กิจการ 13 ส่งผู้ประกาศออกไป

พระวิญญาณทรงส่งออกไป

อุปสรรคที่จัดการได้

คำเทศนาต้นแบบ

คำอธิบายเพิ่มเติม

พระวิญญาณทรงส่งออกไป
กิจการ 13:1
ที่เมืองอันทิโอก หลังจากที่ไปช่วยการบรรเทาทุกข์ในเยรูซาเล็ม เซาโล บารนาบัสก็กลับมาพร้อมกับยอห์น มาระโก ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเยรูซาเล็มจะเป็นสถานีหลักที่นำพระกิตติคุณออกไป แต่หลังจากบทนี้เราจะเห็นว่า อันทิโอก กลายเป็นเหมือนสถานีอีกแห่ง ลูกาเล่าว่ามีทั้งผู้กล่าวพระคำ(เรียกทั่วไปว่าผู้เผยพระวจนะหรือผู้พยากรณ์) และครูอาจารย์ เป็นผู้นำอยู่ แต่เรามองดี ๆ จะเห็นว่า ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้ประกาศด้วยจะเห็นว่าทั้งห้าคนนี้ มีพื้นเพแตกต่างกันอย่างมาก บารนาบัส เป็นยิวที่ใครๆ รู้ว่าเป็นคนพร้อมที่จะหนะนใจ สิเมโอนชื่อเป็นยิว แต่น่าจะเป็นคนจากอัฟริกา ลูซิอัส เป็นชื่อลาตินมาจากเมืองไซรีน ทางเหนือของอัฟริกา ส่วนมานาเอน เป็นชื่อกรีก(ถ้ายิว ว่ามานาเคม) เป็นคนที่เติบโตมาพร้อมกับเฮโรด เป็นเพื่อนของลูกเจ้านาย
และสุดท้ายคือเซาโล ที่เรารู้จักดีว่า เป็นฟาริสีเคร่งสุดโต่ง ที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้า
กิจการ 13:2-3
วันหนึ่งเมื่อเขากำลังอธิษฐานพร้อมกับอดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็ตรัสชัดเจนให้บารนาบัสกับเซาโลไปทำงานที่ทรงเรียกเฉพาะ เมื่อเราอ่านต่อไป.. พบว่างานนั้น คือการประกาศกับคนต่างชาติในพื้นที่ไกลออกไป การตรัสของพระเจ้าครั้งนี้ลูกาไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีไหน .. อาจจะผ่านผู้เผยพระคำก็เป็นได้ และพี่น้องได้เชื่อฟังพระเจ้าทันที พวกเขาอธิษฐานวางมือ ส่งเขาออกไป นับได้ว่าเป็นการส่งผู้รับใช้ออกไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เป็นครั้งแรกโดยคริสตจักรที่เข้มแข็ง
กิจการ 13:4-5
พวกเขาไปยังเมืองเซลูเคียเป็นแห่งแรก น่าจะมีผู้เชื่อบ้างเพราะไม่ไกลจากอันทิโอกเท่าไร จากนั้น ก็เดินทางเรือไปยังเมืองซาลามิส ซึ่งอยู่บนเกาะไซปรัส .. (บารนาบัสเติบโตมาจากที่นี่ กิจการ 4:36)
มีประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำกันประจำในศาลาธรรมยิว นั่นคือเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญพระคำเดินทางมา เขาก็จะเปิดโอกาสให้พูดกับพี่น้องผู้เชื่อ ยอห์นมาระโก เดินทางไปกับท่านทั้งสองด้วยในคราวนี้ เขาเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงทำ และได้เขียนหนังสือมาระโกในเวลาต่อมา
มิชชันนารีชุดนี้ทำหน้าที่ดีมาก เพราะออกไปประกาศทั่วเกาะ ไปแทบทุกเมือง ..

อุปสรรคที่จัดการได้
กิจการ 13:6-7
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองปาโฟส มีผู้ตรวจการจากโรมดูแลอยู่ชื่อ เสอร์จีอัสเปาลุส ท่านทำงานให้กับโรมโดยตรง ท่านผู้นี้ส่งคนมาเชิญผู้ประกาศทั้งสามไปหา ท่านอยากรู้จักพระเจ้า อยากเข้าใจว่า พระเจ้าทรงทำอะไรในโลกนี้ แต่.. มีอุปสรรค เพราะมีบางคนไม่อยากให้ผู้ตรวจการมาเชื่อพระเจ้า จะเป็นการทำลายอาชีพการงานของเขา
ท่านผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนฉลาดรอบรู้ เหมาะที่จะคุยกับเซาโลจริง ๆ
กิจการ 13:8-10
เอลีมาสผู้นี้เป็นคนเล่นไสยศาสตร์ ถ้าผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าเมื่อไร ก็จะเลิกใช้เขาแน่นอน ดังนั้น เขาจึงพยายามหาทางไม่ให้เปาโลและเพื่อนพบกับผู้ตรวจการทั้ง ๆ ที่ท่านเชิญทั้งสามไปพบ
แต่เปาโลประกอบด้วยพระวิญญาณ เห็นถึงเป้าหมายของเอลีมาสชัดเจน เปาโลไม่ได้กลัวเขาเลย แต่
จัดการกับเอลีมาสอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็ว ไม่ปล่อยให้สิ่งร้ายเกิดขึ้นก่อน
เราจะสังเกตว่า ตอนนี้คนเริ่มเรียกเซาโลว่า เปาโลแล้ว ชื่อเซาโลเป็นชื่อตอนเกิดเป็นภาษาฮีบรู พออายุได้เก้าวันจะมีชื่อเป็นภาษาของโรม ชื่อเปาโลเป็นชื่อทางการซึ่งใช้ในอาณาจักรโรม
กิจการ 13:11-12
เปาโลบอกกับเอลีมาสว่าเขาจะตามืดมัวไปสักพัก ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงทันที แต่เราไม่ทราบว่าเขาได้กลับใจหรือเปล่า เปาโลไม่ยอมให้เอลีมาสมาเป็นอุปสรรคกับความเชื่อของผู้ตรวจการ
การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเอลีมาส ทำให้ผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าง่ายขึ้นอีก คนที่เป็นเหมือนหมอผี แต่แล้วมาเจอกับคนของพระเจ้ากลับถูกทำให้ตาบอด เราไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก เขามาเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แต่ผู้ตรวจการผู้นี้ ทั้งครอบครัวได้เชื่อในพระเจ้า โดยเราได้พบเอกสารโบราณที่กล่าวถึงท่านผู้นี้ว่า เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว พระเจ้าได้ทรงทำการของพระองค์ตามที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาไปไม่หยุดยั้ง
กิจการ 13:13-14
จากนั้น เปาโล บารนาบัส ก็เดินทางจากเกาะไซปรัสมุ่งหน้าขึ้นไปแคว้น ปัมฟีเลีย โดยที่ยอห์นมาระโกได้แยกทางกลับไปเยรูซาเล็ม เมื่อถึงเมืองอันทิโอกทางเหนือซึ่งอยู่ห่างขึ้นไปประมาณ 220 กิโลเมตร ก็ได้เข้าไปในศาลาธรรมยิวเช่นเคย ดูเหมือนว่าตอนนี้ เปาโลเริ่มเป็นผู้นำในการประกาศ เพราะท่านลูกาบันทึกว่า เปาโลกับเพื่อน ๆ และเราทราบมาว่า
เปาโลไม่ค่อยพอใจกับการที่ยอห์นมาระโกทิ้งพวกเขาไป (กิจการ 15:36-41)

คำเทศนาต้นแบบ
กิจการ 13:15-16
นอกจากจะอ่านพระคัมภีร์เดิมที่กำหนดในศาลาธรรมตามธรรมเนียมยิว (พวกเขาจะเลือกอ่านจากพระคำที่โมสสเขียนก่อน แล้วตามด้วยบางส่วนของหนังสือผู้เผยพระวจนะที่เราเรียกกันว่า ผู้พยากรณ์) เปาโลยังมีโอกาสที่จะกล่าวคำหนุนใจอีกด้วย นี่เป็นโอกาสดีที่สุด
เปาโลกล่าวกับคนยิวและคนที่เกรงกลัวพระเจ้า นั่นคือ คนต่างชาติที่ขอเข้ามาเป็นเชื่อศาสนายิว
กิจการ 13:17-19
ต่อไปนี้เป็นคำเทศนาที่มีบันทึกไว้ คล้ายกับของสเทเฟน โดยที่จะมีการเล่าเรื่องราวย้อนหลังไป ถึงเหตุการณ์ในอียิปต์ การที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงนำคนอิสราเอลออกมา และพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในคานาอัน เป็นเรื่องราวที่ชาวยิวมักจะเล่าสู่กันฟังเสมอมา เปาโลชี้ให้พวกเขาเห็นว่า การเริ่มต้นของพวกเขามาจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์หรือพระยาห์เวห์ที่เขาเชื่อถือ
กิจการ 13:20-22
สี่ร้อยห้าสิบปีคือ 400 ปีในอียิปต์ 40 ปีในถิ่นกันดาร และอีก 10 ปีในการครอบครองดินแดนคานาอัน
เปาโลเล่าต่อไปเมื่อพวกยิวต้องการกษัตริย์ พระองค์ก็ประทานให้ ปรากฏว่ากษัตริย์ทำให้ผู้คนหันไปจากพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงถอดซาอูลจากตำแหน่ง และมอบให้ดาวิด
กิจการ 13:22-23
กษัตริย์ดาวิดเป็นคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้าทรงสัญญาว่า บัลลังก์ของดาวิดจะอยู่ตลอดไป เปาโลชี้ว่า ดาวิดมีลูกหลานผู้หนึ่งที่สำคัญมากคือ พระเยซู
กิจการ 13:24-25
ยอห์นได้มาก่อนพระเยซูไม่นาน และเขาได้แนะนำพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่อยู่ในวงศ์ของดาวิดให้ประชาชนได้รู้จัก พระองค์คือพระผู้ช่วยที่แท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้เผยพระคำสมัยโบราณกล่าวถึง
กิจการ 13:26-28
พระเจ้าได้ให้ชนอิสราเอลได้รู้เรื่องนี้ก่อนใคร ๆ แต่ชาวยิวทั้งหลายในเยรูซาเล็มกลับไม่ยอมรับคำของพระเจ้า ตอนนั้นเราต้องไม่ลืมว่า ยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ คนยิวจะอ่านพระคำพระเจ้าคืออ่านจากพระคัมภีร์เดิม
คนที่น่าจะเชื่อในคำของพระเจ้ามากที่สุดกลับพยายามทำลายพระคำของพระองค์ด้วยการตรึงพระบุตรพระเจ้าบนไม้กางเขน ไม่ใช่ใครอื่นที่ทำร้ายพระเยซู แต่เป็นชาวยิวเอง พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาทำให้คำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูนั้น สำเร็จในรายละเอียดแม้กระทั่งการนำพระองค์ไปฆ่าด้วยการตรึง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน ก็เกิดเป็นจริงตามที่เขียนไว้ ลองอ่านสดุดี 22 เราจะเห็นว่า ราวกับเป็นสคริปต์ที่เขียนเอาไว้จริง ๆ
กิจการ 13:29-31
ชาวยิวได้ประหารพระเยซู และคิดว่าจบ แต่…​พระเจ้า ทรงให้พระบุตรของพระองค์คืนพระชนม์​
เรื่องราวจึงพลิกไปจากความคาดหมายของยิว
เปาโลเล่าถึงการที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย และพี่น้องหลายคนได้พบพระเยซู และพวกเขาคือพยานปากเอกที่จะบอกใคร ๆ ในโลกให้รู้ นี่สำคัญมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องบอกกับคนที่เราเป็นพยานด้วย เราจะเอาเรื่องนี้ออกไปจากข่าวประเสริฐไม่ได้เลย การคืนพระชนม์ของพระเยซูทำให้เราได้มีชัยชนะเหนือความบาปและความตาย
คนที่เห็นพระเยซูได้กลายมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มั่นคงมากเพราะสิ่งที่เขาได้ประสบ ความเชื่อของเขาสืบเนื่องต่อมาจนถึงเราทุกวันนี้ นี่เป็นผลของการคืนพระชนม์!
กิจการ 13:32-35
ทำไมเปาโลจึงย้อนมาที่หนังสือสดุดี? เพื่อว่าจะให้เห็นถึงคำพยากรณ์ล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกเรื่องของพระเยซูให้ยิวได้พิจารณาอย่างชัด ๆ ที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้เช่นนั้นแล้ว พระบุตรลงมาในโลก จะทรงถูกประหาร และจะไม่อยู่ในถ้ำเก็บศพแต่จะฟื้นขึ้นมา
กิจการ 13:36-37
เปรียบเทียบกษัตริย์ดาวิดกับพระเยซู.. ดาวิดสิ้นแล้วสิ้นเลย แต่พระบุตรพระเจ้าซึ่งตามสายเลือดก็เป็นลูกหลานของดาวิด ทรงเป็นอยู่ตลอดไป นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแก่คนยิว สังเกตไหมว่า การประกาศพระนามครั้งนี้ แม้ว่าเปาโลจะพูดถึงพระคัมภีร์เดิม แต่ก็จะโยงมาถึงความจริงที่เกิดขึ้นในยุคของท่าน
เรื่องของคริสเตียนไม่ใช่แค่ข้อเขียนจากพระเจ้า แต่เป็นการกระทำเฉพาะเจาะจงของพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้า
กิจการ 13:38-41
เปาโลสอนชัดเจนว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้าไม่สามารถพ้นบาปด้วยพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส เมื่ออ่านบัญญัติเหล่านั้น เราเห็นข้อห้าม และคำบัญชาให้ทำ แต่ไม่มีใครสามารถรักษาบัญญัติเหล่านั้นเลย แสดงว่า มนุษย์ล้มเหลว ไม่มีใครสักคนพ้นโทษบาปได้
กิจการ 13:42-43
น่าแปลกใจที่พวกเขาฟังแล้ว ก็ยังอยากฟังอีก ขอร้องให้ท่านมาพูดให้ฟัง พวกเขาตอบสนองข่าวประเสริฐของพระเยซู แต่ท่านเองก็ไม่ได้ทิ้งพวกเขา แต่ขอให้พวกเขามั่นคงในพระคุณพระเจ้า นั่นหมายความว่า ขอให้เขาได้ทำทบทวนสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขา มีใจขอบพระคุณซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตต่อไปแม้ในหนึ่งสัปดาห์ที่จะห่างกันไป

กิจการ 13:44-46
สะบาโตต่อมา คนเกือบทั้งเมืองมาฟังเปาโลในศาลาธรรม เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์เขย่าเมืองเลยทีเดียว สำหรับยิวเปาโลทำมากเกินไปแล้ว พวกเขาโกรธเกรี้ยว แต่ยิวจะโกรธแค่ไหน พวกเขาก็ยังกล้าปฏิบัติงานของพระเจ้าอย่างไม่กลัวเกรง แล้วบอกด้วยว่า ที่มาประกาศเรื่องพระเยซูให้ในศาลาธรรมก็เพราะต้องให้ยิวรู้ก่อน แต่หากยิวไม่สนใจ ก็จะไปประกาศกับคนต่างชาติ

กิจการ 13:47-48
เปาโลกล่าวว่า จริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงตั้งคนยิวให้เป็นพรกับคนต่างชาติ ดังนั้นจะมียิวที่เชื่อและยิวที่ตั้งตัวเป็นศัตรู แบ่งกันเป็นสองพวกชัดเจน เปาโลกำลังเจอกับการเล่นงานของยิวเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเจอมาตลอดที่พระองค์รับใช้พระเจ้า สมกับที่พระเยซูตรัสว่า บ่าวไม่ใหญ่กว่านาย
ถึงอย่างนั้น ผู้บันทึกเรื่องราวนี้ ได้บอกข่าวดีกับเราว่า ทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ก็ได้เชื่อวางใจ เมื่อเราออกไปกล่าวคำของพระเจ้า อาจมีทั้งความเฉยเมย การต่อต้าน แต่ก็จะมีการตัดสินใจติดตามพระเจ้าด้วยเช่นกัน
กิจการ 13:49-52
หลังการประกาศ มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ แต่ศัตรูสำคัญคือ พวกยิวที่หาเรื่องไม่หยุดหย่อน พวกเขาไปชวนให้คนอื่น ๆ เลิกเชื่อ เลิกนับถือเปาโลและบารนาบัส ที่ใดมีการเชื่อเกิดขึ้น มารก็ไม่หยุดนิ่ง มันพยายามทำร้ายคนของพระเจ้าโดยยืมมือคนที่ไม่ชอบเขาเป็นทุนอยู่แล้ว และครั้งนี้ พวกเขาทำได้ผล ทำให้เปาโลและบารนาบัสถึงกับต้อง สลัดผงจากเท้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่า นี่เป็นเมืองที่ปฏิเสธพระเจ้า และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ไม่มีอะไรจะยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
แต่แล้วทั้งสองก็เข้าไปในอีกเมือง ไม่มีการหยุดทำงาน ทำงานโดยใบหน้าแจ่มใส ยินดีมาก ๆ

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 4:36, 15:35, 11:22-27; กาลาเทีย 2:9; เอเฟซัส 4:11
2* กาลาเทีย 1:15; กิจการ 9:15; 2 ทิโมธี 1:11; 1 โครินธ์ 12 11
3* กิจการ 6:6; 2 ทิโมธี 2:2; 1 ทิโมธี 4:14
4* กิจการ 4:36; 13:2; 11:19
5* กิจการ 13:14; 13:46; 19:8
6* มัทธิว 7:15; 1 ยอห์น 4:1; 2 เปโตร 2:1-3; 2โครินธ์ 11:13; มาระโก 10:46
7* กิจการ 19:38; 13:12; 18:12
8* 2 ทิโมธี 3:8; กิจการ 13:6-7; 9:36; 2 ทิโมธี 4:14-15
9* มีคาห์ 3:8; กิจการ4:8
10* ยอห์น 8:44; โฮเชยา 14:9; 2 โครินธ์ 11:3; มัทธิว 13:38
11* สดุดี 32:4; อพยพ 9:3; ฮีบรู 10:31; ยอห์น 9:39;โยบ 12:21
12* 2 โครินธ์ 10:4-5; กิจการ 13:7; ลูกา 4:22
13* กิจการ 15:38; 27:5; 14:24-24
14* กิจการ 17:2
15* โรม 12:8

16* กิจการ 12:17; 13:26
17* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6-8; กิจการ 7:2-53
18* กิจการ 7:36; ฮีบรู 3:16-19
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; สดุดี 78:55; กิจการ 7:45
20*ผู้วินิจฉัย 2:16; 1 ซามูเอล 3:20
21* 1 ซามูเอล 10:1; 15:1
22* 1 ซามูเอล 13:13-14 ; 1 พงศ์กษัตริย์ 15:5
23* มัทธิว 1:1; สดุดี 132:11
24* กิจการ 1:22; 19:3-4
25* มัทธิว 3:11; ยอห์น 1:26-27; มาระโก 1:7
26* ลูกา 1:77 ; 1:69; อิสยาห์ 46:3
27*กิจการ 3:17; 15:21; ลูกา 24:20
28* ยอห์น 19:4; ลูกา 23:21-25
29* ลูกา 23:53; ยอห์น 19:28, 30; กิจการ 5:30
30* กิจการ 2:24, 17:31; มัทธิว 28:6
31* กิจการ 1:3; ลูกา 24:48; กิจการ 1:11
32* โรม 4:13; กิจการ 26:6; เอเสเคียล 34:23
33* สดุดี 2:7; ฮีบรู 5:5
34* โรม 6:9; อิสยาห์ 55:3; สดุดี 89:2-4


35* สดุดี 16:10; กิจการ 2:27-31
36* กิจการ2:29; 13:22; 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10
37* กิจการ 13:30, 2:24
38* ลูกา 24:47; 2โครินธ์ 5:18-21; 1 ยอห์น 2:12
39* กาลาเทีย 2:16; โรม 10:4; โรม 8:3
40* มาลาคี 4:1
41* ฮาบากุก 1:5; 1 เปโตร 4:17; โรม 11:7
42* กิจการ 28:28; 13:14
43* กิจการ 11:23; 2 ยอห์น 1:9; 2 เปโตร 3:17-18
45* ยูดาห์ 1:10; กิจการ 18:6
46* กิจการ 28:28; 26:20
47* อิสยาห์ 49:6; 42:6
48* เอเฟซัส 1:4; โรม 11:7
49*กิจการ 12:24; ฟีลิปปี 1:13-14
50* กิจการ 14:19; 14:2; 2 ทิโมธี 3:11
51* มัทธิว 10:14; กิจการ 18:6
52* 1 เธสะโลนิกา 1:6; โรม 15:13; กิจการ 4:31

กิจการ 12 นักโทษที่หายไป!

อธิษฐานแล้ว …คำตอบก็มา

จุดจบเฮโรด

อธิษฐาน แล้วคำตอบก็มา
กิจการ 12:1-3
ชื่อเฮโรดเป็นเหมือนชื่อตำแหน่ง วงศ์ของเฮโรด เราจึงเจอเฮโรดหลายคนในพระคัมภีร์ ต้องดูดี ๆ ว่า เป็นคนไหน ส่วนคนนี้ นามว่าเฮโรด อะกริปปาที่หนึ่ง สืบเชื้อสายจากวงศ์ฮาสโมเนียนซึ่งมีเชื้อสายยิว เป็นเฮโรดที่เชื่อในศาสนายิว ดังนั้นเขาจึงพยายามเอาใจยิวให้มาก เขาได้จับยากอบพี่ชายของยอห์น แล้วประหารเสีย คนต่อไปที่เขาจะกำจัดคือ เปโตร และก็จับมาได้เสียด้วย เพราะอัครทูตไม่ได้อยู่หลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่พวกเขาประกาศพระนามอย่างกล้าหาญ
น่าจะเป็นประมาณปี ค.ศ. 43-44 ที่เฮโรดผู้นี้เริ่มก่อกวน และตามข่มเหงคนของพระเจ้า เขาสนใจคนที่เป็นผู้นำ และมักจะทำงานร่วมกับพวกสภาแซนฮีดรินสะดูสี ส่วนพวกฟาริสีก็ไม่ได้ตามติดที่จะทำร้ายคริสเตียนนัก ดูกิจการ 5:33-39
กิจการ 12:4-5
เฮโรดตั้งใจว่า จบเทศกาลไร้เชื้อเมื่อไรค่อยจัดการปลิดชีวิตเปโตร โดยเป็นเทศกาลปัสกาด้วย (ซึ่งเป็นงานที่ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาสอียิปต์) เฮโรดตั้งใจจะนำตัวเปโตรสอบสวนแล้วค่อยประหาร แต่ต้องรอให้เทศกาลจบเสียก่อนไม่อย่างนั้นผู้คนอาจลุกฮือขึ้นมาได้ เราคงจำได้ว่า พวกปุโรหิตจับพระเยซูมา แต่ก็จะไม่ทำอะไรในช่วงเทศกาล เพราะกลัวประชาชนลุกฮือ (มาระโก 14:2)
แต่พี่น้องไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาไม่ได้ไปเดินขบวนประท้วง แต่พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานเพื่อเปโตรอย่างจริงจัง เขาไม่ต้องการให้เสียไปอีกคนหลังจากที่เสียยากอบไปแล้ว
กิจการ 12:6-7
พี่น้องอธิษฐานอย่างร้อนรนนอกคุก แต่เปโตรก็สามารถหลับได้อย่างเป็นสุขข้าง ๆ ทหารที่มาคุม ดูเขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าไร น่าจะเป็นเพราะครั้งที่พระเยซูตรัสกับเขาที่ริมทะเลสาปกาลิลีว่า เมื่อเจ้าแก่ก็จะ
มีคนพาเจ้าไป.. ซึ่งทำให้เขารู้ว่า ครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นวันตายของเขา (ยอห์น 21:18)
พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาให้นำเขาออกไป สิ่งแรกที่มหัศจรรย์คือ ทูตมา อย่างที่สองคือโซ่หลุดออก
กิจการ 12:8-10
ทูตสวรรค์สั่งให้เขาสวมเสื้อให้ครบครันทั้งรองเท้าและตามออกไป ตัวเปโตรเองก็ออกไปกับทูต แต่เวลานั้นเขาคิดว่าเขาฝันไป เป็นฝันที่มีความสุขเสียด้วย … ก็เดินผ่านทหารยามโดยไม่ได้มีใครมาจับไปล่ามโซ่อีก ดีจริง ๆ ฝันนี้
เมื่อเขาออกมาที่ถนน ทูตก็หายไป คราวนี้ เปโตรต้องจัดการตัวเองต่อแล้ว ไม่มีทูตมาช่วยพาไปอีก
กิจการ 12:11-12
พออยู่คนเดียว เขารู้สึกตัวและรู้ว่า นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน จึงตัดสินใจไปหาพี่น้องที่บ้านของยอห์น มาระโก ความพยายามของเฮโรดที่จะทำลายคริสตจักร ต้องชะงักลงตรงนี้ เปโตรเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าทรงอยู่กับคริสตจักร ทรงทำการร่วมกับพวกเขา
บ้านของมารีย์ซึ่งเป็นมารดาม่ายของยอห์นมาระโกน่าจะใหญ่พอสมควร เพราะต้อนรับพี่น้องให้มาอธิษฐานด้วยกันได้ และคงเป็นที่ ๆ เขานัดพบกันเสมอ เพราะเปโตรมั่นใจว่า จะพบพี่น้องที่นั่น ยอห์น มาระโกผู้นี้เป็นคนเดียวที่มีสองชื่อต่อกัน ยอห์นเป็นชื่อภาษายิว มาระโกเป็นชื่อที่ใช้ในโรม ต่อมาเขาได้รับใช้ร่วมกับบารนาบัส และเป็นผู้ที่เขียนพระกิตติคุณมาระโก
กิจการ 12:13-15
เมื่อเปโตรมาเคาะประตู มีสาวใช้มาตอบรับแต่แทนที่จะเปิดให้ กลับรีบวิ่งไปบอกพี่น้องว่าเปโตรออกมาจากคุก ทั้ง ๆที่ตั้งหน้าตั้งตาอธิษฐาน แต่เมื่อพระเจ้าตอบอย่างรวดเร็ว เหลือเชื่อขนาดนี้ ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจหาว่า โรดา สาวใช้เสียสติไปเสียอีก ช่างย้อนแย้งเสียจริง
กิจการ 12:16-17
เปโตรไม่หยุดเคาะจนมีคนมาเปิดประตู และพบว่า เป็นเปโตรตัวจริง ..มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับพวกเขา แต่เปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง พี่น้องจึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานอย่างไร
เปโตรกำชับพวกเขาให้แจ้งเรื่องนี้กับยากอบ ซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซู เขาไม่ได้เชื่อพระองค์ตอนที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่อมา ได้เชื่อและกลายเป็นผู้นำคนสำคัญสำหรับคริสตจักรยุคแรก เขาจะต้องเป็นคนที่ทุกคนรู้จักดีในเยรูซาเล็ม
และไม่อยู่อธิษฐานกับพวกเขา แต่เดินทางไปที่อื่น เขาคงมีแผนอะไรในใจ และเพื่อไม่ให้พี่น้องต้องลำบากหากเฮโรดตามมาเจอ
กิจการ 12:18-19
เสรีภาพของเปโตรเป็นความชื่นชมยินดีของพี่น้องคริสเตียน แต่กลับกลายเป็นว่าทหารยามทั้งหมดต้องถูกประหาร เป็นโทษฐานปล่อยนักโทษออกมา จากนั้น เฮโรดก็เลยลาไปพักผ่อนเพราะแผนล่มไปเสียแล้ว อยู่ก็เหนื่อยเปล่า

จุดจบเฮโรด
กิจการ 12:20
และในช่วงนั้นเองเจ้าเมืองไทระและเจ้าเมืองไซดอนเข้ามาขอเป็นไมตรีด้วย ซึ่งเฮโรดตอบตกลง เป็นโอกาสที่เขาจะได้มีอำนาจมากขึ้น และมีผลประโยชน์อื่น ๆ มากขึ้นด้วย

กิจการ 12:21-23
ในวันที่เฮโรดจะทำสัมพันธไมตรีนั้นเอง เมื่อเขาพูดออกมา ประชาชนก็ร้องสรรเสริญเขาว่า เสียงของเฮโรดเป็นเสียงของพระ ซึ่งทำให้เขายิ่งภูมิใจตัวเอง .. ชายผู้ที่พยายามทำลายอาณาจักรของพระเจ้า ตอนนี้กำลังได้รับการเชิดชู แต่ในทันใดนั้นเอง มีทูตของพระเจ้าลงมาที่ผู้คนกำลังประชุมกันอยู่ เขาล้มลง และมีหนอนโผล่ออกมาจากตัวเขา เขาตายในอีกห้าวันต่อมา
ลูกามองว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการพิพากษาของพระเจ้าต่อเฮโรดที่ยอมให้ประชาชนยกชูว่าเขาเป็นพระเจ้า
ไปรับเกียรติที่เป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว อีกอย่างในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ไหมที่ พระเจ้าทรงทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงหวงคนของพระองค์ และพระองค์จะทรงจัดการกับศัตรูที่พยายามทำลายคนของพระองค์ ทรงทำให้พี่น้องคริสเตียนได้รู้ว่า พระเจ้าทรงเอาจริงกับการขยายแผ่นดินของพระองค์ ทรงทำให้ยิวที่เกลียดชังคริสเตียนต้องระวังตัวมากขึ้น

กิจการ 12:24-25

พระวจนะของพระเจ้ายังคงเผยแผ่อีกต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้เฮโรดและยิวพยายามทำลายงานของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เท่าพระองค์ ความรอดจากพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากยอมรับและยังคงสืบต่อมาจนทุกวันนี้ คนทั้งโลกได้รู้จักพระเจ้า
และเราได้เห็นว่า ยอห์นมาระโก เข้ามาร่วมในการรับใช้พระเจ้าในอันทิโอกนี้ด้วย


พระคำเชื่อมโยง

2* มัทธิว 4:21;20:23
3* อพยพ 12:15; 23:15
4* ยอห์น 21:18
7* กิจการ 5:19
9* สดุดี 126:1; กิจการ 10:3, 17; 11:5

10* กิจการ 5:19; 16:26
11* สดุดี 34:7; โยบ 5:19
12* กิจการ 4:32; 13:5, 13; 15:37; 12:5
15* มัทธิว 18:10
17* กิจการ 13:16; 19:33;21:40

20* มัทธิว 11:21; เอเสเคียล 27:17
23* 2 ซามูเอล 24:16,17; สดุดี 115:1
24* กิจการ 6:7; 19:20
25* กิจการ 11:30; 13:5,13; 12:12; 15:37

กิจการ 11 อันทิโอก…เปิดโลกคริสเตียน

บทนี้เป็นบทสั้น ๆ แต่เราจะเห็นการทำงานของพระวิญญาณในการเริ่มต้นนำคนต่างชาติเข้ามาหาพระองค์สมกับที่ตรัสไว้ในอิสยาห์ 45:6 ว่า “เพื่อจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จรดที่ดวงอาทิตย์ตก มนุษย์จะรู้ว่า ไม่มีใครอื่นนอกจากเรา..”

คริสตจักรเพื่อคนต่างชาติ

คริสตจักรขยายไปทางซีเรีย

คริสตจักรเพื่อคนต่างชาติ
กิจการ 11:1-3
เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนต่างชาติที่ได้รู้ว่า พระเจ้าทรงห่วงใยและพร้อมที่จะรับเขาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เป็นชุมชนผู้เชื่อในพระบุตร พระองค์ทรงส่งเปโตรไปประกาศ พวกเขาได้รับพระวิญญาณ และยังได้รับบัพติศมาด้วย แต่… มีคนกลุ่มหนึ่งกลับไม่พอใจ พวกนี้ยังคงยึดถือกฎของยิวอยู่
พวกเขาเป็นยิวที่อยู่ในเยรูซาเล็ม เป็นคนถือสุหนัต และเชื่อชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเลือกคนยิวเท่านั้น ในการที่เขาเข้าไปในบ้านคนต่างชาติกินอาหารร่วมกับพวกเขา แถมยังพักในบ้านพวกเขาด้วย พวกเขาต่อว่าเปโตรอย่างไม่ไว้หน้า
กิจการ 11:4-7
แต่เปโตรเตรียมตัวไว้แล้ว จากที่เห็นเขาเอาพี่น้องไปด้วยอีกหกคน (อย่างไม่เกรงใจโครนิเลอัสเลย)
เปโตรอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้น ว่า พระเจ้าทรงแจ้งให้เขาทราบว่า พระองค์ทรงเปิดทางให้คนต่างชาติแล้ว
กิจการ 11:8-11
แม้ตอนแรกเปโตรไม่ยอมฟังเสียงของพระเจ้า เพราะเขายังยึดถือกฎบัญญัติที่ห้ามอาหารมลทิน แต่พระเจ้าทรงบอกว่าพระองค์ชำระแล้ว อย่าเรื่องมาก ให้เข้าใจตามนี้ เปโตรเล่าเรื่องจนถึงที่ว่า มีคนจากบ้านของโครเนลิอัสมาตามเขา มาถูกบ้าน มาหาถูกคน นี่เป็นการส่งมาจากพระเจ้าจริง ๆ
กิจการ 11:12-14
ท่านเปโตรให้พี่น้องเข้าใจว่า พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำในเรื่องนี้ เขาไม่ได้เริ่มเอง เขาไม่เต็มใจในครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ การที่พวกเขาได้ยินว่า พระเจ้าเองก็เยี่ยมเยียนโครเนลิอัสเหมือนกัน ทำให้เห็นว่า นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าจริง ไม่ใช่ว่าเปโตรอยากทำเอง
เปโตรได้กล่าวถึงพี่น้องหกคนที่ไปบ้านโครเนลิอัสด้วย ว่าพวกเขาเห็นเป็นพยานทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นพี่น้องชาวยิวที่รับสุหนัตเช่นเดียวกับพวกนี้
กิจการ 11:15-18
ที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้คนต่างชาติเหมือนกับที่ประทานให้พี่น้องในวันเพนเตคอสต์นั้น (2:4) ทำให้พวกเขาต้องจนมุม พวกเขาได้เห็นแล้วว่า พระเจ้าทรงดีต่อคนต่างชาติเหมือนที่ทรงดีต่อพวกเขา
เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะบัพติศมาผู้เชื่อด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1:5) ต่อมา
เปาโลเองได้กล่าวใน 1 โครินธ์ 12:13 ว่า ไม่ว่าจะเป็นกรีกยิว ทาสหรือเสรีชน ต่างก็ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวกันเข้าเป็นกายเดียวกัน พระวิญญาณทรงเป็นเหมือนน้ำที่ประทานให้เราได้ดื่มกันทุกคน

นี่เป็นเหมือนรูปแบบที่เมื่อคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงรับเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า

คริสตจักรขยายไปทางซีเรีย
กิจการ 11:19-21
เรื่องราวในบทที่ 7 ความตายของสเทเฟนจากการถูกหินขว้าง และการข่มขู่ของเซาโล ทำให้พี่น้องหนีไปไกลมาก พี่น้องเหล่านี้ ประกาศเรื่องพระเยซูเฉพาะคนยิว พวกเขายังติดอยู่ในกรอบความคิดเดิม และพบกันในศาลาธรรม แต่ในขณะเดียวกันมีคนไปยังเมืองอันทิโอก ประกาศกับคนกรีก ทำให้มีคนเชื่อมากมาย การถูกข่มเหงกลายเป็นหนทางที่ทำให้คนกลับมาหาพระเจ้าสมกับคำบัญชาของพระเยซูในกิจการ 1:8
เมืองอันทิโอกนี้ อยู่ทางเหนือ เป็นเมืองท่าใหญ่ที่มีผู้คนเดินทางผ่านเข้ามากมาย จากประเทศต่าง ๆ แม้พวกเปอร์เซีย อินเดีย มีแม้กระทั่งจากประเทศจีน เป็นเมืองเปิด ศาสนาต่าง ๆก็มีมากมาย ทำให้คนเปิดใจ ไม่ได้เคร่งครัดอย่างเดียว เป็นหนทางที่พ่อค้าซึ่งผ่านมาจะได้ยินพระคำของพระเจ้าด้วย
กิจการ 11:22-24
แล้วก็มีการส่งบารนาบัส ที่ใคร ๆ มองว่าเขาเป็น “ลูกชายแห่งการหนุนน้ำใจ” (4:36 ) ไปดูว่าเรื่องราวจริง ๆ เป็นอย่างไร ทำไมที่อันทิโอกจึงมีคนกลับใจมากมาย จะเห็นว่า เขาส่งคนที่ดีเป็นผู้นำ ส่งคนดีที่สุด บารนาบัสเป็นคนที่เต็มด้วยพระวิญญาณ
เมื่อบารนาบัสมาถึงอันทิโอก ก็รู้สึกได้รับกำลังใจมาก เพราะพระวิญญาณ ทรงทำการของพระองค์ ทรงสนับสนุนการที่พี่น้องประกาศพระนาม เขากลับกลายเป็นกำลังใจให้พี่น้องใช้ชีวิตติดตามพระเจ้ามากขึ้นไปอีก เราจะเห็นการทำงานร่วมมือกันอย่างเป็นระบบระเบียบในสมัยคริสตจักรยุคแรก คนมาเช่ือพระเจ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่า เรากำลังมีคนเกิดใหม่ และมีคริสตจักรเกิดขึ้นในเมืองนี้
กิจการ 11:25-26
บารนาบัสเห็นว่า คริสตจักรต้องการผู้สอน ผู้นำที่ดี และ เขาคิดถึงเพื่อนรักอีกคน เขาได้รับการทรงนำจากพระเจ้าที่จะตามหาเซาโลให้เจอ (ซึ่งยังเป็นคนที่พี่น้องในเยรูซาเล็มไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรนัก บารนาบัสเองเป็นคนที่จะปกป้องเปาโลต่อพี่น้องมาตั้งแต่ต้น)
ที่เมืองนี้เองที่ผู้เชื่อได้รับสมญานามว่า “คริสเตียน” เป็นครั้งแรก แต่ก่อนคนเรียกกันว่า พวก “ทางนั้น” นักประวัติศาสตร์สองคนเรียกคริสเตียนต่างกัน โจซีฟุสเรียกว่า เผ่าคริสเตียน อีกคนคือ ทาซิทัสเรียกว่า คริสเตียน ซึ่งเป็นชื่อที่หมายถึงคนที่ตามพระคริสต์
เราเห็นคริสตจักรเกิดใหม่ ผู้นำที่ทำงานเป็นทีมด้วยกัน ทั้งยิวและต่างชาติเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงอยู่ท่ามกลางเขา คริสตจักรที่นี่ได้ส่งคนออกไปประกาศพระนามที่อื่นอีก
กิจการ 11:27-30
ผ่านทางองค์พระวิญญาณ อากาบัส ซึ่งเป็นผู้กล่าวพระคำของพระเจ้าได้พยากรณ์ว่า จะเกิดกันดารอาหาร คำของอากาบัส มีความหมายว่า ทั่วอาณาจักรโรม อากาบัสไม่ได้พูดเอาเองแต่เป็นการทรงนำ และต่อมาก็มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นจริงประมาณปีค.ศ. 44-48
พี่น้องในคริสตจักรอันทิโอก ก็ได้ส่งความช่วยเหลือไปยังคริสตจักรแม่ที่อยู่ในยูเดีย และในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า พี่น้องที่เมืองนี้ มีทั้งชาวต่างชาติและชาวยิว พวกเขามีน้ำใจให้กับคนอื่นทันที เห็นได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เกิดจากพระวิญญาณ คริสตจักรพร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ยากลำบากมาตั้งแต่ต้น
เมื่อมีการรวบรวมเงินเพื่อพี่น้อง ก็ได้ส่งบารนาบัส และเซาโลกลับไปยังเยรูซาเล็มเพื่อไปช่วยบรรเทาความลำบากของพี่น้อง จะเห็นได้ว่า แม้คริสตจักรมุ่งช่วยชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่ในเรื่องการช่วยเหลือแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำกันเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พี่น้อง (กาลาเทีย 2:10)

พระคำเชื่อมโยง

2* กิจการ 10:45
3* กิจการ 10:28; กาลาเทีย 2:12
4* ลูกา 1:3
5* กิจการ 10:9
12*. 16:13; กิจการ 10:23
13* กิจการ 10:30
15* กิจการ 2:1-4
16* ยอห์น 1:26,33; อิสยาห์ 44:3

17* กิจการ 15:8-9; 10:47
18* โรม 10:12-13; 15:9, 16
19* กิจการ 8:1, 4
20* กิจการ 6:1; 9:29
21* ลูกา 1:66; กิจการ 9:35; 14:1
22* กิจการ 4:36; 9:27
23* กิจการ 13:43; 14:22

24* กิจการ 6:5; 5:14; 11:21
25* กิจการ 9:11, 30
27* 1 โครินธ์ 12:28
28* กิจการ 21:10; 18:2
29* 1 โครินธ์ 16:1
30* กิจการ 12:25




1 โครินธ์ 4 ยอมโง่เพื่อพระคริสต์

ผู้รับใช้และผู้อารักขา

1 โครินธ์ 4:1-2 ดังนั้น จงเข้าใจว่า เราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ เป็นผู้รับมอบความรับผิดชอบให้ดูแลอารักขา ความล้ำลึกของพระเจ้า ผู้อารักขานี้ จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้
1 โครินธ์ 4:3-4 สำหรับตัวข้าแล้ว หากท่านหรือคนใดจะกล่าวโทษข้า ข้าก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จริง ข้าเองไม่กล่าวโทษตัวเองเลย การที่ข้าไม่รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดในเรื่องใด ก็ไม่ได้บอกว่า ข้าเป็นคนไร้ความผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกล่าวโทษข้าเอง

1 โครินธ์ 4:5 ดังนั้น อย่าตัดสินสิ่งใดก่อนถึงเวลากำหนด จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา และพระองค์ทรงจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนในความมืด และจะส่งเปิดเผยความมุ่งหมายในใจของทุกคนให้เห็นชัดเมื่อนั้น แต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์

1 โครินธ์ 4:6 พี่น้องทั้งหลาย ข้าได้ใช้ตนเองกับอปอลโลมาเป็นตัวอย่างเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อให้ท่านได้เข้าใจความหมายของคำที่ว่า “อย่าคิดเกินไปกว่าที่เขียนไว้”เพื่อท่านจะไม่ยโส ยกคนหนึ่งและเหยียดหยามอีกคน
1 โครินธ์ 4:7 ใครทำให้ท่านพิเศษกว่าคนอื่น? มีอะไรที่ท่านครอบครองโดยไม่ได้รับมา?ถ้าท่านได้รับมา เหตุใดจึงโอ้อวดราวกับว่า ท่านไม่ได้รับอะไรมา?
1 โครินธ์ 4:8 ท่านร่ำรวยแล้ว ท่านครอบครองโดยไม่มีพวกเรา ข้าอยากให้ท่านครอบครองจริง ๆ เพื่อเราจะมาครอบครองกับท่านด้วย

1 โครินธ์ 4:9 ข้ามีความเห็นว่า พระเจ้าทรงจัดเราซึ่งเป็นอัครทูตให้เป็นคนท้ายสุดเหมือนอย่างนักโทษที่ถูกตัดสินประหารเพราะเราตกเป็นเป้าสายตาของโลกทั้งทูตสวรรค์ และในหมู่มนุษย์
1 โครินธ์ 4:10-11 เราเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์และท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญาในพระคริสต์ เราอ่อนแอ แต่ท่านแข็งแรง ท่านได้รับเกียรติ แต่เราถูกเหยียดหยามแม้ในเวลานี้ เราก็ยังรู้สึกหิว กระหายต้องการเครื่องนุ่งห่ม ถูกทุบตี ไร้ที่อยู่
1 โครินธ์ 4:12-13 เราต้องทำงานหนักด้วยมือของเราเมื่อถูกคนด่าทอ เราก็อวยพรกลับไปเมื่อเราถูกข่มเหง เราก็อดทนเมื่อถูกใส่ร้าย เราก็ตอบอย่างเป็นมิตร เราถูกปฏิบัติราวกับเป็นของทิ้งเป็นเหมือนขยะของโลกมาจนถึงเวลานี้

ความห่วงใยอย่างพ่อ

1 โครินธ์ 4:14-15 ข้าเขียนถึงท่าน มิใช่เพื่อทำให้ท่านต้อง
อายใจ แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะที่เป็นเหมือนลูกรักของข้า แม้ว่าท่านมีผู้ดูแลสักหมื่นคนในพระคริสต์ แต่ท่านก็มีบิดาเพียงไม่กี่คน เพราะข้าได้มาเป็นบิดาของท่านโดยข่าวประเสริฐนั่นเอง

1 โครินธ์ 4:16-17 ข้าขอร้องท่านให้ทำตามอย่างข้า
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงส่งทิโมธีให้มาหาท่านเขาเป็นลูกรักของข้าที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเพื่อเขาจะเตือนให้ท่านระลึกถึงแนวทางการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ของข้าตรงตามที่ข้าสอนในคริสตจักรทุกแห่ง

1 โครินธ์ 4:18-19 มีบางคนในพวกท่านที่เกิดหยิ่งยโสขึ้นมาเพราะคิดว่า อย่างไรข้าจะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าพระเจ้าทรงโปรดข้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ และจะมาดูให้เห็นว่า คนที่หยิ่งยโสเหล่านี้พูดอะไรบ้างและเขามีอำนาจขนาดไหน
1 โครินธ์ 4:20-21 ด้วยว่า อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องที่แสดงออกมาด้วยฤทธิ์เดช ท่านต้องการอะไร? จะให้ข้ามาหาท่านด้วยไม้เรียวเพื่อสร้างวินัย หรือด้วย
ความรักและจิตใจที่อ่อนโยน?

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 4

ผู้รับใช้และผู้อารักขา
1 โครินธ์ 4:1-2
พระคัมภีร์ข้อนี้ พูดให้ชัดคือ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านและอปอลโล เปโตร เป็นผู้รับใช้ในการดูแลความล้ำลึกของพระเจ้า (ซึ่งมีหลายประการ ทั้งเรื่องข่าวประเสริฐและความจริงอื่น ๆ ของพระเจ้า) ท่านเหล่านี้มีหน้าที่อารักขาความจริงของพระเจ้าไม่ให้ใครมาบิดเบือนเอาตามใจชอบ และส่งต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกไว้ให้ผู้เชื่อได้เข้าใจ เชื่อ และเดินตามความจริงนี้ 
1 โครินธ์ 4:3-4
ดูเหมือนว่ามีคนที่คอยนินทา ให้ร้ายในตัวท่านเปาโลอยู่ตลอดเวลา บางคนสงสัยว่าท่านเป็นอัครทูตแน่หรือ บางคนสงสัยว่า ท่านเหมาะที่จะสอนพวกเขาไหม แต่ท่านเปาโลไม่ได้สนใจกับคำครหาเหล่านั้นกลับมองว่า เป็นเรื่องเล็ก สำหรับท่านแล้วผู้เดียวที่จะบอกว่า ถูกหรือผิดคือ พระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของมนุษย์คนใด
1 โครินธ์ 4:5
ท่านเปาโลเตือนเราว่า อย่าไปตัดสินใครก่อนถึงเวลากำหนดของพระเจ้า เราไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะรู้ความในใจของแต่ละคน เราไม่เห็นการกระทำดีหรือเลวของชีวิตใคร เราไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเลือกเขาหรือไม่ เราทุกคนมีที่สว่าง และที่มืดของชีวิตที่ ๆ คนเห็น และที่ไม่มีใครเห็น ผู้เดียวที่เห็นทะลุปรุโปร่งคือพระเจ้าเท่านั้น เราทุกคนต้องใช้ชีวิตที่จะได้รับคำชมเชย มิใช่รับคำตำหนิหรือคำว่าเราไม่รู้จักเจ้าเลย

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์
1 โครินธ์ 4:6
ใน 1 โครินธ์ 3:5 ท่านเปาโลกล่าวว่าทั้งตัวท่านและอปอลโลคือ ผู้รับใช้ที่สอนให้พี่น้องมีความเชื่อ ท่านปลูก อปอลโลรดน้ำ .. ที่ทำเช่นนั้นเพื่อให้เห็นตัวอย่างจากชีวิตจริง ทั้งสองได้แสดงให้เห็นถึงชีวิตรับใช้ที่ถ่อมตน และอวดพระเจ้าเท่านั้น ไม่อวดคนหนึ่งคนใดเหนืออีกคน (1:31) ท่านขอให้มีความเข้าใจตรงกันว่า พระเจ้าทรงปัญญาแท้จริง ไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาพยายามจะยกขึ้น (2:14)
1 โครินธ์ 4:7
“มีอะไรที่ท่านมีอยู่ในตอนนี้ โดยไม่ได้รับมาจากพระเจ้า?” นี่คือคำขยายความ ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ชีวิตของเราล้วนเป็นพระคุณของพระเจ้าทั้งสิ้นไม้กางเขน องค์พระวิญญาณในชีวิต สติปัญญาที่มีอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า
ไม่มีใครได้มาด้วยตัวเองเลย และไม่มีใครสมควรจะได้มา หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าเมตตา สรุปได้ว่าเราไม่มีอะไรจะอวดนอกจากอวดพระองค์!
1 โครินธ์ 4:8
ความจริงท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องว่า พวกเขาไม่ได้ใหญ่ไปกว่าคนอื่นที่เป็นพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน ประโยคข้างบนนี้เป็นคำพูดในลักษณะประชดประชัน นิยมใช้กันในโลกกรีกโบราณ ท่านพูดคล้าย ๆ กับนักวิจารณ์การเมืองในสมัยนั้น ตอนที่พวกเขามาเชื่อพระเจ้าใหม่ ๆ เขาเป็นเพียงคนชนชั้นธรรมดา แต่ท่านกลับพูดว่าเขารวยเป็นชนชั้นปกครอง เมื่อพวกเขาอ่านตรงนี้ เขาจะคิดได้ไหมว่าท่านกำลังประชดประชัน พวกเขาอยู่
1 โครินธ์ 4:9
พี่น้องคริสตจักรโครินธ์มีปัญหาคือ พวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ และมีความหมายมาก และมองท่านเปาโลเป็นคนไร้ค่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาภูมิใจได้ ท่านเองก็มองด้วยว่า ท่านและเพื่อนอัครทูตเป็นเหมือนนักโทษที่อยู่ท้ายสุดในขบวนแห่ของนายทหารโรมที่รบชนะ เป็นผู้ที่ต่ำต้อยสุดในขบวนนั้น เป็นผู้ที่จะถูกประหารโดยผู้ชนะสงคราม ท่านเปาโลพยายามที่จะให้พี่น้องได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดอย่างไร
1 โครินธ์ 4:10-11
ท่านเปาโลยังพูดไม่จบเรื่องที่พี่น้องมองตัวเองสูงส่งและดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ที่เป็นอัครทูตซึ่งเคยเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าให้กับพวกเขายุคนี้ของเราก็ไม่ได้ต่างอะไร เพราะคนรุ่นใหม่มักเข้าใจว่าตัวเองเก่งกว่าคนรุ่นก่อน ๆ ลืมไปว่าคนรุ่นก่อนเป็นผู้ที่วางรากฐาน และมีหน้าที่ ๆ สร้างทั้งคริสตจักรและอะไร ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้มาก่อนหน้าพวกเขาอาจพลั้งพลาดไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่ไร้ความหมาย
1 โครินธ์ 4:12-13
นี่คือชีวิตจริงของผู้รับใช้พระเจ้าที่ไม่ยอมแพ้ต่อการปฏิบัติร้าย ๆ ของใครก็ตาม ท่านเปาโลบอกให้เราได้ทราบว่า ชีวิตของท่านในการรับใช้นั้นถูกกระทำอย่างไรบ้างแต่สิ่งที่ท่านตอบกลับนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างคนในโลกทำ ท่านทำเหมือนกับพระคำโรม 12:14ที่ให้อวยพรแก่คนที่ข่มเหง ไม่ให้แช่งด่ากลับพี่น้องชาวโครินธ์ย่อมเห็นการตอบโต้ของท่านและรู้ว่าท่านทำอย่างนั้นจริง

ความห่วงใยอย่างพ่อ
1 โครินธ์ 4:14-15
ท่านเปาโลพูดมาเยอะ แต่ก็ต้องบอกพี่น้องว่า ที่เขียนมานั้น แค่เตือนในฐานะที่พวกเขาเป็นเหมือนลูกรักของท่าน ท่านเป็นผู้บอกข่าวประเสริฐเรื่องไม้กางเขนแก่พวกเขาโดยตรง เป็นผู้อธิบายจนกระทั่งพวกเขาได้เชื่อ ท่านจึงรู้สึกเอ็นดู ห่วงใยพวกเขาเหมือนกับเป็นลูก ส่วนผู้แนะนำ หรือผู้ดูแล ในสมัยเดิมนั้นมีความหมายถึงทาสที่คอยดูแลลูก ๆ ของเจ้านาย และเป็นคนที่คอยให้คำแนะนำการประพฤติให้กับพวกเขา
1 โครินธ์ 4:16-17
ท่านเปาโลมีความมั่นใจว่า ท่านได้เดินตามอย่างพระคริสต์ ท่านมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ ท่านกล้าที่จะชักชวนให้เขาทำตามแบบของท่านสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในตัวของท่านคือ คำพูดและการกระทำไปด้วยกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน ทิโมธี เป็นผู้รับใช้ที่ท่านเปาโลเองใช้ไปทำงานแทนท่านในหลาย ๆ แห่ง เขาเป็นคนที่เข้าใจหัวใจและการกระทำของท่านเปาโลชัดเจน และเขาเป็นคน
ที่ท่านเปาโลไว้ใจถือเสมือนว่าเขาเป็นลูกชาย
1 โครินธ์ 4:18-19
นึกถึงตอนที่เราทำผิดในห้องเรียน และกำลังล้อเลียนคุณครูในห้องกับเพื่อน ๆ โดยหารู้ไม่ว่าคุณครูมายืนอยู่ที่ประตูแล้ว ! พี่น้องชาวโครินธ์ก็เป็นเช่นนั้น คนที่สามารถเบ่งลับหลังผู้มีสิทธิอำนาจมีอยู่เยอะในโลกนี้ ท่านเปาโลเอาก็รู้ว่า พวกเขามีนิสัยใจคออย่างไรแต่เราจะเห็นความพยายามของท่านที่จะช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจถูกต้อง เป็นความรักความอดทนที่อึดเหลือเกิน
1 โครินธ์ 4:20-21
เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเป็นตัวอย่างสำหรับเราในการเผชิญหน้ากับคนที่ทำบาปแล้วไม่ยอมกลับใจแต่ยังฝืนและอวดตัว หยิ่งผยอง ท่านให้เขาเลือกว่า จะเอาแบบไหนเมื่อเจอกัน ท่านเองต้องการมาด้วยความรักและจิตใจที่อ่อนโยน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับชาวโครินธ์ด้วยว่า เขาพร้อมที่จะกลับใจก่อนหรือไม่ ท่านเปาโลต้องลำบากใจมาก เพราะใจท่านรักพวกเขา แต่จำเป็นต้องลงวินัยเพื่อให้รอดพ้น

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 1:25; ทิตัส 1:7
5* มัทธิว 7:1; 10:26; 1 โครินธ์ 3:13; โรม 2:29
7* ยอห์น 3:27
8* วิวรณ์ 3:17
9* ฮีบรู 10:33

10* กิจการ 17:18; 26:24; 2โครินธ์ 13:9
12*กิจการ 18:3; 20:34; มัทธิว 5:44
13* บทเพลงคร่ำครวญ 3:45
14* 1 เธสะโลนิกา 2:11
15* กาลาเทีย 4:19
16* 1 โครินธ์ 11:1

17* 19:22; 1 โครินธ์ 11:2;18; 1 โครินธ์ 7:17; 14:33
18* 1 โครินธ์ 5:2
19* 19:21; 20:2; 18:21
20* 1 1:5; 1 โครินธ์ 2:4
21* 2 โครินธ์ 10:2