ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
1 สุภาษิตของกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอล
โอรสของกษัตริย์ดาวิด
2 เพื่อ จะเรียนรู้จักสติปัญญากับคำสั่งสอน
เพื่อเข้าใจถ้อยคำที่เต็มด้วยสติปัญญาลึกล้ำ
3 เพื่อรับคำสอนแห่งปัญญา ความเที่ยงธรรม
ความยุติธรรมและความซื่อสัตย์
4 เพื่อให้คนที่อ่อนต่อโลก จะได้มีความหลักแหลม
ให้คนหนุ่มได้มีความรู้และปฏิภาณ
5 ให้คนที่มีปัญญาได้ฟังและเพิ่มความรู้
และคนที่หยั่งรู้จะได้รับคำแนะนำ
6 เพื่อจะเข้าใจสุภาษิตและคำอุปมา คำคม
และข้อปริศนาของคนมีปัญญา
7 ความยำเกรงพระยาห์เวห์
เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้
คนโง่ดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน
หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
8 จงฟัง ลูกชายของเรา ฟังคำสอนของพ่อ
และอย่าละทิ้งคำของแม่
9 เพราะมันเป็นเหมือนมาลัยงดงามบนหัวของเจ้า
และเป็นดั่งสร้อยทองคล้องคอเจ้า
เมื่อคนชั่วมาชักชวน
10 ลูกชายของเราเอ๋ย หากคนบาปหลอกล่อ
ขออย่ายอมตามพวกเขาไป
11 เพราะหากเขากล่าวชวนว่า
“มากับเรา ไปซุ่มดักรอเชือดใครสักคน
เรามารุมคนบริสุทธิ์กันเถอะ
12 เราจะกลืนพวกเขาทั้งเป็น
เหมือนว่าเราเป็นแดนคนตาย
เรามากลืนเขาทั้งเป็น เหมือนส่งไปหลุมศพ
13 เราจะยึดทรัพย์สินมีค่า
และสะสมของเหล่านี้ให้เต็มบ้าน
14 มาเสี่ยงจับฉลากกับเรา
แล้วเราจะได้แบ่งเงินกันใช้ “
อย่าเดินไปกับคนชั่ว
15 ลูกชายของเราเอ๋ย
อย่าเดินไปทางเดียวกับพวกเขา
อย่าก้าวเข้าไปในทางของพวกเขาเลย
16 เพราะเท้าของพวกเขาวิ่งไปหาความลำบาก
และพวกเขาดักทำร้ายคน
17 โง่จริงที่เราจะเหวี่ยงตาข่ายดักทั้ง ๆ ที่นกก็เห็น
18 คนเหล่านี้ซุ่มอยู่เพื่อฆ่าตัวเองแท้ ๆ
พวกเขาดักล่าชีวิตของตัวเอง
19 นี่เป็นหนทางของคนที่ทำกำไรอย่างคดโกง
และมันคร่าชีวิตของพวกเขาเอง
สติปัญญาร้องเรียกจากถนน เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
20 ปัญญาร้องเรียกอยู่บนถนน
เธอส่งเสียงดังที่ลานชุมนุม
21 เธอร้องเสียงดังกว่าเสียงอึกทึกบนถนน
เธอพูดที่ทางเข้าประตูเมืองว่า
22 “ เจ้าคนโง่เอ๋ย เจ้าจะรักความเขลาไปอีกนานเท่าใด?
เจ้าคนช่างเยาะจะพอใจกับการเยาะเย้ยไปอีกนานแค่ไหน?
เจ้าคนเขลาจะชังความรู้ไปอีกนานเท่าใด?
23 หากเจ้าสนใจคำเตือนของเรา
เราก็จะเทวิญญาณของเราเหนือเจ้า
และสอนถ้อยคำของเราให้เจ้า”
24 ในเมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
เรายื่นมือออกมา แต่ไม่มีใครใส่ใจ
25 ในเมื่อเจ้าละทิ้งคำปรึกษาทั้งสิ้นของเรา
และไม่ยอมรับการแก้ไขจากเรา
26 ถึงคราวของเรา เราจะหัวเราะกับความหายนะของเจ้า
เราจะเยาะเย้ยเมื่อเจ้ากลัวลาน
27 เมื่อความกลัวโถมเข้ามาหาเจ้าเหมือนอย่างพายุ
และความหายนะมาถึงเจ้าดั่งลมหมุน
เมื่อความลำบาก และความทุกข์ใจมาเหนือเจ้า
28 ตอนนั้นพวกเขาจะร้องหาเรา แต่เราจะไม่ตอบ
พวกเขาจะค้นหาเรา แต่จะไม่เจอ
29 เพราะพวกเขาชังความรู้
และไม่เลือกที่จะยำเกรงพระเจ้า
30 เพราะพวกเขาไม่สนใจคำแนะนำของเรา
และละเลยคำตักเตือนทั้งสิ้นของเรา
31พวกเขาจะได้กินผลจากหนทางของพวกเขา
และจะได้อิ่มกับแผนชั่วของตน
32 ที่คนไม่รู้ประสาจะถูกฆ่าเพราะเขาไม่ยอมฟังใคร
และความเฉยเมยของคนโง่จะทำลายพวกเขาเอง
33 แต่ใครก็ตามที่ฟังเสียงของเรา
จะมีชีวิตอย่างปลอดภัย
และไม่ต้องกลัวอันตรายใด ๆ
คำอธิบายเพิ่มเติม
สุภาษิตเป็นข้อความซึ่งพระเจ้าทรงส่งผ่านชายชราทรงปัญญาที่สุดในโลก ที่ได้เห็นหนทางของมนุษย์ในตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน ท่านสังเกตและเห็นว่า เกิดอะไรขึ้น และได้สรุปเห็นหลักการในชีวิตของมนุษย์ ว่าถ้าทำอย่างหนึ่งก็จะมีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น การกระทำทุกอย่างมีผลของมัน ท่านได้มุ่งเน้นสอนเยาวชนในเรื่องการใช้ชีวิตให้ดี
สุภาษิตที่เขียนขึ้นมานี้เป็นเรื่องของสติปัญญา หลักการที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง เกิดผลขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน. ที่เราเดินตามหลักการในพระคัมภีร์นั้นก็เพื่อว่าเราจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เป็นอันดับแรก
ความดีสูงสุดที่เราจะมีในชีวิตของเด็กหนุ่มสาวก็คือ ความรอด และการดำเนินชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน สุภาษิตนี้จะนำให้เราไปรู้จักพระเยซูคริสต์ในอีกด้านของพระองค์ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดของหนังสือสุภาษิต
หนังสือสุภาษิตนี้ช่วยให้เราเห็นความเขลาของเราในหลาย ๆ เรื่อง และสิ่งที่ผู้เขียนสอนจะช่วยให้เราฉลาดขึ้น ดีจริง ใคร ๆ ก็อยากมีปัญญา และฉลาดขึ้นกันทั้งนั้น
สุภาษิต 1:1-7 ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
เราได้รู้แล้วว่า ทำไมกษัตริย์โซโลมอนเขียนหนังสือสุภาษิตให้กับเยาวชนในบ้านเมืองที่ท่านปกครองอยู่
ท่านเน้นที่จะให้ประชาชนของท่านเป็นคนมีปัญญา มีความรู้ มีความเข้าใจ เป็นคนฉลาด และท่านก็เริ่มต้นบอกเคล็ดลับของความเป็นคนที่มีความรู้คือ ยำเกรงพระเจ้า ... ความยำเกรงดังกล่าวไม่ใช่ความกลัวจนลนลาน กลัวว่าพระองค์จะทำร้ายหรือลงโทษ แต่เป็นความยำเกรง นับถือ ให้เกียรติ และยกย่องพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น และก็กลัวด้วยคือกลัวที่จะทำอะไร คิดอะไรต่อต้านพระองค์
และท่านยังบอกอีกว่า ถ้าเรายำเกรงพระเจ้าเราจะได้รับผลอย่างไรบ้าง …ดู 8:13; 9:10,10:27, 14:26-27,15:33, 16:6, 19:23; 22:4
ส่วนใหญ่ในหนังสือสุภาษิต มีโซโลมอนเป็นผู้เขียน และยังมีผู้เขียนท่านอื่นที่เขียนบางบทตอนท้าย ๆ ด้วย
สติปัญญาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากได้ ในภาษาฮีบรูว่า ค๊อกมา חָכְמָה มีความหมายรวมไปถึง .. ความชำนาญในการใช้ชีวิต การทำงาน ความสามารถในการบริหารงานต่าง ๆ การทำสงคราม ความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ ไปดูความหมายเพิ่มเติมได้ที่ https://biblehub.com/hebrew/2451.htm
สุภาษิต 1:8-9 หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
พ่อแม่มีหน้าที่สอนสิ่งที่ดีให้ลูก ๆ ของตน แต่ ความที่โลกนี้เปลี่ยนไป พ่อแม่ที่รับผิดชอบมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ
คนที่มีความรับผิดชอบสูงก็เกิดไม่อยากมีลูกเสียอีก … ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยได้คือ เยาวชนของเราต้องรู้จักหนังสือสุภาษิต เพื่อให้ข้อความเหล่านี้ได้สอนใจ และนำทางชีวิตของเขา
สุภาษิต 1:10-19 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
สิ่งที่สำคัญคือ อย่าให้คนอื่นมาหลอกล่อให้เราทำชั่วอย่างพวกเขา ซึ่งตอนนี้ รายการความชั่วนั้น มีมากมายไม่เฉพาะแค่ที่โซโลมอนบอกเอาไว้ เยาวชนของเราต้องมีความเข้าใจที่จะเลือกสิ่งดีที่สุดให้กับชีวิตของตน และรู้ว่าจะฟัง ไม่ฟังใคร
การตักเตือนในตอนนี้ ได้ใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาเล่าให้เยาวชนได้เข้าใจว่า คนชั่วจะชักชวนประมาณไหน ต้องสังเกตคำพูดของพวกเขาอย่างไร
สุภาษิต 1:20-23 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
ครั้งนี้ ซาโลมอนได้กล่าวถึงปัญญาในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง เธอคือปัญญา ที่ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจการเรียกหาของปัญญาได้ดีขึ้น แทนที่จะเป็นคำนามธรรมที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่อิสยาห์เองกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าทรงเป็นที่ปรึกษาที่ล้ำเลิศ (อิสยาห์ 9:6) ในมุมมองของพระคัมภีร์แล้ว พระปัญญาเป็นบุคคลไม่ใช่แค่นามธรรมที่ไม่มีชีวิต
ปัญญาส่งเสียงดังเรียก แต่คนไม่ได้ยิน ไม่ชอบปัญญา ชอบฟังอย่างอื่นที่สนุกมากกว่า ปัญญาพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่มีใครเอาใจใส่เธอเลย
ปัญญาบอกด้วยว่า หากสนใจคำเตือน ก็จะได้รับคำสอนจากปัญญา
สุภาษิต 1:24-33 เมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
ในเมื่อไม่มีใครฟัง ปัญญาก็บอกว่า เวลาต้องการเธอ ก็จะไม่พบเธอ ดังนั้น เราจึงต้องไม่ให้สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาหาปัญญา คือพระคำของพระเจ้า เพราะวันหนึ่งที่เดือดร้อน เราอาจหาพระองค์ไม่พบแล้วก็เป็นได้ ข้อ 29 คนทั้งหลายชังความรู้ ไม่เลือกความยำเกรงพระเจ้า ..เขาจะได้กินผลจากการเลือกของเขา เป็นข้อความที่ตรงกันข้ามกับข้อ 7 ที่บอกว่า ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของความรู้
โยบ 28:28 สรุปให้เรารู้ว่า ความยำเกรงพระเจ้านั่นคือปัญญา และที่จะหนีจากความชั่ว คือความเข้าใจ
ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* 1 พงศ์กษัตริย์ 4:32
4* สุภาษิต 9:4
5* สุภาษิต 9:9
6* สดุดี 78:2
7* โยบ 28:28
8* สุภาษิต 4:1
9* สุภาษิต 3:22
10* ปฐมกาล 39:7-10
11* เยเรมีย์ 5:26
12* สดุดี 28:1
15* สดุดี 1:1, 119:101
16* อิสยาห์ 59:7
19* 1 ทิโมธี 6:10
20* ยอห์น 7:37
23* โยเอล 2:28
24* เยเรมีย์ 7:13
25* ลูกา 7:30
26* สดุดี 2:4
27* สุภาษิต 10:24-25
28* อิสยาห์ 1:15
29* โยบ 21:14; สดุดี 119:173
30* สดุดี 81:11
31* โยบ 4:8
33* สุภาษิต 3:24-26; สดุดี 112:7