อย่าตำหนิผู้อาวุโสอย่างเกรี้ยวกราด  แต่จงเตือนเขาเหมือนว่าเขาเป็นพ่อของเจ้า จงปฏิบัติต่อชายหนุ่มที่อ่อนกว่าเจ้าเหมือนเป็นน้องชาย ปฏิบัติต่อสตรีสูงวัยเหมือนเธอเป็นมารดา และหญิงสาวที่อ่อนกว่าเหมือนเป็นน้องสาวด้วยใจบริสุทธิ์    จงให้เกียรติแก่หญิงม่ายไร้ที่พึ่ง
1 ทิโมธี  5:1-3

เลวีนิติ 19:32, 1 เปโตร 5:5-6
คำว่าเตือนที่ท่านเปาโลใช้ มีความหมายว่าว่า ช่วยหนุน กำลังเขาคนนั้นให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนแม่ม่ายแทบจะไม่มีทางหา รายได้เลย ต้องพึ่งพาครอบครัว คำสอนของท่านเปาโลช่วยให้ แม่ม่ายยากจนมีคนดูแลเอาใจใส่ นอกจากนั้น ผู้รับใช้อย่างทิโมธีจะ ต้องไม่ใช้วาจาล่วงล้ำ หรือหยอกเล่นหญิงสาวอย่างไม่สมควร
ถ้าหญิงม่ายคนใดมีลูกหลาน ก็ให้ลูกหลานได้เรียนรู้การทำหน้าที่ในทางของพระเจ้า โดยให้ดูแลเอาใจใส่ครอบครัวตนเองเป็นการตอบแทนคุณของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย  พระเจ้าทรงพอพระทัยกับการกระทำเช่นนี้
 1 ทิโมธี  5:4

ปฐมกาล 45:10,มัทธิว 15:4-6
นี่เป็นการสร้างสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อ การดูแลผู้ที่อ่อนแอกว่า ต่างจากสังคมคนนอกที่คนแข็งแรงเอาเปรียบคนที่อ่อนแอ เด็กกำพร้า หญิงม่ายต่าง ตกอยู่ในความยากแค้นแสนสาหัสเป็นส่วนใหญ่ และการตอบแทนคุณของผู้มีพระคุณเป็นเรื่องสำคัญใน หมู่คนที่เชื่อพระเจ้า
หญิงม่ายที่ขัดสนจริง ๆ และอยู่ลำพังคนเดียวมีความหวังในพระเจ้า เธออธิษฐานและขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าทั้งวันและคืน แต่หญิงม่ายที่ปล่อยตัวนั้น ก็เหมือนกับตายทั้งเป็นจงกำชับพวกเธอในเรื่องเหล่านี้  เพื่อว่าพวกเธอจะไม่ถูกใครตำหนิ
 1 ทิโมธี  5:5-7  

กิจการ 26:7, ยากอบ 5:5
 แม่ม่ายที่ชราแล้ว  เป็นคนที่ ต้องพึ่งพระเจ้ามาก จึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตกับการ อธิษฐานให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือ ในคริสตจักรเราพบว่า ม่ายเหล่านี้แหละที่เป็นคนมีความเชื่อ และเป็นพลังการอธิษฐานของคริสตจักรแต่ยังมีแม่ม่ายสาวที่ยังสนุกเพลิดเพลิน ซึ่งการใช้ชีวิตโดยไม่ระวังเท่ากับตายทั้งเป็น  
  
ถ้าใครไม่ยอมเลี้ยงดูญาติพี่น้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวเท่ากับคนนั้นปฏิเสธความเชื่อ  และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก
 1 ทิโมธี  5:8 

อิสยาห์ 58:7, 2 ทิโมธี 3:5, มัทธิว 18:17
หากผู้เชื่อไม่ดูแลคนในครอบครัว เท่ากับเขาล้มเหลวในความเชื่อของเขา ในโลกทุกวันนี้ เราเห็นพ่อแม่มากมายที่ไม่ดูแลครอบครัว แต่หลงทำบาป ทำตามใจตัวเอง ครอบครัวเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะให้เป็นจุด เริ่มต้นของความรัก
การลงทะเบียนเพื่อช่วยเหลือ หญิงม่ายนั้น จะทำได้เมื่อเธอ
 อายุเกินหกสิบปี และมีสามีเดียว และเธอต้องมีชื่อเสียงดี เป็นที่รู้กันว่า  เธอเอาใจใส่เลี้ยงดูลูก มีน้ำใจรับรองแขก ล้างเท้าคนของพระเจ้า ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก  และทุ่มเททำดี
 1 ทิโมธี  5:9-10

กิจการ 9:39, 1 เปโตร 2:12
ระบบการช่วยเหลือพี่น้องในชุมชนคริสเตียนนั้น นับว่า ก้าวหน้ามาก มีการลงชื่อแม่ม่ายที่มีอายุเกิน 60 ปี เพื่อเป็นหลักประกันว่า คริสตจักรจะต้องช่วยดูแลคน เหล่านี้ต่อไป น้ำใจของพระเจ้าที่มีต่อคนชรานั้น มากมายเหลือล้น จากพระคำข้อนี้เราเห็นว่า คนที่ได้ลงทะเบียนก็ต้องเป็น คนที่มีประโยชน์ต่อสังคม ต่อผู้อื่นมาก่อน
แต่อย่าลงทะเบียนให้หญิงม่ายสาว เพราะเมื่อไรที่ความอยากของพวกเธอชักจูงให้ห่างพระคริสต์ พวกเธออาจจะอยากแต่งงานอีกครั้ง เธอจึงมีโทษ  เพราะไปละเมิดคำปฏิญาณเดิม
 1 ทิโมธี  5:11-12

2 เปโตร 2:18, ยากอบ 5:5
จากคำพูดของท่าน เปาโล ดูเหมือนว่า บางคนไปแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อหรือการแต่งงานเกิดจากความไม่สามารถรักษาตัว
 ให้บริสุทธิ์ตัวเธอเองก็จะถูกคนอื่นตำหนิติเตียน  ท่านเปาโลไม่ได้ต้องการให้คริสตจักรปฏิเสธพวกเธอ แต่ให้ระวัง ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมกับทุกคน
 ท่านไม่ได้ห้ามแต่งงานใหม่  จากข้อถัดไปเราจะเห็น ความคิดของท่าน 
นอกจากนั้นบางคนยังเกียจคร้าน สันหลังยาว   เที่ยวไปตามบ้าน   มีนิสัยนินทาว่าร้าย ยุ่งเรื่องคนอื่น พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ดังนั้นข้าจึงอยากให้ม่ายสาวมีสามี มีลูกชาย
ลูกสาว ได้ดูแลบ้านเพื่อไม่ให้ศัตรูมีช่องทางใส่ร้ายได้  และมีบางคนก็ได้ติดตามซาตานไปแล้ว
 1 ทิโมธี  5:13-15

1 เปโตร 4:17, สุภาษิต 20:19,ทิตัส 2:5,ยูดา 1:4-5
การที่ม่ายสาวจะแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก เท่ากับ
 ท่านเปาโลกำลังเสนองานให้พวกเธอได้ทำตลอดชีวิตเลยทีเดียว  ยังมีผู้หญิงที่ปล่อยตัวและตามความต้องการของตนเองทำให้ตัวเองพินาศไปก็มาก
 เพื่อไม่ให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน แม้คนอาวุโสก็ต้อง หาอะไรทำด้วย
สตรีผู้เชื่อคนใดที่มีญาติเป็นหญิงม่าย ก็ให้ช่วยเลี้ยงดูพวกเธอเพื่อไม่ให้เป็นภาระของคริสตจักร คริสตจักรจะได้
 ไปสงเคราะห์หญิงม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ
 1 ทิโมธี  5:16

1 ทิโมธี 5:3-5, 8
 นี่ดูเหมือนเป็นภาระที่หนักของคริสตจักร แต่.. พระเจ้า
 ไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น  พระเจ้าทรงพอพระทัย
 ที่คนของพระองค์จะให้เวลาและ ช่วยเหลือคนทุกข์ยากจริง ๆ ทรงบอกไว้ว่า
 ที่ทำแก่คนเล็กน้อยคนหนึ่ง ก็เหมือนทำให้แก่พระองค์ด้วย
ผู้ปกครองทั้งหลายที่ดูแลเอาใจใส่อย่างดีนั้น ควรได้รับเกียรติสองเท่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ใส่ใจพระคำทั้งเทศนาและสอน พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า  “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวขณะที่มันนวดข้าวอยู่”  และ “คนทำงานก็สมควรได้รับค่าจ้างของตน”
 1 ทิโมธี  5:17-18

ฉธบ.25:4, ลูกา 10:7, 1 โครินธ์ 9:7-10
ท่านเปาโลบ่งบอกเราชัดว่า ผู้ปกครองนั้นควร เทศนาสั่งสอนได้   ผู้ปกครองที่ทั้งหนุนใจและสอน เพื่อให้คนไม่ตกในคำสอนผิด เพื่อทำให้ชีวิต ของพี่น้องดีขึ้นควรได้รับเกียรติมาก
 อธิบายเพิ่มเติม 1 ทิโมธี 5:17-18
อย่ายอมรับข้อกล่าวหาผู้ปกครอง นอกจากจะมีพยานสองหรือสามคน ส่วนคนที่ยังทำบาปอยู่ ก็ต้องถูกตำหนิ  ตักเตือนต่อหน้าทุกคน 
 เพื่อคนที่เหลือจะได้เกรงกลัว
1 ทิโมธี  5:19-20

ฉธบ. 17:6,19:15, มัทธิว 18:16, ทิตัส 1:13
พระเยซูทรงกล่าวไว้ในเรื่องนี้ มัทธิว 18:15-17อย่างแรกต้องไม่เชื่อข่าวลือใด ๆ แต่ต้องพิสูจน์ให้รู้ว่า ข้อกล่าวหาเป็นจริงหรือไม่ ถ้ามีพยาน รู้เห็นและเป็นพยาน ก็ต้องดูด้วยว่า พยานนั้น เชื่อถือได้หรือไม่ และหากข้อกล่าวหาเป็นจริง ก็ต้องตักเตือนกันตามตรง ต่อหน้าชุมชนผู้เชื่อ
ข้ากำชับเจ้าเรื่องนี้ ต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเยซูคริสต์ และเหล่าทูตสวรรค์ ที่ทรงเลือกไว้ว่า ให้รักษาระเบียบต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่ลำเอียง
 1 ทิโมธี  5:21

ฉธบ.1:17, 2 ทิโมธี 4:1, ยากอบ 2:1-4
ท่านเปาโลกับท่านยากอบ (ยากอบ 2) พูดเรื่องเดียวกัน คือ ไม่ให้ลำเอียง เพราะความ ลำเอียงนี้สามารถต่อยอดไปเป็นปัญหาเรื้อรังทั้งในครอบครัว ในโรงเรียน ที่ทำงาน ในชุมชนทุกแห่ง  ความรักของพระเจ้านั้นก็ไม่มีลำเอียง
อย่าด่วนวางมือแต่งตั้งใคร อย่ามีส่วนในบาปของคนอื่น  
 จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์  อย่าดื่มแค่น้ำ แต่ดื่มเหล้าองุ่นบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับกระเพาะ
 และโรคที่เจ้าเป็นอยู่ 
 1 ทิโมธี  5:22-23

เอเฟซัส 5:6-7, สดุดี 1:1, เอเฟซัส 5:11, สดุดี 104:15,
การแต่งตั้งใครคนหนึ่งให้ทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนนั้น เป็นสิ่งที่ท่าน เปาโลห้ามไว้ 
 ท่านเปาโลบอกให้ทิโมธีดื่มเหล้าองุ่นบ้างอาจ เป็นเพราะว่ามันช่วยรักษาบางโรคได้ และตัวมันเองก็เป็นสิ่งที่ไม่มีเชื้อโรคเหมือนกับน้ำในสมัยก่อนที่ไม่ได้ถูกสุขอนามัย  ท่านไม่ได้สนับ สนุนการดื่มเหล้าในแง่บันเทิง
บาปของบางคนนั้นชัดเจน 
 นำไปสู่การตัดสินลงโทษตัวเขา บาปของบางคนตามเขาไปภายหลัง  การดีก็เห็นได้ชัดเจนเช่นกัน  ถึงแม้บางเวลาจะไม่ชัดเจน แต่จะถูกปิดไว้ตลอดก็ไม่ได้
 1 ทิโมธี  5:24-25

กาลาเทีย 5:19-21, ลูกา 11:33, สุภาษิต 10:9
ผู้ปกครองคริสตจักรนั้น หากมีความบาปที่ชัดเจน  ทำให้เขาต้องหลุดจาก หน้าที่ซึ่งรับทำอยู่  การพิพากษา หรือการตัดสินโทษก็มาจากคริสตจักรเอง แม้่มีบางคนที่ปิดบังบาปของตนเอาไว้  แต่อีกไม่นานคนอื่นจะรับรู้และเขาก็จะถูกตัดสินเช่นกัน 
 1 ทิโมธี  5:24-25









