ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี
ยอห์น 9:1-3
         ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง  ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง   ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?”  (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7)   ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว   หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้  เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง  
       แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3   
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น  4:34, 5:19,36,  17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10
ยอห์น 9:4-6 ก
       ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด  ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้ 
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ  แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน   เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด   ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5**   ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6**   มาระโก 7:33, 8:23  
ยอห์น 9:6ข-8 
        ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ 
 อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง   ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
        พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์  การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ  ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค   วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา  แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก   นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง  พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา   
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14
ยอห์น 9:9-12
         เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า  เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี 
        เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
 เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น    
         เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น  9 
การสอบสวนโดยคนที่ไม่เชื่อ
ยอห์น 9:13-16
       ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต  แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ   
       ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร   เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา   คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน   แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้   คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
         พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ 
 (ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39)   แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ 
ยอห์น 9:17-19
         นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง   แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
         ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า  ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ  ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก  
ยอห์น 9:20-23
        แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก  การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์   หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน   (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา)  ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22**  ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2
ยอห์น 9:24-27
         เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง  คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี  เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง  
          พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป  โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก   เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ 
 ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย.   เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า  มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้  และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ    เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16  
ยอห์น 9:28-31 
         แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู  พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย   
         ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น  เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน   เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
 มีให้เขา  
 29**  อพยพ 19:19,20,  33:11,  34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
 30**  ยอห์น 3:10
 31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9,  อิสยาห์ 1:15,  
 เยเรมีย์ 11:11,  14:12, เอเสเคียล  8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13,  ยากอบ 5:16
 ยอห์น 3:2, 9:1634  สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2
 
ยอห์น 9:32-34
        เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า    ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่  เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน   ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน   ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี  ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง  นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด  กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง  นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์     
ตาดีแท้ ตาบอดแท้
ยอห์น 9:35-38
          เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ  เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์  ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
          ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา  เขาทำเองไม่ได้  ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา   แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย  ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้  ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์ 
        แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ   เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์…  เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร  เป็นใจที่พร้อม    เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที   เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต  
          จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
 เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม   เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า 
35**  ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37**  ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2
  
ยอห์น 9:39-41
         คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ  
           คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ   คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร  
 39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24 
เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
       เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
 อิสยาห์ 43:8  กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
 เยเรมีย์ 5:21  กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
 อิสยาห์  56:10  กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด 
 กิจการ 26:12-18     ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน  ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส   
 เอเฟซัส 4:18  กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด  
 วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่
 
2  โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
 แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
 แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย  
ยอห์น 9:4  ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46  เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9  พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์  
