ฟีลิปปี 4 พระเจ้าแห่งสันติสุข

โครงร่างคริสตจักรที่เข้มแข็ง

ฟีลิปปี 1:27
1 โครินธ์ 15:58
ฮีบรู 12:14
1 เปโตร 3:8-11
เอเฟซัส 6:13

หลังจากที่พูดมาหลายเรื่อง ท่านบอกเขาว่าพวกเขาเป็นที่รัก คิดถึงแล้วสบายใจ และในวันที่ท่านยืนต่อพระที่นั่งของพระเจ้า ถ้าพวกเขายืนมั่น นั่นก็คือมงกุฎของท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า การยืนมั่น ไม่ได้ให้ไปยืนที่ไหน เพราะไม่มีที่ไหนมั่นคง นอกจากยืนมั่นในพระเจ้า แต่ในชุมชนทุกแห่งอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ สตรีสองคนที่มีปัญหาในคริสตจักร ท่านสั่งให้เธอทั้งสองคืนดีกันเสีย ให้มีใจเดียวกัน คิดอย่างเดียวกัน

วิวรณ์ 13:8 ,3:5, 21:27,20:12,15
ลูกา 10:20

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นผู้ร่วมงานของท่านเปาโล แต่ก็กลับมีความเห็นต่างกัน หรืออาจมีเรื่องราวต่อกัน และครั้งนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเคลเมนท์ ซึ่งเป็นอีกคนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันกับท่าน สิ่งสำคัญคือ ท่านแน่ใจว่าคนเหล่านี้ ถึงแม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีชื่อบันทึกในหนังสือแห่งชีวิต เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเรามีชื่อจดไว้เท่ากับเรามีสิทธิเป็นพลเมืองของสวรรค์ ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

เอาชนะความกังวล

1 เธสะโลนิกา 5:16-18
ยากอบ 1:2-4,5:8-9
1 เปโตร 4:13,5:7

จดหมายฉบับนี้ของท่านเปาโลเป็นจดหมายแห่งความยินดี การมีความกังวลนั้น ถ้ากังวลไม่หยุดหย่อน ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเหมือนยาพิษของใจ ที่จะทำให้เราไม่มีความสุข ท่านเปาโลบอกวิธีที่จะทำให้ใจทุกข์เป็นสุขด้วยการวางทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเปิดทาง และประทานความสามารถที่เราจะผ่านเหตุการณ์ยากๆ ไปได้ เมื่อปัญหามันยากเกิน ซับซ้อนเกิน อย่าหยุดที่จะหันมาพึ่งพาพระเจ้า เราจะพ้นจากอาการทางจิต ทางร่างกายที่ไม่พึงประสงค์

ยอห์น 14:27
2 เธสะโลนิกา 3:16
อิสยาห์ 26:3
โคโลสี 3:15

ใจและความคิดของเราต้องการโล่ป้องกัน ไม่ให้คิดสิ่งที่ทำให้เราตกต่ำ ไม่ให้เราหมกมุ่นในสิ่งที่ทำลายชีวิตของเรา สิ่งที่ช่วยป้องกันให้เราไม่คิดสิ่งชั่วร้ายก็คือเมื่อเรามีสันติสุขในใจนั่นเอง คนสบายใจมีสันติสุขของพระเจ้า จะไม่ข้องแวะกับสิ่งสกปรกใด ๆ อย่างอัตโนมัติ เพราะเขาไม่ต้องพยายามควานหาความสุขจากอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอความสุขแท้ อย่าลืม.เด็ดขาดว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยเสมอเมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระองค์

คิดสิ่งที่ทำ ทำสิ่งที่คิด

ยากอบ 3:17
ทิตัส 2:7
โรม 12:9-21
กาลาเทีย 5:22

แล้วท่านเปาโลก็บอกถึงแปดสิ่งที่ควรคิดถึง ท่านไม่พูดเป็นนามธรรม แต่กล่าวเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ เรื่องสกปรกใด ๆ เช้ามาเราจึงยังไม่ควรเปิดฟังข่าวใด ๆ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยข่าวที่ตรงข้ามกับแปดข้อที่ควรคิด เราควรอยู่กับพระคำของพระเจ้า จบวันด้วยพระคำของพระองค์ ให้ข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นรองจากพระคำ
เราลองดูทั้งแปดสิ่งนี้ แล้วเราจะเห็นว่า เมื่อเราคิดถึงพระบิดา พระบุตร และองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้ครบทั้งหมดเลย!

2 เปโตร 1:10
ยากอบ 1:22
1 เธสะโลนิกา 4:1-8
ยอห์น 13:17

รางวัลของการที่ทำตามสิ่งที่เรียน รับ ได้ยิน ได้เห็นจากท่านเปาโล คือการที่พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงอยู่กับเรา แม้ว่าในโลกของคริสเตียนจะมีหลายความคิดแตกต่างกันไป มีหลายคริสตจักร มีหลายกลุ่ม แต่สิ่งที่ท่านเปาโลสอนนั้นยอดเยี่ยม ติดตามไปจะไม่หลงทาง
การมีพระเจ้าแห่งสันติสุขอยู่กับเรานั้น ยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ว่าโลกจะโกลาหลเพียงใด เรายังจะมีสันติสุขได้ ประหลาดนัก

น้ำใจชาวเมืองฟีลิปปี

2 โครินธ์ 11:9, 7:6-7
กาลาเทีย 6:10
ฮีบรู 13:5-6
1 ทิโมธี 6:6-9
2 โครินธ์ 9:8

เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลมีความสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชาวฟีลิปปี ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปนานแล้วถึง 10 ปีหลังจากที่ท่านตั้งคริสตจักรในเมืองนี้ พวกเขาห่วงใยสนับสนุนงานรับใช้เสมอ แม้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ขาดการติดต่อกัน ท่านเล่าให้เขาฟังว่า ท่านพอใจกับการจัดเตรียมของพระเจ้าทุกรูปแบบ ความพอใจของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับมีมากหรือน้อย แต่ดูเหมือนขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดที่ท่านมีกับพระเจ้า

2 โครินธ์ 11:27,12:7-10,11:9
มัทธิว​ 11:29
อิสยาห์ 41:10
โคโลสี 1:11

ท่านบอกเขาว่าจะมีมากหรือขัดสน จะอิ่มหรือหิว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลายคนเมื่อขาด เมื่อต้องการแล้วไม่ได้ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่า ต้องมีมาก ๆ มีเกินพอจึงจะมีความสุข ความรู้สึกเพียงพอ พึงใจแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมา แต่เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝน หยุดบ่น ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่โลภ เมื่อเรามั่นใจในพระเจ้าอย่างท่านเปาโลในทุก ๆ สถานการณ์ เราจึงพึงพอใจได้ไม่ว่าจะมีหรือขาด

ฮีบรู13:16 ,10:34
ฟีลิปปี 1:7
2 โครินธ์ 11:8-12


พระคัมภีร์สอนเรื่องการใช้จ่าย การเงินมากเหมือนกัน และในข้อนี้ท่านเปาโลก็กล่าวถึงการช่วยเหลือที่คริสตจักรฟีลิปปีได้ช่วยท่านจริงจัง พวกเขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ได้ไปดูว่าคนอื่นทำอย่างไร แต่มีน้ำใจเอง ทำให้เขาเป็นผู้มีส่วนในการรับใช้ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ออกไปแนวหน้า เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญยิ่ง ทำให้งานของพระเจ้าขยายออกไป เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าด้วย (18)

1 เธสะโลนิกา 2:9, 2:18
ทิตัส 3:14
ฮีบรู 6:10

จากพระคำข้อนี้ จะเห็นว่า ตอนที่เปาโลทำงานในเมืองเธสะโลนิกา คนชาวเมืองฟีลิปปีก็มีน้ำใจรักคนอีกเมือง และช่วยเหลือท่านเปาโลจริง ๆ ท่านเปาโลเองก็อวยพรเขาไปกลาย ๆ ในข้อนี้ด้วย ท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรในน้ำใจนี้ และพวกเขาก็จะยิ่งรับใช้ปรนนิบัติในการสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีก

ฮีบรู 13:16
2 โครินธ์ 9:8-12
สดุดี 84:11,23:1-5
1 เปโตร 5:10
โรม 11:36
กาลาเทีย 1:4-5

นี่เป็นเคล็ดลับแห่งการมีชีวิตที่ถวายได้ไม่มีวันหมด เมื่อเราถวายด้วยใจยินดี เมื่อเราใส่ใจในการช่วยเหลือ นั่นคือการนมัสการพระเจ้า เป็นของถวายที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระเจ้าจะประทานให้เรามีเพื่อที่จะรับใช้ต่อไป นี่เป็นความจริงที่คริสเตียนจำนวนมากมายประสบมาแล้ว เราจึงไม่ต้องกังวล เพราะว่าพระเจ้าจะทรงใช้เราให้ทำงานแบบนี้ต่อไป

คำอำลา คำอวยพร

โรม 16:21-22
ฟีลิปปี 1:13
2 โครินธ์ ๅ_ซๅภ

ถึงแม้ท่านเปาโลจะถูกกักกันตัวไว้ในบ้าน และมีทหารมาเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้ขาดความสัมพันธ์กับพี่น้องเลย คนในวังซีซาร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าข้าราชการของโรมทั้งหลาย ก็มาพบพระเจ้าเพราะนักโทษชายเปาโลท่านนี้ ท่านจึงเป็นต้นแบบของคนที่มีความสุขความยินดีของพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด

ฟีลิปปี 3 ทุกอย่างเพื่อพระคริสต์

1 เธสะโลนิกา 5:16
กาลาเทีย 5:15
สดุดี 119:115
โรม 2:28

ท่านเปาโลไม่เบื่อเลยที่จะบอกให้พี่น้องยินดีในพระเจ้า คนที่ไร้อิสรภาพ ไปไหนไม่ได้ มีทหารเฝ้าตลอดเวลา กลับยินดีเสมอ ดูเหมือนว่า เป็นทักษะที่ฝึกได้ เราต้องฝึกที่จะยินดีในพระเจ้าไม่หยุด ท่านเปาโลหมายความให้พี่น้องยินดีต่อเนื่อง..ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไร
แล้วท่านก็ให้เขาระมัดระวังคนสอนผิดที่อ้างว่าต้องผ่านพิธีกรรมนี้ ต้องทำสิ่งนั้น ต้องเดินตามพวกเขา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ คนที่บอกว่าต้องดีเอง

เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6
โรม 7:6
2 โครินธ์ 5:16,
11:18,22,23

ท่านบอกชัดเจนว่า เราต้องไม่เชื่อในความดีของเราเอง ไม่ว่าพื้นเพของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยว แม้ในชีวิตเราต้องทำสิ่งดี ทำดีมาก ๆ แต่การดีนั้น ไม่ได้ทำให้เราเหนือคนอื่น ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนควรอวดพระเยซู ไม่ใช่อวดตนเอง

2 โครินธ์ 11:22
โรม 11:1
กิจก่ี 23:6, 8:3,22:3-4

จะว่าไปแล้ว ท่านเปาโลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนเรียกได้ว่า เป็นคนดี เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล ความรู้สูง มีความกระตือรือร้นมาก ทำตามธรรมบัญญัติแบบไม่มีที่ติได้เลย ท่านเปาโลไม่ได้อวดตัว ตอนนี้ท่านเพียงบอกว่า ถึงจะเป็นคนสมบูรณ์แบบอย่างนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร

ลูกา 14:26,33
มัทธิว 16:26
ยอห์น 17:3
กิจการ 20:24
โรม 8:18

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่านรู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นไร้สาระ เมื่อท่านได้มาพบพระเยซูบนถนนไปเมืองดามัสกัสครั้งนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป การมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สิ่งเดิม ๆ ที่เคยภาคภูมิใจ เคยใช้เป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิต ท่านกลับมองว่ามันด้อยค่าไปแล้ว ด้อยค่าจริง ๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ต้องทิ้งไป พระเยซูต่างหากที่มีค่าสูงสุดในชีวิต

โคโลสี 2:2-3
1 โครินธ์ 2:2
2 โครินธ์ 5:21
โรม 8:1

ท่านเปาโลเห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านเคยให้ความสำคัญ เป็นเหมือนมูลสัตว์ (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นเช่นนั้น ) สกปรก เหม็น สิ่งที่เคยเป็นเกียรติก็ไม่ใช่อีกต่อไป ความดีที่เคยภูมิใจกลายเป็นขี้ริ้ว การมองโลกใหม่ของท่านเปาโลคือ ความดีของพระคริสต์เท่านั้น การมีพระคริสต์เท่านั้น เชื่อในพระองค์เท่านั้นจึงจะเป็นของดีที่แท้จริง

กาลาเทีย 2:20
2 ทิโมธี 2:11-12
ยอห์น 11:24

แม้ว่าท่านเปาโลจะรู้พระคัมภีร์เดิมจนทะลุปรุโปร่ง แต่​มาวันนี้ เมื่อพบพระคริสต์
หัวใจของท่านก็มุ่งมั่นจะรู้จักพระองค์ให้ดีขึ้น มากขึ้น ใกล้ชิดขึ้น ไม่เคยมีวันที่รู้จักพอแล้ว ท่านหาพระองค์แล้วหาพระองค์อีก กลายเป็นชีวิตที่เฝ้าหาพระเจ้า ทั้งรู้จักส่วนตัว ทั้งรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนชีพ ทั้งรู้จักความเจ็บปวดและความตายของพระองค์ ท่านไม่สนใจว่าจะทนทุกข์เท่าไรเพราะรู้ว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์มากกว่านั้น

วิ่งสู่เส้นชัย

1 ทิโมธี 6:11-12
2 เปโตร 1:5-8
2 โครินธ์ 7:1
ลูกา 9:62
ฮีบรู 12:1-2

ผู้ที่จะชนะในการแข่งขัน จะต้องไม่พอใจสภาพของตน ต้องทำให้ดีขึ้นเสมอ เขาต้องมีสมาธิในการฝึกฝน ต้องแน่วแน่ว่าจะได้ชัยชนะอย่างไร ต้องอุทิศตน และมีโค้ชที่ดี ทัศคติของท่านชัดเจนมาก
การลืมสิ่งที่ผ่านมาคือ ไม่ยอมให้มันมาเป็นอุปสรรคของการก้าวต่อไป เราจะต้องไม่เป็นแค่คนดูการแข่งขัน แต่เราจะต้องเอาตัวลงไปแข่งเหมือนอย่างท่านเปาโล

1 โครินธ์ 9:24
1 เปโตร 5:10
วิวรณ์ 3:21
กาลาเทีย 5:10
ยากอบ 1:4-5
1 โครินธ์ 15:51-52
1 เธสะโลนิกา 4:15-17

เป้าหมายนั้น กรีกว่า สโกโพส เป็นจุดที่นักกีฬามุ่งหัวใจสายตาไปที่นั่น ท่านเปาโลรู้ว่าเมื่อไปถึงเป้าหมายท่านจะพบพระคริสต์ ท่านจะพบพระองค์ต่อหน้าต่อตา เราต้องวิ่งสุดกำลังเหมือนท่านเพื่อรางวัล ซึ่งหมายความถึงได้รับเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ได้ก่อนหน้านั้น รางวัลนั้นน่าจะเป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานเมื่อเราไปเฝ้าพระองค์ที่บัลลังก์พิพากษา ดังนั้นเราต้องรู้ว่า เวลานี้เรากำลังวิ่งแข่งในลู่วิ่งแห่งชีวิตอยู่
คนที่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด เป็นคนที่โตแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นที่จุดแรก แต่เราอยู่ตรงไหน ก็เริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปจากตรงนั้นเลย

เราเป็นประชากรอาณาจักรสวรรค์

ฟีลิปปี 4:9
1 โครินธ์ 4:16
เอเฟซัส 4:17
โรม 16:18
2 เปโตร 2:3

สิ่งสำคัญยิ่งคือการรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น ลึกซึ้ง ใกล้ชิดขึ้นตามที่ท่านเปาโลสอน
แต่แล้วท่านเปาโลก็มากล่าวถึงคนที่ไม่ได้ทำตามอย่างท่าน และแถมทำตัวต่อต้านพระเจ้าด้วย ในสังคมตอนนั้น ยังมีคนสนับสนุนการใช้ชีวิตไร้กฎ เอาแต่หาความสนุกใส่ตัว พวกนี้แตกต่างจากคนในข้อ 2 ที่เคร่งครัดจนเกินเลย มีคนไม่น้อย พวกเขาใช้ชีวิต และพูดตรงข้ามกับไม้กางเขน สนใจปากท้อง อวดสิ่งที่ไม่ควรอวด หมกมุ่นในทางโลก พระของเขาคือตัวเอง สิ่งที่ตนอยากกินอยากได้

เอเฟซัส 2:19
โคโลสี 3:1-4
1 ยอห์น 3:2
เอเฟซัส 1:19-20
ยอห์น 11:24-26

เรารอคอย หมายถึงตั้งอกตั้งใจคอย การที่เรารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้านั้น ตอนนี้เราแน่วแน่รอ หรือว่าคิดว่ามาเมื่อไรก็เมื่อนั้น … แรงจูงใจสำคัญของเราคือ เมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเห็นเราพร้อมรับพระองค์
และวันนั้น ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ จากร่างกายที่ตายได้เป็นร่างกายที่เป็นอมตะ