ฮีบรู 12:1 ดังนั้น ในเมื่อเรามีพยานมากมายรอบข้างเช่นนี้ ให้เราสละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ออกไปรวมถึงบาปที่พันเราจนยุ่งเหยิง
และให้เราวิ่งแข่งตามที่กำหนดไว้ข้างหน้าด้วยความทรหดอดทน
ฮีบรู 12:2 ให้เราจับตาที่พระเยซู ผู้ทรงเบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับเอาความตายบนกางเขน ไม่ใส่พระทัยกับความน่าอับอายก็เพื่อความยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์พระที่นั่งของพระเจ้า
ฮีบรู 12:3 ขอให้พิจารณาถึงพระองค์
ผู้ทรงทนต่อความเกลียดชัง
จากคนบาป
เพื่อว่า
ท่านจะไม่อ่อนล้า และท้อใจไป
ฮีบรู 12:4-5 การที่ท่านต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้ต่อต้านจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย และท่านได้ลืมคำแห่งกำลังใจที่มาถึงท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเฉยเมยต่อการลงวินัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจไปเมื่อพระองค์ทรงตำหนิ
ฮีบรู 12:6-7 เพราะพระเจ้าทรงฝึกวินัยคนที่พระองค์
ทรงรัก และทรงตีสอนคนที่พระองค์ทรง
รับเป็นบุตร จงอดทนต่อความยากลำบาก
โดยถือว่าเป็นการฝึกวินัย พระเจ้า
ทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่เป็นบุตร
มีบุตรคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน?
ฮีบรู 12:8-9 หากท่านไม่เคยรับการฝึกวินัยเหมือนคน
อื่น ๆ เท่ากับท่านเป็นบุตรนอกกฎหมาย
ไม่ใช่บุตรแท้ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ซึ่งตีสอนเรา และเราก็นับถือท่าน ไม่ควรที่เราจะสยบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเรายิ่งกว่านั้นเพื่อเราจะได้มีชีวิตหรือ?
ฮีบรู 12:10 พ่อ ๆ ของเราได้ฝึกวินัยเราในช่วง
เวลาสั้น ๆ ตามที่พวกเขาเห็นว่าดีที่สุด
แต่พระเจ้าทรงฝึกวินัยแก่เราเพื่อประโยชน์ของเรา
เพื่อว่าเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ฮีบรู 12:11 ไม่มีการฝึกวินัยใด ๆ ดูน่าสนุก น่ายินดี
ในเวลานั้น มีแต่ความเจ็บ
แต่ต่อมาภายหลังมันจะส่งผลแห่ง
ความเที่ยงธรรมและสันติสุข
ให้แก่ผู้ที่รับการฝึกจากวินัยเหล่านั้น
ฮีบรู 12:12-13 ดังนั้น จงตั้งใจทำให้แขนที่อ่อนกำลัง
กับเข่าที่อ่อนล้านั้นแข็งแรงขึ้น
จงทำทางให้ราบเรียบสำหรับเท้าของ
ท่าน เพื่อว่าคนง่อยจะไม่กลายเป็น
พิการ แต่ได้รับการรักษาให้หาย
ฮีบรู 12:14
จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสันติกับทุกคน
และอุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์
เพราะถ้าไม่มีความบริสุทธิ์แล้ว
เราไม่อาจเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ฮีบรู 12:15 คอยระวังอย่าให้ใครพลาดที่จะได้รับ
พระคุณของพระเจ้า และ
อย่าให้รากแห่งความขมขื่นงอกขึ้นมา
เพราะจะสร้างความยุ่งยากสับสน
และยังอาจทำให้หลายคนเป็นมลทิน
ฮีบรู 12:16-17 คอยระวังอย่าให้ใครทำผิดศีลธรรมทาง
เพศ หรือเป็นคนไร้พระเจ้าอย่างเอซาวที่ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกอาหารเพียงมื้อเดียว เพราะท่านรู้ว่า ในเวลาต่อมาเมื่อเขาต้องการที่จะได้รับพระพรเป็นมรดกเขาก็ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาพยายามตามหาพระพรนั้นด้วยน้ำตา
ฮีบรู 12:18-19 เพราะท่านไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้ซึ่ง
ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด
ความหมองหม่นและพายุ ไม่ได้มายัง
เสียงแตรดังสนั่น หรือมายังเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินแล้วกลับต้องขอร้องไม่ให้ตรัสกับพวกเขาอีกต่อไป
ฮีบรู 12:20-21 เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจทนคำบัญชาได้
“แม้แต่สัตว์มาแตะต้องภูเขา มันต้องถูกหินขว้างตาย”
ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมาก แม้โมเสสยังกล่าวว่า
“ข้าตัวสั่นเพราะกลัวนัก”
ฮีบรู 12:22 แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านได้เข้ามายังภูเขาศิโยน มายังเมืองของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้เข้ามาถึงทูตสวรรค์จำนวนมากมายที่ไม่อาจนับได้
ฮีบรู 12:23 มาถึงที่ประชุมของบุตรหัวปีผู้ที่มีชื่อบันทึกไว้ในสวรรค์ (1:6). มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง
มาถึงดวงวิญญาณของผู้เที่ยงธรรม ซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์ทุกประการแล้ว(11:40)
ฮีบรู 12:24 มาถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตที่ประพรม ซึ่งได้กล่าวเป็นคำที่ดีกว่าคำแห่งโลหิตของอาเบล
ฮีบรู 12:25 จงระวัง อย่าปฏิเสธพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ เพราะหากประชาชนไม่อาจหนีเมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ในโลกเราจะหนีได้อย่างไร หากเราปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์?
ฮีบรู 12:26 ในเวลานั้นพระสุรเสียงของพระองค์
เขย่าโลกจนสะเทือน
แต่มาบัดนี้พระองค์ทรงสัญญาว่า
“อีกครั้งที่เราจะไม่เพียงเขย่าโลกเท่านั้น แต่จะเขย่าทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”
ฮีบรู 12:27-29 คำ “อีกครั้ง”บ่งถึงการขจัดสิ่งที่สะเทือนได้
นั่นก็คือสิ่งที่ทรงสร้าง เพื่อว่าสิ่งที่ไม่สะเทือนจะดำรงอยู่ ดังนั้นในเมื่อเรากำลังรับราชอาณาจักรที่ไม่สะเทือน ก็ขอให้ใจเราเต็มด้วยการขอบพระคุณ และนมัสการพระเจ้าตามที่ทรงพอพระทัยด้วยความเคารพและเกรงกลัว “เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ”
ฮีบรู 12:1
ผู้เชื่อที่ได้กล่าวมาในบทที่แล้วนั้น เป็นคนที่อาจทำพลาดในชีวิต แต่แล้วการกลับใจของเขาการยอมรับ สารภาพ และการตั้งใจเชื่อและเชื่อฟัง
ของพวกเขา ทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้การสละของที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในความเชื่อ จำเป็นที่สุด นิสัยใจคอที่ต้องทิ้งวาจาที่เคยสามหาว ฯลฯ แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องทิ้งไปต่าง ๆ กัน จากนั้น ก็ตั้งต้นใช้ชีวิตใหม่ด้วยความพากเพียรอดทนเป็นที่สุด
ฮีบรู 12:2
ตัวอย่างจากชีวิตของพระเยซู เป็นตัวอย่างที่เราควรติดตามที่สุด พระองค์ทรงยินดีที่จะรับความทุกข์ยากทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเชื่อ และวางใจ
พระบิดาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับผู้ที่รักพระองค์ การสละพระชนม์ของพระองค์ทำให้ได้การฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และทำให้ผู้เชื่อทุกคนจะ
ได้ไปอยู่ใน เมืองที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง (ฮีบรู 11:10) ถ้าพระเยซูไม่ทรงเชื่อ และเชื่อฟัง พวกเราก็พินาศ
ฮีบรู 12:3
เราได้รับการบันทึกว่า พระเยซูได้อธิษฐานขอให้พระองค์พ้นจากสถานการณ์ร้ายที่จะจบชีวิตของแล้วจากนั้น เมื่อทรงได้รับคำตอบจากพระบิดาพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัย ทรงทำตามน้ำพระทัยพระบิดา ยอมถูกทุรชนทำร้ายและดูหมิ่น เหยียดหยาม และทำกับพระองค์อย่างโหดเหี้ยม (อ่านมาระโก 14-15) การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระเจ้าในเงื้อมมือของคนโหดนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องบอกว่า ไม่ยุติธรรมเลย!
ฮีบรู 12:4-5
ผู้เขียนให้กำลังใจกับพี่น้องชาวยิวว่า พวกเขายังไม่ได้ถูกทำร้ายอย่างพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงมาเป็นมนุษย์ที่ไร้บาป ไม่น่าที่จะมีความทุกข์ยาก การทำร้ายมาถึงพระองค์เลย แต่แล้ว กลับทรงต้องถูกทรมานหลั่งพระโลหิต โดยที่ไม่มีคำออกจากพระองค์ว่า“ไม่รับ จะไม่ทน!” เลยแม้แต่ครั้งเดียวบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง
ฮีบรู 12:6-7
มีคำกล่าวว่า “การไม่ใส่ใจ ไม่สนใจนั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าเกลียดเสียอีก” หากพ่อแม่ ไม่สนใจลูกไม่รู้ว่า ลูกกำลังเป็นอย่างไร ปล่อยให้เขาเติบโตไปด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นพ่อแม่ที่เฉยเมย แต่พ่อแม่ที่รักลูกจะคอยเตือน สั่งสอน ให้วินัยเมื่อลูกพลาดเพื่อเขาจะไม่พลาดต่อไป ดังนั้น เมื่อเราพบความทุกข์ยาก อย่าไปคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัย ลองพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้ได้เรียนรู้จักพระองค์อย่างไรจากเหตุการณ์นั้น
ฮีบรู 12:8-9
หลังจากที่เราได้เกิดใหม่ รับความรอดจากพระเจ้าเราได้รับตำแหน่งว่า เป็นลูกของพระองค์ทันที ดังนั้น เมื่อเข้ามาในครอบครัวใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้ว่า ครอบครัวนี้เขาเป็นอย่างไรกัน อะไรบ้างที่เป็นวัฒนธรรมของครอบครัวนี้ คนทุกคนที่รอดแล้วควรที่จะคาดหวังได้ว่า พระเจ้าจะทรงสอนเราจะทรงบอกเราว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อว่าเราจะเติบโตเป็นที่รัก เป็นคนในครอบครัวแท้จริง การฝึกวินัยจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก!
ฮีบรู 12:10
ว้าว นี่ไง เป้าหมายของการฝึกวินัยของพระเจ้าคือเพื่อให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ภายใต้ความบริสุทธิ์ขององค์พระเยซูคริสต์บางครั้งเราได้ยินเสียงเตือนจากพระเจ้าแต่เราก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วอะไร ๆ ต่าง ๆก็เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อเราจะได้ฟังเสียงของพระองค์ลองเข้าไปดูในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม
โมเสส ดาวิด เปโตร เปาโล ต่างได้รับการฝึกวินัยจากพระเจ้าทั้งสิ้น
ฮีบรู 12:12-13
อีกแล้วที่เราเห็นคำซึ่งใช้กับนักกีฬา พระคำตอนนี้มาจาก อิสยาห์35:3 จงช่วยให้คนอ่อนล้ามีกำลัง…ตรงนี้เป็นพระคำที่หนุนใจให้เราอดทนผ่านความยากลำบากทุกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ความลำบากทุกอย่างของเรา มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เราดีขึ้น และเราต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ขัดขวางการพัฒนาชีวิต
ต้องมุ่งมั่นสร้างทั้งร่างกายจิตใจให้เข้มแข็ง อย่าลืมเรามีชีวิตหลายด้าน จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ
ฮีบรู 12:11
ความสัมพันธ์ของพ่อ ลูกที่แนบแน่นนั้นคือ พ่อสามารถมองไปไกลในอนาคตว่า ถ้าลูกไม่พร้อมในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ลูกอาจจะผิดหวัง อาจพลาดไปได้ พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตของพวกเราชัดว่า จะพบเจออะไร จะต้องชนะศึกในชีวิตแบบไหนบ้าง พระองค์ทรงฝึกเราอย่างฝึกนักกีฬา ซึ่งต้องมีการเอาชนะตัวเองทุกวัน เราจึงจะได้รับผลอย่างที่ต้องการ … ฝึกให้ชนะ และรับผลที่ดีเลิศ
ฮีบรู 12:14
ผู้เขียนได้ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสันติสุขกับคนรอบข้าง การที่เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีสันติก็ต้องเป็นคนที่เติบโต เข้าใจชีวิต ไม่ใช่มีความคิดร้ายต้องการให้อีกฝ่ายตกต่ำ หรือ เสียหาย และทำให้เกิดสงครามอย่างที่เราเห็นในยูเครน และในกาซา อิสราเอล แค่มีชีวิตอย่างสันติด้วยกันยังไม่พอ พระเยซูตรัสว่า เมื่อเรารักกันและกัน และยังต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อกัน ต่อพระเจ้า ไม่คิดทางลบใด ๆ กับพี่น้องของเรา
ฮีบรู 12:15
ถ้าเรามาพบพระเจ้าแล้ว และยังพลาดที่จะได้รับความรอด รับพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิต เพราะมันส่งผลในชีวิตนิรันดร์กาลของเราด้วย อีกเรื่องคืออย่าให้เรามีรากขมขื่น ซึ่งเป็นสิ่งร้ายจากคนอื่นที่อาจจะเกิดกับเราแล้วเราไม่สามารถยกโทษให้จนกลายเป็นรากขมขื่น หรืออาจจะเกิดจากสิ่งที่พลาดในอดีตไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ เหล่านี้จะส่งผลออกมาเป็นพฤติกรรมที่ทำลายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
ฮีบรู 12:16-17
มีสองเรื่องสำคัญในตอนนี้ คือ ให้ระวังการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่พระคัมภีร์เฝ้าบอกแล้วบอกอีก การทำผิดต่อร่างกายของตนเองและของคนอีกคนนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อคนสองคนเท่านั้น แต่ส่งผลร้ายให้กับครอบครัว และคนรอบข้างด้วย ส่วนเอซาวที่ถือว่าผิดหนักก็เพราะว่า เขาดูหมิ่นสิทธิหัวปีของเขาเอง เป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานให้กับลูกชายหัวปีเท่านั้น เขายอมที่จะแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควรเลย ปฐมกาล 25:24-33
ฮีบรู 12:18-19
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน คนอิสราเอลพบพระเจ้าแบบตรงไปตรงมา พบกับความมหัศจรรย์ที่น่ากลัวของพระเจ้า อ่านอพยพ 20:18–21; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:22–33พระเจ้าทรงอยู่ในที่ ๆ มีเสียงดังสนั่น ซึ่งน่าจะเป็นเหมือนฟ้าคำรามที่ต่อเนื่อง พร้อมกับฟ้าแลบ ยังมีเสียงแตรด้วยมากับควันโขมงบนภูเขา ไม่ให้กลัวได้อย่างไร น่ากลัวมาก แต่พระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลในฮีบรูนี้ ไม่ได้น่าสะพรึงขนาดนั้น
ฮีบรู 12:20-21
ในวันนั้น ประชาชนถูกกำหนดให้อยู่รอบนอกของเขตที่กำหนดไว้ ใครจะเข้าไปใกล้เกินกว่านั้น จะถูกหินขว้างหรือยิงให้ตาย (อพยพ 19:12-13)พระเจ้าทรงน่ากลัวแต่เราในทุกวันนี้กลับไม่กลัวและไม่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ พระเจ้าให้โมเสสกำชับประชาชนให้ไม่ล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า (ข้อ21)สิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับคนทั้งหลายที่อยู่รอบ ๆภูเขาซีนายคือ พอโมเสสกราบทูลพระเจ้า พระองค์ทรงตอบเป็นเสียงดั่งฟ้าร้องคำราม ดังสนั่นแบบที่ ลำโพงใด ๆ ในโลกไม่อาจเทียบได้!
ฮีบรู 12:22
ภูเขาศิโยน มีความหมายแตกต่างจากภูเขาซีนายเพราะมีความหมายถึงที่ประทับของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ (ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงภูเขาศิโยนแห่งนครเยรูซาเล็ม) เป็นสถานที่ซึ่งรอรับคนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครอาจทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยการทำตามกฎที่ได้มาจากภูเขาซีนายเลย แต่คนที่เข้ามาหาพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์ จะเข้ามาถึงภูเขาศิโยนในแผ่นดินสวรรค์ได้
ฮีบรู 12:23
การรับพระบัญญัติของสมัยก่อน กับการรับพระคุณหลังจากที่องค์พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้วมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งเราจะได้เห็นว่าสมัยพระบัญญัติมีแต่ความเข้มงวด ที่สั่งให้มนุษย์กระทำตามสิ่งที่พวกเขาทำได้บ้าง และทำไม่ได้บ้างพวกเขามีความผิดพลาดกเกิดขึ้นทุกเวลาแต่เมื่อพระเยซูมาเปลี่ยนแปลงชีวิต บรรยากาศแบบเดิมก็เปลี่ยนแปลง แทนที่จะเป็นทาสของบทบัญญัติ กลับเป็นเสรีชนในพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 12:24
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างไมตรี ความเชื่อมต่อให้เกิดขึ้น ดังนั้นมนุษย์บาปจึงสามารถเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ผ่านพระองค์ ใน 11:4 กล่าวว่า อาเบลยังพูดอยู่ แม้ว่าตายแล้วอาเบลหลั่งเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ (ปฐมกาล 4:8) ดังนั้นเลือดของเขาจึงร้องขอการชดเชย แต่พระเยซูทรงสละพระชนม์ด้วยเต็มพระทัย และได้ช่วยเหลือมนุษยชาติจากโทษบาป พระโลหิตจึงดังและเด่นเหนือเลือดเอเบล
ฮีบรู 12:25
การฟังหรือไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้านั้น เป็นการเลือกจากใจของเราเอง ดังนั้น เราคือคนตัดสินใจว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร พวกพี่น้องหลายคนกำลังถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาอาจจะคิดกลับไปอยู่ในศาสนายิวเหมือนเดิมแทนที่จะติดตามพระเจ้า ผู้เขียนเป็นห่วงที่พี่น้องจะกลับไปตามความเท็จแทนที่จะติดตามความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์ !
ฮีบรู 12:26
เมื่อครั้งก่อน กว่าจะได้พระบัญญัติมา พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านพายุ ไฟ ความมืด โลกที่สั่นสะเทือน แต่พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนอย่างน่าสะพรึงยิ่งนัก หากเราดูฮีบรู 10:26 พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราตั้งใจทำบาปต่อไป ฮีบรู 2:4เตือนว่า หากเราละเลยความรอดยิ่งใหญ่ เราจะหนีรอดตายไปได้อย่างไร ในข้อนี้ ผู้เขียนยังคงให้เราตัดสินใจให้ดี (ฮักกัย 2:6)
ฮีบรู 12:27-29
การที่เราจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้ามีพระองค์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ อาณาจักรของพระองค์ถาวรยั่งยืน ไม่สะเทือนสะท้านต่อสิ่งใด สิ่งที่เราสมควรจะตอบสนองพระองค์คือ ใจขอบพระคุณ และการนมัสการพระองค์สมกับที่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เรียนรู้ที่จะเคารพและยำเกรงพระเจ้าของเรา อย่าคิดว่าทำอะไรผ่าน ๆ ก็โอเคแล้ว ..พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงร้อนแรง!
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:8 ; 1โครินธ์ 9:24 ; โรม 12:12
2* ลูกา 24:26; สดุดี 68:18; 69:7, 19; ฟิลิปปี 2:8; สดุดี 110:1
3* มัทธิว 10:24; กาลาเทีย 6:9
4* 1โครินธ์ 10:13
5* สุภาษิต 3:11-12
6* วิวรณ์ 3:19
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:5; สุภาษิต 13:24; 19:18; 23:13
8* 1 เปโตร 5:9
9* โยบ 12:10
10* เลวีนิติ 11:44
11* ยากอบ 3:17-18
12* อิสยาห์ 35:3
14* สดุดี 34:14; มัทธิว 5:8
15* ฮีบรู 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:18
16* 1โครินธ์ 6:13-18; ปฐมกาล 25:33
17* ปฐมกาล 27:30-40
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:11; 5:22
19* อพยพ 20:18-26
20* อพยพ 19:12,13
21* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:19
23* ยากอบ 1:18; ลูกา 10:20; สดุดี 50:6; 94:2; ฟีลิปปี 3:12
24* ฮีบรู 8:6; 9:15; อพยพ 24:8; ปฐมกาล 4:10
25* ฮีบรู 2:2, 3
26* ฮักกัย 2:6
27* อิสยาห์ 34:4; 54:10; 65:17
28* ดาเนียล 2:44; ฮีบรู 13:15, 21
29* อพยพ 24:17