ฮีบรู 9 พระโลหิตคือคำตอบ

ฮีบรู 9:1-2 ในพันธสัญญาแรกนั้น มีกฎเกณฑ์ต่างๆเรื่องการนมัสการ และยังมีสถานบริสุทธิ์บนแผ่นดินโลก พลับพลาถูกเตรียมไว้ในห้องแรกคือคันประทีป โต๊ะ และขนมปังบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์ ณ ที่นี้ เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ (วิสุทธิสถาน)




ฮีบรู 9:3-4 หลังจากม่านชั้นที่สอง เป็นห้องที่เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ที่สุด (อภิสุทธิสถาน)ในห้องนี้ มีแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำ ข้างในหีบมีโถทองคำใส่มานาไว้รวมทั้งไม้เท้าที่ผลิดอกตูมของอาโรนและแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา

ฮีบรู 9:5 บนหีบพันธสัญญามีรูปเครูบแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า โดยเครูบกางปีกปกคลุมฝาหีบของพระที่นั่งแห่งพระกรุณา แต่เรายังไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในเวลานี้


ฮีบรู 9:6-7 ในเมื่อทุกสิ่งถูกจัดเตรียมดังกล่าว เหล่าปุโรหิตก็จะเข้าไปยังส่วนแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในส่วนที่สองได้และเข้าได้เพียงปีละครั้ง พร้อมกับนำเลือดเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นเลือดที่ถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปที่ประชาชนซึ่งทำลงไปโดยไม่เจตนา

ฮีบรู 9:8 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงจากการทำทุกสิ่ง (คือระบบปุโรหิต)ตามที่กล่าวมา ให้รู้ว่าทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ยังไม่เปิดออกมา ตราบใดที่พลับพลาแรกยังคงตั้งอยู่

ฮีบรู 9:9-10 นี่เป็นภาพอธิบายเพื่อปัจจุบัน เพราะทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ถวายไป ไม่อาจชำระให้มโนธรรมของผู้นมัสการให้บริสุทธิ์ได้เลย ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม พิธีการชำระล้าง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัตินอกกาย ที่ใช้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่

ฮีบรู 9:11 แต่เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะมหาปุโรหิตเหนือสิ่งดีที่มาก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่า ซึ่งเป็นพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์และไม่ได้เป็นส่วนของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ฮีบรู 9:12 พระองค์มิได้เข้าไปด้วยเลือดของแพะ และวัว แต่ทรงเข้าไปยังที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งเดียวเป็นพอพร้อมกับพระโลหิตของพระองค์เองทำให้ได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

ภาพวาดโดย Leon Joseph Florentin Bonnat

ฮีบรู 9:13-14 เพราะหากเลือดแกะและโคผู้ และเถ้าจากลูกโคเมียที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระให้ร่างกายมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองอย่างไร้ตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ จะชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำที่นำสู่ความตาย เพื่อว่าเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

ฮีบรู 9:15 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อว่าคนที่ได้รับทรงเรียกจะได้รับมรดกนิรันดร์ที่ทรงสัญญาไว้ เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขาจากการล่วงละเมิดที่ได้กระทำลงไปภายใต้พันธสัญญาแรก 

ฮีบรู 9:16-18 ในกรณีของหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตแล้ว เพราะพินัยกรรมจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคนที่ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิตไป หากเขายังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมก็ไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น พันธสัญญาแรกก็ไม่มีผลใด ๆ จนกว่าจะต้องมีโลหิตเสียก่อน

ฮีบรู 9:19 เพราะเมื่อโมเสสประกาศคำสั่งทุกข้อของบทบัญญัติแก่ประชาชน ท่านได้นำเลือดของลูกโคและแพะผสมน้ำพร้อมขนแกะสีแดง ไม้หุสบมาประพรมทั้งหนังสือม้วนและประชาชน

ฮีบรู 9:20-21 กล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงสั่งให้ท่านทั้งหลายรักษาไว้” และด้วยวิธีเดียวกัน ท่านก็ได้ประพรมพลับพลาและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการนมัสการด้วยโลหิตนั้น

ฮีบรู 9:22 ความจริง ตามบทบัญญัติ ทุกสิ่งได้รับการชำระให้สะอาดด้วยโลหิต! และหากไม่มีการหลั่งโลหิตก็จะไม่มีการให้อภัยบาป

ฮีบรู 9:23-24 ดังนั้น การที่ของจำลองตามแบบสวรรค์จะได้รับการชำระด้วยพิธีบูชาแบบนี้จึงจำเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์นั้น มีเครื่องถวายบูชาที่ดีกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงเข้ามายังสถานนมัสการซึ่งถูกสร้างด้วยมือโดยจำลองตามสถานนมัสการแท้ แต่เสด็จสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา



ฮีบรู 9:25 ทั้งพระองค์ไม่ได้เข้าไปยังสวรรค์เพื่อถวาย
พระองค์เอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับมหาปุโรหิตที่เข้าไปยังอภิสุทธิสถานทุกปีพร้อมกับโลหิตที่ไม่ใช่เป็นของตัวเขา

ฮีบรู 9:26 หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำ ๆ มาตั้งแต่การเริ่มต้นของโลก แต่เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา


9:27-28 เหมือนมนุษย์ทุกคนที่ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะพบการพิพากษา พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เป็นเครื่องลบบาปของคนจำนวนมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดสู่คนที่จดจ่อรอคอยพระองค์

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 9:1-2
บทที่ 8 ที่ผ่านมา ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่า จำเป็นต้องมีพันธสัญญาใหม่ เพราะพันธสัญญาเดิมนั้นมีข้อบกพร่องอยู่ ในบทที่ 9 นี้ ท่านได้บอกว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้มายังพันธสัญญาใหม่ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาในอนาคต และสิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูทรง
เหนือกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนได้เริ่มให้เราเห็นภาพว่าในพลับพลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

ถอดความจาก ฮีบรู 9:3-4
ในเมื่ออุปกรณ์ทุกชิ้นมีความหมาย ผู้เขียนจึงเริ่มทำให้ชาวยิวที่อ่านเรื่องราวนี้ ได้กลับไประลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพลับพลา ในห้องชั้นในสุดมีหีบพันธสัญญาอยู่ หีบนี้เป็นหีบทองคำ ท่านไม่ได้ให้รายละเอียดมาก บอกคร่าว ๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ มานาบ่งบอกการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูในถิ่นกันดาร ศิลาแห่งพันธสัญญาระลึกถึงบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส และไม้เท้าที่สื่อหน้าที่ปุโรหิต

ถอดความจาก ฮีบรู 9:5
เมื่อกล่าวถึงของที่มี่อยู่ในหีบพันธสัญญาแล้วผู้เขียนก็เล่าว่า บนหีบพันธสัญญาซึ่งเป็นหีบไม้ที่มีทองคำปิดทับไว้ ส่วนเครูปคือ ทองคำที่ทำเป็น
รูปเลียนแบบของเครูบซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ โดยที่เครูปเอาปีกปกคลุมเหนือหีบพันธสัญญา พระเจ้า
จะทรงพบกับปุโรหิต ณ ที่ตรงนี้ เพื่อบอกสิ่งที่ทรงประสงค์จะบอกคนอิสราเอล อพยพ 25:22

ฮีบรู 9:6-7
ตอนนี้ ผู้เขียนเริ่มที่จะอธิบายความว่า ปุโรหิตทำหน้าที่ในห้องชั้นแรกเป็นประจำทุกวัน แต่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น จะมีหนึ่งท่านที่เข้าไปเพียงปีละครั้งเท่านั้น และที่เข้าไปก็เพื่อถวายเลือดเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาปของตนเอง ของประชาชน การทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า การทำบาปทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า และเราต้องได้รับการอภัยเพื่อกลับเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์

ฮีบรู 9:8
รูปแบบพันธสัญญาเดิมที่อธิบายมานี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม ความผิดบาปของมนุษย์จะต้องถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเรายังใช้ระบบเดิมของพลับพลานี้อยู่ หากยังใช้ระบบปุโรหิตคนกลางที่เป็นมนุษย์แล้ว ทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ ทางที่จะเข้าไปหาพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์โดยตรงก็ไม่เปิดได้อย่างอิสระ ระบบเดิมกับใหม่ใช้ไปพร้อมกันไม่ได้

ฮีบรู 9:9-10
ระบบเดิมนั้น ไม่อาจชำระชีวิตของผู้ที่เข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างถาวร สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธี และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ไม่ได้เป็นแผนการสุดท้าย
ของพระเจ้า เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะจัดการกับบาปอย่างแท้จริงและยั่งยืนในองค์พระเยซูคริสต์​ผู้ทรงเป็นคนกลางเดียวเท่านั้นที่จะนำความรอดมาให้ พระเจ้าทรงแจ้งให้รู้ว่า ชีวิตบาปต้องมีการกำจัด

ฮีบรู 9:11
ข้อความตอนนี้ ได้สรุปชัดว่า ในสวรรค์มีพลับพลาที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในส่วนของธรรมชาติที่พระเจ้า
ทรงสร้าง เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่ง เป็นพลับพลาที่เหมาะกับองค์มหาปุโรหิต ซึ่งเราไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ และก็ไม่ได้มีบันทึกในที่อื่น ๆ ที่สำคัญคือพลับพลาสวรรค์สมบูรณ์แบบกว่าพลับพลาในโลก

ฮีบรู 9:12
วิธีการของพลับพลาสวรรค์นี้แตกต่างจากระบบของพลับพลาในโลก ตรงที่ว่า เลือดที่เข้าไปเพื่อรับการไถ่บาปให้มนุษย์ไม่ใช่เป็นเลือดสัตว์
แต่เป็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขน ในการถวายเครื่องบูชาของปุโรหิตในโลกเป็นการทำซ้ำ
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงทำครั้งเดียวเท่านั้นแล้วคนที่เชื่อวางใจก็ได้รับการไถ่บาปเลย

ฮีบรู 9:13-14
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังเล่าว่า ขนาดเลือดของโคและแกะยังมีพลังช่วยให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ยังมีพลังตามที่
พระเจ้าทรงกำหนดให้ ดังนั้น พระโลหิตของพระบุตรพระเจ้าจะยิ่งมีพลังเหลือล้นมากมายกว่านั้นขนาดไหน ​เป็นพระโลหิตที่ชำระเราจากชีวิต
เก่าที่วนเวียนอยู่กับการกระทำที่นำสู่ความตายกลายเป็นคนมีชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแต่มุ่งรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

ฮีบรู 9:15
เมื่อเห็นคำว่า “มรดกนิรันดร์” ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงเตรียมไว้ให้
พวกเขามาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพี่น้องยิวที่อ่านข้อความตอนนี้ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขา ไม่ใช่
พิธีกรรมใด ๆ ในพระวิหารหรือพลับพลาที่ต้องผ่านเหล่าปุโรหิตอีกต่อไป

ฮีบรู 9:16-18
คำว่าพินัยกรรม กับคำว่าพันธสัญญามีการใช้สลับกัน แต่ในภาษากรีกเป็นคำ ๆ เดียวกัน เสปอร์เจียนให้ความเห็นว่า ถ้าเรามีหลักฐานว่า
ผู้ทำสัญญาหรือผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตไปแล้วสัญญาหรือพินัยกรรมนั้นจะส่งผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับข่าวประเสริฐ ถ้าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์ข่าวประเสริฐนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ในพันธสัญญาเดิมต้องมีการใช้เลือดประพรมทุกอย่าง

ฮีบรู 9:19
อย่างที่ได้เล่าในข้อ 18 แล้วว่าพันธสัญญาเดิมนั้นต้องการเลือดของโค แพะ แกะมาเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีการอภัยบาปเกิดขึ้น บาปเป็น
เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะว่ามันทำให้คนที่ทำบาปนั้น รับโทษถึงตาย จะเกิดการอภัยให้บาปนั้นก็ต้องมีการรับโทษถึงตายเสียก่อน ในพันธสัญญาเดิมได้เลือกให้เป็นการตายของสัตว์เพื่ออภัยบาปตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสเอาไว้โดยต้องมีการฆ่าเอาเลือดกันเป็นประจำทุกวัน

ฮีบรู 9:20-21
ประชาชนจะต้องทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสในเรื่องเลือด ภายใต้พันธสัญญาเดิมนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้นในพลับพลา จะได้รับการชำระให้สะอาดด้วยการประพรมเลือดลงไป การทำเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึง ในมาระโก 14:24 พระเยซูตรัสในคืนสุดท้ายกับศิษย์ โดยทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและตรัสว่า นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนเป็นอันมาก ชี้ให้เห็นถึงพระโลหิตที่จะมาชำระเราให้สะอาด

ฮีบรู 9:22
พระเจ้าทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์ด้วยสิ่งที่มนุษย์เองคาดไม่ถึง ความดี ด้วยการขอโทษ หรือรับโทษที่ได้ทำไปแต่หลักพื้นฐานของการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์คือ การหลั่งเลือด ซึ่งในสมัยโบราณ พระองค์ทรงให้ประชาชนรับการอภัยบาปผ่านพิธีต่าง ๆ ที่ต้องมีการหลั่งเลือดของสัตว์ แต่ที่สุด พระองค์ทรงใช้พระโลหิตพระเยซู!

ฮีบรู 9:23-24
พลับพลา พิธีต่าง ๆ ซึ่งทำในสมัยโมเสสนั้น ช่วยให้คนรับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาซึ่งไม่สมบูรณ์แบบเต็มร้อย นี่เป็นพิธีในโลก
แต่ในสวรรค์ พระเยซูทรงเข้าไปในสถานนมัสการต้นแบบในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในฐานะองค์ปุโรหิตเพื่อช่วยให้เราพ้นจากความบาป นี่เป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นความล้ำเลิศที่ไม่มีใครให้ได้

ฮีบรู 9:25
การเข้าเฝ้าพระบิดาในฐานะปุโรหิตของมนุษยชาตินั้น เป็นการเข้าเฝ้าที่ยังคงทำเพื่อเราเสมอ คือพระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้อง
ถวายพระองค์บนไม้กางเขนอีกเลย สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวนั้น เป็นพอ สิ่งที่ปุโรหิตในสมัยก่อนทำหรือแม้กระทั่งในกลุ่มศาสนาที่ต้องมีตัวแทนติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้เลย มีพระเยซูเท่านั้นที่ทรงลบบาปให้และยังทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากมืดเป็นสว่างอย่างเห็นได้ชัด

ฮีบรู 9:26
เลือดของสัตว์ที่ปุโรหิตใช้เป็นสิ่งที่ต้องหามาใหม่ทุกครั้งที่ทำพิธีลบล้างบาป เพราะเป็นระบบการถวายเครื่องบูชาที่จำกัด แต่พระโลหิตของพระเยซูนั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำลายอำนาจและการลงโทษบาปได้ พระองค์ไม่ต้องทรงสิ้นพระชนม์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ในปลายยุคก็คือ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นผู้ขีดเส้นให้รู้ว่า ยุคของพันธสัญญาเดิมนั้นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือยุคของพันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 9:27-28
ชีวิตเดียว และตายครั้งเดียว พวกเราซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาให้เกิดมานั้น มีโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่จะรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเราทุกคนจะพบการพิพากษาของพระเจ้า เราต้องให้การกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องไม่ลืม เพื่อเราจะได้ไม่อายในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง พระเยซูทรงตายเพื่อคนเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่หยุดยั้งที่จะชวนคนอื่นให้มาพบพระองค์เช่นกัน

พระคำเชื่อมโยง

1* อพยพ 25:8
3* อพยพ 26:31-35; 40:3
4* อพยพ 25:10; 16:33; กันดารวิถี 17:1-10; อพยพ 25:16; 34:29
5* เลวีนิติ 16:2
6* กันดารวิถี 18:2-6; 28:3
7* อพยพ 30:10; ฮีบรู 5:3
8* ยอห์น 14:6
9* ฮีบรู 7:19
10* โคโลสี 2:16; กันดารวิถี 19:7;
เอเฟซัส 2:15

11* ฮีบรู 10:1
12* ฮีบรู 10:4; เอเฟซัส 1:7; เศคาริยาห์ 3:9; ดาเนียล 9:24
13* เลวีนิติ 16:14-15; กันดารวิถี 19:2
14* อิสยาห์ 53:2; 1 ยอห์น 1:7; ฮีบรู 6:1;
ลูกา 1:74
15* โรม 3:25; ฮีบรู 3:117* กาลาเทีย 3:15
18* อพยพ 24:6
19* อพยพ 24:5-6; เลวีนิติ 14:4,7

20* มัทธิว 26:28; อพยพ 24:3-8
21* อพยพ 29:12, 36
22* เลวีนิติ 17:11
23* ฮีบรู 8:5
24* ฮีบรู 6:20; 8:2; 8:34
25* ฮีบรู 9:7
27* ปฐมกาล 3:19; 2 โครินธ์ 5:10
28* โรม 6:10; 1 เปโตร 2:24; มัทธิว 26:28; ทิตัส 2:13


ฮีบรู 8 เราทุกคนรู้จักพระองค์

ฮีบรู 8:1-2 สิ่งที่เป็นจุดสำคัญคือเรามีมหาปุโรหิตเช่นนี้ ผู้ประทับนั่ง ณ เบื้องขวาของพระที่นั่งแห่งองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสวรรค์และพระองค์ทรงปฏิบัติกรณียกิจในสถานบริสุทธิ์ และพลับพลาแท้ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น

ฮีบรู 8:3-4 ในเมื่อมหาปุโรหิตทุกท่านถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อถวายทั้งของถวายและเครื่องบูชาจึงจำเป็นที่องค์ปุโรหิตท่านนี้จะต้องมีสิ่งที่จะถวายเช่นกัน หากพระองค์ทรงอยู่ในโลกพระองค์ก็จะไม่ได้เป็นปุโรหิตเพราะมีปุโรหิตท่านอื่น ๆ ที่ถวายของต่าง ๆ ตามที่บัญญัติกำหนดไว้อยู่แล้ว

ฮีบรู 8:5 ปุโรหิตเหล่านั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ซึ่งเป็นแค่แบบจำลอง เป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ นี่เองที่โมเสสได้เตือนไว้ตอนที่ท่านกำลังจะสร้างพลับพลาว่า “จงระวังทำทุกอย่างตามต้นแบบ(แบบร่าง)ที่ได้แสดงให้เจ้าเห็นบนภูเขานั้น”

ฮีบรู 8:6-7 อย่างไรก็ตาม พระเยซูองค์มหาปุโรหิตของเรา ทรงได้รับพันธกิจที่เป็นเลิศกว่า (ระบบปุโรหิตเดิม) เพราะพระองค์ทรงเป็นสื่อกลางให้กับพันธสัญญาดีกว่าซึ่งอยู่บนพระสัญญาที่เหนือกว่า เพราะหากว่าพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก

ฮีบรู 8:8 เมื่อพระเจ้าทรงพบความผิดในหมู่ประชากรและตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง พระเจ้าทรงประกาศ .. เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและกับวงศ์วานยูดาห์
ฮีบรู 8:9 จะไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา ในเวลาที่เราจูงมือนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์เพราะพวกเขาไม่ซื่อตรงในพันธสัญญาของเรา และเราจะหันหลังให้พวกเขา” องค์พระผู้เป็นพระเจ้าตรัสดังนั้น

ฮีบรู 8:10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับวงศ์วานอิสราเอลหลังจากสมัยนั้น นั่นคือเราจะใส่บทบัญญัติของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และจารึกมันไว้บนแผ่นหัวใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา

ฮีบรู 8:11-12 ไม่มีใครในพวกเขาที่จะสอนเพื่อนบ้านหรือพี่น้องว่า“จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า”เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยสุดไปจนถึงคนที่ใหญ่โตสุดเพราะเราจะอภัยความบาปชั่วของพวกเขา และจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”


ฮีบรู 8:13 เมื่อพระเจ้าตรัสถึงพันธสัญญาใหม่เท่ากับพระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาเดิมนั้นพ้นไป ในไม่ช้า สิ่งที่พ้นยุคและเก่าแก่นั้นจะสูญหายไป

ฮีบรู 8:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ทรงทำหน้าที่ในฐานะปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดคในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ ต้นแบบของพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น บัดนี้ เราจึงมีพลับพลานิรันดร์ องค์ปุโรหิตของ เราทรงอยู่ใกล้ชิดพระบิดามากและทรงอยู่ด้วยกันทุกเวลา ไม่เหมือนปุโรหิตที่มาพระวิหารแล้วก็ไป

ฮีบรู 8:3-4
พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดคทรงมาจากตระกูลยูดาห์ซึ่งเป็นตระกูลของกษัตริย์ดาวิด หากทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็ไม่อาจเป็นปุโรหิตตามสายเลือดได้เลย แต่ผู้เขียนเองได้บอกเราก่อนหน้านี้ว่า จะมีปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่าสายของเลวีมากนัก หากเรากลับไปอ่านในฮีบรู 7:11-19 จะเห็นว่าผู้เขียนพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับยิวที่กำลังลังเลว่าจะกลับไปอยู่ในศาสนายิวเดิมหรือไม่เพราะเป็นคริสเตียนถูกข่มเหงเสมอ

ฮีบรู 8:5
พระเจ้ามักจะทรงใช้เหตุการณ์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวรูปแบบจำลองเรื่องราว มาช่วยให้ผู้คนเข้าใจพระดำริของพระองค์ การสร้างพลับพลาเพื่อนมัสการพระเจ้า ระบบปุโรหิตและการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ ต่างมีเพื่อให้คนได้เข้าใจว่า ความรอดจากพระเจ้ามีการวางแผนอย่างชัดเจน รอบคอบโดยพระองค์เอง ดังนั้น เราจึงต้องมองเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทะลุถึงพระดำริในแต่ละสถานการณ์

ฮีบรู 8:6-7
ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านชาวยิวที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนว่า ระบบปุโรหิตเดิมที่พวกเขาคุ้นเคยนั้น เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่า พวกเขาไม่อาจทำตามบัญญัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ได้ครบครันเลย พวกเขายังต้องกลับมาถวายเครื่องบูชาไถ่บาปไม่หยุดหย่อน พระเจ้าทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าหลายร้อยปีแล้วว่า พระองค์จะทรงทำอะไรกับบัญญัติเดิม แต่ตอนนั้นคนยิวที่ได้ยินคำพยากรณ์นี้ ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ฮีบรู 8:8
ตั้งแต่สมัยของเยเรมีย์ พระเจ้าได้ทรงบอกล่วงหน้าว่า พระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับพวกเขา และตอนนั้น พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอย่างไร พระองค์ทรงชัดเจนมาก ว่าพระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับชนอิสราเอล พวกเขาจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเดิมในเรื่องการมาถวายเครื่องบูชาในพลับพลาหรือพระวิหารอีกต่อไป

ฮีบรู 8:9 (เยเรมีย์ 31:31-32)
ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำพันธสัญญาใหม่มาตั้งนานแล้ว พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น แต่หากไม่มีระบบเดิมอันนี้มาก่อน ผู้คนก็จะไม่รู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะทำตามบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวเอง พันธสัญญาใหม่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ การรักพระเจ้าสุดใจสุดจิตสุดกำลังความคิด มาเหนือการกระทำใด ๆ

ฮีบรู 8:10 (เยเรมีย์ 31:31-32)
นี่ไง พันธสัญญาใหม่ที่เหนือกว่าพันธสัญญาเดิมมากมายนัก ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่อยู่บนศิลาสองก้อนที่พระเจ้าประทานให้กับโมเสส แต่เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าจะจารึกเข้าไปในจิตใจ ในความคิด ในสมอง ในชีวิตของประชากรของพระองค์ ผู้ที่ติดตามพระเจ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพระองค์ผ่านคนกลางไม่ว่าเป็นแบบใดทั้งสิ้น เพราะพวกเขาจะติดต่อกับพระเจ้าโดยตรง

ฮีบรู 8:11-12 (เยเรมีย์ 31:34)
ในเวลานั้น การมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา คนทั่วไปจะไม่รู้วิธีที่จะเข้ามาหาพระเจ้า และไม่ได้รับอนุญาตขนาดนั้นด้วย ในประวัติศาสตร์ของยิว จากระบบปุโรหิตก็ยังมีเหล่าธรรมาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่เราเห็นในพระคัมภีร์ใหม่ คือพวกสะดูสี ฟาริสี ที่สำคัญคือ
พระเจ้าทรงสัญญาว่า เมื่อยกโทษแล้วพระองค์จะไม่ทรงจำบาปนั้นอีกต่อไป

ฮีบรู 8:13
พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าประทานผ่าน พระเยซูคริสต์นั้น แตกต่างจากระบบเดิมของความเชื่อที่ส่งต่อมาตั้งแต่สมัยโมเสสลงมาจนยุคของพระเยซูอย่างสิ้นเชิง และในข้อนี้ได้บอกชัดว่า เมื่อระบบเดิมสิ้นไป มันจะหายไปเลย ไม่มีต่อไปอีก นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยิวที่เคยชินกับการทำพิธีต่าง ๆ ในพระวิหาร สิ่งที่เขารักษาไว้จะหายไปอย่างนั้นหรือ? พวกเขาต้องยอมรับให้ได้

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 3:1
2* ฮีบรู 9:8, 12; 9:11, 24
3* ฮีบรู 5:1; 8:4; เอเฟซัส 5:2

5* ฮีบรู 9:23-24; โคโลสี
2:17; อพยพ 25:40
6* 2 โครินธ์ 3:6-8; ฮีบรู 7:22
7* อพยพ 3:8; 19:5
8* เยเรมีย์ 31:31-34

10* เยเรมีย์ 31:33; เศคาริยาห์ 8:8
11* อิสยาห์ 54:13; เยเรมีย์ 31:34
12* โรม 11:27
13* 2 โครินธ์ 5:17

ฮีบรู 7 ครั้งเดียวเป็นพอ

ฮีบรู 7:1 เมลคีเซเดคท่านนี้ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าองค์สูงสุด ท่านพบอับราฮัมตอนที่กลับมาจากการต่อสู้กับกษัตริย์ทั้งหลายและได้อวยพรท่าน (ปฐมกาล 14:8-16)
ฮีบรู 7:2 และอับราฮัมได้มอบหนึ่งในสิบจาก ของที่ริบมาทั้งหมด ประการแรกนามของท่านหมายถึง “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” ท่านยังเป็น “กษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม” ซึ่งหมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข”
ฮีบรู 7:3 ไม่มีบันทึกลำดับวงศ์วานของท่าน ไม่มีบิดามารดา ไม่มีบันทึกวันเริ่มต้นชีวิตหรือวันสิ้นสุดชีวิต แต่เป็นเหมือนกับพระบุตรของพระเจ้า ท่านดำรงตำแหน่ง ปุโรหิตเป็นนิตย์


ฮีบรู 7:4-5 ให้พิจารณาให้ดีว่า ท่านเมลคีเซเดคยิ่งใหญ่เพียงใด แม้แต่อับราฮัมต้นวงศ์วานของเรา ยังได้ถวายหนึ่งในสิบจากสิ่งที่ริบมาจากการสู้รบ บทบัญญัตินั้นสั่งให้วงศ์วานเลวีที่มีตำแหน่งปุโรหิตรับหนึ่งในสิบจากประชาชน นั่นคือ จากพี่น้องของพวกเขา แม้ว่า พี่น้องของเขาเองก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเช่นกัน

ฮีบรู 7:6-7 แต่ท่านเมลคีเซเดค ท่านไม่ได้สืบเชื้อสายจากเลวี ก็ได้เก็บหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และอวยพรให้เขาผู้ได้รับพระสัญญาการที่ผู้น้อยได้รับพรจากผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ฮีบรู 7:8 ในกรณีของเลวี คนที่รับหนึ่งในสิบเป็นมนุษย์ที่ตาย แต่กรณีของท่านเมลคีเซเดคท่านเป็นผู้ที่ได้รับการประกาศว่า ดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป

ฮีบรู 7:9-10 กล่าวได้อีกอย่างคือเลวีที่รับหนึ่งในสิบ ได้ถวายหนึ่งในสิบผ่านอับราฮัมแล้วเพราะเมื่อท่านเมลคีเซเดคพบอับราฮัม เลวียังอยู่ในกายของอับราฮัมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขาฮีบรู 7:11 หากว่าระบบปุโรหิตเลวีซึ่งเป็นฐานของบทบัญญัติ สามารถทำให้ผู้คนมีความสมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงตั้งระบบปุโรหิตที่แตกต่างไป โดยมีปุโรหิตตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบอย่างของอาโรน?

ฮีบรู 7:12-13 เพราะเมื่อระบบของปุโรหิตเปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกันปุโรหิตผู้ที่เรากล่าวถึงเป็นผู้ที่มาจากเผ่าอื่น ซึ่งไม่เคยมีใครในเผ่านั้นรับใช้ต่อหน้าแท่นบูชาในฐานะปุโรหิตมาก่อน
ฮีบรู 7:14-15 เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามาจากเชื้อสายเผ่ายูดาห์ โมเสสเองไม่เคยกล่าวว่ามีปุโรหิตมาจากเผ่านั้น และสิ่งที่เรากล่าวถึงจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีปุโรหิตอีกท่านที่เหมือนท่านเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น 

ฮีบรู 7:16-17 พระองค์เป็นปุโรหิตโดยไม่ได้ใช้กฎระเบียบการสืบทอดตามบรรพบุรษแต่เป็นโดยฤทธิ์เดชแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจทำลายได้ ตามที่ได้มีคำยืนยันว่า
“ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”

ฮีบรู 7:18-19 กฎเกณฑ์ดั้งเดิม (ในระบบปุโรหิต)จึงถูกยกเลิกไป เพราะไม่ได้คุณภาพและไร้ประโยชน์ (เพราะบทบัญญัติไม่อาจทำให้สิ่งใดดีพร้อมได้เลย) มีการให้ความหวังที่ดีกว่า ความหวังนี้ทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้

ฮีบรู 7:20-21 และทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ด้วยคำปฏิญาณจากพระเจ้า เพราะผู้อื่นที่มาเป็นปุโรหิตต่างมาโดยไม่ได้มีคำปฏิญาณใด ๆ แต่พระเยซูทรงมาเป็นปุโรหิตด้วยคำปฏิญาณ เมื่อพระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัย คือว่า ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์”

ฮีบรู 7:22-23เป็นเพราะคำปฏิญาณนี้เอง พระเยซูจึงทรงมาเป็นผู้ประกันของพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม มีปุโรหิตมากมายที่รับตำแหน่งสืบทอดต่อ ๆ กัน เพราะความตายนั้นกั้นไม่ให้พวกเขาทำงานในตำแหน่งนั้นตลอดไป

ฮีบรู 7:24-25 แต่เป็นเพราะพระเยซูทรงพระชนม์เป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงเป็นปุโรหิตที่ดำรงตำแหน่งอย่างยั่งยืน
ดังนั้น พระองค์จึงทรงช่วยคนที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์ถึงที่สุดเพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เสมอ
เพื่อทูลวิงวอนเพื่อพวกเขา

ฮีบรู 7:26 มหาปุโรหิตเช่นนี้ สามารถช่วยเราจริง ๆ นั่นคือ
ท่านที่บริสุทธิ์ ปราศจากความผิดไร้ตำหนิ ถูกแยกออกจากคนบาปและเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์

ฮีบรู 7:27 พระเยซูไม่เหมือนมหาปุโรหิตอื่น เพราะพระองค์ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาประจำวันเพื่อบาปของพระองค์ก่อนและต่อมาเพื่อบาปของประชาชน ที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เท่ากับเป็นเครื่องบูชาเพื่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 7:28 เพราะกฎบัญญัติแต่งตั้งคนที่มีข้อจำกัดเพราะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอมาเป็นมหาปุโรหิต แต่คำปฏิญาณที่มาหลังกฎบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งพระบุตรผู้ทรงถูกทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมตลอดไปเป็นนิตย์

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 7:1
ครั้งแรกที่เราพบท่านเมลคีเซเดคนั้น คือครั้งที่อับราฮัมไปช่วยชีวิตโลทหลานชาย โดยการสู้รบกับกษัตริย์จากตะวันออกที่กวาดต้อนชาวโสโดม
ไป ชนะพวกเขาได้ราบคาบ และริบข้าวของมาอีกมากมาย เมื่อกลับมา ก็มาพบกับท่านเมลคีเซเดคโดยอับราฮัมได้มอบทรัพย์สินที่ได้มาหนึ่งในสิบให้กับท่านซึ่งเป็นทั้งกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม และเป็นปุโรหิตคือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วย

ฮีบรู 7:2
ชื่อของท่านเมลคีเซเดกนั้น มีความหมายตรงไปยังองค์พระเยซูคริสต์ นั่นคือ คำว่า เมลคี หมายถึงกษัตริย์​และ เซเดค คือ ความเที่ยงธรรม
แปลชื่อท่านตรง ๆ คือ “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” และยังทรงเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุขซึ่งก็มีความหมายถึง องค์พระเยซูผู้ประทานสันติสุขให้ไม่เหมือนสันติสุขแบบของโลก อิสยาห์ 9:6 และ 11:14 ได้บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูคือราชาแห่งสันติ

 ฮีบรู 7:3
อย่าเพิ่งถอดใจเรื่องของท่านเมลคีเซเดคผู้นี้ เราอาจคิดว่า ท่านเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันคนนี้ ถ้าเรารู้จักท่าน เราจะเข้าใจอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับพระเยซูในฐานะคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ มากขึ้น มีบันทึกเกี่ยวกับท่านในหนังสือโบราณอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จากฮีบรูคือ ท่านเหมือนพระบุตรพระเจ้า และดำรงตำแหน่งนี้ตลอดไป

ฮีบรู 7:4-5
การที่อับราฮัมมอบสิบลดให้กับเมลคีเซเดค เท่ากับว่า เมลคีเซเดคเป็นผู้ที่ใหญ่กว่า อับราฮัมยอมรับว่า กษัตริย์-ปุโรหิตองค์นี้ ต้องได้รับการนับถือต้องได้รับของถวาย เมลคีเซเดคมาก่อนระบบปุโรหิต-เลวีในสมัยของโมเสส การมอบของถวายหนึ่งในสิบของอับราฮัมนี้ เป็นต้นแบบสำคัญที่อีกสี่ร้อยปีต่อมาที่พระเจ้าได้ทรงให้โมเสสตั้งระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วยเผ่าเลวี ซึ่งเป็นระบบที่จะหมดสิ้นในวันหนึ่ง

ฮีบรู 7:6-7
แม้ว่าอับราฮัมเป็นที่นับถือของผู้คนมากมาย ในฐานะที่เป็นบิดาของประชาชาติ แต่แล้วกลับมาพบว่า มีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา และยังอวยพรเขาด้วย ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะท่านเมลคีเซเดค รับของถวาย และให้พรแก่อับราฮัม เท่ากับอับราฮัม บิดาแห่งประชาชาติยังมีฐานะที่ต่ำกว่าท่านเมลคีเซเดค จากเหตุการณ์ตอนนี้เราพบว่า ระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ามนุษย์มีมานานแล้ว ก่อนระบบปุโรหิตสมัยโมเสส

ฮีบรู 7:8
จากข้อสามกล่าวว่าลักษณะของท่านเมลคีเซเดคก็คือ ไม่มีบิดามารดา ไม่มีลำดับวงศ์ ไม่มีวันเกิดหรือวันสิ้นชีวิต เป็นเหมือนพระบุตรพระเจ้า และ
เป็นปุโรหิตตลอดไป สิ่งที่กำลังหมายถึงก็คือการที่เมลคีเซเดคมาปรากฏตัว มีความสำคัญมากกว่าระบบปุโรหิตของเผ่าเลวีที่โมเสสตั้งขึ้น 
มีความเหมือนกับหน้าที่ตำแหน่งของพระเยซูแบบเหมือนเป๊ะ ทุก ๆ อย่างตามที่บรรยายไว้

ฮีบรู 7:9-10
สิบลดที่อับราฮัมมอบให้กับเมลคีเซเดค มีความสำคัญมากเพราะเท่ากับว่า เลวีในสมัยสี่ร้อยปีต่อมา ก็ได้ให้สิบลดแก่เมลคีเซเดคล่วงหน้าแล้ว
ผ่านอับราฮัมซึ่งเป็นต้นตระกูลของพวกเขาที่ผู้เขียนได้พยายามอธิบายมาถึงตอนนี้ ก็เพื่อผู้อ่านซึ่งเป็นคนยิว ที่ยังยึดติดกับระบบปุโรหิต
จะได้เข้าใจว่า การที่พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตหรือคนกลางของเรานั้นสำคัญอย่างยิ่ง

ฮีบรู 7:11
เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้องการระบบคนกลาง (ปุโรหิต) แบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่แบบอาโรน ตรัสกับพระเยซูในในฮีบรู 5:5-6 ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา.. เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค” ระบบของอาโรนทำให้เรารู้ว่าเราบาปอย่างไร และมีมนุษย์เป็นคนกลาง แต่ระบบของเมลคีเซเดค มีพระเยซูผู้เดียวเป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า

ฮีบรู 7:12-13
ระบบปุโรหิตเปลี่ยน แทนที่ปุโรหิตจะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ และทำผิดบาป กลับกลายเป็นพระเยซูทรงมาเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์แทน
ดังนั้น กฎบัญญัติจึงไม่เหมือนเดิมในหลาย ๆ กรณี อย่างเช่นสมัยก่อนเรายึดกฎบัญญัติเป็นหลักในการที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่มาบัดนี้
การเชื่อวางใจ และติดตามพระเยซูต่างหากที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย

ฮีบรู 7:14-15
ย้อนกลับไปที่เรื่องของปุโรหิตหรือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สมัยโมเสสผู้ที่จะเป็นปุโรหิตได้ก็ต้องมาจากเผ่าเลวีเท่านั้น ทั้งหมดที่ผ่านมา
ระบบต่าง ๆ ที่เราเห็น เป็นเพียงการบอกเราว่าเราซึ่งเป็นมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยวิธีของพระองค์ และสิ่งที่ดีกว่าระบบ
ปุโรหิตของโมเสสก็คือ ความบริสุทธิ์ขององค์ผู้เป็นปุโรหิต และศักดิ์ศรีความเป็นกษัตริย์

 ฮีบรู 7:16-17
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์โดยที่พระองค์ไม่ได้รับตำแหน่งนี้มาด้วยการสืบทอดทางสายเลือดเหมือนอย่างเลวี แต่พระองค์
ทรงเป็นคนกลางหรือปุโรหิตแบบเดียวกับท่านเมลคีเซเดคซึ่งท่านมีตำแหน่งปุโรหิตนี้ก่อนที่จะมีระบบปุโรหิตในสมัยโมเสส และตำแหน่งหน้าที่ของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ชั่วคราว แต่ยั่งยืนเป็นนิตย์ไม่มีใครทำลายได้ ไม่หายไป ไม่มีวันสูญสิ้น

ฮีบรู 7:18-19
เราเป็นคนต่างชาติ ระบบปุโรหิตเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ผู้เขียนกำลังบอกเราว่า กฎในระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งเป็นของเดิมที่พระเจ้าทรงตั้งในสมัยโมเสสนั้น ได้บอกชัดว่า ไม่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้คนรอดไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์ติดกับดักของบัญญัติที่เพียงชี้ให้เห็นเราว่า เราเป็นคนแบบใด เราทำผิดอย่างไรไปบ้าง แต่เราต้องมาหาพระผู้ช่วยแท้

ฮีบรู 7:20-21
คำว่า คำปฏิญาณนั้น คือคำสัญญาอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ อิสราเอลสมัยก่อนจะขอให้พระเจ้าทรงเป็นพยานคำปฏิญาณคำปฏิญาณบ่งบอกความตั้งใจที่จะทำให้สิ่งที่กล่าวไว้สำเร็จตามที่พูดอย่างแน่นอน ปุโรหิตหรือคนกลางทั้งหลายสมัยโมเสสเป็นต้นมาถูกตั้งโดยระบบต่อเนื่อง แต่พระเยซูทรงถูกตั้งโดยคำปฏิญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

ฮีบรู 7:22-23
ที่ทรงเป็นปุโรหิตที่ดีกว่าด้วยเหตุผลหลายประการเป็นเพราะพระเจ้าปฏิญาณจะประทานปุโรหิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุไหน ปีไหนในประวัติ-
ศาสตร์ เราก็มีพระเยซูเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับเรา -พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ -การเป็นคนกลางของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องเปลี่ยนตัว มีการนับว่าจากสมัยโมเสสถึงค.ศ. 70 มีการเปลี่ยนตัวปุโรหิตถึง 83 คน !

ฮีบรู 7:24-25
ที่พระเยซูทรงช่วยได้เพราะทรงเป็นพระเจ้าเป็นมนุษย์ในพระองค์เดียวกัน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อวิงวอนเพื่อคนที่มาใกล้พระองค์ ทรงชำระให้บริสุทธิ์ ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาการที่ทรงช่วยจนถึงที่สุดหมายถึงได้ทั้งการช่วยอย่างสมบูรณ์แบบ และ เสมอไป การช่วยให้รอดของพระองค์เพื่อเราจึงสมบูรณ์แบบรอบด้านและเป็นการช่วยเสมอ ตลอดไป 

ฮีบรู 7:26
ความเหมาะสมเช่นนี้ ไม่มีใครทำให้ได้นอกจากพระเจ้าจะทรงกำหนดให้ เวลาเรามีอาจารย์หรือครูสอนที่เราชอบ วันหนึ่งเราอาจผิดหวังเพราะเขาเป็นแค่มนุษย์มีโอกาสทำพลาดได้ แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือมนุษย์คนใด เหนือฟ้าสวรรค์ ทรงไร้ที่ติหน้าที่คนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์จึงเหมาะสมที่จะเป็นของพระองค์ผู้เดียว

ฮีบรู 7:27
พระองค์ทรงแตกต่างจากปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ เดี๋ยวพลาด เดี๋ยวกลับใจ เดี๋ยวดี พระองค์ได้ทรงสละชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขน
เพียงครั้งเดียว และการสละครั้งนั้น เพียงพอแล้วและบัดนี้ทรงนั่งข้างขวาพระบิดาในสวรรค์ทรงรับการยกย่องเหนือผู้ใดในเอกภพ (ปุโรหิต
ทั่วไปต้องถวายเครื่องบูชาในวันลบบาปปีละครั้งแถมยังต้องถวายเครื่องบูชาทุกวันด้วย)

ฮีบรู 7:28 เราต้องแยกระหว่างกฎบัญญัติ กับคำปฏิญาณของพระเจ้า กฎ ทำไว้เพื่อให้ทำตามกฎกันต่อไปเรื่อย ๆ และมนุษย์ก็มีความจำกัด เพราะแพ้บาปได้เสมอ เราเองเป็นคนบาปที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า ไม่มีระบบใดในโลก วิธีการใดที่จะเป็นสะพานระหว่างพระเจ้ากับเรา ดังนั้นเราจึงต้องการพระบุตรของพระเจ้าองค์นี้ มาเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ ให้เราคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

พระคำเชื่อมโยง

1* ปฐมกาล 14:18-20
5* กันดารวิถี 18:21-26
6* ปฐมกาล 14:19-20; โรม 4:13
8* ฮีบรู 5:6; 6:20
11* ฮีบรู 7:18; 8:7

14* อิสยาห์ 1:1; มัทธิว 1:217* สดุดี 110:4
18* โรม 8:3
19* กิจการ 13:39; ฮีบรู 6
:18-19; โรม 5:2
21* สดุดี 110:4

22* ฮีบรู 8:6
25* ยูดา 24; โรม 8:34
26* ฮีบรู 4:15; เอเฟซัส 1:20
27* เลวีนิติ 9:7; 16:6

ฮีบรู 6 คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด

หลักคำสอนพื้นฐาน

6:1 ดังนั้น ให้เราพากันผ่านหลักคำสอนพื้นฐานเกี่ยวกับพระคริสต์ และก้าว
ต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีกในเรื่อง
1 การกลับใจจากการกระทำที่นำสู่ความตาย 
2 และความเชื่อในพระเจ้า

6:2-3 3 คำสอนเรื่องการชำระให้สะอาด
4 การวางมือ 
5 เรื่องการคืนชีพจากความตาย
6 และการพิพากษาลงโทษนิรันดร์
หากพระเจ้าทรงอนุญาต เราจะมุ่งหน้าก้าวต่อไป

อย่าทิ้งทางนี้ไป..เพราะอันตราย

6:4-5 ส่วนบรรดาคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเข้าใจ ได้ลิ้มรสของประทาน
จากสวรรค์ คนที่มีสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่เคยรับความดีแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้สัมผัสฤทธิ์เดชของยุคที่กำลังเคลื่อนเข้ามา

6:6แล้วกลับละทิ้งทางนี้ไป … กรณีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะนำพวกเขากลับมา สู่การกลับใจอีกครั้ง เพราะพวกเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีกครั้ง
และทำให้พระองค์ทรงอับอายต่อหน้าสาธาณชน

6:7-8 ผืนดินที่ได้รับน้ำฝนซึ่งตกลงมา และเกิดพืชผลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์
แก่คนที่เพาะปลูกดูแล ก็เท่ากับเป็นพระพรจากพระเจ้า แต่ผืนดินที่เกิด
ต้นหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่าใกล้ถูกสาป ในที่สุดก็จะถูกไฟเผา

6:9 เพื่อนรัก แม้ว่าเราจะพูดเช่นนี้ เราก็ตระหนักว่า ในกรณีของท่าน
นั้นยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสารพัดสิ่งที่จะมาพร้อมกับความรอด

พากเพียรบากบั่น จนถึงที่สุด

6:10 เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมงานที่ทำ และความรัก
ที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์
ในขณะที่ท่านได้รับใช้วิสุทธิชนของพระเจ้า และยังจะรับใช้พวกเขาต่อไป

6:11-12 เราปรารถนาให้ท่านแสดงว่าได้พากเพียรบากบั่นจนถึงที่สุด เพื่อว่าจะทำให้สิ่งที่ท่านหวังนั้นเกิดขึ้นจริง เพื่อท่านจะไม่เป็นคนเฉื่อยช้า แต่จะเลียนแบบคนที่ได้รับมรดกตามพระสัญญาโดยอาศัยทั้งความเชื่อและความทรหดอดทน

คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด

6:13-14 เมื่อพระเจ้าทรงทำสัญญาต่ออับราฮัมนั้น พระองค์ทรงกล่าวคำปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์เอง เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าพระองค์ที่จะทรงอ้างในคำปฏิญาณได้ ตรัสว่า“เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและทวีจำนวนลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากเจ้า”

6:15-16 ดังนั้น อับราฮัมจึงได้รับตามพระสัญญาหลังจากที่ได้รอคอยอย่างอดทน  มนุษย์นั้นจะสาบานโดยอ้างบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง และคำปฏิญาณของพวกเขาก็เป็นสิ่งยืนยันเพื่อจบการโต้แย้งใด ๆ

6:17 ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะแสดงให้ทายาทที่จะรับตามพระสัญญารู้ชัดว่า ไม่มีการเปลี่ยนสิ่งที่ทรงตั้งพระทัยไว้ พระองค์ทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำปฏิญาณ (ภาษาเดิมว่าคำสาบาน)

ความหวังที่อยู่ข้างหน้า

6:18 ดังนั้น โดยสองสิ่งนี้ที่ไม่มีวันเปลี่ยนและเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา พวกเราที่ได้หนีไปยึดความหวังซึ่งเตรียมไว้ต่อหน้าพวกเราจึงต่างได้รับกำลังใจ

6:19-20 เรามีความหวังนี้ เป็นสมอสำหรับจิตวิญญาณทั้งมั่นคง ปลอดภัย เป็นหวังที่ได้เข้าไปยังสถานที่บริสุทธิ์เบื้องหลังม่าน เป็นที่ซึ่งพระเยซูผู้ทรงเข้าไปก่อนเพื่อเรา พระองค์จึงทรงเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 6:1
ประเด็นสำคัญตอนนี้ คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ พี่น้องที่เข้ามาเชื่อนั้น ส่วนใหญ่เปลี่ยนจากศาสนายิว มาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้กล่าวถึงพื้นฐานที่สำคัญหกหัวข้อ หลักคำสอนพื้นฐานดังกล่าวจะเป็นรากฐานที่สำคัญให้กับผู้เชื่อ สอง อย่างแรกคือ การกลับใจและความเชื่อ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราเช่นกัน

ฮีบรู 6:2-3
การชำระให้สะอาดและการวางมือนั้น คู่กัน มีความหมายถึงการรับบัพติศมา และเมื่อ มีการวางมืออธิษฐานให้ เป็นภาษาท่าทางที่สื่อว่า คน ๆ นั้น ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และก้าวเข้าสู่ชุมชนพระกายของพระคริสต์ ส่วนสองข้อสุดท้ายคริสเตียนจะต้องเข้าใจว่า พระเยซูผู้ทรงคืนชีพจากตายจะเสด็จกลับมาและพิพากษาโลก

ฮีบรู 6:4-5
พระคำตอนนี้ต้องอ่านคู่ไปกับข้อที่หก ในสองข้อนี้กำลังอธิบายถึงคนที่เคยรู้จักพระเจ้ามาอย่างดี ทั้งเข้าใจ ทั้งได้ของประทานที่ล้ำเลิศ ทั้งได้เคยสนิทกับองค์พระวิญญาณรู้จักพระวจนะของพระเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นคนที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้าอย่างเหลือล้น แต่แล้ว เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ …..

ฮีบรู 6:6
เขาละทิ้งทางของพระเจ้าทั้งที่รู้ดีกว่าใครเหมือนกับคนที่พระธรรมโรม 1:28 กล่าวว่า “เขาไม่เห็นคุณค่าของการที่รู้จักพระเจ้า” ข้อความตอนนี้ยากที่จะเข้าใจ และยังน่ากลัวสำหรับชีวิตของคน ๆ นี้ด้วย การที่บอกว่าเขาตรึงพระเยซูอีกครั้งก็คือ เขากำลังทำอย่างเดียวกับคนที่ตรึงพระเยซูในอดีต… คือปฏิเสธเยาะเย้ย และดูหมิ่นพระองค์

ฮีบรู 6:7-8
นี่เป็นภาพเดียวกับที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น คนหนึ่งได้รับของดีจากพระเจ้ามาทั้งชีวิตแต่แล้วปฏิเสธพระองค์ ก็เหมือนกับแผ่นดินที่ได้รับน้ำฝนอย่างเพียงพอ แต่กลับเกิดต้นหนามทั้งเล็กใหญ่ ผืนดินนั้นก็เท่ากับไร้คุณค่า บางครั้งเราคิดว่า เราโอเคแล้ว เป็นลูกคริสเตียน หรือเป็นสมาชิกในโบสถ์ แต่หารู้ตัวไม่ว่าจริง ๆ เป็นคนที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้า

ฮีบรู 6:9
หลังจากที่ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงสิ่งน่ากลัวที่จะเกิดกับคนที่ปฏิเสธพระเจ้าไป ท่านก็พูดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความหวังใจในสิ่งดี ๆ ท่านเชื่อว่าพี่น้องที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จะไม่อยู่ในกรณีนั้น ท่านกำลังบอกว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะได้รับความรอด” นั่นเอง เราต้องดูต่อไปว่าทำไมท่านมีความหวังใจเช่นนี้

ฮีบรู 6:10
ที่ผู้เขียนฮีบรูมีความหวังใจกับพี่น้องเป็นเพราะพวกเขาได้ออกแรงทำงานรับใช้พี่น้องรับใช้พระเจ้าด้วยความรักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ท่านให้กำลังใจว่า ทุกสิ่งที่ได้ทำนั้น พระเจ้าไม่ทรงลืม พระองค์ทรงยุติธรรมที่จะประทานพร รางวัลให้แก่พวกเขา สิ่งที่ทำให้ท่านรู้ว่า พวกเขาเป็นผู้เชื่อแท้ก็เพราะพวกเขารักพระเจ้า รับใช้อย่างไม่หยุดยั้ง

ฮีบรู 6:11-12
จากข้อความนี้ เราเห็นชัดว่า ผู้เขียนขอร้องให้พี่น้องเอาจริงเอาจังกับความเชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ทำตัวสบาย ๆ ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เรามีตัวอย่างของคนที่มีความเชื่อและความอดทนในพระคัมภีร์หลายคน และแน่นอน รอบตัวเรา ก็น่าจะมีคนที่เป็นแบบอย่างให้กับเราด้วย

ฮีบรู 6:13-14
น่าแปลกที่พระเจ้าทรงสัญญาต่ออับราฮัมว่าท่านจะได้มีลูกหลานจำนวนมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ทรงสั่งให้เอาอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชา ซึ่งตัวอับราฮัมผู้ที่ได้คุ้นเคยกับพระเจ้า และมีความมั่นใจในพระองค์เต็มร้อย ก็ลงมือทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ แต่ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงหาทางให้อิสอัคมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ต้องตายไปก่อน

ฮีบรู 6:15-16
อับราฮัมได้อย่างที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่จริงคำมั่นสัญญาของพระเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างใครเพื่อให้เกิดการเชื่อถือ เราเชื่อพระสัญญาได้เพราะพระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระดำรัา ไม่เคยมีครั้งใดที่พระองค์ทรงเปลี่ยนคำของพระองค์ตามพระทัยตามอารมณ์หรือตามสถานการณ์ มนุษย์เราเวลาให้สัญญาก็มักจะต้องอ้างถึงผู้ที่ใหญ่กว่าตนเสมอ แต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญาทรงใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้

ฮีบรู 6:17
ที่พระเจ้าทรงยืนยันพระสัญญาด้วยคำปฏิญาณของพระองค์ ก็เพื่อเห็นแก่อับราฮัม เพื่อเขาจะเชื่ออย่างเต็มร้อย เพื่อเขาจะไม่ต้องสงสัยในพระสัญญา (อย่างที่พวกเรามักจะสงสัย ไม่เชื่อคิดว่าพระเจ้าทรงทำไม่ได้ คิดว่าพระเจ้าทรงลืมไปแล้ว) เราจะเห็นคำว่า ทายาทที่จะรับตามพระสัญญา นั่นก็คือ พวกเราที่เชื่อพระเยซูนั่นเอง(กาลาเทีย 3:29) พระคำตอนนี้จึงพูดกับเราโดยตรง

ฮีบรู 6:18
เวลาพระเจ้าตรัสสิ่งใดกับมนุษย์ คำไหนเป็นคำนั้นไม่เปลี่ยนไปมาอยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มภาษาให้กับเรา พระเยซูตรัสว่า ทรงเป็นทางนั้นเป็นความจริง และเป็นชีวิต จะเห็นว่า ความจริงคือพระลักษณะของพระองค์เอง เราเองต้องทบทวนตัวเองว่า เรามั่นใจในพระลักษณะ พระดำรัส และคำสัญญาของพระองค์ขนาดไหนถ้ายังมีไม่พอ ต้องอ่าน ฟังพระคำเยอะหน่อย!

ฮีบรู 6:19-20
สถานที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้น ห้ามคนเข้าไปเด็ดขาดเป็นที่ ๆ บอกว่า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์กับมนุษย์ไม่อาจพบปะกันได้ แต่พระเยซูคริสต์ ทรงเข้าไปก่อนแล้ว ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเราที่บอกว่า เราหวังจะได้เข้าที่บริสุทธิ์หลังม่านก็คือที่จะได้พบกับพระเจ้าต่อพระพักตร์พระองค์เราในปัจจุบันไม่ทราบกันว่า ในสมัยโบราณนั้นการเข้าหาพระเจ้าไม่ง่ายเหมือนเวลานี้เลย

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 5:12; 9:14
2* กิจการ 19:3-5; 8:17; 17:31;24:25
4* ยอห์น 4:10; กาลาเทีย 3:2,5
6* ฮีบรู 10:29
7* สดุดี 65:10
8* อิสยาห์ 5:6

10* โรม 3:4; 1 เธสะโลนิกา 1:3; โรม 15:25
11* โคโลสี 2:2
12* ฮีบรู 10:36
13* ปฐมกาล 22:16-17
14* ปฐมกาล 22:16-17

15* ปฐมกาล 12:4; 21:5
16* อพยพ 22:11
17* ฮีบรู 11:9; โรม 11:29
18* กันดารวิถี 23:19; โคโลสี 1:5
19* เลวีนิติ 16:2,15
20* ฮีบรู 4:14; 3:1;5:10-11