ทักทายพี่น้องที่ห่างไกล
ข้า เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างถิ่น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกซึ่งอาศัยกระจัดกระจายในแคว้นปอนทัสแคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธิเนีย
1 เปโตร 1:1
ยากอบ 1:1 คนต่างถิ่นในที่นี้ ท่านเปโตรหมายถึงผู้ที่อาศัยในบ้านเมืองนั้นเพียงชั่วคราว
พี่น้องที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึงนั้น อาศัยในเอเชียน้อย พวกเขากำลังเผชิญกับการ ข่มเหงเพราะความเชื่อในพระเยซู ท่านเปโตรห่วงใย พี่น้องเหล่านี้ จึงหนุนใจให้พวกเขาคิดถึง พระเยซูผู้ได้คืนพระชนม์และจะเสด็จมาอีกที
อย่างน้อยประโยคแรกก็ทำให้ผู้อ่านอบอุ่นขึ้นมา เพราะท่านบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก…
พระบิดาทรงเลือกท่านไว้ตาม
ที่ทรงรู้ล่วงหน้า โดยพระวิญญาณทรงชำระท่านไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อฟัง และรับการประพรมจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ขอพระคุณและสันติสุขเพิ่มพูนแก่ท่านมากมาย
1 เปโตร 1:2
เอเฟซัส 1:4, โรม 8:29, 2 เธสะโลนิกา 2:13 , โรม 1:5, ฮีบรู 10:22, 12:24, โรม 1:7,
คำว่าเชื่อฟังนี้ หมายถึงการฟังที่ยอมจำนน ยอมรับ ยอมทำตาม
การทรงเลือกของพระเจ้าไม่ใช่สุ่มเอา
แต่ทรงเลือกตามที่ทรงรู้ล่วงหน้าด้วย
พระปัญญาหยั่งรู้ของพระองค์ พระวิญญาณทรงชำระเรา แยกเราออกจากโลก ขบวนการนี้ สำคัญสำหรับชีวิตเราเพื่อเราจะเชื่อฟังพระเจ้าโดยพลังแห่งพระวิญญาณ เราเองเชื่อฟังพระเจ้าด้วยกำลังตัวเองไม่พอ
มรดกจากเบื้องบน
ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!
พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
1 เปโตร 1:3
เอเฟซัส 1:3, กาลาเทีย 6:16, ยอห์น 3:3,5, 1 โครินธ์ 15:20,
เมตตา คือใจที่สงสาร การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ คำนี้ใช้กับพระเจ้า อย่างใน ลูกา 1:50, โรม 15:9, กับพระเยซู ยูดา 21 หรือกับมนุษย์ทั่วไป มัทธิว 12:7
ถ้าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้วไม่คืนชีพ ความเชื่อของเราก็ไม่ต่างอะไรคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เราได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ไม่ใช่ชีวิตแบบเดิม เป็นคนใหม่สิ่งเก่าล่วงไป (2 โครินธ์ 5:17) และเราได้ความหวังที่มีชีวิต ไม่ใช่ ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นความหวังที่ดำรงอยู่ทุกวัน เติบโต สดชื่นตลอดชีวิตเพราะพระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมา
เข้ามาสู่มรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไร้มลทิน ไม่เลือนหายไป ซึ่งเก็บเตรียมไว้ในสวรรค์สำหรับท่าน ท่านได้รับการปกป้องด้วยฤทธิ์ของ พระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในความรอด ซึ่งพร้อมจะเปิดเผยในวาระสุดท้าย
1 เปโตร 1:4-5
โคโลสี 1:5
ทั้งหมดที่กล่าวมา ท่านเปโตรบอกว่า
พระเจ้าทรงพร้อมเปิดเผยให้เราได้เห็น รับรู้ ได้รับในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เมื่อเราได้ มาทบทวนว่า พระเจ้าทรงให้อะไรกับเราบ้าง เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ทัศนคติของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งหมด ได้มาเพราะพระเมตตาของพระบิดา
ท่านจึงมีความยินดีในสิ่งที่กล่าวมานี้ แม้ว่าชั่วระยะหนึ่ง
จำเป็นที่ท่านต้องเผชิญ ทุกข์ทน สู้กับความยากลำบากต่าง ๆ
1 เปโตร 1:6
มัทธิว 5:12, 2 โครินธ์ 4:17, ยากอบ 1:2
เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราก็มีชีวิตใหม่ ความหวัง ที่เติบโต เบิกบาน เราได้รับสัญญาว่าจะได้มรดกที่มั่นคงถาวรซึ่งพระเจ้าทรงเก็บไว้ในสวรรค์ให้แก่เรา เราจะได้ความปกป้องจากพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราทั้งหลายต้องเจอความยากลำบากเราจึงยังคงยินดี
เพื่อว่า การทดสอบความเชื่อแท้ของท่านที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ซึ่งแม้ว่าถูกทำลายได้ ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ และจะได้ผลลัพธ์เป็นคำสรรสริญ และพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเกียรติในเวลาที่พระเยซูทรงปรากฎ
1 เปโตร 1:7
ยากอบ 1:3, โยบ 23:10,
แต่ละประโยคของท่านเปโตรนั้น ทั้งยาว และเข้าใจยาก แต่เมื่อเข้าใจแล้ว จะเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนได้อย่างมั่นคง ดูข้อความนี้ ท่านกล่าวว่า ความเชื่อของเราจะถูกทดสอบด้วยความยากลำบาก ดังนั้น เราจึงต้องไม่มองความยากลำบาก
เป็นสิ่งที่ขวางชีวิต แต่มันคือตัวทดสอบความเชื่อเป็นตัวชำระให้บริสุทธิ์ ทำให้เราเองได้เห็นว่า เรามีความเชื่ออย่างไร เป็นความเชื่อแบบไหน
ท่านรักพระองค์ แม้ว่าท่านไม่เคยเห็นพระองค์ และแม้ว่าไม่ได้เห็นพระองค์ในเวลานี้ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ และยินดียิ่ง สุดจะพรรณาเป็นความยินดีที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีเนื่องจากท่านได้รับตามผลแห่งความเชื่อ นั่นคือ ความรอดพ้นของจิตวิญญาณ
1 เปโตร 1:8-9
1 ยอห์น 4:20, ยอห์น 20:29
คริสเตียนที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึง มีจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นพระเยซู แต่พวกเขาก็วางใจในพระองค์ เพราะมีคนประกาศ เป็นพยานให้เขารู้ ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะพวกเขามีสัมพันธ์สนิทกับ พระเจ้าทางจิตใจ จิตวิญญาณของพวกเขา เขาจึงรู้แน่ว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่
เหล่าผู้เผยพระคำซึ่งได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมาถึงท่านนั้น ต่างได้สืบค้น ไถ่ถามถึงเรื่องความรอดที่จะมาถึงท่านอย่างรอบคอบ ละเอียดลออ
1 เปโตร 1 :10
ผลที่ได้รับจากการวางใจพระเจ้าแม้ตกอยู่ในความยากลำบาก ต้องทนทุกข์นั้น คือ ความรอดพ้นจากบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เผยพระคำในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ค้นคว้า และศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพบพระผู้ช่วยให้รอดอย่างพระเยซูในสมัยของพวกเขาเลย พวกเขาปรารถนาจะเห็นอย่างที่คนในยุคพระเยซูได้เห็น
พวกเขาสืบค้นว่า ที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในใจพวกเขาทรงกล่าวถึง นั้นจะเป็นใคร เป็นในยุคใดเมื่อพระองค์ทรงกล่าวล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์(พระเมสสิยาห์)รวมทั้งพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะตามมา
1 เปโตร 1:11
2 เปโตร 1:21
เราจะเห็นว่า ท่านเปโตรได้กล่าวถึงการทนทุกข์กับพระสิริหรือเกียรติ เป็นของที่คู่กันไปเสมอ คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” มีปรากฏอีกครั้งเดียวใน โรม 8:9 พระวิญญาณทรงมาจากพระคริสต์ และกล่าวถึงพระคริสต์ผ่านผู้เผยพระคำในอดีต ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ไม่เข้าใจไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของคำที่พวกเขาพูดออกมา
เป็นที่ปรากฏแก่พวกเขาว่า
พวกเขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านเรื่องเหล่านี้ถูกแจ้งให้ท่านผ่านทางคนที่ประกาศพระกิตติคุณให้แก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งถูกส่งมาจากสวรรค์ เหล่าทูตสวรรค์ต่างปรารถนาที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
1 เปโตร 1:12
เอเฟซัส 3:10
ที่ว่า เขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านนั้นคือว่าผู้เผยพระคำเข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขากล่าวล่วงหน้าให้สำเร็จในยุคของเขา แต่เป็นยุคต่อมา ซึ่งกลายเป็นยุคของท่านเปโตรนั่นเองพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาในโลกหลังจากที่พวกเขาพูดเป็นร้อยเป็นพันปี พระวิญญาณทรงทำให้คนของพระเจ้าเกิดความเข้าใจ พร้อมกับทรงบันดาลใจ ทรงทำให้คนที่ฟังคนที่ได้ยิน ได้เข้าใจ
การมีชีวิตต่อพระพักตร์พระบิดา
ดังนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงเอาจริงเอาจัง ตั้งความหวังในพระคุณที่จะมาถึงท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ในฐานะที่เป็นลูกที่มีหัวใจเชื่อฟัง อย่าทำตามความปรารถนาชั่วอย่างตอนที่ไม่รู้จักความจริง
1 เปโตร 1:13-14
โรม 12:2, 1 เปโตร 4:2,
ท่านเปโตรขอให้พวกเขามีใจมุ่งมั่นเตรียมพร้อมเหมือนกับคนที่ถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะทำงาน การเอาจริงเอาจังคือ การควบคุมคำพูดและการกระทำ ไม่พูดโพล่งไร้สาระ การมีความหวังในการเสด็จมาของพระคริสต์คือหน้าที่ของผู้เชื่อทุกคน
แต่ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงบริสุทธิ์ ท่านก็จงบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง
เพราะมีคำเขียนว่า “เจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”
1 เปโตร 1:15-16
2 โครินธ์ 7:1, เลวีนิติ 11:44,45,19:2,20:7
คำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงการแยกออกจากบาป เพื่อพระเจ้า เราต้องสู้เพื่อชีวิตจะไร้บาป แน่นอน ที่เรายังมีบาป แต่ใจจะต้องมุ่งมั่นที่จะถูกแยกออกอย่างที่พระเจ้าตรัสสั่ง คำที่ท่านเปโตรใช้นั้นมาจาก เลวีนิติ 11:44-45, 19:2 ,20:7
ท่านเป็นคนที่จะอ้างกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ
และหากท่านร้องทูลต่อพระองค์ในฐานะพระบิดา ผู้ทรงตัดสินความอย่างไร้อคติ ตามการกระทำของแต่ละคน จงระวังที่จะประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่อยู่ในโลกในฐานะคนต่างถิ่น
ถอดความจาก 1 เปโตร 1:17
กิจการ 10:34
คำกล่าวข้างบนที่ว่าร้องทูลพระองค์ในฐานะพระบิดา ก็คือ หากท่านเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เท่ากับท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงตรง ไม่ลำเอียงในการพิพากษา ดังนั้นท่านก็จะรู้ดีว่าท่านควรใช้ชีวิตอย่างไรในโลก เพื่อว่าในวันที่เราต้องให้การต่อพระเจ้านั้น เราจะได้ทำได้ดีในฐานะเป็นคนต่างถิ่น ผู้เชื่อในพระเจ้ารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่สุดท้ายของเขาดังนั้นจึงไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ในโลก
ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านได้รับการไถ่ออกมาจากการใช้ชีวิตที่ไร้สาระซึ่งท่านรับมาจากบรรพบุรุษ โดยไม่ใด้ไถ่ด้วยสิ่งที่สูญไปได้ดั่งเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดั่งเลือดลูกแกะที่ไร้มลทิน หรือจุดด่างดำ
1 เปโตร 1:18-19
กิจการ 20:28, 1 เปโตร 1:2, อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7
ชีวิตที่ไร้สาระ หรือบางเล่มว่า การกระทำที่ว่างเปล่านั้นก็คือ ชีวิตที่จบแล้วต้องอยู่ห่างจากพระเจ้าเป็นนิตย์ พระเยซูคริสต์ได้ทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ ซื้อชีวิตเราคืนมาจากสภาพการเป็นทาสบาป เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตเป็นอิสระจากบาป และมีชีวิตที่ไม่ไร้สาระอีกต่อไปเป็นชีวิตที่จะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าเต็มตัว บริบูรณ์
พระองค์ทรงถูกเลือกไว้ก่อนวางรากฐานโลก แต่ทรงให้พระองค์ปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อพวกท่านโดยพระองค์ ท่านได้เชื่อพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากตาย และประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของท่านได้อยู่ในพระเจ้า
1 เปโตร 1:20-21
โรม 3:25, กาลาเทีย 4:4, กิจการ 2:24, 33
ก่อนมีโลกนี้ ก่อนอาดัมเอวา พระเจ้าได้ทรงวางแผนงานของการไถ่มนุษย์ไว้แล้ว และผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมสำหรับการนี้ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์
ยุคสุดท้ายในที่นี้ หมายถึงยุคที่พระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง
บัดนี้ท่านได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเชื่อฟังความจริงจนท่านรักพี่น้องอย่างจริงใจ ดังนั้นจงรักกันและกันอย่างแรงกล้า จากใจที่บริสุทธิ์
1 เปโตร 1:22
กิจการ 15:9, ยอห์น 13:34, โรม 12:10, ฮีบรู 13:1, 1 เปโตร 2:17, 3:8
การที่ชีวิตใครคนหนึ่งจะรับการชำระหลังจากที่เราดำเนินไปกับพระเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังความจริงของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อ และทำตาม จะได้รับการชำระจากพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเชื่อฟัง คือ พี่น้องรักกันอย่างแรงกล้า คำนี้ ในภาษาเดิมแปลว่า รักกันจนสุดขอบเขต เป็นรักที่เราทำเองไม่ได้
คนที่พระเจ้าทรงชำระด้วยพระคำของพระองค์จึงจะได้รับกำลังที่จะทำเช่นนี้ได้
เพราะท่านได้เกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เกิดจากเมล็ดพันธ์ุที่เสื่อมไปได้ แต่จากเมล็ดพันธ์ุที่ไม่ตาย คือจากพระวจนะที่มีชีวิตและยืนยงถาวรตลอดไป
1 เปโตร 1:23
ยอห์น 1:13, 1 เธสะโลนิกา 2:13, ยากอบ 1:18,
เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระคำของพระเจ้านั้นสำคัญสำหรับชีวิตมากเหลือเกินหากหันกลับไปอ่าน 2 ทิโมธี 3:15-17 เราจะได้ข้อสรุปที่ว่า พระคำของพระเจ้าคือพลังขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่ความดี ความรอด พระวิญญาณของพระเจ้าทรงให้พระคำของพระเจ้าช่วยสร้างชีวิตของเราขึ้น พระคำนั้น ก็คือ เรื่องราวแห่งพระกิตติคุณที่ช่วยเราให้รอด
เพราะมนุษย์ทั้งหลายเป็นเหมือนหญ้า ศักดิ์ศรีของพวกเขาเป็นเหมือนดอกหญ้า หญ้าจะเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แต่พระคำของพระเจ้ายืนยงตลอดไปพระคำนี้ เป็นข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้แก่ท่านแล้ว
1 เปโตร 1:24-25
อิสยาห์ 40:6-8, ยากอบ 1:10, ยอห์น 1:1,
พระคำ กรีกว่า เรมา คือสิ่งที่พูดออกมา กล่าวออกมา ในขณะที่คำว่าโลโกส หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เรมาหมายถึงประโยคต่าง ๆ ที่มาจากพระคัมภีร์
มีหลายตอนในพระคัมภีร์บอกเราว่า คนเรานั้น ชีวิตสั้นเหมือนดอกไม้ในทุ่ง และเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระคำของพระเจ้ายืนนานถาวร
จากความจริงในโลก ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามนุษย์ จะล้มหายตายจากไปกี่รุ่น ต่อกี่รุ่น แต่พระคัมภีร์ที่พระเจ้า
ทรงบันดาลใจให้คนของพระองค์เขียนขึ้นมา
เพื่อสื่อให้รู้ถึงพระดำริต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น จนจบโลก
ก็ยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ และจะอยู่ตลอดไป