ยอห์น 13 อาหารมื้อสุดท้ายกับการล้างเท้า

ทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์

คนหนึ่งจะทรยศเรา

บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า

ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

 พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์
 ข้อ 1-4

ในคืนวันที่รับประทานอาหารด้วยกัน พระเยซูผู้เดียวที่ทรงรู้ว่า การสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ การเสด็จกลับไปหาพระบิดา ใกล้เข้ามาทุกที
พระองค์ทรงรักศิษย์ของพระองค์จนถึงที่สุด เป็นความรักที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
และความรักที่พระเจ้าให้กับคนของพระองค์นั้น ก็ล้ำลึก ลึกซึ้ง แตกต่างจากคนที่ไม่ใช่ของพระองค์ด้วย ที่ว่าทรงรักเขาจนถึงที่สุดนั้น มีความหมายว่าทรงรักสุด ๆ ไม่ใช่เป็นรักตื้น ๆ อย่างที่คนเรารักกัน
เราจะเห็นว่าหัวใจพระเยซูกับหัวใจของยูดาส แตกต่างกันมาก ใจของยูดาสถูกชักนำโดยซาตาน มันชวนให้เขาทรยศพระเยซู! และเขาก็เดินตามการชักชวนของมารด้วย
แม้ว่าพระเยซูจะทรงทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้นในใจของยูดาส แต่พระองค์ไม่ได้กังวล พระองค์ไม่ไล่มารออกจากใจของยูดาด้วย เพราะว่า ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้า ยูดาสเองวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าจะทรยศพระองค์ เขาได้เงินค่าจ้างมาจากเหล่าปุโรหิตเรียบร้อยแล้ว พระเยซูทรงทราบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พระบิดาจะทรงให้เกิดนั้น พระเยซูทรงยอมทำตาม

1* ยอห์น 12:1 , 16:28 2*ยอห์น 13:11,27 ; 6:70,71 3*ยอห์น 17:2; มัทธิว 11:27; วิวรณ์ 2:27; ยอห์น 8:42; 16:28 4* ยอห์น 21:7; ลูกา 22:27


ข้อ 5-11
ในห้องนั้น มีอ่างน้ำที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้สำหรับแขกที่จะล้างเท้า คนที่จะทำหน้าที่ล้างเท้าแขกคือทาสต่างชาติ และจะล้างก่อนที่จะรับประทานอาหาร
แต่แล้วพระเยซูก็ทรงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เวลานั้นทรงล้างเท้าพวกศิษย์ด้วยพระองค์เอง ทรงเช็ดเท้าให้พวกเขาด้วยผ้าคาดเอว พระอาจารย์กำลังลดพระองค์เองไปเป็นดั่งทาส ต่างชาติที่คุกเข่าลงปรนนิบัติเหล่าศิษย์ที่ควรจะทำให้พระองค์ รู้ไหมว่า คนยิวด้วยกันยังไม่ล้างเท้าให้กันเลย
แต่แล้วเปโตรไม่ยอมให้พระองค์ทำ จึงทรงบอกว่า เขาจะไม่มีส่วนในพระองค์เลย เท่านี้ เปโตรก็ยอมและขอให้พระองค์ล้างทั้งตัวด้วย
การล้างเท้าศิษย์ครั้งนี้ มีความหมายล้ำลึกมาก พระองค์ตรัสว่า เปโตรอาบน้ำแล้ว ไม่ต้องชำระอีก ยกเว้นเท้าที่ต้องล้างเพราะเดินทางมาโดนฝุ่นผงสกปรกตามทาง
ความหมายของพระดำรัสตอนนี้มีผู้แปลให้กระจ่างว่า เราทุกคนที่ได้รับความรอดจากพระเจ้าเหมือนกับที่ได้อาบน้ำแล้ว เป็นคนชอบธรรมในพระเจ้าแล้ว แต่ว่ายังมีบาปทุกวันที่เราทำ ต้องการการชำระจากพระเจ้าเสมอ ดังนั้น เราจึงมาหาพระเจ้า และสารภาพบาป ที่ต้องชำระทุกวัน
เมื่อพระองค์ล้างเท้าพวกเขาเสร็จ ก็ทรงบอกให้พวกเขาล้างเท้าซึ่งกันและกัน ซึ่งมีความหมายว่า พี่น้องจะต้องรับใช้ช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ถ่อมใจลงรับใช้ ไม่ถือตัว แต่เป็นเหมือนทาสรับใช้อย่างที่พระเยซูทรงทำเป็นตัวอย่าง
(เรื่องพิธีล้างเท้านี้ มีหลายคริสตจักรได้รับมาทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรก ก็ไม่ได้มีการบันทึกว่า ทำเช่นนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจของแต่ละที่ แต่ละแห่งว่าควรทำเช่นไร พิธีอย่างนี้เมื่อทำแล้ว ความรู้สึกที่ได้มันก็ชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อมีพิธีแล้ว ก็ยังต้องมีการรับใช้อย่างถ่อมตนในชีวิตประจำวันด้วย เราคงมาล้างเท้ากันเป็นพิธีทุกวันไม่ได้ แต่เรารับใช้กันทุกวันได้)


5* 2 พงศ์กษัตริย์ 3:11 7* ดู ข้อ36 ยอห์น 12:16; 15:15; 8* มัทธิว 16:22 ; 1 โครินธ์ 6:11 ; เอเฟซัส 5:26; ทิตัส 3:5 10* ปฐมกาล 18:4; ยอห์น 15:3; ยอห์น 13: 18 11* ยอห์น 13: 2 ; 6:64; 2:24,25



ในข้อ 12-17 พระเยซูทรงย้ำให้เขาทุกคนทำตามอย่างพระองค์ และนี่เป็นทางแห่งความสุขที่พระเยซูทรงวางแบบไว้ให้กับเราทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูยังทรงล้างเท้าให้กับผู้เชื่อในพระองค์ ด้วยการส่งคนผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปปรนนิบัติคนทั้งหลาย นั่นก็คือพวกเราที่รับใช้พระองค์ในชีวิตประจำวัน
ข้อ 18-20 ขณะที่พระเยซูตรัสสอนพวกเขา ยูดาสเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้ทรงเลือกว่าจะล้างเท้าใคร ไม่ล้างเท้าให้ใคร แม้แต่คนที่กำลังทรยศพระองค์อยู่ ก็ทรงทำให้เขาด้วย …
ในสมัยโบราณนั้น การกินขนมปังร่วมโต๊ะกันมีความหมายว่า คนที่กินขนมปังก้อนเดียวกัน ก็เป็นส่วนของกันและกัน เป็นเพื่อนที่ใช้ชีวิตด้วยกัน
สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงรู้ทุกอย่างในจิตใจของยูดาส อิสการิโอท และพระองค์ทรงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า มีคนหนึ่งยกส้นเท้าใส่พระองค์ นั่นคือมีคนหนึ่งในพวกเขาจะทรยศพระองค์


12* ยอห์น 13:4,7 ; 13* ลูกา 6:46; มัทธิว 23:8,10; 1 โครินธ์ 8:6; 12:3; ฟีลิปปี 2:11; 14* 1 ทิโมธี 5:10; 1 เปโตร 5:5;
15* มัทธิว 11:29; 16* ยอห์น 15:20; มัทธิว 10:24; 17* ลูกา 11:28; ยากอบ 1:22; 18* ยอห์น 13:10-11; 6:70; 15:16,19; มาระโก 3:13; 19* ยอห์น 14:29; 16:4 20* มัทธิว 10:40



คนหนึ่งจะทรยศเรา
ข้อ  21-26

ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าคนนั้นคือผู้ใด พระเยซูเองก็ทรงบอกเลยไม่ได้อ้อมค้อม คนที่พระองค์ทรงส่งขนมปังให้กิน คนนั้นแหละ!
และขณะที่ยูดาสกินขนมปัง “ซาตานก็เข้าสิงเขา” พระเยซูทรงบอกให้เขารีบไปทำสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่พระเยซูตรัสกับยูดาสเลย มัทธิว 26:25 ทำให้เรารู้ว่า ยูดาสเองรู้ว่า พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งในใจของเขา
แต่ยูดาสเองเปิดใจให้กับซาตานแล้ว เงินสามสิบเหรียญที่ได้จากศัตรูมีความหมายมากกว่าชีวิตของพระอาจารย์


21* ยอห์น 12:27; มัทธิว 26:21; มาระโก 14:18; ลูกา 22:21; กิจการ 1:17. 22* ลูกา 22:23 23* ยอห์น 19:26; 20:2; 21:7, 20 ลูกา 16:22 25* มาระโก 4:36; ยอห์น 21:20 26 * มัทธิว 26:23; มาระโก 14:20; นางรูธ 2:14; มัทธิว 26:25; ยอห์น 6:71


ข้อ 27-30
พระเยซูทรงบอกให้ยูดาสไปทำตามแผนการของตนเอง แต่ทุกคนในที่นั้นยังไม่เข้าใจ แต่พระเยซูได้ทรงบอกศิษย์ที่เหลือว่า ทุกอย่างที่ทรงบอกในวันนี้ เมื่อเกิดขึ้นจริงในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจว่ามันคืออะไร และทรงบอกให้มั่นใจด้วยว่า ถึงแม้พระองค์จะดูเหมือนพ่ายแพ้ แต่ศัตรูไม่ได้มีอำนาจเหนือพระองค์แม้แต่น้อย


27*ลูกา 22:3; 1 โครินธ์ 11:27; ลูกา 12:50 29* ยอห์น 12:6 ; ยอห์น 13:1; ยอห์น 12:5 30* 1 ซามูเอล 28:8



บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า
ข้อ 31-35

หลังจากที่ยูดาสออกไป พระเยซูตรัสถึงพระเกียรติ หลายครั้ง เป็นพระเกียรติของพระบิดากับพระบุตรที่ส่งต่อกันและกัน เวลานั้น พวกศิษยไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงหมายถึงอะไร แต่สำหรับพระองค์ นั่นคือ ความอับอายที่พระองค์ต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชน มงกุฎหนาม การถูกเยาะเย้ย ความตายบนไม้กางเขน
นี่เป็นสภาพที่ใคร ๆ ก็เผชิญไม่ได้ แล้วพระเยซูก็ทรงให้คำบัญชาใหม่ที่พวกเขาคาดไม่ถึงนั่นคือ ให้พวกเขารักกันและกันเพื่อโลกจะได้รู้ว่า พวกเขาเป็นศิษย์ของพระองค์จริง ๆ และคำบัญชานี้ ก็มีเพื่อเราทุกคนในวันนี้ด้วย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน ต้องขอพระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา


31* ยอห์น 7:39; 14:13; 15:8; 17:1,4; 1 เปโตร 4:11 32* ยอห์น 17:1,5; ยอห์น12:23 33* ยอห์น 7:33-34; 8:21 34* 1 ยอห์น 2:7,8; ยอห์น 3:11; 2 ยอห์น 5; ยอห์น15:12,17; 1 ยอห์น 3:23; เลวีนิติ 19:18; โรม 16:8; โคโลสี 3:14; 1 เธสะโลนิกา 4:9; 1 ทิโมธี 1:5; ยอห์น 15:12; เอเฟซัส 5:2; 1 ยอห์น 4;10-11 35* 1 ยอห์น 3:14; ยอห์น4:20


ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร
ข้อ 36-38
เปโตรเองเป็นคนที่มีความตั้งใจจะติดตามพระองค์ เขาและเพื่อน ๆ คิดว่า พระเยซูกำลังจะออกเดินทางไปไหนสักแห่ง พระองค์ตรัสตอบชัดเจน พระองค์ทรงกำลังเดินไปสู่ความตาย
ไม่ใช่เป็นที่ ๆ เปโตรหรือใคร ๆ จะไปกับพระองค์เดิน ทางสายนี้มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะไปได้
เปโตรเองมั่นใจมากว่า เขาสามารถพลีชีวิตให้กับพระองค์ได้ แต่หารู้ไม่ว่า เขาเองจะกลัวตายจนกระทั่งกล่าวว่า เขาไม่รู้จักพระองค์


36* ยอห์น 13:7; 7:34; 14:2; 21:18-19 2 เปโตร 1:14 37* มัทธิว 26:33-35; มาระโก 14:29-31; ลูกา 22:33-34 38* ยอห์น 18:27







สดุดี 141 ขอทรงฟังเสียงร้องทูล

 ส่วนหนึ่งของภาพ เสก็ตช์โดย
Rembrandt, King David at Prayer 1652

สดุดีของดาวิด

ความเร่าร้อนใจของดาวิด
1 โอ พระยาห์เวห์
ข้าร้องหาพระองค์ ขอทรงรีบมาหาข้าด้วย
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเสียงของข้า
เมื่อข้าร้องทูลต่อพระองค์
2 ขอให้คำอธิษฐานของข้า
เป็นดั่งเครื่องหอมต่อพระพักตร์ของพระองค์
ขอให้การชูมือขึ้นนั้น เป็นเครื่องบูชาเวลาเย็น

ถวายตัวอีกครั้ง
3 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงระแวดระวังปากของข้า
ขอทรงเฝ้ามองประตูริมฝีปากของข้า
4 ขออย่าทรงยอมให้ใจของข้าหันหาความชั่วใด ๆ
อย่าให้ข้าสนใจกับการกระทำที่ชั่วร้าย
หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่ทำชั่ว
และอย่าให้ข้ากินอาหารที่อร่อยของพวกเขาเลย
5ขอให้คนเที่ยงธรรม ตีสอนข้า เพราะนั่นคือน้ำใจ
ให้เขาตักเตือนข้า เพราะนั่นคือน้ำมันเจิมศีรษะข้า
อย่าให้ศีรษะของข้าปฏิเสธคำเตือนของเขา
ถึงกระนั้น ข้าก็ยังต่อต้านความชั่วร้ายของคนอธรรมอยู่
6 เมื่อผู้พิพากษาของพวกเขาถูกโยนลงมาจากหน้าผา
คนทั้งหลายก็จะฟังคำของข้า เพราะเป็นคำที่อ่อนโยน
7 กระดูกของพวกเรากระจัดกระจายที่ปากทางแดนตาย
เหมือนกับดินที่ถูกไถและแตกกระจายออกมา
8 แต่สายตาของข้าจับจ้องอยู่ที่พระองค์ โอพระเจ้า
องค์พระยาห์เวห์ ข้าเข้าไปหลบภัยในพระองค์
ขออย่าทรงปล่อยให้วิญญาณของข้าต้องรับอันตรายใด ๆ
9 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากกับดักที่เขาเตรียมไว้ให้ข้า
จากบ่วงแร้วของคนที่ทำการชั่ว
10 ขอให้คนชั่วร้ายตกลงไปในบ่วงแร้วของพวกเขาเอง
ในขณะที่ข้าหนีไปอย่างปลอดภัย

พระคำเชื่อมโยง

1สดุดี 40:13; 70:5 2 ลูกา 1:10; วิวรณ์ 5:8; 8:3, 4
สดุดี 28:2; อพยพ 29:41
3* สดุดี 34:13; ,มีคาห์ 7:5
4* สดุดี 119:36 ; 94:4 ; สุภาษิต 23:6
5 สุภาษิต 9:8; 19:25; 25:12; 27:6; ปัญญาจารย์ 7:5; สดุดี 109:4
6* 2 พงศาวดาร 25:12; ลูกา 4:29; สดุดี 141:6
7* สดุดี 53:5;เอเสเคียล 37:1; สดุดี 141:7
8* สดุดี 25:15 ;11:1; 141:8
9* สดุดี 140:5
10* สดุดี Ps. 7:15

สดุดี 141:1-2
วันนั้น ท่ามกลางที่ประชุม ท่านขอให้คำอธิษฐานเป็นดั่งเครื่องหอมที่เผาถวายพระเจ้า ท่านชูมือขึ้นบ่งบอกว่า อยากจะอยู่ใกล้พระองค์ ขอพระองค์ทรงมองเห็น… สิ่งที่ดาวิดทำคือ ร้องทูลอธิษฐาน ชูมือขึ้นเป็นสัญญลักษณ์ของเครื่องหอมและเครื่องบูชา
คนที่พระเจ้าทรงใช้มาก คือคนที่เข้าใจว่าต้องอธิษฐานมาก เพราะว่านั่นคือ พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในการที่จะก้าวสู้กับศัตรู

สดุดี141:3-10
แม้ว่าจะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงจัดการกับศัตรู แต่อย่างแรกของดาวิดคือ ท่านขอให้พระเจ้าทรงระวังคำพูดของท่านนั้น ทำให้เห็นว่านี่เป็นคำอธิษฐานที่มีปัญญา บทที่แล้วเราเห็นว่า คนที่เป็นศัตรูคือคนที่ใช้ปากเป็นอาวุธ ดาวิดไม่ต้องการให้ตัวท่านเองเป็นเช่นนั้น
ท่านยังขอพระเจ้าที่ท่านจะไม่ตกหลุมไปทำการชั่วร้ายกับคนชั่ว (บางทีความชั่วรุนแรงจนเราเข้าไปเป็นพวกเขา)
ท่านขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ท่านยอมฟังคำเตือนจากคนของพระเจ้า เพราะคำเหล่านั้น เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้ชีวิตสดชื่น เป็นดั่งน้ำมันเจิมชำระชีวิต
ท่านรู้ว่าการเตือนของผู้ชอบธรรมมาจากพระเจ้า ดังนั้นท่านจึงต้องฟังให้ดี และขอให้ตนเองเปิดใจรับฟังคำที่มาจากคนของพระเจ้า
ตรงนี้ดูเหมือนเป็นข้อสั้น ๆ แต่นี่คือเคล็ดลับของความสำเร็จ คนที่รับการสอนได้ คือคนที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่คนที่ไม่ฟังคำเตือน หรือคำสอนใด ๆ นั้นคือ โง่ที่คิดว่าตนฉลาด
ข้อ 6 เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาจัดการผู้นำของศัตรู
ดาวิดทูลขอพระเจ้าให้ประชาชนฝ่ายนั้น ฟังเสียงของท่านที่กล่าวออกมาอย่างมีพลัง
ข้อ 7 เป็นข้อที่ยากจะเข้าใจ ดาวิดอาจบรรยายให้เห็นว่า หากคนชั่วชนะ คนฝ่ายพระเจ้าจะเป็นอย่างไร
ข้อ 8-10 ขณะที่ดาวิดอธิษฐาน ดวงตาฝ่ายวิญญาณของท่านมองตรงไปที่พระเจ้า และขอหลบภัยในพระองค์เท่านั้น ขอพระเจ้าให้พ้นกับดักศัตรู เราเองต้องขอพระเจ้าให้เราพ้นกับดักมารที่มีอยู่รอบตัว มีอยู่ตรงหน้าเรา จ่ออยู่ทุกวัน …

ยอห์น  12 องค์ราชาปรากฏแก่ประชาชน

ความรักและความเกลียด การติดตามและการปฏิเสธพระเยซูจากผู้คน ปรากฏชัดในบทนี้

พระเยซูทรงถูกเจิมที่บ้านเบธานี

ยิวที่สนใจ

พระเยซูเสด็จเข้าเมืองอย่างราชา

มีคนตามหาพระองค์

คำเปรียบเมล็ดข้าวกับชีวิต

พระสุรเสียงจากสวรรค์ พระบุตรที่ถูกยกขึ้น

ยิวไม่เชื่อ

คำกล่าวแห่งชีวิตที่อาจให้โทษ

คำอธิบายเพิ่มเติมและข้อพระคำเชื่อมโยง

ยอห์น 12:1-8 พระเยซูทรงถูกเจิมที่บ้านเบธานี
น้ำมันนารดาที่มารีย์กำลังจะใช้ชโลมพระเยซูนั้น สกัดจากรากไม้ชนิดหนึ่งจากอินเดีย เธอเจิมน้ำมันนี้ที่พระบาทของพระเยซู เธอกำลังความรักเคารพพระเยซูอย่างสูง ราคาของน้ำมันนี้สูงถึงค่าแรง 1 ปีเลยทีเดียว
คนที่ไม่พอใจอย่างยิ่งสำหรับเรื่องนี้คือ ยูดาส ผู้เป็นคนดูแลการเงิน และเขาก็มักจะยักยอกเงินไปใช้ส่วนตัวเสียด้วย เขาจึงออกความเห็นว่า มารีย์ไม่ควรทำเช่นนี้ แต่พระเยซูทรงบอกเขาชัดว่า เธอกำลังทำเพื่อพระศพของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่มารีย์เองไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำเช่นนั้นอยู่) อย่างหนึ่งที่พระเยซูบอกยูดาสคือ ไม่ต้องไปกังวล อยากช่วยคนจน จะช่วยเมื่อไรก็ได้เพราะอีกไม่นานพระองค์ก็ไม่อยู่แล้ว
1* ยอห์น 11:1,43 2* มัทธิว  26:11, มาระโก 14:3; ลูกา 10:38-41. 3*ยอห์น 11:2; เพลงซาโลมอน 1:12. 4*ยอห์น 13:26 6*ยอห์น 13:29. 8* มาระโก 14:7;

ยอห์น 12:9-11 ยิวที่สนใจ
ผู้คนที่ได้ข่าวว่าพระเยซูมาที่บ้านนั้น ต่างก็พากันมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น …. แต่จากเหตุการณ์เราได้รับรู้ว่า เหล่าปุโรหิตใหญ่ก็วางแผนที่จะสังหารลาซารัสด้วย ส่วนใหญ่เป็นพวกสะดูสีที่ไม่เชื่อในการคืนชีพ ดังนั้นการมีคนที่ตายไปจนขึ้นอึด แต่แล้วฟื้นขึ้นมาอยู่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้เป็นการหยามความเชื่อกันมาก ๆ
ในทางตรงข้าม ก็มียิวที่หันมาเชื่อพระเยซูจริงจังกันขึ้นอีก การคืนชีพของลาซารัสนั้น พิสูจน์ว่า พระเยซูทรงมาจากพระเจ้าจริง ๆ คนที่เคยเชื่อก็ยิ่งเชื่อมั่นขึ้นไปอีก
9* ยอห์น 11:43,44. 10* ลูกา 16:31. 11* ยอห์น 11:45, 12:18

ยอห์น 12:12-23 องค์ราชามาเยี่ยมเยือน
คนยิวที่มางานเทศกาลปัสกานั้น มาจากทุกทิศ และเมื่อเขาได้ข่าวเรื่องพระเยซู ก็พากันมาต้อนรับพระองค์ ซึ่งทรงลาอย่างที่เศคาริยาห์ ได้กล่าวล่วงหน้าไว้นานแล้ว
ดูสิ ขณะที่พระเยซูทรงลา พวกเขายังมองพระองค์เป็นกษัตริย์ที่จะมาปลดแอกจากโรม พวกเขาร้องว่าพระองค์มาจากพระเจ้า นำเอาใบปาล์มซึ่งนิยมใช้กับการฉลองต่าง ๆ มาโบกต้อนรับพระองค์ ร้องตะโกนคำว่า โฮซันนา คือขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้ และและเมื่อพวกเขาร้องว่า พระผู้เสด็จมาในพระนามของพระเจ้า นั่นก็หมายถึงพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมนั่นเอง
พวกเขาสรรเสริญพระองค์อย่างกึกก้องไปทั่วเมือง เท่ากับต้อนรับพระองค์ในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ตามคำในสดุดี 118:25-26
ประชาชนร้องขอให้พระเยซูทรงช่วย แต่พวกเขาลืมสังเกตไปว่า พระองค์ไม่ได้ขี่ม้า ไม่สวมเครื่องแบบทหารเข้ามา พระองค์ทรงขี่ลา ซึ่งมีความหมายถึงสันติ
เหตุการณ์นี้พร้อมกับการคืนชีพของลาซารัส จุดความโกรธของเหล่าปุโรหิตให้รุนแรงขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน พระเยซูกลับเป็นคนที่ชาวกรีกมาตามหา เพราะอยากรู้จักเหลือเกิน
ส่วนพระเยซูล่ะ พระองค์ทรงรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ประชาชนพากันมาชื่นชมพระองค์หรือเปล่า? … ลองกลับไปอ่านลูกา 19:41-44 พระองค์ทรงทรมานใจเหลือเกิน….
12*มัทธิว 21:4-9 13* สดุดี 118:25-26 14* มัทธิว 21:7 15*เศคาริยาห์ 9:9 16*ลูกา 18:34; ยอห์น 7:39; 12:23; 14:26. 18* ยอห์น 12:11 19* ยอห์น 11:47-48. 20*กิจการ 17:4, 1 พงศ์กษัตริย์ 8:41,42 21*ยอห์น 1:43,44; 14:8-11 23* ยอห์น 13:32, กิจการ 3:13

ยอห์น 12:24-26 คำเปรียบเมล็ดข้าวกับชีวิต
เมื่อพระเยซูทรงรู้ว่า มีชาวต่างชาติมาตามหาพระองค์ จึงทรงบอกศิษย์ว่า ถึงเวลาที่พระองค์จะได้รับเกียรติ ซึ่งไม่มีใครในหมู่ศิษย์เข้าใจเลย
พระเยซูทรงกล่าวถึง
*เมล็ดพืชที่ต้องตาย และงอกขึ้นมา เพื่อว่าจะเกิดผลมาก … พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อคนทั้งโลกจะได้รับความรอด และไม่ใช่แค่พระองค์เท่านั้น แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จำนวนมากก็ได้กลายเป็นเมล็ดที่ ตายไปเพื่อการเกิดผลด้วยเช่นกัน
* คนที่รักชีวิตต้องทำอย่างไร นี่เป็นคำเตือนที่สำคัญมาก คนที่มีชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น กลับกลายเป็นคนที่เสียชีวิตไปเปล่า ๆ แต่คนที่ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจน้ำพระทัยพระเจ้านั้น แม้จะต้องเสียสละชีวิตของตน เหมือนว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง กลับจะเป็นคนที่ได้รับสิ่งที่เป็นนิรันดร์
* คนที่จะรับใช้พระเจ้า ต้องทำอย่างไร ก็คือตามพระองค์ไป อยู่ใกล้ชิดพระองค์ พูดดูเหมือนสั้น แต่ทำจริงหมายถึงทั้งชีวิต แต่สิ่งที่เขาจะได้รับนั้น เหลือเชื่อ!!… คือ พระเจ้าจะทรงให้เกียรติเขาคนนั้น
24* 1โครินธ์ 15:36 25* มาระโก 8:35 26*มัทธิว 16:24; ยอห์น 14:3, 17:24

ยอห์น 12:27-36. พระสุรเสียงจากสวรรค์ พระบุตรที่ถูกยกขึ้น
ตอนนี้เราเห็นความทุกข์ใจของพระเยซูเองเพราะเรื่องที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนกางเขน ต้องเป็นเมล็ดพืชที่ต้องตาย เป็นความทุกข์ที่ไม่มีใครตอนนั้นเข้าใจเลย … ตอนนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงติดต่อกับพระบิดา เป็นเวลาที่พระองค์ทรงเจ็บปวดพระทัย พระองค์ไม่ได้แสดงว่าทรงเป็นวีรบุรุษ เป็นอัศวิน แต่ทรงเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ที่จะต้องเผชิญกับไม้กางเขนที่ไม่ใช่ความบาปของพระองค์ และเผชิญกับความตายอันน่าอับอาย
แต่…ในที่สุดพระเยซูถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า !
ไม่ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับอะไร พระองค์จะถวายพระเกียรติพระบิดา จะเชื่อฟังพระองค์ จะทำตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อโลกที่พระเจ้าทรงรัก


แล้วพระเจ้าทรงตอบลงมาจากสวรรค์อย่างมหัศจรรย์ คนในที่นั้นได้ยินเสียงของพระบิดา แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องบ้าง เสียงทูตสวรรค์บ้าง เราจึงพอประเมินได้ว่า หลายคนไม่ได้ยินเป็นเสียงพูดที่ชัดเจน
พระเจ้าได้ทรงให้เกียรติพระเยซูในการเกิดจากหญิงสาวพรหมจารี จากทำงานของพระองค์ การอัศจรรย์ต่าง ๆ มาโดยตลอด และต่อไปพระเจ้าจะทรงให้เกียรติแก่พระบุตรจากการสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ด้วย ตอนนั้นไม่มีใครที่อยู่กับพระเยซูเข้าใจอะไร ที่พวกเราเข้าใจเพราะเราเห็นภาพทั้งหมดโดยรวมแล้ว
พระเยซูทรงสรุปให้พวกเขาว่า เมื่อทรงคืนพระชนม์คนทั้งหลายจะกลับเข้ามาหาพระองค์ แต่ตอนนั้น ทุกคนที่ฟังอยู่ก็ยังไม่เข้าใจ
พระเยซูไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา แต่ทรงเตือนให้เขาเดินในความสว่าง เพราะว่าความสว่าง(คือพระองค์) จะไม่ได้อยู่กับเขานานนัก แล้วจากนั้น พระองค์ก็จากพวกเขาไป
27* มัทธิว 26:38,39; ลูกา 22:53 28* มัทธิว 3:17; 17:5 30*ยอห์น 11:42 31* 2 โครินธ์ 4:4 32*ยอห์น 3:14; 8:28; โรม 5:18 33* ยอห์น 18:32; 21:19 34* มีคาห์ 4:7 35*ยอห์น 1:9; 7:33; 8:12; เอเฟซัส 5:8; 1 ยอห์น 2:9-11 36* ลูกา 16:8; ยอห์น 8:59






ยอห์น 12:37-43 ยิวไม่เชื่อ
ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่สำคัญมากมาย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พระองค์คือ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมมาให้เป็นพระเมสสิยาห์ แต่ยิวโดยเฉพาะพวกที่ติดอยู่กับพิธีกรรม บัญญัติ ก็ไม่เชื่อว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ คำว่าเชื่อนั้น ปรากฏในพระคำช่วงนี้หลายครั้งทีเดียว
การไม่เชื่อของพวกยิวมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าโดยท่านอิสยาห์ ใจที่แข็งอยู่ในหัวใจของคนที่คิดว่าตัวเก่ง มีกรอบความคิดว่า ฉันถูกต้องคนเดียว คนอื่น ไม่ใช่ แถมยังไม่ฟังใคร
แต่ยังมีอุปสรรคสำหรับคนที่เชื่อด้วย พวกเขาใจอ่อนกับประเพณี กฎเกณฑ์ วัฒนธรรมของศาสนาเดิม กังวลว่าจะไม่มีตำแหน่ง อาจถูกไล่ออกจากพวก คนเหล่านี้แม้อยากเชื่อแต่ก็ไม่อาจติดตามพระเยซูได้
การเชื่อในพระเยซูนั้น ต้องมีการเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เราจึงมีการบัพติศมา เป็นการยอมรับพระเจ้าด้วยใจและปากว่า จะติดตามพระองค์จริง ๆ
37* ยอห์น 11:47 38* อิสยาห์ 53:1 40* อิสยาห์ 6:9,10; มัทธิว 13:14 41* อิสยาห์ 6:10 42* ยอห์น 7:13; 9:22 43* ยอห์น 5:41,44

ยอห์น12:44-50 คำกล่าวแห่งชีวิตที่อาจให้โทษ
พระเยซูทรงกล่าวด้วยเสียงอันดัง ทำให้ เรารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก นั่นคือ หากคนใดเชื่อพระเยซู เท่ากับเชื่อพระเจ้า. คนใดเห็นพระองค์เท่ากับเห็นพระเจ้าพระบิดาด้วย พระองค์ทรงเป็นผู้ทำลายความมืดในชีวิตของทุกคน
พระคำของพระเจ้าที่นำชีวิตให้ทุกคน จะกลายเป็นคำที่กล่าวโทษพวกเขาเพราะพวกเขาที่ได้ยิน ไม่ยอมเชื่อ น่าเสียดายจริง ๆ ได้ยินแล้ว แต่ไม่เชื่อ!
และพระเยซูยังทรงยืนยันว่า สิ่งที่ตรัสกับพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ทรงคิดขึ้นเอง แต่ทรงกล่าวตามที่พระบิดาให้ตรัส พระบุตรทรงบอกให้เราชัดเจนว่า คำของพระองค์มาจากพระบิดาโดยตรง
44* มาระโก 9:37; ยอห์น 3:16,18,36 ; 11:25-26; ยอห์น 5:24 45* ยอห์น 14:9 46*ยอห์น 1:4-5; 8:12; 12:35-36. 47* ยอห์น 5:45; 3:17 48* ลูกา 10:16; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18-19 49* ยอห์น 8:38; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18 50* ยอห์น 5:19; 8:28

สดุดี 140 ขอทรงช่วยให้พ้นจากคนปากร้าย

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

คำร้องทูลจากดาวิด
1 โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงช่วยกู้ข้าให้พ้นจากคนชั่วด้วยเถิด
ขอทรงป้องกันข้าจากคนที่ใช้ความรุนแรง
2 ผู้ที่วางแผนชั่วไว้ในใจ
ก่อกวนให้เกิดสงครามไม่หยุดยั้ง
3 เขาลับลิ้นให้คมราวกับลิ้นของงู
และใต้ริมฝึปากของเขามีพิษร้ายของงู

4โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงปกป้องข้าให้พ้นจากมือของคนชั่ว
ขอทรงพิทักษ์ข้าไว้จากคนโหดร้าย
ที่วางแผนทำให้ข้าลื่นล้มลง
5 คนหยิ่งยโสได้ซ่อนกับดักไว้ดักข้า
และกางตาข่ายไว้พวกเขาวางบ่วงแร้วไว้ ดักข้า
6 ข้าทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเสียงร้องขอ
ความเมตตาจากข้าด้วย

7 โอ พระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์ของข้า
ทรงเป็นกำลังแห่งความรอดของข้า
พระองค์ทรงปกป้องศีรษะของข้า
ในวันที่ข้าสู้รบ
8 โอ พระยาห์เวห์
ขออย่าทรงให้ความต้องการของคนชั่วร้ายนั้น
สำเร็จผลเลย
ขออย่าทรงให้แผนของเขาคืบหน้าไป
มิฉะนั้นพวกเขาจะได้รับการยกย่อง

เซ ลาห์

ดาวิดกล่าวโทษคนชั่วร้าย
9 ขอให้หัวของคนที่ล้อมรอบข้าอยู่นั้น
ได้รับผลตอบสนอง
จากริมฝีปากที่ประสงค์ร้ายของพวกเขา
10 ขอให้ถ่านลุกโพลงสุมอยู่เหนือพวกเขา
ให้พวกเขาถูกโยนลงในกองไฟ
ลงไปในหลุมลึกที่ไม่อาจขึ้นมาได้
11 ขออย่าทรงให้คนปากร้ายตั้งตนได้ในแผ่นดิน
ขอให้ความชั่วตามล่าคนรุนแรงอย่างรวดเร็ว

ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
12 ข้ารู้ว่า พระยาห์เวห์จะทรงปกป้องคนที่ถูกข่มเหง และจะประทานความยุติธรรมแก่คนยากไร้
13 แน่ทีเดียว.. คนเที่ยงธรรมจะได้กล่าวคำขอบพระคุณพระนามของพระองค์
และคนเที่ยงตรงจะได้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 71:4; 119:153, 170; 18:48; สุภาษิต 3:31
2* สดุดี 56:6
3* สดุดี 52:2; 58:4; 10:7; โรม 3:13
4ดูข้อ 1 5 สดุดี 35:7; 141:9; 142:3; เยเรมีย์ 18:22 ;
โยบ 18:8-10; สดุดี 140:5 สดุดี 64:5
6* สดุดี 142:5; 28:2; 31:22; 130:27* สดุดี 28:8
8* สดุดี 35:25; 140:8; อิสยาห์ 14:21
9* สุภาษิต 12:13; 18:7]; สดุดี 7:16
10* สดุดี 11:6; 18:13
11*
12* สดุดี 9:4; 1 พงศ์กษัตริย์ 8:45, 49, 59
13* สดุดี 64:10; 11:7

สดุดี 140:1-8 คำร้องทูลจากดาวิด
ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดก่อนที่จะเป็นกษัตริย์นั้น เต็มด้วยการต่อสู้ การนองเลือดไม่หยุดหย่อน ท่านต้องเผชิญกับความเกลียดชังที่โหดร้าย ศัตรูที่ใช้ความรุนแรง โดยเริ่มจากคำพูดใส่ร้ายก่อน และถ้าหากเราจะดูในวันนี้ พี่น้องคริสเตียนที่ต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างเดียวกับดาวิดนั้น ก็มีอยู่ทั่วโลก คำอธิษฐานอันร้อนใจของท่านในบทนี้ เป็นต้นแบบให้กับคนอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า สิ่งที่ท่านกล่าวคือ ทูลพระเจ้าว่า คนที่ชั่วร้ายนั้น เขาทำอย่างไร ขอพระเจ้าทรงเมตตา เพราะพระเจ้าของดาวิดยิ่งใหญ่นัก
คำอธิษฐานคือ ขออย่าให้แผนการของคนชั่วสำเร็จ … และนี่ก็เป็นคำอธิษฐานของผู้เชื่อที่กำลังเผชิญกับความชั่วร้ายอยู่

สดุดี 140:9-11 ดาวิดกล่าวโทษคนชั่วร้าย
คำจากปากที่ประสงค์ร้ายเป็นสิ่งที่เราชินกันจนเกือบจะเฉยแล้ว มันเกิดขึ้นในโลกโซเชียลอย่างรุนแรง น่ากลัว แต่ดาวิดกับเราก็เช่นกัน
การแก้แค้นไม่ได้อยู่ที่เรา แต่เป็นของพระเจ้า ดาวิดได้ขอให้ถ่านลุกโพลงสุมหัวพวกเขา ในข้อ 10 นั่นคือ ท่านกำลังขอการพิพากษาของพระเจ้า ในบทนี้ เราเห็นเลยว่า สงครามเริ่มต้นที่ปากร้าย

สดุดึ 140:12-13 ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
ดาวิดมีความมั่นใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว จะพบเจอกับศัตรูหน้าไหนท่านก็ยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความยุติธรรมให้ และท่านรู้ว่าท่านเป็นหนึ่งในคนเที่ยงธรรมและเที่ยงตรงเพราะท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า