ฮักกัย 2 คำเตือน พระสัญญา และแหวนตรา

ทรงเตือนให้เข้มแข็งกี่ครั้ง?
1 ในวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนที่เจ็ด
​​​พระยาห์เวห์ตรัสผ่านทางฮักกัยผู้เผยพระดำรัสว่า
2 “บัดนี้ จงกล่าวแก่

เศรุบบาเบล ผู้ว่าราชการของยูดาห์ ลูกชายเชอัลทิเอล
กล่าวแก่ โยชูวา ลูกชาย เยโฮซาดักมหาปุโรหิต
กล่าวแก่ประชากรที่หลงเหลือว่า
3 มีใครในพวกเจ้าที่ได้เห็นพระนิเวศตอนที่มีความสง่าตระการ? แล้วตอนนี้เจ้าเห็นเป็นอย่างไรเล่า?
เหมือนกับว่าเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเจ้าใช่ไหม?
4 ถึงอย่างนั้น ขอให้เจ้าเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย”
พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนี้
จงเข้มแข็ง โยชูวา ลูกชายเยโฮซาดักมหาปุโรหิต
จงเข้มแข็งเถิด ประชากรแห่งแผ่นดิน”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ
5 “นี่เป็นไปตามพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้า
เมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์
และวิญญาณของเราประทับอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า
อย่ากลัวเลย”


ฮักกัย 2:1-5 วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนที่เจ็ด คือ 17 ตุลาคม ปี 520 ก่อนคริสตศักราช  เป็นวันสุดท้าย(วันที่เจ็ด)ของเทศกาลอยู่เพิง ช่วงเทศกาลนี้ คนยิวจะอยู่ในเพิง หรือพลับพลาเป็นการชั่วคราว เพื่อระลึกถึงช่วงที่พวกเขาต้องอยู่ในเต็นท์ ในเวลาที่เดินทางออกจากอียิปต์   ที่น่าสนใจคือ เป็นวันเดียวกับที่โซโลมอนสร้างพระวิหารเสร็จเมื่อ 440 ปีก่อน (ปี 960 ก่อนคศ. ดู  พงศ์กษัตริย์ 6:38; 8:2)
 
พระเจ้าทรงให้ฮักกัยสื่อพระดำรัสแก่ ทั้งเศรุบบาเบล ผู้ว่ายูดาห์  โยชูวา ปุโรหิต รวมทั้งประชากรในเวลานี้ ในวันนี้เลย  ต้องย้อนไปถึงสมัยที่โซโลมอนสร้างพระวิหาร เป็นวิหารที่สวยงามตระการ พรั่งพร้อมด้วยทองมหาศาล  แต่วิหารที่เขาสร้างหลังจากกลับมาจากบาบิโลนนั้นดูด้อยค่าในสายตาของหลาย ๆ คน..  แต่ดูเหมือนพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยว่าพระวิหารจะสวยงามดังเดิม พระองค์ทรงให้กำลังใจ

พระองค์ตรัสกับทั้งเศรุบบาเบล โยชูวา และประชาชนเป็นคำเดียวกัน เท่ากับซ้ำสามครั้ง ว่า จงเข้มแข็งเถิด   ทำไมพระเจ้าตรัสคำนี้??

โมเสสเองก็ได้รับคำนี้จากพระเจ้าเช่นกัน ในอพยพ 3:12 นั่นคือ เราจะอยู่กับเจ้า อย่ากลัว  พระเจ้าทรงทวนพระสัญญาที่ทรงทำไว้กับโมเสสให้พวกเขาได้ยิน ทรงย้ำเตือนการสถิตอยู่ด้วย  พระเจ้าทรงประสงค์ให้คนอิสราเอลได้นมัสการพระองค์ในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เมื่อกลับจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเมื่อกลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขายังต้องมีเป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

นี่เป็นคำที่พระเจ้าตรัสกับเราด้วย! พวกเรากำลังสร้าง ตกแต่งพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระองค์ในชีวิตของเรา และเพื่อน ๆ ของเรา

ฟ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือน 
6 เพราะพระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้
อีกครั้ง อีกไม่นาน
เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์ และโลกนี้ รวมทั้งทะเลและแผ่นดิน
 7 เราจะเขย่าชาติต่าง ๆ เพื่อว่าสมบัติของชาติต่าง ๆ นั้น
จะเข้ามา และเราจะทำให้พระนิเวศแห่งนี้
เต็มด้วยความสง่าตระการ”

พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนั้น 
8 “แร่เงินและทองเป็นของเรา” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 
 9 “ความสง่าตระการของพระนิเวศในครั้งนี้จะงามยิ่งกว่าความสง่าตระการในครั้งแรก”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพได้ตรัส 
“เราจะให้ความสงบสุขเกิดขึ้นในที่แห่งนี้”
นี่เป็นการประกาศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ


ฮักกัย 2:6-9
พระเจ้าจะทรงเข่าทั้งฟ้าสวรรค์ทั้งโลก ทั้งทะเล และแผ่นดิน
นี่เป็นการเขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เป็นการตรัสถึงวันของพระผู้เป็นเจ้า (มัทธิว 24:29) เป็นวันที่พระเจ้าทรงเตรียมสำหรับการที่ชาติต่าง ๆ จะได้เข้ามาอยู่ในการปกครองขององค์พระเยซูคริสต์ และตรงนี้แหละที่พระเกียรติของพระเจ้าจะระบือไปทั่ว
แร่ทั้งสิ้นในโลกเป็นของพระเจ้าและพระวิหารที่พวกเขาคิดว่า ไม่งดงามเท่าพระวิหารโซโลมอนนั้น จะเป็นพระวิหารที่งดงามที่สุด 

ดูกันตรง ๆ พระนิเวศใหม่ที่พวกเขาสร้างไม่ได้งดงามเท่าวิหารโซโลมอน แต่พระเจ้ากำลังตรัสว่า พระนิเวศนี้งามกว่า พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนมนุษย์ มีอะไรที่พระองค์ทรงสื่อให้เราคิดต่อ?

ชีวิตที่สะอาดจะได้งานสะอาด
10 ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนเก้า ปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส  พระดำรัสจากพระยาห์เวห์มายังฮักกัย ผู้เผยพระดำรัสว่า
11 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า จงไปถามปุโรหิตเรื่องพระบัญญัติ
12 หากชายคนหนึ่งมีเนื้อสัตว์จากของถวายมาติดที่รอยพับของเสื้อ และส่วนของเสื้อนั้นไปโดนขนมปัง แกงเนื้อ เหล้าองุ่น น้ำมัน หรืออาหารอื่น ๆ ของเหล่านั้นจะกลายมาเป็นของบริสุทธิ์หรือไม่? ” เหล่าปุโรหิตตอบว่า “ไม่ !”
13 แล้วฮักกัยจึงถามว่า “หากใครคนหนึ่งเป็นมลทินจากการแตะต้องศพ แล้วมาแตะต้องสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา  สิ่งนั้นจะเป็นมลทินหรือไม่?” เหล่าปุโรหิตตอบว่า “แน่นอนสิ่งนั้นจะเป็นมลทิน” 
14 แล้วฮักกัยจึงตอบว่า  “องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนี้ ‘ประชากรที่นี่ และชาตินี้ก็เป็นอย่างนั้นในสายตาของเรา ไม่ว่าเขาลงมือทำอะไร ไม่ว่าเขาถวายสิ่งใด ทั้งสิ้นเป็นมลทิน


ฮักกัย 2:10-14 
วันที่ยี่สิบสี่ เดือนเก้า ปีที่สอง คือวันที่ 18 ธันวาคม ปี 520  ก่อนคริสตศักราช  เป็นวันที่พระยาห์เวห์ตรัสให้ฮักกัยไปตั้งคำถามกับปุโรหิตที่รู้เรื่องพระบัญญัติเป็นอย่างดี  โดยคำถามสองข้อนี้ จะเป็นสื่อ
ช่วยให้คนอิสราเอลได้รู้ว่า จะพิจารณาตนเองอย่างไร
ที่พระเจ้าทรงสั่งให้ไปถามปุโรหิต เรื่องพระบัญญัติ เพราะปุโรหิตมีหน้าที่ในการสอนพระบัญญัติให้กับประชาชน พวกเขาควรตอบได้
คำถามของฮักกัยคือ หากมีส่วนใด ๆ ของเนื้อสัตว์มาติดตามเสื้อผ้าของปุโรหิต จากนั้น เสื้อก็ไปโดนสิ่งต่าง ๆ เนื้อจะยังบริสุทธิ์ไหม… คำตอบคือ สิ่งต่าง ๆ จะเป็นมลทินไปหมด
อีกข้อหนึ่งคือ หากคนไปแตะต้องศพ สิ่งที่เขาแตะจะเป็นมลทินไหม คำตอบคือ ทุกอย่างเป็นมลทิลไปหมด
ดังนั้น หากพวกเขาจะทำงาน เขาต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์สะอาดด้วย
เราจะรับใช้พระเจ้าด้วยใจและมือที่สกปรกอยู่ไม่ได้ เพราะเราจะไม่ได้อะไรที่ดีจากงานนั้น

พระเจ้าทรงเตือนให้เขามีชีวิตที่บริสุทธิ์ในการทำงานของพระองค์



 

ใช้วิจารณญาณให้ดี
15  บัดนี้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จงพิจารณาให้ดีก่อนที่จะวางก้อนหินซ้อนกันในพระนิเวศของพระยาห์เวห์”
16 ดูสิว่า เจ้าอยู่ในสภาพใด เมื่อใครคนหนึ่งมาตักกองข้าวโดยหวังว่าจะได้ยี่สิบถึง แต่แล้วกลับมีแค่สิบถัง เมื่อคนหนึ่งมายังบ่อเก็บเหล้าองุ่น ตวงได้แค่ยี่สิบถึง ทั้ง ๆ ที่ต้องการห้าสิบถัง 
 17 เราเฆี่ยนเจ้าไง ผลงานจากน้ำมือของเจ้า เราทำลายมันด้วยลมร้อน เชื้อรา และลูกเห็บ  แต่เจ้าก็ยังไม่หันมาหาเรา”  พระยาห์เวห์ทรงประกาศ
18 “จากวันนี้ไปจงพิจาณาให้ดี จากวันที่ยี่สิบสี่เดือนเก้า
จากวันที่วางรากฐานของพระนิเวศของพระยาห์เวห์
จงพิจารณาให้ละเอียด
19 ยังมีเมล็ดข้างในยุ้งฉางบ้างหรือไม่? องุ่น มะเดื่อ ทับทิม และต้นมะกอกยังไม่ได้ออกผลหรือ? 
แต่จากวันนี้ไปเราจะอวยพรเจ้า”


ฮักกัย 2:15-19
พระเจ้าทรงเตือนให้คนของพระองค์พิจารณาตนเอง
ก่อนที่จะเริ่มวางรากฐานพระนิเวศ …
คำเตือนของพระองค์นี้ เป็นเหมือนพระพรที่ซ่อนอยู่เพื่อให้คนของพระองค์ได้เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
มัทธิว เฮนรี่ เตือนเราว่า เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนพวกเรา เมื่อเราได้ทำงานใดก็ตาม เราต้องระมัดระวังตัวเอง มิฉะนั้น เราอาจทำให้งานที่เราทำกลายเป็นงานไม่สะอาดด้วยความบาปของเราเอง
เมื่อเราเห็นผลงานของเราว่า มันไม่เป็นอย่างที่คาด สิ่งที่ต้องทำคือการสำรวจตัวเอง เมื่อเราเริ่มทำงานรับใช้เราอาจจะคาดพระพร คนที่มีปัญญาจะเข้าใจความรักของพระเจ้า
พระเจ้าจะทรงสาปแช่งงานของคนชั่วร้าย และทำให้พระพรของคนที่ไม่ระมัดระวังขาดหายไป แต่พระองค์จะทรงทำให้ถ้วยแห่งความทุกข์ยากของคนที่ตั้งใจรับใช้พระองค์ด้วยชีวิตที่ถูกต้องนั้นหวานชื่น

พระเจ้าทรงสัญญาจะอวยพระพร ทั้งที่พวกเขาเห็นความการทำลาย ความขาดแคลน พระองค์ทรงเห็นความตั้งใจของพวกเขาในการที่จะสร้างพระวิหารอีกครั้ง

พระสัญญาต่อเศรุบบาเบล
ที่จะทรงรื้อฟื้นอาณาจักรวงศ์วานดาวิด
20 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนนี้
พระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังฮักกัย 
21 “จงกล่าวแก่เศรุบบาเบล ผู้ว่าราชการยูดาห์ ว่า
เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์ และแผ่นดิน
 22 เราจะคว่ำบัลลังก์ทั้งหลาย และทำลายอำนาจของอาณาจักรชาวต่างชาติ เราจะคว่ำรถม้าศึก พลม้าทั้งหลาย ทั้งม้าศึกและผู้ขับขี่จะล้มลงโดยดาบของพี่น้องของเขาเอง
23ในวันนั้น เราจะรับเจ้า เศรุบบาเบลลูกชายของเชอัลทิเอลผู้รับใช้ของเรา” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ “เราจะทำให้เจ้าเป็นดั่งแหวนตราของเรา เพราะเราได้เลือกเจ้าแล้ว พระยาห์เวห์องค์จอมทัพประกาศดังนั้น

น่าสนใจที่เศรุบบาเบล เป็นทั้งผู้รับใช้ ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก และแหวนตราของพระเจ้า ซึ่งเป็นแหวนตราที่จะไม่ถูกถอดออกไป



ฮักกัย 2:20-23
พระเจ้าตรัสผ่านฮักกัยให้รู้ว่า พระองค์ทรงอำนาจเหนือประชาชาติต่าง ๆ  การเขย่าฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลกนั้น ไม่มีใครทำได้นอกจากพระเจ้า เพราะเป็นเรื่องของทั้งจักรวาล และโลก  เป็นอนาคตที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่ในสมัยของพวกเขา นี่เป็นการตรัสย้ำที่พระองค์ตรัสมาแล้วในข้อ 6-7

การคว่ำบัลลังก์ทั้งหลาย การทำลายอาณาจักรต่าง ๆ คือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เรากำลังเห็นอยู่ในโลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และจะเป็นไปอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ 

เศรุบบาเบลถูกเรียกว่า ผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พระคัมภีร์เดิมมักจะใช้โยงถึงพระเมสสิยาห์ ตัวอย่างเช่น 1 พงศ์กษัตริย์ 11;34; อิสยาห์ 42:1-9; 50:4-11 ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังทรงบอกล่วงหน้าว่า
จะมีอาณาจักรของพระเมสสิยาห์เกิดขึ้น

พระเยซูทรงเป็นลูกหลานสืบเชื้อสายของเศรุบบาเบลโดยตรง ทรงเป็นผู้เดียวที่ทรงสร้างพระวิหารนิรันดร์ของพระเจ้า จากประชาชนจากชาติต่าง ๆ ทั่วโลก

เบื้องหลังของพระคำตอนนี้อยู่ในเยเรมีย์ 22:24-30 กษัตริย์ก่อนองค์สุดท้ายของยูดาห์คือ เยโฮยาคีน (อีกนามว่า โคนิยาห์) ถือเป็นแหวนตราในพระหัตถ์ขวาของพระเจ้า แต่พระองค์จะถอดออก และมอบชีวิตของท่านให้กับศัตรู จะไม่มีใครในเชื้อสายของเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด และปกครองในยูดาห์อีก
ดังนั้นเมื่อเศรุบบาเบล ซึ่งเป็นหลาน ได้รับพระดำรัสจากพระเจ้าผ่านฮักกัย นี้คือ การยกเลิกการพิพากษาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับปู่ของท่าน

เช่นเดียวกับบาปของเราที่ได้รับการยกเลิก ได้รับการอภัยโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดนี้เป็นพระคุณให้กับเศรุบบาเบล และพระคุณแก่พวกเรา คนทั้งโลก!

พระเยซูทรงเป็นดั่งแหวนตราแห่งอำนาจในพระหัตถ์ขวาของพระเจ้า(แหวนตราที่กล่าวถึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก  เป็นเหมือนลายเซ็นของคน ๆ หนึ่ง ที่สามารถเซ็นรับรองสิ่งต่าง ๆ)
เพราะสิทธิอำนาจทั้งสิ้นทรงมอบไว้ให้แก่พระองค์แล้ว พระสัญญาของพระเจ้าทุกอย่าง ทุกคำ สำเร็จโดยพระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์เชื่อมโยง

1* เอสรา 3:12, 13; เศคาริยาห์ 4:10
4* เศคาริยาห์ 8:9
5* อพยพ 29:45-46; เนหะมีย์ 9:20
6* ฮีบรู 12:26; โยเอล 3:16
7* ปฐมกาล 49:10; อิสยาห์ 60:7
9* ยอห์น 1:14; สดุดี 85:8-9
11* มาลาคี 2:7

13* กันดารวิถี 19:11, 22
14* ทิตัส 1:15
15* ฮักกัย 1:5, 7; 2:18
16* เศคาริยาห์ 8:10
17* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:22; ฮักกัย 1:11; อาโมส 4:6-11

18* เศคาริยาห์ 8:9
19* เศคาริยาห์ 8:12; มาลาคี 3:10
21* เศคาริยาห์ 4:6-10; ฮักกัย 2:6-7
22* ดาเนียล 2:44; มีคาห์ 5:10
23* บทเพลงโซโลมอน 8:6; อิสยาห์ 42:1; 43:10

บรรณานุกรม
https://www.blueletterbible.org/commentaries/mhc/.. (Matthew Henry Matthew Henry’s Concise Commentary on the Whole Bible)
https://enduringword.com/bible-commentary/haggai-2/
https://freshread.wordpress.com/2011/01/31/haggai-223-signet-ring/
https://netbible.org/bible/Haggai+1
Gary M.Berg and Andrew E. Hill, eds , “Commentary on the minor prophets“, Baker Publishing Group, 2012.



ฮักกัย 1 สิ่งสำคัญอันดับแรก

เบื้องหลังฮักกัย

หลังจากที่กษัตริย์ไซรัสได้อนุญาตให้ยิวกลับจากบาบิโลนไปยังบ้านเกิดคือ นครเยรูซาเล็ม (ปี 538 กคศ.)พวกเขาก็กลับมาด้วยการที่ได้รับความช่วยเหลือมากมายจากองค์กษัตริย์ มาพร้อมกับเครื่องมือที่จะช่วยให้สร้างพระวิหาร กษัตริย์ไซรัสพอพระทัยที่จะให้พวกเขาได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านด้วย เมื่อพวกเขากลับมา
คนส่วนหนึ่งประมาณ 50,000 คนกลับมา แต่มียิวที่กลายเป็นพ่อค้า คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ตั้งใจอาศัยในบาบิโลน เพราะชีวิตสบายและดีกว่า


เรื่องราวอิสราเอลเริ่มกลับมาจากบาบิโลนอยู่ในเอสราบทที่ 3 พวกเขาเริ่มสร้างพระวิหาร แต่ก็มีอุปสรรคทำให้โครงการสร้างต้องชะงักไป มีคนท้องถิ่นคอยตามราวีไม่ให้สร้าง มีความพยายามจากพวกนี้เพื่อให้ล้มเลิกการสร้าง ทำให้คนอิสราเอลท้อใจ สร้างไปแล้วก็หยุด จนกระทั่งสิบหกปีต่อมาฮักกัยได้รับบัญชาจากพระเจ้ามาหนุนน้ำใจพวกเขา ทำให้ เริ่มสร้างอีก จนเสร็จในปี 516 ก่อนคศ. (เอสรา 6:14-15)
เวลาที่ฮักกัยเข้ามาสื่อพระบัญชาของพระเจ้า เป็นช่วงที่กษัตริย์ดาริอัสครองเปอร์เซียช่วง 521-486 ปีก่อนคริสตศักราช


พระเจ้าทรงใช้ฮักกัยมาเตือนให้พวกเขาได้มีความเชื่อขึ้นอีกครั้ง และทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน 

ชื่อของฮักกัยมีความหมายถึงเทศกาล หรือ ผู้ที่เดินทางไปเทศกาล  ฮักกัยรับใช้พระเจ้า กับโยชูวาทำหนัาที่เป็นปุโรหิต และ เศรุบบาเบลเป็นผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์คนแรกเมื่อเชลยกลับมาจากบาบิโลน 
ฮักกัยเป็นผู้เผยพระคำรุ่นเดียวกับเศคาริยาห์ด้วย

เหตุการณ์ตามลำดับเวลา

ปี 538 กคศ
หลังเป็นเชลย กษัตริย์ไซรัส
ให้กลับมา

ปี 536 กคศ
เริ่มสร้าง
พระวิหาร
เศรุบบาเบลนำ
เอสรา 3:10-11

ปี 534 กคศ
หยุดสร้าง
พระวิหาร!

ปี 520 กคศ
ฮักกัยมาเตือน เริ่มสร้างใหม่สมัยกษัตริย์ดาริอัส

ปี 516 กคศ
สร้างพระวิหารสำเร็จ

คำบัญชาให้สร้างพระนิเวศ

ดาริอัสกษัตริย์เปอร์เซียครองปี 522–486 ก่อนคริสตศักราช
1 ในวันที่หนึ่ง เดือนที่หก(สิงหาคม) ปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส  พระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์ ลูกชายเชอัลทิเอล และโยชูวา ลูกชายของมหาปุโรหิต เยโฮซาดัก

สิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร…ทำให้ถูกต้อง
2 “พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า ผู้คนเหล่านี้กล่าวว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์’”
3 พระดำรัสของพระยาห์เวห์ตรัสผ่าน
ผู้เผยพระดำรัสฮักกัยว่า
4 “นี่เป็นเวลาที่พวกเจ้าจะอาศัยในบ้านกรุด้วยไม้ ในขณะที่พระนิเวศยังเป็นซากปรักหักพังอย่างนั้นหรือ?
5 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า
“บัดนี้ ขอให้เจ้าพิจารณาทางของเจ้าให้ละเอียด 
6 เจ้าปลูกมาก แต่เก็บเกี่ยวได้น้อย
เจ้ากิน แต่ก็มีอาหารไม่พอกินจนอิ่ม
เจ้าดื่ม แต่ก็ไม่มีพอที่จะหมดความกระหาย  เจ้าสวมเสื้อผ้า แต่ก็ไม่มีพอที่จะทำให้อุ่นได้ เจ้าได้ค่าแรง แต่ก็เอามาใส่ในกระเป๋าที่มีรู”



ฮักกัย 1:1-6  วันที่หนึ่ง เดือนที่หก(สิงหาคม) ปีที่สอง  ขณะที่พวกเขามีทุกอย่างพร้อมเพื่อทำการสร้างพระวิหาร  แต่ก็ทิ้งค้างเอาไว้ให้กลายเป็นเหมือนอาคารร้าง สกปรก มีแต่เศษวัสดุต่าง ๆ ระเกะระกะ

พระเจ้าทรงถามพวกเขา ..
โดยเริ่มจากถามเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการ 
(เขาผู้นี้เป็นคนเชื้อสายของกษัตริย์อิสราเอล)
และโยชูวาลูกชายมหาปุโรหิต  เรื่องบ้านส่วนตัวที่คนอิสราเอลกำลังหมกมุ่นสร้างอยู่
 
การมีบ้านกรุไม้ เป็นการสร้างบ้านแบบพิถีพิถัน และใช้เวลามากกว่า พร้อม ๆ กับแก้ตัวกันว่า ยังไม่ถึงเวลาสร้างพระวิหาร พวกเขาคิดว่าจะสร้างแต่ยังไม่ทำในเวลานี้ ขอทำบ้านตัวเองก่อน
 
จากนั้น พระองค์ทรงให้พวกเขาพิจารณาทาง คือการใช้ชีวิต ผลที่ได้ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ละเอียด..  พระองค์ทรงอธิบายเหตุผลว่า เหตุใดชีวิตของพวกเขาจึงไม่ก้าวหน้าทั้ง ๆ ที่ทำงานหนัก
พระเจ้าทรงให้พวกเขาพิจารณาการใช้ชีวิตของตนให้ละเอียดว่า เหตุใดชีวิตจึงไม่ได้รับพระพร

ทำไมทำงานเยอะ แต่ได้ผลน้อย  ทำไมจึงไม่อยู่ในสภาพที่ดี พวกเขาสนใจแต่ตนเอง ส่วนตัว ไม่สนใจการกลับมาหาพระเจ้า นมัสการพระองค์ ไม่สนใจชุมชนโดยรวม 

พระเจ้าทรงสอนเราด้วยจากเหตุการณ์ในอดีตผ่านมาแล้วกว่า 2500 ปี!

พระเจ้าต้องมาก่อนตนเอง
7พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้
จงพิจารณาทางของเจ้าให้ละเอียด  
8 จงขึ้นไปบนเนินเขาและตัดไม้ลงมาสร้างพระนิเวศ แล้วเราจะพอใจและเราจะได้รับพระเกียรติ” พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น  
“พวกเจ้าคาดหวังมาก แต่ดูเถิด เจ้าได้กลับคืนมาเพียงน้อยนิด เมื่อเจ้านำสิ่งที่เก็บเกี่ยวกลับมา เราก็ให้ลมพัดมันปลิวไป ทำไมหรือ?” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ “เป็นเพราะพระนิเวศของเรายังถูกทิ้งเป็นซากปรักหักพังอยู่ ในขณะที่พวกเจ้ายังวุ่นอยู่กับบ้านของตนเอง
 10  เป็นเพราะพวกเจ้าเอง ท้องฟ้าจึงยับยั้งน้ำค้าง
และพืชผลจากผืนดิน
11 เราได้เรียกให้ความแห้งแล้งขาดแคลนเกิดขึ้นในทุ่งและบนเนินเขา เกิดกับเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ น้ำมันมะกอก และอะไร ๆ ที่ผืนดินจะผลิตขึ้นมา รวมทั้งมนุษย์และสัตว์ และให้เกิดกับทุกอย่างที่เจ้าลงแรงไป”

ฮักกัย 1:7-11 พระเจ้าเป็นผู้ประทานฝน น้ำค้างให้กับพวกเขาที่จะทำให้พืชผลในไร่เติบโต แล้ว ตอนนี้ แรงที่ลงไปกับแผ่นดินกลับไม่เกิดผลมากอย่างที่คิด ..

พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำงาน เดินทางขึ้นไปบนเขาพร้อมเครื่องมือที่จะตัดไม้ลงมาสร้างพระวิหาร  ทุกคนต้องร่วมมือกันทำงานนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไม่กี่คน  และเมื่อเขาทำไปด้วยกัน พระเจ้าทรงปลิ้มปิติที่พวกเขาถวายพระเกียรติไปพร้อม ๆ กัน  และเมื่อพบความสำเร็จ ผู้ที่ได้รับเกียรติสูงสุดคือองค์พระเจ้า .           
พระเจ้าทรงให้เหตุผลว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่เกิดผล เป็นเพราะพวกเขาไม่จัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง

เขาสนใจตัวเองมากกว่าชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า  
ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าว องุ่น น้ำมันมะกอก และพืชพันธ์ต่าง ๆ เป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่แล้ว กลับขาดแคลน
แรงงานของพวกเขาเหมือนทิ้งเปล่า ๆ เพราะไม่ได้ผลอย่างที่ลงทุนไป นี่เป็นผลจากพฤติกรรมของเขาเอง  พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลความแห้งแล้งนั้น
พระเจ้าทรงชี้ให้เห็นชัดว่า ความขาดแคลนในชีวิต การงาน นั้นเกิดจากอะไร

การตอบสนองจากประชาชน

12  ดังนั้น เศรุบบาเบล ลูกชายเชอัลทิเอล โยชูวา ลูกชาย เยโฮซาดักมหาปุโรหิต พร้อมกับประชากรที่ยังเหลือ ก็ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และคำกล่าวของฮักกัยผู้เผยพระดำรัส  เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาได้ส่งเขามา และประชากรก็ยำเกรงองค์พระยาห์เวห์
13  ฮักกัยผู้สื่อสารของพระยาห์เวห์ได้นำสารจากพระยาห์เวห์มายังประชากรทั้งหลาย ว่า “เราอยู่กับเจ้า” นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์
14 พระยาห์เวห์ได้ทรงเร่งเร้าใจ เศรุบบาเบล ผู้ว่าราชการของยูดาห์ ลูกชายเชอัลทิเอลและ โยชูวา ลูกชาย เยโฮซาดักมหาปุโรหิต พร้อมกับประชากรที่ยังเหลือ พวกเขาจึงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ พระเจ้าของพวกเขา
15 ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนที่หก ปีที่สองในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส




ฮักกัย 1:12-15 ข่าวสาร คำสอนจากพระเจ้านั้นเรียบง่าย ตรงประเด็น
ตอบสนองคำของพระเจ้า  ฟัง เชื่อฟัง ยำเกรง … และแล้วผู้นำทั้งสอง พร้อมกับประชาชนก็ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า  เราจะเห็นภาพของผู้นำ กับผู้ตามชัดเจนในเรื่องนี้ว่า พวกเขายินยอมพร้อมใจกันทำตามคำของฮักกัย  พวกเขาต่างมีความยำเกรงพระเจ้าเหมือน ๆ กัน  มีความเชื่อ เข้าใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ส่งฮักกัยมาเตือน  และคำสำคัญที่นี่คือ ประชาชนยำเกรงพระเจ้า ไม่ดื้อดึงต่อพระองค์ ประชาชนเหล่านี้คือคนที่กลับมาจากบาบิโลน
พระเจ้าทรงสัญญาผ่านฮักกัย ว่า พระองค์จะทรงอยู่ด้วย แม้จะมีแรงต้านจากคนในพื้นที่ หรือ คนที่มีอำนาจ  เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้ทำสิ่งใด พระองค์จะทรงให้เรามีกำลัง ทำตามที่ทรงบัญชา
แล้วพระเจ้าทรงเร่งเร้าใจ.. คริสตจักรทุกแห่งต้องการสิ่งนี้จากพระเจ้า และพระองค์ทรงเริ่มที่ผู้นำของชุมชนชาวอิสราเอล
ประชาชนโดยการนำของผู้ว่า ฯ และโยชูวาทั้งสองได้รับการเร้าใจจากพระเจ้าที่จะนำในการนี้ พวกเขายอมฟังคำเตือนจากฮักกัย  ..​เขาเริ่มสร้างพระวิหาร ในพระคัมภีร์บันทึกว่า พระวิหารของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ พระเจ้าของพวกเขา
หลังจากผ่านมา 23  วัน พวกเขาก็เริ่มทำงาน  


เราชินกับการอยู่กับพระเจ้าไปวัน ๆ หรือเปล่า ? เราได้รับการเร้าใจจากพระเจ้าบ้างไหม?

พระคำเชื่อมโยง

1* เอสรา  4:24; 5:1; 6:14; 2:2; 5:2-3; 1พงศ์กษัตริย์  6:15
3* เอสรา 5:1
4* 2 ซามูเอล 7:2
5* เพลงคร่ำครวญ 3:40
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:38-40; เศคาริยาห์ 8:10
8* เอสรา 3:7

9* ฮักกัย 2:16-17
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:23
11* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:1; ฮักกัย 2:17
12* เอสรา 5:2
13* มัทธิว 28:20
14* เอสรา 1:1; ฮักกัย 2:21; เอสรา 5:2, 8

บรรณานุกรม
https://enduringword.com/bible-commentary/haggai-1/
https://netbible.org/bible/Haggai+1
Gary M.Berg and Andrew E. Hill, eds , “Commentary on the minor prophets“, Baker Publishing Group, 2012.

โอบาดีย์

คำพิพากษาเอโดม
1 ต่อไปนี้เป็นจินตภาพของโอบาดีห์
 เอโดมจะถูกทำให้ต่ำลงต่อหน้าชาติต่าง ๆ
องค์พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตได้ตรัสถึงเอโดมว่า
เราได้ยินพระดำรัสจากองค์พระยาห์เวห์ดังนี้
มีท่านผู้หนึ่งถูกส่งไปตามชาติต่าง ๆ ประกาศออกไปว่า
“จงลุกขึ้น ให้เราไปโจมตีเอโดม!”

พระยาห์เวห์ตรัสกับชาวเอโดม
2 “ดูเถิด อีกไม่นาน เราจะทำให้เจ้า
กลายเป็นผู้ที่เล็กน้อย ท่ามกลางชาติต่าง ๆ
เจ้าจะถูกเกลียดชังเป็นที่สุด (อ่าน มาลาคี 1:2-4, เยเรมีย์ 49:7-22)
 3 ความหยิ่งยโสในใจของเจ้าล่อลวงเจ้า
เจ้าผู้อาศัยตามหลืบ ในซอกหิน
บ้านของเจ้าอยู่บนที่สูง เจ้ากล่าวกับตัวเองว่า
‘จะมีใครมาดึงเราลงไปอยู่บนพื้นดินได้เล่า?’
“แม้ว่าเจ้าจะบินสูงไปอย่างอินทรี
และสร้างรังท่ามกลางดวงดาว
เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น” พระยาห์เวห์ตรัส
5 “ หากมีโจรเข้ามาหาเจ้า
หากพวกปล้นมายามกลางคืน
เจ้าจะถูกทำลายย่อยยับขนาดไหน !
พวกเขาก็จะเอาของไปเท่าที่ต้องการ
หากมีคนเก็บองุ่นเข้ามา
และเก็บองุ่นจากสวนของเจ้า
เขาจะเหลือไว้ให้คนยากจนบ้างไม่ใช่หรือ?
6 แต่เจ้า เอซาว จะถูกค้นทุกซอกทุกมุม
 ทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ทุกชิ้น
จะถูกค้นพบช่วงชิงไปจนหมด



7 คนที่เป็นมิตรของเจ้า จะบังคับให้เจ้าไปจนสุดเขตแดน คนที่สัญญาจะให้สันติสุขกับเจ้า ก็หลอกเจ้า และเอาชนะเจ้า คนที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้าเวลานี้ กลับวางแผนดักเจ้า และเจ้าเองก็ไม่สังเกตเห็นเลย
8 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ในวันนั้น เราจะไม่ทำลายนักปราชญ์แห่งเอโดม และคนที่มีความเข้าใจให้หมดจากขุนเขาเอซาวหรือ?”
9 โอเมืองเทมาน นักรบที่เก่งกล้าของเจ้าจะตกใจกลัว
และทุกคนจากขุนเขาแห่งเอซาวจะถูกสังหาร

เอโดมทำกับน้องอย่างไม่สมควร
10 เจ้าได้ทำความอำมหิตต่อยาโคบน้องของเจ้า เจ้าจะปกคลุมด้วยความอับอาย และถูกตัดขาดไปเป็นนิตย์
11 ในวันที่เจ้ายืนอยู่เฉยอีกด้าน เจ้าไม่ยอมช่วยในวันที่ มีคนแปลกหน้าเข้ามาขนสมบัติของอิสราเอลออกไป มีคนต่างชาติผ่านเข้ามาทางประตูเมือง และจับสลากแบ่งส่วนนครเยรูซาเล็มกันเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งในพวกเขา




12 “ เจ้าไม่ควรไปหัวเราะเย้ยหยันน้องอิสราเอลของเจ้าในวันที่เขาต้องเจอเหตุการณ์ร้าย
เจ้าไม่ควรไปยิ้มเยาะดีใจเมื่อคนยูดาห์พบเจอหายนะ หรือไม่ควรไปโอ้อวด ในวันที่พวกเขาเจ็บปวด

13  เจ้าไม่ควรเข้าไปในประตูเมืองของประชากรของเรา ในวันที่พวกเขาพบหายนะ เจ้าไม่ควรหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า ในวันที่พวกเขาพบหายนะ หรือไม่ควรปล้นเอาสมบัติของพวกเขาไป ในวันที่พวกเขาพบหายนะ
14  เจ้าไม่ควรยืนดักอยู่ที่ทางแยกเพื่อทำลายคนที่พยายามลี้ภัย
เจ้าไม่ควรจับคนที่รอดชีวิตส่งให้กับศัตรูในวันที่เขาเจ็บปวด




วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
15 “วันแห่งพระยาห์เวห์ กำลังใกล้เข้ามายังชาติต่าง ๆ สิ่งชั่วร้ายที่เจ้าได้ทำกับคนอื่น เจ้าจะถูกกระทำคืนเช่นนั้น
การกระทำทุกอย่างจะกลับมาตกบนหัวของเจ้า
ชาติต่าง ๆ จะถูกพิพากษา
16  เพราะเจ้าได้ดื่มจนเมาบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ชาติต่าง ๆ ก็จะดื่มต่อไปอย่างนั้น พวกเขาจะดื่มแล้วดื่มอีกราวกับไม่เคยดื่มมาก่อน
ชัยชนะที่สุดของอิสราเอล
17 แต่บนภูเขาศิโยน จะมีบางคนหนีพ้นมาได้ และภูเขานั้นจะเป็นที่บริสุทธิ์ วงศ์วานยาโคบจะได้รับกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินคืนมา
18  วงศ์วานยาโคบจะเป็นเหมือนไฟ
วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเหมือนเปลวไฟ
แต่วงศ์วานของเอซาวจะเป็นเหมือนตอไม้วงศ์วานยาโคบจะจุดไฟและเผาผลาญพวกเขาจนหมด
จะไม่มีใครรอดชีวิตจากวงศ์วานเอซาวเลย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระยาเวห์ได้ตรัสไว้




19 แล้วประชากรแห่งเนเกบจะได้รับภูเขาเอซาวคืนมา
ประชากรแห่งเนินเขาต่าง ๆ จะครอบครองดินแดนฟีลิสเตีย
เขาจะได้ท้องทุ่งของเอฟราอิมกับสะมาเรีย
และเบนยามินจะได้ครอบครองกิเลอาด
20 ประชาชนจากอิสราเอลผู้ที่เคยเป็นเชลย
จะเข้ามาในดินแดนคานาอันจนไปถึงเศราฟัท ประชากรจากยูดาห์ผู้ที่ถูกบังคับให้ทิ้งนครเยรูซาเล็มไป และไปอาศัยอยู่ในเสฟาราด จะยึดเมืองต่าง ๆ คืนมาจากเนเกบ
21 เหล่าผู้กล้า จะขึ้นไปยังภูเขาศิโยน เพื่อปกครองขุนเขาของเอซาวจากที่นั่น
และอาณาจักรนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพระยาห์เวห์

อธิบายเพิ่มเติม

บื้องหลังโอบาดีย์
หนังสือสั้น ๆ โอบาดีย์ฉบับนี้ เขียนโดยโอบาดีย์ ซึ่งชื่อของเขาแปลว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้า หนังสือโอบาดีห์ เป็นคำพยากรณ์สั้น ๆ สั้นที่สุดในพันธสัญญาเดิม โดยที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านโอบาดีห์ด้วยจินตภาพและพระดำรัส เรื่องราวของโอบาดีย์ก็ทำให้เราเห็นสภาพความสัมพันธ์ของผู้คนในดินแดนแถบนั้น ที่ยังคงตึงเครียดมาจนทุกวันนี้ (เพื่อให้ไม่สับสน ชาวเอโดมเป็นลูกหลานของเอซาว ซึ่งเป็นพี่ชายของยาโคบ
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นเหมือนพี่ชายของอิสราเอลหรือที่เรียกว่ายูดาห์ หรือบางครั้งเรียกยาโคบ บางครั้งจะพูดถึงเอโดม โดยใช้ชื่อ เอซาว (ปฐมกาล 36 นั่นคือ เอซาว=เอโดม อิสราเอล=ยาโคบหรือ โยเซฟ)
เอโดมคือใคร?
จำได้ไหมว่า อิสอัคกับเรเบคาห์นั้น มีลูกชายแฝดสองคนคือ เอซาวกับยาโคบ ทั้งสองต่อสู้กันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ (ปฐมกาล 25-27) วันหนึ่งพี่ชายหิวโซมา จึงขายสิทธิลูกหัวปีให้น้องด้วยราคาแกงหนึ่งหม้อ ต่อมาน้องคือยาโคบก็ปลอมตัวไปรับสิทธิและพรของลูกหัวปีจากพ่อ
ลูกหลานของเอซาวคือชาวเอโดมย้ายลงไปอยู่แถบภูเขาเซียร์ทางใต้ (เราจะเห็นลำดับวงศ์วานของพวกเขาในปฐมกาล 38 และอ่าน มาลาคี 1:2-4, เยเรมีย์ 49:7-22)
ลูกหลานของยาโคบคืออิสราเอล ซึ่งรวมไปถึงทั้งสิบสองเผ่า ทั้งสองชนชาตินี้ก็ได้มีข้อขัดแย้งกันมาตลอด
แค่ข้อความจากโอบาดีย์สั้น ๆ แต่โยงเหตุการณ์ตั้งแต่สมัยของเอซาวมาถึงปัจจุบัน … ดังนั้น โอบาดีย์จึงเป็นการบันทึกในสิ่งที่ทั้งเกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่กำลังเกิดต่อหน้าต่อตาเราในปัจจุบัน (7 ตุลาคม 2023 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ มองหนังสือโอบาดีห์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ) อ่านดี ๆ เราจะเห็นว่า
พระเจ้าทรงทำให้โฮเชยาเห็นภาพบางอย่าง ทั้งได้ยินพระสุรเสียงจากพระยาห์เวห์ให้ชวนชาติต่าง ๆ เข้าไปโจมตีเอโดม
เอโดมอยู่ที่ไหนในโลก?
พื้นที่ของเอโดม อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลตาย  เป็นพื้นที่เต็มด้วยขุนเขา ซึ่งเขตนี้เอง เรียกว่า เทือกเขาเซียร์ (Sier)

โอบาดีย์ 1
พระเจ้าทรงส่งผู้สื่อสารคนหนึ่งไปยังผู้ที่เป็นผู้ดูแลชาติต่าง ๆ ซึ่งสามารถบอกได้ว่า เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือประเทศเหล่านั้น มีผู้ให้ความเห็นว่า นั่นคือวิญญาณที่พระเจ้าทรงให้ดูแลประชาชาติ  ที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น ก็เป็นเพราะเหตุผลในข้อถัดมา คือความเย่อหยิ่ง ข้อ 2-3   การดูหมิ่นเยาะเย้ย ทับถม และไม่ช่วยชนชาติของน้องเมื่อถูกโจมตี แถมยังร่วมมือกับศัตรูอีกด้วย  (6-15)
พระเจ้าทรงเรียกระดมชาติต่าง ๆ ให้มาสู้กับเอโดมเพราะเขามีความผิดที่พระองค์จะทรงแจ้งอย่างชัดเจน   พระเจ้าทรงทำกับบาบิโลนก็คล้ายกันกับครั้งนี้ ตัวอย่างในอิสยาห์ 13:2-5
โอบาดีย์ 2
พระเจ้าได้ตรัสกับชาวเอโดมซึ่งเป็นลูกหลานของเอซาว พี่ชายแฝดของยาโคบพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด ซึ่งมีความหมายให้คนฟัง สนใจสิ่งที่กำลังจะพูด สิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ใช่พร แต่เป็นความอัปยศที่ชาวเอโดมต้องเจอ คือ การที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อย และชาติต่าง ๆ จะเกลียดชัง เป็นความต่ำต้อย ทางการเมืองอย่างชัดเจน
โอบาดีย์ 3
ประชากรเอโดมอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นขุนเขา ทางตะวันตกของอาราบาห์ สูงถึง 1.5 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล พวกเขาเชื่อมั่นว่าตนเองปลอดภัยจากศัตรู ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาบุกรุกได้ จากข้อ 3 เราเห็นความรู้สึกสบายใจของพวกเขาได้จากคำรำพึงของพวกเขา พระเจ้าจึงจะทรงจัดการเขาเรื่องนี้
จะเห็นว่า เอโดมมีนักรบที่เก่งกล้า เป็นพวกที่เย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ทำร้ายญาติพี่น้องของตน และหักหลังส่งคนที่พยายามหนีภัยให้ศัตรูด้วย
โอบาดีย์ 4
อินทรี เป็นอย่างไร ทั้งบินสูง เร็ว เข้มแข็ง สง่างาม
คนชาวเอโดมในบ้านที่อยู่ตามภูเขาสูงมีความเห็นว่า พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ มาทำร้ายพวกเขาได้ แต่ความเห็นของเขา ในข้อสามนี้ ช่างมีความคล้ายคลึงกับ นี่เป็นความเข้าใจผิดผสมกับความเย่อหยิ่งของพวกเขาเอง
สิ่งที่เขาพูดเป็นแบบเดียวกับที่มารกล่าว ในอิสยาห์ 14:13-205
โอบาดีย์ 5
ปกติแล้ว โจรที่ปล้นก็ไม่ได้ปล้นไปหมด ยังเหลือข้าวของไว้ให้บ้าง คนที่เก็บองุ่น ก็มักจะเหลือทิ้งไว้ให้คนยากจนได้มาเก็บกินบ้าง
โอบาดีย์ 6
แต่เอโดมจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ของที่ซ่อนไว้ ทำให้เราเห็นภาพของชาติที่ถูกปล้นสะดมไปโดยไม่เหลือแม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ
โอบาดีย์ 7 คนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ คือคนที่ตกลงจะเป็นพันธมิตรด้วย เพราะเวลาทำการประทับตราสัญญาก็จะมีการกินอาหารร่วมกันเป็นสัญญา (ดูสดุดี 41:9) เอโดมหลงเชื่อคนที่บอกว่าเป็นพันธมิตร แต่ในที่สุดเขาก็ถูกหักหลัง
โอบาดีย์ 8
คนชาวเอโดม เป็นชาติที่มีคนที่ฉลาดปราชญ์เปรื่องระดับหนึ่งเลยทีเดียว พวกเขาทำเหมืองทองแดงเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้มากมาย
โอบาดีย์ 9
เทมานเป็นชื่อของหลานปู่ของเอซาว ปฐมกาล 36:9-11 เมืองเทมานอยู่ทางใต้ของเขตเอโดม เขามีทั้งคนเก่ง นักรบชั้นยอด แต่พระเจ้าจะทรงทำลายพวกเขา เป็นเพราะ….
โอบาดีย์ 10
ชนชาติเอโดมได้ทำการอำมหิตต่อยูดาห์ แทนที่จะช่วยในฐานะเป็นพี่น้องกัน และเขาทำตัวเหมือนกับชาวบาบิโลนด้วย
โอบาดีย์ 11
553 ปีก่อนคริสตศักราช บาบิโลนได้เข้ามาบุกเอโดม ต่อมาเปอร์เซียเรืองอำนาจ พวกนาบาเทียนได้เข้ามาครอบครอง
นอกจากที่เขาไม่ยอมช่วยแล้ว เขายังเยาะหยัน นี่คือเขายืนเฉย เป็นบาปของการละเลยที่จะไม่ช่วย ไม่ส่งทหารเก่ง ๆที่พวกเขามีมากมาย เข้ามาช่วยในขณะที่อิสราเอลถูกบาบิโลนโจมตี
โอบาดีย์ 12
นอกจากนั้นยังมีการเยาะหยันอิสราเอลเมื่อเขาต้องเจอกับหายนะด้วย ทั้งกร่าง ทั้งทำโอ่ ทั้งจับพวกเขาส่งศัตรู(14) มีแปดอย่างที่พวกเขาไม่ควรทำ
พระเจ้าทรงห้ามชัดเจนว่า ไม่ควรทำอะไร แต่เราจะเห็นการทำเช่นนี้ ในโลกสมัยใหม่
โอบาดีย์ 13
เอโดมทำตัวเหมือนกับศัตรูที่ไปปล้นรอบสองเมื่อศัตรูปล้นไปแล้วหนึ่งรอบ เอโดมยังมีรับซื้อทาสมนุษย์ด้วย ดูอาโมส 1:6,9พระเจ้าทรงสอนเสมอว่า เราไม่ควรที่จะทับถมคนที่กำลังล้มลง เพราะไม่อย่างนั้น สิ่งร้าย ๆ จะกลับมาที่เราเอง
โอบาดีย์ 14
เอโดมยังคอยขวางคนที่พยายามหนี และจับคนที่หนีจากบาบิโลน ไปส่งให้กับบาบิโลนอีก เป็นการเพิ่มระดับความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด
โอบาดีย์ 15
ในเมื่อวันของพระเจ้ามาใกล้แล้ว เป็นวันที่พระเจ้าจะพิพากษาคนทั้งโลก เอโดมจึงควรที่จะหยุดเป็นศัตรูกับคนของพระเจ้า (วันของพระเจ้าเป็นวันที่บอกให้รู้ว่า พระเจ้าทรงมีพระลักษณะแท้จริงอย่างไร พระประสงค์ของพระองค์คืออะไร) อ่าน อพยพ 32:34 เฉลยธรรมบัญญัติ 31:16-19 ,32:35-38) วันของพระเจ้ายังหมายถึงการที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนของพระองค์ อาโมส 5:18-27 อิสราเอลไปเป็นเชลย เศฟันยาห์ 1:7, 14 และการพิพากษาคนที่กดขี่คนของพระเจ้า อิสยาห์ 13:6 การลงโทษบาบิโลน โยเอลได้กล่าวถึงวันของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร
โอบาดีย์ 16
บาบิโลนทำกับเยรูซาเล็มเหมือนกับเป็นสินค้า มีการจับฉลากแบ่งส่วนกัน ข้อ 11 เยเรมีย์ 51:51 บอกให้รู้ว่า พระเจ้าทรงถูกสบประมาท เพราะคนต่างชาติเข้ามาในที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า
มีชาติต่าง ๆ สองแบบ แบบที่เป็นศัตรู กับแบบที่จะเข้ามาหาพระเจ้า อิสยาห์ 25:6-9; 45:22 mic 4:1-4การเจอกับพระพิโรธของพระเจ้านั้น เป็นเหมือนการดื่ม..ที่ไม่ได้นำความสุข มีแต่ความเจ็บปวด
โอบาดีย์ 17
พระเจ้าทรงสัญญาให้อิสราเอลได้รับกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินคืนมา ที่จริงเขาก็ได้รับแล้วในปี 1948 เมื่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมา แต่ยังไม่ได้อย่างครบถ้วนตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ มีปัญหาเกิดขึ้นตามมาอย่างยิ่งใหญ่ที่เราเห็นกับตาในสงครามอิสราเอล กับฮามาสเวลานี้ (ตั้งแต่ปี 2023 ) แต่.. เราต้องคอยระวังดู และอธิษฐาน จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ดูเหมือนจะเป็นสงครามที่ยืดเยื้ออีกนาน
โอบาดีย์ 18
วงศ์วานยาโคบ คือสองเผ่าของยูดาห์ทางใต้ และวงศ์วานโยเซฟ คืออีกสิบเผ่าทางเหนือ ได้รับการปล่อยตัวจากอัสซีเรียในปี 722 ปีก่อนคริสตศักราช จะกลับมายังแผ่นดินนี้ ทั้งสิบสองเผ่าจะปราบวงศ์วานเอซาว และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้ การใช้ไฟ เปลวเพลิง บ่งบอกว่า เอโดมจะถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว และเหลือแต่ตอคือไม่เหลือใครเลย นี่เป็นการสนองตอบข้อ 14 ที่เอโดมทำร้ายชนชาติน้องของเขา

หมายเหตุ
ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์จำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า ฮามาส ซึ่งศัตรูสำคัญของอิสราเอล เป็นลูกหลานของเอซาวเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เป็นอาหรับ พวกเขามีความเคียดแค้นอิสราเอลเป็นที่สุด ต้องการทำลายอิสราเอลให้สิ้นไปจากโลกนี้ นี่เป็นความต้องการอันรุนแรงที่ฮามาสแห่งปาเลสไตน์ไม่ได้ปิดบังไว้เลย พวกเขาได้ร่วมมือกันกับหลายกลุ่มผู้ก่อการร้ายในหลายประเทศที่ความตั้งใจเหมือนกันคือ ทำให้อิสราเอลสิ้นชาติ (สดุดี 83:1-8) ต้องไปอ่าน เพราะเป็นจริงมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่เขียนมาหลายพันปีแล้ว
คำว่า ฮามาส Strong’s word # 2555 – Hamas
จาก The Word Study Dictionary of the Old Testament กล่าวว่า เป็นคำนาม ที่มีความหมายถึงความรุนแรง ความผิด ความโหดร้าย โยงถึงความเสียหาย และอยุติธรรม เป็นความรุนแรงทางร่างกาย เป็นความโหดเหี้ยมที่สุด เมื่อใช้กับคน หมายถึงผู้กดขี่ ผู้ที่สร้างความรุนแรง
เราเองเพิ่งเห็นอาการแสดงการเยาะเย้ยชัดเจนในช่วงเวลาที่พวกเขาแลกตัวประกันกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขังไว้ในคุกอิสราเอล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา อาการแสดงความเหยียดหยามเมื่อส่งตัวศพของตัวประกันที่ตายไปก่อนหน้านี้ พยายามให้คนทั้งโลกเห็น เหมือนกับที่เขียนไว้ในข้อ 12-14

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 21:11; เยเรมีย์ 49:14-16
3* เยเรมีย์ 49:16; วิวรณ์ 18:7
4* โยบ 20:6; ฮาบากุก 2:9
5* เยเรมีย์ 49:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 24:21
6* เยเรมีย์ 49:10;
7* เยเรมีย์ 38:22; อิสยาห์ 19:11
8* โยบ 5:12-14

9* สดุดี 76:5; เยเรมีย์ 49:7
10* ปฐมกาล 27:41; เอเสเคียล 35:9
11* สดุดี 83:5-8; นาฮูม 3:10
12* มีคาห์ 4:11; 7:10; สุภาษิต 17:5
13* เศคาริยาห์ 1:15
14* อาโมส 1:9
15* เอเสเคียล 30:3; ฮาบากุก 2:8

16* โยเอล 3:17
17* อาโมส 9:8
18* เศคาริยาห์ 12:6
19* อิสยาห์ 11:14; เศฟันยาห์ 2:7
20* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:9;
เยเรมีย์ 32:44
21* ยากอบ 5:20; วิวรณ์ 11:15



ฮาบากุก 3 พระเจ้าผู้ทรงเป็นกำลัง

คำอธิษฐานของฮาบากุก มองไปในอนาคต และเกิดความเชื่อวางใจสรรเสริญพระเจ้า ตามที่เขามองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ
1 คำอธิษฐานของฮาบากุก ผู้เผยพระคำของพระเจ้าตามทำนอง ชิกิโอโนท
2 โอ พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสถึงพระเกียรติเลื่องลือของพระองค์ และข้าพเจ้าก็ครั่นคร้าม
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจนั้นให้คนได้รู้กัน ในช่วงเวลากลางปีนี้ ในยามที่ทรงพระพิโรธ ขอทรงระลึกถึงพระเมตตาด้วย

3 พระเจ้าเสด็จมาจากเทมาน องค์ผู้บริสุทธิ์เสด็จมาจากภูเขาปาราน
เซ-ลาห์
ความงามตระการของพระองค์ปกคลุมฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยคำสรรเสริญ
4 ความเจิดจ้าของพระองค์เป็นเหมือนแสงสว่าง
เป็นรังสีที่แปลบปลาบจากพระหัตถ์ และพระองค์ทรงซ่อนฤทธานุภาพของพระองค์ไว้ ณ ที่นั้น
5 ภัยพิบัตินำหน้าพระองค์ไปและโรคระบาดตามย่างพระบาทของพระองค์

6 เมื่อพระองค์ประทับยืน ทรงวัดแผ่นดิน พระองค์ทอดพระเนตร และชาติ
ต่าง ๆ ก็สั่นสะเทือน 
แล้วภูเขาที่มั่นคงนิรันดร์ ก็พังทลาย
เนินเขาที่ยั่งยืนก็จมลงไป
วิถีของพระองค์นั้นดำรงเป็นนิตย์
7 ข้าเห็นเต็นท์ของชาวคูชันกำลังเจอความยากลำบาก
และที่อาศัยของดินแดนมีเดียน
ก็กำลังสั่นไหว
8 โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงโกรธกริ้วแม่น้ำทั้งหลายหรือ?
ขณะที่พระองค์ทรงม้าบนรถรบแห่งความรอดของพระองค์นั้น
พระองค์กำลังทรงกริ้วแม่น้ำ และทรงโกรธทะเลอย่างนั้นหรือ?

9 พระองค์ทรงหยิบคันธนูจากแล่ง ทรงเรียกหาลูกธนูมากมาย
เซ ลาห์
พระองค์ทรงแยกแผ่นดินโลกด้วยแม่น้ำทั้งหลาย 
10 ทิวเขามองเห็นพระองค์และมันบิดตัว. กระแสน้ำโถมซัดเข้ามา  ห้วงลึก
ส่งเสียงคำรามลั่น คลื่นซัดโหมสูงยิ่ง
11 ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ต่างหยุดนิ่งในที่ของมัน
เมื่อลูกธนูของพระองค์ส่องแสงขณะพุ่งออกไป 
เมื่อหอกของพระองค์ส่องแสงแปลบปลาบดั่งฟ้าแลบ
12 พระองค์ทรงก้าวผ่านไปทั่วทั้งแผ่นดินด้วยพระพิโรธ
พระองค์ทรงเหยียบย่ำชาติต่าง ๆ ในความกริ้ว

13 พระองค์เสด็จออกไปเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด
เพื่อความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิม 
พระองค์ทรงบดขยี้หัวหน้าของวงศ์วานคนชั่วร้าย ทรงทำให้เขาเปลือยตั้งแต่ขาอ่อนถึงคอ (หัวจรดเท้า) เส-ลาห์
14 พระองค์ทรงแทงศีรษะของหัวหน้านักรบด้วยลูกธนูของเขาเอง
เมื่อนักรบเหล่านั้นบุกเข้ามาเพื่อทำให้พวกเรากระจัดกระจายไป
พวกเขาร่าเริงเหมือนกับได้เข้า
มาปล้นสะดมคนยากไร้อย่างลับ ๆ
 

15 พระองค์ทรงย่ำทะเลด้วยฝูงม้าของพระองค์
ห้วงน้ำมหึมาจึงเกิดคลื่นปั่นป่วน
16  ข้าพเจ้าได้ยิน และร่างของข้าพเจ้าก็สั่นระรัว
 ริมฝีปากของข้าพเจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียง
กระดูกของข้าพเจ้ากลับอ่อนแรงลงไปขาของข้าพเจ้าก็สั่น
แต่ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าจะอดทนรอวันแห่งความลำบาก
ที่จะมาถึงคนที่เข้ามาโจมตีเรา

บทเพลงแห่งความเชื่อ
17 แม้ว่าต้นมะเดื่อจะไม่ผลิดอก
หรือเถาองุ่นไม่ออกผล
ผลผลิตจากมะกอกก็แห้งไป
และทุ่งนาก็ไม่เกิดอาหาร
ฝูงแพะแกะไม่เหลือในคอก
ไม่มีวัวในโรงวัว
18 ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะยินดีในองค์พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะยกย่ององค์พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า (พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้)

19 พระเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
(ผู้ปกป้อง กำแพง)
พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าเป็นเหมือนเท้าของกวาง 
พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้า
ไต่ขึ้นไปบนที่สูง 
ถึงหัวหน้าวงดนตรี โดยใช้เครื่องสายของข้าพเจ้า

อธิบายเพิ่มเติม

ฮาบากุก 3:1-5
3:1 ถึงเวลานี้ ฮาบากุกรู้แล้วว่า พระเจ้าทรงส่งบาบิโลนมาสั่งสอนอิสราเอลก็จริง แต่พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์ให้เขาทำร้ายประชาชนเกินเลยขนาดที่พวกเขาทำ และบาบิโลนเองก็มีคดีติดตัวที่จะต้องรับการลงโทษด้วย เขาเห็นแล้วว่า ความทุกข์ใจที่เขามีต่อคนอิสราเอลที่ทำผิดแล้วทูลถามพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบให้เขารู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเมินเฉย อิสราเอลจะต้องรับโทษ และเมื่อคนที่พระองค์ทรงใช้ทำเกินหน้าที่ เขาก็ต้องรับโทษเช่นกัน
คำว่า ชิกิโอโนท มีบันทึกสองครั้งในพระคัมภีร์ น่าจะหมายถึงทำนองแบบหนึ่งในการร้องสรรเสริญ
3:2 พระดำรัสของพระเจ้าที่ฮาบากุกได้ยินมาก่อนหน้านี้คือ ราชกิจที่ทรงนำชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นสดุดีของโมเสส อพยพ 15:1-21 เมื่อเขาทบทวนเปรียบเทียบราชกิจของพระเจ้า และการงานของมนุษย์เขาก็รู้สึกครั่นคร้าม และเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาทูลขอให้ผู้คนได้รับรู้ถึงอานุภาพของราชกิจนั้นในกลางปี แปลว่า ขอทรงทำอย่างรวดเร็ว เขากลัวพระเจ้ามากจนต้องอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเมตตาในยามที่ทรงพิโรธคนของพระองค์
3:3 เทมานแปลว่า ใต้ กล่าวถึงพร้อมภูเขาปาราน ฮาบากุกกล่าวถึงสถานที่นี้เพื่อให้คนอ่านได้ระลึกถึงราชกิจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอันน่ากลัว เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2 เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ที่ภูเขาซีนาย
(คำว่า เซ ลาห์ เป็นคำที่ใช้เหมือนสร้อยในบทเพลง เป็นช่วงให้หยุดพักนิดหนึ่ง ความหมายคล้ายอาเมน) ฮาบากุกย้อนไปถึงวันนั้นว่า ประชาชนอิสราเอลได้เห็นพระสิริของพระเจ้าเต็มท้องฟ้า และพวกเขาได้สรรเสริญพระองค์ในบรรยากาศนั้น
3:4 ฮาบากุกเปรียบเทียบการประทับอยู่ของพระเจ้าว่ามาพร้อมกับ ฟ้าแลบ ฟ้าคำราม ความมืด (อพยพ 19:18-20 ) ที่ชาวอิสราเอลได้เห็นนั้น เป็นเพียงเล็กน้อยของฤทธานุภาพของพระองค์ หากพระองค์ปล่อยมาหมด คนทั้งโลกคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้
3:5 ภัยพิบัติ และโรคระบาดนี้ สื่อถึงการพิพากษาของพระเจ้า (อพยพ 7:14-12:30; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:21-22 )

ฮาบากุก 3:6-12
3:6 ทรงวัดแผ่นดิน หมายถึง….แผ่นดินที่สั่นสะเทือน เหล่านี้ บอกผู้รับใช้ของพระเจ้าว่า พระองค์กำลังเสด็จมา คนอิสราเอลโบรานมองว่า ภูเขาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานโลก การสั่นสะเทือน การพังทลายของภูเขาถือเป็นการพิพากษาลงโทษของพระเจ้า (เยเรมีย์​4:24-26; 10:10) พระเจ้าจะทรงทำให้ภูเขาทั้งหลายเปลี่ยนแปลง เนินเขาก็ต้องน้อมตัวลง
3:7 ชาวคูชัน (เอธิโอเปีย อัฟริกา)และชาวมีเดียน เป็นตัวแทนของชนชาติที่มีอำนาจ ต้องเจอกับฤทธิ์ของพระเจ้า พวกเขาสั่นไหวเมื่อเผชิญพระพิโรธของพระเจ้า พระเจ้าจะเปลี่ยนพวกเขา เพราะพวกเขาอยู่ใต้อำนาจชั่วร้าย
3:8 แม่น้ำ.. พระเจ้าทรงโกรธกริ้วแม่น้ำหรือ? ถ้าเราเปลี่ยนแม่น้ำเป็นทะเลล่ะ การโกรธนี้เพื่อช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ทรงรถม้าแห่งความรอดเพื่อนำมาซึ่งความรอด … พระเจ้าต้องการให้เกิดสิ่งดีขึ้น
รถรบแห่งความรอดนี้คือ ความรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมช่วยกู้คนของพระองค์ พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ เหนือ แม่น้ำไนล์ (อพยพ 7:14-24) ทะเลแดง (อพยพ 14:2-15:5) แม่น้ำจอร์แดน (โยชูวา 3:14-17) ให้คนอิสราเอลได้ประจักษ์ในฤทธานุภาพของพระองค์ พวกเขาไม่ได้ขาดการอัศจรรย์ของพระเจ้าเลย
3:9 แผ่นดินโลกถูกแยก จึงทำให้มองเห็นความชั่วช้าของโลกนี้ เป็นการเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ .. การพิพากษาของพระองค์เพื่อ ให้เกิดสิ่งดี เปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายกลายเป็นดี
3:10 ภูเขาเห็นพระองค์ บิดตัวกำลังพูดถึง ผู้ปกครองชาติต่าง ๆ เห็นพระองค์ ก็กลัวพระเจ้าจะยกพระหัตถ์ขึ้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เที่ยงธรรม
3:11 แสงสว่างมีไว้เพื่อเปิดเผยบางอย่าง มันนิ่งในที่ของมัน แต่ยังสว่าง เน้นการเปิดเผย
ลูกธนู หอก พระเจ้าจะเปิดเผยการพิพากษาของพระองค์อย่างให้ชัดเจน สว่างจ้า ฟ้าแลบออกมา เป็นแสงที่เข้มข้นเคลื่อนไหวอย่างเร็วที่ไม่อาจเดาได้ ฮาบากุกกำลังกล่าวถึงสงครามเกิดขึ้นที่กิเบโอน (โยชูวา 10:12-13) ซึ่งอาทิตย์ จันทร์หยุดนิ่ง เขามองว่า พระเจ้าทรงเป็นนักรบที่ส่งลูกธนูและหอกออกไปทำลายศัตรู (สดุดี 18:14)
3:12 พระเจ้าเสด็จไปทั่ว และพระองค์ทรงจัดการกับทุกชาติ พระพิโรธของพระองค์จะมาถึงทุกชาติ
ถ้าไม่มีพระพิโรธจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มี

ฮาบากุก 3:13-16
3:13 ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์พระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลกนี้ และทรงบดขยี้ มาคัสตา (מָחַ֤צְתָּ)หัวหน้าวงศ์วานคนชั่วร้ายก็คือซาตานด้วย ทรงประจานซาตานโดยกางเขน (โคโลสี 2:15) หัวหน้าวงศ์วานคนชั่วร้ายต้องพ่ายแพ้ต่อพระองค์ การเปลือยแบบนี้คือ การพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้พังพินาศหมดไป แต่ต้องการให้มีการกลับใจ เปลี่ยนแปลง
3:14 ที่น่าสนใจ มีคนแปลข้อความนี้ว่า…​ลูกธนูของเขาแทงหัวเขาเอง ใช่แล้วหอกที่แทงสีข้างของพระเยซูบนกางเขนนั้น ได้หันมาประหารซาตาน นักรบที่บุกมาเพื่อทำให้เรากระจัดกระจายไปก็คือ เหล่าคนที่มาเยาะเย้ยพระเยซูที่ไม้กางเขน ทำให้ศิษย์และผู้เชื่อต้องแอบไปอยู่ในที่ห้องชั้นบนนั้น คนดีใจที่อิสราเอลลำบาก
3:15 ตอนนี้พูดถึงการข้ามทะเลแดง และพระเจ้าทรงทำลายกองทัพฟาโรห์ ??
3:16 ฮาบากุกสรุปให้กับตัวเองว่า เขาเองนั่นแหละที่ต้องรอวันพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล ใช่.. เป็นการรอที่กลัวจริง ๆ รอคนที่เข้ามาโจมตี  และนำพวกเขาไปเป็นเชลยก็คือ ชาวบาบิโลน 

ฮาบากุก 3:1-5 บทเพลงแห่งความเชื่อ
3:17 ตอนนี้ ฮาบากุกรู้ว่า จะเกิดหายนะกับคนอิสราเอล พวกเขาจะตกในเงื้อมมือของศัตรูที่โหดร้ายมาก เขาเปลี่ยนไป เขาตระหนักแล้วว่า พระเจ้าเท่านั้น ที่ทรงครองโลกสูงสุด ไม่ใช่ตัวเขาที่จะมาต่อต้านว่า พระเจ้าน่าจะทำอย่างนี้หรืออย่างนั้น ข้อสิบเจ็ดนี้ เป็นภาพที่ฮาบากุกมองเห็นอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อถูกศัตรูเข้ามาทำร้ายยับเยิน ดังนั้น เมื่อขาดอาหาร ขาดแพะแกะคือประชาชนไม่เหลือในอิสราเอล ไม่มีวัวในโรงวัว คือ ประชาชนไม่อยู่ในแผ่นดินอีกแล้ว
แม้ฮาบากุกจะต้องเจอ เจ็ดสิบปี กับความทุกข์ยากสาหัส เพราะพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลง
3:18 ฮาบากุกรู้ว่า เขาวางใจพระเจ้าได้ และเชื่อว่า พระองค์จะทรงทำกับพวกเขา กับศัตรูของพวกเขาอย่างยุติธรรม สิ่งดีที่สุดสำหรับเขาเวลานี้ คือ การยินดีทั้งในพระเจ้า ในหนทาง และในแผนการของพระองค์ พระเจ้ากลายมาเป็นความรอดของเขาทั้งที่อนาคตดูมืดมน
ข้าจะยินดีในพระยาห์เวห์
3:19 จากมุมมองที่เห็นว่า พระเจ้าทรงนิ่งเฉยในบทที่ 1 บัดนี้ เขาเรียกพระเจ้าว่า ทรงเป็นองค์เจ้านายที่ทำให้เขาว่องไว มั่นคง สามารถก้าวขึ้นไปในที่สูงเหมือนกับกวางที่สามารถก้าวขึ้นไปยังภูเขาสูงที่ขรุขระโดยไม่เป็นอันตราย (มาลาคี 4:2)เขาส่งเพลงนี้ให้กับหัวหน้าวงดนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลนักดนตรีในพระวิหาร เขาใช้เครื่องสายในการทำเพลง เห็นได้ชัดว่า ฮาบากุกใช้ข้อความตอนนี้เพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน
หมายเหตุ ปราชญ์ฮีบรูที่แปลภาษาฮีบรูไปกรีก ได้แปลตอนนี้เพื่อให้กำลังใจว่า
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า และพระองค์จะทรงจัดให้เท้าของข้าไปจนจบ (สำเร็จเสร็จสิ้น) พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปยังที่สูง เพื่อว่าข้าพเจ้าจะชนะได้โดยบทเพลงของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 90:1-17
2* สดุดี 85:6; โฮเชยา 6:2-3
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; โอบาดีย์ 1:9
4* มัทธิว 17:2; อิสยาห์ 60:19-20
5* อพยพ 12:29-30; กันดารวิถี 16:46-49
6* ปฐมกาล 49:26; นาฮูม 1:5
7* อพยพ 15:14-16; สดุดี 83:5-10

8* สดุดี 68:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:26-27
9* สดุดี 7:12-13; 105:41
10* สดุดี 93:3; ฮีบรู 11:29
11* สดุดี 144:5-6; 18:12-14
12* มีคาห์ 4:12-13; เยเรมีย์ 51:33
13* สดุดี 110:6; 105:15

14* เศคาริยาห์ 9:14; ดาเนียล 11:40
15* สดุดี 77:19
16* เยเรมีย์ 23:9; ดาเนียล 10:8
17* เยเรมีย์ 5:17; โยเอล 1:16-18
18* โยบ 13:15; ฟีลิปปี 4:4
19* 2 ซามูเอล 22:34; สดุดี 18:33