สุภาษิต 1 ปัญญาเรียกหา

ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
1 สุภาษิตของกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอล
โอรสของกษัตริย์ดาวิด
2 เพื่อ จะเรียนรู้จักสติปัญญากับคำสั่งสอน
เพื่อเข้าใจถ้อยคำที่เต็มด้วยสติปัญญาลึกล้ำ
3 เพื่อรับคำสอนแห่งปัญญา ความเที่ยงธรรม
ความยุติธรรมและความซื่อสัตย์ 
4 เพื่อให้คนที่อ่อนต่อโลก จะได้มีความหลักแหลม 
ให้คนหนุ่มได้มีความรู้และปฏิภาณ 
5 ให้คนที่มีปัญญาได้ฟังและเพิ่มความรู้
และคนที่หยั่งรู้จะได้รับคำแนะนำ
6 เพื่อจะเข้าใจสุภาษิตและคำอุปมา คำคม
และข้อปริศนาของคนมีปัญญา
7 ความยำเกรงพระยาห์เวห์
เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้ 
คนโง่ดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน





หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
8 จงฟัง ลูกชายของเรา ฟังคำสอนของพ่อ
และอย่าละทิ้งคำของแม่
9 เพราะมันเป็นเหมือนมาลัยงดงามบนหัวของเจ้า
และเป็นดั่งสร้อยทองคล้องคอเจ้า

เมื่อคนชั่วมาชักชวน
10 ลูกชายของเราเอ๋ย หากคนบาปหลอกล่อ
ขออย่ายอมตามพวกเขาไป 
11 เพราะหากเขากล่าวชวนว่า
“มากับเรา ไปซุ่มดักรอเชือดใครสักคน
เรามารุมคนบริสุทธิ์กันเถอะ
12 เราจะกลืนพวกเขาทั้งเป็น
เหมือนว่าเราเป็นแดนคนตาย 
เรามากลืนเขาทั้งเป็น เหมือนส่งไปหลุมศพ 
13 เราจะยึดทรัพย์สินมีค่า
และสะสมของเหล่านี้ให้เต็มบ้าน 
14 มาเสี่ยงจับฉลากกับเรา 
แล้วเราจะได้แบ่งเงินกันใช้ “


อย่าเดินไปกับคนชั่ว
15 ลูกชายของเราเอ๋ย
อย่าเดินไปทางเดียวกับพวกเขา
อย่าก้าวเข้าไปในทางของพวกเขาเลย
16 เพราะเท้าของพวกเขาวิ่งไปหาความลำบาก
และพวกเขาดักทำร้ายคน
17 โง่จริงที่เราจะเหวี่ยงตาข่ายดักทั้ง ๆ ที่นกก็เห็น 
18  คนเหล่านี้ซุ่มอยู่เพื่อฆ่าตัวเองแท้ ๆ 
พวกเขาดักล่าชีวิตของตัวเอง
19 นี่เป็นหนทางของคนที่ทำกำไรอย่างคดโกง
และมันคร่าชีวิตของพวกเขาเอง

สติปัญญาร้องเรียกจากถนน เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
20 ปัญญาร้องเรียกอยู่บนถนน
เธอส่งเสียงดังที่ลานชุมนุม
21 เธอร้องเสียงดังกว่าเสียงอึกทึกบนถนน
เธอพูดที่ทางเข้าประตูเมืองว่า
22 “ เจ้าคนโง่เอ๋ย เจ้าจะรักความเขลาไปอีกนานเท่าใด?
เจ้าคนช่างเยาะจะพอใจกับการเยาะเย้ยไปอีกนานแค่ไหน?
เจ้าคนเขลาจะชังความรู้ไปอีกนานเท่าใด?
23 หากเจ้าสนใจคำเตือนของเรา
เราก็จะเทวิญญาณของเราเหนือเจ้า
และสอนถ้อยคำของเราให้เจ้า


24 ในเมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
เรายื่นมือออกมา แต่ไม่มีใครใส่ใจ
25 ในเมื่อเจ้าละทิ้งคำปรึกษาทั้งสิ้นของเรา
และไม่ยอมรับการแก้ไขจากเรา
26 ถึงคราวของเรา เราจะหัวเราะกับความหายนะของเจ้า
เราจะเยาะเย้ยเมื่อเจ้ากลัวลาน
27 เมื่อความกลัวโถมเข้ามาหาเจ้าเหมือนอย่างพายุ
และความหายนะมาถึงเจ้าดั่งลมหมุน
เมื่อความลำบาก และความทุกข์ใจมาเหนือเจ้า
28 ตอนนั้นพวกเขาจะร้องหาเรา แต่เราจะไม่ตอบ
พวกเขาจะค้นหาเรา แต่จะไม่เจอ
29 เพราะพวกเขาชังความรู้
และไม่เลือกที่จะยำเกรงพระเจ้า
30 เพราะพวกเขาไม่สนใจคำแนะนำของเรา
และละเลยคำตักเตือนทั้งสิ้นของเรา
31พวกเขาจะได้กินผลจากหนทางของพวกเขา
และจะได้อิ่มกับแผนชั่วของตน
32 ที่คนไม่รู้ประสาจะถูกฆ่าเพราะเขาไม่ยอมฟังใคร
และความเฉยเมยของคนโง่จะทำลายพวกเขาเอง
33 แต่ใครก็ตามที่ฟังเสียงของเรา
จะมีชีวิตอย่างปลอดภัย
และไม่ต้องกลัวอันตรายใด ๆ

คำอธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิตเป็นข้อความซึ่งพระเจ้าทรงส่งผ่านชายชราทรงปัญญาที่สุดในโลก ที่ได้เห็นหนทางของมนุษย์ในตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน  ท่านสังเกตและเห็นว่า เกิดอะไรขึ้น และได้สรุปเห็นหลักการในชีวิตของมนุษย์ ว่าถ้าทำอย่างหนึ่งก็จะมีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น  การกระทำทุกอย่างมีผลของมัน   ท่านได้มุ่งเน้นสอนเยาวชนในเรื่องการใช้ชีวิตให้ดี
สุภาษิตที่เขียนขึ้นมานี้เป็นเรื่องของสติปัญญา หลักการที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง เกิดผลขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน. ที่เราเดินตามหลักการในพระคัมภีร์นั้นก็เพื่อว่าเราจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เป็นอันดับแรก
ความดีสูงสุดที่เราจะมีในชีวิตของเด็กหนุ่มสาวก็คือ ความรอด และการดำเนินชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน  สุภาษิตนี้จะนำให้เราไปรู้จักพระเยซูคริสต์ในอีกด้านของพระองค์ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดของหนังสือสุภาษิต
หนังสือสุภาษิตนี้ช่วยให้เราเห็นความเขลาของเราในหลาย ๆ เรื่อง และสิ่งที่ผู้เขียนสอนจะช่วยให้เราฉลาดขึ้น ดีจริง ใคร ๆ ก็อยากมีปัญญา และฉลาดขึ้นกันทั้งนั้น

สุภาษิต 1:1-7 ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
เราได้รู้แล้วว่า ทำไมกษัตริย์โซโลมอนเขียนหนังสือสุภาษิตให้กับเยาวชนในบ้านเมืองที่ท่านปกครองอยู่
ท่านเน้นที่จะให้ประชาชนของท่านเป็นคนมีปัญญา มีความรู้ มีความเข้าใจ เป็นคนฉลาด และท่านก็เริ่มต้นบอกเคล็ดลับของความเป็นคนที่มีความรู้คือ ยำเกรงพระเจ้า ... ความยำเกรงดังกล่าวไม่ใช่ความกลัวจนลนลาน กลัวว่าพระองค์จะทำร้ายหรือลงโทษ แต่เป็นความยำเกรง นับถือ ให้เกียรติ และยกย่องพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น และก็กลัวด้วยคือกลัวที่จะทำอะไร คิดอะไรต่อต้านพระองค์
และท่านยังบอกอีกว่า ถ้าเรายำเกรงพระเจ้าเราจะได้รับผลอย่างไรบ้าง …ดู 8:13; 9:10,10:27, 14:26-27,15:33, 16:6, 19:23; 22:4
ส่วนใหญ่ในหนังสือสุภาษิต มีโซโลมอนเป็นผู้เขียน และยังมีผู้เขียนท่านอื่นที่เขียนบางบทตอนท้าย ๆ ด้วย
สติปัญญาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากได้ ในภาษาฮีบรูว่า ค๊อกมา חָכְמָה มีความหมายรวมไปถึง .. ความชำนาญในการใช้ชีวิต การทำงาน ความสามารถในการบริหารงานต่าง ๆ การทำสงคราม ความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ ไปดูความหมายเพิ่มเติมได้ที่ https://biblehub.com/hebrew/2451.htm

สุภาษิต 1:8-9 หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
พ่อแม่มีหน้าที่สอนสิ่งที่ดีให้ลูก ๆ ของตน แต่ ความที่โลกนี้เปลี่ยนไป พ่อแม่ที่รับผิดชอบมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ
คนที่มีความรับผิดชอบสูงก็เกิดไม่อยากมีลูกเสียอีก … ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยได้คือ เยาวชนของเราต้องรู้จักหนังสือสุภาษิต เพื่อให้ข้อความเหล่านี้ได้สอนใจ และนำทางชีวิตของเขา

สุภาษิต 1:10-19 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
สิ่งที่สำคัญคือ อย่าให้คนอื่นมาหลอกล่อให้เราทำชั่วอย่างพวกเขา ซึ่งตอนนี้ รายการความชั่วนั้น มีมากมายไม่เฉพาะแค่ที่โซโลมอนบอกเอาไว้ เยาวชนของเราต้องมีความเข้าใจที่จะเลือกสิ่งดีที่สุดให้กับชีวิตของตน และรู้ว่าจะฟัง ไม่ฟังใคร
การตักเตือนในตอนนี้ ได้ใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาเล่าให้เยาวชนได้เข้าใจว่า คนชั่วจะชักชวนประมาณไหน ต้องสังเกตคำพูดของพวกเขาอย่างไร

สุภาษิต 1:20-23 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
ครั้งนี้ ซาโลมอนได้กล่าวถึงปัญญาในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง เธอคือปัญญา ที่ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจการเรียกหาของปัญญาได้ดีขึ้น แทนที่จะเป็นคำนามธรรมที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่อิสยาห์เองกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าทรงเป็นที่ปรึกษาที่ล้ำเลิศ (อิสยาห์ 9:6) ในมุมมองของพระคัมภีร์แล้ว พระปัญญาเป็นบุคคลไม่ใช่แค่นามธรรมที่ไม่มีชีวิต
ปัญญาส่งเสียงดังเรียก แต่คนไม่ได้ยิน ไม่ชอบปัญญา ชอบฟังอย่างอื่นที่สนุกมากกว่า ปัญญาพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่มีใครเอาใจใส่เธอเลย
ปัญญาบอกด้วยว่า หากสนใจคำเตือน ก็จะได้รับคำสอนจากปัญญา

สุภาษิต 1:24-33 เมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
ในเมื่อไม่มีใครฟัง ปัญญาก็บอกว่า เวลาต้องการเธอ ก็จะไม่พบเธอ ดังนั้น เราจึงต้องไม่ให้สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาหาปัญญา คือพระคำของพระเจ้า เพราะวันหนึ่งที่เดือดร้อน เราอาจหาพระองค์ไม่พบแล้วก็เป็นได้ ข้อ 29 คนทั้งหลายชังความรู้ ไม่เลือกความยำเกรงพระเจ้า ..เขาจะได้กินผลจากการเลือกของเขา เป็นข้อความที่ตรงกันข้ามกับข้อ 7 ที่บอกว่า ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของความรู้
โยบ 28:28 สรุปให้เรารู้ว่า ความยำเกรงพระเจ้านั่นคือปัญญา และที่จะหนีจากความชั่ว คือความเข้าใจ

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* 1 พงศ์กษัตริย์ 4:32
4* สุภาษิต 9:4
5* สุภาษิต 9:9
6* สดุดี 78:2
7* โยบ 28:28
8* สุภาษิต 4:1
9* สุภาษิต 3:22
10* ปฐมกาล 39:7-10

11* เยเรมีย์ 5:26
12* สดุดี 28:1
15* สดุดี 1:1, 119:101
16* อิสยาห์ 59:7
19* 1 ทิโมธี 6:10
20* ยอห์น 7:37
23* โยเอล 2:28
24* เยเรมีย์ 7:13

25* ลูกา 7:30
26* สดุดี 2:4
27* สุภาษิต 10:24-25
28* อิสยาห์ 1:15
29* โยบ 21:14; สดุดี 119:173
30* สดุดี 81:11
31* โยบ 4:8
33* สุภาษิต 3:24-26; สดุดี 112:7

สดุดี 150 ทุกสิ่งที่หายใจ ..สรรเสริญพระเจ้าเถิด

จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระยาห์เวห์
pexel : Anthony

ให้สรรพสิ่งสรรเสริญพระยาห์เวห์

1สรรเสริญพระยาห์เวห์
จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานบริสุทธิ์ของพระองค์
จงสรรเสริญพระองค์ในแผ่นฟ้าอันทรงอานุภาพของพระองค์
2 จงสรรเสริญพระองค์
เพราะราชกิจอันทรงฤทธิ์ที่ล้นเหลือของพระองค์

3 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตรเขาแกะ
จงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณสิบสายและพิณเล็ก
4 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนา
และการเต้นรำจงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสาย และปี่
5จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบ
จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบที่ดังก้อง

6 จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระยาห์เวห์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง


1* สดุดี 148:14
สดุดี 11:4; 134:2
สดุดี 68:34
2* สดุดี 145:12
เฉลยธรรมบัญญัติ 3:24
3* สดุดี 98:6;
สดุดี 33:2; 71:22
4* สดุดี 149:3;
สดุดี 45:8; 38:20; โยบ 21:12
5* 2 ซามูเอล 6:5; 1 พงศาวดาร 15:16, 19, 28; 25:1, 6
6 * สดุดี 145:21

บทสุดท้ายของสดุดีที่ผ่านมานี้ ได้ขึ้นต้นและจบลงด้วยการสรรเสริญพระยาห์เวห์
จากบทที่ 150 นี้ เราจะเห็นว่า เราถูกชวนให้สรรเสริญพระเจ้าในที่สูง ในท้องฟ้า ในที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า ในสดุดีบทนี้คือ การสรรเสริญพระเจ้าของเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่ในสรวงสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า
สรรเสริญอะไรหรือ? เราสรรเสริญที่พระเจ้าทรงทำกิจอัศจรรย์ให้กับชีวิตของมนุษย์เรา ทรงทำการยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่พระเยซูลงมาสิ้นพระชนม์เพื่อทำให้เราได้คืนดีกับพระบิดาอีกครั้ง
ผู้เขียนชักชวนให้ทุกคนที่สรรเสริญพระเจ้า ได้ย้อนคิดถึงราชกิจที่ทรงทำเพื่อทุกคน และราชกิจดี ๆ ที่ทรงทำเพื่อเราทุก ๆ วัน ไม่เว้นแต่ละวันด้วย ชีวิตของผู้เชื่อจึงเต็มด้วยการขอบพระคุณและการสรรเสริญไม่หยุดหย่อน ไม่มีการหยุดนิ่ง การสรรเสริญทำให้มนุษย์ได้เชื่อมโยงกับพระเจ้าอย่างเหมาะสม
นอกจากการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่ทุกคนทำได้ เปล่งเสียงออกมา เรายังร้องเพลงในใจได้ด้วย
แล้วผู้เขียนให้ใช้เครื่องดีด สี ตี เป่า มาสรรเสริญพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลที่เราเห็นครอบครัวคริสเตียนมักให้ลูกหลานได้เรียนดนตรี เพื่อเป้าหมายในการใช้สรรเสริญพระเจ้า …
และเราต้องไม่ลืมว่า ในบทอื่น ๆ ได้ชวนให้เราเต้นรำถวายพระองค์ด้วย ทั้งชีวิต ทั้งร่างกาย จิตใจของมนุษย์สามารถใช้เพื่อการสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน
และในบทก่อนหน้านี้ยังมีการชวนให้ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างสรรเสริญพระองค์ ผู้เขียนได้จบสดุดีด้วยการชวนให้ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ สรรเสริญพระเจ้า …​และนั่นคือ เขากำลังชวนเราสรรเสริญพระองค์พร้อมกันกับสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง …​
ดังนั้น ให้เราเปิดใจฟังเสียงของบรรดาสัตว์ นกที่ส่งเสียงออกมา เสียงของคลื่นลม และพายุ เสียงของฝน สายของสายน้ำ …​เหล่านี้กำลังบอกว่า พระเจ้าของเราทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าที่ทรงไถ่ และทรงโอบอุ้มเรามาตลอดชีวิต .. ให้ใจของเรายิ่งสรรเสริญพระองค์ให้มากขึ้นในชีวิตนี้ ตราบที่เรายังมีลมหายใจ

สดุดี 149 คำสรรเสริญพร้อมกับการต่อสู้

เพราะพระยาห์เวห์ ทรงยินดีในคนของพระองค์
pixels : Luis Quintero


ชวนกันสรรเสริญพระเจ้า
1 สรรเสริญพระยาห์เวห์
มาร้องเพลงบทใหม่ถวายพระยาห์เวห์
มาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ในที่ประชุมของเหล่าผู้ติดตามพระองค์
2 ให้อิสราเอลยินดีในองค์พระผู้สร้างของเขา
3ให้พวกเขาสรรเสริญพระองค์ด้วยการเต้นรำ
ส่งทำนองเพลงถวายพระองค์ด้วยรำมะนา และพิณเขาคู่
4 เพราะพระยาห์เวห์ ทรงยินดีในคนของพระองค์
พระองค์ทรงตกแต่งคนที่ใจถ่อมด้วยความรอด
5 ขอให้คนของพระองค์ยินดีในพระสิริ
ให้พวกเขาร้องเพลงด้วยความยินดีบนที่นอนของเขา

คำสรรเสริญกับการต่อสู้ศัตรู
6 ให้เพลงสรรเสริญอยู่ในลำคอของพวกเขา
และมีดาบสองคมอยู่ในมือ
7 เพื่อตอบโต้ชาติต่าง ๆ เพื่อลงโทษชนชาติทั้งหลาย
8 เพื่อล่ามโซ่บรรดากษัตริย์
และสวมตรวนเหล็กให้เหล่าขุนนาง
9 เพื่อลงโทษตามคำพิพากษาที่บันทึกไว้แล้ว
นี่เป็นเกียรติยศสำหรับทุกคนที่ติดตามพระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 135:1; 33:3; 89:5, 7
2* สดุดี 85:6; สดุดี 95:6; โยบ 35:10;
1 ซามูเอล 12:12; Zech. 9:9
3 *สดุดี 150:4; 30:11; 150:4; อพยพ 15:20; สดุดี 150:3
4* สดุดี 35:27; 147:11; อิสยาห์ 61:3
5* โยบ 35:10; สดุดี4:4; 63:6; โฮเชยา 7:14
6* สดุดี 66:17; ฮีบรู 4:12; วิวรณ์ 1:16; 2:12; สุภาษิต 5:4
8* โยบ 36:8
9* อิสยาห์​ 65:6; โยบ 13:26;สดุดี 148:14;

สดุดี 149:1-5 ชวนกันสรรเสริญพระเจ้า
นี่เป็นคำเชิญชวนอีกครั้งให้คนของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์ด้วยกัน คำว่า เหล่าผู้ติดตามพระองค์มในข้อ 1 กับคำว่า คนของพระองค์ในข้อ เป็นคำศัพท์ที่มีความหมาย โยงไปถึงคำว่า จงรักภักดี รัก ไว้ใจได้ เมตตา …​

ข้อสองให้อิสราเอลยินดี.. ในพระผู้สร้างนั้น คือ พวกเขาควรจะยินดีในพระองค์ วิธีการที่เขาทำได้ชัดเจนคือการเต้นรำและเล่นดนตรีพร้อมไปกับการร้องเพลง นี่เป็นคำชักชวนที่ตรงไปตรงมา การเต้นรำถวายพระเจ้า แตกต่างจากการเต้นรำของโลกที่มีจุดสนใจอยู่ที่คนเต้น แต่การเต้นรำถวายพระเจ้านั้น ออกมาจากหัวใจส่งไปถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ คนที่เต้นนั้นไม่ได้สำคัญในสายตาของตัวเองเลย และนี่ไม่ใช่เป็นการเต้นคู่ แต่เป็นการเต้นของกลุ่มคนที่ต้องการสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน
ข้อสี่บอกเราชัดว่า คนของพระองค์เป็นคนใจถ่อม และความถ่อมใจนี้เป็นความงามในสายพระเนตร เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยยิ่ง
ที่แปลกมากในข้อห้าคือ ให้พวกเขาร้องเพลงยินดีบนที่นอน เราได้ลองไหม ลองได้เลยว่า เราจะรู้สึกแปลกแตกต่างไปจากที่เราร้องพร้อม ๆ กับคนอื่น ไหม​ การสรรเสริญพระเจ้าไม่ติดกับเวลาและสถานที่เลย …​

สดุดี 149:6-9 คำสรรเสริญกับการต่อสู้ศัตรู
ทำไมสรรเสริญพระเจ้าพร้อมกับดาบสองคม? เมื่ออิสราเอลต้องต่อสู้กับศัตรู พวกเขายังมีอีกอย่างที่ต้องทำในเวลานั้น คือการสรรเสริญพระเจ้าไปด้วย ดูเหมือนการนมัสการพระเจ้า กับการต่อสู้เป็นของคู่กัน ผู้ที่นมัสการพระเจ้าเป็นผู้ที่จะต่อสู้กับศัตรูของพระองค์อย่างกล้าหาญ พวกเขาจะตอบโต้กับศัตรูของพระเจ้าพร้อมกันกับพระองค์
สงครามฝ่ายวิญญาณที่พวกเราเจอก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาสู้ แต่เราจะนมัสการพระเจ้ายิ่งใหญ่ของเราไปพร้อมกับที่เราต่อสู้ นี่เป็นคำจากผู้ที่เชี่ยวชาญในการรบและการนมัสการพระเจ้าจากสดุดี!

สดุดี 148 มาสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

จงสรรเสริญพระองค์เถิด
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งสิ้น
Hubble จับภาพ กาแล็กซีสุดสว่าง NASA

สรรเสริญพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์
1 สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
สรรเสริญพระยาห์เวห์จากห้วงฟ้าสวรรค์
สรรเสริญพระองค์จากที่สูงทั้งหลาย
2 มาสรรเสริญพระองค์เถิด
ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์
มาสรรเสริญพระองค์เถิด
กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์
3 มาสรรเสริญพระองค์เถิด
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และดวงดาวทั้งสิ้นที่ส่องแสงออกมา
มาสรรเสริญพระองค์เถิด
4 มาสรรเสริญพระองค์ ฟ้าสวรรค์ที่อยู่สูงสุด
รวมทั้งน้ำที่อยู่เหนือฟ้าสวรรค์ด้วย
5 จงให้สรรพสิ่งเหล่านั้น
สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
เพราะเมื่อพระองค์ทรงบัญชา
มันก็ถูกเนรมิตสร้างขึ้นมา
6 และพระองค์ทรงทำให้มันคงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
พระองค์ทรงสร้างขอบเขตให้กับมัน
ที่ไม่มีใครอาจ จะข้ามไปได้

สรรเสริญพระเจ้าจากทุกสิ่งในแผ่นดิน
7 สรรเสริญพระยาห์เวห์จากแผ่นดินโลก
เจ้าสัตว์ทะเลขนาดมหึมา และน้ำในที่ลึกทั้งสิ้น
8 ไฟ และลูกเห็บ หิมะและหมอก
ลมพายุที่ทำตามพระบัญชาของพระองค์
9 ภูเขาและเนินเขาทั้งสิ้น
ต้นไม้ผลและต้นซีดาร์ทั้งสิ้น
10 สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย
สัตว์เลื้อยคลาน และนกที่มีปีก
11บรรดากษัตริย์ในแผ่นดิน
และชนชาติทั้งปวง
เหล่าเจ้านาย และผู้นำของโลก
12 คนหนุ่มรวมไปถึงคนสาว คนชรา
กับเด็กเล็กทั้งหลาย

สรรเสริญพระเจ้าจากประชากรของพระองค์
13 ให้ทั้งสิ้นนี้ สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
เพราะพระนามของพระองค์เท่านั้น
ที่สมควรรับการยกย่อง
พระสิริตระการตาของพระองค์
อยู่เหนือแผ่นดินและฟ้าสวรรค์
14 พระองค์ทรงทำให้ประชากรของพระองค์เข้มแข็ง
ทรงเป็นที่สรรเสริญของผู้ที่จงรักภักดีทั้งหลาย
ของคนอิสราเอล ผู้ที่อยู่ใกล้พระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 135:1; 69:34
; มัทธิว 21:9
2* สดุดี 103:20, 21
4* สดุดี 68:33; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:14; เนหะมีย์ 9:6; 1 พงศ์กษัตริย์ 8:27; 1:7
5* ดูข้อ 13; สดุดี 33:6, 9
6* สดุดี 119:90, 91; 28:26; Jer. 31:35, 36; 33:25;
สดุดี 104:9; เอสเธอร์ 1:19; โยบ 14:5
7* ดูข้อ 1; ปฐมกาล 1:21 ; สดุดี 74:13
8* สดุดี 18:12; 105:32
; 147:16; 107:25; 103:20; 147:15-18
9* อิสยาห์ 44:23; 49:13; 55:12
ปฐมกาล 1:11;
สดุดี 104:16
10* ปฐมกาล 1:24
ปฐมกาล 1:20, 21
11* วิวรณ์ 7:9
13* ดูข้อ 5; สดุดี 8:1; สดุดี 113:4
14* 1 ซามูเอล 2:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:21; เยเรมีย์ 17:14
เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7; เอเฟซัส 2:17; สดุดี 135:1


สดุดี 148:1-6 สรรเสริญพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์
ผู้เขียนได้ชวนให้ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา สรรเสริญพระองค์ไปด้วยกันพร้อมกับเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในอวกาศแสนไกลที่เรามองไม่เห็น ไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์ หรือเป็นเทหวัตถุบนท้องฟ้า ไม่มีอะไรที่จะหยุดให้เขาชวนสรรพสิ่งมาสรรเสริญพระเจ้าได้เลย …
เขาสรุปอย่างน่าชื่นใจว่า พระเจ้าทรงบัญชา มันก็เกิดขึ้นมา และพระเจ้าทรงมีขอบเขตให้กับทุกสิ่งที่ทรงสร้าง มันไม่อาจข้ามไปจากที่พระองค์ทรงวางไว้ได้

สดุดี 148:7-12 สรรเสริญพระเจ้าจากทุกสิ่งในแผ่นดิน
ไม่มีสิ่งใดที่นิ่งอยู่โดยไม่ได้สรรเสริญพระเจ้า ผู้เขียนไม่ได้สนใจเลยว่า สิ่งนั้นจะมีคำงาม ๆ ที่จะสรรเสริญหรือไม่ ความเป็นตัวของมันเอง สรรเสริญพระเจ้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ทูตสวรรค์ ไปจนถึงสัตว์ทุกตัวที่อยู่บนโลก ไม่ว่าจะใหญ่หรือตัวเล็กจนมองไม่เห็นอย่างพวกแพลงตอนในทะเล …
การที่ผู้เขียนชวนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสรรเสริญพระเจ้านั้น น่าสนใจมาก เขาคิดอะไรอยู่จึงชวนกันง่าย ๆ เช่นนี้?

สดุดี 148:13-14 สรรเสริญพระเจ้าจากประชากรของพระองค์
จะปล่อยให้ห้วงอวกาศทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ รวมไปถึง สัตว์ทะเล สรรเสริญพระเจ้า สัตว์ต่าง ๆ คนอื่น ๆ สรรเสริญพระเจ้าหรือ?
พระเจ้าทรงสนพระทัยที่จะฟังคำสรรเสริญจากคนของพระองค์
แล้วพวกเขามีคำสวย ๆ ดี ๆ ที่เหมาะกับพระองค์ไหม?
พวกเขาได้เตรียมอะไรไว้บ้างเพื่อที่จะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างที่สมควรจะทำ?
ตรงนี้เอง เป็นหน้าที่ของคนของพระเจ้าที่จะสรรเสริญพระเจ้าให้ได้งดงามเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า …​อย่าอยู่เฉย ๆ กัน แต่ให้เรา มาจริงจังกับการสรรเสริญพระเจ้ากันเถอะ