หลักการที่ช่วยให้ดำเนินต่อไปในความเชื่อ
ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลา! ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนต่อหน้าต่อตา แล้วใครมาทำให้หลงไปได้?
สิ่งเดียวที่ข้าต้องการถามคือ ท่านรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการพยายามทำตามบทบัญญัติ หรือด้วยการเชื่อข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน?
กาลาเทีย 3:1-2
กาลาเทีย 5:7-8, วิวรณ์ 2:20;
2 โครินธ์ 11:3;
โรม 10:16-17; กิจการ 15:8
ภาษาที่ท่านเปาโลใช้ตอนนี้ ทำให้เราเห็นถึงความอึดอัดใจ มีท่านหนึ่งแปลความหมายตรงนี้ว่าคนที่คิดได้แต่กลับไม่ได้ใช้ความคิด ใครมาทำให้หลง..มีความหมายว่าพวกเขามีความคิดสับสนไม่ตรงกับพระคัมภีร์จนเหมือนกับใครมาเสกทีเดียว
คำถามของท่านทำให้เราเห็นว่า เมื่อคน ๆ หนึ่งมาพบพระเจ้าแล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะประทับในตัวเขาแน่นอน แต่ต้องเป็นผลจากการที่เขาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่การทำดีของเขาเอง
พวกท่านโง่เขลาหรือ?
ท่านได้เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ
ตอนนี้ท่านพยายามจบด้วยความพยายามของมนุษย์หรือ? พวกท่านได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาโดยไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ? .. ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์จริง ๆ นั่นแหละ
กาลาเทีย 3:3-4
กาลาเทีย 5:4-8, 6:12-14; ฮีบรู 7:16-19;
2 ยอห์น 1:8; ฮีบรู 10:32-39; 1 โครินธ์ 15:2
กว่าจะมาเชื่อพระเจ้า ก็เจ็บปวดมามาก โดนคนยิวข่มเหงคริสตจักร เคยโดนคนอย่างเปาโลที่เคร่งครัดบทบัญญัติข่มขู่มาโดยตลอด
พวกเขาเริ่มต้นด้วยความเชื่อในพระเจ้า และ
ยืนหยัดกับความเชื่อนั้น แต่แล้ว ตอนนี้กลับ
ตกหลุมพรางของคำสอนผิด นี่เป็นตัวอย่างว่าเราอาจเริ่มต้นถูกแล้วจบลงผิด ๆ
ก็เป็นได้ การใช้ชีวิตคริสเตียนจึงต้องระวัง…
ตัวอย่างแห่งความเชื่อ : อับราฮัม
พระเจ้าผู้ประทานพระวิญญาณและราชกิจอัศจรรย์ท่ามกลางท่าน ทรงทำไปเพราะท่านทำตามบัญญัติหรือเป็นเพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ? เหมือนอย่างที่อับราฮัมเชื่อพระเจ้าและเขาจึงถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
กาลาเทีย 3:5-6
กาลาเทีย 3:5; 1โครินธ์1:4-5; กิจการ 19:11-12
ปฐมกาล 15:6; โรม 4:21-22; ยากอบ 2:23
เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นมัดจำ
เราได้รับการอัศจรรย์พลิกชีวิตเดิมเป็นชีวิตใหม่ไม่ใช่เพราะกำลังของเราเอง แต่กลับได้รับพระคุณจากพระเจ้า เพราะเราเชื่อตามที่พระเจ้าตรัสให้เชื่อทำไมท่านเปาโลพูดเรื่องนี้ ซ้ำ ๆ ชัด ๆกลับมาพูดแล้วพูดอีก ไม่ไปเรื่องอื่น
เพราะว่า คนทั้งหลายไม่ยอมเข้าใจว่า พวกเขา
รับพระคุณของพระเจ้าเพราะความเชื่อ
ยังดื้อรั้นที่จะคิดว่าเป็นคนรักษาศีลจึงจะรอด
ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า คนที่เชื่อต่างเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงนับคนต่างชาติเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะเขา “เชื่อ” จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า “ชาติทั้งหลายจะได้รับพรเพราะเจ้า”ดังนั้นทุกคนที่เชื่อก็ได้รับพระพรร่วมไป
กับอับราฮัมผู้ที่เชื่อพระเจ้า
กาลาเทีย 3:7-9
กาลาเทีย 3:26-29; ลูกา 19:9, โรม 3:30; 9:7-8; 4:24; ปฐมกาล 12:3; 22:18;28:14; กาลาเทีย 4:28
พระเจ้าทรงให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติซึ่งคนยิวมักจะเหยียดว่าเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าตน. ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือจะเป็นคนต่างชาติก็ตามพวกเขาได้รับสิทธิเป็นคนเที่ยงธรรมในพระเจ้าเพราะเขาเชื่อโดยไม่ต้องทำตามบทบัญญัติของยิว แต่เขาต้องเชื่อว่า การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้น คือการรับโทษบาปแทนเขาแล้ว เขาไม่ต้องเพิ่มอะไรเพื่อจะไปหาพระเจ้าเลย
กฎบัญญัติกับพันธสัญญาเก่า-ใหม่
เพราะทุกคนที่พึ่งพา ในการทำตามบัญญัติ ต่างก็ถูกสาป
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
“ทุกคนที่ไม่ประพฤติตามข้อความทุกคำที่เขียนไว้ในหนังสือบัญญัติจะต้องถูกสาปแช่ง”
กาลาเทีย 3:10
เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26; โรม 8:7, 3:19-20; 6:23
แค่บัญญัติสิบประการที่โมเสสได้รับมาจาก
พระเจ้าเมื่อนานมาแล้ว ก็ไม่มีใครสักคนรักษา
ตามคำบัญชาในนั้นได้ครบ พระเจ้าทรงให้เราเห็นว่าบัญญัตินั้นมีไว้ให้เรารู้ว่า เราคือคนที่ละเมิดเสมอ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม
การพึ่งพาบัญญัติโดยไม่พึ่งพระคุณของพระเจ้าโดยไม่พึ่งพระคุณผ่านการสิ้นพระชนม์แทนบาปของเราจึงเป็นการโง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะไม่มีทางรอดผ่านบัญญัติได้เลย
ตอนนี้ ชัดเจนว่า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยอ้างความดีตามบัญญัติได้เลย เพราะ
ผู้เที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อแต่บัญญัตินั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ (คนที่ตามบัญญัติต้องทำตามบัญญัติ) เพราะคนที่ทำตามบัญญัติก็จะมีชีวิตโดยบัญญัตินั้น
กาลาเทีย 3:11-12
ฮาบากุก 2:4; โรม 1:17; ฮีบรู 10:38;
เลวีนิติ 18:5; โรม 10:5-6; เนหะมีย์ 9:29
ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราจะรอดได้ก็โดยเชื่อพระเยซูเท่านั้น การถือศีลหรือทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่ได้ช่วยให้ใครรอดได้เลยคนใดคิดว่าทำตามบัญญัติแล้วจะได้รับความพอใจจากพระเจ้านั้น คิดผิด เพราะพระเยซูได้ตรัสชัดเจนว่า ผู้ใดที่วางใจในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร์ แม้กระทั่งในยุคนี้ ก็ยังมีคนเชื่อว่าความดีของเขาจะชนะพระทัยพระเจ้าได้ ….
พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราจากคำสาปแช่งของบัญญัติ โดยที่พระองค์ทรงรับคำสาปแช่งเพื่อเรา เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ชัดว่า “คำสาปแช่งมีแก่คนที่ถูกแขวนบนต้นไม้”
กาลาเทีย 3:13
1 เปโตร 2:24,1:18-21; เฉลยธรรมบัญญัติ 21:23; ฮีบรู 9:15
คนเราไม่อาจทำตามบัญญัติอย่างครบถ้วนได้ดังนั้นเราจึงตกต้องรับโทษเพราะละเมิดบัญญัติแต่แล้ว พระเยซูกลับทรงมารับโทษ รับการแช่งสาปแทน นี่คือการไถ่บาปของพระเจ้า ทรงจ่ายค่าโทษแห่งบาปแล้วด้วยพระโลหิตของพระเยซูทรงซื้อเราออกมาจากคำแช่งสาปหรือการลงโทษสิ่งที่ชัดเจนคือ พระเยซูทรงถูกแขวนไว้บนไม้กางเขนรับโทษจากพระเจ้าแทนคนทุกคนที่เชื่อในพระองค์ทรงรับความอับอายไว้ที่พระองค์เอง
เพื่อว่าพระพรของอับราฮัมจะมาสู่คนต่างชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเมื่อเราเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณที่ทรงสัญญาไว้
กาลาเทีย 3:14
กาลาเทีย 3:2, 3:28-29; เอเฟซัส 2:18; 1 โครินธ์ 12:3; กิจการ 2:33
นอกจากพระองค์จะไถ่เรา ซื้อเราให้พ้นโทษบาปแล้วไม่พอ พระเยซูยังทรงให้พระพรอับราฮัมแก่เราทุกคนที่ไม่ใช่ยิวที่เชื่อพระนามพระเยซูด้วย เราได้รับพระพรแห่งชีวิตนิรันดร์ และพระพรแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะเขาเชื่อ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงต้อนรับ
แม้กระทั่งคนที่ทำผิดบาปมหันต์ คนดีแสนดีที่แต่ไม่ทำตามเงื่อนไขของพระองค์ก็ไม่มีสิทธิได้รับพระพรที่กล่าวมา พระเจ้าทรงประสงค์การไว้วางใจในพระองค์ ไม่ใช่การไว้วางใจในความดีของตนเอง
ขอให้ข้าอธิบายให้ฟังจากชีวิตประจำวันเมื่อคำสัญญาถูกทำขึ้น
และมีการตกลงกันแล้วทั้งสองฝ่ายแม้ว่าจะเป็นเพียงสัญญาของมนุษย์ก็จะไม่มีใครมีสิทธิล้มเลิกหรือเพิ่มเติมสิ่งใดลงไป
กาลาเทีย 3:15
ฮีบรู 9:17; โรม 6:19
ตรงไปตรงมา เมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำตาม
นั้น หากใครพลิกคำสัญญาเท่ากับคน ๆ นั้น เป็นคนทำผิดสัญญา ไม่มีการมาเปลี่ยนสัญญานอกจากมาตกลงกันใหม่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญาไม่ได้ แล้วเราลองนึกถึงพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ ไม่มีวันที่พระองค์จะเลิกสัญญา หรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
คำว่า “พระสัญญาที่ทำกับอับราฮัมและแก่ผู้สืบเชื้อสาย”นั้น ไม่ได้พูดถึงผู้สืบเชื้อสายหลาย ๆ คน แต่หมายถึงผู้สืบเชื้อสายผู้นั้น ซึ่งก็หมายถึงพระคริสต์
กาลาเทีย 3:16
โรม 4:13; กาลาเทีย 3:27-29; ลูกา 1:55; ปฐมกาล 17:7-8
พระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัมจะต้องสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
จากปฐมกาล 13:15
“เราจะให้แผ่นดินที่เจ้ามองเห็นแก่เจ้าและแก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล” (NTV) คำว่า ผู้สืบเชื้อสาย เป็นคำที่มีความหมายถึงทั้งผู้เดียว หรือกลุ่มเดียว ท่านเปาโลได้อธิบายว่า ผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าทรงหมายถึงนั้น คือ องค์ผู้สืบเชื้อสาย นั่นคือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มีสายเลือดของอับราฮัมด้วย (Constable’s Notes )
ที่ข้าพูดคือ
บทบัญญัติที่เกิดขึ้น 430 ปี หลังจากนั้น ไม่ได้ยกเลิกพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้
กาลาเทีย 3:17
ฮีบรู 11:39-40; 6:13-18; โรม 4:13-14; ปฐมกาล 15:13
หลังจากที่พระเจ้าทรงทำสัญญากับอับราฮัม
ว่า เขาจะเป็นผู้ให้คนทั้งโลกได้รับพระพรผ่าน
องค์พระเมสสิยาห์ซึ่งมีเชื้อสายของเขาอยู่
พระองค์ก็ได้ประทานบทบัญญัติแก่โมเสสหลังจากอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ที่อยู่ยาวนาน
มาถึง 430 ปีท่านเปาโลกกล่าวว่า บทบัญญัตินี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพื่อจะลบล้างคำสัญญา
แต่.. บทบัญญัตินี้มีหน้าที่ของมันเองที่สำคัญ
เราจะดูกันต่อไป
เพราะหากว่าได้รับมรดกเพราะบัญญัติก็เท่ากับไม่ได้รับมรดกตามพระสัญญาของพระเจ้าอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงพระคุณที่จะประทานมรดกแก่อับราฮัม ผ่านพระสัญญา
กาลาเทีย 3:18
กาลาเทีย 2:21; โรม 4:13-16,8:17; ฮีบรู 6:12-15; ลูกา 1:72-73
เหมือนจะเข้าใจยาก แต่ไม่ยากนัก
ข้อนี้บอกเราว่า คนเราจะได้รับมรดกของพระเจ้า(ชีวิตนิรันดร์) ไม่ใช่เพราะทำตามบัญญัติแต่เขาได้รับมรดกเพราะมีผู้อนุญาตให้เขาได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิจะให้หรือไม่ให้ การรับมรดกไม่ใช่เป็นการไปแย่งชิงมาแข่งขันเอามา หรือ หามาได้เอง แต่ผู้ให้มรดกเป็นคนกำหนดผู้รับ
แล้วทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติเล่า? ที่มีก็เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์จนกว่าผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าสัญญาไว้จะมาถึง และบัญญัตินั้นมีทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งต่อโดยมีคนกลาง การมีคนกลางนั้น หมายถึงมีหลายฝ่าย แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว
กาลาเทีย 3:19-20
กิจการ 7:53;โรม 7:7-13; ฮีบรู 2:2; กาลาเทีย 3:16
1 ทิโมธี 2:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; ฮีบรู 9:15
จุดประสงค์ของบัญญัติในครั้งแรกนั้นก็เพื่อ
มนุษย์จะรู้ว่า พวกเขาเป็นคนมีบาปจริง
รู้ว่า พวกเขาช่วยให้ตัวเองรอดพ้นบาปไม่ได้
รู้ว่าตนไม่อาจทำตามบัญญัติครบถ้วนได้ จนกว่าพระเยซูซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายนั้นจะมา ฮีบรู 2:2 บอกว่า การล่วงละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะรับการตอบสนองอย่างยุติธรรมซึ่งน่ากลัวมาก พระเจ้าทรงให้พระสัญญามาเพื่อเราจะไม่ต้องรับการตอบสนองที่ยุติธรรมนั้น
ดังนั้น บัญญัติต่อต้านพระสัญญาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหากมีการประทานบัญญัติที่สามารถให้ชีวิตได้ แล้วละก็ ความเที่ยงธรรมก็จะเกิดขึ้นได้เพราะคนทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 3:21
กาลาเทีย 2:19,21 โรม 9:31; 3:20-22
ตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว บัญญัติที่ประทานมาทีหลัง ไม่ได้ฝืนพระสัญญา ไม่ได้ต่อสู้กัน แต่มนุษย์ต่างหากที่ทำให้สับสน
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บัญญัติช่วยให้มนุษย์พ้นบาป แต่บัญญัติช่วยให้มนุษย์รู้ว่าตนมีบาปที่ทำให้ตนเองไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์
พระสัญญาของพระเจ้าทำให้เรามีความหวังว่า
พระเจ้าจะทรงช่วยเราด้วยพระองค์เอง
เพราะเราช่วยตนเองให้ไร้บาปไม่ได้
แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า คนทั้งโลกถูกจองจำภายใต้บัญญัติ ดังนั้น พระสัญญาจึงมีเพื่อบรรดาคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 3:22
โรม 11:32; ฮีบรู 9:15; กาลาเทีย3:23; ยอห์น 11:25-26
ทั้งโลกถูกบัญญัติของพระเจ้าคุมเอาไว้ ให้พวกเขารู้ว่า เขาผิดอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีบัญญัติ ก็เท่ากับไม่มีมาตรฐาน ที่จะทำให้มนุษย์รู้ว่า ขอบเขตความดี ความชั่วอยู่ตรงไหน และเขาจะถูกลงโทษอย่างไร ถ้าไม่มีพระสัญญา มนุษย์ก็ไร้ความหวังที่จะได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะพระสัญญานั้น หมายถึง
ว่าจะมีผู้มารับโทษแทนมนุษย์ทุกคนที่เชื่อพระเยซู
ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง เราถูกจองจำอยู่ใต้บัญญัติ จนกว่าความเชื่อจะปรากฏดังนั้น บัญญัติจึงควบคุมความประพฤติจนกว่าพระคริสต์จะมา เพื่อเราจะได้รับการประกาศว่าพ้นความผิดแล้วเพราะเราเชื่อ และขณะนี้ความเชื่อมาถึง เราจึง
ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้ควบคุมต่อไป
กาลาเทีย 3:23-25
กาลาเทีย 5:18, 3:24-25; โรม 6:14-15; โรม 10:4; กาลาเทีย 2:16; กิจการ 13:38-39; ฮีบรู 10:15-18; โรม 7:4
จนกว่าความเชื่อของเราจะมาถึง หมายถึง จน
กว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมา เราจึงจะได้รับการช่วยเหลือให้รอดจากคุกนั้น โดยเราเชื่อพระเยซูตามเงื่อนไขของพระสัญญา
กฎบัญญัติ ได้วางข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ข้อห้าม
ข้อควรทำให้กับคนเรา แต่กฎบัญญัติไม่ได้ให้พลังที่จะเอาชนะการล่อลวงให้ทำชั่ว เราจึงต้องพึ่งพระสัญญาให้พระเยซูทรงจัดการโทษบาปเพื่อเรา
เพราะเมื่อเราเชื่อในพระเยซู
คริสต์ เราก็ได้มาเป็นบุตรของพระเจ้าเพราะทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์แล้ว ก็เท่ากับได้สวม
พระคริสต์ในชีวิตของท่าน
กาลาเทีย 3:26-27
2โครินธ์ 6:18; เอเฟซัส 1:5; ยอห์น 1:12-13; โรม 13:14; 1 โครินธ์ 12:13; 1 เปโตร 3:21
คนที่บัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์ คือ คนที่รับเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ตรัสไว้กับอับราฮัม
เชื่อในเชื้อสายผู้นั้น คือองค์พระเยซูคริสต์
การสวมชีวิตของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่ทำให้เรา
แตกต่างจากความเชื่อในศาสนาใด ๆ ซึ่งพึ่งพาทำตามกฎเกณฑ์ ทำตามบัญญัติของศาสนาและก็มีความทุกข์ใจเสมอเพราะทำผิดประจำเราผู้เชื่อกลับได้สวมพระคริสต์ไว้ พระคริสต์ทรงมีชีวิตในเรา พระเจ้าประทับในใจ ในความคิดในชีวิตประจำวัน ใครจะได้อย่างนี้บ้าง?
จึงไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิง เพราะทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์
และหากท่านเป็นของพระคริสต์ก็เท่ากับท่านเป็นลูกหลานแท้
ของอับราฮัม เป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
กาลาเทีย 3:28-29
1 โครินธ์ 12:12-13; โคโลสี 3:11; โรม 3:29-30; กาลาเทีย 5:6,4:22-31; เอเฟซัส 3:6; โรม 9:7-8
สุดยอด นี่คือความจริงของพระเจ้า มนุษย์เรา แม้จะมีความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ สถานะ เพศและอายุแต่หากเขาเป็นคนของพระเจ้า เขาก็คือลูกหลานแท้ของอับราฮัม เป็นหนึ่งเดียว เป็นลูกของพระบิดาเดียว ปัญหาในโลกที่เราพบในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้น ไม่ได้ลดลงเลย แต่พระประสงค์ของพระเจ้าคือ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์