1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด

ยอห์น 21 พบกันที่กาลิลี

โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี….

คำอธิบายเพิ่มเติม พบกันที่กาลิลี
ยอห์น 21:1-3
ทะเลสาบทิเบเรียสเป็นอีกชื่อของทะเลสาบกาลิลีทางเหนือของอิสราเอล
หลังจากที่พบพระเยซูในห้องแล้ว พวกเขาก็ชวนกันไปจับปลา สิ่งที่เห็นชัดเจนมากคือเปโตรเป็นคนมีลักษณะทำอะไรรวดเร็ว พุ่งไปข้างหน้าและมีความเป็นผู้นำที่เพื่อน ๆ จะทำตาม เขาเป็นคนที่ต้องได้รับการปั้นให้เป็นผู้นำที่ใช้การได้ กล้าหาญ และสามารถช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น
เราไม่ทราบเหตุผลจริง ๆ ที่ไปจับปลา ขาดเงิน ไม่รู้จะทำอะไร หรือ ในเมื่อต้องมารอพระเยซูตามที่ทรงบอกไว้ก็น่าจะหาอะไรทำไปด้วย แต่จากการจับปลาครั้งนี้ พวกเขาต้องผิดหวังมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นชาวประมงมาก่อน น่าจะได้อะไรบ้าง
ยอห์น 21:4-6ก
มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวที่หาดทราย ถามคำถามง่าย ๆ และเมื่อพวกเขาตอบว่าไม่มีปลา ก็ชวนให้เขาโยนอวนลงทางขวามือของเรือ …​พอเขาผู้นี้บอก เหล่าศิษย์ก็ทำตามทันทีไม่ได้คิดอะไรมาก
ยอห์น 21:6ข-7
แล้วยอห์น คิดเร็วมาก จำได้ว่า พระเยซูเคยทำอย่างนี้กับพวกเขามาก่อนครั้งหนึ่ง จึงบอกกับเปโตรว่า นั่นคือพระเยซู เปโตรจึงเห็นด้วย กระโจนลงจากเรือมาหาพระองค์ก่อนใคร เขาดีใจมาก
ดูสิ ยอห์นสังเกต และสรุปได้เร็ว แต่คนที่พุ่งลงมาจากเรือคือเปโตร ลักษณะนิสัยของทั้งสองต่างกันมาก ตรงนี้เราเห็นเลยว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจจะมีลักษณะนิสัยต่างกัน แต่พระเจ้าทรงรักและส่งแต่ละคนไปทำงานได้เช่นกัน …​
ยอห์น 21:8-10
ส่วนเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ลากเรือตามมา พระเยซูทรงจุดไฟเพื่อย่างปลาให้แล้ว พระเยซูไม่ได้ทรงรอให้พวกเขาคอยปรนนิบัติ แต่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ได้รู้สึกทั้งดีใจและอิ่มอกอิ่มใจ
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้เป็นภาพลวงตา แต่ทรงกินอาหารเช้ากับพวกเขาบนหาดทราย พวกศิษย์ไม่ได้ตาฝาดไป ใช่.. พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน ใช่.. มีการเก็บพระศพเอาไว้ แต่วันนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาได้พบพระเยซูผู้ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ยอห์น 21:11-12
พวกเขานับปลาได้ 153 ตัว ซึ่งมากเกินพอสำหรับพวกเขา มีพอให้กับคนอื่น ๆ ในช่วงแรกที่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเป็นศิษย์ของพระองค์ ทรงชวนให้เขาตามพระองค์ไปนั้น พระองค์เคยทำอย่างนี้กับพวกเขาหนหนึ่ง ทรงให้ถอยไปที่น้ำลึก แล้วจับปลาอีกครั้งหลังจากที่เขาหาปลาทั้งคืนไม่ได้เลย (ลูกา 5:1-11) พระเยซูทรงย้ำให้พวกเขารู้ว่า แม้ในงานมือ งานหนักที่เราทำอยู่ พระองค์ก็ทรงช่วยเราได้ให้ประสบความสำเร็จ หากเราฟังเสียงของพระองค์ การจับปลาครั้งสุดท้ายนี้ ช่วยเน้นย้ำให้เขารู้ว่า พระเยซูจะทรงให้เขาเป็นผู้จับคน แทนการจับปลา อย่างที่ทรงบอกไว้ตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ยอห์น 21:13-14
นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูปรากฏพระองค์แก่เขา การคืนพระชนม์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงทำการที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มาทำจนสำเร็จลุล่วง การได้กินอาหารร่วมกับพระองค์ในครั้งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของศิษย์ทุกคน เขาเห็นพระเจ้าและเจ้านายของเขา เขาได้แตะต้องร่างของพระองค์ เขาได้นั่งล้อมวงกับพระองค์ คุยกับพระองค์จริง ๆ เปโตรได้บอกเราชัดเจนใน 1 เปโตร 1:3 ว่า “ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี
ในเมื่อเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งต่อหน้าคนหลายคน พระเยซูทรงให้โอกาสเขาที่จะตอบรับ เปลี่ยนคำที่พลาดไปนั้นสามครั้งต่อหน้าคนอื่นเช่นกัน และพระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นการคืนดีครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง การพลาดพลั้งของเปโตรเกิดจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป… เขาบอกพระองค์ไว้ก่อนหน้าที่จะสิ้นพระชนม์ว่า แม้เขาจะต้องตายกับพระองค์ เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย..มัทธิว 26:35
ยอห์น 21:15
สังเกตไหมว่า ครั้งนี้ พระเยซูทรงเรียกเปโตรว่า ซีโมน ลูกชายยอห์น พระองค์กำลังตรัสให้เขารู้ว่า ตอนนี้ต้องมีการคุยแล้วนะ .. เจ้าซีโมน..
คำถามแรกคือ “เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ?” แล้วพระองค์ทรงสั่งให้เขาเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ คือผู้เชื่อใหม่ ๆ นั่นเอง คำนี้เป็นความหมายว่า เลี้ยงดูด้วยพระคำของพระองค์ ครั้งแรกที่ทรงสั่ง ลูกแกะต้องการอาหารเลี้ยงดู
พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว เขารักพระองค์อย่างรักพี่น้องทั่วไป ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
นี่เป็นคำถามที่เราต้องตอบพระองค์เช่นกัน… อย่ามั่นใจในว่าตนเองเข้มแข็งกว่า อุทิศตัวมากกว่าคนอื่น
ยอห์น 21:16
ครั้งที่สองทรงถามว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว รักอย่างรักพี่น้อง ( φιλῶ σε ฟิโล เซ) พระองค์ทรงสั่งให้เขา ดูแลแกะของพระองค์ คราวนี้เป็นคำว่า แกะหรือฝูงแกะของเรา ซึ่งแกะนี้ต้องการให้ผู้เลี้ยงนำพาไปอย่างถูกต้อง ถูกที่ทาง ไปพบกับอาหารที่สมบูรณ์
ยอห์น 21:17
ในเมื่อเปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง พระองค์ทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์สามครั้ง …
และพระองค์ทรงลดระดับความหมายให้เขาด้วย
ครั้งที่สาม พระองค์ทรงลดระดับความรักลงมากว่า เปโตร เจ้ารักเราอย่างเพื่อนใช่ไหม? (Φιλεῖς με ฟิเลส เม) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
พระเยซูทรงสั่งให้เขา เลี้ยงดูแกะของพระองค์ เปโตรจะต้องทั้งให้อาหาร และนำพาพวกเขาไปตามทางของพระเจ้านั่นคือหน้าที่ของเปโตร พระเยซูทรงให้หน้าที่ยิ่งใหญ่กับเปโตร เพราะผู้ที่เป็นผู้เลี้ยงนั้นจะต้องจัดหา นำ ปกป้อง และเป็นเพื่อนของแกะ เขามีอำนาจเหนือ และยังเป็นผู้นำของพวกมันด้วย พระเยซูทรงแต่งตั้งงานที่ยากมากให้กับเปโตร โดยที่ไม่มีพระองค์อยู่ด้วย แต่จะมีองค์พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำเขาไปตลอดชีวิต
และยอห์นเองก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เพื่อให้พวกเราได้รับรู้ว่า เปโตรเองได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ บอกความตั้งใจของเขาตรง ๆ กับพระเยซูด้วย ก่อนหน้านี้เขาคงไม่สบายใจมาก ๆ ที่ได้ปฏิเสธพระเยซูขึงขัง การคืนดีครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เปโตรกล้าหาญอย่างยิ่งในหนังสือกิจการ
ยอห์น 21:18-19
พระเยซูเพิ่งคุยกับเปโตรเรื่องที่จะทรงใช้เขาดูแลคนของพระองค์ แล้วมาตอนนี้ก็ทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า จะตายอย่างไร พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเปโตรในเวลาต่อมา
การที่ตรัสว่าเจ้าแก่ เจ้าจะยื่นมือออก มีคนช่วยคาดเอง พาไปในที่ ๆ ไม่อยากไป ดูเหมือนเป็นการบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องอยู่ใต้การควบคุมของโรม ที่จะพาเขาไปสู่ความตาย ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เขาถูกตรึงบนไม้กางเขนกลับหัว
พระเยซูตรัสให้เปโตรตามพระองค์ไป นั่นคือทำตามอย่างพระองค์ รับใช้อย่างพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่เราควรทำตามอย่าง ตอนนี้เรากำลังทำตามใครอยู่ ลองสังเกตตัวเองให้ดี? ทรงให้ความสำคัญกับการตามพระองค์ไปจริง ๆ การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ทั้งชีวิตกับพระเยซูผู้ที่จะทรงนำไปตามทางที่พระเจ้าทรงวางแผนให้กับชีวิตของแต่ละคน (สดุดี 139:16)
ยอห์น 21:20-21
ศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เป็นชื่อที่ยอห์นเรียกตนเองในการเขียนหนังสือเล่มนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องเดียวกับชีวิตเรา ยอห์นมักเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาพึ่งพาความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า ..​นี่เป็นความหมายลึกซึ้งที่ยอห์นกำลังบอกเรา….
เปโตรเองอดถามถึงอนาคตของยอห์นไม่ได้ ในเมื่อพระเยซูทรงบอกอนาคตของเขา
ยอห์น 21:22-23
เปโตรควรจะสนใจการตามพระองค์ไปมากกว่าจะไปสนใจเรื่องของคนอื่น เขาต้องตามพระองค์ไป ใครจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังต้องตามพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดไปว่า พระเยซูจะให้ยอห์นมีชีวิตอยู่ ไม่ตาย เรื่องแบบนี้ก็น่าสนใจ น่าอิจฉาด้วยในสายตาของพวกเขา ตรงนี้ช่วยบอกเราเลยว่า เมื่อรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องไปสนใจว่าใครมีการรับใช้ดูดีกว่า หรือ พระเจ้าทรงนำมากกว่า ให้ดูที่ตัวเองว่า เราตามพระองค์ไปหรือไม่… การคิดเรื่องของคนอื่น การเปรียบเทียบกัน สร้างปัญหาให้มากกว่าที่จะสร้างเสริมชีวิตฝ่ายวิญญาณ
คำสุดท้ายของพระเยซูในพระธรรมยอห์นคือ ให้ตามพระองค์ไป… เป็นคำสำคัญมาก “​ตามเรามา” ไม่ว่าใครจะตามไปหรือไม่ เราจะตามพระองค์ไป.
ยอห์น 21:24-25
สิ่งสำคัญที่ยอห์นได้บันทึกไว้นั้น ประเด็นอยู่ที่สิ่งเขาเขียนเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าจะเขียนทุกเรื่อง เขาเลือกเรื่องที่จะเขียนลงไปเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัด และมั่นใจในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของพระองค์ตามที่พระบิดาทรงใช้มาอย่างสมบูรณ์แบบ และทรงพร้อมให้เราเข้าไปมีส่วนในครอบครัวใหญ่ของพระองค์ด้วย

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 6:1
2*ยอห์น 20:24; 1:45-51; 2:1; มัทธิว 4:21
4* ยอห์น 20:14
5* ลูกา 24:41
7*ยอห์น 13:23; 20:2 24:41

12* กิจการ 10:41
14* ยอห์น 20:19,26
15* กิจการ 20:28
16* ฮีบรู 13:20; สดุดี 79:13
17* ยอห์น 2:24-25; 16:30

18* กิจการ 12:3-4
19* 2 เปโตร 1:3,14; มัทธิว4:19; 16:24
20* ยอห์น 13:23; 20:2; 13:25
22* วิวรณ์ 2:25; 3:11; 22:7,20
24* ยอห์น 19:35
25* ยอห์น 20:30; อาโมส 7:10

ยอห์น 20 ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว

ยอห์นบันทึกเรื่องราวการคืนพระชนม์ ถ้ำเก็บศพที่ว่างเปล่า พระเยซูทรงพบมารีย์และศิษย์ในห้องที่พวกเขาชุมนุมกันอยู่สองครั้ง

ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ

พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา

พระเยซูทรงพบศิษย์

พระเยซูทรงพบโธมัส


คำอธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 20
ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ
ยอห์น 20:1-2
เช้าวันต้นสัปดาห์คือเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่ยังมืดมาก มารีย์ และเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน พากันไปยังถ้ำเก็บศพพระเยซู เพื่อนำเครื่องหอมไปชโลมพระศพอีก (ลูกา 24:1)
มารีย์คิดอย่างเดียวว่า มีคนมาขโมยพระศพไป แทนที่จะคิดว่า พระองค์ทรงฟื้นคืนชีพอย่างที่ทรงเคยบอกไว้ ดูเหมือนว่า เรื่องการคืนพระชนม์ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลย เธอรีบกลับไปบอกข่าวพระศพหายไปกับอัครทูตสองท่าน เธอให้ข่าวผิด ๆ ว่า มีคนเอาพระองค์ไป
การคืนพระชนม์ในวันต้นสัปดาห์ ทำให้คริสเตียนได้เริ่มต้น มาประชุมนมัสการกันในวันนั้น และทำติดต่อกันมาจนทุกวันนี้
ยอห์น 20:3-5
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทั้งสองก็รีบไปดูสถานที่เกิดเหตุเลย ยอห์นเข้าไปหน้าถ้ำก่อน เห็นแถบผ้าวางอยู่แม้ยอห์นจะเข้าไปเห็นก่อน แต่คนที่แซงเข้าไปในถ้ำคือเปโตร เราจะเห็นนิสัยที่พุ่งของเปโตรได้ชัดเจนเลย น่าแปลกที่ศิษย์คนอื่นไม่ได้สนใจจะวิ่งมาดูเหมือนสองคนนี้
ยอห์น 20:6-10
หลักฐานว่า พระศพไม่อยู่ก็คือ พระองค์หายไป มีผ้าพันพระศพวางไว้ ผ้าพันพระเศียรพับวางไว้ต่างหากด้วย แม้ตอนนั้นยังนึกไม่ออก ไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องคืนชีพ เขาก็เชื่อสิ่งที่ตาเห็น คนยิวในสมัยนั้น จะเก็บศพโดยใช้ผ้าพันศีรษะกับผ้าพันร่างกายคนละผืน
พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา
ยอห์น 20:11-13
มารีย์ยังไม่ไปไหน แต่ร้องไห้เสียใจไม่เห็นพระศพ แต่ขณะนั้นเอง เธอก็ก้มลงไปมองในถ้ำ ก็เห็นทูตสวรรค์นั่งอยู่ทางด้านพระเศียรกับด้านพระบาท ท่านทั้งสองถามมารีย์ ว่าร้องไห้ทำไม? เพื่อเป็นการเตือนสติเธอ และมารีย์ก็ตอบซื่อ ๆ ว่า พระเยซูถูกคนเอาไป เธอเข้าใจผิดแต่ก็มั่นใจเหลือเกิน
ยอห์น 20:14-15
แต่ขณะกำลังคุยกับทูตสวรรค์ ซึ่งเวลานั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าเป็นทูตสวรรค์ เธอหันกลับมาเจอบุรุษคนหนึ่ง เธอคิดว่าเป็นคนสวน ความที่อยากได้พระศพคืน เธอจึงถามเขาว่า พระศพอยู่ที่ไหน จะได้รับไป… เธอกล่าวคำที่ยังเป็นข่าวปลอมอยู่ คือ คิดว่ามีคนเอาพระศพไป ทั้ง ๆ ที่เธอไม่สามารถจะจัดการกับศพได้ (หากว่ามีจริง เพราะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง) แต่เธอก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ศพคืน
ยอห์น 20:16-17
แต่เวลานั้นเอง พระเยซูตรัสเรียกว่า มารีย์เอ๋ย เท่านั้นแหละเธอก็ร้องออกมาว่า รับโบนี ซึ่งแปลว่าอาจารย์ ตาของเธอเปิดออก เห็นพระเยซูแล้ว เห็นเพราะเธอได้ยินเสียงเรียกของพระองค์
ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า พระเยซูคืนพระชนม์ แต่ยังตกใจมาก พระเยซูห้ามไม่ให้เธอรั้งพระองค์ไว้ แต่ทรงสั่งให้เธอไปบอกพี่น้องว่า พระเยซูกำลังจะไปหาพระบิดา พระเจ้าทั้ง..​ของพระองค์ และของพวกเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่พระเยซูทรงเรียกศิษย์ว่า พี่น้อง (แต่ก่อนทรงเรียกว่า ผู้รับใช้ เรียกว่าเพื่อน) และทรงบอกด้วยว่า พระบิดาเป็นของพระองค์และของเขา เท่ากับพระองค์ทรงรับพวกเขาเป็นพี่น้องของพระองค์ด้วย …​
พระเยซูทรงพบศิษย์
ยอห์น 20: 18-19ก
แล้วมารีย์ก็ทำตามคำสั่งพระเยซู ทุกอย่าง คืนวันนั้นเอง ศิษย์มารวมตัวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน พวกเขาต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง พระเยซูฟื้นขึ้นมา แต่พระองค์อยู่ที่ไหนกันล่ะ? พวกเขายังกลัวเหล่าผู้นำยิวอยู่ จึงปิดประตูแน่นหนา เวลานั้นต้องมีข่าวออกมาแล้วว่า พระศพหายไป และคนที่น่าจะถูกกล่าวหาว่า ขโมยพระศพก็คือพวกศิษย์นั่นเอง ในเวลานั้น โทษของการขโมยศพคือประหารชีวิต
เราลองคิดดูว่า ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันแรกที่ทรงคืนพระชนม์นั้น จะโกลาหลเพียงใด ข่าวจะแพร่สะพัดออกไปทั่ว ใคร ๆ ก็ต้องการคำอธิบาย มีมารีย์ เพื่อน ๆ เปโตร และยอห์นที่เป็นผู้เห็นว่า ไม่มีพระศพจริง ๆ ในเช้ามืดวันนั้น แต่มีคนเดียวที่ได้พูดกับพระองค์คือมารีย์ คำของมารีย์จะมีความน่าเชื่อถือเพียงใด?
ยอห์น 20:19ข-21
แต่ถึงปิดประตูแล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!! พระเยซูทรงมาหาพวกเขา ด้วยความที่ยังมีความกลัว กังวลใจ เป็นทุกข์ พระเยซูตรัสให้สันติสุขอยู่กับเขา ทรงให้เขาดูพระหัตถ์ และสีข้าง ซึ่งพวกเขาก็ต้องได้ยินจากยอห์นมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง พระเยซูตรัสให้เขามีสันติสุขถึงสองครั้ง และตรัสว่าสิ่งสำคัญยิ่งคือ พระองค์จะส่งพวกเขาออกไปแบบที่พระบิดาทรงส่งพระองค์มา
พระเยซูไม่ได้ตำหนิพวกเขาเลย และเวลานี้ พระองค์มาหาเขาด้วยวิธีแปลกมา เข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อ ลั่นกลอนไว้อย่างดี
ยอห์น 20:22-23
จำได้ไหม พระเยซูตรัสเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์มาหลายครั้ง แต่พวกเขายังไม่เข้าใจ พระองค์ตรัสสั่งให้เขารับพระวิญญาณของพระองค์ และทรงกำชับให้เขายกโทษให้ผู้อื่น … ใช่แล้ว อย่างที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน!
พระเยซูทรงพบโธมัส
ยอห์น 20:24-25
หลังจากนั้น เมื่อพระเยซูไม่อยู่กับเขาแล้ว โธมัสก็เข้ามารวมกลุ่ม .. ทุกคนเห็นองค์พระเยซู แต่เขาไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะไม่เชื่อ ถ้าไม่เห็นรอยตะปูและรอยแทงที่สีข้าง ขอเอานิ้วแหย่เข้าไปด้วย …​
มีคนอย่างโธมัสในโลกมากมาย ต้องขอเห็นหน่อย ต้องขอแตะด้วย ต้องใช้ประสาทสัมผัสเพื่อให้เกิดความเชื่อ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงต่อว่าเขาเลย … พระองค์ทรงตอบสิ่งที่อยู่ในใจของโธมัส
ยอห์น 20:26
ต่อมาอีกสัปดาห์ อีกครั้งที่ประตูลงกลอนแน่น แต่พระเยซูก็มาอยู่ท่ามกลางพวกเขา ตรัสให้พวกเขามีสันติสุขอีก คราวนี้ โธมัสอยู่กับพวกเขา เอ พระเยซูทรงหายไปไหนนะ ไม่มาเลย แต่พระองค์กลับมาพบพวกเขาอีกในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
ยอห์น 20:27-29
คราวนี้ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ให้โธมัสเอามือแยงเข้าไปในสีข้างของพระองค์ด้วย พอโธมัสได้ทำอย่างนั้น เขาก็ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” เขาไม่สงสัยการคืนพระชนม์อีกต่อไป ที่ทรงคืนพระชนม์มาให้เขาเห็นครั้งนี้ พิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้จริง พระเยซูทรงมีร่างใหม่เมื่อทรงคืนพระชนม์ แต่กลับทรงเก็บรอยแผลสำคัญนั้นไว้
ด้วยความสงสัยของโธมัสนี่เองที่ทำให้เราได้พระพรกัน เพราะเมื่อเราเชื่อพระเยซูทั้งที่ไม่เห็นพระองค์ เราจึงมีความสุขมาก
ยอห์น 20:30-31
พระเยซูทรงทำหมายสำคัญมากมายที่เล็งถึงการเป็นพระเมสสิยาห์ องค์ผู้ถูกเจิม แต่ยอห์นไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาได้ให้เหตุผลที่เขียนเรื่องราวทั้งหมด ก็เพื่อผู้อ่านจะได้เชื่อว่า
​​​พระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และจะได้ชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระองค์
อย่างหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระนามของพระเจ้ามีความหมายไม่ใช่แค่ชื่อ แต่พระนามเป็นตัวแทนของพระองค์ทั้งหมด การมีชีวิตในพระนาม ก็คือ การมีชีวิตในพระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงนามพระเยซู
บางทีเราเชื่อพระเยซูมานาน และไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้าใจ รู้จัก สัมพันธ์สนิทกับพระองค์ต่างไปจากที่เคยแล้ว อย่าบอกแค่ว่า ฉันเป็นคริสเตียน แต่ลองตามพระเยซูจริง ๆ แล้วจะรู้ว่า การตามพระองค์นั้น เปลี่ยนชีวิตเราขนาดไหน

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1*มัทธิว 28:1-8;27:60,66; 28:2
2* ยอห์น 21:23,24; 13:23; 19:26; 21:7,24
3* ลูกา 24:12
5* ยอห์น 19:40
7* ยอห์น 11:44
8* ยอห์น 21:23,24
9* สดุดี 16:10

11* มาระโก 16:5
14* มัทธิว 28:9 ยอห์น 21:4
16* ยอห์น 10:3
17* ฮีบรู 4:14, 2:11; มาระโก 16:19;
ยอห์น 16:28; 17:11; กิจการ 1:9
เอเฟซัส 1:17
18* ลูกา 24:10,23
19* ลูกา 24:36; ยอห์น 9:22; 19:38; 16:6; 14:27; 16:33
20* กิจการ 1:3; ยอห์น 16:20,22

21* ยอห์น 17:18-19
22* ยอห์น 16:20-22
23* มัทธิว 16:19; 18:18
24* ยอห์น 11:16
27* 1 ยอห์น 1:1; มาระโก 16:14
29* 1 เปโตร 1:8
30* ยอห์น 21:25
31* ลูกา 1:4; 1 ยอห์น 5:13; ลูกา2:11; ยอห์น 3:15-16; 5:24

1 โครินธ์ 1 พระปัญญาของพระเจ้า.. พระเยซูคริสต์

ทักทาย และ ขอบพระคุณ

1 โครินธ์ 1: 1-3
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับโสสเธเนสน้องชายของเรา มาถึง
คริสตจักรขององค์พระเจ้า ณ เมืองโครินธ์
ท่านผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในองค์พระเยซูคริสต์
และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระเยซูคริสต์ไปพร้อมกับคนทุกแห่งที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขาด้วย
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาเหนือท่านทั้งหลาย

1 โครินธ์ 1:4-9
ข้าขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอมา เพราะพระคุณที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์ ​เนื่องจากท่านมีความพร้อมทุกด้านในพระองค์ คือในการพูดและความรู้ทั้งสิ้น ด้วยว่าท่านได้รับการปลูกฝังคำยืนยันเรื่องพระคริสต์อย่างมั่นคง ท่านจึงไม่ได้ขาดของประทานจากพระวิญญาณ ขณะที่ท่านรอพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามาปรากฏ พระองค์จะทรงรักษาท่านให้มั่นคงจนถึงที่สุด เพื่อว่าท่านจะไร้ข้อตำหนิในวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา
พระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญา ทรงเรียกพวกท่านมาเพื่อจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

แต่ในคริสตจักรกลับแตกแยก!

1 โครินธ์ 1:10-12
ข้าขอร้องพี่น้องในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ให้มีใจปรองดองกัน ไม่แตกแยกกัน แต่ในหมู่พวกท่าน ให้มีความคิดเห็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

พี่น้องเอ๋ย คนของนางคะโลเอได้มาเล่าถึงการที่พวกท่านทะเลาะกันเอง ข้าหมายถึงท่านต่างก็กล่าวว่า“ข้าเป็นคนของเปาโล” บางคนว่า “ข้าเป็นคนของอปอลโล” บางคนว่า“ข้าเป็นคนของเคฟาส” และยังมี คนที่ว่า “ข้าเป็นคนของพระคริสต์”

1 โครินธ์ 1:13-17
นี่หมายความว่า พระคริสต์ถูกแบ่งออกเป็นหลายองค์อย่างนั้นหรือ? เปาโลถูกตรึงเพื่อท่านหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ? ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ยกเว้นจากคริสปัสและกายอัสแล้ว ข้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครเลย
ดังนั้น จึงไม่มีใครมาอ้างได้ว่า ได้รับบัพติศมาในนามของข้า ที่จริงข้าได้ให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของสเทฟาด้วย นอกจากนั้นแล้วข้าจำไม่ได้ว่า มีใครอีกบ้าง
เป็นเพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ข้าเพื่อให้บัพติศมา แต่ให้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งมิได้ใช้คำพูดสำนวนโวหารที่เกิดจากปัญญาของมนุษย์ เกรงว่าหากทำเช่นนั้น เรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์ไป.

พระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:18-21
ฝ่ายเหล่าคนที่กำลังจะพินาศเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลาในขณะที่เราซึ่งกำลังจะรอดกลับเห็นว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความปราชญ์เปรื่องของคนมีปัญญาไร้ความหมายไปเสีย”
คนมีปัญญาของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
ปัญญาชนของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน?
นักปราชญ์ของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
พระเจ้าได้ทรงทำให้ปัญญาทางโลกเป็นสิ่งที่โง่เขลาแล้วไม่ใช่หรือ?
ตามพระปัญญาของพระเจ้านั้น ทรงกำหนดไว้ว่า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตนเอง พระเจ้าพอพระทัยที่จะให้คนที่ฟังและเชื่อคำเทศนาเรื่องโง่ๆ นั้น รอดบาปได้

1 โครินธ์ 1:22-25
พวกยิวมักขอหมายสำคัญ(การอัศจรรย์) ส่วนคนกรีกก็ตามหาปัญญา แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ยิวสะดุด และในสายตาคนต่างชาติก็มองว่าเป็นสิ่งโง่เขลา แต่สำหรับคนที่พระเจ้าทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ต่างเห็นว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธิ์เดชและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะว่าในความเขลาของพระเจ้านั้น ก็ยังทรงปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ และในความอ่อนแอของพระเจ้านั้น ก็ยังแข็งแกร่งกว่ากำลังของมนุษย์

ถวายเกียรติแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

1 โครินธ์ 1:26-31
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้ท่านลองพิจารณาการที่พระเจ้าทรงเรียกท่านสิ
เห็นไหม มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญาน้อยคนที่ทรงอิทธิพล น้อยคนที่มาจากวงศ์ตระกูลสูง  แต่พระเจ้าทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เพื่อทำให้คนที่มีปัญญาต้องอับอาย และทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอ เพื่อให้คนมีกำลังต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกที่โลกเห็นว่าต่ำต้อย ดูแคลน และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์แม้สักคนโอ้อวดต่อพระเจ้าได้ ที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ ก็เพราะพระเจ้าประทานปัญญาและความเที่ยงธรรมให้ เพราะพระเยซูผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และไถ่เราให้พ้นจากโทษบาป ดังที่มีคำ เขียนว่า “ผู้ที่จะอวดก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 1

1 โครินธ์ 1:1-3
ท่านเปาโลได้บอกในจดหมายว่า ท่านมีสิทธิที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์
โสสเธเนสเคยเป็นนายธรรมศาลาในเมืองโครินธ์มาก่อน เขาเคยถูกโบยเพราะคนโครินธ์ต้องการทำร้ายท่านเปาโล เมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่อยู่ทางใต้ของประเทศ
กรีซ ใกล้ ๆ เอเธนส์ เมืองโครินธ์มีเมืองสูง หรืออะโครโพลิส ใช้เป็นกำแพงป้อม และเป็นสถานกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา ที่มีชื่อเสียงคือวิหารของเทพีอะโฟรไดท์ เป็นเทพีแห่งความรักในวิหารนี้มีปุโรหิตหญิงที่เป็นโสเภณีนับพัน
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงชำระผู้เชื่อทุกคนให้บริสุทธิ์ จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงชาวโครินธ์ก็จริง แต่มีธรรมเนียมว่าจดหมายจะถูกส่งไปให้พี่น้องที่อื่น ๆ ได้อ่านด้วย นั่นคือ พี่น้องไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคนของพระเจ้าเช่นกัน
คำว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า” ในคำแปลภาษาไทยหลายเล่มว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า”ซึ่งทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน มีความหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏเป็น พระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาจากคำเดิมว่า “เยชูวา”ซึ่งมีความหมายว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด
คริสต์ มาจากภาษาเดิมว่า มาชิอาคหรือเมสสิยาห์หมายความว่าทรงเป็น “ผู้ได้รับการเจิม”พระคุณและสันติสุขเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการมากไม่ว่าในยุคโบราณ หรือจะเป็นวันนี้ เป็นพระพรที่เราควรทูลขอพระเจ้าเพื่อพี่น้องของเราด้วย

1 โครินธ์ 1:4-9
ขอบพระคุณเพราะท่านเสมอมา…นั่นคือท่านเปาโลได้อธิษฐานเผื่อพี่น้องชาวโครินธ์ประจำ ท่านมั่นใจในพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวชาวโครินธ์ พวกเขามีของประทานที่ชัดเจนคือ มีทั้งความรู้และสามารถพูดเรื่องของพระเจ้าได้ดี กระจ่างชัด มีสติปัญญาที่จะอธิบายเรื่องของพระเจ้าได้ เป็นความชัดเจนในหมู่ชาวโครินธ์ แต่เมื่อเราอ่านต่อไป
เราจะพบปัญหาบางอย่างในหมู่พวกเขา
พี่น้องในเมืองโครินธ์ ได้รับการสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง มีความแม่น เข้าใจเรื่องอย่างดีพวกเขาโดดเด่น มีของประทานแห่งพระวิญญาณแต่ต่อมามีการใช้ในทางผิด คำว่า รอพระเยซูคริสต์เจ้ามาปรากฏ ทำให้เรารู้ว่า การใช้ชีวิตของเรานั้นต้องมีจิตใจที่รอคอยให้พระเจ้าปรากฏในการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์
คริสเตียนโครินธ์มีจุดเด่น และจุดด้อยที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแต่ในขณะเดียวกัน ท่านยังมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขาไว้ จะเห็นว่า เนื่องจากใจของเรานั้นเป็นตัวหลอกลวงที่สุด เราจึงต้องการพระเยซูให้รักษาชีวิตของเราไว้ ไม่ว่าจะในยุคโครินธ์ หรือยุคดิจิตัล
สังเกตอะไรไหม? ท่านเปาโลเขียนมาจนถึงตรงนี้โดยที่กล่าวถึงพระเยซูเกือบทุกประโยคเลย นับไปนับมาก็ได้เก้าครั้ง ประโยคในภาษากรีกเดิมที่ท่านเปาโลเขียนนั้นยาวมาก เมื่อแปลก็ต้องทำให้ประโยคยาวนั้นกลายเป็นประโยคสั้นที่ต่อเนื่องกันทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ที่ท่านเปาโลมีความหวังทั้ง ๆ ที่คริสตจักรในโครินธ์เละเทะมาก เพราะท่านวางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สัมพันธ์สนิทที่ทรงประสงค์ประสบความสำเร็จ

1 โครินธ์ 1:10-12
ที่จริงปัญหาของพี่น้องมีเยอะมาก หลากหลาย แต่ทำไมท่านเปาโลจึงนำเรื่องการแตกแยกนี้มาเป็นอย่างแรก?เป็นเพราะการแตกคออย่างนี้ทำให้ไม่อาจคุยกันได้ต่างไม่ฟังซึ่งกันและกัน จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวและเริ่มต้นใหม่ บาปอื่นเกิดขึ้นยังพอช่วยกันแก้ไข
ภาพรวมที่เราเห็นคือ พี่น้องแตกแยกกันเป็นเหมือนพรรคการเมืองเลย พวกเขาต่างเลือกติดตามผู้นำที่แตกต่างกันทั้ง ๆ ที่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้เรียกเขามาเป็นพวกเลย คนชาวโครินธ์สนใจคนที่พูดได้ดีมีโวหาร พวกเขาจึงเลือกตามคนที่เขาพอใจ

1 โครินธ์ 1:13-17
คำถามทั้งสามข้างบนตอบได้คำเดียวว่า “ไม่”ในเมื่อพระคริสต์ไม่ได้ถูกแบ่ง ทำไมคนของพระองค์แตกกันเอง เปาโลไม่ได้ถูกตรึงเพื่อพวกเขา แล้วทำไมเขาต้องยกเปาโลขึ้น เขาไม่ได้รับบัพติศมาในนามของเปาโล แต่ในพระนามพระเจ้า แล้วทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้ คำตอบอาจอยู่ที่ตัวพี่น้องเองเมื่อเขาเจอใครที่นำเขามาหาพระเจ้า เขาก็จะยกคนนั้นเหนือคนอื่นนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาต้องหยุดสร้างชนชั้นคริสเตียน
ท่านเปาโลเข้าใจว่า การที่ผู้รับใช้คนหนึ่งได้ให้บัพติศมาแก่พี่น้อง ก็อาจทำให้พี่น้องคนนั้น คิดไปว่า ผู้ให้บัพติศมานั่นแหละเป็นคนที่เขาต้องติดตามไปเป็นศิษย์ จึงมีการแบ่งพรรคพวกกันเกิดขึ้นเรื่องการติดตามอาจารย์นั้น มีมาแต่โบราณและก็ยังมีจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาติดตามอาจารย์มากกว่าติดตามพระคำของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนจำนวนมากถูกอาจารย์กำมะลอหลอกเอาเงินใช้พวกเขาเป็นให้เป็นประโยชน์กับตนเอง
พี่น้องโครินธ์ชอบคำพูดสวยหรู น่าฟัง ท่านเปาโลจึงเตือนพวกเขาในเรื่องนี้ว่า เราจะฟังถ้อยคำจากปัญญาของมนุษย์หรือจะฟังจากฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะการประกาศไม้กางเขนไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนสบายใจ แต่เพื่อเขาจะได้สำนึกในบาปที่มีอยู่ และกลับใจมาหาพระองค์

1 โครินธ์ 1:18-21
ในสังคมตะวันตก เขาจะชื่นชมกับการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และยกเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาอ้างเป็นพื้นฐานความคิดว่าไม่มีพระเจ้า เขาคือพระของตน ส่วนในสังคมไทยเรา จะชื่นชมกับการทำดีของตนเองความดีทำให้เราไปสู่เป้าหมายของการหลุดพ้น แต่เราเชื่อ มั่นใจว่า ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่คนมองว่าโง่เขลาเป็นความพ่ายแพ้ คือฤทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้เรารอดบาปได้
อิสยาห์ 29:14 กล่าวว่า ปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป ความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้ พระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า ปัญญาของคนที่พยายามต่อต้านพระองค์นั้น มันก็แค่ปัญญาที่ถูกล้มล้างได้ ในขณะที่ความจริงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ท่านเปาโลไม่ได้ดูหมิ่นสติปัญญาของมนุษย์เรื่องอื่น ๆ ที่เป็นความเจริญขึ้นในความรู้
ปัญญาของโลกที่ท่านหมายถึงคือ ความ คิดว่าตนเองเก่งกว่าใคร คิดได้ยอดกว่าใคร ๆ แถมยอดกว่าพระเจ้า ดูหมิ่น ท้าทายพระเจ้า เหยียดพระองค์มองคนอื่นต่ำกว่าไปเสียทุกเรื่องเต็มด้วย
ความเกลียดชัง
พอมาถึงข้อนี้ เราก็พบชัดเจนว่า สติปัญญาแบบโลกที่เห็นว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ไม่อาจจะทำให้เขาพบพระเจ้าได้เลย สรุปว่า ความรอดพ้นบาปไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญญา แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรอดได้ เขาจะเป็นใครก็ตาม อ่านหนังสือไม่ออก เป็นคนการศึกษาน้อย เป็นชาวป่าหรือจะเป็นคนเมือง เงื่อนไขนี้ทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการมารู้จักและรับความรอดจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:22-25
คนสองกลุ่มที่มองว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเยซูเป็นคนโง่ ก็คือคนกรีกและคนยิว คนยิวชอบเรื่องการอัศจรรย์ พวกเขาเคยขอให้พระองค์ทำให้ดู แต่พระองค์ปฏิเสธ (มัทธิว 12:38-42) ส่วนคนกรีกก็ต้องการคำอธิบายแบบอุดมคติ คำหรู ๆ ยาว ๆที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นปัญญาชน ไม้กางเขนจึงเป็นเหมือนหินที่ทำให้พวกเขาสะดุด ไม่อาจมาถึงความรอดพ้นบาปได้
แต่เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงแตะต้องใจของใครแล้ว เขาคนนั้นจะมองเห็นพระปัญญา และฤทธิ์เดชที่เปลี่ยนชีวิต เขามองเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้านั้นเหนือกว่าความคิดของมนุษย์เป็นไหน ๆ เขามองเงื่อนไขของพระเจ้าเรื่องไม้กางเขน เป็นความรักที่ทรงให้มนุษย์ทุกคนเท่ากันโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ท่านเปาโลกล้าพูดอย่างนี้ออกมาเพราะท่านรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น เหนือความสำเร็จใด ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ที่มาพบพระเจ้า มักจะพบด้วยการสำแดงของพระเจ้าต่อเขา ไม่ใช่เพราะเขาพบด้วยปัญญาของตนเอง

1 โครินธ์ 1:26-31
ท่านเปาโลได้เตือนสติพี่น้องชาวโครินธ์อย่างอ่อนโยน ท่านให้พวกเขาพิจารณา ว่า ก่อนที่จะมาพบพระเจ้านั้น พวกเขาอยู่ในฐานะ การงาน ชาติตระกูลแบบไหน ปรากฏว่าพวกเขาพบว่า จำนวนมาก มาจากคนที่เคยเป็นทาสมาก่อน เป็นคนที่สังคมเหยียดหยาม มีน้อยคนในพวกเขาที่เป็นชนชั้นสูง ร่ำรวย ทั้งทาสและไท พากันมาเชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะตัวเอง
เหตุใดพระเจ้าทรงเลือกทำเช่นนี้? ส่วนใหญ่แล้วคนที่เก่งจะมี
ความหยิ่งอยู่ในตัวว่า “ข้าเก่ง” ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขามีปัญหาที่จะรับเอาพระเจ้า พระเยซูได้ตรัสว่า คนที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้คือคนที่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ไร้อคติ ไร้ความคิดที่เป็นอุปสรรคทั้งปวง เราจะสังเกตเห็นว่าคนที่ท้าทายพระเจ้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยโสเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ดูการทรงเลือกของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงส่งพระบุตรลงมาในโลกสิ พระองค์ไม่ได้ให้พระบุตรมาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นชนชั้นสูง
เพราะทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ไม่ได้ส่งผลอะไรให้พระองค์เลย ทรงเลือกให้พระบุตรมาเกิดในสถานที่ซึ่งไม่ใช่บ้านด้วยซ้ำ เป็นที่ ๆ พระบุตรไม่สมควรแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกก็เป็นคนเลี้ยงแกะซึ่งเป็น
ชนชั้นต่ำในสังคม
การที่เราคนใดคนหนึ่งจะได้มีโอกาสมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนที่ใกล้ชิดพระองค์นั้น เราได้รับการเลือกจากพระเจ้า ไม่ใช่เราเลือกพระองค์ สดุดี 65:4 เขียนไว้ว่า คนที่พระเจ้าทรงเลือก
และทรงทำให้เขามาอยู่ใกล้พระองค์ ก็เป็นสุข

พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 1:1; 1 โครินธ์ 8:6; กิจการ 18:17
2* กิจการ 15:9;โรม 1:7;
1โครินธ์ 8:6; โรม 3:22
3*โรม 1:7
4*โรม 1:8
5* 1โครินธ์ 12:8
6* 2 ทิโมธี 1:8
7* ฟีลิปปี 3:20
8* 1 เธสะโลนิกา 3:13, 5:23 โคโลสี 1:22; 2:7
9* อิสยาห์ 49:7; ยอห์น 15:4

10* 2 โครินธ์ 13:11
12* 1 โครินธ์ 3:4; กิจการ 18:24; ยอห์น 1:42
13* 2 โครินธ์ 11:4
14*ยอห์น 4:2; กิจการ 18:8; โรม 16:32
16* 1 โครินธ์ 16:15,17
17* 1 โครินธ์ 2:1,4,13
18* 1 โครินธ์ 2:14โครินธ์ โรม
19* อิสยาห์ 29:14

20* อิสยาห์ 19:12; 33:18;
โยบ 12:17
21* ดาเนียล 2:20
22* มัทธิว 12:38
23* ลูกา 2:34; 1 โครินธ์ 2:14
24* โรม 1:4; โคโลสี 2:3
26*ยอห์น 7:48
27* มัทธิว 11:25
30* 2 โครินธ์ 5:21
31* เยเรมีย์ 9:23,24