ยอห์น 18 มอบชีวิตให้ด้วยพระองค์เอง

** พระคำตอนนี้ ได้ทำออกมาเป็นภาพประกอบ บางครั้งคำจึงหายไปกลายเป็นภาพที่ต้องสังเกต ดังนั้น ควรกลับไปอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้คำครบ และอ่านคำอธิบายเพิ่มเติม

การจับกุมในสวน

ต่อหน้าอันนาส

เปโตรกับคำทำนายของพระเยซู

พระเยซูถูกส่งไปพบคายาฟาส

ส่งต่อไปหาผู้ว่าราชการจากโรม

ก่อนอื่นใด เราต้องรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในคืนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ก่อน พระเยซูตรัสว่าเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นผู้ที่ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ยอม ในคืนนั้น พระเยซูทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้


คำอธิบายเพิ่มเติม

ยอห์น 18:1-2
ยูดาสรู้ดีว่า พระเยซูกับพวกศิษย์ชอบมาที่สวนนี้ อธิษฐาน และสนทนากันเรื่องของพระเจ้า เขาเดาว่า อย่างไรคืนนี้ พระองค์คงต้องมาที่นี่แน่นอน และเขาเป็นผู้ที่พาทหารมาจับพระเยซู โดยได้รับค่าจ้างก่อนหน้านี้ น่าแปลกที่ยูดาสอยู่กับพระเยซูมานาน แต่กลับกลายเป็นผู้ที่หลงหาย สามารถทรยศพระอาจารย์เพื่อเห็นแก่เงินได้ เขาได้เรียนรู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น เสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้เปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนชีวิตเลย .. เขาเป็นต้นแบบที่ทำให้เรารู้ว่า ต่อให้รู้มากแค่ไหน อยู่ในทางพระเจ้ามานาน แต่หากไม่ยอม หากรักเงินมากกว่าพระเจ้า ชีวิตน่าเป็นห่วงนัก
ยอห์น 18:3-5
เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า พระเยซูไม่ได้กลัวทหารที่มากันเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงยืนเผชิญหน้ากับพวกเขา ที่ต้องพากันมามากแบบนี้เพราะเหล่าปุโรหิตเองกลัวว่าจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกเขาคิดว่า พระเยซูจะไม่ยอม อาจจะจับพระองค์ไม่ได้ เพราะว่า พวกเขาพยายามหลายครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยจับกุมพระองค์ได้เลย
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ยอห์นเป็นคนเดียวที่บันทึกว่า มีทหารโรมเข้ามาด้วย รวมกับทหารที่ดูแลพระวิหาร (ยอห์น 18:3) แสดงว่า พวกผู้นำศาสนาต้องไปขอความร่วมมือจากปีลาตมาก่อนแล้ว
ยอห์น 18:6-8
ครั้งนี้ แค่พระเยซูตรัส พวกเขาก็ล้มลงทันที นี่แสดงว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าพระเยซูทรงประสงค์อะไร พระองค์ก็จะได้สิ่งนั้น แต่คืนนี้ เป็นคืนที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำตามพระบิดา และจะให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่ทรงบอกกับศิษย์ล่วงหน้า และตามที่ได้มีการพยากรณ์ถึงพระองค์ไว้ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี
พระเยซูทรงสั่งให้ทหารปล่อยศิษย์ทุกคนไป พระองค์ไม่ได้ให้เขาสักคนต้องถูกทำร้าย พวกเขายังมีพันธกิจที่จะต้องทำต่ออีก และพระองค์ได้ทูลต่อพระบิดาแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ให้พวกเขาหายไปสักคนเดียว (ในบทที่ 17)
ยอห์น 18:9-11
แต่แล้วด้วยความใจร้อน ความโมโหสุดขีด เปโตรก็ได้เอาดาบที่เขามักจะพกไปด้วยนั้น ออกมาฟันหูทานคนหนึ่งขาดไปเลย … แทนที่พระเยซูจะชม กลับทรงตำหนิเขาและบอกว่า เหตุการณ์นี้มาจากพระบิดา เป็นถ้วยความตายที่พระองค์ต้องดื่ม ในบันทึกเล่มอื่นบอกว่า พระองค์ทรงหยิบหูของเขามาติดให้
ยอห์น 18:12-14
คายาฟาสเป็นปุโรหิตใหญ่ขณะนั้น แต่คนที่เป็นผู้กุมอำนาจของศาสนายิวในตอนนั้นจริง ๆ คืออันนาส ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร เขาโกรธพระเยซูที่ทรงไปทำลายร้านค้า ร้านแลกเปลี่ยนเงินที่ทำธุรกิจในพระวิหาร ถึงสองครั้ง จริง ๆ เขาพยายามจับกุมพระองค์มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยทำสำเร็จ อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสอีกที เขามีลูกชายคนอื่น ๆ ที่ทำงานในพระวิหารอีกด้วย
ยอห์น 18:15-16
เปโตรกับศิษย์อีกคน ซึ่งคุ้นเคยกับคนในบ้านของปุโรหิตได้เข้าไปในบ้านนั้น ศิษย์อีกคนผู้นี้ไม่ได้กล่าวว่าชื่ออะไร แต่เราพอจะประเมินได้ว่าคือยอห์น ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ตอนแรกเปโตรก็แอบอยู่ริมประตู แต่แล้ว เพื่อนคนนี้ก็ได้พาเขาเข้าไปในลานบ้าน
ยอห์น 18:17-18
สาวใช้ในบ้านรู้ว่า อีกคนที่มากับเปโตรเป็นคนของพระเยซู เธอจึงถามเขาโดยที่จากภาษาที่ใช้ทำให้เรารู้สึกว่า เธอต้องการคำตอบว่า ไม่… ด้วยความกลัว เปโตรตอบว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์ และตอนนั้นเองก็ทำให้เขากล้าเข้าไปผิงไฟกับคนในบ้าน
ยอห์น 18:19-20
มีรายละเอียดเรื่องการสอบสวนในบ้านของอันนาส ซึ่งเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ได้มีอำนาจเป็นทางการ แต่อำนาจของเขาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เขาถามพระองค์เรื่องศิษย์ และคำสอน เขาต้องการได้หลักฐานที่บอกว่า พระองค์กำลังจะทำการลุกฮือต่อต้านโรม เพราะเป็นประเด็นที่เขาใช้เพื่อทำลายพระองค์
พระเยซูทรงตอบตรง ๆ ว่า ทรงสอนอะไรอย่างเปิดเผย ไม่ได้แอบสอน ไม่ได้แอบก่อตั้งกลุ่มศิษย์เพื่อต้านโรม
ยอห์น 18:21
ดูเหมือนว่าการสอบสวนพระเยซูไม่ได้คืบหน้าไปเท่าไร ในเมื่อพระเยซูก็ทรงสอนในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ใคร ๆ ก็รู้ว่า พระองค์กล่าวถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า กล่าวถึงการกลับใจใหม่ ทรงเทศนาหลายครั้ง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะต่อต้านโรม (ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น จะได้เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่า พระองคกบฎ) พระองค์ทรงบอกให้เขาไปถามคนที่เคยได้ยินพระองค์สอน ซึ่งพวกเขาจะเป็นพยานได้ แต่พวกเขาไม่พอใจกับคำตอบ
ยอห์น 18:22-23
แล้วแทนที่พระองค์จะทรงตอบตรง ๆ กลับทรงบอกให้ไปถามคนที่ฟังว่า พระองค์ตรัสอะไร เป็นเหตุให้คนหนึ่งในที่นั้น เดือดขึ้นมาทันควันและตบพระพักตร์พระองค์ คนที่ตบพระพักตร์คงรู้สึกว่า พระเยซูช่างไร้มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านี้
จากบ้านของอันนาส พวกเขาไม่อาจหาเหตุฟ้องร้องพระองค์เพื่อให้ถูกลงโทษประหารได้ อย่าลืมว่า การประหารของยิวจะใช้หินขว้างจนตาย ส่วนการประหารของโรมเป็นการตรึงกางเขน และช่วงเวลานี้ก็อยู่ในเทศกาลด้วย จะมาประหารคนในเวลานี้ก็แปลก ๆ อยู่ อันนาสจึงส่งพระเยซูไปบ้านคายาฟัส เขาต้องการให้คายาฟัสช่วยหาเหตุที่จะฟ้องพระเยซู
เราดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้จาก มัทธิว 26:57-68, มาระโก 14:53-65, ลูกา 22:66-71
ยอห์น 18:24-26
ระหว่างนั้น ยอห์นก็หันมาดูเหตุการณ์ที่ลานบ้านอีกครั้ง ชายอีกคนตั้งคำถามเดียวกับหญิงสาวคนแรก เปโตรตกใจมาก บอกตัดความสัมพันธ์กับพระเยซูด้วยการปฏิเสธคำถามนั้น
ชายอีกคนเป็นญาติของทาสที่เปโตรตัดหู แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่สาม โดยที่มีไก่ขันบอกสัญญาณว่า เขาได้ทำอะไรลงไป เราดูรายละเอียดของเรื่องราวได้ที่มัทธิว มาระโกและลูกาได้เช่นกัน ตรงนี้เห็นว่า ยอห์นรู้จักคนในบ้านของปุโรหิตเป็นอย่างดี
ยอห์น 18:27-28
จริง ๆ แล้ว เหล่าผู้นำศาสนาของยิวต้องการประหารพระเยซู แต่กลับทำตัวบริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าไปในศาลของโรมได้ จิตใจที่สกปรกของพวกเขาประกอบกับการทำตัวดูเคร่งครัดช่างขัดแย้ง แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าแปลกแต่อย่างใด คนเราทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
ตอนนี้พวกเขาคิดว่า วิธีดีสุดในการกำจัดพระเยซูคือยืมมือของทหารโรมแล้วกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องได้คือ คำตัดสินจากปีลาต ซึ่งเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยที่ถูกแต่งตั้งมาจากโรม พวกเขาสมคบคิดกันหาทางที่จะเอาชีวิตพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ จะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
ยอห์น 18:29-32
จริง ๆแล้ว ปีลาตเป็นคนที่ดุร้าย และเกลียดชังพวกยิว ที่เขาต้องมาอยู่ในเยรูซาเล็มเวลานี้ก็เพราะถูกส่งมา เพื่อดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายในเทศกาลปัสกา ปกติแล้วจะพักอยู่ที่เมืองอื่น ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวคนสำคัญ คำถามแรกของเขาสมเหตุผลคือ จะฟ้องเรื่องอะไร.. แต่พวกเขาก็ไม่ตอบตรง ๆ กลับเลี่ยงคำตอบ
ความจริงพวกยิวเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าจะต้องทำเหมือนว่า พระเยซูทรงกบฎต่อโรม ทรงเป็นคนที่ปลุกระดมคนขึ้นมาต่อต้านโรม … เพื่อว่าจะได้รับการตัดสินประหารจากปีลาตโดยตรง
ยอห์น 18:33-34
อิสราเอลไม่ได้อยู่ใต้กษัตริย์ใด หลายคนในช่วงเวลานั้นมักพูดกันไปว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอล ทำให้เกิดการสับสนขึ้น พวกยิวชั้นสูงเหล่านี้อ้างว่า พระเยซูนำคนจำนวนมากไปทางผิด ฝ่าฝืนการจ่ายภาษีให้ซีซาร์ อ้างว่าพระองค์เองเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งเหล่านี้ (ลูกา 23:2)ทำให้ปีลาตต้องถามพระเยซูว่า พระองค์คือกษัตริย์ของยิวหรือเปล่า?
คำตอบของพระเยซูไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจอย่างที่ต้องการ นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ยิวส่งพระองค์มาให้เขาตัดสินทำไม? ปีลาตอาจจะเริ่มมองเห็นภาพราง ๆว่า เขาเป็นหุ่นเชิดของยิว
ยอห์น 18:35-36
ปีลาตเองไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้องมายุ่งกับความผิดทางศาสนาที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พวกผู้นำศาสนาควรที่จะจัดการกับพระเยซูไปเอง แต่กลับส่งนักโทษมาให้ การตอบโต้กันระหว่างปีลาตในช่วงนี้ ทำให้ปีลาตได้รู้ว่า พระเยซูทรงมีอาณาจักรที่ไม่ใช่เป็นแบบที่เขาเข้าใจ เขาเองรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของพระเยซู
ยอห์น 18:37-38
พระเยซูทรงยอมรับว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มาเกิดในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง .. ซึ่งก็หมายความว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อบอกให้โลกรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง นำผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คำพูดสั้น ๆ ของพระองค์นั้น ปีลาตไม่เข้าใจ แม้จะถามว่าความจริงคืออะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการคำตอบในเวลานั้น เขาจึงออกไปหาพวกยิวที่ลานอีกครั้ง ยอห์น 18:39-40
ปีลาตเห็นว่า พระเยซูไม่มีความผิด แล้วเขาจึงใช้ประเพณีที่จะปล่อยนักโทษหนึ่งคนในเทศกาลปัสกามาใช้ เขาคาดการณ์ผิดคิดว่าประชาชนจะยินยอม แต่ผู้คนถูกพวกผู้นำศาสนาทั้งหลายปั่นหัวไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์จึงพลิกอย่างที่ปีลาตไม่อาจทำอะไรได้เลย
ที่บอกว่า บารับบัสเป็นโจรนั้น คือ เขาเป็นโจรประเภทหัวรุนแรง เป็นพวกโหดเหี้ยม แต่กลับถูกเลือกให้ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่า ปีลาตถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของเหล่าผู้นำศาสนายิวอย่างที่สู้อะไรกลับไม่ได้เลย …​พวกนี้ฉลาดเป็นกรด ทำทุกอย่างเพื่อประหารพระเยซู


พระคำเชื่อมโยง
1* มาระโก 14:26,32; 2 ซามูเอล 15:23
2* ลูกา 21:37; 22:39
3* ลูกา 22:47-53
4* ยอห์น 6:64; 13 ; 1,3; 19:28
5*มัทธิว 21:11; สดุดี 41:9
9* ยอห์น 6:39; 17:12
10* มัทธิว 26:51
11* มัทธิว 20:22; 26:39
13* มัทธิว 26:57; ลูกา 3:2; มัทธิว 26:3
14* ยอห์น 11:50
15* มาระโก 14:54; ยอห์น 20:2-5
16* มัทธิว 26:69
17* มัทธิว 26:34
20* ลูกา 4:15; ยอห์น 6:59; มาระโก 14:49
21* มาระโก 12:37
22* เยเรมีย์ 20:2; บทเพลงคร่ำครวญ 3:30
24* มัทธิว 26:57; ยอห์น 11:49
25* ลูกา 22:58-62
27* มัทธิว 26:34; ยอห์น 13:38
28* มาระโก 15:1; ยอห์น 18:32; กิจการ 10:28; 11:3
29* มัทธิว 27:11-14
32* มัทธิว 27:17-19, 26:2; ยอห์น 3:14, 8:28, 12:32-33
33* มัทธิว 27:11
36* 1 ทิโมธี 6:13; ดาเนียล 2:44; 7:14
37* มัทธิว 5:17; 20:28; อิสยาห์ 55:4; ยอห์น 4:6
39* ลูกา 23:17-25
40* กิจการ 3:14; ลูกา 23:19