มาลาคี 2 คำเตือนมายังปุโรหิต

เจ้ามาทำให้แท่นบูชาของพระยาห์เวห์เปียกด้วยน้ำตา

หน้าที่ของปุโรหิตที่ถูกละเลย
1 “โอ ปุโรหิต บัดนี้ เป็นคำสั่งตักเตือนเจ้าทั้งหลาย  
2 หากเจ้าไม่ฟัง และหากเจ้าไม่ตั้งใจ
ที่จะถวายเกียรติแด่พระนามของเรา 
เราจะส่งคำสาปแช่งมายังเจ้า
และเราจะสาปแช่งพรของเจ้า 
ที่จริง เราได้สาปแช่งพรไปแล้ว
เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่เรา 
3 “ ดูเถิด ..เราจะลงโทษลูกหลานรุ่นต่อไปของพวกเจ้า
จะละเลงสิ่งปฏิกูลจากของที่เจ้าถวาย
ลงบนหน้าของเจ้า
และโยนพวกเจ้าทิ้งไปพร้อมกับของเสียเหล่านั้น 
4 เจ้าจะได้รู้ว่า เราได้บัญชาดังนี้
เพื่อพันธสัญญาของเรากับเลวีนั้นจะคงอยู่ต่อไป”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส 
5 “พันธสัญญาที่เรามีกับเขานั้น
เป็นพันธสัญญาของชีวิตและสันติสุขซึ่งเรามอบให้เขา 
โดยพันธสัญญานี้มีเงื่อนไขคือ ความยำเกรง
คือเขาจะยำเกรงเราและเกรงกลัวพระนามของเรา

6 การสั่งสอนที่แทัอยู่ในปากของพวกเขา (ปุโรหิต)
และไม่พบความผิดใด ๆ จากริมฝีปากของเขา 
เขาเดินกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงตรง
และเขานำคนเป็นจำนวนมากให้ออกจากความผิดบาป 
7 เพราะริมฝีปากของปุโรหิตควรรักษาความรู้ไว้
และประชาชนควรที่จะเรียนคำสั่งสอนจากปากของเขา
เพราะเขาเป็นผู้สื่อสารจากพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ
8 แต่เจ้าได้พรากไปจากทางนั้น
และคำสั่งสอนของเจ้ากลับทำให้หลายคนต้องสะดุด 
เจ้าได้ละเมิดพันธสัญญาของเลวี”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส 
9 “ดังนั้น เราจึงทำให้เจ้าเป็นที่ครหา
และดูหมิ่นต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
เพราะเจ้าไม่ได้รักษาทางของเรา
แต่ได้แสดงความลำเอียงในเรื่องของบัญญัติ”

ยูดาห์ทรยศต่อพันธสัญญา
10 เราทั้งหลายมีพระบิดาองค์เดียวกันมิใช่หรือ? 
พระเจ้าองค์เดียวกันทรงสร้างเรามามิใช่หรือ? 
แล้วเหตุใดเราจึงไม่ซื่อตรงต่อกัน
เป็นการทำให้พันธสัญญาของบรรพบุรุษของเราเป็นมลทิน? 
11 ยูดาห์ได้ละจากความเชื่อ
มีการทำสิ่งที่น่ารังเกียจในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม 
เพราะยูดาห์ได้ทำให้สถานบริสุทธิ์
อันเป็นที่รักของพระยาห์เวห์ เป็นมลทิน
ด้วยการไปแต่งงานกับลูกสาวของเทพต่างชาติ 

12 สำหรับชายที่กระทำการดังกล่าวทั้งที่รู้ตัวดี
ตระหนักในความผิด
ขอให้พระยาห์เวห์ทรงตัดเขาออกจากเต็นท์ของยาโคบ
แม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชามาถวาย
แด่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ
13 และอีกอย่างที่เจ้ากระทำคือ
เจ้ามาทำให้แท่นบูชาของพระยาห์เวห์เปียกด้วยน้ำตา
เจ้าร้องคร่ำครวญ โหยหวน
เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงสนใจเครื่องบูชาอีกเลย
พระองค์ไม่ได้รับของถวายเหล่านั้นจากมือของเจ้า
ด้วยความยินดี 
14 เจ้าถามว่า “ทำไมพระองค์ทรงทำเช่นนี้?”
เป็นเพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างเจ้า
และภรรยาที่เจ้าได้มาเมื่อยังหนุ่ม
และเจ้าได้ทรยศต่อเธอ
ถึงแม้ว่าเธอเป็นคู่ครองและเป็นภรรยาโดยพันธสัญญา 

15 พระยาห์เวห์มิได้ผูกพันให้ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวหรือ?
ทั้งสองเป็นของพระองค์ด้วยวิญญาณ
และทำไมจึงเป็นหนึ่งเดียว?
เพราะพระองค์ทรงประสงค์เชื้อสายที่อยู่ในทางของพระองค์  ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ
และไม่ทรยศต่อภรรยาที่เจ้าได้มาเมื่อยังหนุ่มนั้น 
16 “เพราะเราชังการหย่าร้าง”
พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส
“ชายที่หย่าภรรยานั้นเท่ากับเขาคลุมตัวเองด้วยความรุนแรง” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตนเองในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทรยศ!

17 พวกเจ้าทำให้องค์พระยาห์เวห์ทรงเหนื่อยหน่าย
ด้วยคำพูดของเจ้า
เจ้าถามว่า “พวกเราทำให้พระองค์ทรงเอือมระอา
ด้วยเรื่องใดหรือ?”
ก็โดยการพูดว่า “ทุกคนที่ทำชั่ว
เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระเจ้า
และพระองค์ทรงพอพระทัยพวกเขาไง” หรือเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมทรงอยู่ที่ไหนกัน?”

อธิบายเพิ่มเติม

หน้าที่ของปุโรหิตที่ถูกละเลย
2:1-3 พระเจ้ายังตรัสกับปุโรหิตไม่จบ ครั้งนี้เป็นคำบัญชาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ  พระองค์ตรัสกับเหล่าคนรับใช้ที่เฉยเมยต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาและเป็นเจ้านาย
ครั้งนี้ทรงชัดเจนว่า หากไม่ฟัง ไม่ตั้งใจ  พระองค์จะทรงสาปแช่งพระพรที่พวกเขาเคยมี   และไม่ได้เจอเฉพาะรุ่นพวกเขาเท่านั้น แต่ไปถึงลูกหลานด้วย  พระเจ้าจะทรงทำให้พวกเขากลายเป็นของที่ต้องเอาไปทิ้ง ไม่มีประโยชน์ ไม่มีหน้าตา มีแต่ความอับอาย 
นั่นคือ พระเจ้าจะทรงทำให้ตำแหน่งปุโรหิตเป็นที่น่าดูหมิ่น เหมือนกับที่ทรงละเลงหน้าตาพวกเขาด้วยปฏิกูล  จะไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านั้น เข้ามาเป็นเครื่องใช้ ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำการในพระนิเวศของพระองค์อีก 

2:4 พันธสัญญาของเลวี ก็คือ พระเจ้าทรงให้พวกเขาได้มีสิทธิพิเศษในการรับใช้เรื่องการนมัสการพระองค์  (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:8-11 ) พวกเขายังมีหน้าที่ในการสอนบทบัญญัติของพระองค์แก่อิสราเอลด้วย และ พระเจ้าจะทรงอวยพรการงาน ทรัพย์สิน และทำลายศัตรูให้พวกเขา
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ เพื่อรับใช้พระองค์ เพื่อทำให้พระสัญญาที่ทรงให้กับเลวีนั้นสำเร็จ (กันดารวิถี 18) พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับพวกเขาอย่างชัดเจน และโอกาสที่จะได้รับพระพรก็มีมากเหลือเกิน 

2:5 พระองค์ทรงประสงค์ที่เขาจะได้มีชีวิต มีสันติสุข (ซึ่งมีความหมายถึงชีวิตที่สมบูรณ์สุขเต็มร้อย) และยำเกรงพระองค์ ซึ่งก็เป็นหนทางรับพระพรสำคัญที่สุดคือ พวกเขาได้มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งกว่าคนอิสราเอลทั่วไป

2:6 การตกลงดั้งเดิมนั้น พวกเขาต้องทำหน้าที่ทั้งถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ เพื่อประชาชน และยังมีหน้าที่สอนให้ประชาชนรู้จักพระเจ้า รู้จักบทบัญญัติเพื่อจะติดตามพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ไม่ทำบาป

2:7 ปุโรหิตคือคนที่มีความรู้ เหมือนกับเป็นตัวแทนของพระเจ้าแก่ประชาชนด้วย  หน้าที่ของพวกเขามีเกียรติมาก คือเป็นผู้สื่อพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าองค์จอมทัพที่ครอบครองเหนือเอกภพทั้งสิ้น ให้กับประชาชน

2:8 แต่ปุโรหิตสมัยของมาลาคีนี้  กลับกลายเป็นหินสะดุดของประชาชน เพราะพวกเขาเฉยเมยต่อพระเจ้า ชั่วช้า ละเมิดพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้มีการปิดบังเลย ทั้งยังถวายเครื่องบูชาอย่างลวก ๆ  ไม่มีการคัดสรรของดีมาถวาย ไม่มีความเคารพในการนมัสการ ทำแค่เป็นพิธีให้ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น​ แทนที่อิสราเอลจะมีผู้นำที่ดี กลับกลายเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณกำมะลอทำให้อิสราเอลทั้งชาติทำผิดต่อพระเจ้าไปด้วย เราพบเจอผู้รับใช้ไม่น้อยที่เป็นอย่างนี้  หลายคนคิดว่าจะลอยนวลไปได้ แต่พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยพวกเขา 

2:9 พระองค์ตรัสชัดเจนว่า พวกเขาจะถูกประจาน ทั้ง ๆ ที่โทษจริง ๆ คือการถูกประหาร (กันดารวิถี 18:32)  ที่เป็นเช่นนี้เพราะการกระทำ
พฤติกรรมของพวกเขาเอง เขาบิดเบือนและเอาบทบัญญัติมาเป็นประโยชน์เข้าตัว

ยูดาห์ทรยศต่อพันธสัญญา
2:10 แล้วพระเจ้าทรงให้เหตุผลว่า มนุษย์ทุกคนมาจากพระเจ้าเหมือนกัน  เป็นคนที่พระเจ้าสร้าง ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ควรทำต่อกันคือ การกระทำต่อกันและกันอย่างซื่อตรง  แต่กลับไม่ซื่อตรงต่อกัน 
คำว่าไม่ซื่อตรงนี้ ฮีบรูว่า บากาด  בָּגד  ให้ความหมายว่า กระทำต่อกันอย่างหลอกลวง  ทรยศ ไม่ซื่อสัตย์  ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือกลุ่มคน หรือชาติ หรือมนุษย์กับพระเจ้า  การทรยศที่พระเจ้าทรงกล่าวถึง ในสังคมของอิสราเอลนั้น เป็นเรื่องร้ายแรงมาก
ในพระคัมภีร์ ความสัมพันธ์ของอิสราเอลกับพระเจ้านั้นเป็นพันธสัญญา ประหนึ่งการสมรสของชายหญิง ซึ่งความซื่อตรงต่อกันนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด  พระคัมภีร์จึงเปรียบการที่อิสราเอลไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้ากับการไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตคู่

2:11 ครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับประชาชนโดยตรงว่า สิ่งที่น่ารังเกียจเกิดขึ้นคือชายอิสราเอลไปแต่งงาน มีครอบครัวกับหญิงต่างชาติที่เชื่อเทพต่างชาติ  (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3-4 ห้ามไว้)
คำว่า สิ่งที่น่ารังเกียจ ฮีบรูว่า โทเอบา תּוֹעֵבַה  พระคัมภีร์ใช้อธิบายการกระทำหรือสิ่งที่น่ารังเกียจในสายพระเนตรของพระเจ้า มักหมายถึงการไหว้รูปเคารพ การกระทำผิดศีลธรรม การละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้ากับอิสราเอล  เป็นความน่าสะอิดสะเอียนฝ่ายวิญญาณและศีลธรรม
 คำนี้โยงกับเรื่องของพันธสัญญาระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์
การกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนในพระคัมภีร์นั้นรวมเรื่องการไหว้รูปเคารพ การผิดประเวณี การกระทำสิ่งที่อยุติธรรมต่อกัน  อิสราเอลจะต้องมีชีวิตบริสุทธิ์ เชื่อฟังพระเจ้า ใช้ชีวิตแตกต่างจากชาติต่าง ๆ รอบข้างพวกเขาที่มองเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา 
ข้อสิบเอ็ดนี้ พระเจ้ากำลังบอกพวกเขาว่า การที่ชายอิสราเอลทำเช่นนั้น ทำให้สถานบริสุทธิ์ (เป็นที่ ๆ ถูกแยกไว้ไม่ให้แตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน) ของพระองค์เป็นมลทิน เพราะพวกเขาไปใช้ชีวิตกับคนที่ปฏิเสธพระเจ้า  ไม่นับถือพระองค์ เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าโดยตรง เพราะการทำเช่นนั้นคือเท่ากับเห็นว่า พระประสงค์ของพระองค์ในเรื่องนี้ ไม่มีความสำคัญ
การไปแต่งงานกับคนไม่เชื่อเท่ากับทำให้คนของพระเจ้าไม่ติดตามพระองค์ และไปปรนนิบัติพระอื่น  การที่บอกว่าทำให้สถานบริสุทธิ์อันเป็นที่รักของพระยาห์เวห์ เป็นมลทิน สื่อให้เรารู้ว่า คนต่างชาติเหล่านั้น ได้เข้ามาทำพิธีบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าด้วย 

2:12 ชายคนใดที่ทำเรื่องนี้ โดยขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าอย่างรู้ตัว อย่างตั้งใจ การไปแต่งงานกับหญิงต่างชาติเช่นนี้  เพราะการแต่งงานเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเขา  การที่เขาทำเช่นนั้น เท่ากับเขาเห็นว่า พระทัยของพระเจ้าเรื่องนี้ไม่สำคัญเลย พระเจ้าจะตัดเขาออก .. แปลว่า พระเจ้าจะประหารเขา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ ผลของการแต่งงานกับคนต่างชาติในอิสราเอลโบราณนี้รุนแรงมาก เขาอาจจะถูกตัดออกจากชนชาติ ครอบครัวของเขาด้วย 

2:13. สิ่งที่ร้ายไปกว่านั้น พวกเขายังคงเข้ามาถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าด้วย ทำตัวเหมือนกับคนรักพระเจ้า ร้องไห้ ใช้อารมณ์รุนแรงในการถวายเครื่องบูชา หน้าไหว้หลังหลอกทำเหมือนกับคนกลับใจ คิดว่าหลอกพระเจ้าได้   แต่พระเจ้าจะไม่สนพระทัย ไม่ทรงรับของถวายเหล่านั้น 
(พอมีคำว่ายินดี  สื่อให้เราทราบว่า เมื่อเรามาถวายการนมัสการกับพระเจ้าอย่างจริงใจ พระเจ้าทรงยินดี)  

2:14 ในการแต่งงานของชายหญิงอิสราเอล พระเจ้าทรงเป็นพยาน และการแต่งงานนั้น ทำให้สาธารณชนเห็น เป็นไปตามบทบัญญัติของพระเจ้า การแต่งงานเป็นพันธสัญญาของชายหญิงว่า จะซื่อสัตย์ต่อกันตลอดชีวิต  เป็นสัญญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ที่พระเจ้าไม่ทรงรับเครื่องบูชาของคนแบบนี้ เพราะเขารู้ว่าผิด แต่ก็ลงมือทำสิ่งที่ผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า   ทั้งหย่าภรรยา ทั้งไปแต่งงานใหม่กับหญิงต่างชาติที่จะนำรูปเคารพเข้ามาในครอบครัว
ในข้อนี้คำว่า ทรยศ เป็นคำเดียวกับที่ใช้ในข้อสิบ  ผู้ชายได้ทรยศต่อคำสัญญาที่ให้กับภรรยา แล้วยังมาบ่นว่าเหตุใดพระเจ้าไม่ประทานพระพร 

2:15 พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้นการแต่งงานระหว่างชายหญิงมาตั้งแต่ต้น (ปฐมกาล 2:24)  ทรงทำให้ชายหญิงเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เขาทั้งสองได้มีลูกที่เป็นคนของพระองค์ ติดตามพระองค์  เป็นเชื้อสายที่จะเป็นพระพรต่อชาวโลก  จากข้อนี้การทรยศต่อภรรยา เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณก่อนอื่นใด  แต่คนในโลกมองเห็นเป็นเรื่องของร่างกาย อารมณ์ และเหตุผลอื่น ๆ

2:16 พระเจ้าทรงบอกชัดเจนตรงนี้ว่า พระองค์ทรงประสงค์ครอบครัวที่มั่นคง ทรงชังการหย่าร้าง การบ้านแตกสาแหรกขาด ทรงถือว่า ชายที่หย่าภรรยา เป็นคนแสดงความรุนแรง  ไม่ว่าจะร่างกาย อารมณ์หรือวิญญาณจิต แทนที่เขาจะเป็นคนพิทักษ์ชีวิตของภรรยา กลับทำลายเธออย่างเลือดเย็น ในสังคมโบราณ ผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างมา จะอยู่อย่างลำบากมาก ยิ่งต้องเลี้ยงลูกเอง เป็นเรื่องยากกว่าอะไรทั้งหมดเพราะผู้หญิงแทบไม่มีที่ยืนในสังคมเลยหากเธอไม่มีผู้พิทักษ์ชาย  พระเจ้าทรงกล่าวคำเดียวกันสองครั้ง  “ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทรยศ” แสดงว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง 

2:17  มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงเหนื่อยอ่อนกับคนของพระองค์ เช่นการที่มีเทศกาลที่ไร้ค่า ไม่มีความหมาย และตรงนี้ พระเจ้าทรงเอือมระอาพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว และยังถามพระองค์ง่าย ๆ พระเจ้าแสนดี ทรงตอบให้ว่า เป็นเพราะพวกเขา พูดสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วยังโทษพระองค์เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับตัว  พระเจ้าควรยุติธรรมดูแลให้โลกไม่ชั่วสิ
คนอิสราเอลในยุคของมาลาคี เป็นคนที่มองเห็นตัวเองชอบธรรม และพระเจ้าทรงเป็นผู้ร้าย!

พระคำเชื่อมโยง

มาลาคี 2
1* มาลาคี 1:6
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15; มาลาคี 3:9
3* อพยพ 29:14; 1 พงศ์กษัตริย์ 14:10
5* กันดารวิถี 25:12; เฉลยธรรมบัญญัติ  33:9
6* เฉลยธรรมบัญญัติ   33:10; เยเรมีย์ 23:22


7* เฉลยธรรมบัญญัติ   17:8-11;
กาลาเทีย 4:14
8* เยเรมีย์ 18:15; เนหะมีย์ 13:29
9* 1 ซามูเอล 2:30 ;เฉลยธรรมบัญญัติ   1:17
10* 1 โครินธ์ 8:6; โยบ 31:15
11* เอสรา 9:1-2

12* เนหะมีย์ 13:29;
14*มาลาคี 3:5; สุภาษิต 2:17
15* มัทธิว 19:4-5; 1 โครินธ์  7:14
16* มัทธิว 5:31; 19:6-8
17* อิสยาห์ 43:22, 24, 5:20

มาลาคี 1 เจ้าทำอะไรลงไป?

ไม่ผิดหรือเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่เป็นง่อยและมีโรค?

1 ต่อไปนี้คือ
พระดำรัสอันเป็นภาระหนัก(מַשָּׂ֥א )ของพระยาห์เวห์
ผ่านมาทางมาลาคี

พระเจ้าทรงรักอิสราเอลแต่อิสราเอลไม่ตอบอย่างสมควร

2 “เราได้รักพวกเจ้า” พระยาห์เวห์ตรัส
แต่พวกเจ้ากลับถามว่า
“พระองค์ทรงรักเราอย่างไรหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัส 
“เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบมิใช่หรือ?
แต่เราก็ยังรักยาโคบ
3 เอซาวนั้นเราชังเขา
และเราทำให้เทือกเขาของเขากลายเป็นที่ร้าง
และยกมรดกของเขาให้หมาในแห่งถิ่นกันดาร”
4 แม้เอโดมจะกล่าวว่า
“เราถูกทำลายล้าง แต่เราจะสร้างสิ่งที่ปรักหักพังขึ้นมาใหม่”
แต่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า “พวกเขาอาจจะสร้างขึ้นมา แต่เราก็จะทำลาย พวกเขาจะถูกเรียกว่า
ดินแดนแห่งความชั่วร้าย
และเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงพิโรธตลอดไปเป็นนิตย์ 
5 เจ้าจะได้เห็นอย่างนี้กับตาตัวเอง และเจ้าเองจะกล่าวว่า
‘พระยาห์เวห์ทรงยิ่งใหญ่นัก
ถึงแม้จะเป็นนอกเขตแดนอิสราเอล’

เครื่องบูชาที่เป็นมลทิน 
6“ลูกย่อมให้เกียรติแก่พ่อของเขา บ่าวก็ต้องให้เกียรตินายของเขา  แต่หากเราเป็นพ่อ เกียรติของเราอยู่ที่ไหนกัน? และหากเราเป็นนาย  ความยำเกรงเรานั้นอยู่ที่ไหน ?” 
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้กับเหล่าปุโรหิตที่ดูหมิ่นพระนาม แต่เจ้ากลับถามว่า
“พวกเราได้ดูหมิ่นพระนามอย่างไรกัน?”
7 “เจ้าได้นำอาหารที่เป็นมลทินบนแท่นบูชาของเรา”
แต่เจ้าถามอีกว่า “แล้วพวกเราได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?”​​ ก็โดยกล่าวว่า
‘สมควรที่เราจะดูหมิ่นเหยียดหยามโต๊ะของพระยาห์เวห์’
8 ไม่ผิดหรือที่เจ้านำเอาสัตว์ตาบอดมาเป็นเครื่องบูชา? 
ไม่ผิดหรือเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่เป็นง่อยและมีโรค? ลองทำอย่างนี้กับเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้า
และยอมรับเจ้าหรือไม่?”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสถามพวกเขา
9 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสถามว่า “จงทูลอ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงกรุณาต่อพวกเจ้าสิ  พระองค์จะทรงกรุณาเจ้าไหม?
ในเมื่อของถวายเหล่านี้มาจากมือของเจ้าเอง
พระองค์จะทรงโปรดปรานไหม? 
10 “โอ เราอยากให้เจ้าสักคนได้ปิดประตูพระนิเวศเสีย
เพื่อว่าเจ้าจะไม่จุดไฟไร้ค่าบนแท่นบูชาของเรา
เราไม่พอใจพวกเจ้า”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “
และเราจะไม่รับของถวายใด ๆ จากมือของพวกเจ้า

พระนามนี้ยิ่งใหญ่ทั่วโลก
11 เพราะพระนามของเรานั้นจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชาติต่าง จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก ทุกหนแห่งจะมีคนถวายเครื่องหอม และของถวายบริสุทธิ์แด่พระนามของเรา เพราะพระนามของเราน้ันจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชาติต่าง ๆ
12 “แต่เจ้าดูหมิ่นพระนามนั้นเมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘โต๊ะของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน และพูดถึงอาหารถวายว่า อาหารนี้น่ารังเกียจ’
13 เจ้ายังกล่าวว่า ‘นี่น่ารำคาญเสียจริง’ เจ้ายังเชิดจมูกใส่อีก” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “เจ้านำของที่ขโมยมา เป็นง่อย ป่วย! แล้วเราควรจะรับของเหล่านั้นจากมือเจ้าหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัสถาม 
14 “คำสาปมีแก่คนโกงที่สัญญาว่าจะนำสัตว์ตัวผู้จากฝูงที่แข็งแรงมาถวาย แต่กลับถวายสัตว์ที่มีตำหนิแด่องค์พระยาห์เวห์ เพราะเราเป็นองค์มหาราชา” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “และพระนามของเราจะเป็นที่ยำเกรงนักท่ามกลางชาติทั้งหลาย”

อธิบายเพิ่มเติม

เบื้องหลัง
หนังสือมาลาคีนั้น เขียนประมาณ 100  ปีหลังจากฮักกัยและเศคาริยาห์
มาลาคีน่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับเนหะมีย์ หรือ หลังจากนั้นไม่มาก
เรื่องราวที่มาลาคีกล่าวก็เป็นสิ่งที่เกิดในสมัยของผู้ว่าราชการเนหะมีย์อย่างเช่นการแต่งงานกับหญิงต่างชาติ  การไม่ถวาย การละเลยวันสะบาโต ปุโรหิตที่คดโกง ความอยุติธรรมที่ดาษดื่นในสังคม (อ่านเนหะมีย์ 13) ผู้เผยพระดำรัสก่อนมาลาคีก็คือ ฮักกัย และเศคาริยาห์ ซึ่งทั้งสามเป็นผู้ที่เผยพระดำรัสในช่วงหลังจากกลับมาจากบาบิโลน
ในสมัยของมาลาคีนั้น มีพระวิหาร มีระบบปุโรหิตมั่นคง การใช้ชีวิตของผู้คนและเหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้าเริ่มเสื่อมลง ดูเหมือนคำสัญญาของพระเจ้าเรื่องพระเมสสิยาห์ที่จะมาก็ไม่มีวี่แววเลย
ผู้คนมองพระเจ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยิ่งใหญ่ และเฉยเมยต่อพระองค์พวกเขาใช้ชีวิตแบบที่ดูหมิ่นพระเจ้าหลาย ๆ ด้าน แต่ก็เหมือนไม่รู้ตัว
และสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของมาลาคี ก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เราต้องหันมามองตัวเองว่า ชีวิตต้องกลับใจขนาดไหน ไม่ได้ต่างจากพวกเขาเลย
หลังจากมาลาคีแล้ว พระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสนานถึง 400 ปี ยาวนานเท่ากับที่อิสราเอลได้ไปอยู่ในอียิปต์!
จนกระทั่งพระองค์ทรงส่งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซูมา ซึ่งในช่วงเวลานั้น ศาสนายิวก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน มีทั้งธรรมาจารย์ ฟาริสีมีสภายิวที่ดูแลฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่โรมครองแผ่นดินอิสราเอล 


1:1 ชื่อมาลาคีแปลว่า ผู้สื่อสารของเรา   หนึ่งร้อยปีผ่านมาหลังจากที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาผ่านฮักกัย และเศคาริยาห์  พระเจ้าก็ตรัสอีก และพระองค์ทรงย้ำความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา  ทรงเปรียบเทียบให้เห็นระหว่าง ลูกหลานของยาโคบและลูกหลานของเอซาว
ในภาษาเดิม ภาระดังกล่าวว่า มัสสาห์ מַשָּׂ֥א หมายถึงภาระ คำกล่าว ความปรารถนา แบกภาระ หนักใจ  ร้องเพลง มีความหมายเหมือนยกขึ้นมา เพื่อบอกให้รู้ถึงอันตราย มาจากคำว่า นาสา נָשָׂא คือ ยก แบก  ค้ำ พยุง รับภาระ  และคำนี้ใช้ในหลาย ๆ ครั้งกับผู้เผยพระดำรัสท่านอื่นด้วย อย่างเช่น ฮาบากุก (1:1) เยเรมีย์ (23:33-38)  เป็นคำที่มักใช้เพื่อบอกถึงอันตราย หรือ การคุกคามที่กำลังมา 

พระเจ้าทรงรักอิสราเอลแต่อิสราเอลไม่ตอบอย่างสมควร
1:2-3 พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรักยาโคบ  ที่ตรัสว่า ทรงชังเอซาวอาจทำให้เราคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นอย่างนี้หรือ? ทรงเลือกที่รักมักที่ชังหรือ?  ในพระคัมภีร์ตอนนี้ การที่พระเจ้าทรงรักยาโคบ นอกจากรัก แล้ว ยังมีความหมายครอบคลุมไปถึงว่า พระองค์ทรงเลือกเขา  พระองค์ทรงเลือกยาโคบให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติที่จะเป็นพระพรแก่คนทั้งโลกในอนาคต
จากคำพูดตอบโต้ของคนอิสราเอล ดูเหมือนว่า เขาไม่ได้สำนึกเลยว่า พระเจ้าทรงรักเขา
Note:
คำว่า เกลียดชัง  ซาเน שָׂנֵא นอกจากความหมายตรง ๆ แล้ว มีความหมายอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้เลือก  คำ ๆ นี้ บอกถึงความไม่ชอบอย่างมาก ใช้เพื่ออธิบายความเป็นศัตรูระหว่างบุคคล หรือกลุ่มคน  คำ ซาเน ใช้ได้กับอารมณ์ของมนุษย์หรือพระเจ้า  เป็นการบ่งบอกว่า ปฎิเสธความชั่ว การไหว้รูปเคารพ ความอยุติธรรม รวมไปถึงความขัดแย้งส่วนตัว
สำหรับคนอิสราเอลแล้ว คำ ๆ นี้ไม่ใช่แค่บอกว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ เกลียด แต่ยังรวมไปถึงการแสดงออกมาเป็นการกระทำ ให้เห็นว่า ฉันไม่พอใจอะไร  พระคัมภีร์ฮีบรูแสดงถึงความรักความเกลียดเพื่อให้เห็นว่า มีการเลือกระหว่างการที่จะทำตามบทบัญญัติของพระเจ้าหรือ จะตามติดรูปเคารพ   พระเจ้ากับคนอิสราเอลมีพันธสัญญาต่อกัน เพื่อให้อิสราเอลติดตามพระเจ้า และปฏิเสธทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์ (จาก https://biblehub.com/hebrew/8130.htm)

1:4-5 ถ้าเรากลับไปอ่านหนังสือ โอบาดีย์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับลูกหลานเอซาวที่เลือกชีวิตที่ตนเองคิดว่า เก่งกล้ากว่าใคร ๆ   เราจะเห็นภาพของคนที่เลือกดูหมิ่นพระเจ้า แต่.. ในเวลานี้ ลูกหลานยาโคบ คนที่พระเจ้าทรงเลือกกลับทำสิ่งที่คล้ายคลึงกับลูกหลานเอซาว
พวกเขาเลือกทำเหมือนกับเอซาว นั่นคือ การดูหมิ่นพระพรของพระเจ้า การมั่นใจว่า ตนเองเหนือกว่า เก่งกว่า  พวกเขาลืมไปว่า พระเจ้าองค์จอมทัพ ทรงเป็นเจ้าเหนือทูตสวรรค์ทั้งสิ้น เหนือดวงดาวทั้งหมดในจักรวาล ทรงเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวงที่มีมากมายในเอกภพ และทรงเป็นเจ้าเหนือมนุษย์และสัตว์ในพื้นแผ่นดิน พระเจ้าทรงประกาศให้พวกเขาทราบว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นแค่พระเจ้าแห่งอิสราเอล แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่จะตัดสินความของชาติอื่น ๆ นอกเหนือจากอิสราเอลด้วย 

เครื่องบูชาที่เป็นมลทิน 
1:6 พ่อ และ เจ้านายต้องได้รับเกียรติ แต่แล้ว อิสราเอลกลับไม่ได้ยำเกรงพระองค์เลย ในพระคัมภีร์เดิม ไม่ค่อยมีคำที่บอกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดา แต่ในที่นี้ พระเจ้าตรัสชัดเจนว่า เราเป็นพ่อ … (อิสยาห์ 63:16, 64:8) นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับปุโรหิตที่ดูหมิ่นพระนาม ซึ่งหมายถึงดูหมิ่นพระองค์เอง .. เพราะชื่อของบุคคลก็มีความหมายถึงบุคคลคนนั้นโดยตรง

1:7-8  พระเจ้าจึงทรงตอบเขาว่า พวกเขาดูหมิ่นพระองค์ด้วยการนำอาหารมลทินมาถวาย… พวกเขาไม่สนใจที่จะถวายสิ่งดีที่สุดแด่พระเจ้า  ไม่ได้เตรียมอย่างเหมาะสมตามที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ เหมือนกับอะไรก็ได้ เอามาถวาย  โต๊ะของพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่ปุโรหิตทำเหมือนเป็นโต๊ะธรรมดา  พวกเขาคิดด้วยว่า สมควรจะเหยียดหยามพระเจ้า!!
 มีคำถามย้อนกลับมาเสมอ  ในข้อ 6  บอกว่า ปุโรหิตเป็นผู้ย้อนถามพระเจ้า 
“พวกเราได้ดูหมิ่นพระนามอย่างไรกัน?”
“แล้วพวกเราได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?
ที่ทำลงไป ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด  พระเจ้าทรงบอกชัดว่า การที่เขาถวายสัตว์ตาบอด เป็นง่อย มีโรคติดตัว .. พวกเขา กำลังทำผิดต่อพระองค์ .. เลวีนิติ  1:3  บอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยอะไร ..  เขาจะเอาของที่สกปรก มีมลทิน มาถวายพระเจ้าไม่ได้ (เลวีนิติ 7:19-21)
แปลกที่พวกเขาไม่ได้สำนึกเลย !  พวกเขาเฉยเมยต่อพระองค์
พวกปุโรหิตเหล่านี้ไม่ได้รู้ว่า พระเจ้าทรงเรียกเอาจากคนที่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณมากกว่า (2 เปโตร 2:1)

1:9-10 พระเจ้าตรัสว่า น่าจะมีคนปิดประตูพระนิเวศเสียเลย เพราะจะได้ไม่มีการถวายสิ่งที่ไร้ค่าต่าง ๆ  พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ไม่มีใครเข้ามา
ถวายเครื่องบูชา ดีกว่าทำแบบชั่ว ๆ  ที่พระองค์ไม่พอพระทัย 

พระนามนี้ยิ่งใหญ่ทั่วโลก
1:11  พระเจ้าทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ในอนาคต พระนามของพระองค์จะยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก  ทุกเวลา จะมีคนนมัสการ ถวายคำสรรเสริญ ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์  พวกเขาจะถวายของที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า  เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ  ขณะที่คนของพระเจ้าถวายสิ่งที่เป็นมลทิน ชนต่างชาติที่ยิวคิดว่า เป็นคนน่ารังเกียจ จะเป็นคนที่ถวายสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย  (อ่าน โรม 11) 

1:12 ปุโรหิตเหล่านี้ดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อพวกเขามองเห็นว่า อะไร ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเป็นของน่ารังเกียจ เป็นมลทิน เราเห็นได้ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนรังเกียจพระนามของพระเจ้า เกลียดชังพระนิเวศของพระองค์ พยายามทำลายพระนามของพระองค์ แต่ในมาลาคีนี้ พระเจ้าตรัสว่า คนของพระองค์เป็นคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ 

1:13 ในขณะที่เราสมควรจะนำสิ่งดีที่สุดมาถวายพระเจ้า เราคิดว่า อะไรก็ได้ พระเจ้าทรงรับหมดนั่นแหละ นี่เป็นความคิดที่ไร้สติ เรารักใคร เราก็ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาคนนั้น แต่ ปุโรหิตพวกนี้เชิดหน้าใส่พระเจ้า เอาของเลว ๆ มาให้พระองค์ แล้วพระองค์จะรับได้อย่างไร …  ใจพวกเขาย่ำแย่ ส่งผลให้การกระทำต่อพระองค์เลวร้ายไปด้วย 

1:14 พระเจ้าตรัสสาปแช่งพวกเขาไว้ กับคนที่สัญญาอย่างแต่กลับเอามาอีกอย่าง  พระองค์ทรงแจ้งให้ทราบว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
พระนามของพระองค์จะเป็นที่ยำเกรงในชาติต่าง ๆ และเราก็เห็นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในปัจจุบัน  คนอิสราเอลเองหันหลังให้พระเจ้า และพวกเขาหันไปเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ บางคนก็ยึดมั่นบทบัญญัติจนไม่มีจิตวิญญาณ
และในวันนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ปี 2023 เป็นต้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิสราเอลเพราะสงครามรอบด้านที่โถมเข้ามาในประเทศ  เป็นเวลาที่ชาติทั้งหลายกำลังหันเข้ามาอธิษฐานเผื่ออิสราเอลให้พวกเขากลับมาหาพระองค์ ..​ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขากำลังกลับมาหาพระองค์ทุก ๆ วัน ไม่เหมือนในอดีต

พระคำเชื่อมโยง

มาลาคี 1
1*  เฉลยธรรมบัญญัติ  4:37;7:8; 23:5;
โรม 9:13
3* เยเรมีย์ 49:18
4* เยเรมีย์ 49:16-28
5* สดุดี 35:27


6* อพยพ 20:12; ลูกา 6:46; มาลาคี 2:14
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:21; เอเสเคียล 41:22
8* เลวีนิติ 22:22; โยบ 42:8
9* โฮเชยา  13:9
10* 1โครินธ์ 9:13; อิสยาห์ 1:11

11* อิสยาห์ 59:19; 60:3, 5; 1 ทิโมธี  2:8; วิวรณ์  8:3; อิสยาห์ 66:18-19
12* มาลาคี  1:7
13* อิสยาห์ 43:22; เลวีนิติ 22:20
14* มาลาคี 1:8; เลวีนิติ 22:18-20; สดุดี 47:2

นาฮูม 3 วิบัติแก่นครโลหิต!

ขุนนางทั้งหลายเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตน

ภาพการถูกโจมตี
1 วิบัติแก่นครแห่งโลหิต
เต็มด้วยการหลอกลวง เต็มด้วยการปล้นสะดม 
มันไม่เคยขาดผู้คนที่เป็นเหยื่อเลย
2  เสียงแส้หวดลงไป และเสียงล้อรถศึกขยี้ถนน
เสียงม้าควบกุบกับพร้อมรถม้าศึกที่ทยานออกไป
3  พลม้าบุกทะลวงเข้าไป
ดาบส่องประกายวับวาบ หอกสะท้อนแสง
ผู้คนล้มตายเป็นเบือ  ศพกองเป็นพะเนิน
ศพนอนตายไม่จบสิ้น
พวกเขาเดินสะดุดร่างไร้ชีวิตของพี่น้องร่วมชาติ 
4  เป็นเพราะการยั่วยวนของเหล่าหญิงโสเภณีที่ไม่หยุด 
ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ด้วยคาถาแห่งความตาย
นางทรยศชาติต่าง ๆ ด้วยความเร่าร้อน
นางทรยศผู้คนด้วยมนต์แม่มด 
5  พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศว่า
“เราต่อต้านพวกเจ้า (2:13)
เราจะถลกกระโปรงของเจ้าไปคลุมหน้าของเจ้า
และทำให้ชาติต่าง ๆ ได้เห็นความเปลือยเปล่าของเจ้า 
ให้อาณาจักรต่าง ๆ ได้เห็นความอัปยศอดสูของเจ้า
6  เราจะสาดสิ่งโสโครกใส่เจ้า
และจัดการกับเจ้าด้วยความรังเกียจ
เราจะประจานเจ้า
7  แล้วคนทั้งหลายที่เห็นเจ้าจะหนีห่างไปจากเจ้า กล่าวว่า
“นีนะเวห์พังพินาศไปแล้ว ใครจะมาสงสารเล่า?
เราจะไปหาใครมาปลอบโยนเจ้าเล่า?

ภาพการถูกโจมตี
3:1 นาฮูมได้ทำให้เรารู้ว่า อัสซีเรียมีชื่อเสียงในโลกโบราณว่าเป็นชาติแห่งการหลอกลวง เที่ยวปล้นไปทั่ว พวกเขาพร้อมที่จะเอาประโยชน์จากชนชาติอื่นด้วยความรุนแรง
3:2 อัสซีเรียเป็นชาติที่เข้าไปบุกประเทศต่าง ๆ เชี่ยวชาญการใช้ม้าศึก
3:3 นี่เป็นภาพเหตุการณ์ของการที่กองทัพอัสซีเรียบุกเข้าไปโจมตีประเทศนั้นประเทศนี้ พวกเขาฆ่าคนตายอย่างไม่มีความปรานี
มีการค้นพบแผ่นจารึกนับพันแผ่น ในหุบเขาเมโสโปเตเมียแสดงให้เห็นถึงความเชื่อทางไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัว เวทมนตร์คาถาหลายร้อยบทถูกเปิดเผยออกมาให้คนในปัจจุบันได้เห็นด้วย
3:4 การยั่วยวนของโสเภณี ไม่ได้หมายความแค่กิจกรรมทางเพศ แต่รวมไปถึงความเชื่อในเทพต่าง ๆ ที่มีพิธีกรรมอุบาทว์ น่าเกลียดน่าชัง
3:5 พระเจ้าตรัสอีกว่า พระองค์ทรงต่อต้านอัสซีเรีย น่ากลัวไหมหากพระเจ้าตรัสกับประเทศใด หรือผู้นำของประเทศใดเช่นนี้?
พระองค์จะทรงเปิดโปงความชั่วร้าย ความน่าเกลียดน่าชังของพวกเขาให้ทั้งโลกได้เห็น ที่ว่าเก่งนั้น เบื้องหลังคืออะไร
3:6 อัสซีเรียจะถูกประจาน กลายเป็นที่น่ารังเกียจของชนชาติต่าง ๆ ภาพนี้คือ พวกเขาถูกสาดด้วยอุจาระและต้องยืนต่อหน้าคนทั่วไป
3:7 ไม่มีใครเสียดายกับหายนะของอัสซีเรีย และนครนีนะเวห์ ต่างสมน้ำหน้า ปกติแล้วในงานศพของผู้คนก็สามารถจ้างคนมาร้องไห้โหยหวนแสดงความอาลัยได้ แต่หายนะของนีนะเวห์นั้น ไม่อาจจ้างใครมาปลอบใจได้เลย ไม่มีใครรับจ้างคร่ำครวญเผื่อเมืองนั้น!


เปรียบเทียบให้เห็น
8  เจ้าดีกว่า เธเบสซึ่งตั้งริมฝั่งแม่น้ำไนล์
ซึ่งมีน้ำล้อมรอบอย่างนั้นหรือ?
เธเบสมีน้ำทะเลเป็นปราการและมีแม่น้ำเป็นกำแพง
 9 คูชและอียิปต์เป็นกำลังที่ไม่มีวันหมดสำหรับเธอ 
พูตและลิเบียก็เป็นพันธมิตรของเธอด้วย 
10  ถึงอย่างนั้น เธอกลับต้องถูกเนรเทศ
และจะไปเป็นเชลย
ลูก ๆ ถูกฟาดแหลกเป็นชิ้น ๆ ที่หัวถนนทุกสาย
เขาจับฉลากตัดสินเลือกคนที่มีเกียรติ
และคนสูงศักดิ์ต่างถูกล่ามโซ่

เปรียบเทียบให้เห็น
3:8 นาฮูมเปรียบเทียบการล่มสลายของนีนะเวห์กับเมืองเธเบส เมืองนี้ยิ่งใหญ่ และมีศักยภาพสูงมาก เมืองนี้มีสภาพทางภูมิศาสตร์คล้ายนีนะเวห์ 663 ปีก่อนคริสตศักราช เมืองเธเบสในอียิปต์ล่มลงด้วยการบุกของจักรพรรดิซาร์กอนแห่งอัสซีเรีย
3:9-10 นาฮูมบอกให้รู้ว่า แม้จะมีพันธมิตร แต่พวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ และสิ่งที่อัสซีเรียทำกับเธเบสก็โหดเหี้ยม รุนแรง ไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น นีนะเวห์ก็จะไม่สามารถหลบเลี่ยงเหตุกาณณ์อย่างเดียวกันได้


แผ่นดินที่เปิดให้ศัตรู
11 เจ้าเองจะเมามาย เจ้าจะหลบซ่อนตัว
และหาที่ลี้ภัยจากศัตรูของตนเอง 
12 ป้อมปราการทั้งหมดของเจ้า
เป็นเหมือนต้นมะเดื่อ ที่มีผลสุกรุ่นแรก
ถ้าหากไปเขย่า ผลนั้นจะร่วงเข้าปากของผู้ที่มากิน!
13  ดูสิ กองทัพของเจ้าเป็นเหมือนผู้หญิง
แล้วประตูเมืองในแผ่นดินของเจ้าก็เปิดกว้างให้ศัตรู
ไฟจะเผาผลาญลูกกรงประตูเมืองของเจ้า
14 จงเตรียมเก็บน้ำไว้เพราะเมืองจะถูกล้อม
จงเสริมกำแพงป้องกันเมืองให้แข็งแรง 
เตรียมดินเหนียว ย่ำปูนผสมทราย น้ำ
เตรียมแบบหล่อสำหรับทำอิฐ  
15 ไฟจะเผาผลาญเจ้าที่นั่น
ดาบจะฟาดฟันเจ้า
มันจะขย้ำกินเจ้าเหมือนอย่างตั๊กแตน 
จงทวีจำนวนคนให้มากเหมือนอย่างตั๊กแตน 
ทวีจำนวนคนให้มาเป็นฝูงตั๊กแตน

แผ่นดินที่เปิดให้ศัตรู
3:11 ขณะที่ศัตรูบุก ชาวนีนะเวห์กำลังเมาไม่รู้เรื่อง เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น แทนที่จะหนี กลับพยายามหลบซ่อนตัว แม้กระทั่งขอร้องศัตรูว่าช่วยเป็นที่กำบังให้ฉัน! เป็นภาพที่น่าสมเพชมากสำหรับเมืองและกองทัพที่เก่งกล้า
3:12-13 ป้อมปราการที่แข็งแรงในสายตาของใครต่อใคร (ซึ่งเป็นป้อมที่หนามาก ๆ ) แข็งแกร่งเพียงใด นาฮูมก็บอกว่า กลับกลายเป็นเหมือนต้นมะเดื่อที่ถูกทำลายได้ง่าย ๆ ประตูเมืองไม่ได้ปิดไว้ สิ่งที่ใช้ในสงครามเพื่อการทำลายในโลกโบราณคือไฟ และไม่ได้ต่างอะไรกับสงครามในปัจจุบันเลย
3:14-15 นาฮูมพูดเหมือนเยาะเย้ยให้รีบเสริมกำแพงเมืองให้แข็งแรงทั้งที่ ไม่มีเวลาเหลือแล้ว ศัตรูใช้เวลาสองปีในการยึดเมืองทั้งหมด นักโบราณคดีได้ค้นพบว่า เมืองนีนะเวห์ถูกเผาเพราะมีซากของเถ้าถ่านให้เห็นอย่างชัดเจน

ส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองนีนะเวห์
ภาพจากวิกิมีเดีย



ไว้ใจใครไม่ได้เลย
16 เจ้าได้เพิ่มจำนวนพ่อค้าให้มากกว่าดาวบนท้องฟ้า
แต่พวกเขากัดกินแผ่นดินจนโล่งเตียนราวกับตั๊กแตน
จากนั้น ก็บินจากไป
17 เหล่าขุนนางทั้งหลายเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตน 
อาลักษณ์ของเจ้าเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตนที่เกาะบนกำแพง
ในวันหนาวเย็น ​ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มันก็บินหนีไป
ไม่มีใครรู้ว่า พวกมันอยู่ที่ไหน
18 โอ กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
เหล่าคนเลี้ยงแกะของเจ้านอนหลับใหลอยู่
ขุนนางของเจ้าก็ง่วงอยู่ 
ประชากรของเจ้ากระจัดกระจายไปตามภูเขา
โดยไม่มีใครช่วยรวบรวมพวกเขาให้อยู่ด้วยกัน
19 ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยรักษาบาดแผลของเจ้า 
บาดแผลนั้นสาหัสนัก
คนที่ได้ยินเรื่องราวของเจ้า
จะตบมือดีใจกับการล้มลงของเจ้า
มีใครบ้าง
ที่ไม่ได้พบเจอกับความโหดร้ายอันไม่จบสิ้นของเจ้า?


ไว้ใจใครไม่ได้เลย
3:16 แม้ว่าการเงิน การค้าจะคล่องตัว แต่ก็ไม่ให้ประโยชน์ใด ๆ กับนครเลย เพราะพวกเขาต่างเอาประโยชน์เข้าตัวแล้วก็หนีจากไปเมื่อได้อย่างที่ต้องการ
3:17 ข้าราชการทั้งหลายของอัสซีเรียก็เช่นกัน พวกเขามาแค่เกาะกินสิ่งที่ต้องการ จากนั้น เมื่อได้ประโยชน์จนไม่มีอะไรเหลือแล้ว พวกเขาก็ไม่อยู่รับใช้อีกต่อไป กษัตริย์จะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่า ใคร ๆ ก็หนีไปหมดแล้ว อย่างไรก็จะพบหายนะแน่นอน
3:18 หากคนเลี้ยงแกะหลับ แกะก็จะมีอันตรายไม่มีใครปกป้องได้ ดังนั้น จะเห็นว่า ขุนนางไม่ได้ทำงาน เอาแต่มีความสุขไปวัน ๆ
3:19 ไม่มีประเทศไหนจะมาเห็นใจอัสซีเรีย ทุกประเทศจะดีใจ ร่าเริงกับหายนะของนีนะเวห์ ภาพที่นาฮูมเล่านั้น ชัดเจนมาก พวกเขาจะตบมือให้เมื่อนีนะเวห์ล่ม เพราะทุกคนต่างผ่านความโหดเหี้ยมของพวกเขามาทั้งสิ้น

พระคำเชื่อมโยง

นาฮูม 3
1* ฮาบากุก 2:12
4* อิสยาห์ 47:9-12
5*นาฮูม 2:13; อิสยาห์ 42:2-3
6* นาฮูม 1:14; ฮีบรู 10:33
7* วิวรณ์ 18:10; โยนาห์ 3:3; 4:11 ;
เยเรมีย์ 15:5


8*อาโมส 6:2; เยเรมีย์ 46:25
9* เอเสเคียล 27:10
10* โฮเชยา 13:16;
เพลงคร่ำครวญ 2:19;โยเอล 3:3
11* นาฮูม 1:10
12* วิวรณ์ 6:12-13
13* อิสยาห์ 19:16; เยเรมีย์ 51:30

14* นาฮูม 1:10
15* โยเอล 1:4
16* วิวรณ์ 18:3; 11-19
17* วิวรณ์ 9:7
18* สดุดี 76:5-6; เยเรมีย์ 50:18; 1 พงศ์กษัตริย์ 22:17
19* มีคาห์ 1:9; เพลงคร่ำครวญ 2:15

นาฮูม 2 เราต่อต้านเจ้า!

รถศึกควบอย่างบ้าคลั่งไปตามถนน !

หายนะของนีนะเวห์
1 มีผู้หนึ่งที่จะทำให้เจ้ากระจัดกระจายไป
กำลังบุกเข้ามา
จงเสริมกำลังคนป้องกันป้อมปราการ
เฝ้าถนนให้ดี
เตรียมตัวพร้อมสู้ 
รวมพลังทั้งหมดที่มี
2 เพราะพระยาห์เวห์
จะ ทรงฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของยาโคบ 
ให้เหมือนกับความยิ่งใหญ่ของอิสราเอล

แม้ผู้ที่มาปล้นได้ปล้นพวกเขา
และทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
3 โล่ของนักรบเขาเป็นสีแดง
และนักรบผู้กล้าก็สวมชุดแดงเข้ม
รถศึกนั้น ส่องประกายดั่งเปลวไฟ 
ในวันที่พวกเขาเตรียมพร้อมทำศึก
และนักรบกวัดแกว่งหอกไม้สน 
4 รถศึกควบอย่างบ้าคลั่งไปตามถนน 
มันวิ่งไปผ่านลานเมือง
มองดูเหมือนคบเพลิงลุกโชติช่วง
มันวิ่งไปมาดั่งสายฟ้าแลบ
5 เขาสั่งการเหล่าทหาร
พวกเขาสะดุดล้มขณะที่กำลังบุกไป
พวกเขาวิ่งไปยังกำแพงเมือง
เพื่อตั้งโล่ป้องกันในที่ของมัน

หายนะของนีนะเวห์
2:1 คำสั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นคำสั่งที่จะเย้ยหยันว่า
นีนะเวห์รอดไปได้หรือ? เพราะตอนนี้ มีกองทัพใหญ่บุกเข้ามาแล้ว เป็นกองทัพที่พระเจ้าทรงส่งมาเอง ผู้ที่บุกเข้ามาจะเป็นคนที่ทำให้อัสซีเรียกระจัดกระจายไป ดังนั้นคนที่สำคัญ ผู้บัญชาการแท้จริงที่ทำให้อัสซีเรียพินาศคือพระยาห์เวห์ของอิสราเอล!
อัสซีเรียเองได้เตรียมกองทัพใหญ่ไว้ก่อนหน้าทั้งเพื่อจะโจมตีและรับมือศัตรู
(เอเสเคียล 23:24 บอกให้รู้ว่าสรรพาวุธของกองทัพอัสซีเรียมีอะไรบ้าง)

2:2 พระเจ้าทรงแจ้งให้อิสราเอลรู้ว่า แม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่วันหนึ่งพระองค์จะทรงนำเขากลับมาสู่การรื้อฟื้นอีกครั้ง ขณะที่นีนะเวห์กำลังจะล่มจม คนของพระเจ้าจะรับการฟื้นฟูใหม่ ที่กล่าวถึงยาโคบก็เพื่อให้ระลึกถึงประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่ยาโคบ และบรรพบุรุษได้ผ่านมา ส่วนคำอิสราเอลก็หมายถึงความงดงาม ยิ่งใหญ่ที่จะกลับมาอีกครั้งยังลูกหลานของบรรพบุรุษเหล่านั้น

2:3-4 ต่อจากนี้ไปเป็นภาพการยึดนครนีนะเวห์ เป็นภาพที่ชัดเจนราวกับภาพยนต์ นักรบของศัตรูใส่เสื้อแดงเข้ม โล่ก็สีแดง รถศึกเหมือนเพลิงไฟ นักรบแกว่งหอกอย่างน่ากลัว การบุกเข้ามานั้น ไม่ใช่ช้าเชื่องแต่รวดเร็ว ปราดเปรียว พร้อมประจัญบาน อัสซีเรียจะสู้ได้หรือเปล่า?  

2:5 นักรบพยายามที่จะวิ่งไปที่กำแพงเมืองเพื่อตั้งรับ แต่ก็สะดุดล้ม ไม่ใช่คนเดียวแต่หลายคนพร้อม ๆ กัน
ยิ่งเป็นอย่างนี้ ยิ่งกลัวลาน



การทำลายที่ท่วมท้น
6 ประตูแม่น้ำถูกเปิดออก
และราชวังก็พังไปกับสายน้ำ 
7 หญิงงามถูกปลดอาภรณ์ 
เธอถูกจับตัวไป
เหล่าหญิงรับใช้ก็ร้องครวญเหมือนนกพิราบ
และตีอกของตนเอง 
8 นีนะเวห์
เป็นเหมือนบ่อที่น้ำกำลังทะลักไหลออก 
พวกเขาร้องว่า “หยุด หยุด”
แต่ไม่มีใครหันหลังกลับมา
9  “จงปล้นเงิน และปล้นทอง!”
ทรัพย์สมบัติมีมากมายไม่มีหมดสิ้น
สิ่งที่มีค่านั้นมีเหลือเฟือ 
10 ที่รกร้าง ความวิบัติ ความหายนะ! 
ใจหวาดผวา เข่าสั่นระรัว
ทรมานไปทุกส่วนของร่างกาย
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือด

การทำลายที่ท่วมท้น
2:6 นักโบราณคดีพบว่า มีร่องรอยของน้ำท่วมที่น่าจะเกี่ยวพันกับหายนะของเมืองในครั้งนี้ และการบุกของศัตรูก็น่าจะเป็นการเข้ามาในประตูแม่น้ำ ในช่วงน้ำหลากด้วย
2:7-8 พวกผู้หญิงถูกปล้นเครื่องประดับเงินทอง อัญมณีต่าง ๆ ทุกอย่างถูกจับไปเป็นเชลย ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นอย่างไร นีนะเวห์ถูกปล้นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะมีคนร้องให้หยุด แต่ศัตรูที่ไหนจะฟัง

2:9-10 ทรัพย์สินที่นีนะเวห์มีอยู่นั้น ก็ต่างได้มาจากการยึด การปล้นประเทศชาติต่าง ๆ เข้ามา พวกเขามีทรัพย์มากมายให้ศัตรูมาขนไป
อัสซีเรียได้สร้างความหวาดกลัวให้ผู้อื่น ตอนนี้พวกเขาเองหวาดกลัวยิ่งกว่าอีก

เราต่อต้านเจ้า
11 ไหนล่ะ ถ้ำของสิงห์
ที่ ๆ มันใช้เลี้ยงดูลูก ๆ ของมัน?
ที่ ๆ พ่อแม่สิงโตหาเหยื่อ
ที่ ๆ ลูกของมันอยู่อย่างไม่มีใครรบกวน อยู่ที่ไหนกัน?
12 สิงโตได้ล่าเหยื่อมาให้ลูกของมัน 
มันขย้ำคอเหยื่อเพื่อให้สิงห์ตัวเมีย
มันเติมถ้ำของมันด้วยเหยื่อที่หามาจนเต็ม
และเติมที่อยู่ของมันด้วยเหยื่อที่มันฉีกเนื้อสด ๆ  
13 องค์พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศดังนี้
“เราต่อต้านเจ้า เราจะเผารถศึกของเจ้าจนควันคลุ้ง
และดาบจะฟันฟาดลูกสิงโตของเจ้า
เราจะเอาเหยื่อของเจ้าออกไปจากโลกนี้
และจะไม่มีใครได้ยินเสียงของพวกผู้ส่งข่าวของเจ้าอีกต่อไป”

เราต่อต้านเจ้า 
2:11 นีนะเวห์เป็นเมืองที่มีสิงโตเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าเป็นเจ้าแห่งโลกนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะทำตัวเหมือนสิงโตที่กัด ฉีก ขย้ำ จนเหยื่อตายเป็นเบือ แต่ตอนนี้ นาฮูมถามว่า พ่อ แม่สิงโตอยู่ที่ไหน ? ที่ว่าเก่งนัก ตอนนี้ไม่เหลืออำนาจแล้ว

2:12 นาฮูมเปรียบนีนะเวห์เหมือนกับถ้ำสิงห์ ที่สามารถเติมความมั่งคั่งให้กับตนเองไม่หยุดหย่อน

2:13 บาบิโลน ได้ทำลายนครนีนะเวห์จนสิ้นซาก แต่ผู้ที่ส่งบาบิโลนมาคือ พระยาห์เวห์ผู้ประกาศประกาศิตสุดท้าย พระองค์ตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงต่อต้านอัสซีเรีย เป็นคำตรัสที่น่ากลัวสำหรับอัสซีเรีย และสำหรับทุกคนที่จะได้ยินคำนี้


พระคำเชื่อมโยง

นาฮูม 2
9* เศฟันยาห์ 1:18
10* เปรียบเทียบ โยเอล 2:6
11* โยบ 4:10-11
12* เยเรมีย์ 51:34
13* นาฮูม 3:5; 2