สดุดี 32 อย่าให้มีบาปที่ไม่สารภาพ

ภาพจาก pixels.com ถ่ายโดย Hilary Halliwell

มัสคิลบทหนึ่ง ของดาวิด
ผู้ที่พระเจ้าทรงอภัย ก็เป็นสุขเหลือเกิน
1 คนที่พระเจ้าทรงอภัยการล่วงละเมิดก็เป็นสุข
คนที่ความบาปถูกลบไปแล้ว ก็เป็นสุข
2 คนที่พระยาห์เวห์ไม่ทรงถือโทษบาปก็เป็นสุข
คนที่ไม่มีจิตใจที่ล่อลวงก็เป็นสุข

บาปที่ค้างคา ทำลายชีวิต
3 เพราะเมื่อข้านิ่งเฉยอยู่ กระดูกก็ผุเปราะไป
ข้าร้องโหยหวนคร่ำครวญทั้งวัน
4 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่เหนือข้าทั้งวันและคืน
กำลังของข้าก็เหือดหายไปราวกับไอร้อนในฤดูร้อน
5 ข้ายอมรับบาปของข้าต่อพระองค์
และไม่ได้ปกปิดความผิดเอาไว้
ข้ากล่าวว่า “ข้าจะสารภาพความผิดบาปต่อพระยาห์เวห์”
และพระองค์ก็ทรงอภัยบาปชั่วของข้า เซ ลาห์

ป้องกันหายนะที่จะมาถึงชีวิต
6 ดังนั้น ให้ทุกคนที่อยู่ในทางของพระเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์
ในเวลาที่จะพบพระองค์ได้
แน่ที่เดียว มวลน้ำใหญ่จะไม่ท่วมถึงเขา …
7 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนตัวของข้า
พระองค์ทรงรักษาข้าให้พ้นจากความทุกข์ลำบาก
พระองค์ทรงโอบล้อมข้าไว้ด้วยเสียงแห่งการช่วยกู้ เซ ลาห์

พระเจ้าทรงเป็นผู้สอนตามทางชีวิต
8 เราจะสั่งสอนและชี้นำเจ้าไปในทางที่เจ้าควรจะเดินไป
เราจะให้คำปรึกษาพร้อมกับจับตาดูเจ้า
9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือลาที่ไม่มีความเข้าใจ
ที่ต้องถูกบังคับด้วยสายรั้งและบังเหียน
มิฉะนั้นจะไม่ยอมเชื่อฟัง

ความยินดีในพระเจ้าของคนเที่ยงธรรม
10 คนชั่วพบความทุกข์ใจหลายอย่าง
แต่ความรักมั่นคงอยู่ล้อมรอบคนที่วางใจในพระยาห์เวห์
11จงชื่นชมในพระยาห์เวห์ และยินดีเถิด เหล่าคนเที่ยงธรรมเอ๋ย
และร้องตะโกนด้วยความยินดี เหล่าคนที่มีใจเที่ยงตรง!

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 85:2,103:3

2* 2 โครินธ์ 5:19, ยอห์น 1:47

3* สดุดี 38:3,8

4* 1 ซามูเอล 5:6,11, 39:10-11

5* สุภาษิต 28:13,

6* 1 ทิโมธี 1:16, อิสยาห์ 55:6,

7* สดุดี 9:9, อพยพ 15:1

8* สุภาษิต 3:5-6, สดุดี 33:18

9* สุภาษิต 26:3,

10* โรม 2:9, สุภาษิต 16:20

11*สดุดี 64:10, 68:3, 97:12

คำอธิบายเพิ่มเติม สดุดี 32

คนที่…​ก็เป็นสุข เป็นสดุดีที่เริ่มต้นคล้ายสดุดีบทที่ 1

สดุดี 32:1-2
ผู้ที่พระเจ้าทรงอภัย ก็เป็นสุขเหลือเกิน
สดุดีบทที่ 32 นี้ หากเราได้ใคร่ครวญ เดินตาม และมีความเข้าใจถึงการทรงอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิต ใช้เวลากับบทนี้นาน ๆ ให้คำซึมซาบเข้าไปในหัวใจ ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลง อย่าปล่อยสดุดีบทนี้ไปเฉย ๆ แต่ให้กลับมาเพื่อเราจะได้รู้จักที่จะสะท้อนชีวิต การกระทำ พฤติกรรมของเราและทำให้ถูกต้องต่อพระเจ้า เชื่อกันว่า ข้อความทั้งหมดที่เขียนเป็นความรู้สึกของดาวิดหลังจากที่ท่านสำนึกผิดกลับใจจากบาปที่ท่านทำต่อครอบครัวของอุรียาห์ (2 ซามูเอล 11)
อ่านสองข้อนี้ให้ดีแล้วถามตัวเองว่า เราได้รับการอภัยบาปแล้ว พระเจ้าไม่ทรงถือโทษเราแล้ว แน่ใจไหมว่าเป็นอย่างนั้น

สดุดี 32:3-5
บาปที่ค้างคา ทำลายชีวิต
การนิ่งเฉย คือความดื้อเงียบ ไม่ยอมที่จะรับว่าตนเองทำผิด คิดว่าทิ้งบาปไว้มืด ๆ ไม่มีใครเห็นก็จบกัน แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังไว้จากพระองค์ได้เลย และคนที่พระองค์ทรงรักพระองค์จะลงวินัยกับเขาอย่างแน่นอน ที่ว่าพระเจ้าตีสอน แล้วพูดกันพร่ำเพรื่อ รู้ไหมว่า คนที่ถูกตีสอนคือคนที่พระเจ้าทรงรัก ทรงให้เขาเจ็บเพื่อเขาจะไม่ทำลายชีวิตของตนเอง
จากคำของดาวิดเราจะเห็นว่า ไม่ใช่แค่สำนึก หรือมโนธรรม หรือใจที่ฟ้องตนเอง (อ่าน 1 ยอห์น 3:16-24) แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าต่างหากที่หนักอยู่เหนือใจของท่าน
อย่าลืม… ไม่ว่าเราทำบาปต่อใคร ทำเรื่องอะไร ในที่สุดทุกอย่างมาตกที่เป็นการทำบาปต่อองค์พระเจ้าโดยตรง
แต่ถึงแม้ว่าบาปหนักเพียงไร เมื่อดาวิดตัดสินใจว่าท่านจะสารภาพบาป สำนึกผิด พระเจ้าก็ทรงซื่อตรงที่จะอภัยบาปให้ท่าน

สดุดี 32:6-7
ป้องกันหายนะที่จะมาถึงชีวิต
ดาวิดชวนให้ทุกคนอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนที่จะถึงเวลาแห่งความลำบาก มวลน้ำใหญ่นี้ หมายถึงความทุกข์ยาก ปัญหาต่าง ๆ อะไรก็ตามที่เกินมือของเราจะจัดการได้ ดาวิดตระหนักว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ช่วยกู้ท่าน และการโอบล้อมของพระเจ้าที่ท่านกล่าวถึง รู้สึกไหมว่า ปลอดภัยจริง ๆ

สดุดี 32:8-9
พระเจ้าทรงเป็นผู้สอนตามทางชีวิต
แล้วพระเจ้าก็ตรัสในใจของดาวิดว่า พระองค์จะทรงสอนและนำทางที่ควรจะไป ซึ่งเราหาได้จากพระคัมภีร์ ไม่จำเป็นต้องไปรอฟังเสียงของพระเจ้าด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ใคร ๆ แนะนำ เริ่มจากพระคำของพระองค์ แล้วความใกล้ชิดนั้นจะทำให้เราได้ยินเสียงของพระเจ้าได้ง่ายขึ้น พระเจ้าตรัสชัดเจนว่าอย่าดื้อ อย่าขาดความเข้าใจ อย่ามีตัวเองมากจนไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ หากดื้อมาก และพระเจ้ารักมากพระองค์อาจต้องใส่บังเหียนให้กับเรา เราคงไม่อยากได้แบบนั้น

สดุดี 32:10-11
ความยินดีในพระเจ้าของคนเที่ยงธรรม
สดุดีบทนี้จบด้วยความยินดี เพราะผู้เขียนได้ผ่านการตรวจสอบจากพระเจ้า ผ่านการสำนึกผิด การสารภาพบาปต่อพระองค์ และเขาก็พบว่า พระเจ้าทรงดีจริง ๆ เพราะทรงคืนความรักมั่นคงให้ ทรงโอบล้อมชีวิตของเขาให้ปลอดภัย เขาจึงสามารถร้องเพลงสรรเสริญพระองค์จากหัวใจจริง

สดุดี 31 คำอธิษฐาน และคำสรรเสริญพระเจ้า

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
คำร้องทูลของดาวิด
1 โอ พระยาห์เวห์ ข้าลี้ภัยในพระองค์
ขออย่าทรงให้ข้าต้องอับอาย
ขอทรงช่วยกู้ข้าในความเที่ยงธรรมของพระองค์
2 ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าด้วย ขอทรงรีบมาช่วยกู้
ขอทรงเป็นศิลาที่ลี้ภัยของข้า
เป็นป้อมปราการที่ช่วยให้รอด
3 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นศิลาและที่กำบังของข้า
ขอทรงนำทางและจูงข้าไป เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
4 ขอทรงฉุดข้าออกจากตาข่าย ที่พวกเขาแอบไว้เพื่อดักข้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นที่หลบภัยของข้า

ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
5 ข้าขอมอบจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
พระองค์ได้ทรงไถ่ข้า
โอ พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้าแห่งความจริง
6 ข้าชังคนเหล่านั้นที่เชื่อในคำมุสาอันไร้ค่า
แต่ข้าวางใจในพระยาห์เวห์
7 ข้าจะยินดีและชื่นชมในความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเห็นความยากเข็ญของข้า
พระองค์ทรงทราบความทุกข์ร้อนในจิตวิญญาณ
8 และพระองค์ไม่ได้ปล่อยให้ชีวิตข้าอยู่ในเงื้อมมือศัตรู
พระองค์ทรงวางเท้าของข้าไว้ในที่กว้างขวาง

ความเจ็บปวดของดาวิด
9 ขอทรงพระเมตตาต่อข้า
โอ พระยาห์เวห์ เพราะข้าทุกข์ใจนัก
ดวงตาของข้าชอกช้ำจากความโศกเศร้า
รวมไปถึงจิตวิญญาณและร่างกายของข้าด้วย
10 เพราะเวลาในชีวิตของข้า ใช้ไปกับความทุกข์โศก
ปีเดือนผ่านไปด้วยการถอนหายใจ
ข้าหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะความบาปของข้า
กระดูกของข้าก็แห้งกร่อนไป
11 ข้ากลายเป็นที่ตำหนิติเตียนเพราะเหล่าศัตรูของข้า
โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านของข้า
ข้าเป็นที่หวาดหวั่นของคนใกล้ชิด
เมื่อคนเห็นข้าตามทาง พวกเขาก็วิ่งหนีไป
12 ผู้คนลืมข้าไป ราวกับคนที่ตายไปแล้ว
ข้ากลายเป็นเหมือนภาชนะที่แตกหัก
13 เพราะข้าได้ยินเสียงกระซิบถึงความน่ากลัวรอบด้าน
ขณะที่พวกเขาสมคบคิดต่อต้านข้า
ขณะที่พวกเขาวางแผนจะเอาชีวิตข้า

ในความทุกข์ยาก ดาวิดวางใจในพระเจ้า
14 แต่ข้าวางใจในพระองค์ โอ พระยาห์เวห์
ข้ากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า”
15 เวลาของข้าก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ขอทรงช่วยข้าจากเงื้อมมือของเหล่าศัตรูและคนที่มาข่มเหง
16 ขอทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ฉายแสง
ลงมายังผู้รับใช้ของพระองค์
ขอทรงช่วยข้าในความรักมั่นคงของพระองค์
17 โอ พระยาห์เวห์ ขออย่าให้ข้าต้องละอายใจ
เพราะข้าร้องเรียกหาพระองค์
ขอทรงให้ศัตรูอับอาย ให้พวกเขาสยบนิ่งอยู่ในแดนตาย
18 ขอให้ปากที่พูดเท็จต้องเงียบไป
ปากที่กล่าวคำอหังการต่อต้านผู้ที่เที่ยงธรรม
ด้วยความก้าวร้าวและคำดูหมิ่น

ดาวิดรับว่าพระเจ้าทรงดียิ่งนัก
19 โอ ความดีของพระองค์นั้นมีมากเหลือล้นเพียงใด
พระองค์ทรงสะสมความดีนั้นไว้เพื่อคนที่ยำเกรงพระองค์
และเป็นความดีที่ทรงทำแก่คนที่ลี้ภัยในพระองค์
ต่อหน้าต่อตาลูกหลานของมนุษย์
20 พระองค์ทรงซ่อนเขาในที่ลี้ลับ ณ เบื้องพระพักตร์
ให้พ้นจากแผนการร้ายของมนุษย์
พระองค์ทรงเก็บพวกเขาไว้ใต้ร่มเพิงที่ประทับ
ให้พ้นจากลิ้นที่ชั่ว
21 ขอถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงแสดงความรักมั่นคงแก่ข้าอย่างน่าพิศวง
เมื่อข้าอยู่ในเมืองที่ถูกล้อม
22 ข้ากล่าวออกมาเมื่อตกใจว่า
“ข้าถูกตัดออกจากสายพระเนตรของพระองค์”
แต่พระองค์ทรงยินเสียงร้องทูลขอพระเมตตา
เมื่อข้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์

ชักชวนให้คนของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์
23 จงรักพระยาห์เวห์ ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์
พระยาห์เวห์ทรงปกปักรักษาผู้จงรักภักดี
แต่ทรงตอบสนองคนหยิ่งยโสอย่างเต็มขนาด
24 จงกล้าหาญ และพระองค์จะทรงเพิ่มพลังใจ
ทุกคนที่มีความหวังในองค์พระยาห์เวห์ !

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 5:8, 7:1, โรม 10:11

2* สดุดี 17:6, 18:2, 71:2

3* สดุดี 143:10-11, ยอห์น 16:13

4* สดุดี 25:15, 140:5, 2 ทิโมธี 2:26

5* ลูกา 23:46, ทิตัส 2:14,

6* โยนาห์ 2:8, สดุดี 24:4

7* อิสยาห์ 63:9, 49:13, สดุดี 119;153

8* ฉธบ. 32:30,โยบ 36:16,สดุดี 18:19

9* สดุดี 6:7, 88:9, เพลงคร่ำครวญ 5:17

10* สดุดี 88:15, 38:3, โรม 9:2

11*สดุดี 38:11,88:8, 88:18

12*โรม 9:21-22, อิสยาห์ 38:11-12, 30:14

13* เยเรมีย์ 20:10, เพลงคร่ำครวญ​ 2:22

14* สดุดี 56:3-4 140:6, 16:1-2

15* ยอห์น 17:1, โยบ 24:1

16* สดุดี 4:6, 80:3, โรม 9:15

17* สดุดี 25:2-3, เยเรมีย์ 20:11

18* ยูดา 1:15, สดุดี 94:4, 1 ซามูเอล 2:3

19* 1 โครินธ์ 2:9, อิสยาห์ 64:4,

20* สดุดี 27:5, 32:7,ยากอบ 4:6

21* สดุดี 17:7

22* เอเสเคียล 37:11, สดุดี 6:9

23* สดุดี 97:10, 34:9

24* สดุดี 27:14, 146:5

คำอธิบายเพิ่มเติม

สดุดี 31:1-4. คำร้องทูลของดาวิด
ถ้าเราเริ่มอ่านสดุดีบทนี้จากข้อ 9-13 ก่อน เราก็จะเข้าใจสภาพจิตใจของดาวิดในเวลานั้น ท่านเจอความทุกข์ใจ แต่ท่านก็เริ่มต้นด้วยการบอกว่า ขอลี้ภัย ขอพระเจ้าทรงฟัง ขอทรงช่วยกู้เร็ว ๆ ขอพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย ขอทรงกำบังไว้ ขอทรงนำทางและจูงไป ขอฉุดจากตาข่าย…. เรียกได้ว่าท่านระดมทูลขอแบบไม่ต้องนับเลยว่า ขออะไรบ้าง เพราะทุกข์ใจยิ่งนัก

สดุดี 31: 5-8. ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
การฝากจิตวิญญาณไว้กับพระเจ้านั้น คือ ทิ้งทั้งชีวิตให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแห่งความจริง …
กษัตริย์ดาวิดรู้ดีว่า การต่อสู้กับศัตรูไม่ใช่แค่ทางกายเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้กับการใส่ร้าย คำมุสาที่โหมกระหน่ำเข้ามา
ข้อเจ็ด ในความยากเข็ญ ดาวิดมั่นใจว่า พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างในหัวใจของท่าน
คำขอที่ให้พระเจ้าทรงวางไว้ในที่กว้างขวางจำเป็นมาก เพราะถ้าติดกับ จนมุมอยู่ก็จะหนีไปยาก ตั้งตัวยาก แต่ขอให้พระเจ้าทรงวางไว้ในที่กว้าง คือที่ ๆ มีทั้งความมั่นคงและปลอดภัยใต้พระเจ้า ไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือศัตรู!

สดุดี  9-13 ความเจ็บปวดของดาวิด
ดูสภาพของดาวิดในห้าข้อนี้ อ่านซ้ำไปมาจะเห็นว่า เป็นชีวิตที่ทรมานจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ดาวิดเป็นผู้กล้าในสายตาของเรา ท่านสู้กับยักษ์ใหญ่ที่ตัวโตกว่ามากมายอย่างไม่กลัว ก่อนที่จะเป็นกษัตริย์ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับผู้รักษาความสงบให้กับประชาชนที่เดือดร้อน เมื่อเราอ่านตอนนี้เราจึงเข้าใจว่า ในความเป็นวีรบุรุษ ไม่ได้หมายความว่า กล้าหาญ ชนะเสมอไป แต่ความทุกข์นั้นท่วมท้นมากมายไม่มีใครเข้าใจจริง ๆ ดาวิดจึงต้องการพระเจ้ามากเหลือเกิน
ในช่วงเวลาของชีวิตเราก็ตกอยู่ในสภาพนี้ได้เหมือนกัน. แต่…ท่านทำอย่างไรจึงพ้นสภาพนี้ได้?

สดุดี 31:14-18. ในความทุกข์ยาก ดาวิดวางใจในพระเจ้า
ข้อความตอนนี้ แตกต่างจากก่อนหน้า ดาวิดมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และเวลาของชีวิตที่มีไม่มากนั้น ก็อยู่ในการลิขิตของพระเจ้า และชีวิตก็จะไม่เป็นเหมือนข้อ 10 ที่เวลาเสียไปกับความเศร้าโศก พระเจ้าเองจะทรงเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากศัตรู ท่านขอให้แสงจากพระเจ้ามายังใบหน้าของท่าน คือขอความโปรดปรานและความดีของพระเจ้ามาปรากฏในชีวิตของท่าน
หากเราเชื่อว่าเวลาของเราอยู่ในพระเจ้าแล้ว ความกังวลมากมายในชีวิตจะลดลงไปเพราะไม่ต้องไปห่วงไม่ต้องไปกังวลเหมือนอย่างคนในโลกที่ไม่มีพระเจ้า

สดุดี 31:19-22 ดาวิดรับว่าพระเจ้าทรงดียิ่งนัก
ตอนจบเพลงนี้ ดาวิดคนเดิมในข้อ 9-13 ก็เปลี่ยนไป ท่านยอมรับว่า พระเจ้าทรงดีเหลือเกิน ความดีของพระองค์มีเป็นคลังสะสมไว้ให้คนที่ยำเกรงพระองค์ แม้มนุษย์จะมีแผนทำลายท่าน แต่ก็ไม่มีใครอาจแตะต้องชีวิตได้เพราะพระเจ้าทรงซ่อนท่านไว้ในที่ลี้ลับในที่ประทับของพระองค์ ตรงนี้กล่าวอีกแล้วถึงลิ้นที่ใส่ร้าย ดูเหมือนว่า เป็นศึกหนักสำหรับดาวิดเลยทีเดียว
แม้ว่าดาวิดอยู่ท่ามกลางการถูกโอบล้อม แต่พระเจ้าทรงมีวิธีที่จะให้ท่านปลอดภัย
เราอย่าลืมทูลขอพระเจ้าให้ปลอดภัยจากการโอบล้อมของศัตรูในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย
บางครั้งดาวิดรู้สึกเหมือนหมดหวัง กล่าวว่าถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่ทันทีท่านก็กลับมา และรู้ว่าเมื่อร้องทูล. พระเจ้าจะทรงฟัง

สดุดี 31:23-24. ชักชวนให้คนของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์
เมื่อเราได้ประสบการณ์จากพระเจ้าอย่างเช่นดาวิด ก็อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้ชักชวนคนอื่นรักพระเจ้าด้วย ก่อนหน้านี้เขามองตัวเอง แต่มาตอนนี้เขามองไปที่ประชาชนทั้งหลาย และในฐานะกษัตริย์ก็ชวนให้คนเหล่านั้นได้รักพระเจ้า เหตุว่าพระเจ้าทรงรักษาคนที่เที่ยงธรรมไว้ พระเจ้าจะทรงให้กำลัง ดังนั้นทุกคนควรที่จะกล้าหาญไม่หยุดเลย








คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง ยอห์น 11

น้องชายที่จากไป

ยอห์น 11:1-2
หมู่บ้านเบธานีอยู่ทางตะวันตกของภูเขามะกอกเทศ ไม่ใช่เบธานีที่อยู่อีกด้านของแม่น้ำจอร์แดน (ยอห์น 1:28) ท่านยอห์นได้แนะนำให้เรารู้ว่า มารีย์น้องสาวคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยชโลมพระบาทพระเยซู (มัทธิว 26:13) น่าสนใจที่ท่านยอห์น
เริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยการแนะนำมารีย์เช่นนี้ จากนั้นจึงเล่าเรื่องว่าลาซารัสน้องชายป่วยหนักมากจนต้องพึ่งพระเยซู เพราะท่าทางเป็นไปได้ว่าลาซารัสต้องตายแน่ พระเยซูทรงสนิทกับสามพี่น้องนี้เป็นพิเศษ
1* ลูกา 10:38-39. 2* ยอห์น 12:3

ยอห์น 11:3-6
เธอได้ส่งข่าวไปให้พระเยซูทราบโดยใช้คำว่า “คนที่ทรงรักกำลังป่วยหนัก” แค่นี้เป็นที่เข้าใจแล้วว่า พวกเขาต้องการความช่วยเหลือขนาดไหน แต่ดูสิ ในเวลาที่ลาซารัสตายไปแล้ว พระเยซูกลับทรงบอกศิษย์ว่า เขาไม่ตายแต่จะเป็นการถวายพระเกียรติพระเจ้า และพระบุตรจะได้รับเกียรตินั่นคือ การคืนชีพของลาซารัสจะเป็นการถวายเกียรติแด่พระบุตรผู้ทรงทำให้เขาฟื้นขึ้นมา จากดำรัสของพระเยซู เราเห็นได้เลยว่า พระองค์ทรงรู้ ทรงเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นที่บ้านเบธานี. ท่านยอห์นได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงรักพี่น้องทั้งสาม… แต่พระองค์ก็ไม่ทรงลนลานรีบไป วิธีของพระองค์นั้น นิ่งจนน่าแปลกใจ พระองค์ยังคงอยู่ที่เดิมอีกสองวันเสียด้วยซ้ำคิดดูแล้วกันว่า อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร .. น้องชายตาย ต้องทำศพ พันผ้า เอาศพไปไว้ในถ้ำเก็บศพต้องมีน้ำตามากมาย ฟูมฟายกันขนาดไหน และทั้ง ๆ ที่พระองค์จะสั่งให้ลาซารัสหายป่วย แบบทางไกลก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น
3* ยอห์น 11:5,11,36. 4* ยอห์น 11:11, มัทธิว 9:24, ยอห์น 9:3, 13:31. 5* – 6* ยอห์น 2:4, 7:6,8

ยอห์น 11:7-10
ตอนนี้พระเยซูทรงอยู่ที่perea พ้นไปจากจอร์แดน แต่ศิษย์ของพระองค์ทูลเตือนว่า ยิวต้องการจะเอาหินขว้างพระองค์อยู่ แล้วจะไปให้มีเรื่องทำไม.. การที่พระองค์ตรัสว่า กลางวันมีสิบสองชั่วโมง นั่นคือ พระองค์ยังมีงานที่ต้องทำอยู่ สิิบสองชั่วโมง
เป็นคำเปรียบเทียบหมายถึงเวลาที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้พระองค์ทำราชกิจในโลกนี้ และในช่วงเวลาที่ต้องทำงานนั้น จะไม่มีอันตรายมาถึงได้เลย ต้องรีบทำงานก่อนจะถึงวันสุดท้ายของพระองค์
7* ยอห์น 10:40, 8* ยอห์น 1:38, 8:59, 10:31 9* ลูกา 13:33, ยอห์น 9;4, 1 ยอห์น 2:1010* เยเรมีย์ 13:16

ยอห์น 11:11-16
เมื่อพระเยซูตรัสว่า เขาหลับอยู่ ท่านยอห์นผู้เขียนก็อธิบายด้วยว่า คำของพระเยซูหมายถึงตายแล้ว แต่ศิษย์ไม่เข้าใจเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าถ้าหลับอยู่ ก็จะหายป่วยได้ถ้าพระเยซูทรงไปรักษาเขา ทำให้พระเยซูต้องอธิบายอีกครั้งว่า ความจริงคือลาซารัสตาย แต่พวกเขาจะได้เห็นสิ่งที่ทำให้เชื่อมากขึ้น การที่พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อรักษานั้นกลับกลายเป็นโอกาสที่จะทำให้พระองค์ทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น มีการกล่าวถึงแฝดโธมัส แต่เราไม่ทราบว่า เขาเป็นแฝดของใคร แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นคือ เมื่อเขาจะไปกับพระเยซูไม่ว่าที่ไหน เขาคิดว่าจะตายพร้อมกับพระองค์ได้ เขาพูดทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นความจงรักภักดีจากใจของเขา
11* มัทธิว 9:24, 16* ยอห์น 14:5, 20:26-28

ผู้ที่เป็นชีวิตแท้จริง

ยอห์น 11:17-22
เหตุการณ์ต่อมาคือที่บ้านของลาซารัสเอง มีเพื่อน ๆ มาปลอบใจพี่น้องที่เสียน้องชายไป ศพถูกเก็บไว้สี่วัน อากาศร้อนอบอ้าวทำให้ศพเน่าเปื่อยเร็วขึ้น และวันนั้นเป็นวันที่พระเยซูมาถึง
ในตะวันออกกลางแม้ว่าเขาจะเอาศพไปเก็บทันที แต่งานศพยังมีต่อเนื่องเพื่อให้เพื่อนฝูงได้แสดงความเสียใจกับญาติของผู้ตาย แล้วมีคนมาเรียกหามารธาว่า พระเยซูมาแล้ว เธอรีบออกไปพบพระองค์ สิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้นมีความเชื่อว่า ถ้าพระเยซูอยู่ น้องชายจะไม่ตาย เธอมั่นใจว่าเธอขออะไรพระองค์จะตอบ แต่คำพูดนั้นแฝงด้วยคำตัดพ้อนิด ๆ และไม่ได้เชื่อว่า พระเยซูจะช่วยอะไรได้ไปมากกว่านี้ เป็นเรื่องปกติที่จะคิดว่า พระองค์ทำได้ระดับหนึ่ง แต่เธอไม่ได้คิดว่า ทรงทำได้ทุกอย่าง
ถึงกระนั้น มารธาก็ยังเชื่อวางใจพระเยซู
22* ยอห์น 9:31, 11:41

ยอห์น 11:23-26
แต่แล้วพระเยซูกลับทรงตรัสว่า น้องชายจะฟื้นขึ้นมา เธอเองก็มั่นใจว่า น้องจะฟื้นในวันสุดท้ายของโลก เป็นความเชื่อของยิวฝ่ายฟาริสีที่ชัดเจน แต่พระเยซูทรงหมายความว่าจะฟื้นวันนี้ ทรงยืนยันให้เธอทราบว่า พระองค์คือ ผู้ที่ฟื้นชีวิตคนตาย พระองค์คือชีวิต.. ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิต ทรงเป็นแหล่งชีวิต ใครเชื่อพระองค์จะไม่ตายอีกเลย แม้ว่ากายตายแต่วิญญาณยังมีชีวิต
พระองค์ถามว่าเธอเชื่อหรือไม่…ที่ทรงถามเพราะต้องการความเชื่อจากปาก จากใจของเธอ เพื่อตัวเธอเองจะได้รับพระพรจากพระเจ้า
ยอห์น 5:29, 25* ยอห์น 5:21, 6:39, 40,44. ยอห์น 5:10, 1โครินธ์ 15:22

ยอห์น 11:27-29
มารธาไม่ลังเลแม้แต่น้อย เธอมั่นใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้าที่ทรงส่งมาในโลก เธอย้ำชัดเจน..พระบุตรพระเจ้าที่ถูกส่งมา นี่เป็นความมั่นใจที่เราต้องมีเช่นกัน
จากนั้นเธอรีบไปบอกมารีย์แบบไม่ให้ใครรู้ว่า พระอาจารย์ทรงถามหาเธอ น้องสาวก็รีบไปพบพระองค์ แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้าที่ถูกส่งมา แต่ในสายตาของเธอ พระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์ด้วย
27* มัทธิว 16:16

ยอห์น 11:30-33
เมื่อมารีย์พบพระองค์ เธอก็พูดเหมือนพี่สาว เป็นคำพูดที่มีทั้งความเชื่อ และมีความน้อยใจแฝงอยู่ เมื่อพระเยซูทรงเห็นความโศกเศร้า น้ำตาของทุกคนในที่น้ัน พระเยซูทรงสะเทือนพระทัย เป็นอย่างยิ่ง ภาษากรีกเดิมนั้นมีความหมายว่า ถอนใจเหมือนกับม้า ซึ่งทำให้เห็นเห็นถึงความรู้สึกโกรธ และไม่พอใจในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงไม่พอใจศัตรูของพระเจ้า ผู้ชั่วร้ายที่ทำลายมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์ต้องตกในความตาย
31* ยอห์น 11:19, 33, 32* วิวรณ์ 1:17, ยอห์น 11:21

ยอห์น 11:34-37
ทรงให้พวกเขาพาไปดูที่เก็บศพของลาซารัส พระเยซูทรงร้องไห้ด้วย ร้องกับความทุกข์ใจของทุกคนที่มา และร้องให้กับความน่าสลดใจของชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจอกับความตาย ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาให้พบความสุขในพระองค์​ พวกยิวเห็นพระเยซูร้องไห้ ก็เริ่มออกความเห็นกันว่า พระองค์ทรงรักลาซารัสมาก และบางคนพูดถึงกับว่า พระองค์น่าจะทำให้ลาซารัสไม่ตายก็ได้พวกเขาคงเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำมาหลายอย่าง และสรุปไปเลยว่า พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง
35* ลูกา 19:41 37*ยอห์น 9:6-7, 38* มัทธิว 27:60-61

ลาซารัสคืนชีพ

ยอห์น 11:38-40
พระเยซูขอให้เปิดถ้ำทำไมกัน พระองค์เศร้ามากจนอยากเห็นลาซารัสอีกครั้งหรือ พวกเขาต่างให้เหตุผลว่าไม่น่าเปิดเพราะศพเน่าแล้ว แต่พระองค์กลับตรัสว่า ถ้าเชื่อก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คำของพระองค์นี้ ถามเราทุกคนเช่นกัน ไม่ว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ใด พระองค์ยังคงตรัสว่า เชื่อแล้วจะเห็นความยิ่งใหญ่ หรือความมหัศจรรย์ การช่วยเหลือ ที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนพระเจ้าทรงทำการยิ่งใหญ่ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีความเชื่อก็ได้. แต่ว่าอะไรล่ะ จะดีสำหรับเรามากกว่ากัน? อะไรล่ะ ที่ทำให้เราเกิดใจกตัญญู และเห็นพระสิริของพระเจ้า?
38* มัทธิว 27:60,66, 40* ยอห์น 11:4, 23

ยอห์น 11:41-43
แล้วพระเยซูทรงอธิษฐานขอบพระคุณที่พระบิดาทรงฟังเสมอ และทรงกล่าวว่าเหตุใดจึงทรงมายืนอยู่หน้าถ้ำ. นี่เป็นการอธิษฐานในที่ ๆ มีคนมากมาย เป็นคำอธิษฐานที่บอกว่า ทรงรู้จักพระบิดา และสนิทกับพระองค์ เป็นอย่างมาก ทรงอธิษฐานก่อนก็เพื่อคนทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาจริง ๆ จากนั้นก็ทรงเรียกลาซารัสออกมาด้วยเสียงดังมาก ทรงตะโกนจากปากถ้ำเข้าไปในถ้ำเป็นคำง่าย ๆ ใน คิดดูว่า เหตุการณ์ในตอนนี้ระทึกขนาดไหน คนที่เห็นลาซารัสจะเห็นเขาเป็นคนหรือเห็นเป็นผี?คำตรัสของพระเยซูสั้นมาก ในภาษาเดิมจะเป็น… ลาซารัส ออกมา …​
42* ยอห์น 12:30, 17:21,

ยอห์น 11:44
ทันทีที่ตรัสสั่ง ท่านยอห์นบันทึกว่า และผู้ที่ตายไปแล้ว.. ก็ออกมา นับเป็นเหตุการณ์เหลือเชื่อ สุดบรรยายเป็นพวกเราอาจวิ่งหนีกัน … คนที่เห็นต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน การฟื้นครั้งนี้ของลาซารัส เป็นการฟื้นมาโดยเขาจะตายอีกครั้ง ไม่ได้เป็นการคืนชีพแบบที่พระเยซูทรงฟื้นจากตาย แปลกที่ว่าเขาเดินออกมาเอง โดยมีแถบพันมือ พันขา และพันหน้าของเขาไว้ เหมือนกับลอยออกมาหรือเปล่านี่?​ พระเยซูทรงสั่งให้เอาผ้าที่ พันอยู่นั้นออกมา และปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แน่นอนที่ว่า ลาซารัสฟื้นขึ้นมาโดยไม่มีความเน่าในตัวของเขาให้เป็นที่รังเกียจ ฟื้นขึ้นมา ไม่มีโรคที่ทำให้เขาตายในตัวอีกต่อไป เขาจะกลับไปเป็นน้องชายที่อยู่ในครอบครัวซึ่งเป็นที่ รักของพระเยซูต่อไป
44* ยอห์น 19:40, 20:7

แผนฆ่าพระเยซู

ยอห์น 11:45-46
คราวนี้ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ก็แตกออกเป็นสองฝ่ายอีก เมื่อพระเยซูทรงทำการมหัศจรรย์ทีไร ก็มักเกิดการแตกคอกัน เพราะพวกหนึ่งจะเชื่อและเชื่อมากขึ้น พวกเขากลายเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์ต่อไป เขาเชื่อว่า พระเยซูมาจากพระเจ้าจริง ๆ อย่างที่
พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ส่วนอีกพวกก็จะพยายามต่อต้านทำร้ายพระองค์ เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปรายงานหัวหน้าปุโรหิตกับฟาริสี
45* ยอห์น 2:23, 10:42, 12:11,18. 46* ยอห์น 5:15

ยอห์น 11:47-48
และทันทีที่ได้ยินเรื่อง พวกเขาก็เรียกประชุมด่วน เพราะเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้จริง ๆ มันเป็นการกร่อนอำนาจที่พวกเขามีเหนือประชาชน พวกเขาต่างให้เหตุผลว่า คนจะตามพระเยซู แล้วโรมก็จะมีเหตุผลที่จะมายึดประเทศแบบเด็ดขาดพูดง่าย ๆ คือ มาริบอำนาจทางศาสนาของพวกเขาไป พวกเขาเห็นว่าพระวิหาร อำนาจต่าง ๆ เป็นของพวกเขาที่จะต้องรักษาเอาไว้ ไม่ได้คิดว่าทั้งหมดเป็นของพระเจ้า
47* สดุดี 2:2, กิจการ 4:16

ยอห์น 11:49-51
ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าปุโรหิต มีตำแหน่งที่มีหน้าที่ในการพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศ คายาฟาสเองได้กล่าวคำสำคัญออกมา โดยไม่รู้ตัว เขาเองประกาศก้องว่า พระเยซูจะตายเพื่อ ชนชาติยิว เพื่อไม่ให้โรมมาแตะต้องศาสนาของพวกเขา แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
49* ลูกา 3:2, 50* ยอห์น 18:14

ยอห์น 11:52-54
เขายังกล่าวต่อไปว่า ในการประหารพระเยซูนั้น จะกลายเป็นการรวมชนอิสราเอลต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียว เขากล่าวคำที่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ใช่แล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจะนำให้คนของพระเจ้าไม่ว่าเป็๋นยิวหรือเป็นคนต่างชาติ
เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็วางแผนฆ่าพระเยซู ซึ่งเรื่องนี้ พระเยซูทรงรู้ดี ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา พระองค์จึงเสด็จไปอยู่นอกเมือง ไกลออกไปทางถิ่นกันดาร
52* อิสยาห์ 49:6, เอเฟซัส 2:14-17, 53* มัทธิว 26:4, 54* ยอห์น 4:1,3, 7:1, 2 พงศาวดาร 13:19

ยอห์น 11:55-57
ต่อมาอีกไม่กี่วันที่จะถึงเทศกาลปัสกา พวกยิวบางส่วนจะมาล่วงหน้า เพื่อทำพิธีนี้ และผู้นำศาสนาต่างก็พยายามหาว่าพระเยซูมาในงานนี้หรือไม่ ครั้งนี้พวกเขากะว่าจะกำจัดพระเยซูให้สำเร็จไปเลย
55*ยอห์น 2:13, 5:1, 6:4, กันดารวิถี 7:10,13, 31:19,20. 56* ยอห์น 7:11, 57*มัทธิว 22:14-16