มาระโก 5 อัศจรรย์ท้าชีวิต

ผีมาร ชายผู้เป็นเหยื่อ กับฝูงหมู


1 พวกเขาข้ามฟากมาถึงเขตเกราซา(หรือเกราซีน)
2 ทันทีที่พระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ก็พบชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณโสโครกสิงอยู่ เขาออกมาจากแถบถ้ำสุสาน
3 ชายคนนี้เร่ร่อนอาศัยตามถ้ำสุสานและไม่มีใครมัดเขาให้อยู่กับที่ได้แม้ว่าจะใช้โซ่ล่ามไว้

4 แม้ว่าเขาถูกล่ามด้วยโซ่และตรวนบ่อย ๆ เขาก็ได้หักโซ่และตรวนกระจาย ตอนนี้ไม่มีใครมีแรงพอที่จะปราบเขาอยู่มือ
5 เขาเอาแต่ร้องโหยหวนตามถ้ำสุสาน ตามภูเขา และเอาหินกรีดตัวเอง
6 เมื่อชายคนนี้เห็นพระเยซูแต่ไกล เขาก็วิ่งมาและคุกเข่าลงต่อพระองค์
7 และเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านต้องการอะไรจากข้าพเจ้า พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด? ข้าพเจ้าขอท่านเมตตาข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า โปรดอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
8 ที่กล่าวอย่างนั้นเพราะพระองค์ตรัสว่า
“จงออกมาจากชายคนนี้ เจ้าวิญญาณโสโครก!”

9 พระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาตอบว่า
“ข้าพเจ้าชื่อกอง..เพราะว่าเราอยู่กันหลายตน”
10 จากนั้นก็ขอร้องพระเยซูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้พระองค์ส่งพวกมันออกไปจากเขตแดนนั้น

11 ใกล้ ๆ ที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
12 ดังนั้น พวกผีมารจึงร้องขอพระเยซู “ขอท่านส่งเราไปที่ฝูงหมู พวกเราจะได้เข้าสิงมัน”
13 พระองค์ทรงอนุญาต ดังนั้นเหล่าวิญญาณโสโครกจึงออกมาจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงในตัวหมู ฝูงหมูที่มีประมาณ สองพันตัวก็วิ่งลงมาจากหน้าผาชัน ลงไปในทะเล แล้วจมน้ำตายจนหมด
14 ส่วนคนที่เลี้ยงหมูก็วิ่งออกไป เข้าไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง และหมู่บ้านโดยรอบ และผู้คนก็พากันออกมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น

15 แล้วพวกเขาก็มาหาพระเยซู ก็ได้เห็นชายที่ผีสิงทั้งกองนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาจึงกลัวนัก
16 คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น กับคนที่ถูกผีสิง และฝูงหมูให้ผู้คนได้ฟัง
17 พวกเขาจึงวิงวอนขอให้พระเยซูไปจากดินแดนของพวกเขา

18 ขณะที่พระองค์ทรงลงเรือ ชายคนที่มีผีสิงก็ทูลขอไปกับพระองค์
19 แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต “เจ้าจงกลับไปบ้าน หาครอบครัวของเจ้า” พระองค์ตรัส “ และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าได้ทรงทำการเพื่อเจ้ามากแค่ไหน และพระองค์ทรงเมตตาเจ้าอย่างไร”
20 ดังนั้น เขาจึงลาไป และเริ่มต้นประกาศทั่วในแคว้นเคคาโปลิสว่า พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเขามากเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจนัก

ลูกสาวเอ๋ย..

21 อีกครั้งที่พระเยซูทรงลงเรือข้ามฟากมา ประชาชนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ริมทะเลสาบ
22 นายศาลาธรรมชื่อไยรัสมาที่นั่นด้วย เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ทรุดตัวหมอบที่พระบาทพระองค์
23 เขาทูลอ้อนวอนอย่างร้อนใจว่า
“ลูกสาวตัวเล็กของข้าพเจ้าใกล้ตายพระเจ้าข้า ขอโปรดมาและวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อว่าลูกจะได้หายและได้มีชีวิต”
24 ดังนั้นพระเยซูเสด็จไปกับเขา ฝูงชนก็ตามไปด้วย เบียดเสียดรอบ ๆพระองค์


25 ในหมู่คนนั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ทุกข์ทรมานจากโรคเลือดตกมานานถึง 12 ปี
26 เธอทุกข์ทรมานยิ่งนัก ได้ไปหาหมอหลายคน และใช้เงินที่มีอยู่จนหมดตัว แต่ไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งกว่านั้น เธอกลับมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ
27 เมื่อหญิงคนนี้ได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เดินไปในหมู่ชนด้านหลังของพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์
28 เพราะเธอพูดกับตัวเองว่า “หากฉันได้ทำเพียงแตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรค”
29 ทันที! .. เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด และเธอรู้ตัวว่า เธอหายจากโรคแล้ว

30 เวลาเดียวกันนั้น พระเยซูทรงทราบว่า ฤทธิ์ได้ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์ทรงหันไปในหมู่คน ตรัสถามว่า “ใครมาแตะเสื้อผ้าของเรา?”
31 พวกศิษย์ของพระองค์ตอบว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีคนมากมายเบียดพระองค์อยู่ แต่ยังทรงถามว่า ใครมาแตะเรา”
32 แต่พระองค์ยังทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อจะดูว่า ใครเป็นคนที่ทำเช่นนั้น
33 แล้วหญิงคนนั้นรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อพระบาท และเธอก็บอกความจริงทั้งหมด
34 “ลูกสาวเอ๋ย!” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถอะ และพ้นจากความทุกข์ทรมาน”

ลูกสาวใคร ได้ฟื้นขึ้นมา ?


35 ขณะที่พระองค์ตรัสนั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากบ้านของไยรัสนายศาลาธรรม กล่าวว่า
“ลูกสาวของท่านตายแล้ว ทำไมต้องไปรบกวนพระอาจารย์อีกเล่า?”
36 พระเยซูทรงได้ยินคำสนทนานั้น จึงตรัสกับ
ไยรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น”
37และพระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้ใครไปกับด้วย
ยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ


38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของนายศาลาธรรม พระเยซูทรงเห็นผู้คนในบ้านวุ่นวายโกลาหล มีการร้องไห้ ร้องโหยหวนเสียงดัง
39 พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสถามว่า “ทำไมจึงมาร้องไห้วุ่นวายไปอย่างนี้? เด็กยังไม่ตาย เธอหลับอยู่เท่านั้น”
40 และพวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์กัน
หลังจากที่พระองค์ทรงให้พวกเขาออกไปอยู่ข้างนอก ทรงให้พ่อแม่ของเด็ก และศิษย์ที่มากับพระองค์เข้าไปข้างในหาเด็ก


41 ทรงจับมือเธอ ตรัสว่า “ทาลิธา คูม” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกให้หนูลุกขึ้น”
42 ทันใดนั้นเองเด็กหญิงก็ลุกขึ้น และเริ่มเดินไปรอบ ๆ เธออายุ 12 ปี และพวกเขาต่างตกตะลึงไปตาม ๆกัน
43 แล้วพระเยซูทรงกำชับว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทรงบอกให้เขาหาอาหารให้เด็กหญิงรับประทาน

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 5:1-5
เกราซาเป็นเมืองเล็ก ๆ ด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี  ซึ่งเป็นเมืองที่มีหน้าผาสูงมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีสิง มาพบพระเยซูทันที! (ในหนังสือมัทธิว บอกว่ามีชายสองคนที่นั่น เพราะมัทธิวเขียนให้คนยิวอ่าน  มาระโก เล่าเน้นคนคนที่มีวิญญาณชั่วหลายตน )  น่าแปลกใจที่ในพระคัมภีร์เดิมเราไม่ได้อ่านเรื่องคนถูกผีสิง แต่เมื่อพระเยซูมาถึง คือเวลาของพระองค์ที่จะเหยียบหัวของมารนั่นเอง (เวลาของพระเมสสิยาห์) และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มันมักจะเข้าไปสิงคนในแถบชนบทมากกว่าในเมือง 
ให้เรานึกถึงชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ไม่ปกติ ไม่อาจจะทำมาหากิน มีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ได้ สิ่งที่ทำยี่สิบสี่ชั่วโมงคือ การร้องเสียงดังตามถ้ำ และเอาหินกรีดตัวเองจนโชกเลือด  และเขาทำอย่างนั้นตลอดเวลา  แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างทรมานเป็นที่สุด
เห็นไหมว่า มารทำอะไรในตัวเขา คือเอาความเป็นคนออกไป เขาต้องถูกแยกออกไปจากผู้คนในเมือง 
ผู้คนกลัวเขามาก และมีความพยายามเอาโซ่ล่ามเขาไว้ แต่เขาก็หักโซ่ตรวนนั้นได้ ที่เขามีกำลังมากขนาดนี้เป็นเพราะเขามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในตัวทำให้มีพลังเกินกำลังคนธรรมดา  และที่สำคัญ วิญญาณชั่วนั้น   ผลักดันให้เขาทำร้ายตัวเองไม่หยุดหย่อน แต่มาตอนนี้ พระเยซูเสด็จมาใกล้ ๆ ที่เขาอยู่ !
 
มาระโก 5:6-10
ปฏิกริยาของมารต่อพระเยซูเมื่อเห็นพระเยซูมันวิ่งมานมัสการพระองค์ คุกเข่าลง มันหมดอำนาจเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู มันไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนเลย. พระเยซูตรัสสั่งให้วิญญาณโสโครกออกมาจากตัวเขา วิญญาณในตัวจึงร้องเสียงดัง
** มันใช้คำถามว่า ท่านต้องการอะไรจากพวกมัน
** มันรู้ว่า พระเยซูคือ พระบุตรของพระเจ้าสูงสุดเสียด้วย มันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง (ไม่เหมือนคนมากมายที่ไม่ยอมเชื่อว่ามีพระเจ้า)
** มันขอให้พระเยซูเมตตา ไม่ทรมานมัน (ดูเหมือนการที่จะออกจากการสิงชายคนนี้เป็นสื่งที่ทรมานวิญญาณชั่ว) เราเห็นชัดว่า มันไม่มีอำนาจเหนือพระเยซูสักนิด มันรู้ว่าพระเยซูอยู่เหนือมันแน่นอน มัทธิวบันทึกว่าอย่าทำร้ายมันก่อนเวลา …​
** เมื่อพระเยซูถามชื่อ มันตอบว่า กอง เพราะมีอยู่หลายตนในตัวชายคนนั้น นี่เป็นเหตุผลที่เขาทรมานเหลือเกิน
** มันขอที่จะอยู่ในเขตแดนนั้นต่อไป มันรู้ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า

มาระโก 5:11-13
**มารขอร้องพระเยซูให้ไปสิงในฝูงหมูแทนสิงชายคนนั้น แน่นอนพระเยซูจะไม่ทรงยอมให้พวกมันไปจัดการกับคนอื่น ตอนนี้มันต้องการบ้านใหม่ และเห็นว่า ฝูงหมูก็ยังดีกว่าถูกไล่ไปยังบึงไฟ ทำไมพระเยซูทรงยอม? … ทำไมพระองค์ไม่จัดการส่งมันลงบึงไฟเลย?​
อาจมีเหตุผลหลายอย่างตามที่คนเราในสมัยใหม่คิดกัน อย่างเช่น แต่ที่เราเห็นอย่างหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้
หมูทั้งฝูง พอถูกมารสิง มันก็กระโจนลงน้ำไปหมด

มาระโก 5:14-20
ชาวเมืองกังวลว่า หากพระเยซูอยู่อีกอาจจะทำลายฝูงหมูอื่นอีกก็เป็นได้
ยังมีฝูงสัตว์อื่น ๆ อีก พวกเขามองไม่เห็นสิ่งดีที่พระองค์ทรงทำให้กับชาวเมืองที่ถูกผีเข้า พวกเขาจึงขอให้พระองค์ออกไปจากดินแดนนั้น อย่าได้มาทำลายเครื่องมือทำมาหากินของพวกเขา
ชาวเมืองไม่ได้เห็นการดีที่พระเยซูทรงทำเพื่อชายที่ทรมานจากผีเข้าสิงเลย และไม่สนใจด้วยว่า มีคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากผีเป็นกองทัพ!
ชายคนนี้ที่เป็นอิสระแล้ว ขอไปกับพระเยซู แต่ทรงให้เขากลับไปแจ้งให้ครอบครัว พี่น้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงดีต่อเขาอย่างไร เขาก็ตกลงทำตามนั้น เขากลายเป็นคนที่ประกาศให้ชาวเมืองแถบนั้นได้รู้ว่า พระเยซูคือผู้ใด และทรงทำอะไรเพื่อเขา  พื้นที่ ๆ เขาเป็นพยานก็ไม่ใช่พื้นที่ยิวแต่เป็นของชาวต่างชาติ


ลูกสาวเอ๋ย
มาระโก 5:21-23
นายศาลาธรรมไยรัส น่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ของฟาริสี และหากใคร ในหมู่ผู้ทำงานในศาลาธรรม รู้ว่าเขามาหมอบที่พระบาทของพระองค์เช่นนี้ คงเกิดเรื่องขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ เรื่องเหล่านั้น ไม่สำคัญต่อไยรัสแต่อย่างใด เขาเพียงขอแค่ลูกสาวมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง  ชีวิตของลูกสาวย่อมสำคัญกว่าความบีบคั้นจากสังคมยิวไยรัสรู้ดีว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะช่วยลูกสาวของเขาได้ เขาต้องเคยได้ยินและได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมาบ้างแล้ว 
มาระโก 5:24-34
และยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยมานานสิบสองปี และหาหมอที่ไหนก็ไม่ช่วยให้หาย แต่กลับทำให้ฐานะยากจนลงไปเรื่อย ๆ เธอกำลังอยู่ในหมู่ชนที่เบียดเสียดกับพระเยซู เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเยซูเป็นผู้ที่รักษาโรคให้หาย ท่านคือผู้มีฤทธิ์ ฉันว่าแค่แตะท่านผู้ทรงฤทธิ์ ฉันหายโรคแน่.. ไม่มีใครสอนเธอเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันเป็นไปได้ นี่เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นพระเยซู เมื่อเข้าไปใกล้พระองค์ เธอพยายามที่สุดที่จะเข้าไปแตะชายเสื้อให้ได้
ขณะที่คนกำลังตื่นเต้น และรีบร้อนกับการไปดูพระเยซูรักษาโรคให้ลูกสาวไยรัส หญิงคนนี้เบียดเสียดเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นใจ มั่นคง ไม่มีอะไรมาทำให้เธอหันกลับ (อย่าลืมว่าจริง ๆ แล้ว การมีเลือดไหลแบบนี้เท่ากับเธอเป็นคนมลทินในกฎของยิว ถ้าใครรู้ว่าเธอมีอาการแบบนี้ จะเกิดการลุกฮือแน่นอน เพราะเธอต้องแยกตัวออกมา จะมาชิดใกล้กับผู้คนแบบนี้ไม่ได้) ต่อให้ใครมาลากเธอออกไป เธอก็จะยังแตะพระองค์ให้ได้
ทันทีที่เธอแตะต้องชายเสื้อของพระเยซู แอบแตะเท่านั้น เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด ทันทีที่ฤทธิ์ซ่านออกจากพระเยซู ก็ทรงรู้สึก พระองค์ทรงรักษาเธอแล้ว พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เธอมาใกล้ ๆ เธอคิดอะไรอยู่
ในหมู่คนจำนวนมากเป็นร้อย มีสองคนที่รู้ว่า เกิดการทำงานของฤทธิ์เดชขึ้น
คนหนึ่งหายโรค อีกท่าน..ปล่อยฤทธิ์ออกไปรักษาโรคนั้น!
เมื่อพระเยซูทรงหันมาถามว่า ใครแตะเรา? ทำให้ศิษย์และผู้คนรู้สึกรำคาญ เพราะกำลังรีบ พวกเขาให้เหตุผลถูกแล้วที่ว่า คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่
แต่พระเยซูทรงประสงค์จะให้กำลังใจเธอ พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับหญิงผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็รีบหมอบต่อพระบาทบอกความจริงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เธอได้รับคืนมา ไม่ใช่คำต่อว่า แต่เป็นพระเมตตาที่ย้ำให้เธอรู้ว่า ความเชื่อที่เธอมีต่อพระองค์ทำให้เธอหายโรคสนิทแล้ว ให้กลับไป ทรงเรียกเธอว่า ลูกสาว ตอนนี้เป็นลูกสาวของพระองค์แล้ว เธอจะไม่ต้องทรมานเหมือนเดิมอีก

ลูกสาวใครได้ฟื้นขึ้นมา?
มาระโก 5:35
เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตรงนี้กินเวลากี่นาที แต่ในช่วงวิกฤตินั้นเองที่มีคนมาจากบ้านของไยรัส และบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา “ลูกสาวท่านตายแล้ว!” ในขณะที่มีหญิงคนหนึ่งหายจากโรคที่เป็นมานาน 12 ปี ลูกสาวของชายอีกคน อายุ 12 ปีเหมือนกันได้สิ้นชีวิตลง ไยรัสทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะคิดอย่างไร แต่พระเยซูตรัสกับเขาทันทีว่า อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น
แน่นอนที่ความเชื่อของหญิงโลหิตตก ต้องทำให้ไยรัสเองสยบต่อคำของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทรงทำไม่ได้ พระเยซูทรงฤทธิ์มาก จนเขามากราบขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์ยังทรงมุ่งหน้าไปบ้านของเขา แน่นอนที่เขาจะไม่ห้ามพระองค์ เขาจะเชื่อเท่านั้น เขาจะไม่กลัว พระเยซูจะทรงเรียกชีวิตลูกสาวของเขาคืนมา
มาระโก 5:36-43
เมื่อมาถึงบ้าน พระเยซูตรัสบอกทุกคนว่า เด็กน้อยแค่หลับอยู่ ในสายพระเนตรของพระองค์ ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด เพราะในอาณาจักรของพระเจ้า จะมีการฟื้นคืนชีวิตได้อยู่แล้ว ความตายไม่ชนะพระองค์ แต่คนที่อยู่ในบ้านไยรัส ซึ่งกำลังร้องไห้ตามพิธี เป็นการบอกความโศกเศร้า กลับกลายเป็นหัวเราะเยาะพระเยซู
แล้วพระเยซูทรงอนุญาตพ่อแม่และศิษย์ใกล้ชิดสามคนเข้าไปกับพระองค์ คือเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ (ทั้งสามเป็นคนที่ไปบนภูเขาและเจอเหตุการณ์พระเยซูทรงคืนร่างเป็นพระเจ้า…9:2 กับวันที่ทรงอธิษฐานก่อนสิ้นพระชนม์ 14:32-33)
แล้วพระเยซูทรงจับมือเด็กหญิงตรัสว่า ให้ลุกขึ้น เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว เด็กหญิงก็ลุกขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ ทั้งพ่อ แม่ และศิษย์ต่างตกตะลึง ชีวิตของเด็กหญิงกลับคืนมา
แต่พระเยซูจากบ้านนี้ไป โดยตรัสให้พ่อแม่ เก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องไว้ก่อน จะไม่มีใครตามพระองค์ไป แต่ทั้งบ้านก็ได้รับรู้ว่า เด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้ตายอย่างที่พระเยซูตรัส เธอแค่นอนหลับไปเท่านั้น

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 8:28–34
2* มาระโก 1:23; 7:25
7* กิจการ 19:13
8* มาระโก 1:25; 9:25
11* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:8
15* มัทธิว 4:24; 8:16; ลูกา 10:39 ;
อิสยาห์ 61:10
17* กิจการ 16:39

18* ลูกา 8:38, 39
20* สดุดี 66:16; มัทธิว 9:8, 33
21* ลูกา 8:40
22* มัทธิว 9:18-26
23* กิจการ 9:17; 28:8
25* เลวีนิติ 15:19,25
27* มัทธิว 14:35,36
30* ลูกา 6:19; 8:46

33* สดุดี 89:7
34* มัทธิว 7:50; 8:48
35* ลูกา 8:4936* ยอห์น 11:40
38* กิจการ 9:39
39* ยอห์น 11:4; 11
40* กิจการ 9:4042* มาระโก 1:27; 7:3743* มัทธิว 8:4; 12:16-19; 17:9









มาระโก 4 อุปมาเรื่องดินและเมล็ดพันธุ์

(มัทธิว 13:1-9; ลูกา 8:4-8)
1 อีกครั้ง ที่พระเยซูทรงสอนริมทะเลสาบ  มีคนจำนวนมากห้อมล้อมพระองค์ ดังนั้น จึงทรงลงเรือและประทับนั่งในเรือ ส่วนประชาชนชุมนุมกันตามชายฝั่ง 2 พระองค์ทรงสอนพวกเขาเป็นคำอุปมาหลายเรื่อง ทรงสอนว่า
3 “จงฟังให้ดี มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 4 ระหว่างที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดพันธุ์ตกไปตามทาง แล้วก็มีนกมาจิกกินจนหมด 5 บางเมล็ดพันธุ์ตกลงบนพื้นหิน ไม่ค่อยมีเนื้อดิน จึงงอกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะดินตื้น 6 แต่เมื่อแสงแดดส่อง เมล็ดก็ถูกความร้อนเผา มันจึงเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก 7 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามต้นไม้หนามที่เติบโต แย่งอาหารไป ทำให้เมล็ดพันธุ์นั้นไม่อาจเติบโตขึ้นมา 8 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกลงบนดินดี ซึ่งมันงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่า บ้างก็หกสิบเท่า บ้างก็ร้อยเท่า
9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “คนที่มีหูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด”

จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(อิสยาห์ 6:1-13; 13:10-17; ลูกา 8:9-10)
10 พอพระองค์ทรงอยู่ตามลำพังกับศิษย์ทั้งสิบสอง 
และคนอื่น ๆ ที่ล้อมอยู่ พวกเขาก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น11 พระองค์ตรัสว่า “ความลี้ลับของแผ่นดินของพระเจ้านั้นได้มอบให้กับพวกท่าน แต่สำหรับคนนอกนั้นทุกอย่างจะได้รับฟังเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า “พวกเขาจะมองดูไปเรื่อย แต่ไม่มีวันมองเห็นจริง พวกเขาจะฟังไปเรื่อย แต่ไม่มีวันเข้าใจ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้า และได้รับการอภัย!”

คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(มัทธิว 13:18-23; ลูกา 8:11-15)
13 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องอุปมานี้รึ? แล้วเจ้าจะเข้าใจเรื่องอุปมาอื่น ๆ ได้อย่างไร?” 14 ชาวนาเขาได้หว่านพระคำ 15 บางคนนั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทาง ที่พระคำถูกหว่านไป พอได้ยินพระคำ ซาตานก็มาและเอาพระคำที่หว่านให้พวกเขานั้นไปเสียทันที 16 บางคนเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทางหินเขาได้ยินพระคำ และได้รับด้วยความยินดีอย่างรวดเร็ว 17 แต่เป็นเพราะไม่มีราก พวกเขาจึงอยู่เป็นต้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อมีความยากลำบากหรือการข่มเหงเกิดขึ้นเนื่องจากพระคำนั้นพวกเขาก็เลิกเชื่อทันควัน 18 คนอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธ์ุที่หว่านลงกลางหมู่ต้นหนาม พวกเขาได้ยินพระคำ 19 แต่แล้วความกังวลเรื่องชีวิต ความอยากที่จะรวย และความต้องการสิ่งต่าง ๆเข้ามาถมทับพระคำนั้น จึงไม่เกิดผล 20 และคนอื่นก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงบนดินดี เมื่อได้ยินพระคำก็ตอบรับ และเกิดผล สามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือร้อยเท่า

เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า 
(ลูกา 8:16-18)
21 แล้วพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า
“มีใครบ้างที่นำเอาตะเกียงเข้ามาแล้ววางมันไว้ใต้ตะกร้าหรือใต้เตียง? 
เขาจะไม่วางมันไว้บนเชิงตะเกียงอย่างนั้นหรือ?
22 เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกเปิดเผย 
และไม่มีสิ่งใดที่ถูกปกปิดไว้จะไม่ถูกนำมาเผยในที่แจ้ง 23 ใครมีหูที่จะฟัง ก็ฟังเถิด”


การได้รับคืนจากการให้
24 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “จงพิจารณาสิ่งที่เจ้าได้ยินให้ดี
เจ้าตวงให้คนอื่นด้วยทะนานขนาดใด
เจ้าจะได้รับเท่ากับทะนานขนาดนั้น
และอาจจะได้รับเพิ่มเติมขึ้น
25 เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีก
แต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” 

คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
26 พระองค์ยังตรัสอีกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่โปรยเมล็ดพันธุ์ลงไปบนดิน 27 ทั้งคืนและวัน เขาหลับและตื่น  ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็งอกเติบโตไป ทั้งที่เขาไม่รู้ขบวนการงอก การเติบโตของมัน 28  และด้วยตัวของดิน ดินก็ทำให้เกิดผลเป็นต้นอ่อนและมีรวงจากนั้นก็มีเมล็ดข้าวสุกเต็มรวง29 เมื่อข้าวสุกแก่เต็มที่ เขาก็นำเคียวไปเกี่ยวเก็บเพราะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
(มัทธิว 13:31-32; ลูกา 13:18-19)
30 ต่อมา พระองค์ตรัสถามว่า“เอ เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใดดี? เราจะใช้คำอุปมาแบบใดมาอธิบาย?  31 อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์มัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กจิ๋วที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่เขาหว่านลงไปในดิน 32 แต่หลังจากที่มันงอกขึ้นแล้ว มันเติบโตกลายเป็นต้นใหญ่สุดในบรรดาพืชสวนทั้งหลาย มันขยายแผ่กิ่งก้านออกไป จนนกในอากาศก็มาทำรังใต้ร่มของมัน” 33 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาคล้ายคลึงกันแบบนี้อีกหลายเรื่อง เท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ 34 พระองค์ไม่ตรัสแบบอื่นนอกจากการใช้คำอุปมาแต่พออยู่กันเป็นส่วนตัว พระองค์ก็ทรงอธิบายทุกสิ่งกับศิษย์ของพระองค์ 

ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
(สดุดี 107:1–43; มัทธิว 8:23–27; ลูกา 8:22–25)
35 วันนั้น เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์ตรัสกับศิษย์ว่า “เราข้ามไปอีกฝั่งกันเถิด”36 หลังจากที่พวกเขาทิ้งฝูงชนไว้ พวกเขาก็ไปกับพระองค์ซึ่งประทับอยู่ในเรือแล้ว แต่ก็มีเรืออื่น ๆ ตามไปด้วย 

37 ไม่นาน ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้น คลื่นโถมเข้ามาในเรือจนเรือเกือบจะจม 
38 แต่พระเยซูทรงอยู่ท้ายเรือ บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่พวกเขาไปปลุกพระองค์ ร้องว่า “อาจารย์เจ้าข้าพระองค์ไม่ทรงสนใจหรือว่า พวกเรากำลังจะจมน้ำตายแล้ว?”


39 พระเยซูทรงลุกขึ้นและตรัสห้ามลมพายุ
ทรงกำชับทะเลว่า“จงเงียบสงบ!”
พระองค์ทรงสั่ง “จงสงบนิ่ง!”
ลมก็หยุดพัด และทะเลก็สงบนิ่ง

40 “ทำไมเจ้าจึงกลัวนัก” พระองค์ตรัสถาม
“เจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือนี่?”
41ด้วยความตกใจกลัว ศิษย์จึงถามกันว่า
“ท่านผู้นี้เป็นใครกันนะ?
ทำไมแม้กระทั่งพายุและทะเลยังเชื่อฟังคำของท่าน?”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 4:1-9 คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์กับดินสี่แบบ
พระเยซูคริสต์ของเรา ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่มาเพื่อจะสำแดงพระเจ้าให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพระองค์ก็จะทรงช่วยบอกให้คนได้รู้ว่า จะมาหาพระเจ้าได้อย่างไร แต่หากพระเยซูทรงเทศนาด้วยคำที่ยาก ๆ  เช่นความรอดคืออะไร กลับใจแปลว่าอะไร ..  แบบนี้ คงยากที่คนจะฟังและรับรู้ได้  พระเยซูทรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองที่ไม่ได้มีความรู้สูง บางคนใจเปิด บางคนแค่มาดูการอัศจรรย์ของพระเยซู แต่จะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย..
พระเยซูจึงทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา เพื่ออธิบายความเป็นไปฝ่ายวิญญาณให้พวกเขาฟัง พระองค์ใช้การเล่าเรื่องเปรียบเทียบ เป็นเรื่องอุปมาที่พวกเขาได้ยินแล้วก็จะจำได้ แม้จะไม่เข้าใจดี ก็ยังจำได้เมื่อกลับไปบ้าน  มาระโกบทที่  4  นี้จึงมีเรื่องอุปมาหลายเรื่องที่ทรงสอนจากเรือลำเล็ก ๆ ที่อยู่ริมฝั่งทะเลกาลิลี 
ทรงเริ่มต้นด้วยคำว่า จงฟังให้ดี จบด้วยคำว่า คนที่หูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด
เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมพระเยซูตรัสเช่นนี้ เป็นเพราะ มีคนที่ฟัง และตั้งใจและอยากรู้ความหมาย และมีคนที่ฟังแล้วแค่ฟัง ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไรต่อชีวิตตนเอง  ฟังแล้วจำได้ไม่นานก็ลืม ไม่ค้นหาความหมายของเรื่องราว  คำตรัสที่บอกว่า มีหูก็ให้ฟัง เป็นคำที่คนยิวใช้อยู่แล้ว มีความหมายว่า ให้ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจก็จะไม่ได้อะไรกลับไป
เราจะเห็นดินสี่ชนิดที่พระเยซูกล่าวถึง พื้นที่ในปาเลสไตน์นั้นมีหินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ท้องนาดำ ๆ เหมือนบ้านเรา หินเป็นสิ่งที่อยู่ทั่วผสมไปกับดิน จะทำไร่นาก็ต้องจัดการกับหินก่อนอื่นใด … อ่านดี ๆ เราจะพบ
1ทาง(ซึ่งเป็นทางคนเดิน ไม่อาจปลูกอะไรขึ้น ดินแข็ง)
2 พื้นหินที่มีดินน้อย
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต 

มาระโก 4:10-12 จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
ดูเหมือนว่า ข้อ 10-20 เป็นเรื่องเล่าที่มาระโกบอกว่า เวลาอยู่ตามลำพัง พระเยซูทรงสอน อธิบายอะไร
โรม 16:25-26 อธิบายไว้ว่า มีความจริงที่ถูกปิดบังไว้หลายชั่วอายุคน แต่ตอนนี้ เปิดเผยแล้ว .. เปิดเผยเพื่อคนทุกชาติจะได้เชื่อและทำตามคำของพระเจ้า
อิสยาห์ 6:9-10 ว่า จะมีการฟังแล้วฟังอีกแต่ไม่เข้าใจ  ดูแล้วดูอีกแต่ก็ไม่เห็น
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูทรงประสงค์ให้คนไม่เข้าใจ พระองค์ได้บอกเคล็ดลับว่า ถ้าฟัง เข้าใจ มองเห็นก็จะเกิดการกลับใจ พระเจ้าจะทรงให้อภัยบาป พวกเขาจะได้รับพระพรยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่จะมีคนที่ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจเพราะใจของเขาปิดต่อพระคำของพระเจ้า ในสมัยพระเยซูเห็นชัดได้จากพวกธรรมาจารย์ ฟาริสีส่วนใหญ่ ที่เอาแต่ต่อต้าน ไม่ยอมฟัง   

มาระโก 4:13-20 คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
คำอุปมาเรื่องนี้น่าจะง่ายสุด เพราะตรัสว่า ถ้าไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้ จะเข้าใจเรื่องอื่นไม่ได้ จากนั้น พระเยซูก็ทรงอธิบายความหมายของอุปมานี้ให้ศิษย์เข้าใจว่ามีดินสี่แบบ ที่เมล็ดพันธ์ุจะไปตกอยู่… หมายถึงหัวใจของคนสี่แบบที่ฟังพระคำแล้วตอบสนองต่างกัน
แบบแรก
1 ทางเดิน (ซึ่งเป็นทางคนเดินดินแข็งมาก แถมมีนกมารอจิก) เป็นใจที่แข็ง ได้ยินพระคำก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะมารมาช่วยให้ลืม ให้ไม่สนใจ ไม่แคร์กับคำเหล่านั้น อาจจะดูถูกเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ
2 พื้นหินที่มีดินน้อย  เป็นใจที่มีอารมณ์ตื่นเต้น  ชอบที่ได้ยินพระคำ  เกิดผลบ้างในใจ แต่ไม่นานก็ลืมพระคำนั้นไป ไม่สนใจ บางคนเจอความยากในการเชื่อพระเจ้าก็เลยจบ กลับไปมีชีวิตเดิม ๆ
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น เป็นหัวใจที่ได้ยินพระคำของพระเจ้า  ก็ได้ยินชัด รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับพวกเขา พระคำของพระเจ้า ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องชีวิตส่วนตัว การใช้ชีวิตประจำวัน  การงาน เรื่องอื่น ๆ สำคัญยิ่งกว่า พวกเขาสนใจเรื่องเหล่านั้น พระคำจึงไม่เกิดผลในหัวใจนี้ 
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต  เป็นดินดีที่พร้อมจะให้เมล็ดพันธุ์งอกเป็นต้น เป็นหัวใจที่ฟังพระคำแล้ว ตอบรับ เอาใจใส่ ติดตาม ตัดสินใจไปตามทางของพระเจ้า พวกเขาจึงมีชีวิตที่เกิดผล
จากดินสี่แบบเราเห็นว่า เกิดผลแค่ ยี่สิบห้าเปอร์เซนต์  แต่ในดินชนิดที่สี่ ในตัวของเขาเกิดผลหลายเท่าเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า … (ยอห์น 15:8)

มาระโก 4:21-23เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า
เรื่องราวนี้มีอยู่ในมัทธิว และลูกาด้วย  แต่สำหรับมาระโกแล้ว มีความพิเศษ เพราะมาระโกได้ ให้ความสำคัญกับคำว่า ตะเกียง ด้วยการบอกย้ำชัดในภาษาเดิมว่า ตะเกียงดวงนั้น คือ ὁ λύχνος โฮ ลุคโนส( หรือ the lamp ) ซึ่งทำให้เราเข้าใจทันทีว่า พระเยซูกำลังตรัสว่า  พระองค์คือผู้ทรงเป็นแสงสว่าง ไม่ได้อยู่เพื่อถูกปิดไว้เงียบ ๆ แต่ว่า จะเป็นที่ประกาศเปิดเผยให้คนทั้งหลายได้เห็น ได้รับแสงนั้น   พระองค์ที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้สามสิบปีนั้น มาบัดนี้ เปิดเผยแล้วว่า พระองค์คือผู้ใด  คนที่มีหู จะเข้าใจความหมาย แต่ในเวลาที่พระองค์ตรัสนั้น ทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจ

มาระโก 4:24-25 การได้รับคืนจากการให้
เราอาจเคยเข้าใจว่า อุปมาเรื่องนี้ มีความหมายว่าถ้าเราให้ใครขนาดเท่าไร พระเจ้าจะทรงคืนให้อย่างนั้น และจะเพิ่มให้ด้วย แต่คำของพระเยซูในประโยคต่อมาที่ว่า “เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกแต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าคนที่มีน้อย น่าจะได้เพิ่มมิใช่หรือ?
ถ้าเราฟังพระคำของพระเจ้า เราตอบสนองคำของพระองค์อย่างดี ก็เหมือนกับการตวงให้พระเจ้าด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเรามอบใจให้กับพระคำ เราก็จะได้ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้ากลับคืนมา ไม่ใช่แค่ที่อ่าน เรียนไป หรือทำตามไป แต่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้อีก ให้มีความเข้าใจมากขึ้น (เอเฟซัส 1:17) ส่วนคนที่มีอยู่น้อยนิดคือคนที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระเจ้าเลย อาจจะปฏิเสธพระองค์ด้วยซ้ำ สิ่งดี ๆ จากพระคำของพระเจ้าที่เขาเคยมี ก็จะค่อย ๆ หายไปจากตัว และไม่หลงเหลือร่องรอยไว้

มาระโก 4:26-29 คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
พระเยซูทรงประสงค์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจว่า อาณาจักรของพระเจ้า นั้นเป็นงานของพระเจ้าพร้อมกับที่มนุษย์ช่วยกันทำกับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเป็นผู้หว่านพระคำออกไป หว่านไปทางนั้น ทางนี้ ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในที่ทำงาน ในโรงงาน ในสถานที่ส่วนตัวและในที่สาธารณะ  แต่แล้ว ผลที่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนหว่าน  หรือคนที่ปลูกและงานนี้มีหลายคนทำ ไม่ได้ทำอยู่คนเดียว  หน้าที่ของเราคือการหว่าน ไม่ใช่การทำให้เติบโตคนที่หว่านก็ใช้ชีวิตของตนไป และฝากการเกิดผลไว้กับพระเจ้า เราไม่ทราบหรอกว่า สิ่งที่หว่านไปนั้น จะไปเกิดผลในหัวใจของคนไหนบ้างจากนั้นคนที่หว่านจะไปเกี่ยว หรืออาจมีคนอื่นไปช่วยเกี่ยว พวกเขาคือคนงานในไร่นาของพระเจ้าทำงานในหน้าที่ต่อไป
1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

มาระโก 4:30-34  คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
พระเยซูตรัสว่า เมล็ดพันธุ์เล็กที่สุด คือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เล็กสุดซึ่งพวกเขารู้จักกันในเวลานั้น เพราะในปัจจุบันเรายังพบเมล็ดที่เล็กกว่า แต่ตอนนี้เราต้องเข้าใจว่า นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในปาเลสโตน์ รู้จักและเข้าใจดี  นี่เป็นคำเปรียบเทียบของพระเยซู มันเล็กกว่าเมล็ดพันธุ์ของปาล์ม หรือมะเดื่อ หรือ องุ่น
เมื่อมีคนเอาเจ้าเมล็ดพันธุ์นี้ปลูกลงไปในดิน สิ่งที่เล็ก ๆ ดูไม่เหมือนสำคัญนี้ สามารถกลายเป็นต้นใหญ่โตได้ แถมยังใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ ด้วย เมล็ดพันธุ์นี้คือพระคำของพระเจ้าที่จะเกิดผลในหัวใจของเรา  เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเราทำการของพระเจ้าอยู่ เราไม่ได้เสียเปล่าในการรับใช้ เมื่อเราเรียนพระคำของพระองค์อยู่ แม้เมื่อเราลืมสิ่งที่เราเรียน แม้คนที่ฟังพระกิตติคุณจะต่อต้าน  แต่ขบวนการงอก การเติบโตของพระคำของพระเจ้ายังอยู่ในตัวและมันจะเกิดผลในเวลาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย 

มาระโก 4:35-41 ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
เมื่ออ่านมาถึงพระคำตอนที่บอกว่า พระเยซูทรงห้ามพายุ อาจจะมีการแปลความหมายไปหลายอย่างเช่น เมื่อเรามีพายุ ปัญหาหนักในชีวิต พระเจ้าจะทรงทำให้สงบ
 หรือ พระเยซูกำลังห้ามลม เหมือนกับที่ทรงห้ามผีสิงคน  และบางคนอาจรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้ไม่เกิดในสมัยนี้หรอก 
หากเราจะมองอีกมุม มองในแง่ของคนยิว หรือศิษย์ที่อยู่กับพระองค์ในเวลาแห่งความน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น เราอาจจะได้พบอะไรที่แตกต่างไปจากนั้น
นั่นก็คือ คนยิวรู้จากพันธสัญญาเดิมที่พวกเขาอ่านว่า  พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ไม่มีใครทำได้อย่างพระองค์ 
สดุดี 65:7 พระเจ้าทรงระงับเสียงคลื่นทะเล เสียงครึกโครมของคลื่น ..
สดุดี 89:9 พระเจ้าทรงครองเหนือทะเลที่ปั่นป่วน เมื่อคลื่นกระหน่ำ ทรงทำให้สงบข้อ 11 ยืนยันว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ..
อิสยาห์ 50:2  เราสั่งคำเดียว ทะเลก็แห้ง..
สดุดี 107:23-30 เป็นภาพใกล้เคียงกับที่เกิดกับทุกคนในเรื่องนี้ 
โยบ 38 ทั้งบท ได้ยืนยันว่า พระเจ้าทรงอยู่เหนือทะเล ข้อ 8 ถามว่า ใครเป็นผู้ปิดประตูกั้นทะเล..​

ดังนั้น เมื่อศิษย์ของพระเยซูมาเรียกพระองค์ แถมยังตัดพ้อว่า พระองค์ไม่สนพระทัย  พระองค์ก็ตรัสให้พายุสงบและน้ำทะเลนิ่งได้อย่างเหนือคาด เหนือธรรมชาติเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาอึ้งไปทันควัน .. พวกเขาถามกันว่า พระองค์คือใคร  และยังเจอกับคำถามของพระเยซูด้วยว่า ทำไมจึงกลัว ไม่เชื่อหรือ?
การที่พระเยซูทรงสยบพายุครั้งนี้ เป็นการบอกให้ศิษย์ทุกคนรู้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือพายุเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือพายุ และนี่ชี้ให้พวกเขาเข้าใจตั้งแต่ต้นเลยว่า พระองค์คือพระเจ้าที่ลงมาในโลก  พระเยซูสามารถทำการยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าได้!
ถ้าเราจะย้อนดูสิ่งที่มาระโกเล่าให้เรานั้น เราจะเห็นว่า การอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ ยังไม่ถึงขนาดปราบธรรมชาติอย่างนี้ ทรงรักษาโรค ทรงยกโทษให้ ทรงสอนแผ่นดินของพระเจ้า ..
ความยำเกรงที่เกิดกับเหล่าศิษย์ไม่ได้เหมือนกลัวพายุ แต่เป็นความยำเกรงที่พระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ และพวกเขารู้แล้วว่า พระองค์ทรงห่วง อย่าได้ถามพระองค์อีกว่า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ อย่าขาดความเชื่อต่อไป.. ให้วางใจพระเจ้าสุดใจ

พระคำเชื่อมโยง

มาระโก 4
1* ลูกา 8:4-10
2* มาระโก 12:38
10* ลูกา 8:9
11* 1 โครินธ์ 2:10-16; โคโลสี 4:5
12* อิสยาห์ 6:9, 10; 43:8
14* มัทธิว 13:18-23
19* ลูกา 21:34; 1 ทิโมธี 9,10,17
20* โรม 7:4

21* มัทธิว 5:15
22* มัทธิว 10:26, 27
23* มัทธิว 11:15; 13:9, 43
24* มัทธิว 7:2
25* ลูกา 8:18; 19:26
26* มัทธิว 13:24-30, 36-43
27* 2 เปโตร 3:18
28* ยอห์น12:24
29* วิวรณ์ 14:15

30* มัทธิว 13:31, 32
33* มัทธิว 13:34, 35
34* ลูกา 24:27, 45
35* ลูกา 8:22, 2538* มัทธิว 23:8-10; สดุดี 44:23
39* ลูกา 4:39; สดุดี 65:7 89:9; 93:4; 104:6,7
40* มัทธิว 14:31,32


มาระโก 3 ราชกิจที่ฟาริสีเคือง

พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต
(มัทธิว 12:9–14; ลูกา 6:6–11)
1อีกครั้งที่พระเยซูทรงเข้าไปในศาลาธรรม มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น
2 มีบางคนมองพระเยซูไม่วางตา
ดูว่าพระองค์จะทรงรักษาคนป่วยในวันสะบาโตหรือไม่
แล้วพวกเขาจะได้กล่าวโทษพระองค์ได้
3 แล้วพระเยซูตรัสกับชายมือลีบว่า
“มายืนข้างหน้านี่เถิด”
4 แล้วพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า
“อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามบัญญัติสะบาโต?
ให้ทำดี หรือทำชั่ว ให้ช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?”
แต่พวกเขานิ่งเฉย
5 พระเยซูทรงทั้งโกรธและเสียพระทัย
ทรงมองไปรอบ ๆ เห็นว่าพวกเขาใจแข็งยิ่งนัก
แล้วจึงตรัสกับชายคนนั้นว่า “เหยียดมือออกมาเถิด”
เมื่อเขาเหยียดมือออกมา มือของเขาก็หายเป็นปกติ!
6 เรื่องเกิดขึ้นอย่างนี้ พวกฟาริสีจึงออกไป
และเริ่มต้นวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์พร้อมกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรด


พระเยซูทรงรักษาโรคคนจำนวนมาก
(
มัทธิว 4:23–25; ลูกา 6:17–19)
7 แล้วพระเยซูจึงทรงปลีกตัวไปยังทะเลพร้อมกับศิษย์ โดยมีคนกลุ่มใหญ่ตามไปด้วย
คนพวกนี้มาจากแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย
8 จากเมืองเยรูซาเล็ม แคว้นดิดูเมอา ซึ่งอยู่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
ยังมีคนจากแถบเมืองไทระ และไซดอนด้วย คนจำนวนมากมาหาพระองค์
เมื่อได้ยินข่าวว่าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายประการ
9 พระเยซูทรงบอกให้ศิษย์เตรียมเรือลำหนึ่งให้พร้อม
เพื่อว่าผู้คนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์
10 เป็นเพราะพระองค์ได้รักษาคนจำนวนมาก
ทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ พากันเบียดเสียดเข้ามาใกล้เพื่อจะแตะพระองค์
11 และเมื่อวิญญาณชั่วเห็นพระองค์ครั้งใด พวกมันจะทรุดตัวลงร้องว่า
“ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
12 แต่พระองค์ทรงสั่งห้ามพวกมันไม่ให้ประกาศให้คนรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด

พระเยซูทรงแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน
(มัทธิว 10:1–4; ลูกา 6:12–16)
13 จากนั้น พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและทรงเรียกคนที่พระองค์ทรงดำริไว้
พวกเขาก็เข้ามาหาพระองค์
14 ทรงแต่งตั้งสิบสองคนโดยทรงให้เขาเป็นอัครทูต
ที่จะเดินทางไปกับพระองค์ และส่งออกไปเพื่อเทศนา
15 และทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจที่จะขับผีออกจากผู้คน
16 คนทั้งสิบสองที่ทรงตั้งให้เป็นอัครทูตคือ
ซีโมนซึ่งพระองค์ทรงให้ชื่อว่า เปโตร
17 ยากอบบุตรชายของเศเบดี ยอห์นน้องชายของยากอบ
ทั้ง 2 คนนี้พระองค์ให้ชื่อว่า โบอาเนอเยซึ่งแปลว่า “ลูกชายแห่งฟ้าร้อง”
18 อันดรูว์ ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส
ธัดเดอัส ซีโมนซึ่งอยู่ในพรรคชาตินิยม
19 และยูดาสอิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระองค์


เรื่องที่เราก็เจอเหมือนกัน
20 จากนั้น พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน และครั้งนี้
ผู้คนก็รวมตัวชุมนุมกันที่บ้านนั้น ทำให้พระองค์และศิษย์ใกล้ชิดไม่อาจรับประทานอาหารได้
21 เมื่อคนในครอบครัวของพระองค์รู้เรื่องนี้เข้า
พวกเขาก็มาเพื่อจะจัดการพระองค์ โดยกล่าวว่า “เขาเสียสติไปแล้วนะ”

บ้านที่แตกแยก บ้านที่เข้มแข็ง
22 ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากเยรูซาเล็มต่างพูดกันว่า
“เบเอลเซบูลเข้าสิงเขานี่นา” และยังพูดด้วยว่า
“เขาขับผีออกจากคนได้ก็เพราะเจ้าแห่งผีนั่นแหละ”
23 แล้วพระเยซูทรงเรียกพวกเขาออกมา ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาว่า
“ซาตานจะไล่ซาตานออกไปได้อย่างไร?”
24 หากอาณาจักรหนึ่ง แตกแยกกันแล้ว อาณาจักรนั้นย่อมอยู่ไม่ได้
25 หากครอบครัวหนึ่งแตกแยกกัน ครอบครัวนั้นก็อยู่ไม่ได้
26 และหากซาตานแตกแยกกัน และลุกขึ้นสู้กันเอง
มันก็จะอยู่ไม่ได้ เท่ากับเป็นจุดจบของมันเอง
27 ที่จริงแล้ว ไม่มีใครจะเข้าไปในบ้านของคนที่เข้มแข็ง
และขโมยเอาทรัพย์สมบัติของเขาไปสำเร็จ
ยกเว้นเขาจะมัดคนที่เข้มแข็งนี้ไว้ก่อน
แล้วจึงจะปล้นบ้านของเขาได้

บาปที่จะไม่ได้รับการอภัย
(มัทธิว 12:31–32)
28 เราบอกเจ้าจริง ๆ ว่า ลูกหลานของมนุษย์จะได้รับการยกโทษบาปทุกอย่าง
แม้บาปหมิ่นประมาท ที่เขาเอ่ยออกมาไม่ว่าจะมากมายขนาดไหน
29 แต่ใครก็ตามที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่มีวันได้รับการยกโทษบาปนั้น
เขาทำความผิดซึ่งเป็นบาปที่ติดตัวไปตลอดกาล
30 ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ เพราะว่า พวกเขากล่าวว่า
พระองค์มีวิญญาณชั่วสิงอยู่

ใครเป็นมารดาและน้องชายของพระเยซู?
(มัทธิว 12:46–50; ลูกา 8:19–21)
31 แล้วมารดากับน้องชายของพระเยซู
มาและยืนอยู่ข้างนอก พวกเขาให้คนเข้าไปเรียกพระองค์ออกมา
32 และมีคนจำนวนมากนั่งรอบ ๆพระองค์อยู่
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งกล่าว
“มารดาและน้องชายของท่านขอพบท่าน พวกเขารออยู่ข้างนอก”
33 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเราหรือ?”
34 พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ดูคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์อยู่
“นี่ไง พวกเขาคือมารดาและพี่น้องของเรา!
35 เพราะใครก็ตามที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า
คนนั้นแหละคือพี่น้องทั้งชายหญิงและมารดาของเรา

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 3:1-6 พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต
นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในมัทธิว 12:9 และลูกา 6:6-11 ก่อนหน้าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ ฟาริสีไม่พอใจที่ศิษย์ของพระองค์เก็บข้าวในนา มีการคุยกันอย่างไม่เป็นที่พอใจของฟาริสี พวกเขาไม่พอใจพระเยซูมาก่อนหน้านี้หลายเรื่อง อย่างเรื่องที่ทรงยกโทษให้กับชายง่อยคนหนึ่งก็เช่นกัน สิ่งที่เราจับได้จากพระคำตอนนี้คือ *ฟาริสี และคนอื่น ๆ เดาได้ว่า ยังไง ๆ วันสะบาโตนี้ต้องมีการรักษาโรคเกิดขึ้นแน่ *เราเห็นอารมณ์เสียใจ ทั้งอารมณ์โกรธ ของพระเยซูกับความใจร้ายของฟาริสีที่มีต่อชายมือลีบ การที่พวกเขาขัดขืนพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนยากลำบาก *เมื่อพระเยซูทรงสั่งให้ชายมือลีบเหยียดมือออก ถ้าเป็นคนทั่วไปย่อมทำไม่ได้ แต่เมื่อพระองค์ทรงสั่ง พระองค์ก็เมตตาให้เขาทำได้ และหายโรคทันที เวลาพระเจ้าทรงสั่งให้เราทำอะไร พระองค์จะทรงเสริมกำลัง ความสามารถให้เราทำสิ่งนั้นได้

มาระโก 3:7-12 พระเยซูทรงรักษาโรคคนจำนวนมาก
ถ้าเราจะดูจากแผนที่จะเห็นว่าคนต้องเดินทางมาไกลหลายสิบกิโลเมตรเพื่อจะมาพบพระเยซู แต่พวกเขาก็พากันมา น่าเสียดายที่เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่ฟังคำสอน คำเตือนจากพระเจ้า แต่เป็นเรื่องต้องการหายโรคเป็นหลัก คิดถึงเวลามีคนเป็นพัน ๆ ตามติดใครคนหนึ่งในโลกโบราณสิ มันเป็นเรื่องที่ต้องพูดต่อกันไป และใคร ๆ ที่รู้เรื่องก็อยากเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ กับตา
น่าแปลก ..​ผู้ที่ประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้ากลับกลายเป็นวิญญาณชั่ว พระเยซูทรงกำราบไม่ให้มันพูดอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ และไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องได้คำยืนยันจากมารในเรื่องนี้

มาระโก 3:13-19พระเยซูทรงแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน
มาระโกได้เล่าถึงการที่พระเยซูทรงเลือกศิษย์ใกล้ชิดทั้งสิบสองคน ซึ่งทั้งสิบสองนี้จะเดินทางไปรับใช้พระเจ้าพร้อมกับพระองค์ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้ และหลังจากที่เสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาจะทำงานไปพร้อมกับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการเทศนา และมีสิทธิอำนาจในการขับผีที่ทรมานผู้คนในที่ ๆ พวกเขาไป เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงศิษย์ใกล้ชิดทั้งสิบสองมักจะมีเปโตรเป็นคนแรก และยูดาสเป็นคนสุดท้ายเสมอ

มาระโก 3:20-21 เรื่องที่เราก็เจอเหมือนกัน
เราจะเห็นว่า พี่น้องในครอบครัวของพระองค์ไม่เห็นด้วยกับการที่พระเยซูเลิกทำงานเลี้ยงดูครอบครัว และออกมารับใช้พระเจ้าพระบิดาของพระองค์. พวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่า พระองค์คือผู้ใด ดังนั้นจึงเห็นว่าพระองค์ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ อะไรกันอยู่ดี ๆ ก็ออกมาจากงานดี ๆ ที่มั่นคง ออกไปทำงานที่ไม่มีรายได้อะไรเลย แล้วทำไมสามารถรักษาโรคให้ผู้คนได้? แล้วทำไมมีคนติดตามมากมาย? ทำไมกลายเป็นคนที่ผู้คนตามหา? ทำไมต้องออกไปพูดเรื่องของพระเจ้า วันนี้พวกเขาจึงมาเพื่อพยายามจัดการให้พระเยซูกลับไปเป็นอย่างเดิม และพวกเขาลงความเห็นกันว่า พี่ชายคนนี้ เสียสติไปแล้ว!แต่ถึงอย่างไร คนเดียวที่รู้เรื่องดีคือมารีย์ .. มารดาของพระองค์

มาระโก 3:22-27 บ้านที่แตกแยก บ้านที่เข้มแข็ง
ต่อมา พวกธรรมาจารย์ที่มาเพื่อจะจับผิดพระเยซูโดยเฉพาะก็ให้ร้ายทันทีว่า พระเยซูไล่ผีด้วยอำนาจนายผี เรียกว่า เบเอลเซบูล ซึ่งก็หมายถึงซาตานนั่นเอง พระองค์จึงทรงตอบเขาสองประการ อย่างแรกคือ ถ้าแผ่นดินใดแตกแยกกันเองมันจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่า พระองค์ไม่ได้เป็นลูกน้องของมาร แล้วมาไล่มารออกจากคน อีกอย่างคือ พระเยซูทรงประกาศว่า ตอนนี้ อย่างไร ๆ มารก็แพ้อยู่แล้ว แม้ว่ามันจะแข็งแรงและจับผู้คนในโลกเก็บเป็นเชลยไว้ในบ้านของมัน แต่พระเยซูเป็นผู้ที่แข็งแรงกว่าและมาช่วยผู้ที่ถูกมารรังควาญให้พ้นภัยจากมัน ใช่แล้ว.. แผ่นดินของพระเจ้ากำลังบุกเข้าไปและทำลายอาณาจักรของมารอยู่

มาระโก 3:28-30 บาปที่จะไม่ได้รับการอภัย
แล้วพระเยซูก็ทรงจัดการกับธรรมาจารย์ที่ไร้ความเชื่อในพระเจ้าจริง ๆ ตรัสว่า หากใครดูหมิ่น สบประมาทองค์พระวิญญาณก็จะไม่ได้รับการยกโทษตลอดไป… นี่หมายความว่าอย่างไร มีคนแปลความหมายแตกต่างออกไป แล้วเราจะแปลความหมายนี้อย่างไรดี …​
*พระวิญญาณ ทรงเป็นผู้ที่ตรัสความจริง … พระองค์ทรงเป็นผู้ต่อต้านงานของซาตาน แต่พวกเขากลับบอกว่า งานของพระองค์เป็นงานของมาร.. การปฏิเสธราชกิจของพระวิญญาณเท่ากับปฏิเสธพระเจ้าด้วย …​
* มีบางท่านกล่าวว่า การที่เราปฏิเสธไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และกลับมาหาพระเจ้า เท่ากับทำให้พระองค์เป็นผู้กล่าวคำมุสา
ผู้คนในชุดนี้ จึงไม่ได้ยอมจำนนต่อพระเจ้า เขาจึงไม่ได้รับการยกบาปจากพระองค์
เราจึงไม่ควรที่จะสบประมาทพระองค์ด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น ..

มาระโก 3: 31-35 ใครเป็นมารดาและน้อง ๆของพระเยซู?
จากเหตุการณ์ข้างบนในข้อ 21 เราไม่ทราบว่า มารีย์มารดาอยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า แต่มาตอนนี้ มารดามาด้วย และขอพบพระเยซู
พระเยซู ในฐานะที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์มีพันธกิจพิเศษ รับการทรงเจิมจากพระบิดามาเพื่อช่วยโลกให้รอดบาป พระนามของพระองค์ในภาษาฮีบรูคือ เยชูวา ฮามาชิอัค หรือ ผู้ที่ได้รับการเจิมมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ชื่อที่ใช้ว่า เยซูคริสต์ เป็นภาษากรีก) ดังนั้นคนที่เป็นญาติพี่น้องของพระองค์จริง ๆ คือ คนที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า น้อง ๆ ของพระองค์ที่มา ถ้าคิดตามสายเลือด ก็แค่มีมารดาเดียวกัน แต่พระองค์ทรงเกิดมาแตกต่างจากพวกเขา ทรงเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:6-11
2* ลูกา14:1; 20:20; 13:14
5* เศคาริยาห์ 7:12
6* สดุดี 2:2; มาระโก 12:13; มัทธิว 22:16
7* ลูกา 6:17
8* มาระโก 5:19
10* ลูกา 7:21; มัทธิว 9:21; 14:36

11* ลูกา 4:41; มัทธิว 8:29; 14:33
12* มาระโก 1:25,34
13* ลูกา 9:1
16* ยอห์น 1:42
20* มาระโก 6:31
21* มาระโก 6:3; ยอห์น 7:5; 10:20
22* มัทธิว 9:34; ยอห์น 12:31;14:30; 16
:11

23* มัทธิว 12:25-29
27* อิสยาห์ 49:24, 25
28* ลูกา 12:10
30* มัทธิว 9:34
31* มัทธิว 12:46-50
35* เอเฟซัส 6:6