การทรงสร้างวันที่ห้า แพลงก์ตอน

ขอแนะนำคลิปสอนการทรงสร้างของพระเจ้าให้กับเด็ก อนุบาลสาม ประถมต้น โดยเราจะเข้าไปศึกษาสัตว์ พืช และสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นรายละเอียด คลิปนี้จะออกประมาณสัปดาห์ละครั้ง
เมื่อเด็ก ๆ เข้าใจว่าพระเจ้าของเขาทรงเป็นพระผู้สร้างที่ปราชญ์เปรี่อง และเด็กมีความรู้รอบในสิ่งที่เขาเห็นรอบตัว เข้าใจกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงวางไว้ เขาจะภูมิใจในพระองค์ และติดตามพระองค์ไปตั้งแต่ยังเล็กอยู่
ขอฝากให้พี่น้องแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ที่มีลูกเล็ก ๆ ด้วย เชื่อว่าจะได้ประโยชน์มาก
เพราะเป็นการเรียนรู้พระเจ้า พระคำ ดนตรี ศิลปะ ไปพร้อม ๆ กัน

ยูดา คำเตือนเพื่อรักษาความเชื่อ

ตระหนักว่าในคริสตจักรมีอันตรายเกิดขึ้น

ยูดา ทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ และพี่ชายของยากอบ
เขียนถึงท่านที่ได้รับการทรงเรียก และเป็นผู้ที่พระบิดาเจ้าทรงรักและเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักษาไว้
ยูดา 1:1

1 เปโตร 1:5; 1 เธสะโลนิกา 5:23

ขอให้ท่านได้รับพระเมตตา สันติสุขและความรักทวีคูณ
ยูดา 1:2

2 เปโตร 1:2; 1 เปโตร 1:2 ; วิวรณ์ 1:4-6

เพื่อนที่รักของข้า แม้ข้าตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านในเรื่องความรอดพ้นบาปที่เรามีร่วมกัน แต่ก็พบว่าจำเป็นต้องเขียนเพื่อหนุนน้ำใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อที่ทรงมอบให้กับวิสุทธิชนครั้งเดียวเป็นพอ
ยูดา 1:3

1 ทิโมธี 6:12; ฟีลิปปี 1:27; ฮีบรู 13:22

เพราะมีบางคนลอบเข้ามาโดยไม่มีใครสังเกต นานมาแล้วที่มีบันทึกว่า คนเหล่านี้จะถูกพิพากษา พวกเขาเป็นคนอธรรมที่เปลี่ยนพระคุณของพระเจ้าไปเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และยังปฏิเสธเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวของเรา คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
ยูดา 1:4

กาลาเทีย 2:4; 2 เปโตร 2:1-3; 2:10

ตัวอย่างของผู้ที่ถูกลงโทษ

บัดนี้ แม้ว่าท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าขอย้ำเตือนท่านอีกว่า พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ประชาชนออกมาจากอียิปต์ ต่อมาภายหลังก็ทรงทำลายบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
ยูดา 1:5

กันดารวิถี 26:64-65; ฮีบรู 3:16-4:2

และทูตสวรรค์ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งสิทธิอำนาจของตนเอง แต่กลับทิ้งสถานที่ ๆ ตนอยู่ พระองค์ก็ทรงล่ามโซ่ พวกเขาไว้เป็นนิตย์ ใต้ความมืดมนจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันที่ยิ่งใหญ่
ยูดา 1:6

2 เปโตร 2:4; มัทธิว 25:41; 8:29; เอเฟซัส 6:12

เหมือนอย่างเมืองโสโดมและโกโมราห์ และเมืองรอบ ๆ ที่ปล่อยตัวสนุกสนานทางเพศ และตามติดความวิปริตในกาม พวกนี้ เป็นตัวอย่างของบรรดาคนที่จะถูกลงโทษด้วยไฟนิรันดร์
ยูดา 1:7

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23; 2 เปโตร 2:6; โรม 1:26-27

บาปที่มากขึ้นของบางคนที่เข้ามา

คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน ปล่อยตัวไปตามฝันของตน ทำตัวเป็นมลทิน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ และกล่าวคำสบประมาทบรรดาศักดิเทพ
ยูดา 1:8

ฮีบรู 13:17; 1 เปโตร 2:17; 1 ทิโมธี 1:10

แต่เมื่ออัครทูตสวรรค์คือท่านมิคาเอล เกิดโต้แย้งกับมารเรื่องร่างของโมเสส ท่านไม่ได้กล่าวคำพิพากษาล่วงเกินมารเลย เพียงแต่กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตำหนิเจ้าเอง”
ยูดา 1:9

เศคาริยาห์ 3:2; 2 เปโตร 2:11; วิวรณ์ 12:7

แต่คนเหล่านั้นกลับสบประมาท ทุกสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ และก็ถูกทำลายโดยสิ่งที่ตนเองเข้าใจ โดยสัญชาตญาณซึ่งก็เหมือนสัตว์ที่ไม่มีเหตุผล
ยูดา 1:10

2 เปโตร 2:12; โรม 1:21-22

ลักษณะต้นแบบของคนที่หลอกลวง

วิบัติแก่พวกเขา เพราะพวกเขาเดินในทางของคาอิน และทำตามอย่างบาลาอัม เพื่อผลประโยชน์ และหายนะ เหมือนอย่างการกบฎของโคราห์
ยูดา 1:11

2 เปโตร 2:15; 1 ยอห์น 3:12; ปฐมกาล 14:3-4; วิวรณ์ 2:14; กันการวิถี 26:9-10

ลักษณะเฉพาะตัวของคนหลอกลวง

พวกเขาเป็นตัวมลทินในงานเลี้ยงรักพี่น้องของท่าน ได้ร่วมกินดื่มโดยไม่กลัว เป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆไร้น้ำถูกลมพัดพาไป เป็นต้นไม้ไร้ผล ปลายฤดูใบไม้ผลิ ตายแล้วสองครั้ง และถูกถอนรากถอนโคน
ยูดา1:12

มัทธิว 15:13; เอเฟซัส 4:14; เอเสเคียล 34:8

เป็นเหมือนคลื่นโหมในทะเล พัดฟองคลื่นแห่งความน่าอับอายขึ้นมา เป็นดาวที่เร่ร่อน มีความมืดมิดซึ่งอยู่ตลอดกาลรอคอยพวกเขาอยู่
ยูดา 1:13

2 เปโตร 2:17; ฟีลิปปี 3:19; อิสยาห์ 57:20

เอโนค ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม ได้พยากรณ์ถึงคนเหล่านี้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับล้านของพระองค์เพื่อ พิพากษา ทุกคน เพื่อให้คนอธรรมทั้งสิ้น ได้สำนึกในบาปที่พวกเขาได้ทำ รวมทั้งคนบาปจะสำนึกที่ได้กล่าวล่วงเกินพระองค์”
ยูดา 1:14-15

เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; สดุดี 50:3-5;
ฮีบรู 11:5-6; วิวรณ์ 22:12-15; 1 โครินธ์ 4:5

คนเหล่านี้เป็นคนช่างบ่น คอยจับผิดคนอื่น ทำตามความอยากที่ชั่วของตน ยกตนขึ้น โอ้อวด และประจบประแจงยกยอคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
ยูดา 1:16

2 เปโตร 2:1-4; 2:18; 2:10; ฟีลิปปี 2:14;

พี่น้องที่รัก ท่านต้องจดจำการพยากรณ์ล่วงหน้าของอัครทูตของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พวกเขากล่าวกับท่านว่า
“ในยุคสุดท้าย จะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยใช้ชีวิตตามความอยากที่ชั่วของตน” คนเหล่านี้แหละที่สร้างความแตกร้าว เป็นคนของโลก ปราศจากพระวิญญาณ
ยูดา 1:17-19

2 เปโตร 3:2; เอเฟซัส 4:11; กิจการ20:35
2 เปโตร 3:3; 2 ทิโมธี 4:3
1 โครินธ์ 2:14; ยากอบ 3:15

สิ่งที่ผู้เชื่อต้องใส่ใจลงมือทำเพื่อตัวเอง

แต่ท่านที่รัก จงสร้างตนขึ้นบนความเชื่อที่บริสุทธิ์ที่สุด
และอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยูดา 1:20

เอเฟซัส 6:18; โรม 8:26-27; โคโลสี 2:7

ให้รักษาตัวอยู่ในความรักของพระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราซึ่งจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ยูดา 1:21

2 เปโตร 3:12; 1 ยอห์น 4:16; ฮีบรู 9:28

สิ่งที่ต้องทำเพื่อผู้อื่น

และจงเมตตาต่อคนที่ยังสงสัยอยู่ จงช่วยคนอื่น ๆ ด้วยการฉุดพวกเขาออกจากไฟ แสดงความเมตตาต่อพวกเขาด้วยความยำเกรงพระเจ้า จงรังเกียจแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์
ยูดา 1:22-23

ยากิบ 5:19-20; กาลาเทีย 6:1
วิวรณ์ 3:4; 1 ทิโมธี 4:16

มั่นใจในพระเจ้า

แด่พระองค์ผู้ทรงรักษาท่านให้พ้นจากการสะดุดล้ม และผู้ที่จะทรงนำท่านอย่างไร้มลทินไปอยู่ต่อพระพักตร์ แห่งพระสิริด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แด่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระผู้ช่วยให้รอดของเราโดยผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราพระสิริ พระเกียรติ อาณาจักรและ
สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน

ยูดา 1:24-25

2 ทิโมธี 4:18; เอเฟซัส 3:20; โคโลสี 1:22

อธิบายเพิ่มเติม

ยูดา 1:1
หนังสือยูดา เขียนโดยยูดาซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูนั่นเอง (ท่านและยากอบเป็นลูกของโยเซฟ สามีของมารีย์) ท่านเขียนถึงคนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความมืด ให้มาอยู่ในการครอบครองของพระเจ้าที่ทรงรักพวกเขา เป็นความรักต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น เป็นผู้ที่พระเยซูทรงรักษาให้ปลอดภัยจากมารร้าย(ยอห์น 17:15) รักษาไม่ให้ล้มลง (ข้อ 24) รักษาจนกว่าจะถึงวันของพระเจ้า (2 ทิโมธี 1:12)

ยูดา 1:2
พระเมตตาจากพระเจ้าที่จะทรงอภัย ช่วยให้พ้นหายนะ ชำระเราให้สะอาด พระเมตตาที่ทรงส่งพระบุตรลงมา ที่ทรงเรียกเรามาให้เป็นลูกของพระองค์ เราได้รับพระเมตตาจากพระเจ้ามาก สันติสุขซึ่งไม่เหมือนโลกให้จากพระบุตร (ยอห์น 14:27) และความดีและความรักมั่นคงที่จะติดตามชีวิตของเราไปตลอดชีวิต (สดุดี 23:6) ทั้งสามประการนี้เป็นพระคุณที่ท่านยูดาขอให้พระเจ้าประทานแก่พี่น้องแบบทวีคูณขึ้นไป

ยูดา 1:3
ครั้งแรกท่านยูดาจะเขียนเรื่องความรอด แต่ท่านกลับรู้สึกว่าต้องเรียกให้พวกเขาต่อสู้เพื่อความเชื่อ เพราะมีคนที่สอนผิดแอบสวมรอยเข้ามาใน
คริสตจักร ท่านจึงจำเป็น ต้องสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้เขาสังเกตลักษณะของคนสอนผิด และเตรียมพร้อมที่จะสู้และต่อต้านคนที่ทำผิด
ที่บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอนั้น คือ ความเชื่อในพระพระดำรัส แรกของพระเจ้า ไม่ต้องเพิ่มเติมหรือลดทอนพระคำนั้น

ยูดา 1:4
คนเหล่านี้พยายามทำลายความเชื่อของพี่น้อง ผู้เชื่อจึงต้องพร้อมที่จะปกป้องความเชื่อ คนร้ายพวกนี้จะแอบเข้ามา ปากหวาน ใจเชือด ลับ ๆ ที่ผู้เชื่อมักไม่สังเกตเห็น
คนแบบนี้ พลิกพระคุณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยอ้างว่า พระเจ้าทรงดีและยกโทษให้ ดังนั้นจะใช้ชีวิตเสเพลอย่างไรตามใจตัวเองก็ได้ พวกเขายัง ไม่ยอมรับพระเยซู แต่เพิ่ม ตัด คำของพระองค์ตามใจ ตนเอง สังเกตจากสองอย่างนี้ จะรู้ว่า ใครเป็นใคร

ยูดา 1:5
พระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เรานำมาเตือนสติกันได้เสมอ ให้เราเข้าใจพระคำนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่านยูดาเตือนโดยยกสามตัวอย่าง ตัวอย่างแรกคือ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ก็จริง แต่เมื่อพวกเขาไม่เชื่อ บ่น สงสัยในการทรงนำของพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง พวกเขาก็ถูกทำลาย คนรุ่นแรกที่ออกมาไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในคานาอัน นี่เป็นพระพิโรธที่น่ากลัวนัก กันดารวิถี 14 เล่าเรื่องนี้

ยูดา 1:6
ตัวอย่างที่สองคือ กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ไม่ยอมอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขา แต่ทูตเหล่านี้กลับทำเกินกว่าที่ตัวเองควรทำ มีสองความเห็น ว่าเป็นทูตสวรรค์ที่เข้ามาใช้ร่างของมนุษย์ผู้ชายแล้วมีสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วเกิดลูกที่
เป็นยักษ์ที่เรียกว่า เนฟิลิม อีกความเห็นคือ เป็นซาตานที่ต้องการใหญ่เท่าเทียมพระเจ้า (อิสยาห์ 14)ถึงแม้พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์มา พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาเมื่อเขาไม่อยู่ในที่ ๆ เขาควรอยู่

ยูดา 1:7
ตัวอย่างที่สาม คือเมืองโสโดมและโกโมราห์ พวกเขาทำตามใจปรารถนาทางเพศของตนเอง มีความเร่าร้อนในเรื่องเพศและ ชอบใช้ชีวิตอย่างนั้นโดยไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย
พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาด้วยการส่งไฟกำมะถันลงมา เมืองเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างให้รู้ว่า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า อ้างพระคุณของพระเจ้าเพื่อทำความชั่ว พระองค์ทรงจัดการแน่

ยูดา 1:8
คนที่ปล่อยตัวตามฝัน หรือ เชื่อในความฝันของตนเองว่า สามารถบอกอนาคต ความฝันของตนนั้นมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิต คนเหล่านี้ทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยเข้า ก็หลงผิดไป คิดว่าตนมองเห็นอนาคตจริง ๆ แถมยังอวดอ้างตัวใหญ่โตกว่า วิญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ เขาไม่สนใจสิทธิอำนาจที่มีอยู่ก่อนเขา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจดีหรือร้าย

ยูดา 1:9
ทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมีเรื่องกับมาร ท่านเองไม่ได้กล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินมาร เพราะท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงจัดการกับมารเอง ดังนั้น คนที่เข้ามาในคริสตจักรและกล่าวถึงมาร แบบว่า เขาใหญ่กว่า เขาเก่งกว่า เขาไล่มันได้ อย่างเด็ดขาด เราก็ต้องพิสูจน์เลยว่า มีแค่คำ หรือมีฤทธิ์ของพระเจ้าที่จะไล่ผีมารที่คอยเข้าสิงคนจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะไม่อวดโอ้ เพราะฤทธิ์ที่เขามีไม่ใช่ของเขาเอง เแต่เป็นของพระเจ้า

ยูดา 1:10
ในที่สุด คนเหล่านี้จะถูกทำลายไปเอง เพราะการโอ้อวด ยกตนข่มมารนั้น ทำไปโดยไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเขา เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวของโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ดีเท่ากับมารที่เป็นวิญญาณ กลายเป็นว่าท่านยูดามองเห็นคนพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ ขู่คำรามอย่างไม่มีเหตุผล ไม่กลัวอันตรายที่อยู่ตรงหน้า

ยูดา 1:11
ท่านยูดากล่าวถึงคาอินที่ฆ่าน้องชาย คาอินเป็นคนที่ท่านยอห์นกล่าวว่า งานของเขาชั่วร้าย (1 ยอห์น 3:12) และ ฮีบรู 11:4 บอกชัดว่า น้องชายของเขาได้ถวายเครื่องบูชาด้วยความเชื่อ
บาลาอัมที่รับจ้างแช่งสาปคนอิสราเอล เพื่อเงิน อ่านเรื่องของเขาได้ในกันดารวิถี 22 25 31
ส่วนโคราห์ที่ดื้อดึงต่อท่านโมเสส อยู่ในกันดารวิถี 16 เขาเป็นเลวี แต่ใจอยากจะเป็นผู้นำอย่างโมเสส และขัดขืน ปฏิเสธผู้นำที่พระเจ้าทรงตั้งไว้

ยูดา1:12
งานเลี้ยงนี้คือ การที่ผู้เชื่อนำอาหารมารับประทาน ร่วมกัน คนที่ขัดสนก็มีโอกาสที่จะได้รับแบ่งปัน คนที่มีก็ได้โอกาสรับใช้ แต่คนที่ปลอมตัวมาก็จะฉวยโอกาส เอาประโยชน์ร่วมกินดื่มโดยไม่มีการแบ่งจากตัวเอง จะเห็นลักษณะของเขาห้าอย่าง ที่ไร้ค่า ถ่วงสังคมจริง ๆ
สามอย่างแรก คือเป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแค่ตัวเองเท่านั้นเมฆไร้น้ำ ดูเหมือนดีจะให้ฝน แต่แล้วฝนก็ไม่ตก เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลอีก เพราะตายไปแล้ว รากก็ถูกถอนไป

ยูดา 1:13
เขายังเป็นเหมือนคลื่นในทะเล ที่ชีวิตมีแต่ความน่าอาย แต่กลับไม่อาย ยังอวดสิ่งที่น่าอายในชีวิต ของตนโดยไม่รู้ตัวว่าน่าอาย เราเห็นคนแบบนี้ดาษดื่นในสังคมโซเชียลด้วย
นอกจากนั้นแทนที่จะเป็นดาวที่โคจรตามปกติ เป็นคนที่เราจะรู้ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว แต่กลับเป็น เหมือนดาวตก ผีพุ่งใต้ที่ปรากฏแล้วก็หายไป ห้าอย่างที่เป็นลักษณะของคนปลอมตัวเข้ามาในหมู่พี่น้องคริสเตียนและทำลายคนอื่น …

ยูดา 1:14-15
ท่านยูดาได้เตือนล่วงหน้าว่า จะมีการพิพากษาคนอธรรมหรือคนบาปทุกคนที่ล่วงเกินพระองค์ โดยที่ไม่ได้คิดจะกลับใจเลย คนเหล่านั้นมีคำสอน ผิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ในวันที่พระองค์ทรงพิพากษานั้น พวกเขาจะสำนึกได้ แต่มันก็สายไปแล้ว เวลาที่ยังไม่สายคือวันนี้ คำพยากรณ์ล่วงหน้านี้ ชัดเจน ไม่มีอะไรคลุมเครือ

ยูดา 1:16
ท่านยูดาสรุปนิสัยใจคอของคนที่สอนผิด ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในคริสตจักรเท่านั้น แต่มีทั่วไปในสังคมของเรา ซึ่งต้องระวังให้ดี ไม่ให้ตัวเราหลงไปกับการชักนำของพวกเขา เลนนอกซ์ นักคณิตศาสตร์คริสเตียนได้กล่าวไว้ว่า คนเรามักเชื่อง่าย ๆ ตามความอยากที่จะเชื่อ โดยไม่ค่อยใช้เหตุผล แต่เชื่อโดยใช้อารมณ์ ทุกวันนี้เราต้องระมัดระวังในการรับข้อมูลเพราะข้อมูลทุกอย่างส่งผลกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราโดยตรง

ยูดา 1:17-19
ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ท่านยูดาเตือน ล่วงหน้านั้น เป็นความจริง เพราะในโลกนี้กำลัง สับสน วุ่นวาย มีความเป็นศัตรู มีความเกลียดชัง กันโดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน หรือเคยทำร้ายอะไรกันเลย ความแตกร้าวที่เกิดขึ้นนั้น ท่านยูดาไม่ต้องการให้ เกิดในหมู่ผู้เชื่อ แต่ต้องการให้ทุกคนเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และสังเกตได้ว่าคนที่พยายามสร้างความแตกร้าวนั้นคือคนไหนกันแน่ คนไหนที่ต้องเลี่ยง เพราะคนพวกนี้แสดงเก่งยิ่งกว่าดาราอีก

ยูดา 1:20
ท่านยูดาขอให้พี่น้อง สร้างชีวิตขึ้นจากความเชื่อที่บริสุทธิ์ และการอธิษฐานที่รับการดลใจจากพระวิญญาณ คำว่าสร้าง คือการลงมือ ทำอะไรเพื่อชีวิตของตนเอง สร้างบนข่าวดีเรื่อง
พระเยซูคริสต์ ไม่สร้างด้วยคำสอนอื่นใด สร้าง ชีวิตที่มีเกียรติ ขยัน ถ่อมตน สู้ไม่ถอย ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณที่เมื่อเรา อธิษฐานจะทรงสำแดงว่า ควรอธิษฐานเพื่อใคร อย่างไร พระองค์จะทรงช่วยให้เรามีความเชื่อ เราจะเห็นว่าชีวิตแห่งความเชื่อจะ ก้าวหน้าได้ เป็นพลังมาจากพระเจ้าและมนุษย์สนองตอบต่อพลังนั้น

ยูดา 1:21
ข้อก่อนหน้านี้ ท่านยูดาขอให้เราสร้างชีวิตในความเชื่อบริสุทธิ์ และอธิษฐานในพระวิญญาณ บริสุทธิ์ และข้อนี้ให้รักษาตัวเองในความรักของ พระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระองค์ เท่ากับว่า สำหรับตัวเราเองแล้ว ก่อนที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เรามีหน้าที่ส่วนของเรา ไม่ใช่ว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตแบบ เดิม ๆ นั่นไม่ใช่การกลับใจ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราลงมือใช้ชีวิตอย่าง กระตือรือร้น ไม่ใช่เฉื่อยชาในทางของพระองค์ การอยู่ในร่มพระคุณความรักของพระเจ้านั้น

ยูดา 1:22-23
นอกจากจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยแล้ว ก็ต้องเอาใจใส่คนอื่นด้วย เพราะทุกคนเริ่มต้นไม่เท่ากันบางคนมารู้จักพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว ความเข้าใจก็น้อยกว่า แถมยังมีการมองโลกแบบเดิม ๆ ติดมาด้วยที่ยังเอาออกไม่หมด ทำให้พวกเขากลับไปอยู่กับชีวิตเดิมที่จากมา บางคนอาจต้องถูกฉุดจากนรก บังคับให้ออกเลย แต่ทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า ด้วยว่า เราเองก็อาจตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน

ยูดา 1:24-25
และเราต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่จะช่วยให้เราไม่ล้มลง ไม่พลาดจากทางไปสู่พระบิดาเจ้านั้น คือองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนพระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะถวายเราแด่พระบิดาเพราะพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ ลองถามตัวเองว่า เราได้ร่วมมือกับพระเจ้าที่จะทำให้ชีวิตเราไร้มลทิน ทำให้พระเยซูทรงยินดีได้ไหม
Edit 20241130

สดุดี 41 ชัยชนะแม้ถูกทรยศ

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
รางวัลของดาวิด
1 ความสุขมีแก่คนที่เอาใจใส่คนยากจน
พระยาห์เวห์จะทรงช่วยเขาให้รอดในเวลาลำบาก
2 ขอพระเจ้าทรงปกป้องรักษาเขา และช่วยเขาให้มีชีวิตรอด
และเขาจะได้รับพระพรในแผ่นดิน
พระองค์จะไม่ทรงยื่นเขาให้อยู่ในมือของศัตรู
3 พระเจ้าจะทรงรักษาเขา แม้ป่วยอยู่บนเตียง
พระองค์จะทรงรักษาเขาบนเตียงที่เขานอนอยู่

คำร้องทูลต่อพระเจ้า คำร้ายจากศัตรู
4 ข้ากล่าวว่า “ โอพระยาห์เวห์ ขอทรงเมตตาแก่ข้า
ขอทรงรักษาข้า เพราะข้าได้ทำบาปต่อพระองค์”
5 ศัตรูทั้งหลายได้กล่าวถึงข้าอย่างเสีย ๆ หาย ๆ
“เมื่อไรเขาจะตาย และสิ้นชื่อไปเสีย?”
6 เมื่อใครสักคนในพวกเขามาเยี่ยม
เขาจะกล่าวคำชั่วร้าย เขาเก็บความคิดชั่วไว้ในใจ
เมื่อออกไปก็พูดออกมา
7 คนที่เกลียดชังข้าต่างซุบซิบนินทาเรื่องร้าย ๆ
พวกเขาหาทางที่จะทำร้ายข้า
8 “เขาเป็นโรคร้าย และตอนนี้ก็นอนป่วยอยู่
ไม่มีทางได้ลุกจากเตียงนั่นได้หรอก”
9 แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ
คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้

การรื้อฟื้นของดาวิด
10 แต่พระองค์ พระยาห์เวห์ ขอทรงเมตตาต่อข้า
ขอทรงยกข้าขึ้น เพื่อว่าข้าจะได้ตอบแทนพวกเขา
11 เพราะอย่างนี้ ข้าจึงรู้ว่าพระองค์ทรงยินดีในข้า
นั่นคือ ศัตรูไม่อาจร้องโห่ชัยชนะเหนือข้าได้
12 พระองค์ทรงอุ้มชูข้าเพราะความซื่อตรงของข้า
และพระองค์ทรงวางข้าไว้ต่อพระพักตร์ตลอดไป

ถวายพระพรด้วยความยินดี
13 ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ทรงได้รับคำถวายพระพรตลอดไปเป็นนิตย์
อาเมน และอาเมน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 1:1, 2:12; มัทธิว 5:1-11

2*สุภาษิต 3:18, 21:28; สดุดี 27:12

3* 2 พงศ์กษัตริย์ 4

4*สดุดี 6:2, 103:3, 147:3

5* สุภาษิต 41:5; สดุดี 102:8

6* สดุดี 12:2; สุภาษิต 26:24-26

7*2 โครินธ์ 12:20; โรม 1:29

8* สดุดี 71:11

9*2 ซามูเอล 15:12; ยอห์น 13:18, 21-30; สดุดี 55:12-14

10* ลูกา 19:27; สดุดี 109:6-21

11* สดุดี 124:6; สดุดี 31:8

12* โยบ 36:7

13* สดุดี 72:18-19, 89:52; 106:48; 150:6

สดุดี 41:1-3
รางวัลของดาวิด
สดุดีบทนี้เป็นสดุดีเริ่มและจบด้วยการสรรเสริญพระเจ้า. กษัตริย์ดาวิดมีความมั่นใจในการช่วยเหลือ การปกป้องของพระเจ้า

ความสุขมีแก่… หรือพระพรมีแก่… คนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นพิเศษในแบบต่าง ๆ ให้เปิดดูพระคำเชื่อมโยงแล้วจะเห็นว่าความสุขมีแก่ใครบ้าง ในข้อสามบอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาอย่างเอาใจใส่ ให้เราเชื่อในการรักษาของพระเจ้า อย่าสงสัยไป

สดุดี 41:4-9
คำร้องทูลต่อพระเจ้า คำร้ายจากศัตรู
ดาวิดคิดเสมอว่า ความบาปของท่านกับความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน นั่นเป็นความตระหนักในใจของท่าน ทุกคนเองก็ย่อมมีความตระหนักที่แตกต่างกันไปตามแต่ที่พระเจ้าประทานความเข้าใจให้
แต่ในขณะเดียวกันข้อ 12 ท่านก็มีความซื่อตรงต่อพระเจ้าด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ละกรณีก็มีสาเหตุของมันเอง
ท่านเล่าว่าเมื่อมีคนมาเยี่ยม ก็มาเพื่อรวมรวมข้อมูล เอาท่านไปพูดเสียหาย เพื่อใส่ร้าย เพื่อทำร้าย เพื่อของท่านนั้น เป็นประเภทล้มแล้วเหยียบซ้ำ .. ในข้อ 9 เป็นเรื่องเดียวกันกับที่เกิดกับพระเยซูกับยูดาส ในยอห์น 13:8 และมัทธิว 26:21

สดุดี 41:10-12
การรื้อฟื้นของดาวิด
กษัตริย์ดาวิดสรุปโดย ทูลขอพระเมตตาให้พระองค์ทรงรักษาให้หายป่วยเพื่อว่าจะตอบสนองคนชั่ว ท่านเป็นกษัตริย์และจะต้องจัดการเพื่อความยุติธรรมและความมั่นคงของประเทศที่ปกครองอยู่
การที่ท่านกล้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงยินดีในท่าน เพราะท่านได้เมตตาต่อคนที่อ่อนแอ (ข้อ 1) ท่านได้สารภาพบาป ( ข้อ 4) และท่านมั่นใจว่า ความซื่อตรงของท่านยังมีอยู่ต่อพระเจ้า ท่านจึงมีความมั่นคงในพระเจ้าตลอดไปเพราะท่านอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ

สดุดี 13
ถวายพระพรด้วยความยินดี
คำว่า อาเมนคือ สิ่งนั้นเป็นจริง วางใจได้ ยืนยันแล้ว ให้สังเกตว่า สดุดี 1-41 นั้นจะลงท้ายด้วยการสรรเสริญพระเจ้า รวมถึงบทที่ 72, 89, 106, 150 พระพรที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ในบทที่ 1:1
จบสดุดีของดาวิด ใน 41:13 ด้วยการทูลถวายพระพรกลับไปที่พระเจ้า

3 ยอห์น 1 ตัวอย่างคนสองแบบ

คำทักทาย

จากผู้ปกครองถึงกายอัสที่รัก ผู้ที่ข้ารักในความจริง เพื่อนที่รัก ข้าอธิษฐานขอให้ชีวิตของท่านราบรื่น และให้มีสุขภาพที่ดีเหมือนอย่างมีสุขภาพดีฝ่ายวิญญาณ
3 ยอห์น 1:1-2

1 ยอห์น 3:18; 1 โครินธ์ 1:14; โรม 16:23;
2 เปโตร 1:3-9; 3:18; โคโลสี 1:4-6

ชื่อกายอัส อาจเป็นคนเดียวกับที่ท่านเปาโล พูดถึงใน 1 โครินธ์ 1:14 การอธิษฐานของท่านยอห์นนี้ เป็นตัวอย่างของการอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่เรารัก ไม่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ในเรื่องอื่น ๆ ของชีวิต พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงพระคุณ ที่จะตอบคำอธิษฐานของคนที่รักพระองค์

เพราะข้ายินดีมากเมื่อพี่น้องมาเป็นพยานถึงความจริงของท่าน ว่าท่านเองได้เดินในความจริง ไม่มีอะไรทำให้ข้ายินดีมากไปกว่า ได้ยินว่า ลูก ๆ ของข้าเดินในความจริง
3 ยอห์น 1:3-4

2 ยอห์น 1:4; สดุดี 119:11; 1 เธสะโลนิกา 3:6-9;
กาลาเทีย 4:19; 2 พงศ์กษัตริย์​ 20:3

ท่านยอห์นเองได้ข่าวมาว่า กายอัสติดตามพระเจ้าใช้ชีวิตในความจริง ทำให้ท่านเป็นสุขใจมากการเดินในความจริงนั้นคือ ใช้ชีวิตตามความจริง ที่ได้รู้มาจากพระคำของพระเจ้า เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นชีวิตที่ได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าแล้วและจะไม่ใช้ชีวิตในความบาปอีกต่อไป ไม่ว่าจะกายอัสหรือเราก็เหมือนกัน

เรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีและเลว

ท่านที่รัก ท่านพยายามสุดกำลังเพื่อพี่น้องอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาได้เป็นพยานถึงความรักของท่านให้คริสตจักรได้รับทราบ เป็นการดีที่ท่านจะส่งเขาเดินทางออกไปตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
3 ยอห์น 1:5-6

กาลาเทีย 6:10; โคโลสี 3:17; 2 โครินธ์ 4:1-3;
1 เธสะโลนิกา 2:12; ทิตัส 3:13;

กายอัสเป็นคนติดตามพระเจ้าที่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อ เขาได้ต้อนรับผู้เชื่อที่เดินทางไปประกาศตามที่ต่าง ๆ อย่างเต็มใจ คำว่าซื่อสัตย์ตรงนี้ เป็นตัวอย่างสำหรับเราเองสมัยก่อนนั้น ผู้ประกาศที่ออกเดินทางไปต้องพึ่งพ การสนับสนุนจากคริสเตียนในท้องถิ่น เพราะพวกเขามักไม่ได้รับค่าจ้างจากใครเลย กายอัสส่งพวกเขาไปต่อจากทรัพย์สินของเขาเอง

เพราะพวกเขาได้ออกไปเพื่อเห็นแก่พระนาม ไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ
ดังนั้นเราควรสนับสนุนคนเช่นนี้ เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ร่วมงานเพื่อความจริง
3 ยอห์น 1:7-8

วิวรณ์ 2:3; โคโลสี 1:24; 2 โครินธ์ 12:13
2 โครินธ์ 7:2-3; 1 โครินธ์ 3:5-9

การออกไปประกาศตามที่ต่าง ๆ เช่นนี้ ท่านยอห์นมีความเห็นว่าพวกเขาต้องไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ หรือคนที่ไม่เชื่อ คริสเตียนเองจะต้องเป็นผู้สนับสนุนคนของพระเจ้าด้วยกัน คนที่ออกไปควรที่จะได้รับการดูแลจากคนที่อยู่ข้างหลังอย่างเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด

ข้าได้เขียนบางอย่างไปยัง
คริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ชอบเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง ไม่ยอมรับเรา
ดังนั้น หากข้ามา ข้าจะเตือนเรื่องที่เขาทำ คือการพูดใส่ร้ายพวกเรา นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธไม่ยอมต้อนรับพี่น้อง และยังไปห้ามคนที่จะต้อนรับพวกเขา แล้วก็ไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรด้วย
3 ยอห์น 1:9-10

ทิตัส 1:7-16; ลูกา 22:24-27;
อิสยาห์ 66:5; สุภาษิต 10:10

การที่กายอัสต้อนรับ สนับสนุนพี่น้องจนได้รับคำชมก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการทำเช่นนั้น แถมยังห้ามคนอื่นทำด้วย นั่นคือ ดิโอเตรเฟส เป็นคนเหมือนคนยุคใหม่นี้ เขาใช้วิธีการคือให้ร้ายคนอื่น และยังทำตัวเหมือนมีสิทธิที่จะไล่คนอื่นออกไปจากชุมชนนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำดีอะไรให้สังคม เป็นคนแบบมีแค่สิทธ์ แต่ไม่รับผิดชอบ

พี่น้องที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วแต่ให้ทำตามสิ่งที่ดี คนที่ทำสิ่งดีนั้นมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วก็ไม่มีพระองค์ในสายตา
3 ยอห์น 1:11

อิสยาห์ 1:16-17; สดุดี 37:27

ที่ท่านยอห์นสอน ท่านก็ได้เขียนตัวอย่างให้เห็น คือ กายอัส และดิโอเตรเฟส ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว คนหนึ่งใส่ใจคนอื่น เอาสิ่งที่ตนมีสนับสนุนงานรับใช้ ช่วยแม้คนที่ ตนเองไม่รู้จัก ส่วนอีกคน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และทำลายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น โดยไม่คำนึงว่าตนเองทำประโยชน์ให้ใครหรือไม่

ทุกคนพูดแต่เรื่องดี ๆ ของเดเมตริอัส ซึ่งความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นความจริง เราเองก็เป็นพยานถึงความดีของเขาเพิ่มเติมและท่านก็รู้ว่า คำพูดของเราเป็นความจริง
3 ยอห์น 1:12

1 ทิโมธี 3:7; ยอห์น 21:24; กิจการ 12:22

แล้วท่านยอห์นก็กล่าวถึงอีกคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี คือเดเมตรีอัส คนที่จะดีจริงหรือเลวจริง เราจะมั่นใจไม่ได้จนกว่ามีพยานว่าคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร น่าสนใจที่ท่านยอห์นกล่าวว่า
ความจริงก็พิสูจน์ตัวตนของเดเมตริอัส เราไม่ทราบเรื่องราวของเขาเลย แต่สิ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง จะทรงเป็นพยานชีวิตเราอย่างไร?

อวยพรตอนสุดท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะ ข้าหวังว่าจะได้พบท่าน ในไม่ช้า เราก็จะได้คุยกันต่อหน้าจริง ๆ
ขอให้สันติสุขจงมีแก่ท่าน
เพื่อน ๆ ที่นี่ฝากความคิดถึงมาด้วย ขอโปรดส่งความคิดถึงจากข้า
มายังพี่น้องแต่ละคนที่นั่นด้วย
3 ยอห์น 1:13-14

2 ยอห์น 1:12; 1 เปโตร 5:14; เอเฟซัส 6:23; กาลาเทีย 5:16

ท่านยอห์นมีความรู้สึกว่า อยากพบหน้าพี่น้องมากกว่าที่จะแค่เขียนจดหมายถึง ในข้อ 14 ตอนท้ายนั้นมีความหมายว่า ให้บอกทุกคนเป็นรายตัวไปเลยว่า ท่านยอห์นคิดถึงจริง ๆ หัวใจของท่านอยู่กับ พี่น้องคริสเตียน และเชื่อว่าท่านอธิษฐาน เผื่อพวกเขาทุกวัน