ผู้ที่ทูลแก้ต่าง
ลูกเล็ก ๆ ของข้าเอ๋ย
ข้าเขียนสิ่งเหล่านี้ถึงพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ทำบาป
แต่หากว่ามีใครสักคนทำบาป เราก็มีท่านผู้หนึ่ง ที่จะทูลแก้ต่างให้เราต่อพระบิดาพระองค์คือพระเยซูคริสต์
องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 2:1
โรม 8:34; 1 ทิโมธี 2:5; ฮีบรู 7:25; 9:24
ลูกเล็ก ๆ ในที่นี้หมายถึงคนที่เพิ่งเกิดมาท่านแสดงความอ่อนโยนแก่พี่น้องในความเชื่อ ท่านยอห์นเป็นห่วงพวกเขาที่จะมีชีวิตไม่ติดบาป แต่หากเราเกิดทำบาปขึ้นมา (1 ยอห์น 1:8-10) พระเยซูคริสต์จะทรงเป็นผู้ทูลแก้ต่างให้เรา ด้วยพระองค์เองในฐานะพระบุตรที่ จะทูลขอเพื่อมนุษย์ต่ององค์พระบิดา คำนี้ ในยอห์น 14 แปลว่า พระองค์ผู้ทรงปลอบใจ พระองค์ผู้ทรงหนุนกำลังใจ
และพระองค์ทรงเป็น
เครื่องบูชาลบบาปของพวกเรา
และไม่ใช่แค่บาปของพวกเราเท่านั้น
แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย
1 ยอห์น 2:2
โรม 3:25; ฮีบรู 2:17; 1 ยอห์น 4:10; ยอห์น 1:29
เมื่อพระเยซูทรงแก้ต่างให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราไร้ความผิด ไม่บาปแต่เป็นเพราะพระองค์ทรงยืน ณ ศาลสูงในสวรรค์ทรงยื่นไม้กางเขนที่เป็นเครื่องหมายของการ รับโทษแทนทั้งของมนุษย์ในโลก ท่านยอห์นใช้คำว่า “พวกเรา” จึงหมายถึงตัวท่านเองด้วยที่รู้ตัวว่าได้ทำผิดบาปไปแล้วไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้นอกจากพระเยซูคริสต์!
ข้อพิสูจน์ว่าเรารู้จักพระเจ้า
บัดนี้ เราจึงรู้แน่ว่า เรารู้จักพระองค์
เมื่อเรากระทำตามพระบัญชา ของพระองค์
คนที่กล่าวว่า “ฉันรู้จักพระองค์”แต่ไม่ทำตามพระบัญชาเท่ากับเป็นคนมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนเช่นนั้น
1 ยอห์น 2:3-4
ยอห์น 14:15; 15:10, 1 ยอห์น 5:3, โรม 3:4, 1 ยอห์ฯ 1:6, ทิตัส 1:16
การทำตามพระบัญชาของพระเจ้าไม่น่ายาก แต่มันกลายเป็นยาก เพราะใจของเราใหญ่กว่าพระบัญชาของพระองค์ คนเราชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะทำตามคำขอร้องของคนอื่น ต่อไปนี้คือ ทำให้ใจของเราเป็นรอง รองจากพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์และอย่าคิดว่าตัวเรารู้จักพระองค์จริง ๆ เราต้องสำรวจใจของเราทุกวัน
แต่ถ้าใครรักษาพระดำรัสของพระองค์
ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์พร้อมในตัวเขาแล้ว
เรารู้ว่า เราอยู่ในพระองค์ ก็เพราะเรารักษาพระดำรัสของพระองค์
1 ยอห์น 2:5
ยอห์น 14:21,23, 1 ยอห์น 4:12; 3:24, ลูกา 11:28
การรักษาพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีความหมายลึกซึ้ง หมายถึงอ่าน เฝ้าระวังรักษาไว้ในใจ เฝ้าดู เป็นกิจกรรมที่พระเจ้า ทรงเตือนมาตั้งแต่สมัยโมเสส โยชูวาเลย จำได้ไหม ท่านโมเสสเคยบอกว่าให้ระวังที่จะทำตามคำแห่งพันธสัญญา ฉธบ.29:9 ครั้งหนึ่งท่านโยชูวากล่าวว่าให้ตรึกตรองบัญญัติของพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน นี่เป็นความหมายแบบเดียวกัน ยชว.1:8
คนใดยืนยันว่า เขาอยู่ในพระองค์
ก็ต้องเดินไปตามอย่าง
ที่พระเยซูทรงดำเนิน
1 ยอห์น 2:6
1 เปโตร 2:21, ยอห์น 13:15, 1 โครินธ์ 11:1, 1 ยอห์น 3:6
พระเยซูทรงคิดอย่างไรในเวลาที่ทรงอยู่ในโลก?
เราเห็นได้จากหนังสือยอห์น อย่างเช่น “อาหารของเราคือการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.4:34) “เราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.6:38) พระดำรัสนี้ชัดเจนมากว่าเราจะเดินตามพระเยซูอย่างไร
สุดยอดแห่งบัญญัติ
ท่านที่รัก ข้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน
แต่นี่เป็นบัญญัติเก่าที่ท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้ เป็นคำที่ท่านได้ยินมาแล้วตั้งแต่ต้น
1 ยอห์น 2:7
1 ยอห์น 3:11, 23; 4:21, เลวีนิติ 19:18,
มาระโก 12:29-34, 2 ยอห์น 1:5-6
เวลาเราอ่านข้อนี้เลยไปจนข้อ 8 เราอาจจะงุนงงว่า ท่านยอห์นกำลังหมายถึงอะไร ท่านบอกว่า ไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ หรือกฎใหม่ให้ทำตามแต่เขียนถึงกฎเดิมที่รู้มาแต่ต้น
แล้วกฎเดิมนั้นคืออะไรล่ะ? ก็คือสิ่งที่พระเยซูทรงสั่งไว้ในยอห์น 13:34-35ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน
เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซูแต่ต้น
แต่จะว่าไป ก็เหมือนข้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในพวกท่าน เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไป และความสว่างแท้ก็ฉายแสงแล้ว
1 ยอห์น 2:8
ยอห์น 13:34; 15:12, โรม 13:12, ยอห์น 1:9; 8:12; 12:35, เอเฟซัส 5:8
แล้วท่านยอห์นเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนบัญญัติ ใหม่ด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะท่านได้เห็น ความรักที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง ความสว่างแท้ที่ฉายแสงนั้นคือพระเยซูคริสต์ ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงของโลก ได้ทำลายความมืด ความบาปที่อยู่ในโลกนี้ด้วยการสิ้นและคืนพระชนม์ และผู้เชื่อก็กำลังเป็นแสงสว่างของโลกต่อไป..
ผู้ที่ยืนยันว่าตนอยู่ในความสว่างแต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตนก็ถือได้ว่าเขายังคงอยู่ในความมืด
ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่างและไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้ใครสะดุดล้มได้
1 ยอห์น 2:9-10
1 โครินธ์ 13:2, 1 ยอห์น 4:20,
1 ยอห์น 3:13-17, 2 เปโตร 1:9-10
อีกแล้วที่ท่านยอห์นเขียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ต่างอะไรกับท่านเปโตรเลย อัครทูตทั้งสองมี ความห่วงในใจเป็นอย่างมาก พร้อมที่จะกล่าว คำเตือนสติ หนุนใจไม่หยุดหย่อน
จะเห็นได้ว่า เรื่องสำคัญในข้อนี้คือ ความสว่าง กับความมืด พี่น้องที่ท่านกำลังเตือนต้องเลือก จะรัก และอยู่ในความสว่าง หรือจะเกลียด แล้วอยู่ในความมืด !
แต่คนที่เกลียดชังพี่น้องของตนเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด เดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนเองกำลังเดินไปที่ไหน เพราะความมืดได้บดบังตาให้บอดไป
1 ยอห์น 2:11
1 ยอห์น 2:9; 3:15; 4:20, ยอห์น 12:35, วิวรณ์ 3:17
คนที่เกลียดชังพี่น้อง หรือไม่รัก ไม่ใส่ใจเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด (ข้อ 9) แต่ในข้อนี้พูดเพิ่มเติมว่า เขาเดินในความมืดด้วยนั่นคือยังคงสภาพบาปต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อชีวิตยังบาปอยู่ ทำผิดอะไรก็จะมองไม่ออกว่า ตัวเองทำผิดอยู่ ความเกลียดชังก็บดบังใจ ไม่ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร เขาก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี เขาไม่เห็นด้วยว่า จุดหมายปลายทางของเขาคือ ที่ไหน เพราะตาบอดอยู่ วิสัยทัศน์ก็บิดเบือน
ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย ข้าเขียนถึงเจ้าเพราะพระองค์ทรงยกโทษบาปให้เจ้าแล้ว
โดยพระนามของพระองค์
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:12-13ก
1 โครินธ์ 6:11, ลูกา 24:47; กิจการ 10:43; 13:38, ยอห์น 1:1, 1 ยอห์น 2:14; 1:1
ตอนนี้ท่านยอห์นกำลังบอกเหตุผลว่าทำไมท่านจึง เขียนจดหมายถึงพวกเขา ดูเหมือนท่านเขียนถึง คนที่กำลังเติบโตในพระเจ้าสามระดับคือ คนที่มาเชื่อใหม่ คนที่รู้จักพระเจ้ามานาน กับคนที่กำลังเติบโตระดับกลาง ทั้งสามกลุ่มต่างมีสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะที่เป็นขั้นเป็นตอน จากรับการยกบาป ก็มีชัยชนะเหนือมารและมีความรู้ในองค์พระเจ้ามากขึ้น ชีวิตผู้เชื่อจึงไม่อยู่กับที่ แต่โตขึ้นทุกวัน
ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย
ข้าได้เขียนถึงเจ้า
เพราะเจ้ารู้จักพระบิดาแล้ว
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าได้เขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย
ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านเข้มแข็ง และพระคำของพระเจ้าดำรงในท่าน และท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:13ข-14
กาลาเทีย 4:6, โรม 8:15, 1 ยอห์น 2:13, สดุดี 119:11, เอเฟซัส 6:10
ราวกับว่าลอกข้อ 12-13ก มาเลย มีความแตกต่างเล็กน้อย ทำไมท่านยอห์นถึงกล่าวคำที่ซ้ำเช่นนี้? มารร้ายในข้อ13 และ 14 นี้มาจากยอห์น 17:15พระเยซูทรงอธิษฐานให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้พ้นจาก ผู้ที่ชั่วร้าย คือมารร้ายนั่นเอง น่าสังเกตว่าในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวก ก็มีประโยคหนึ่งที่ว่า ขอให้พ้นจากมารร้ายเช่นกัน (มัทธิว 6:13)
อย่ารักโลก
อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก
ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนที่รักโลก เพราะทุกสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นความอยากของร่างกาย ความอยากของตา และความอวดหยิ่งในสิ่งที่ตนครอบครอง ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก
1 ยอห์น 2:15-16
ยากอบ 4:4, โรม 12:2, มัทธิว 6:24, โคโลสี 3:1-2, กาลาเทีย 1:4; 5:17, โรม 13:14, ปฐมกาล 3:6, สดุดี 119:36-37
พระคำข้อนี้ ตรงไปตรงมา บอกกับเราว่า ไม่ให้รัก หลง ตามหาความอยากของร่างกาย ไม่ให้เราคลั่งไคล้สิ่งที่ตาอยากมอง ไม่ให้เราภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ซึ่งเหล่านี้ เมื่อมันมีมาก เมื่อเราลุ่มหลง มันทำให้เราลืม สิ่งที่ถูกต้อง ลืมพระเจ้า แต่หลงไปปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น ท่านยอห์นบอกว่าทั้งสามสิ่งนั้น ไม่ได้มาจาก พระบิดา แต่มาจากโลกโดยตรง
โลกกับความอยากแบบของโลกจะสูญไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงตลอดไป
1 ยอห์น 2:17
1 โครินธ์ 7:31, 1 เปโตร 1:24, มัทธิว 24:35, ฮีบรู 10:36
การที่ท่านยอห์นกล่าวชัดเจนเช่นนี้เรารู้ว่าโลกและวิถีแบบโลกจะต้องจบสิ้นไปในวันหนึ่ง ความจริงแล้วสำหรับมนุษย์ทุกคน ความอยากแบบโลกนั้นมันก็จบลงที่ความตาย แต่คนที่ได้พบพระเจ้า และจบกับความอยาก นั้นก่อน จะมีสันติสุขในพระเจ้าเป็นอย่างมาก เป็นความสุขที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ได้มีประสบการณ์ เป็นชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าทั้งที่ยังอยู่ในโลกนี้
การหลอกลวงในเวลาสุดท้าย
ลูกที่รักทั้งหลาย นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็อย่างที่เคยได้ยินมาว่า
ผู้ต่อต้านพระคริสต์กำลังมา
บัดนี้
มีฝ่ายตรงข้ามพระคริสต์ปรากฏตัว ออกมาหลายคน เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย
1 ยอห์น 2:18
2 ทิโมธี 3:1; ยากอบ 5:3; 2 เปโตร 3:3; ยูดา 18; 1 ยอห์น 4:3; 2 ยอห์น 7; มัทธิว 24:5, 24
1 ยอห์น 4:1; มัทธิว 24:5; 1 ทิโมธี 4:1
“ผู้ต่อต้านพระคริสต์” เป็นลักษณะของคนที่ตรงตามที่เราเรียกเขา แต่คำ ๆ นี้อาจหมายความได้สองอย่างคือ มาต่อต้าน หรือ มาแทน คน ๆ นี้อาจดูดีมาก ๆ ไม่ได้ดูเป็นผู้ร้ายเลยก็ได้แต่เป็นผู้ที่จะมาแทนที่พระเยซูในใจของผู้เชื่อ อาจเป็นได้ทั้งบุคคล และเป็นทั้งระบบองค์กรโลกท่านยอห์นบอกเราว่า มีหลายคนเสียด้วย ดังนั้น เราต้องดูให้ดีว่า ใครเป็นใครในยุคนี้
แม้ว่าพวกเขาออกมาจากกลุ่มของเรา แต่กลับไม่ได้เป็นฝ่ายเรา เพราะหากเขาเป็นพวกเราจริง เขาคงจะอยู่กับเราต่อไป
แต่พวกเขาออกไปจากเรา
เพื่อจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครสักคนในพวกเขาเป็นฝ่ายเรา
1 ยอห์น 2:19
เฉลยธรรมบัญญัติ 13:13; กิจการ 20:30; ยอห์น 17:12; 1 โครินธ์ 11:19, ยูดา 19
จากข้อความตอนนี้ ทำให้เรารู้ชัดว่า คนที่กลายเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์นั้น แต่ก่อนเคยเป็นคนที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน ในเมื่อเขาตัดสินใจออกไป. จากชุมชนนี้ แสดงว่า เขาไม่คิดจะเป็นผู้เชื่อใน พระเจ้าอีกต่อไป
คนเหล่านี้คงไม่ได้เกิดใหม่จริง ๆ มาตั้งแต่ต้น พวกเขาแค่เพียงเกาะติดเหล่าผู้เชื่อ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจ รู้จักพระเจ้าจริงจัง ไม่ได้รับการเปลี่ยนเหมือนคนอื่น ๆ ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิต
และพวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์และท่านรู้ทุกสิ่ง ที่เขียนมานี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และไม่มีความเท็จใดออกมาจากความจริง
1 ยอห์น 2:20-21
2 โครินธ์ 1:21; กิจการ 3:14; ยอห์น 16:13; 14:26; สุภาษิต 28:5; อิสยาห์ 61:1; 2 เปโตร 1:12; ยูดา 5
คนที่หลีกตัวออกไปจากพี่น้องนั้น บ่งชัดว่า พวกเขาเป็นคนละฝ่ายกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ไม่รู้ ไม่รับความจริงของพระเจ้า ส่วนผู้ที่ท่านยอห์นเขียนถึง แตกต่างออกไป พวกเขารู้ความจริง การที่บอกว่าท่านรู้ทุกสิ่งหมายความว่า รู้ และต้อนรับ ยินดีในความจริงนั้น พวกเขายังได้รับการเจิมจากพระเจ้า พวกเขาไม่ยึดความเท็จในการใช้ชีวิต
แต่ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า
ใครเป็นคนพูดเท็จ คนพูดเท็จคือคนที่ปฏิเสธว่า พระเยซูคือพระคริสต์
เขาคนนี้คือผู้ที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นคนที่ปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร
1 ยอห์น 2:22
2 ยอห์น 7; 1 ยอห์น 4:3; 4:20
คำว่าพระคริสต์มาจากภาษากรีกว่า คริสโตส คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกกันว่า พระเมสสิยาห์ ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู ทั้งสองชื่อนี้
มีความหมายเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมาในโลกเพื่อสร้างอาณาจักรของพระเจ้า ในหัวใจของมนุษย์ ที่คนในโลกมากมายไม่ยอมรับพระคริสต์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ เป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของพวกเขา บางคนรุนแรงขนาดต่อต้านพระองค์ทุกครั้งที่ทำได้
ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร
ก็ไม่มีพระบิดา
คนที่ยอมรับพระบุตร
ก็มีพระบิดาด้วย
1 ยอห์น 2:23
ยอห์น 15:23-24; 8:9; 10:30; 1 ยอห์น 4:15; 5:23
เหมือนกับว่า ท่านยอห์นรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไร เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ เราจะเห็นผู้สอนผิดที่เอาแต่พระบิดา และปฏิเสธพระบุตร อย่างศาสนายิว พยานพระยะโฮวาห์ เป็นต้น คนเหล่านี้ เชื่อว่า ตนเองถูกต้องที่จะปฏิเสธพระบิดาหรือพระบุตร องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ความจริงแล้ว พระบิดากับพระบุตรทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางแยกพระองค์ออกจากกันแล้วจะโอเคได้
ให้ความจริงดำรงในชีวิต
จงรักษาสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ให้ดำรงอยู่ในตัวท่านถ้าหากว่าท่านดำรงในสิ่งนั้นก็คือท่านดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดา
1 ยอห์น 2:24
2 ยอห์น 6,7; ยอห์น 14:23; 15:9-10; วิวรณ์ 3:3, 1 ยอห์น 4:16
ในประโยคสั้น ๆ นี้ ท่านยอห์นมีคำว่า ดำรงอยู่ถึงสามครั้ง คำนี้มีความหมายคือ อาศัยอยู่ใน คงอยู่ เมื่อเรารักษาคำของพระเจ้าไว้ในใจ ในชีวิตดำเนินตาม และเอาใจใส่ เท่ากับว่า เราได้อยู่ในพระบุตรและพระบิดานี่เป็นกำไรสุดยอดของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่จะได้อยู่ในพระเจ้าเต็มบริบูรณ์อย่างนี้
บัดนี้ ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้เราที่ได้เขียนมานั้นข้าเขียนถึงท่านเกี่ยวกับคนที่พยายามนำท่านให้หลงทางไป
1 ยอห์น 2:25-26
ยอห์น 3:14-16; 6:40; 17:2,3; ทิตัส 3:7; ยูดา 21; 2 ยอห์น 1:7; 2 เปโตร 2:1-3; กิจการ 20:29-30
ท่านยอห์นเตือนสติคนอ่านว่า พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้กับเราที่ดำรงในพระองค์ คนที่มาเชื่อในพระองค์ ไม่ได้จบชีวิตไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีพระองค์ แต่พวกเขาพิเศษคือมีพระสัญญามั่นเหมาะว่าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ และถ้าเราย้อนกลับไปดู ข้อ 19 มีคนกลุ่มหนึ่งที่ ออกไป และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเราอีกต่อไป พวกนี้ยังชักชวนให้คนที่อยู่ออกไปด้วย ชวนให้หลงทางไปจากพระเจ้า
การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ดำรงในท่านจึงไม่ต้องให้ใครมาสอนท่านเพราะการเจิมจะสอนท่านทุกสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่เป็นเท็จ ให้ท่านดำรงในพระองค์ ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้
1 ยอห์น 2:27
ยอห์น 14:16; 16:13; เยเรมีย์ 31:33; 2 เปโตร 1:16-17
การเจิมดังกล่าวคืออะไรหรือ? จำได้ไหมว่า พระเยซูทรงสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสอนความจริงให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์เมื่อเราเข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับการเจิม
ด้วยพระวิญญาณจากพระองค์ พระวิญญาณจะทรงสอนผู้เชื่อผ่านพระวจนะที่เขาอ่าน ที่เขาติดตาม เขาไม่ต้องไปเรียนรู้จากคนที่พยายามสอนคำลวงให้กับพวกเขา อ่านยอห์น 14:26,
บัดนี้ ลูกเล็ก ๆ จงดำรงอยู่ในพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะกล้าหาญ และไม่ละอายต่อพระพักตร์
เมื่อพระองค์เสด็จมา หากท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ย่อม
รู้ว่าคนที่ประพฤติเที่ยงธรรมก็บังเกิดจากพระองค์
1 ยอห์น 2:28-29
1 ยอห์น 3:21; 4:17; 5:14, มาระโก 8:38, กิจการ 22:14, ยอห์น 3:7,10
ท่านยอห์นเตือนสติให้พี่น้องดำรงอยู่ในพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระเยซูเคยตรัสให้เราดำรงใน พระองค์ในยอห์น 15:1-11 เป็นการอยู่ในกันและกัน สองทางเลย เราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ในเรา ใกล้ชิด มีพระคำในใจ แล้วชีวิตจะเกิดผลมาก
ดูสิว่า การอยู่ในพระเจ้าจะทำให้ชีวิตมีแต่ดีขึ้นน่าเสียดายที่เรากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น บทที่สองจบลงด้วยคำขอให้ดำรงในพระเจ้า