิตแห่งความเชื่อไม่ใช่เช่นนั้น เป็นชีวิตที่โตไม่หยุดหย่อน เพราะรู้ว่า ภายในจิตวิญญาณของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน ร่างจะเป็นอย่างไร หัวใจยังเติบโต…

2 โครินธ์ 4:17-18
ความทุกข์ยากที่ท่านเปาโลเผชิญนั้น ท่านมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เบา เปรียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์กับพระเจ้าที่กำลังจะได้รับ พระคำ 2 โครินธ์ 4 จบด้วยความหวังใจที่ทำให้ผู้เชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่มีโอกาสจะซึมเศร้า เป็นทุกข์ เพราะมีแนวคิดว่าเราเติบโตภายในโดยตลอด เรามีสิ่งที่มองไม่เห็นรอเราอยู่ในนิรันดร์กาล คนส่วนใหญ่แก่แล้วจะเริ่มรู้สึกเก่า แต่คนของพระเจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้นเขารู้ว่า ภายในเจริญขึ้นเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวัน

พระคำเชื่อมโยง

1* 1โครินธ์ 7:25; ลูกา 18:1; 2โครินธ์ 4:16; กาลาเทีย 6:9;
เอเฟซัส 3:13; 2 เธสะโลนิกา 3:13
2* 2โครินธ์ 5:11
3* 1 โครินธ์ 1:18
4* ยอห์น 12:31; 12:40; 2โครินธ์ 3:8-9; ยอห์น 1:18

5* 1 โครินธ์ 1:13; 9:19
6* ปฐมกาล 1:3; อิสยาห์ 9:2; 2 เปโตร 1:19
7* 1 โครินธ์ 2:5
8* 2 โครินธ์ 1:8; 7:5
9* ฮีบรู 13:5; สดุดี 37:24
10* ฟีลิปปี 3:10;โรม 8:17

11* โรม 8:36
13* 2 เปโตร 1:1; สดุดี 116:10
14* โรม 8:1115* โคโลสี 1:24; 2โครินธ์ 1:11
16* 2โครินธ์ 4:1; อิสยาห์ 40:29, 3117* โรม 8:18
18* ฮีบรู 11:1,13

2 โครินธ์ 3 เสรีภาพในพระวิญญาณ

2 โครินธ์ 3:1
นี่เรากำลังจะต้องแนะนำตัวเองอีกหรือ? หรือว่า เราต้องมีจดหมายรับรองมาให้ท่าน หรือว่า ต้องมีจดหมายรับรองมาจากท่าน อย่างที่บางคนเขาทำอยู่?
2 โครินธ์ 3:2-3
พวกท่าน เป็นจดหมายรับรองที่เขียนไว้ในใจของเรา ให้ทุกคนได้รู้ ได้อ่านพวกท่านเป็นจดหมายจากพระคริสต์ส่งออกไปโดยพวกเรา ซึ่งไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นหินแต่จารึกไว้บนแผ่นหัวใจมนุษย์


2 โครินธ์ 3:4-5
เรามีความมั่นใจอย่างนี้ในพระเจ้าผ่านองค์พระคริสต เราไม่อาจจะอ้างได้ว่า ความสามารถนั้นมาจากตัวเราเอง แต่ความสามารถทั้งหมดมาจากพระเจ้า
2 โครินธ์ 3:6
ผู้ทรงทำให้เรามีศักยภาพที่จะเป็นผู้รับใช้ของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้มาจากข้อบัญญัติ แต่มาจากพระวิญญาณ เพราะบัญญัตินั้น นำความตายมาแต่พระวิญญาณประทานชีวิต


2 โครินธ์ 3:7-8
แต่หากบัญญัติที่จารึกบนแผ่นหินซึ่งนำความตายมาให้นั้น ยังนำมาซึ่งสง่าราศี
ทำให้คนอิสราเอลไม่อาจมองดูใบหน้าที่เต็มด้วยรัศมีของโมเสสได้ ทั้งที่จางลงไปแล้วการปรนนิบัติรับใช้ตามพระวิญญาณจะไม่มีสง่าราศียิ่งกว่านั้นหรือ?

2 โครินธ์ 3:9-10
เพราะหากว่า การปรนนิบัติรับใช้ที่นำมาซึ่งการกล่าวโทษ ยังมีสง่าราศี
การปรนนิบัติรับใช้ที่ให้ความเที่ยงธรรมจะมีสง่าราศีกว่านั้นสักเท่าใด? ความจริงคือ สิ่งที่เคยมีสง่าราศี บัดนี้ไร้สง่าราศีเพราะถูกสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่ามาปิดบัง
2 โครินธ์ 3:11
เพราะหากว่าสิ่งที่จางหายไปได้ยังมีสง่าราศีมากขนาดนี้ สิ่งที่ยั่งยืนจะยิ่งมาพร้อมกับสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่าขนาดไหน



2 โครินธ์ 3:12-13
ดังนั้น ในเมื่อเรามีความหวังเช่นนี้ เราจึงกล่าวออกมาด้วยใจกล้าเราไม่เป็นเหมือนโมเสสผู้ที่ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะเพื่อไม่ให้คนอิสราเอลจ้องมองไปยังสง่าราศีที่กำลังจางหายไป
2 โครินธ์ 3:14
แต่ในเวลานั้น ใจของเขาแข็ง ปิดตายเพราะจนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินคำอ่านจากพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดใจเขาอยู่ ผ้าคลุมไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะว่ามีพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้ผ้าคลุมเปิดออกได้

2 โครินธ์ 3:15-16
แต่จนกระทั่งวันนี้ เมื่อไรมีการอ่านสิ่งที่โมเสสบันทึกไว้ ก็ยังมีผ้าคลุมปิดบังใจของพวกเขา แต่เมื่อคนหันเข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็ถูกเปิดออก
2 โครินธ์ 3:17
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและที่ใดมีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าที่นั่นก็มีเสรีภาพ
2 โครินธ์ 3:18
และเราทุกคนกำลังรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เหมือนพระฉายของพระองค์โดยมีสง่าราศีขึ้นเป็นลำดับมากขึ้นไปเหมือนอย่างสง่าราศีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ

คำอธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 3:1
ท่านเปาโลกำลังบอกให้รู้ถึงความจริงใจของท่านในการรับใช้พี่น้องในเมืองโครินธ์ ทั้งนี้เป็นเพราะมีคนงานปลอม ครูสอนผิดที่พยายามโจมตี ทำให้คน
ไม่เชื่อถือเปาโล ท่านจึงตั้งคำถามสองอย่างชัด ๆคือต้องให้ท่านมีจดหมายรับรองเหมือนกับผู้รับใช้ทั่วไปในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก ที่ส่วนใหญ่จะมี
จดหมายรับรองมาจากผู้ที่เชื่อถือได้ และครูสอนผิดเหล่านี้ก็มักเขียนจดหมายรับรองตนเองเพื่อให้ตัวเองน่าเชื่อถือ
2 โครินธ์ 3:2-3
ชีวิตของพี่น้องเป็นจดหมายจากพระคริสต์แท้ ๆไม่ต้องใช้ตัวหนังสือเขียน แต่การเปลี่ยนชีวิตอย่างมหัศจรรย์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนลงในหัวใจของ
มนุษย์ ดังนั้น จดหมายจากชีวิตของพี่น้องจึงเป็นพยานให้เห็นว่า ท่านเป็นอัครทูตของแท้พระเจ้าเคยตรัสว่า ทรงเขียนบัญญัติของพระองค์ไว้
ในใจของมนุษย์ ในเยเรมีย์ 31:33 ที่ท่านต้องย้ำเรื่องนี้ก็เพราะว่า ครูสอนผิดจะเน้นให้คนทำตามบัญญัติเพื่อจะได้รับความรอด”
2 โครินธ์ 3:4-5
ท่านเปาโลมั่นใจว่าพระคริสต์จะเป็นผู้ทำให้งานเปลี่ยนชีวิตพี่น้องนี้ เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ดู 2:16 ใครจะเหมาะกับงานรับใช้นี้ นอกจากพวกเราที่ประกาศอย่างจริงใจด้วยการพึ่งพระเจ้า ต่อพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้คนหนึ่งมีความสามารถรับใช้พระองค์ได้ ท่านเปาโลรู้ดี
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรา เราจึงมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานความสามารถให้เพียงพอกับงานนั้น ดู 2 เธสะโลนิกา 2:13
2 โครินธ์ 3:6
พันธสัญญาใหม่..คือพันธสัญญาที่พระเจ้าอภัยบาปเราผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู มัทธิว 26:28 พันธสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนี้ มีความสำคัญที่เราต้องเข้าใจ เพราะที่ว่าบัญญัตินำความตายก็คือ บัญญัติแค่บอกเราว่า ความถูกต้อง และความผิดคืออะไร แต่บัญญัติไม่ได้ให้พลังที่เราจะทำตามได้อย่างครบถ้วน ยิ่งอ่านบัญญัติยิ่งชี้ให้เห็นว่าเราไม่อาจเป็นคนชอบธรรมเต็มร้อยได้เลย บัญญัติจึงบอกเราว่า เราสิ้นหวัง
2 โครินธ์ 3:7-8
ขนาดบัญญัติที่นำความตาย ยังทำให้ใบหน้าของโมเสสเต็มด้วยราศีในเวลาที่เขาไปรับบัญญัติจากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:10-25) ที่
เป็นเช่นนั้นเพราะโมเสสได้อยู่กับพระเจ้านานจนหน้าของเขาสะท้อนพระสง่าราศีของพระองค์ เจิดจ้าจนคนทนมองไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เราจ้องมอง
ดวงอาทิตย์ไม่ได้ แต่การรับใช้ตามพระสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนั้น มีราศีที่ทำให้มนุษย์ได้รับความเที่ยงธรรมจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เหนือบัญญัติ
2 โครินธ์ 3:9-10
ตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง การรับใช้ตามบัญญัติ กับการรับใช้โดยพระวิญญาณ ว่าการรับใช้ทั้งสองแบบต่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่มีไม่เท่ากัน
เพราะบัญญัติทำให้เราตาย แต่พระวิญญาณทรงทำให้คนเรามีชีวิต มีเกียรติ ศักดิ์ศรีมากเกินกว่าคนที่เอาแต่ติดตามบัญญัติ และท่านเปาโลก็
เห็นว่า บัญญัตินั้น แม้เคยเป็นที่นับถือว่าเป็นหนึ่ง ก็ด้อยกว่าการรับใช้พระเจ้าโดยพระวิญญาณมากนัก
2 โครินธ์ 3:11
สง่าราศีที่จางหายไปของกฎบัญญัติหรือพูดให้ชัดคือพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าประทานให้ก่อนที่พระองค์จะประทานพันธสัญญาใหม่โดยพระเยซูคริสต์เพราะว่า พระเยซูคริสต์ผู้ที่มาพร้อมกับพันธสัญญาใหม่นั้น ทรงฤทธานุภาพให้ชีวิตนิรันดร์ แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เปรียบได้กับเราจุดเทียนในสวนมืด เทียนนั้นสว่างในความมืดจริง ๆ แต่เมื่อเช้ามา แสงอาทิตย์ก็จะทำให้แสงของเทียนหมดความหมายไปเลย ….​นี่คือสิ่งที่ท่านเปาโลต้องการสื่อ
2 โครินธ์ 3:12-13
เรามีความหวังที่ว่า เรามีพันธสัญญาที่สว่างสุกใสกว่าธรรมบัญญัติที่ชาวยิวยึดถืออย่างเคร่งครัดท่านเปาโลจึงมีความกล้าที่จะบอกพี่น้องให้ทราบว่า
พันธสัญญาเดิมนั้นผูกมัดทำให้คนติดกับ และยังแยกพวกเขาออกจากพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ไม่มีทางที่ทำให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ได้เลย มีแต่ความ
ผิดหวังเพราะไม่อาจเข้าใกล้พระเจ้าได้ พันธสัญญาใหม่โดยไม้กางเขนทำให้เราไปหาพระเจ้าได้เพราะพระเยซูทรงเป็นทางเดียวที่จะไปหาพระบิดา
2 โครินธ์ 3:14
ท่านเปาโลมั่นใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงอยู่เหนือบัญญัติทั้งหลายในอดีต ท่านรู้ว่า คนยิวไม่เห็นว่างานรับใช้ของท่านโมเสสนั้นเทียบงานของพระเยซู
ไม่ติด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาเขาอ่านพันธสัญญาเดิม พวกเขาก็ยังถือว่า พันธสัญญานั้นยิ่งใหญ่มากและพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเยซูพวกเขาควรมองที่พระเยซูได้แล้ว แต่ยังติดกับของความเป็นบัญญัติอยู่ ผ้าคลุมหน้าโมเสส กลายมาเป็นผ้าคลุมใจของพวกเขา ไม่ให้เห็นความจริง
2 โครินธ์ 3:15-16
“แม้จนกระทั่งวันนี้” ไม่ได้เป็นแค่ในสมัยท่านเปาโลเท่านั้น แต่หมายถึงปัจจุบันด้วย ที่คนอิสราเอลไม่ได้พบพระเยซูได้ง่าย ๆ เพราะมีบางอย่างที่ปิดบังใจ
เอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจพบพระเยซูเลย คนโบราณติดที่บัญญัติ คิดว่า เขาจะรอดได้ด้วยการทำดีตามบัญญัติ ไม่ทำสิ่งชั่วที่บัญญัติห้าม โดยลืมว่าไม่มีใครสามารถทำดีได้เต็มร้อย แถมทุกคนยังเป็นคนบาปติดตัวมาแต่เกิดด้วย ส่วนคนสมัยใหม่ก็มีเหตุผลที่จะไม่เอาพระเจ้าแตกต่างไปอีก
2 โครินธ์ 3:17
เสรีภาพจากอะไร ? อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เราตกอยู่ในที่จองจำฝ่ายวิญญาณ? ลองคิดดูดี ๆ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์ตรีเอกานุภาพคือพระเจ้าองค์เดียวกัน คนที่ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าเท่ากับชีวิตของเขาเป็น “ทาสบาป” อยู่ออกมาไม่ได้ อำนาจที่จะช่วยปล่อยเขาให้พ้นจากสภาพนั้นมายังพระสง่าราศีของพระเจ้าก็โดยผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์


2 โครินธ์ 3:18
การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจนเป็นเหมือนพระเจ้าขึ้นเป็นลำดับนั้น ไม่ได้เป็นเพราะนั่งเฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆแต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อเราประกาศพระนาม แบ่งปันพระองค์ให้กับผู้อื่น เมื่อมีการเปิดเผยการสำแดงให้รู้จักพระเยซูคริสต์ ทั้งคนพูดและคนฟังก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเผยพระเจ้าให้ผู้อื่นรู้ เมื่อมีการหลุดพ้นจากบาปด้วยความเชื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 โครินธ์ 5:12; 10:12, 18; 12:11; กิจการ 18:27
2* 1โครินธ์ 9:2
3* 1โครินธ์ 3:5; อพยพ 24:12; 31:18; 32:15 ; สดุดี 40:8
5* ยอห์น 15:5; 1โครินธ์ 15:10

6* 1โครินธ์ 3:5; เยเรมีย์ 31:31; โรม 2:27; กาลาเทีย 3:10; ยอห์น 6:63
7* โรม 7:10; อพยพ 34:1; 34:29
8* กาลาเทีย 3:5
9* โรม 1:17; 3:21
12* เอเฟซัส 6:19

13* อพยพ 34:33-35; กาลาเทีย 3:23
14* อิสยาห์ 29:10; กิจการ 28:26
16* โรม 11:23; อิสยาห์ 25:717* 1โครินธ์ 15:45; กาลาเทีย 5:1, 13
18* 1โครินธ์ 13:12; 2โครินธ์ 4:4, 6; โรม 8:29-30

2 โครินธ์ 2 กลิ่นแห่งชีวิต

2 โครินธ์ 2:1-2
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่า จะไม่มาหาท่านให้ทุกข์ใจอีก เพราะหากข้าทำให้ท่านเป็นทุกข์ ใครเล่าจะทำให้ข้ายินดีนอกเหนือไปจาก คนที่ข้าเองทำให้เป็นทุกข์?
2 โครินธ์ 2:3-4
ข้าเขียนข้อความนั้นมาเพื่อว่า เมื่อข้ามาถึง พวกเขาที่ควรทำให้ข้ายินดีจะไม่ทำให้ข้าทุกข์ใจ ข้ามั่นใจในตัวท่านทุกคนว่า ทุกท่านจะมีส่วนร่วมในความยินดีของข้า เพราะข้าทุกข์ระทม ทรมานใจ
ข้าจึงเขียนถึงท่านด้วยน้ำตา ไม่ใช่เพื่อทำให้ท่านต้องเสียใจ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าข้ารักพวกท่านมากเพียงไร


2 โครินธ์ 2:5-6
หากว่ามีใครทำให้เกิดความทุกข์ใจ เขาไม่ได้ทำให้ข้าเป็นทุกข์เพียงคนเดียว แต่ยังทำให้พวกท่านเป็นทุกข์ไปด้วย ข้าเองไม่ต้องการพูดเกินจริง การลงโทษที่ได้รับจากคนส่วนมากนั้นก็น่าจะพอแล้ว

2 โครินธ์ 2:7-9
ท่านจึงควรยกโทษ และหนุนใจเขามากกว่าเพื่อว่าเขาจะไม่จมในความทุกข์มากจนเกินไป ดังนั้น ข้าจึงขอให้ท่านยืนยันความรักที่มีต่อเขานี่เป็นเหตุที่ทำให้ข้าเขียนถึงท่าน เพื่อจะทดสอบว่า ท่านยอมเชื่อฟังทุกเรื่องหรือไม่
2 โครินธ์ 2:10-11
ถ้าพวกท่านยกโทษผู้ใด ข้าจะยกโทษให้เขาด้วย และถ้าข้ายกโทษเรื่องใดข้าทำต่อพระพักตร์พระคริสต์เพื่อเห็นแก่พวกท่าน เพื่อไม่ให้ซาตานฉวยโอกาสสำเร็จเพราะเรารู้ทันกลวิธีของมันแล้ว

2 โครินธ์ 2:12-13
เมื่อข้าไปถึงเมืองโตรอัส เพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์นั้น แม้ว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เปิดโอกาสให้ข้า แต่ข้ายังกังวลเพราะตามหาน้องของข้าคือทิตัสไม่พบ ข้าจะลาพวกเขาและเดินทางต่อไปยังแคว้นมาซิโดเนีย


2 โครินธ์ 2:14
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงนำให้เรามีชัยชนะในพระคริสต์เสมอ และทรงให้เราประกาศความรู้เรื่องพระคริสต์เปรียบเหมือนกลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่ว

2 โครินธ์ 2:15-16
เพราะเราเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์เพื่อพระเจ้าท่ามกลางคนที่กำลังรอด
และท่ามกลางคนที่กำลังพินาศ สำหรับคนพวกหนึ่งเป็นกลิ่นแห่ง
ความตาย นำไปสู่ความตาย สำหรับคนอีกพวก เป็นกลิ่นของชีวิต นำไปสู่ชีวิต
ใครล่ะ ที่จะเหมาะกับงานเหล่านี้ ?
2 โครินธ์ 2:17
เพราะว่า เราไม่เหมือนคนอื่น ๆ มากมายที่เอาพระคำของพระเจ้ามาหากินแต่เราพูดต่อพระพักตร์ของพระเจ้าในพระคริสต์ ด้วยความจริงใจ
ในฐานะคนที่พระเจ้าทรงส่งมา

คำอธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 2:1-2
คราวที่แล้ว ท่านเปาโลไปเยี่ยมคริสตจักรโครินธ์แต่ก็เกิดความขัดแย้ง และมีคนที่พยายามจับผิดท่าน มีปัญหาในคริสตจักรหลายอย่าง ท่านเปาโล
ต้องจัดการกับความผิดเหล่านั้น กลายเป็นการเยี่ยมที่เป็นทุกข์ ท่านจึงเปลี่ยนแผนไม่มาเยี่ยมอย่างที่เคยตั้งใจ จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เราเห็น
ว่า ความยุ่งยากในคริสตจักรเกิดขึ้นได้จากคนที่มีนิสัยสร้างความแตกร้าว จึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง
2 โครินธ์ 2:3-4
ท่านเปาโลไม่ต้องการที่จะคอยตักเตือน สอน ต่อว่าพวกเขาตลอดเวลา แต่ให้พวกเขามีโอกาสคิดเองว่าควรทำอย่างไรในการมีชีวิตร่วมกันฐานะพระกาย
ของพระคริสต์ ท่านจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปเป็นพี่เลี้ยงตลอดเวลา จดหมายนี้จึงเป็นตัวแทนของท่านเพื่อย้ำถึงความรักที่ท่านมีต่อพวกเขา ท่านเขียน
จดหมายนี้ด้วยน้ำตา ไม่ต้องการให้พวกเขากับท่านกลายเป็นคนเข้าใจผิดกันไม่ว่าด้วยสาเหตุใด
2 โครินธ์ 2:5-6
มีบางคนในพวกเขาที่ได้ทำบาป และทำให้ท่านเปาโลและคนในคริสตจักรไม่สบายใจเอามาก ๆ ท่านใช้คำว่า ทำให้เสียใจ ทุกข์ใจ แต่ท่านก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของเขาไว้ คนส่วนใหญ่ได้จัดการชายคนนี้เมื่ออ่านไป เรารู้สึกว่า ชายคนนี้ถูกสังคมในคริสตจักรลงวินัย เราไม่ทราบว่า วิธีไหน อาจจะเป็นการไล่ออกจากคริสตจักร (ดู 1 โครินธ์ 5:4-5)แต่จากข้อความนี้ดูเหมือนว่า เขากลับใจ ท่านจึงกล่าวว่า การถูกลงโทษน่าจะพอ จบได้
2 โครินธ์ 2:7-9
หากคนที่ทำผิด ถูกลงโทษจากคริสตจักรแล้วกลับใจ ท่านเปาโลได้ขอให้พวกเขายกโทษ ยอมรับเขากลับเข้ามาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ชายคนนั้นเจอกับการโกรธที่ไร้การอภัยสิ่งที่ท่านขอคือ ยกโทษให้คนที่ทำผิดและกลับใจ ทั้งขอให้หนุนน้ำใจ ปลอบใจเขาด้วย หากไม่มีการยกโทษให้ คนที่อยู่ในคริสตจักรเองก็จะทำผิดกับพระเจ้า กลายเป็นบาปที่ต่อเนื่องไม่หยุด อีกอย่างคือคนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ถูกโลกประณามและอาจจะไม่ได้กลับมาหาพระเจ้าผู้ไถ่บาปของเขาอีกเลย 
2 โครินธ์ 2:12-13
แม้มีโอกาสมากในการประกาศพระกิตติคุณ แต่ท่านเปาโลก็ไม่สบายใจที่ไม่พบทิตัสที่เมืองโตรอัสจากข้อความตอนนี้ เราพอจะมองเห็นว่า ท่านไม่
ต้องการทำงานคนเดียว แต่ต้องการมีเพื่อนร่วมงาน ในพระกิตติคุณด้วย ระหว่างข้อนี้ ไปจนถึงบทที่ 7:4 ก่อนที่จะเล่าว่าท่านทำอะไรต่อไป
ท่านก็ได้พูดถึงการเป็นอัครทูตของท่าน ให้พี่น้องเข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร
2 โครินธ์ 2:10-11
หลักการของชีวิตคริสเตียนแท้ ๆ คือ เมื่อมีการทำผิดต่อกันและกัน เมื่อพี่น้องทำบาป ก็ให้ เตือนสติด้วยความรัก และตระหนักว่า เราเองก็อาจเป็นคน ๆ นั้นได้ เมื่อเขาสำนึกผิดและกลับใจ ก็ต้องยกโทษให้ อย่าให้ความโกรธ ความแค้นครองใจเราเพราะนั่นเป็นการเปิดประตูให้กับศัตรูของพระเจ้า
เข้ามาเล่นกลในใจของเรา ทำให้เรากลับทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการเก็บความขมขื่นไว้ในใจ
2 โครินธ์ 2:14
เอาล่ะ ทีนี้ ท่านก็เริ่มอธิบายให้พี่น้อง เข้าใจถึงสิ่งที่ยากขึ้น ข้อความนี้ ทำให้เรามั่นใจว่า เมื่อเราประกาศพระนาม เราทำด้วยการติดตามพระคริสต์
เหมือนกับทหารที่ตามผู้บังคับบัญชาทุกอย่าง เราจึงเป็นเหมือนกลิ่นน่าชื่นใจที่หอมกระจายไปทั่วมีพระคริสต์นำทางไป ไม่ว่าจะประกาศด้วยการพูด
หรือการกระทำที่แตกต่างจากชาวโลก เห็นจากข้อนี้ว่า ในการประกาศ พระคริสต์ทรงนำท่าน
2 โครินธ์ 2:15-16
ท่านเปาโลกำลังเขียนเปรียบเทียบผู้เชื่อกับทหารโรมการที่พระคริสต์นำผู้เชื่อ พระองค์ทรงเป็นดั่งผู้บังคับบัญชา เมื่อมีชัยชนะก็เดินขบวนเข้ามาใน
เมือง มีการจุดเครื่องหอมเป็นกลิ่นแห่งชัยชนะแต่สำหรับเชลยที่ต้องเดินเข้ามา ถูกล่าม และยังไม่รู้อนาคตของตนเองกลิ่นนี้จึงกลายเป็นเหมือนกลิ่น
แห่งความตายสำหรับพวกเขา เมื่อชาวโครินธ์อ่านจดหมายจะเข้าใจทันที ตอนนี้เราก็คงเข้าใจเช่นกัน
2 โครินธ์ 2:17
ที่ท่านเปาโลพูดเช่นนี้ เพราะมีผู้สอนเท็จมากมายเพื่อหาผลประโยชน์จากผู้ฟัง อ้างว่ามีการอัศจรรย์อ้างโน่นนี่เพื่อจะได้เงิน พวกเขาอวดความรู้ คิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญา เขาไม่ได้ถูกส่งมาจากพระเจ้า(ดู 1 โครินธ์ 1:19-20) การเอาคำของพระเจ้ามาขายกินนั้น มีความหมายว่าเอาของปลอมมาอ้างว่าเป็นของแท้ ทุกวันนี้ก็มีผู้สอนเท็จเป็นจำนวนมากเช่นกันเราจึงต้องระวังให้มาก

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 โครินธ์ 1:23
2* 2 โครินธ์ 7:8
3* 2 โครินธ์ 12:21; กาลาเทีย 5:10
4* 2 โครินธ์ 2:9; 7:8, 12
5* 1 โครินธ์ 5:1; กาลาเทีย 4:12

6* 1 โครินธ์ 5:4-5
7* กาลาเทีย 6:1
9* 2 โครินธ์ 7:15; 10:6
12* กิจการ 16:8;1 โครินธ์ 16:9
13* 2 โครินธ์ 7:6, 13; 8:6

15* 1โครินธ์ 1:18; 2 โครินธ์ 4:3
16* ลูกา 2:34; 1โครินธ์ 15:10
17* 2 เปโตร 2:3; 2โครินธ์ 1:12


2 โครินธ์ 1 พระเจ้าแห่งการหนุนใจ

2 โครินธ์ 1:1
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับทิโมธีน้องชาย เขียนส่งมายังคริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ และวิสุทธิชนของพระเจ้าทุกท่านที่อยู่ทั่วแคว้นอาคายา
2 โครินธ์ 1:2
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
2 โครินธ์ 1:3
สรรเสริญองค์พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงเป็นพระบิดาผู้เมตตา องค์พระเจ้าแห่งการหนุนใจ
ทุกด้าน

2 โครินธ์ 1:4
พระองค์ทรงหนุนใจเรายามยากลำบากทั้งสิ้น เพื่อว่าเราจะได้หนุนใจเหล่าคนที่ตกอยู่ในความยากลำบากได้ เนื่องจากเราได้รับการหนุนใจจากพระองค์มาก่อน
2 โครินธ์ 1:5
เพราะเมื่อเรามีส่วนในการทนทุกข์ของพระคริสต์มากเพียงไร
พระองค์ก็ทรงหนุนใจเรามากเพียงนั้น

2 โครินธ์ 1:6
หากว่าเราต้องทนทุกข์ยาก ก็เป็นไปเพื่อท่านจะได้รับการหนุนใจ และรับความรอดหากว่าเราได้รับการหนุนใจ ก็เป็นไปเพื่อท่านจะได้รับการหนุนใจในยามที่ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแบบเดียวกับที่เราเผชิญอยู่นั้น
2 โครินธ์ 1:7
ความหวังของเราที่มีในตัวท่านนั้นมั่นคง เพราะเรารู้ว่า ในขณะที่ท่านรับทุกข์ยากร่วมกับเรา ท่านจะได้รับการหนุนใจ ร่วมกับเราด้วย

2 โครินธ์ 1:8-9
เราอยากให้พี่น้องได้รู้ถึงความยากเข็ญที่เกิดขึ้นกับเราในแคว้นเอเชีย เราถูกบีบคั้นอย่างหนักจนเกือบไม่มีหวังที่จะรอดชีวิต เรารู้สึกว่า เราถูกตัดสินประหารชีวิต ที่เป็นอย่างนี้เพื่อเราจะไม่วางใจในตัวเราเองแต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงโปรดให้คนตายได้ฟื้นคืนชีพ
2 โครินธ์ 1:10
พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดตายมาแล้ว และพระองค์ทรงช่วยเราและเราหวังในพระองค์ว่า จะทรงช่วยเราต่อไป

2 โครินธ์ 1:11
ในเมื่อพวกท่านต่างมีส่วนช่วยในการอธิษฐานทูลขอเพื่อเรา เพื่อคนเป็นจำนวนมากจะได้ขอบพระคุณแทนเรา สำหรับพระคุณของขวัญที่ประทานแก่เราผ่านคำอธิษฐานของคนจำนวนมาก!

2 โครินธ์ 1:12
สิ่งที่เราอวดได้คือ คำพยานจากมโนธรรมของเราที่ว่า เราได้ประพฤติตัวในโลกด้วยความเรียบง่ายบริสุทธิ์ และความจริงใจจากพระเจ้า ไม่ใช่จากปัญญาของโลกแต่โดยพระคุณของพระเจ้า และเราประพฤติเช่นนั้นต่อท่านมากกว่านั้นอีก
2 โครินธ์ 1:13-14
เพราะเราไม่ได้เขียนสิ่งอื่นใดมาให้ท่านนอกจากสิ่งที่ท่านอ่านและเข้าใจได้ บัดนี้ ข้าเชื่อว่า ท่านจะเข้าใจกระจ่างจนจบอย่างที่ท่านพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น พวกเราจะภูมิใจในตัวท่านเหมือนอย่างที่ท่านภูมิใจในเรา

2 โครินธ์ 1:15-16
เพราะมั่นใจอย่างนี้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมท่านก่อน เพื่อท่านจะได้รับพระคุณสองต่อ โดยจะแวะเยี่ยมท่านตอนที่เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย และเมื่อกลับจากที่นั่นก็จะแวะมาหาท่านอีก แล้วให้ท่านช่วยส่งข้าเดินทางต่อไปยังแคว้นยูเดีย
2 โครินธ์ 1:17-18
เมื่อข้าวางแผนเช่นนี้ ข้าทำด้วยความลังเลใจ หรือว่าทำอย่างขอไปที ข้าวางแผนตามใจตัว เดี๋ยวมาเดี๋ยวไม่มาอย่างนั้นหรือ?พระเจ้าทรงซื่อตรงฉันใด คำของเราที่มีมายังท่านก็ซื่อตรงฉันนั้น

2 โครินธ์ 1:19
เพราะว่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่ข้า สิลวานัส และทิโมธีประกาศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่อาจจะจริงหรือไม่จริงแบบขอไปทีแต่ในพระองค์นั้น มีแต่ความจริงทั้งสิ้น!
2 โครินธ์ 1:20
เพราะว่าคำที่พระเจ้าทรงสัญญาผ่านพระเยซู เป็นจริงทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวคำว่า “อาเมน” เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์
2 โครินธ์ 1:21-22
พระเจ้าทรงให้เราและท่านยืนมั่นคงในพระคริสต์ และทรงเจิมเรา พระองค์ทรงประทับตราแสดงกรรมสิทธิ์ในตัวเราและประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจเราเป็นหลักประกันของสิ่งที่จะมาในอนาคต

2 โครินธ์ 1:23-24
ยิ่งกว่านั้น ข้าขออัญเชิญพระเจ้ามาเป็นพยานถึงสิ่งที่อยู่ในใจว่าที่ข้าไม่กลับมายังโครินธ์ ก็เพื่อท่านจะไม่ต้องลำบากใจ
ข้าไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดความเชื่อของท่าน แต่เราเป็นผู้รับใช้กับท่านเพื่อความยินดีของท่าน เพราะท่านมั่นคงในความเชื่อ

อธิบายเพิ่มเติม


2 โครินธ์ 1:1
จดหมายฉบับนี้เขียนเพื่อให้พี่น้องตามคริสตจักรในแคว้นอาคายาได้อ่านกันถ้วนหน้า เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ในประเทศกรีซ ท่านย้ำว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะส่งออกไปประกาศพระนาม ท่านไม่ได้แต่งตั้งตนเองขึ้นมา (อัครทูตมีความหมายว่าผู้ที่ถูกส่งออกไป) การเขียนครั้งนี้ มีทิโมธีเป็นผู้ที่อยู่กับท่านใด้วย ทิโมธีเองเป็นคนที่ชาวโครินธ์รู้จักเพราะอยู่กับท่านเปาโลเมื่อท่านตั้งคริสตจักรดูกิจการ 18:1-5
2 โครินธ์ 1:2
ทำไมท่านเปาโลจึงขอพระคุณ และสันติสุข? ทำไมท่านไม่ขอให้ร่ำรวย มั่งคั่งอยู่ดีกินดีเหมือนที่บ้านเราชอบอวยพรกันนัก?พระคุณจากพระบิดาและพระคริสต์มีให้เราอยู่แล้วและเมื่อเราพบพระองค์ ได้รับชีวิตใหม่ นั่นคือพระคุณพิเศษที่ต่อเนื่องไม่หยุด คริสเตียนทุกยุค ทุกแห่งต้องการสองสิ่งนี้จากพระเจ้ามาก ลองคิดถึงชีวิตที่ขาดพระคุณ และสันติสุขดู เราจะอยู่ต่อไปได้หรือ? เราจะมีความหวังอะไรเหลืออยู่บ้าง?
2 โครินธ์ 1:3
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หนุนใจและปลอบใจมานานแล้ว อิสยาห์ได้กล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงปลอบใจหลายครั้ง (อิสยาห์ 40:1, 51:3 เป็นต้น) ท่านเปาโลไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงสำแดงว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงหนุนใจ ทรงปลอบใจเสมอมา. ในยามที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางผู้คน พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นไม่ขาด คำว่าพระเจ้าแห่งการหนุนใจหรือปลอบใจนี้ มีความหมายรวมไปถึงการทำให้
สบายใจขึ้น ให้กำลัง ช่วยให้เข้มแข็งและกล้าหาญ
2 โครินธ์ 1:4
เวลาเรามีความทุกข์ใจ เดือดร้อน ยุ่งยาก จะมาจากการประกาศพระนามพระเจ้า หรือจะเป็น ปัญหาใดๆ ท่านเปาโลบอกแล้วว่าทุกเรื่อง ทุกด้านเรามาหาพระเจ้า พระองค์จะทรงหนุนให้เรามีกำลังสู้ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วเหตุการณ์นั้นยากเกินที่จะฝ่าฟัน ความลำบากในที่นี้ ภาษาเดิมหมายถึงการถูกบีบคั้น ทำให้จนตรอก คนที่ต้องเผชิญความทุกข์ร้อนอย่างที่ท่านเปาโลกล่าวถึง นี้ รู้สึกว่าไม่สามารถหนีออกไปได้
2 โครินธ์ 1:5
พระคำข้อนี้ มีผู้แปลบางสำนักแปลว่า “ยิ่งความทุกข์ยากของพระคริสต์ไหลล้นสู่ชีวิตเรามากเท่าไร การปลอบโยน การหนุนใจจากพระองค์ก็ไหลล้นสู่ชีวิตเรามากขึ้นเพียงนั้น” ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนจึงแตกต่าง เพราะว่าความทุกข์ยากในชีวิตกลับจะทำให้ได้รับการปลอบโยนใจจากพระเจ้ามากขึ้น นี่เป็นเหตุให้ผู้เชื่อที่ทุกข์ยากที่ถูกข่มเหงจึงอดทนได้ ด้วยการปลอบโยนจากพระเจ้าโดยตรง
2 โครินธ์ 1:6
ท่านเปาโลต้องทนทุกข์ ทนการข่มเหง การถูกลอบทำร้าย เผชิญภัยนานาก็เพื่อว่า คนต่างชาติที่ท่านพบเจอจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า และพวกเขายังได้รับการปลอบประโลมใจจากพระองค์ด้วยพี่น้องโครินธ์ในเวลานั้นมองข้ามความสำคัญของการทนทุกข์และการปลอบใจจากพระเจ้า ท่านจึงเน้นย้ำให้รู้ถึงเป้าหมายของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าพวกเขาจะได้มีมุมมองที่ถูกต้องว่า การทนทุกข์และการปลอบใจจากพระเจ้าเป็นของคู่กัน
2 โครินธ์ 1:7
ความทุกข์ยากทั้งหลายที่ท่านเปาโลต้องเผชิญนั้น ท่านตระหนัก มั่นใจว่า เป็นความทุกข์ยากของพระคริสต์ ไม่ใช่ของตัวท่านแต่อย่างเดียวพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราอดทนจนผ่านความทุกข์ยากไป แต่ไ่ม่ใช่แค่ก้มหน้ารับความทุกข์ เป็นความอดทนแบบที่เราจะก้าวข้ามความเจ็บปวดและความทุกข์เพื่อไปถึงเป้าหมายของเรา คล้าย ๆ กับนักกีฬาที่สู้จนได้ชัย การเป็นผู้เชื่อกับการที่ต้องเจอความทุกข์ยากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
2 โครินธ์ 1:8-9
ท่านเปาโลได้เผชิญกับความลำบากนา ๆประการอย่างที่ไม่น่าจะรอดชีวิตมา แต่ท่านก็รอดมาเสมอเพื่อจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ท่าน เฉียดกับความตายมาหลายรอบมากจนกระทั่งรู้สึกว่า นี่เป็นโทษประหารสำหรับตัวท่านเอง และแล้วท่านก็เข้าใจว่า ท่านอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ เอาแค่ต้องเจอกับความวุ่นวายในเอเฟซัส (กิจการ19:21-41) การถูกโบย (2 โครินธ์ 11:24) ก็สาหัสแล้ว
2 โครินธ์ 1:10
เมื่อเราอ่านพระคำตอนนี้ ทำให้นึกถึง ฮีบรู 11:32-38 คนของพระเจ้าต้องเจอกับความยากลำบากมากมาย แต่พระเจ้าก็ทรงจัดคำตอบให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน ที่สุดคือชีวิตนิรันดร์ที่ทรง เตรียมไว้ให้ พระเจ้าทรงวางแผนไว้ให้แต่ละคน
ดังนั้นในชีวิตของเรา เราหันไปดูอดีตที่พระเจ้าทรงช่วยเรา ดูในวันนี้ และมีความมั่นใจต่อไปในอนาคต
2 โครินธ์ 1:11
พระคัมภีร์ข้อนี้ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยที่พี่น้องจะอธิษฐานเผื่อกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. การขอให้เพื่อนอธิษฐานเผื่อ การขอจากพี่น้องคริสเตียนที่เราอาจไม่รู้จักเป็นส่วนตัว เราไม่ต้องกังวลใจ เราไม่รู้จักเขาแต่พระเจ้าทรงรู้จักคนที่เรา อธิษฐานเผื่อเป็นอย่างดี เมื่อพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน ทุกคนที่มีส่วนก็จะยินดีกันถ้วนหน้าเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงตอบคำทูล
2 โครินธ์ 1:12
ท่านเปาโลได้ยืนยันว่า มโนธรรมของท่าน ก็คือส่วนที่บอกมนุษย์ว่า อะไรผิด อะไรถูก ส่วนที่คอยดูว่า แรงจูงใจจริง ๆ นั้นมาจากไหน มโนธรรมของท่านบอกตัวท่านว่า ท่านจริงใจ ท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และประพฤติอย่างดีต่อพี่น้องชาวโครินธ์ที่ท่านต้องกล่าวเช่นนี้เพราะมีบางคนที่กล่าวหาว่าท่านเป็นคนหยิ่งยะโส เห็นแก่ตัว เชื่อไม่ได้ ท่านจึงบอกให้มั่นใจว่า เมื่อท่านพิจารณาตัวเองด้วยมโนธรรมแล้ว ท่านผ่าน ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด
2 โครินธ์ 1:13-14
คนบางคนในคริสตจักรโครินธ์ อ่านจดหมายของท่านเปาโลแล้วตีความไปว่าท่านมีความหมายอื่น ๆแฝงอยู่ แต่ท่านยืนยันว่า การเขียนของท่านชัดเจนตรงไปตรงมา เข้าใจได้อยู่แล้ว แม้จดหมายของท่านบางตอนอาจจะยากที่จะเข้าใจ มีการใช้คำเปรียบเทียบ แต่ท่านจะไม่เขียนอย่างหนึ่งเพื่อให้มีความหมายไปอีกอย่าง และท่านปรารถนาที่จะภูมิใจในตัวพบเขาต่อพระพักตร์ของพระเจ้าจริง ๆ
2 โครินธ์ 1:15-16
แม้ท่านเปาโลตั้งใจจะเดินทางไปหาพี่น้องชาวโครินธ์สองครั้ง แต่เราไม่พบว่ามีการเดินทางแบบนั้น ในบันทึกจากพระคัมภีร์ ท่านเองกลับเดินทางจากเอเฟซัสไปทางเมืองโตรอัสแทนเมืองโครินธ์(2:13)
จากข้อความตอนนี้ จะเห็นว่า คริสตจักรแต่ละแห่งควรมีหน้าที่ต่อกันและกัน ช่วยเหลือกัน ช่วยส่งผู้รับใช้ออกไปเพื่อสร้างเสริมพี่น้อง การพบปะกันทุกครั้งของผู้เชื่อคือเพิ่มพระคุณให้ทั้งสองฝ่ายดูการเดินทางของท่าน 7:5, 8:1, 9:2,4
2 โครินธ์ 1:17-18
การตั้งคำถามแบบนี้ของท่านเปาโล เท่ากับคำตอบควรจะเป็นว่า “ไม่” ความตั้งใจของท่านเปาโลนั้นชัดเจน แต่ท่านกลับทำตามนั้นไม่ได้ คนที่เป็นศัตรูก็เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่จะชักชวนให้พี่น้องเลิกฟังคำของท่าน แต่ท่านเปาโลก็ยังยืนยันว่าท่านตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าแผนการเดินทางต้องถูกเปลี่ยน แต่หลักการที่ท่านประกาศ และคำสอน เป็นความจริงเสมอ
2 โครินธ์ 1:19
เวลานี้ เปาโลเน้นย้ำว่า ความจริงเรื่องพระเยซูคริสต์เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท่านเปาโลเป็นห่วงมากที่สุดคือ พี่น้องจะไม่มั่นคง หันเหความคิดไปตามคนที่พยายามทำลายความเชื่อถือของพวกเขาที่มีต่อท่าน แต่ปัจจุบันเราก็เห็นการใส่ร้ายผู้รับใช้ การพูดเท็จเกี่ยวกับคน ๆ หนึ่งโดยอาจจะเอาคำของเขา การกระทำของเขาที่พลาดจริงๆ มาเป็นประเด็นทำให้คนขาดความเชื่อถือในผู้รับใช้
2 โครินธ์ 1:21-22
ข้อความนี้ บอกว่าพระเจ้าทรงทำสี่อย่างกับเราทำให้มั่นคง ทรงเจิม ทรงประทับตราแจ้งว่าเราเป็นของพระองค์ และประทานพระวิญญาณเพื่อเรา
จะได้รับการสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทุกอย่าง โรม 8:11 บอกเราว่า พระเจ้าประทานชีวิตให้แก่เราโดยพระวิญญาณ ผู้ประทับในเรา ชีวิตที่สมบูรณ์
อยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์นั้น จะมีให้กับคนที่มีหลักประกันคือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิต​ซึ่งก็เป็นผลจากการที่คนนั้นยอมรับเชื่อพระเยซูคริสต์
2 โครินธ์ 1:23-24
การขอพระเจ้ามาเป็นพยาน การพูดอย่างนี้คล้าย ๆ กับว่า “ขอสาบานต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า” ในเมื่อพี่น้องที่โครินธ์คิดว่า ท่านเห็นแก่ตัวที่ไม่มาเยี่ยม ท่านจึงบอกเหตุผล และยังยืนยันว่า อย่างไรก็ดีท่านไม่ได้เป็นเจ้านายบังคับให้ใครเชื่ออะไร แต่เป็นผู้ร่วมงานในการรับใช้พระเจ้าด้วยกัน
ท่านปรารถนาให้พวกเขาเข้าใจอย่างถูกต้อง พระคำตอนนี้ ถ้าไม่ทราบบริบทก็จะเข้าใจยากอยู่

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 ทิโมธี 1:1; 1โครินธ์ 16:10; โคโลสี 1:2
2* โรม 1:7
3* 1 เปโตร 1:3
4* อิสยาห์ 51:12; 66:13
5* 2 โครินธ์ 4:10
6* 2 โครินธ์ 4:15; 12:15
7* โรม 8:17
8* กิจการ 19:23

9* เยเรมีย์ 17:5,7
10* 2 เปโตร 2:9
11* โรม 15:30; 2 โครินธ์ 4:15; 9:11
12* 2 โครินธ์ 2:17; 1 โครินธ์ 2:4
14* 2 โครินธ์ 5:12; ฟีลิปปี 2:16
15* 1 โครินธ์ 4:19; โรม 1:11; 15:29
16* 1 โครินธ์ 16:3-6
17* 2 โครินธ์ 10:2; 11:18

18* 1 ยอห์น 15:20
19* มาระโก 1:1; 1 เปโตร 5:12; 2โครินธ์ 1:1; ฮีบรู 13:8
20* โรม 15:8-9
21* 1 ยอห์น 2:20; 27
22* เอเฟซัส 4:30; 1:14
23* กาลาเทีย 1:20; 1 โครินธ์ 4:21
24* 1 เปโตร 5:3; โรม 11:12