1 เปโตร 4 รับใช้พระเจ้าในยุคสุดท้าย

ทัศนคติของผู้รับใช้ -ทุ่มเท

ดังนั้น ในเมื่อพระคริสต์ ได้ทนทุกข์เพื่อเราแล้วด้วยพระกายแล้ว ก็ให้ท่านได้ใช้ความคิดอย่างเดียวกันกับพระองค์เป็นอาวุธด้วย เพราะผู้ที่ทนทุกข์ทางกาย ก็จบสิ้นกับบาปแล้ว
1 เปโตร 4:1

กาลาเทีย 5:24, 1 เปโตร 3:18, โคโลสี 3:3-5

Rembrandt 1631

อาวุธที่จะสู้กับบาปก็คือ การที่เราจะไม่หวั่นกับการทนทุกข์ ไม่โวยวาย เมื่อมีสิ่งที่เรารู้สึกเหมือนไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเรามีทัศนคติอย่างพระเยซูคริสต์ เราจะไม่ทำบาป การคิดอย่างนั้นเท่ากับเรากำลังตัดความสัมพันธ์กับบาปที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งนี้ ท่านเปโตรกล่าวกับพี่น้องที่กำลังทนทุกข์เพราะความเชื่อ ความคิดแบบนี้เป็นอาวุธสู้บาป!

เพื่อว่าจะไม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในกายนี้ตามตัณหาชั่วของมนุษย์แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:2

ยอห์น 1:13, เอเฟซัส 4:22-24, ทิตัส 3:3-8

มีความคิดอย่างพระเยซูเป็นอาวุธสู้บาป แบบประจำวัน ไม่ใช่นาน ๆ ที เพื่อว่าจะได้ใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้าง และทรงเลือกเรามาให้อยู่ในร่มพระคุณ เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงมีคุณค่ามาก สมกับที่เราต้องทนทุกข์เพื่อพระนามเมื่อไรที่เราต้องเลือกระหว่างการทนทุกข์ กับการทำบาป ให้เราเลือกข้างพระเยซูเถอะ ชีวิตของเราเหลือน้อยลง ๆ ทุกวัน 

มีปัญญา

เราได้ใช้เวลาในชีวิตมามากพอแล้วในการทำตามใจอย่างคนนอก นั่นก็คือการปล่อยตัวตามราคะตัณหา ตามใจอยากที่ชั่ว การเมาเหล้า การเลี้ยงอย่างสนุกสุดเหวี่ยง การสำมะเลเทเมา และการไหว้รูปเคารพที่น่าขยะแขยง
1 เปโตร 4:3

เอเฟซัส 5:18, 1 โครินธ์ 6:11, 1 เธสะโลนิกา 4:5

จดหมายที่ท่านเปโตรส่งไป คงจะไปหาพี่น้องคริสเตียนที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะท่านกล่าวถึงกิจกรรมบาปที่พวกเขามักจะมีพิธีกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนด้วย มีทั้งการดื่ม กิน และทำผิดทางเพศประกอบการไหว้รูปเคารพ

พวกเขาแปลกใจที่เวลานี้
ท่านไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลตามพวกเขา และพวกเขาก็กล่าวร้ายพวกท่าน พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมที่จะพิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
1 เปโตร 4:4-5

1 เปโตร 2:12, ยูดา 1:10, กิจการ 10:42, โรม 14:9,กาลาเทีย 5:25

เวลาคนไปทำชั่ว ไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อคนไม่ทำตามสิ่งชั่ว ก็จะมีคนแปลกใจ ทำไมคริสเตียน แปลกไปจากคนอื่น ไม่หลิ่วตาชั่วตามพวกเขา แทนที่พวกเขาจะทำตามสิ่งที่ดีจากชีวิตเรา กลับมาใส่ร้ายเสียอีก สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกวัน ! แต่ผู้ที่ถูกใส่ร้ายนั้นต้องเข้าใจว่า พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง เพราะการพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่ ๆ พอถึงวันนั้น พวกเขาจะรู้ว่าตนเองโง่เพียงใดที่ใช้ชีวิตเสเพล

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการประกาศข่าวประเสริฐ แม้แก่คนที่ตายไปแล้ว
เพื่อถึงแม้ว่าทางร่างกายเขาอาจถูกพิพากษาโดยมนุษย์ แต่เขาอาจจะได้มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:6

1 เปโตร 1:12, 3:19, โรม 8:9,13 ,กาลาเทีย 5:25

ข้อความตอนนี้อาจทำให้เรางง คิดว่าเป็นการประกาศให้กับคนที่ตายฝ่ายร่างกายไปแล้ว แต่ข้อนี้มีความหมายว่า เป็นการประกาศให้กับคนที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง พวกเขามีโอกาสที่จะกลับใจ และใช้ชีวิตตามทางของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และการกลับใจใหม่นี้ กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกชั่วโมงในโลกเรา เมื่อพระคำของพระเจ้าถูกประกาศไปก็จะมีคนเชื่อ

ใช้เวลาอธิษฐาน

ตอนจบของสิ่งทั้งปวงใกล้เข้ามาแล้ว เพราะฉะนั้น พวกท่าน จงมีสติรู้ตัวรอบคอบ
และเตรียมใจตนเพื่ออธิษฐาน
1 เปโตร 4:7

โรม 13:11, ฮีบรู 9:26, ยากอบ 5:8-9, 1 ยอห์น 2:18

ตอนจบของทุกสิ่งในโลก คือเมื่อพระเยซูเสด็จมา!
ถ้าเราคิดว่าจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป สติของเราก็จะไม่อยู่นิ่ง แต่ตื่นตัว เตรียมพร้อม การอธิษฐานของเราจะไม่เหมือนเดิม ความเร่าร้อนจะเกิดขึ้นเพราะยังมีหลายเรื่องที่เราต้องทูลขอให้พระเจ้าทรงโปรดเมตตาการที่จะรู้ว่าต้องใช้เวลาทำอะไรให้เกิดผลดีต้องมีสติจริง ๆ ปล่อยตามสบายไม่ได้

เหนือสิ่งใด จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักยกโทษบาปได้มากมาย
จงต้อนรับกันและกัน โดยไม่บ่น
1 เปโตร 4:8-9

สุภาษิต 10:12, 17:9, ฮีบรู 13:2, 2 โครินธ์ 9:7, โรม 12:13

รักกันให้มาก ท่านเปโตรหมายถึง “รักกันอย่างแรงกล้า” เป็นความรักที่กระตือรือร้น ที่จะให้ ช่วย เป็นห่วง เป็นใย เป็นรักที่ร้อนแรงโดยไม่มีอะไรแฝง รักอย่างที่พระเยซูทรงรัก แต่ไม่ได้หมายความว่ายอมให้เขาทำบาปไปเรื่อย แต่เป็นการไม่เปิดโปง และหาทางช่วยให้พ้นบาปนั้น การต้อนรับอย่างเต็มใจ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อต้อง ฝึกฝน และหากมีความรัก เราจะมีน้ำใจต้อนรับโดยไม่ยากเย็น

ในเมื่อแต่ละคนได้รับของประทานมา ก็ควรใช้ของประทานนั้น ในการปรนนิบัติกันและกัน ในฐานะเป็นผู้อารักขาพระคุณนานัปการของพระเจ้า
1 เปโตร 4:10

โรม 12:6-8, 1 โครินธ์ 4:1-2, 1 โครินธ์
12:4

ไม่มีใครสักคนที่ขาดของประทานซึ่งสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น คนเกียจคร้านมีข้ออ้างที่จะไม่ใช้ของประทานนั้น พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เราใช้ความสามารถที่มี เพื่อเสริมสร้างกันและกัน การทำเช่นนั้น เท่ากับเราทำหน้าที่ของผู้ดูแลรักษาพระคุณของพระเจ้าในโลกนี้

คนใดจะพูด ก็ให้พูดในฐานะที่เป็นคำมาจากพระเจ้า คนใดจะรับใช้ ก็ให้รับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติโดยพระเยซูคริสต์ในทุกสิ่ง ขอพระสิริรุ่งโรจน์ และฤทธานุภาพสูงสุด จงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 เปโตร 4:11

เอเฟซัส 4:29, 5:20, 1 โครินธ์ 4:1-2

เมื่อเรารับใช้ พระเจ้าจะทรงรับพระเกียรติ จากการรับใช้ที่จริงใจ ตามการทรงเรียก ตามของประทานที่พระเจ้าให้เรามา หากทุกคนในพระกายพระคริสต์ ขยัน รักรับใช้ตามของประทานแล้ว ชุมชนนั้นก็จะไม่ขาดสิ่งดี แต่จะเป็นที่น่าชื่นชม เจริญก้าวหน้า เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า

ทัศนคติต่อความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิต

เพื่อนที่รัก อย่าแปลกใจกับการทดสอบร้อนแรงที่มาเพื่อทดสอบท่าน มันเป็นเหมือน สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับท่าน
1 เปโตร 4:12

1 เปโตร 1:6-7, 2 ทิโมธี 3:12

เมื่อมีความทุกข์ใจ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่ยากการจนตรอกหาทางออกไม่ได้ หลายคนจะคิดว่า ทำไมเรื่องนี้จึงต้องเกิดกับเราด้วย ไม่น่าเลย อย่าลืมว่า เราอยู่ในโลกที่เต็มด้วยคน คน คน ที่สร้างปัญหา ที่มีปัญหาเยอะไปหมด ยังมีสภาพแวดล้อม อาหารการกิน ความเจ็บป่วย เราต้องไม่แปลกใจ อะไรเกิดกับคนอื่นได้ ก็เกิดกับเราได้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนคือพระเจ้าทรงเห็น ทรงอยู่กับเราที่วางใจพระองค์

แต่จงยินดีว่า ท่านได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ เพื่อว่าท่านจะได้ยินดีอีกด้วย เมื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มาปรากฏ
1 เปโตร 4:13

ยากอบ 1:2-3, 2 ทิโมธี 2:12, โรม 8:17

นอกจากไม่ให้แปลกใจที่การทดสอบเกิดขึ้น แต่ท่านเปโตรยังให้เรายินดีว่า ได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่ต่างไปจากที่คนในโลกคิดความทุกข์ยากเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของผู้เชื่อ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เขาได้รับการยกเว้น เมื่อเราทนทุกข์ เราก็ได้ยินดี และยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อพระเยซู เสด็จกลับมาด้วยสง่าราศี

หากท่านถูกเยาะเย้ยเนื่องจากพระนามของพระคริสต์ ท่านก็ได้รับพระพร เพราะพระวิญญาณแห่งพระสิริ และองค์พระเจ้าประทับเหนือท่าน
1 เปโตร 4:14

มัทธิว 5:11, ลูกา 6:22, 1 เปโตร 3:14

ท่านเปโตรได้ยินพระเยซูตรัสเช่นนี้ในวันที่พระองค์เทศนาบนภูเขาด้วย มัทธิว 5:1-12 เมื่อพวกเขาจะติเตียน ข่มเหง กล่าวร้ายเจ้า เป็นความเท็จเพราะเรา เจ้าก็เป็นสุขจงชื่นชมยินดี เพราะบำเหน็จของพวกเจ้ามี เต็มบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระคำที่อยู่มา ก่อนเจ้าเหมือนกัน

อย่าให้ใครสักคนในหมู่พวกท่าน ทนทุกข์เพราะเป็นฆาตกร หรือขโมย หรือคนทำชั่ว หรือเป็นพวกที่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่น
1 เปโตร 4:15

2 เธสะโลนิกา 3:11, 4:11, 1 ทิโมธี 5:13

หากผู้เชื่อทำผิดต่อคนอื่น หรือทำผิดกฎหมายก็สมควรที่จะได้รับการลงโทษเหมือนคนอื่น ๆ แต่ที่แย่กว่าคือ เขาได้ทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่เสื่อมเสีย ไม่ใช่ว่าเมื่อทนทุกข์ด้วยสาเหตุที่ตนทำผิด เป็นการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า. เราจึงต้องมองให้ดีว่า ปัญหาในชีวิตเกิดจากอะไรเกิดจากความโง่เขลาของตนเองหรือจากการที่ คนอื่นมาข่มเหงพระนาม

แต่หากว่าใครต้องทนทุกข์เพราะเขาเป็นคริสเตียน ก็อย่าให้เขารู้สึกอาย แต่ให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า เพราะเขามีพระนามนั้นในชีวิต
1 เปโตร 4:16

1 เปโตร 3:17-18, ฟีลิปปี 1:29

การที่ถูกข่มเหงจากเพื่อนหรือพี่น้องเพราะว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ว่า ไม่ต้องอายเมื่อเกิดเรื่องขึ้น แปลว่า พระนามนั้นมีชีวิตในเราและเหตุการณ์นี้จะกลับทำให้เราได้ถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าอย่างไม่คาดฝัน ในสมัยก่อนเขาเรียก คริสเตียนว่า “ สาวก ผู้เชื่อ ศิษย์พระเยซู คนที่ เป็นของทางนั้น” ต่อมาจึงเรียกว่าคริสเตียน (กิจการ 11:26) หมายถึงคนที่กลับใจ เชื่อ ติดตามพระเยซูอย่างจริง

ท่ามกลางการทนทุกข์..มอบชีวิตแด่พระเจ้า

เพราะถึงเวลาที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า
และหากเริ่มต้นที่เรา ผลการพิพากษาจะเป็นอย่างไรกับคนที่ไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า
1 เปโตร 4:17

อิสยาห์ 10:12, ลูกา 10:12, 2 เธสะโลนิกา 1:8

การพิพากษาของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับการชำระ และเดินในทางของพระเจ้า พวกเขามีหน้าที่ต่อพระเจ้าและผู้อื่น ต้องกลับใจจริง เชื่อจริง ตัดขาดจากบาปจริง ..

และ “ถ้าคนชอบธรรมเกือบจะไม่รอด แล้วคนอธรรมและคนบาปจะเป็นอย่างไร?”
ดังนั้น ให้ทุกคนที่ทนทุกข์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฝากจิตวิญญาณของพวกเขาไว้กับ พระผู้สร้างผู้ทรงซื่อตรง และมุ่งทำดีต่อไปเถิด
1 เปโตร 4:18-19

สุภาษิต 11:31, สดุดี 37:5-7, 2 ทิโมธี 1:12

ยังมีความเข้าใจผิดในหมู่ผู้เชื่อว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไ่ม่ต้องทำอะไรอีก ท่านเปโตรกำลังบอกสิ่งที่ตรงข้าม จากที่อ่านมาเราจะเห็นว่า พระเยซูทรงให้ความรอดกับเราโดยที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เมื่อเรามาหาพระองค์ เราก็ต้องถวายชีวิตหมดสิ้นกับพระองค์เหมือนกัน ความรอดนั้นมีค่าเท่ากับชีวิตของพระเยซู ทุกคนที่จะตามพระเจ้าต้องเอาชนะตนเองแบกกางเขนของตนทุกวันและตามพระองค์ไป

1 เปโตร 3 ความสัมพันธ์ การทนทุกข์และพระพร

ความสัมพันธ์ในครอบครัว-ภรรยา

เช่นเดียวกัน ขอให้ภรรยาเชื่อฟังสามีของตนเพื่อว่า หากสามีคนใดไม่เชื่อพระคำของพระเจ้า แต่การกระทำของภรรยาอาจชนะใจเขาโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ความยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของท่าน
1 เปโตร 3:1-2

โคโลสี 3:18, 1 โครินธ์ 11:3,7:16, 14:34, เอเฟซัส 5:33,ฟีลิปปี 1:27, ปฐมกาล 3:16,มัทธิว 18:15

ข้อนี้ ท่านเปโตรบอกภรรยาว่า พวกเธอควรทำอย่างไรเพื่ออาจจะชนะใจของสามี ในโลกความ เป็นจริงเราจะเห็นว่า บางครอบครัวภรรยาชนะใจได้จริง ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร แต่บางครอบครัว สามีก็ไม่เชื่อต่อไป ยังตกอยู่ในความบาปต่อไป ท่านเปโตรไม่ได้ยินยันว่าจะสำเร็จแต่สิ่งดีที่เกิดขึ้นคือ ตัวภรรยาเอง ได้ทำตามพระทัยของพระเจ้า

การประดับตัวของท่านไม่ควรจะเป็นแค่ภายนอกอย่างเช่น การถักผม การสวมอัญมณีทองคำ หรือเสื้อผ้าสวยล้ำแต่ให้เป็นการประดับด้วยตัวตนจริงที่อยู่ภายใน เป็นความงามที่ไม่มีวันสูญคือหัวใจที่อ่อนโยนและสงบสุภาพ ซึ่งพระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่ายิ่งนัก
1 เปโตร 3:3-4

1 ทิโมธี 2:9-10, โรม 12:2, 2:29, 7:22, อิสยาห์ 3:18-24,โคโลสี 3:12,

ท่านเปโตรมีภรรยาด้วย สิ่งที่ท่านกล่าวถึงในตอนนี้ ไ่ม่ได้หมายความว่า แต่งตัวสวยไม่ได้ แต่ให้สิ่งนั้นมาเป็นรองความสวยงามที่เกิดขึ้นจากข้างใน เป็นความงามอย่างสงบ งามอย่างอ่อนโยนในการกระทำ เป็นความงามที่มีค่าในสายพระเนตร พระเจ้าซึ่งแตกต่างจากความงามในสายตาของ
มนุษย์อย่างสิ้นเชิง

สตรีผู้ที่หวังใจในพระเจ้าในอดีตได้ประดับตัวให้งดงามเช่นนี้โดยการที่พวกเธอยอมต่อสามี เหมือนอย่างที่ซาราห์ได้เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาว่า นายท่าน ท่านเองก็จะเป็นลูกหลานของเธอโดยการทำสิ่งดีและไม่หวั่นต่อสิ่งใด
1 เปโตร 3:5-6

ทิตัส 2:3-4 ,ปฐมกาล 18:12, โรม 9:7-9

ผู้หญิงคนหนึ่ง เลือกได้ว่าเธอจะชนะใจสามีด้วยวิธีของตัวเอง หรือทำตามอย่างที่พระเจ้าตรัสความสำเร็จที่ได้มาก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าท่านเปโตรขอให้สตรีหันกลับไปดูซาราห์ว่า เธอประดับชีวิตของเธอด้วยใจนิ่งสงบและเชื่อฟัง ให้เกียรติสามีของตน ยกเว้นมีครั้งหนึ่งที่เธอพลาดเรื่องฮาการ์ เมื่อเธอตัดสินใจด้วยตัวเอง (ปฐมกาล16)ผลที่เกิดขึ้นก็ร้ายแรง และยังส่งผลมาจนทุกวันนี้)




ความสัมพันธ์ในครอบครัว-สามี

ส่วนด้านของสามีก็เช่นกัน ให้ใช้ชีวิตกับภรรยาด้วยความเข้าใจว่าเธออ่อนแอกว่า และให้เกียรติเธอว่า เป็นผู้ร่วมทางชีวิตแห่งพระคุณ เพื่อว่าการอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
1 เปโตร 3:7

1 โครินธ์ 7:3, 12:23, เอเฟซัส 5:25, โคโลสี 3:19,

การใช้ชีวิตกับภรรยาอยู่กินด้วยกัน ทำมาหากินมีครอบครัวที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใครก็รู้ ครอบครัวดี น่ารัก ความสุขก็มาก ครอบครัวพัง มีแต่การทะเลาะวิวาท ทุกข์ก็เยอะ ในสมัยก่อนนั้น การที่สามีจะให้เกียรติภรรยาเป็นเรื่องยากเพราะพวกเขามองผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย คำสอนของท่านเปโตรเรื่องนี้จึงฉีกไปจากสังคมคนนอกทั่วไป ความเข้าใจการให้เกียรติว่าภรรยาเป็นผู้ร่วมทางชีวิตนั้น ทำให้ตัวเขาเองเกิดผลในการอธิษฐานต่อพระเจ้า

เรียกมาให้เป็นพระพร

สุดท้ายนี้
ให้ท่านทั้งหลายอยู่ด้วยกัน
โดยมีใจเดียวกัน
ให้เห็นใจกัน รักกันอย่างพี่น้อง มีใจสงสารกันและถ่อมตนต่อกัน
1 เปโตร 3:8

โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22, ยากอบ 3:17

ใจเดียวกันคืออย่างไร? ตอบไม่ยากเลย นั่นคือการมีใจของพระคริสต์ ถ้าทุกคนคิดได้อย่าง พระองค์ ความปรองดองก็เกิดขึ้น อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สามารถปรับเข้าหากันได้ แม้นิสัยใจคเราไม่เหมือนกันเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเองชัดเจนตั้งแต่เล็ก ๆ

อย่าทำร้ายตอบแทนการร้าย หรืออย่าดูหมิ่นตอบแทนการดูหมิ่นในทางตรงกันข้าม จงให้พรแก่เขาเสมอไป เพราะว่าท่านได้รับการเลือกมาให้ทำเช่นนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก
1 เปโตร 3:9

สุภาษิต 7:13, มัทธิว 5:44, มัทธิว 25:34, โรม 12:17,

เหตุใดเราจึงขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา?เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราขอพรเพื่อคนที่ดูหมิ่น?แล้วพระเจ้าจะทรงให้พรกับเขาตามที่เราขอตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร ซึ่งอาจไม่ตรงใจเรา เพราะเราเป็นผู้ถูกกระทำ แต่แล้วคำตอบคือ พระเจ้าทรงเลือกให้เราขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา ก็เพื่อเราเองจะได้รับพร เป็นมรดก และถ้าศัตรูของเราได้พร ล้ำเลิศคือได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ขึ้นมา เขาจะกลายเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อไป

เพราะว่าคนใดรักชีวิตและอยากเห็นวันดี ๆ จะต้องรักษาลิ้นจากความชั่ว รักษาปากไม่ให้พูดด้วยอุบาย และเขาจะต้องหันจากความชั่วร้ายทำสิ่งที่ดี เขาจะต้องตามหาสันติและมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อจะได้สันตินั้น
1 เปโตร 3:10-11

สดุดี 34:12-16, ยากอบ 1:26, สดุดี 37:27, โรม 12;18,

จากเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในเวลานี้ ทำให้เรารู้ว่า สันติสุขในบ้านเมืองไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย การจะมีสันติสุขในครอบครัว ในที่ทำงานเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจ ต้องมีความอดกลั้น และต้องมีความรักจริง ๆ จึงจะมีสันติได้ บางครั้งก็ต้องมองข้าม ให้อภัย ให้พรทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าไม่น่าจะให้สักนิด .. หากย้อนไปอ่านเปโตรบทที่ 3 ตั้งแต่ข้อแรกแล้วชีวิตเราเปลี่ยนจริง ๆ ตามนั้น มันจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก

เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้า
เฝ้าดูผู้ที่เชื่อฟังพระองค์
ทรงฟังคำอธิษฐานของพวกเขา
แต่ทรงต่อต้านทุกคนที่ทำชั่ว
1 เปโตร 3:12

ยอห์น 9:31, สดุดี 34:15-16, สุภาษิต 15:29,

พระคำตอนนี้ตั้งแต่ข้อ 10-12 ท่านเปโตรอ้างอิงมาจากสดุดี 34:12-16 เรามั่นใจได้ว่า พระเจ้าทรงมองคนที่ติดตามและเชื่อฟังพระองค์ และทรงตอบคำอธิษฐาน และทรงต่อต้านคนชั่วแน่นอน เราอย่านึกว่าพระองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่ ถ้าพระองค์ไม่ต่อต้านจัดการกับคนชั่วส่วนหนึ่ง ป่านนี้โลกคงเป็นจุณ แต่ถ้าพระองค์จะทรงกำจัดคนชั่วทุกคน โลกก็จะไม่เหลือใครเช่นกัน

ใครจะมาทำร้ายท่านได้ หากท่านมุ่งติดตามสิ่งที่ดี ?แต่หากท่านต้องทนทุกข์ เพื่อเห็นแก่ความเที่ยงตรง ท่านก็จะเป็นสุข อย่าไปกลัวการข่มขู่ของเขา หรืออย่ากังวลใจไป
1 เปโตร 3:13-14

สุภาษิต 16:7, โรม 8:28, 3 ยอห์น 1:11, ยากอบ 1:12, 1 เปโตร 2:19-20, อิสยาห์ 8:12-13

ที่จริงแล้ว เมื่อใครคนหนึ่งต้องการติดตามสิ่งที่ดี ถูกต้อง ก็ไม่น่าจะมีใครมาขัดขวาง แต่ในโลกความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น คนไม่น้อยที่ทำดีให้กับสังคม กลับถูกทำร้าย คนที่ต่อสู้เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ยากลำบาก อาจจะต้องเสี่ยงชีวิตเพราะไปขัดผลประโยชน์ของบางคน พระเจ้าทรงให้คริสเตียนรู้ว่า ถ้า ตั้งใจติดตามพระองค์ ทำสิ่งที่ดีแล้ว พระองค์ทรงให้พรเขา ทรงให้เขาเป็นสุขได้แม้จะต้องทนทุกข์

ขอให้ใจของท่านยกย่องว่า
พระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เตรียมตัวพร้อมที่จะตอบทุกคนที่ถามว่า เหตุใดท่านจึงมีความหวัง แต่ขอให้ตอบด้วยความสุภาพและนับถือ
1 เปโตร 3:15

สดุดี 119:46, ทิตัส 3:7, ลูกา 21:14-15, 2 ทิโมธี 2:25-26

แทนที่เราจะกลัว เรากลับมอบตัวเองให้กับพระเจ้าอีกครั้ง และมีคำตอบให้กับคนที่ถามว่า เหตุใดจึงเชื่อ เหตุใดจึงเป็นคริสเตียนเหตุใดจึงทำอย่างนั้น อย่างนี้ เราตอบทุกคนได้
อย่างกระจ่างแจ้งถ้าเตรียมพร้อม โดยตอบคำถามด้วยความสุภาพต่อคนที่ถามและความนับถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดู กิจการ 2:14-39,3:11-26,4:8-12

รักษาจิตสำนึกให้ดีเพื่อว่า
เมื่อท่านถูกใครกล่าวร้ายทั้งที่ท่านทำดี คนนั้นจะอับอายที่เขากล่าวหาท่าน
หากว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ‘การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้นก็ดีกว่าทนทุกข์เพราะทำชั่ว’
1 เปโตร 3:16-17

1 ทิโมธี 1:5, ฮีบรู 13:18, 1 เปโตร 3:21, 2:12,15,3:14,4:19, กิจการ 21:14, 2

สิ่งที่ท่านเปโตรได้เตือนพี่น้องนั้น เป็นสิ่งที่ท่าน ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง ตัวอย่างมีอยู่ในหนังสือกิจการ 5 ท่านประกาศพระนามพระเจ้า แต่พวกผู้ใหญ่ในศาสนายิวก็พยายามปิดปากให้ท่านและพี่น้องหยุดพูดพระนามพระเยซูแต่ท่านเปโตรก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร กลับรู้สึกดีใจ ภูมิใจที่ถูกดูหมิ่นเพราะท่านทำสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า

การทนทุกข์ของพระคริสต์ และของเรา

เพราะว่า พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปครั้งเดียวก็พอแล้ว พระองค์ผู้ทรงธรรม ทำเช่นนี้แก่คนอธรรมเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้ามาหาพระเจ้า พระกายของพระองค์สิ้นไปแต่ฝ่ายวิญญาณทรงมีชีวิตอยู่
1 เปโตร 3:18

ฮีบรู 9:26,28, 1 เปโตร 4:6

ครั้งเดียวพอ นั่นคือ การถวายชีวิตของพระเยซูเป็นเครื่องบูชานั้น ไม่ต้องทำซ้ำเหมือนกับเครื่องบูชาอื่น ๆ ไม่ต้องมีความดีของมนุษย์มาเสริมพระเยซูทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ไถ่คนบาป ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อคนบาปอย่างเราจะได้มาหาพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์ มีพระกายใหม่ที่ไร้ความจำกัดในเวลา สถานที่ ไม่ทรงมีพระกายแบบมนุษย์อีกต่อไป. อ่าน 1 เปโตร 1:19

และโดยทางวิญญาณพระองค์ได้เสด็จไปประกาศแก่บรรดาวิญญาณที่ถูกจำจอง ซึ่งในอดีต ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ครั้งที่พระองค์ทรงอดกลั้น รอคอยให้พวกเขากลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีไม่กี่คน แค่แปดคนที่ได้รับความช่วยเหลือให้รอดชีวิตจากน้ำ
1 เปโตร 3:19-20

1 เปโตร 4:6, อิสยาห์ 61:1, ฮีบรู 11:7,ปฐมกาล 6:3, 5, เอเฟซัส ​5:26

ภาพจาก wikimedia common. File:Bischheim Temple38.JPG

พระคัมภีร์ตอนนี้อาจเป็นข้อที่เข้าใจยากมาก มีความเห็นจากดร. ไมเคิล ไฮเซอร์ว่า พระวิญญาณของพระเยซูทรงลงไปบอกวิญญาณที่ติดคุกว่า พวกเขายังคงพ่ายแพ้ แม้ว่าพระองค์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่แผนการความรอดและการปกครองของพระเจ้านั้นไม่ได้หยุดชะงักไป ยังคงดำเนินต่อไป การสิ้นพระชนม์คือชัยชนะเหนือทุกวิญญาณชั่วที่ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นคือมาจากความตายแล้ว
สถิตอยู่ขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เหนืออำนาจ
ร้ายทั้งปวง (Heiser, The Unseen Realm, p. 339)

ความหมายบัพติศมาด้วยน้ำ

และน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงบัพติศมา บัดนี้ช่วยให้ท่าน รอดเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกจากร่าง แต่เป็นการถวายปฏิญาณต่อพระเจ้าเพื่อเราจะมีจิตสำนึกที่ดีต่อพระองค์ ความรอดนั้นมาได้ ด้วยการคืนชีพของพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 3:21

กิจการ 16:33, เอเฟซัส 5:26, ทิตัส 3:5, โรม 10:10

น้ำท่วมครั้งโนอาห์ ได้ชำระล้างบาปและความชั่วร้ายออกไป เป็นการเริ่มต้นใหม่ของโลกนี้ การรับบัพติศมาบอกถึงความหมายฝ่ายวิญญาณ ของการจุ่มน้ำ นั่นก็คือ ผู้รับบัพติศมาได้รับการชำระชีวิต จิตสำนึกของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลง และเขาได้ประกาศให้รู้ว่าเขาเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นหลักฐานที่บอกว่าเขาหันหลังให้กับชีวิตเดิม เขาได้รับความรอด เพราะการสิ้นชีพ-คืนชีพของพระเยซู เป็นการเริ่มต้นใหม่ของเขา

พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยทั้งทูตสวรรค์ เหล่าผู้ที่มีสิทธิอำนาจ และเทพที่มีฤทธิ์ทั้งหลาย ถูกจัดไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์
1 เปโตร 3:22

สดุดี 110:1, โรม 3:38, ฮีบรู 1:6

ภาพวาดโดย John Singleton Copley 1775

ในที่สุด พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ พระเจ้าทรงยกย่องพระเยซูสูงสุด ทรงอยู่เหนือวิญญาณทั้งสิ้นในจักรวาล ดังนั้นเราจะเห็นว่า แม้พระองค์ ทรงทนทุกข์จนสิ้นพระชนม์ แต่ชัยชนะสุดท้าย กลับเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว