ยินดีต้อนรับสู่พระคำ.คอม

พระคำ.คอม นำพระคัมภีร์ มาเล่าพร้อมภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
พระคัมภีร์นี้ ใช้เวลาเขียนเกือบ 1600 ปี ตั้งแต่ประมาณปี 1500 ปีก่อนคริสตศักราชจนถึงปี ค.ศ. 90 และมีผู้เขียนมากกว่า 40 คน
ผู้เขียนแต่ละคนได้รับการบันดาลใจจากพระเจ้าให้เขียนบันทึกไว้ และมีความเชื่อมโยงกันอย่างมหัศจรรย์ตั้งแต่เล่มแรกจนเล่มสุดท้าย
มีการคัดลอกต่อเนื่องกันมา และเก็บรักษาไว้อย่างดีจนถึงสมัยของเรา


บุคคลสำคัญในพระคัมภีร์คือ คือ พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสร้างโลกนี้ และองค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่มาบังเกิดในโลกเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
พระคัมภีร์เล่าวว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง และที่น่าทึ่งคือ มีคำบอกล่วงหน้าหลายร้อยปี ถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระองค์ รวมถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วย!!
ขอแนะนำให้ เริ่มอ่านจาก

หนังสือ มาระโก

มียูทูบสำหรับเด็ก โดยดูได้จาก พระคัมภีร์สำหรับเด็ก

มัทธิว 7 ทัศนคติตามน้ำพระทัย

1 “อย่าตัดสินคนอื่น เพื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกตัดสิน
2 เจ้าจะถูกตัดสินแบบเดียวกับที่เจ้าไปตัดสินผู้อื่น และเจ้าตวงให้คนอื่นด้วยจำนวนเท่าไร เจ้าจะได้รับคืนมาแบบนั้น 
3 เหตุใดกันที่เจ้าสังเกตเห็นผงในดวงตาของเพื่อน แต่เจ้ากลับไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
4 เจ้าพูดกับเพื่อนของเจ้าว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาเพื่อนเถิด’ ได้อย่างไร   ในเมื่อยังมีไม้ท่อนใหญ่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด  เจ้าจงเอาไม้ออกจากดวงตาของเจ้าเสียก่อน แล้วเจ้าจะมองเห็นชัด จากนั้นจึงเขี่ยผงออกจากดวงตาของเพื่อนเจ้าได้ 
6 อย่าเอาของบริสุทธิ์ให้กับพวกสุนัข และอย่าโยนไข่มุกให้กับสุกร  สุกรมันจะย่ำไข่มุก และสุนัขจะก็หันมาขย้ำเจ้า






จงทูลขอสิ่งที่จำเป็นจากพระเจ้า
7 จงเฝ้าขอ แล้วเจ้าจะได้รับจากพระเจ้า จงเฝ้าหา แล้วเจ้าจะพบ จงเฝ้าเคาะและประตูจะเปิดให้แก่เจ้า
8  ใช่แล้ว เพราะทุกคนที่ทูลขอจะได้รับ ทุกคนที่แสวงหาจะได้พบ และทุกคนที่เคาะนั้น ประตูก็จะเปิดให้เขา



9  หากลูก ๆ ขอขนมปัง มีใครในพวกเจ้าจะเอาก้อนหินให้พวกเขา?
10 หรือถ้าลูก ๆ ขอปลา เจ้าจะเอางูให้แทนอย่างนั้นหรือ?
11 แม้ว่าเจ้าเป็นคนเลว ยังรู้ว่าจะให้สิ่งดีแก่ลูก ๆ แบบไหน  พระบิดาของพวกเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีให้กับคนที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นอีกเพียงใด

12 ดังนั้น จงปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างที่เจ้าเองต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเจ้า นี่คือบทสรุปของบัญญัติโมเสส และคำสอนของผู้เผยพระดำรัส (พระคัมภีร์เดิม)


13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูกว้าง และทางกว้างนั้น นำสู่หายนะ คนจำนวนมากเข้าไปทางประตูกว้างนั้น
14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบนั้น จะนำสู่ชีวิต มีน้อยคนที่จะพบทางนั้น

คนรู้จักเราจากการกระทำ
15 จงระวังคนที่เผยพระดำรัสเท็จ พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยดูเหมือนแกะ แต่จริงแล้วพวกเขาอันตรายดั่งสุนัขป่าตัวร้าย

16 เจ้าจะรู้จักคนเหล่านี้ด้วยผลของพวกเขา ผลองุ่นไม่ได้เกิดจากต้นหนาม และผลมะเดื่อไม่ได้เกิดจากพุ่มหนาม
 17 เช่นเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นจะออกผลดี  และต้นไม้เลวก็จะออกผลที่เลว
18 ต้นไม้ดีนั้นไม่อาจออกผลที่เลว และต้นไม้เลวก็ไม่อาจออกผลที่ดี
19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดี จะถูกโค่น และโยนทิ้งลงในไฟ
20 เช่นเดียวกัน เจ้าจะรู้จักคนเผยพระดำรัสเท็จก็โดยดูจากผลของเขา 


21 ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ แล้วจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่คนที่เข้าไปได้ คือคนที่กระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ 
22 ในวันพิพากษานั้น จะมีหลายคนกล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า  ข้าพเจ้าได้เผยพระดำรัสในพระนามของพระองค์  และเราขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพระนามของพระองค์’ 
23 แล้วเราจะบอกเขาชัดเจนว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า จงออกไปจากเรา เจ้าผู้ทำความชั่ว!’ 

คนสองแบบ

24 “ทุกคนที่ได้ยินคำของเรา และเชื่อฟังทำตามก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของตนบนศิลา
25  ฝนตกหนัก น้ำท่วม และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง แต่บ้านนั้นก็ไม้พัง เพราะถูกสร้างบนศิลา
26 คนที่ฟังคำของเรา และไม่เชื่อฟังก็เป็นเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านของตนไว้บนพื้นทราย
 27 ฝนก็ตกหนัก น้ำท่วมขึ้นมา และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง และบ้านนั้น ก็พังทลายลงไม่เหลือ

28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้จบลง ประชาชนต่างประหลาดใจกับคำสอนของพระองค์ 
29 เพราะพระองค์ไม่ทรงสอนเหมือนอย่างธรรมาจารย์ของพวกเขาเลย  พระองค์ทรงสอนดั่งผู้ที่มีสิทธิอำนาจ 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 7:1-2 ในบทที่ 6  พระเยซูทรงกล่าวถึงทัศนคติของเราในใจว่า แรงจูงใจนั้นคืออะไร จะทำอะไร ของให้มีแรงจูงใจที่ถูก ไม่ใช่ต้องการอวด … แต่บทนี้เริ่มมาดูว่า เราจะคิดกับคนอื่นอย่างไร 
การตัดสินคนอื่นมักจะเกิดจากการที่เราคิดว่า เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราดีกว่า แต่อย่าลืมว่า เราตัดสินคนอื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินเราเช่นกัน ลองทบทวนย้อนกลับไปว่า เมื่อเราตัดสินคนอื่น เราเป็นอย่างนั้น หรือคล้ายกัน หรือหนักกว่าคนที่เราไปตัดสินหรือเปล่า  แต่ตรงนี้พระเยซูทรงบอกเราว่าอย่าไปตัดสินเพื่อเราจะไม่ถูกตัดสินด้วยมาตรฐานเดียวกัน 
มัทธิว 7:3-5 
แล้วพระเยซูทรงยกตัวอย่างให้เราเห็นอย่างชัดเจน เป็นคำอุปมาสั้น ๆ ที่เราทุกคนโดนหมด ไม่มีใครผ่านเลย  ยิ่งฟาริสีที่ฟังอยู่ ถ้าเป็นคนที่คิดเป็น เขาก็จะเห็นตัวเองชัดเจนมาก  เท่าที่ผ่านมาหลายพันปีของโลกนี้ เราจะเห็นการตัดสินผู้อื่นแบบที่ไม่ยุติธรรมมากมาย การที่เราไม่เห็นความผิดของตัวเองที่มากมาย แต่เห็นความผิดเล็กน้อยของคนอื่นนั้น  เป็นเพราะเรามองตนเองว่าเป็นคนดี 
มัทธิว 7:6  
บางครั้งคนของพระเจ้าก็มักจะเป็นคนใจดี น่ารัก ให้ได้เสมอ แต่พระเจ้าทรงเตือนว่า การให้บางสิ่งกับคนที่ไม่เห็นค่านั้น มันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ลึกไปกว่านั้น พวกสุนัข และสุกร ในความหมายตรงนี้คือ คนที่เป็นศัตรูต่อไม้กางเขน ถึงจะประกาศไปเท่าไร เขาก็ไม่เอา แถมเหยียบย่ำทำลาย พระกิตติคุณเสียด้วย  (แตกต่างจากคนที่ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ)
มัทธิว 7:7-8
เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ทุกคนจำฝังใจ … เพราะคนเรามีความต้องการจำเป็นที่แทบจะไม่มีวันหมดสิ้น เรื่องที่เราจะขอพระเจ้าหลายต่อหลายอย่าง 
เท่าที่พระเยซูได้ตรัสสอนมา  ทรงสอนสารพัดเรื่อง และตอนนี้พระองค์กำลังบอกถึงสิ่งดีที่พระเจ้าพร้อมจะประทานให้กับคนของพระองค์
เราจะเห็นว่าเริ่มจากขอ แล้วแสวงหา แล้ว เคาะ เป็นการเพิ่มระดับการขอ พระเยซูทรงสอนให้เราไม่อ่อนระอาใจในการเฝ้าขอ( ลูกา 11:5-13; 18:1-8)   ทรงสอนให้อธิษฐานมาก่อนหน้านี้  (มัทธิว 6:5-14)
ดูสิ่งที่น่าสนใจคือ ขอแล้วได้  หาแล้วพบ เคาะแล้วประตูจะเปิด  ผลที่ได้รับเป็นรางวัลของการขอ หา และเคาะ  มีคริสเตียนเป็นจำนวนมากที่ใช้ชีวิตโดยไม่รู้สึกว่า ต้องขอหาหรือเคาะ เพราะเขามีบริบูรณ์ เขาลืมไปว่า ในชีวิตจริงของเรานั้น ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่เราทำเองไม่ได้ หากเราเข้าเฝ้าพระเจ้าบ่อยเข้า เราจะตระหนักเรื่องนี้ชัดเจน
ดังนั้นคนใดที่มีความทุกข์ยาก ต้องการพระเจ้า ต้องการความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงมีพระสัญญานี้ให้ไว้  ยิ่งเรามีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระเจ้ามากเพียงไร เราจะได้สิ่งที่เหนือกว่าที่เราขอ นั่นคือ เราได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่ทรงยิ่งใหญ่สุดในจักรวาล! 
มัทธิว 7:9-12
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่มีน้ำพระทัยดีเลิศ ทรงเตรียมทุกอย่างไว้ให้เราเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ อากาศ แสงแดด น้ำ ฝน อาหาร  คิดดูดี ๆ ว่า พระเจ้าทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าเสมอ พระองค์ทรงดียิ่งกว่าพ่อแม่ที่แสนรักเรา ทรงเห็นทุกอย่างล่วงหน้า ทรงรู้แล้วว่า เราต้องการสิ่งใด แต่การที่เราทูลขอ ทำให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างขาดความกตัญญูจะได้ตระหนักรู้ว่า สิ่งที่เราได้รับมาในชีวิตไม่ได้มาจากตัวเราเอง แต่มาจากพระบิดาพระเจ้าองค์สูงสุด มัทธิว 7:12
ตรงนี้ พระเยซูทรงย้อนกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้มาเพื่อทำลายพระบัญญัติ แต่เพื่อทำให้สำเร็จ  (มัทธิว 5:17)
คำว่า ดังนั้น คือสิ่งที่พระองค์กล่าวมาทั้งหมด มาสรุปตรงนี้ว่า สิ่งที่สมควรทำคือ ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่เราอยากให้เขาทำต่อเรา ( เลวีนิติ 19:18 คือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง)  ข่าวดีคือ สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน ไม่ใช่ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ต้องเป็นนิสัยใจคอที่ทั้งมาจากพระเจ้า และความตั้งใจของเราด้วย
 มัทธิว 7:13-14 ทางสองเส้น
คำสอนของพระเยซูนี้ ไม่ได้แค่กล่าวถึงชีวิตในปัจจุบัน แต่เป็นการบอกถึงชีวิตข้างหน้า ในอนาคต ในวันของพระเจ้า  เราจะเห็นประตูสองแบบ ทางสองทาง คนจำนวนน้อยและมาก ชีวิตและหายนะ  และคนที่ไปสู่หายนะก็มีมากกว่า เพราะพวกเขาเลือกประตูกว้างและทางกว้างที่เปิดโอกาสให้ทำตามใจตนเอง จะคิดวิปริตอย่างไรก็ได้ แต่ประตูแคบและทางแคบนั้น เดินยากกว่า ต้องตามพระเจ้า และไม่ตามใจตัวเอง มีแผ่นดินสวรรค์เป็นเป้าหมายในใจ เดินเลียนแบบองค์พระเจ้า (โคโลสี  3:1-2) และมั่นใจว่า จะได้พบจุดหมายที่เป็นชีวิตนิรันดร์ 
มัทธิว 7:15-20  ต้นไม้สองแบบ
สำหรับคนที่กำลังฟังพระเยซูอยู่นั้น เขาอยู่ในสังคมที่ศาลาธรรม ธรรมาจารย์ ฟาริสี สะดูสีเป็นใหญ่ในเรื่องฝ่ายวิญญาณ และยังเป็นใหญ่บางส่วนในทางการเมืองด้วย  ประชาชนเองต้องรู้จักดูผลของชีวิตคนที่สอนเขาว่า มีผลออกมาอย่างไร เขาก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร
เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-11 สอนว่ามีคนเผยพระดำรัสเท็จอยู่ในสังคมที่ประชาชนเองต้องรู้จักสังเกต และไม่ติดตามพวกเขา เพราะคนเหล่านี้หวังประโยชน์และพยายามให้คนเลิกติดตามพระเจ้า ผู้เผยพระดำรัสเท็จเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสามารถทำให้ผู้ที่เชื่อมั่นคงในพระเจ้าหลงไปได้ด้วย ทำให้สูญเสียชีวิตนิรันดร์ สูญเสียองค์พระเจ้าไปจากชีวิต 
มัทธิว 7:21-23 คำกล่าวอ้าง
ในวันของพระเจ้านั้น เราจะพบคนที่เอาแต่พูดเรื่องพระเจ้า  กับคนที่ลงมือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนสองแบบนี้จะได้รับผลจากการตัดสินของพระเจ้าแตกต่างกัน  การเป็นครูสอนคนอื่น แต่ตนเองไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น รับผลที่น่ากลัว
สังเกตด้วยว่า ตอนนี้พระเยซูกล่าวถึงพระบิดาว่า ทรงเป็น “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”
พระเยซูตรัสว่า หลายคน!! ทูลต่อพระบิดาว่า เขาได้ประกาศพระนาม ขับผี ทำการอัศจรรย์ ในพระนามของพระองค์ แต่ทำไมพระองค์ตรัสตอบว่า “เราไม่รู้จักเจ้า”?  พวกเขาจะถูกขับออกไปให้พ้นพระพักตร์!!   คนที่เป็นอาจารย์ที่สอนผิดจะเจอกับเหตุการณ์นี้ 
มัทธิว 7:24-27 คนสร้างบ้านสองแบบ
สองข้อก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของการพูดกับการลงมือทำ ส่วนคำอุปมาสั้น ๆ เรื่องการสร้างบ้าน เป็นเรื่องของการ   ฟังแล้วลงมือทำแบบที่ต่างกัน 
ตอนนี้พระเยซูทรงกล่าวถึงคนที่ได้ยิน “คำของเรา”  แล้วทำตามก็เป็นคนฉลาดเหมือนคนสร้างบ้านบนพื้นที่แข็งแรงกับอีกคนที่ฟังแล้วไม่ทำตามก็เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้านบนฐานที่อ่อนแรง
นั่นคือ คนที่ยินคำของพระเยซู และทำตาม เป็นคนที่วางใจในพระเยซูผู้ทรงเป็นดั่งศิลาที่แข็งแกร่ง สร้างชีวิตบนพระคำของพระองค์ ติดตามใกล้ชิด คนนั้นคือคนที่สร้างบ้านบนศิลา
ส่วนอีกคนที่สร้างชีวิตบนคำคม ติดตามความคิดของคนในโลกที่ระบาดอยู่ทั่วไป ชีวิตขึ้นอยู่กับความเห็นของคนนั้น คนนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นบนพระคำ ก็คือคนที่สร้างบ้านบนทรายนั่นเอง .. เมื่อเจอพายุของชีวิต ก็ยากที่จะแก้ไข เราจึงเห็นคนมากมายที่ขาดศิลาอันมั่นคง ทำลายชีวิตตัวเอง และบางคนถึงกับฆ่าตัวตายไปเพราะหาทางออกไม่ได้
มัทธิว 7:28-29 คำตรัสของพระเยซูไม่ได้เป็นเหมือนของฟาริสี ธรรมาจารย์ที่พยายามสั่งสอนให้คนทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่เป็นคำสอนสำหรับคนที่รับแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ส่งผลมายังการกระทำ  พระองค์ตรัสเสมอ  เรากล่าวแก่เจ้าว่า …. 

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:1-2
2* ลูกา 6:38
3* ลูกา 6:41
5* ลูกา 6:42
6* สุภาษิต 9:7-8
7* มาระโก 11:24
8* สุภาษิต 8:17
9* ลูกา 11:11
11* ปฐมกาล 6:5; 8:21

12* ลูกา 6:31;
13* ลูกา 13:24
14* ลูกา 13:23-30
15* 1 ยอห์น  4:1
16* มัทธิว 7:20; ลูกา 6:43
17* มัทธิว 12:23
18* กาลาเทีย 5:17
19* ยอห์น 15:2, 6
20* มัทธิว 7:16

21* ลูกา 6:46 ; โรม 2:13
22* กันดารวิถี 24:4
23* 2 ทิโมธี 2:19; สดุดี 5:5; 6:8
24* ลูกา 6:47-49
25* ยากอบ 1:12; สดุดี 125:1-2
26* ลูกา 6:49; เยเรมีย์ 8:9
27* มัทธิว 13:19-22
28* มัทธิว 13:54
29* ยอห์น 7:46

มัทธิว 6 ทัศนคติที่แตกต่าง

 เรื่องของการให้

1 จงระวัง เมื่อเจ้าทำดี อย่าทำต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้พวกเขาเห็น หากเจ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ 
2  ดังนั้น เมื่อเจ้าให้ของแก่คนยากจน อย่าทำตัวเหมือนพวกที่หน้าซื่อใจคด พวกเขามักเป่าแตรในศาลาธรรม ตามถนนเพื่อคนจะได้เห็นและชื่นชมตัวเขา เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รางวัลไปแล้ว
3 ดังนั้น เมื่อเจ้าให้แก่คนยากคน
อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร 
4 เจ้าควรให้แก่ผู้อื่นอย่างลับ ๆ  พระบิดาของเจ้าทรงเห็นสิ่งที่เจ้าทำเป็นการลับจะทรงให้รางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสอนเรื่องการอธิษฐาน

5 เมื่อเจ้าอธิษฐาน อย่าทำตัวเหมือนคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาชอบยืนในศาลาธรรม และตามมุมถนน และอธิษฐานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว
6 เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าควรเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของเจ้าผู้ที่ไม่มีใครเห็นได้  พระบิดาทรงเห็นว่าเจ้าได้ทำอะไรในที่ส่วนตัวนั้น และพระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า
7 “และเมื่อเจ้าอธิษฐานอย่าทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการพูดซ้ำไปซ้ำมา จะเป็นคำที่ได้ยิน
8 อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะพระบิดาของเจ้าทรงรู้ถึงความจำเป็นของเจ้าก่อนที่เจ้าจะทูลขอ

ทรงสอนเรื่องการอธิษฐานต่อพระบิดา

9 ดังนั้นเมื่อเจ้าอธิษฐาน ควรอธิษฐานอย่างนี้ว่า
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์

10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
 ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์

11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย  12 ขอทรงอภัยบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้อภัยให้แก่คนที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
13 ขออย่าทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยกู้ให้พ้นจากมารร้าย 
(ราชอาณาจักร ฤทธานุภาพ และพระเกียรติสิริตระการเป็นของพระองค์เป็นนิตย์ อาเมน)


14 เพราะหากเจ้ายกโทษให้กับผู้อื่นที่ทำผิดต่อเจ้า พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะทรงยกโทษให้เจ้าเช่นกัน
15  แต่หากเจ้าไม่ยกโทษให้ผู้อื่น พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ก็จะไม่ยกโทษบาปเจ้าเช่นกัน
 
ทรงสอนเรื่องการนมัสการพระเจ้า
16 เมื่อเจ้าอดอาหาร (เพื่ออธิษฐาน) อย่าทำหน้าเศร้า หดหู่เหมือนกับคนหน้าซื่อใจคด  พวกเขาทำหน้าดูเศร้าหมองเพื่อให้คนรู้ว่า กำลังอดอาหารอยู่  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รับรางวัลของเขาไปแล้ว 
17 ดังนั้นเมื่อเจ้าอดอาหาร จงพรมน้ำมันบนหัวของเจ้าและล้างหน้า
18 ใคร ๆ จะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังอดอาหารอยู่ แต่พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในที่ลี้ลับทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ พระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ

 19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองในโลกซึ่งแมลงและสนิมทำลายได้ และโจรสามารถบุกเข้ามาและฉกชิงเอาไปได้
20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ซึ่งไม่อาจถูกทำลายโดยแมลงหรือสนิม และโจรไม่อาจบุกเข้าไปและฉกชิงเอาไปได้
21 ทรัพย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย    

ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

22 ดวงตาเป็นดั่งตะเกียงของร่างกาย หากสุขภาพดวงตาของเจ้าดี ร่างกายก็จะเต็มด้วยความสว่าง
23 แต่หากสุขภาพดวงตาไม่ดี ชั่วร้าย ร่างกายก็จะเต็มด้วยความมืด และหากแสงเดียวที่เจ้ามีเป็นความมืดแล้ว ความมืดในตัวเจ้าจะมืดมนเพียงไหน!

24 ไม่มีใครสามารถเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้จริง เขาจะเกลียดนายคนหนึ่ง และรักอีกคน หรือจะสวามิภักดิ์ต่อนายคนหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกคน ดังนั้น เจ้าจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและความมั่งคั่งพร้อมกันไม่ได้ 


อย่ากังวลไป
25 “ดังนั้น เราขอบอกเจ้าว่า อย่าเป็นกังวลเรื่องอาหารหรือน้ำที่จำเป็นเพื่อต่อชีวิต หรืออย่ากังวลเรื่องเสื้อผ้าที่เจ้าต้องการ ชีวิตนั้นมีค่ายิ่งกว่าอาหารและร่างกายก็สำคัญกว่าเสื้อผ้า
26 จงพิจารณาดูนกในอากาศ มันไม่หว่าน ไม่เก็บเกี่ยวหรือสะสมอาหารในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน  และเจ้าก็รู้ว่า ตัวเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกทั้งหลาย
27 มีใครในพวกเจ้าที่สามารถต่อชีวิตให้ยืนยาวไปอีกสักศอกด้วยความวิตกกังวลเล่า?
28 “แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงดูว่าดอกพลับพลึงในทุ่งหญ้างอกงามขึ้นอย่างไร  มันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย


29 แต่เราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่ในความสง่างามสูงส่งของกษัตริย์โซโลมอน ก็ยังไม่ได้งามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
30 หากพระเจ้าทรงตกแต่งดอกไม้ในทุ่งซึ่งมีชีวิตวันนี้ แต่วันต่อมาจะถูกโยนเผาไฟ  พระเจ้าจะไม่ทรงตกแต่งเจ้ายิ่งกว่านั้นอีกหรือ โอ.. เจ้าคนที่มีความเชื่อน้อยนิด

31 อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร?’  หรือ ‘เราจะดื่มอะไร?’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’
32 เพราะคนที่ไม่รู้จักพระเจ้านั้น ต่างตามหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงรู้ว่าเป็นความจำเป็นของเจ้า
 
33 จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และพระประสงค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะประทานสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าเอง
34 ดังนั้นเจ้าต้องไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีสิ่งที่วันพรุ่งนี้ต้องดูแล  แต่ละวันก็มีเรื่องทุกข์ร้อนใจพอเพียงแล้ว   

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 6:1-4
ความคิดเรื่องการให้ของพระเยซูแตกต่างจากโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะใคร ๆ ก็อยากดูดี เป็นคนใจกว้าง เมตตาต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงมีการให้แบบที่โด่งดัง มีวิธีการสร้างอีเวนท์ให้ผู้คนได้เห็นว่า กลุ่มของฉัน ครอบครัวของฉัน ตัวฉัน ทำอะไรเพื่อใครบ้าง ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งเห็นชัดแจ้งว่า ใครได้รางวัลจากโลกไปแล้ว
ในโลกโบราณนั้นการให้ของแก่คนยากจนเป็นความดีที่ทุกคนยกย่อง และก็มีคนโอ้อวด แต่พระเจ้าให้เราทำในที่คนไม่เห็น เราไม่ต้องบอกใคร แต่พระเจ้าทรงเห็น ดังนั้น พระองค์จะทรงเป็นผู้ประทานรางวัล
น่าเสียดายที่คนช่างอวดจะได้รับรางวัลที่อาจมีความสุขในวันที่ได้ แต่ไม่นานทุกคนก็จะลืมไป ต่างจากรางวัลที่พระเจ้าประทานซึ่งยั่งยืนเป็นนิตย์
**คำ “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า” ในภาษาเดิมว่า อาเมน

มัทธิว 6: 5-8
เรื่องการทำดีอีกเรื่องคือการอธิษฐานต่อพระเจ้า คนที่หน้าซื่อ ๆ แต่ใจคดนั้น ชอบประกาศตัวให้รู้ว่า เขาอธิษฐานอย่างไรบ้าง ดังนั้นวิธีการของพวกเขาคือ ต้องไปยืนในศาลาธรรม ตามมุมถนนให้คนได้เห็น ได้ชื่นชม
แต่พระเจ้าทรงให้เราอธิษฐานโดยไม่มีใครเห็น .. พระองค์ทรงเห็น และทรงสัญญาประทานรางวัลให้ เรื่องนี้สุดยอดเลย เมื่อเราอธิษฐานส่วนตัว แม้จะเป็นคนเดียว พระเจ้าก็ทรงตอบ
อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าอธิษฐานแบบสวด กล่าวคำซ้ำ ๆ ที่คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์มีพลัง เพราะนั่นไม่ใช่พลังแต่กลับเป็นคำซ้ำที่ไร้ความหมาย พลังมาจากการอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาจาก การอธิษฐานอย่างร้อนรน (ยากอบ 5:16, โรม 8:26-27)

มัทธิว 6:9-13
คำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวกนั้น แบ่งเป็นสองตอนสำคัญ ช่วงแรกเป็นการมุ่งที่องค์พระเจ้าพระบิดา ช่วงที่สองเป็นเรื่องของพวกเรา
พระเยซูทรงสอนให้เรามุ่งใจไปที่พระเจ้าก่อนตนเอง เริ่มต้นด้วยคำว่า พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้กล่าวว่า พระบิดาของฉัน (คนเดียว) พระเยซูทรงให้เรารู้ว่า คนทั้งโลกที่เชื่อในพระองค์นั้น เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์ คือขอให้ทุกคนในโลกนี้ได้เคารพพระนามของพระองค์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนควรจะเคารพพระนามยิ่งใหญ่นี้
ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ เมื่อไรที่พระเมสสสิยาห์คือพระเยซูทรงมาครองครอง เท่ากับแผ่นดินนั้นมาตั้งในโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นคำอธิษฐานดังกล่าวจะสำเร็จ นั่นหมายความถึงพระองค์ทรงปราบบาปทั้งสิ้นให้หมดไป ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์
ตอนนี้พระเยซูประทับในสวรรค์
ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
ต่อมาเป็นคำของเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการเลี้ยงดูของพระเจ้า
คือ อาหารประจำวัน การที่พระเจ้าจะทรงชำระบาปทั้งสิ้น (โดยที่มีเงื่อนไขว่า เราได้อภัยคนที่ทำผิดต่อเราด้วย เรื่องนี้ต้องสำคัญมากเพื่อจะไม่มีอะไรมาขัดขวางคำอธิษฐานของเรา เพราะบาปสามารถกั้นคำอธิษฐานของเราได้ อิสยาห์ )
คำขอสุดท้ายเป็นการขอเพื่อพระเจ้าจะทรงให้เราพ้นจากศัตรูที่คอยวนเวียนพยายามจับคนที่มันจะกัดกินได้ เรื่องนี้ เราควรอธิษฐานทั้งเผื่อตนเองและเพื่อน ๆของเราที่อาจถูกมารรังควาญ เผื่อเด็กเล็ก ๆ ที่เขาจะพ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พวกเขาเจอระหว่างอยู่ที่โรงเรียน อยู่กับเพื่อน
จบคำอธิษฐาน
แล้วจบคำอธิษฐานด้วยการยกย่องพระเจ้า ให้เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ตระการของพระองค์

มัทธิว 6:14-15
เรื่องการยกโทษเป็นสิ่งที่ทำแสนยากแสนเย็น เพราะเมื่อใครทำผิดต่อเรา เราก็มักคิดซ้ำย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเขาทำไม่ดี เขาตั้งใจ เขาไม่ซื่อฯลฯ แต่พระเจ้าทรงให้เราลืม และยกโทษให้ ไม่หาทางแก้แค้น แต่ลืมไป แถมยังสอนให้เราอธิษฐานเผื่อเพื่อเขาจะได้สิ่งดีที่สุด (มัทธิว 5:44)

มัทธิว 6:16-18
จะอดอาหารอธิษฐานก็อย่าไปทำให้ใครเขารู้ แน่นอนมีบางครั้งที่เราทำการอธิษฐานอดอาหารเป็นกลุ่มเพื่อรวมพลังเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ไม่ว่าจะทำเดี่ยวหรือทำกลุ่ม แรงจูงใจข้างในนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมองพระเยซูถึงกับบอกให้เราแต่งตัว ทำผม พรมน้ำมันให้ดูดี เป็นการปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่า เรากำลังอดอาหารอธิษฐานอยู่

มัทธิว 6:19-21
เรื่องทรัพย์สมบัติ การที่บอกว่า อย่าสะสม.. หมายถึงอย่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในชีวิต แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราทำแล้วมีรางวัลจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะใจเราให้ความสำคัญกับสิ่งใด เราก็จะหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น
การรักเงินทองเป็นรากแห่งความชั่วสารพัด (1 ทิโมธี 6:10) และยากอบก็ได้เตือนว่าวันหนึ่งคนมั่งมีจะพบวิบัติแบบที่หายนะเกิดขึ้นกับทรัพย์แสนรักของพวกเขา และสิ่งเปล่านั้นจะเป็นหลักฐานว่า เขาใช้ชีวิตในโลกแบบไหน (ยากอบ 5:1-3)
อีกด้านของการสะสมทรัพย์นี้คือ ความตระหนี่ที่ไม่ยอมแบ่งให้ใคร การที่ใครคนหนึ่งมีมากมาย ก็เพื่อเอื้อเฟื้อกับคนอื่นด้วยวิธีต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้เปล่า การสร้างงาน การสร้างคนมีคุณภาพ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอย่างเป็นสุข มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:24
การเลือกระหว่างสองนาย ก็เหมือนการเลือกระหว่างทรัพย์ในโลกกับทรัพย์ในสวรรค์ เหมือนกับการเลือกสว่างหรือมืด (ความมั่งคั่งที่ว่านี้ ในภาษาเดิมเรียก มาโมนา  μαμωνᾶ หมายถึงความร่ำรวย เงิน ทรัพย์สมบัติ ) เราทุกคนต้องเลือกว่าจะรับใช้ใครให้ชัดเจน การมีสองใจพระเจ้าไม่รับ

มัทธิว 6:25-26
ข้อนี้ต่อมาจากเรื่องการที่เราต้องเลือกพระเจ้าองค์นิรันดร์ เหนือการตามหาทรัพย์สมบัติที่แมลงแทะกินได้ พระเยซูทรงบอกให้เราไม่ต้องกังวลกับการเลี้ยงชีวิต นี่ไม่ได้หมายความว่า เราอยู่เฉย ๆ แต่พระเจ้าทรงให้เราทำงานพร้อมไปกับการไว้วางใจพระองค์ นกในอากาศออกไปหาหนอนก็จริง แต่มันก็อยู่ใต้การเลี้ยงดู การจัดหาของพระเจ้า (สดุดี 147:9)

มัทธิว 6:27-28
คนบางคนไม่เข้าใจว่า ความกังวลเป็นเหมือนตัวร้ายที่กัดกร่อนใจที่มั่นคงของเรา มันเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นเพื่อน ทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาล้วนสร้างความกังวลใจได้ทั้งสิ้น ผู้คนที่ฟังพระเยซูอยู่นั้น เป็นคนยากจน ไม่ใช่แค่หาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีขอทาน แม่ม่ายที่ขาดคนเลี้ยงดู พระเยซูทรงบอกเขาชัดเจนว่า พวกเขามีความหมายต่อพระเจ้า ทรงดูแลนก ทรงดูแลดอกหญ้าที่ขึ้นตามทุ่ง จะทรงดูแลพวกเขายิ่งกว่านั้นอีก!

มัทธิว 6:29-30
สำหรับพระเยซูแล้ว ดอกไม้นี้ยังสวยกว่าความสง่างามขององค์กษัตริย์ที่ทรงเครื่องแต่งกายเต็มยศ คนที่ฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไรกับคำตรัสนี้ กษัตริย์ยังไม่งามเท่าและถ้าเรามองแบบคนสมัยใหม่ ในระดับไมโครแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่านอกจากความความภายนอกแล้ว ความละเอียดซับซ้อนของโครงสร้างดอกไม้ภายในนั้นงดงามจริง ๆ เป็นงานศิลปะที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้เลย
ดอกไม้ในทุ่งที่คนไม่เห็นค่า มีอายุแสนสั้น แต่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้ายังทรงตกแต่งมันอย่างงดงาม พระเจ้าจะทรงตกแต่งคนที่รักพระองค์ให้งามยิ่งกว่า และอย่าลืมว่าความงามดังกล่าวไม่ใช่แบบแฟชั่น ตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นความงามที่พระเจ้าทรงปรุงแต่งให้ เป็นความงามที่ยั่งยืน

มัทธิว 6:31-32
มีคนบอกว่า จะหมดความกระวนกระวายได้ก็คือ ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้รู้ว่า พระเจ้าทรงจัดหาให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต่างมีคำพยานเรื่องการจัดหาของพระองค์เสมอมา

มัทธิว 6:33-34
แล้วพระเยซูทรงจบด้วยเคล็ดลับสำคัญคือ ในแต่ละวันให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และนำ้พระทัยของพระเจ้าก่อน นั่นคือ ให้พระองค์ได้ตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ ให้เราได้นมัสการพระองค์ ขอบพระคุณตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่จะออกไปทำอะไร เป็นความเรียบง่ายที่หากทำทุกวันแล้ว เราก็จะมีวินัยที่ดีในการแสวงหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมทั้งปัญญา ความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ทุกด้าน ดีเกินความคาดหมายของเราเสียด้วยซ้ำ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 23:5 
2* โรม 12:8 ;มัทธิว 6:5
3* ยอห์น 7:4
4* ลูกา 14:12-14; เยเรมีย์ 17:10
5* ลูกา 18:10-11
6* มัทธิว 14:23
7* ปัญญาจารย์ 5:2; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:26
8* โรม 8:26
9* ลูกา 11:2-4; มัทธิว 5:9, 16; มาลาคี 1:11 
10* มัทธิว 26:42
11* สุภาษิต 30:8

12* มัทธิว 18:21
13* 2 เปโตร 2:9; ยอห์น 17:15
14* มาระโก 11:25
15* มัทธิว 18:35
16* อิสยาห์ 58:3-7
17* รูธ 3:3
18* มัทธิว 6:4, 6
19* สุภาษิต 23:4
20* มัทธิว 19:21
21* โคโลสี 3:1-3
22* ลูกา 11:34-35

23* 1 ยอห์น 2:11
24* ลูกา 16:9, 11, 13
25* ลูกา 12:22
26* ลูกา 12:24
27* ลูกา 12:25-26
28* มัทธิว 6:25
29* 2 พงศาวดาร 9:20-22
30* ลูกา 12:28
31* 1 เปโตร  5:7
32* มัทธิว 6:8
33* 1 ทิโมธี 4:8

มัทธิว 6

มัทธิว 5 ชีวิตแบบแผ่นดินสวรรค์

Mt 5 1

1 เมื่อพระเยซูทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงขึ้นไปบนภูเขา ประทับนั่งลง เหล่าศิษย์ก็มาหาพระองค์
 2 และพระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาดังนี้ 

ความสุขของผู้ที่ติดตามพระเจ้า

3 ความสุขเป็นของคนที่รู้ว่า
จิตวิญญาณของตนเองยังบกพร่องอยู่ 
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 
4 ความสุขเป็นของคนที่เศร้าโศก
เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบใจ
5 ความสุขเป็นของคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก

6ความสุขเป็นของคนที่หิวกระหายอยากที่จะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะเขาจะได้อิ่มเต็มที่
7 ความสุขเป็นของคนที่มีใจเมตตา
เพราะเขาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน
8 ความสุขเป็นของคนที่ใจบริสุทธิ์
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 

9 ความสุขเป็นของคนที่สร้างสันติ
เพราะเขาจะได้ชื่อว่า เป็นลูกของพระเจ้า 
10 ความสุขเป็นของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
11 ความสุขเป็นของเจ้าเมื่อใคร ๆ ดูหมิ่นเจ้า ข่มเหงเจ้า
และกล่าวใส่ร้ายเจ้าเนื่องจากเรา
12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของเจ้านั้นมีมากมายในสวรรค์
เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มาก่อนหน้าเจ้าเช่นกัน 

เกลือ เมือง และแสงสว่าง

13 เจ้าทั้งหลายเป็นเกลือของแผ่นดินโลก แต่หากเกลือขาดรสชาติไปแล้ว
จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร?
เกลือนั้นจะไร้ประโยชน์นอกเสียจากจะโยนทิ้งไปให้คนเดินเหยียบย่ำ

14 เจ้าทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งบนภูเขาไม่อาจถูกปกปิดไว้ได้

 

15 เช่นเดียวกับคนที่จุดตะเกียง เขาจะไม่วางตะเกียงไว้ใต้ตะกร้า
แต่จะวางไว้บนที่ตั้ง เพื่อให้แสงส่องไปให้ทุกคนในบ้าน 
16 เช่นเดียวกัน จงให้ความสว่างของเจ้าส่องให้คนทั้งหลายได้เห็น
เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของเจ้า และสรรเสริญพระบิดาของเจ้าผู้ประทับในสวรรค์


บัญญัติที่สำเร็จ

17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างบัญญัติหรือคำของผู้เผยพระดำรัส เรามิได้มาเพื่อล้มเลิกสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อทำให้สำเร็จ
18 เพราะเราบอกความจริงแก่เจ้าว่า 
จนกระทั่งวันที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจะสิ้นสุดไป(ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินยังคงอยู่)จะไม่มีตัวหนังสือเล็ก ๆ หรือสักขีดเดียวที่จะหายไปจากบัญญัติจนกว่าทุกสิ่งสำเร็จตามที่บันทึกไว้

 


19 ดังนั้น ใครก็ตามที่ละเมิดบัญญัติแม้เป็นข้อเล็ก ๆ ข้อหนึ่งข้อใด และสอนให้คนอื่นทำเช่นนั้นด้วย จะถูกเรียกว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ 
20 เราบอกเจ้าว่า
หากความดีของเจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีแล้ว
เจ้าจะไม่มีวันที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้เลย 


โกรธกับคืนดี 

21 เจ้าเคยได้ยินคำที่สอนในสมัยโบราณว่า ’อย่าฆ่าคน’
และ ‘ผู้ใดฆ่าคนจะถูกพิพากษาลงโทษ 
22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของเขาจะต้องได้รับการพิพากษา 
เช่นกัน ผู้ใดกล่าวกับพี่น้องว่า
‘เจ้าไม่มีค่า!’
จะถูกพิพากษาที่สภาแซนเฮอดริน
แต่คนใดที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่!’ จะต้องเจอกับไฟนรก

23 ดังนั้น หากเจ้ากำลังจะถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและจำได้ว่า มีพี่น้องที่ยังมีเรื่องค้างคากับเจ้า 
24  ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่แท่นบูชา และไปคืนดีกับเขาก่อน
แล้วจึงกลับมาถวายเครื่องบูชาของเจ้า

25 จงตกลงกับฝ่ายตรงข้ามของเจ้าระหว่างทางที่ไปศาลโดยเร็ว
เพื่อว่าเขาจะไม่ส่งตัวเจ้าให้กับผู้พิพากษาเพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ซึ่งจะโยนเจ้าเข้าเรือนจำ
26 เราบอกความจริงเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้ออกมาเป็นอิสระ
จนกว่าเจ้าจะจ่ายคืนเงินแม้สตางค์สุดท้ายทั้งหมดเสียก่อน

การล่วงประเวณี

27 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’
28 แต่เราขอบอกเจ้าว่า หากใครคนหนึ่งมองผู้หญิงด้วยใจใคร่ในตัวเธอ
ก็ได้ล่วงประเวณีกับเธอในใจของเขาแล้ว 


ดวงตาขวาและมือขวา

29 หากดวงตาข้างขวาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาปก็จงควักมันออกมา และโยนทิ้งไปเพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะบางส่วนไปแทนที่ร่างกายทั้งร่างจะถูกโยนลงในนรก 
30 และหากมือขวาของเจ้าทำให้ทำบาป ก็จะตัดมันออกทิ้งไป
เพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปแทนที่จะเสียงทั้งร่างกายลงไปในนรก

การหย่าร้าง


31 ยังมีคำกล่าวว่า ‘ใครที่หย่าภรรยาของตนจะต้องมอบใบหย่าให้’ 
32 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยา
ยกเว้นการผิดศีลธรรมทางเพศ เท่ากับทำให้เธอเป็นคนผิดประเวณี
และคนที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้ว ก็ผิดประเวณีด้วย 

คำปฏิญาณและคำสัญญา


33 พวกเจ้าได้ยินคำที่กล่าวในสมัยโบราณว่า‘อย่าเสียคำสัญญา แต่จงทำตามสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ’
34 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าสาบานเลย
ไม่ว่าจะสาบานต่อสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า 
35 หรือสาบานต่อแผ่นดินโลก
เพราะนั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า
หรือสาบานต่อนครเยรูซาเล็ม เพราะนครนี้เป็นนครขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 
36 และเจ้าก็ไม่ควรสาบานด้วยหัวของเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถทำให้ผมของเจ้าขาวหรือดำไปได้
37 จงให้คำว่าใช่ เป็นใช่ และคำว่าไม่ เป็นไม่ตามจริง สิ่งที่พูดเกินมาจากนั้นมาจากมารร้าย

กฎใหม่เมื่อถูกกระทำ


38 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’
39 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าไปสู้กับคนชั่ว
ถ้าใครตบแก้มขวาของเจ้า ก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย
40 หากใครยื่นฟ้องเจ้า และเอาเสื้อชั้นในของเจ้าไป ก็จงให้เสื้อนอกไปด้วย 
41 และหากมีใครบังคับให้เจ้าเดินไป 1 กิโลเมตร ก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร
42 จงให้ แก่คนที่ขอจากเจ้า และอย่าเมินหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากเจ้า

รักศัตรูและดีพร้อม


43 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า’ และ ‘จงเกลียดชังศัตรูของเจ้า’ 
44 แต่เราบอกเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเจ้า 
45 เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นลูก ๆ ของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ 
เพราะพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ส่องแสงให้กับทั้งคนชั่วและคนดี และทรงส่งฝนให้กับทั้งคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม
46หากเจ้ารักเพียงคนที่รักเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลหรือ?เหล่าคนเก็บภาษี  ก็ทำอย่างนั้นมิใช่หรือ? 
47 และหากเจ้าทักทายเฉพาะพี่น้องของเจ้าเจ้าได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น ๆ เล่า?
แม้แต่คนต่างชาติก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ?
48 ดังนั้น เจ้าจงเป็นคนที่ดีพร้อมทุกด้านเหมือนอย่างที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อมทุกประการ 


อธิบายเพิ่มเติม



มัทธิว 5:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงเตือนว่า ให้กลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว และพระองค์ก็ทรงอธิบายให้รู้ว่า ชีวิตที่วางใจ กลับใจเชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างไร ผู้คนที่เข้ามาฟัง ก็ตั้งใจฟังมาก พวกเขาฟังแล้วก็เชื่อ เพราะพระองค์ทรงสอนต่างจากธรรมจารย์ในศาลาธรรมที่สอนเอาแต่ให้พวกเขาประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่าง ๆ มากมาย พวกเขาเห็นเลยว่า พระองค์ไม่เหมือนธรรมาจารย์เหล่านั้น (มัทธิว 7:28)

มัทธิว 5:3-12
ผู้ที่มาฟังพระเยซูส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองที่ยากจน พวกเขาถูกควบคุมความคิดโดยเหล่าธรรมาจารย์ และกำลังอยู่ในสภาพเมืองขึ้นของโรมด้วย เมื่อได้ยินคำสอนที่ประหลาด เช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องตั้งใจฟัง และพยายามที่จะเข้าใจ
:3 คนบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าเป็นในศาสนายิว ก็จะถูกดูหมิ่น แต่พระเยซูตรัสว่าจะมีความสุขเพราะแผ่นดินสวรรค์คือ การที่พระเจ้าทรงครอบครองใจ สุภาษิต 3:34 ก็บอกเรามาก่อนหน้าด้วยว่า พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง
:4 คนที่โศกเศร้าเสียใจ ในศาสนายิว ก็จะเสียใจมากขึ้น เพราะถูกทับถม คนไทยเราก็คอยหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีต่าง ๆ แต่กับพระเยซู กลับได้การปลอบใจจากพระเจ้า
:5 คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะยิ่งถูกกดลงมากขึ้น แต่กับพระเยซู พวกเขาจะได้รับเกียรติ เหมือนกับในสดุดี 37:3
:6 คนที่อยากถูกต้องกับพระเจ้า เมื่ออยู่ในศาสนา ก็จะต้องบังคับตน ประพฤติตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามาแสวงหาพระเจ้า เขาจะอิ่มเต็มที่ได้รับอย่างที่ปราถนา ไม่ใช่โดยความพยายามส่วนตัว แต่โดยการใกล้ชิดกับพระเจ้า รับพลังจากพระองค์
:7 คนที่เมตตา ในศาสนายิว ก็จะได้รับการยกย่องจากคน แต่พระเจ้ากลับบอกว่า เขาจะได้รับความเมตตาตอบจากพระองค์
:8 คนใจบริสุทธิ์ ในศาสนายิว จะรู้สึกเป็นคนดี ดีกว่าคนอื่น แต่พระเยซูจะทรงให้เขาได้สัมผัสกับพระเจ้ามากขึ้น รู้จัก เข้าใจพระองค์มากขึ้นทุกวัน
:9 คนที่สร้างสันติ ในหมู่พี่น้อง เป็นคนที่ไม่ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามให้เกิดความปรองดอง ความร่วมมือ ความรักกันและกัน คนแบบนี้ หายากมาก มีที่ไหน เขาก็เหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า
:10-12 เมื่อคนใดก็ตามถูกข่มเหง ซึ่งไม่ใช่แค่ร่างกาย จิตใจ แต่บางครั้งถึงกับชีวิต แต่เขายังทนได้ ไม่ยอมก้มหัวทำผิดต่อพระเจ้า คนเหล่านี้มีรางวัลในสวรรค์รออยู่ และพระเจ้ากลับบอกให้เขายินดี ทั้งหมดนี่เป็นคำสอนบอกทางแห่งความสุขที่แตกต่างจากโลกราวฟ้ากับเหว

มัทธิว 5:13-16
คนของพระเจ้าเป็นเหมือนเกลือที่ทำหน้าที่รักษาไม่ให้เน่าเสีย ให้รสชาติ ซึ่งผู้เชื่อของพระเจ้าจะต้องเป็นคนช่วยรักษาสังคมให้ดี ไม่เน่าเสียไปจากทางของพระเจ้า อีกอย่างที่เกี่ยวกับเกลือ ในอิสราเอลมีเกลือบางอย่างที่ผสมกับแร่ธาตุอื่น ๆ ทำให้ความเค็มหายไปผสมกับแร่อื่น ๆ เหล่านั้น เกลือประเภทนี้เขาเอาไว้เทเป็นทางเดิน
:14และในชีวิตของเขาจะต้องเป็นแสงสว่าง เป็นพยานให้กับคนที่ยังไม่รู้จักแสงสว่างคือ พระเยซูคริสต์
:16 ที่น่าสนใจคือ ใคร ๆ จะเห็นแสงสว่างได้จากการกระทำที่ดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ผลที่ได้คือ เขาจะสรรเสริญพระบิดา ผู้ประทับในสวรรค์

มัทธิว 5:17-20
:17 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงมาเพื่อให้หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จผล รวมทั้งหนังสือผู้พยากรณ์ทั้งหลายด้วย ระบบการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป พระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก
ถ้าเราได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่า ทุกเล่มมีสิ่งที่ชี้ให้เราซึ่งเป็นคนยุคศตวรรษที่ 21 ได้เห็นว่า คำทำนายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นจริงทั้งสิ้น
คำสอนทั้งหลายของพระเยซู ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายคำสอนเดิม แต่เพื่อทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
:18 ความจริงแล้วพระเจ้าทรงยกย่องพระคำของพระองค์มาก ดังนั้นทุกคำเป็นจริง และจะเกิดขึ้นตามที่บอกไว้ ไม่มีพลาดเลย สดุดี 138:2b
เพราะว่า พระองค์ทรงยกพระนามและพระดำรัสของพระองค์ขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด

:19 การเป็นผู้สอนคนอื่น จึงเสี่ยงมากที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์ หากว่า ไปสอนในสิ่งที่ผิดพลาด​…​
:20 ข้อนี้ เหมือนพระเยซูกำลังจะบอกว่า ไม่มีใครที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเพราะความดีได้เลย…แม้กระทั่งธรรมาจารย์และฟาริสี ก็ยังไม่ผ่าน

มัทธิว 5:21-26
:21-22 ต่อไปนี้ พระเยซูจะทรงเริ่มด้วยคำว่า เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า .. แล้วทรงบอกว่า พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนั้น (ทั้งหมดหกเรื่อง) เราจะเห็นว่า การโกรธนั้น เป็นพื้นฐานของการฆ่าคน พระองค์ทรงเริ่มที่ให้เราจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นก่อน คนที่ช่างโกรธจะต้องเจอกับปัญหามากมายตามมา และที่สุดคือไฟนรก แสดงว่า เรื่องความโกรธจนแสดงออกมาเป็นวาจาที่น่ารังเกียจนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องระมัดระวังให้มาก
:23-24 ถ้าจะเข้าเฝ้าพระเจ้า พร้อมกับยังมีปัญหากับพี่น้อง ก็ขอให้จัดการคืนดีเสียก่อน
:25-26 เวลาเจอคดีความ ก็ให้รีบไกล่เกลี่ยก่อนถ้าทำได้ จะได้ไม่เจอกับโทษที่ทำให้ลำบากไปกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:27-28 อย่าลืมว่า ในสังคมยิว การเป็นชู้คือบาปที่หนักหนาสาหัสมาก (อพยพ 20:14) เป็นการละเมิดร่างกายของอีกคน และละเมิดสัญญาการสมรส เป็นการทำลายครอบครัวหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ การสมรสในสายตาของยิวเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลด้วย (มาลาคี 2:14) เหนือไปกว่านั้น พระเยซูตรัสว่า ยังไม่ได้ลงมือกระทำ แค่มองก็ผิดแล้ว!! นั่นหมายถึงว่า เราต้องมีใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่มีสิ่งที่สกปรกแอบอยู่ข้างใน ใครมองไม่เห็นแต่พระเจ้าทรงเห็นหมด! พระเจ้าทรงประสงค์คนที่มีมือสะอาดใจบริสุทธิ์ (สดุดี 24:4) ทรงสั่งให้เรารักษาใจสุดความพยายามเลยทีเดียว (สุภาษิต 4:23)

มัทธิว 5:29-30 พระเยซูตรัสถึงดวงตาขวา มือขวา มีความหมายว่าสำคัญกว่า ดวงตาเป็นตัวสร้างความอยาก มือเป็นตัวลงมือทำ คำว่าควักออกเสีย ตัดออกเสียเพื่อให้เห็นว่า การที่จะมีความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องสละสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้มันนำเราไปสู่ความบาป

มัทธิว 5:31-32
การมีใบหย่าทำให้ผู้หญิงคนที่หย่าแล้วมีสิทธิแต่งงานใหม่ พระเจ้าทรงช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องถูกหย่าโดยไร้เหตุผลที่สมควร สำหรับสังคมโบราณ การมีครอบครัวเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงโบราณจะไม่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนสมัยนี้ เธอจึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดู แสดงว่า เวลานั้นก็มีการหย่าร้างกันไม่น้อย แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสทำให้เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการหย่าร้าง เพราะไม่ควรที่ใครจะให้คนที่สมรสเป็นหนึ่งเดียวกันแยกจากกัน (มาระโก 10:8)

มัทธิว 5:33-37
โมเสสเคยบอกถึงพระบัญชาของพระเจ้าว่า หากใครสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำที่เขาลั่นวาจาไว้ (กันดารวิถี 30:2) แต่พระเยซูทรงสอนว่า ไม่ให้สาบาน อ้างโน่นอ้างนี่ แต่ให้พูดด้วยความจริง ทุกอย่าง

มัทธิว 5:38-42
:38 มีกฎการตัดสินความว่า ให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน ในเฉลยธรรมบัญญัติ 19:20 เพื่อให้การลงโทษนั้นเหมาะกับความผิด (ซึ่งเป็นกฎสำหรับการปกครอง การตัดสินความของผู้มีอำนาจ) แต่ในจุดนี้ พระเยซูกำลังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝ่ายที่อาจเกิดมีปัญหากันขึ้น
:39 พระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กำลังกล่าวถึงคนสองคนที่มีปัญหากันว่า ควรจะตัดสินอย่างไร สิ่งที่เห็นคือ พระองค์ไม่ให้คนสองฝ่ายแก้แค้นกันและกัน (ในสังคมยิวสมัยก่อนนั้น เวลายิวทะเลาะกันเมื่อไร ก็จะรุนแรงมาก ๆ แถมยังจะเอาคนในครอบครัว หรือตระกูลเข้าไปร่วมการต่อสู้ส่วนตัวด้วย ) เมื่อมีปัญหา ก็ขอให้รีบจบก่อนที่จะลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:43-45
เข้าไปดูคุณรามิน เขาอ่านมัทธิว 5 แล้วพบความแตกต่างจากความเชื่อเดิมของเขา
https://www.youtube.com/watch?v=ShA-bWaW3LU

มัทธิว 5:46-47
คนยิวจะเกลียดคนเก็บภาษีมาก เพราะเป็นลูกน้องโรม มาขูดรีดชาวยิวด้วยกันเอง แต่พระเยซูกลับทรงสอนให้พวกเขา ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี นี่เป็นหัวใจที่ไม่มีอคติ สิ่งที่พระองค์ทรงบอกคนที่ฟังอยู่ และเราทุกคน คือการมองผู้อื่นด้วยสายตาของพระเจ้า พระองค์ประทานสิ่งดีให้กับทุกคน แล้วเราจะทำอย่างนั้นกับคนที่เราคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับ ได้หรือไม่

มัทธิว 5:48
พระเยซูทรงบอกให้ผู้ฟังเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระบิดาในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาทรงแจ้งผ่านพระเยซูให้รู้แล้วว่า อะไรดี อะไรเหมาะ ดังนั้นเมื่อผู้ที่เชื่อพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระดำรัสเท่ากับพวกเขากำลังเดินตามวิถีที่ดีพร้อม.. อาจจะยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กำลังก้าวไป.. และพระวิญญาณทรงเป็นกำลังให้เปลี่ยนแปลง

พระคำเชื่อมโยง

1*  มาระโก 3:13                                                        2* มัทธิว 7:29
3* ลูกา 6:20-23
4* วิวรณ์ 21:4
5* สดุดี 37:11; โรม 4:13
6* ลูกา 1:53; อิสยาห์ 55:1; 65:13
7* สดุดี 41:1
8* สดุดี 15:2;24:4; 1โครินธ์ 13:12
9* ฮีบรู 12:14
10* 1 เปโตร 3:14
11* ลูกา 6:22; 1 เปโตร 4:4
12* 1 เปโตร 4:13, 14; กิจการ 7:52
13* ลูกา 14:34
14* ยอห์น 8:12
15* ลูกา 8:16
16* 1 เปโตร 2:12; ยอห์น 15:8
17* โรม 10:4

บรรณานุกรม

18* ลูกา 16:17
19* ยากอบ 2:10
20* โรม 10:3
21* อพยพ 29:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:17
22* 1 ยอห์น 3:15; ยากอบ 2:20; 3:6
23* มัทธิว 8:4
24* โยบ 42:8
25* ลูกา 12:58-59; อิสยาห์ 55:6
26* มัทธิว 18:34
27* อพยพ 20:14; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:18
28* สุภาษิต 6:25
29* มาระโก 9:43; โคโลสี 3:5
30* มาระโก 9:43
31* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
32* ลูกา 16:18
33* มัทธิว 23:16; เลวีนิติ19:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:23

34* ยากอบ 5:12; อิสยาห์ 66:1
35* สดุดี 48:2
36* ลูกา 12:25
37* โคโลสี 4:638* อพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21
39* ลูกา 6:29; อิสยาห์ 50:6
40* ลูกา 6:29
41* มัทธิว 27:32
42* ลูกา 6:30-34
43* เลวีนิติ 19:18; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:3-6
44* ลูกา 6:27; โรม 12:20; กิจการ 7:60
45* โยบ  25:3
46* ลูกา 6:32
47* ลูกา 6:32
48* โคโลสี 1:28; 4:12; เอเฟซัส 5:1

โรม 2 การพิพากษาอันเที่ยงธรรม

โรม 2:1
ดังนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย หากท่านคิดว่า จะตัดสินกล่าวโทษคนอื่นได้ ก็คิดผิดแล้วเพราะเมื่อท่านกล่าวโทษเขา เท่ากับว่าท่านกำลังกล่าวโทษตนเองด้วย เพราะท่านที่กล่าวโทษคนอื่นนั้น ก็ยังคงกระทำสิ่งเดียวกัน


โรม 2:2-3
และเรารู้ว่า การที่พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษคนที่ทำผิดเช่นนั้นก็สมควรแล้ว มนุษย์เอ๋ย เมื่อท่านกล่าวโทษคนที่ทำผิดเหมือนตัวท่านเอง คิดหรือว่าตนเองจะรอดตัวจากการพิพากษาของพระเจ้าไปได้?

โรม 2:4
หรือว่าท่านดูหมิ่นพระกรุณาคุณความอดกลั้น ความอดทนอันมหาศาลของพระองค์ โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่า พระกรุณาคุณนั้นมีเป้าหมายที่จะนำให้ท่านได้กลับใจ?

โรม 2:5
แต่เป็นเพราะท่านเองดึงดันและยังคงไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงสะสมโทษทัณฑ์ของท่านนั้นให้พอกพูนเตรียมไว้สำหรับวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ในวันนั้น ทุกคนจะเห็นการพิพากษาอันยุติธรรมของพระองค์ 

โรม 2:6-7
พระเจ้าจะตอบแทนทุกคนตามการกระทำของเขา ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับคนที่พากเพียรบากบั่นใช้ชีวิตทำความดี เพื่อตามหาพระเกียรติสิริตามหาเกียรติยศ และชีวิตที่เป็นอมตะ 

โรม 2:8-9
ส่วนคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเชื่อฟังความจริง และหันไปติดตามเชื่อความชั่ว จะได้เผชิญกับการลงโทษ และพระพิโรธจะมีความยากลำบาก และการต้องทนทุกข์ยากกับทุกคนที่ทำความชั่ว
แก่คนยิวก่อน และคนกรีกด้วย

โรม 2:10-11
แต่พระเจ้าจะประทานศักดิ์ศรี เกียรติยศและสันติสุข แก่ทุกคนที่ทำความดี แก่คนยิวก่อน และคนกรีกด้วยเพราะว่า พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง


โรม 2:12
และคนที่ทำบาปจะพินาศ แม้ว่าพวกเขาไม่มีบทบัญญัติ ทุกคนที่ทำบาปโดยมีบทบัญญัติจะถูกพิพากษาด้วยบทบัญญัตินั้น


โรม 2:13-14
เพราะเพียงแต่ได้ยินบทบัญญัติ ไม่ได้ทำให้คน ๆ หนึ่งเป็นคนเที่ยงธรรมได้ แต่คนที่ฟังทำตามบทบัญญัติต่างหากที่ถูกนับว่า เป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อคนต่างชาติที่ไม่มีบทบัญญัติ ได้ทำตาม
กฎในจิตสำนึกของเขา เขามีกฎของตนเอง แม้ว่าไม่มีบทบัญญัติ

โรม 2:15-16
พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่า บทบัญญัติถูกจารึกไว้ในใจพวกเขาอยู่แล้ว เพราะมโนธรรมของเขาเป็นพยาน และความคิดที่ขัดแย้งในใจก็จะเป็นตัวกล่าวหาหรือปกป้องเขาในวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับในใจมนุษย์ ตามข่าวประเสริฐที่ข้าประกาศผ่านองค์พระเยซูคริสต์


โรม 2:17-19
แล้วท่านล่ะ? ท่านเรียกตัวเองว่าเป็นยิววางใจในบทบัญญัติของโมเสสและอวดว่าท่านใกล้ชิดพระเจ้า รู้จักพระประสงค์ของ
พระเจ้า และเห็นด้วยกับสิ่งที่สำคัญเหนือกว่า เพราะท่านได้เรียนรู้จากบทบัญญัติ​ท่านคิดว่า ท่านเป็นคนนำทางคนตาบอด เป็นสว่างให้กับเหล่าคนที่อยู่ในความมืด


โรม 2:20-21
ท่านคิดว่า ท่านจะบอกให้คนโง่เขลารู้ว่าอะไรถูกต้อง และยังเป็นครูสอนเด็ก ๆ การที่ท่านมีบทบัญญัติทำให้ท่านคิดว่า ท่านรู้ทุกสิ่ง และมีความจริงทั้งสิ้นในเมื่อท่านสอนคนอื่น แล้วจะไม่สอนตัวเองเลยหรือ? ท่านห้ามคนอื่นขโมยแล้ว
ท่านขโมยหรือเปล่า?

โรม 2:22-24
ท่านกล่าวว่า ไม่ควรมีใครทำผิดประเวณีแล้วท่านล่ะ ทำผิดประเวณีหรือไม่? ท่านชังรูปเคารพ แต่ได้ปล้นพระวิหารไหม? ท่านอวดว่ามีบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ท่านดูหมิ่นพระเกียรติ ด้วยการละเมิดบทบัญญัติของพระองค์หรือเปล่า? ตามที่มี
บันทึกไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นในหมู่คนต่างชาติก็เพราะท่าน”


โรม 2:25-26
หากว่าท่านทำตามบทบัญญัติ การเข้าสุหนัตของท่านก็มีคุณค่าแต่หากท่านละเมิดบทบัญญัติ ก็เหมือนกับว่าท่านไม่ได้เข้าสุหนัตเลย ดังนั้นเมื่อ คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทำตามบทบัญญัติ เท่ากับว่า เขาได้เข้าสุหนัตแล้วใช่ไหม?

โรม 2:27
พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายร่างกาย แต่เชื่อฟังบทบัญญัติ จะกล่าวโทษพวกท่านที่ละเมิดบทบัญญัติทั้ง ๆ ที่มีบทบัญญัติ
ซึ่งเขียนไว้ พร้อมได้เข้าสุหนัตแล้วด้วย

โรม 2:28-29
คนที่เป็นยิวแค่ภายนอก ไม่ใช่ยิวแท้การเข้าสุหนัตแค่ทางกายไม่ใช่สุหนัตแท้คน ๆ หนึ่ง จะเป็นยิวแท้ได้ก็เมื่อเขาเป็นยิวภายใน นั่นคือ เขาเข้าสุหนัตแท้ซึ่งเป็นการทำสุหนัตในจิตใจโดยพระวิญญาณ​ไม่ใช่โดยบทบัญญัติที่เขียนไว้ คนที่ทำ
เช่นนี้จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า ไม่ได้รับจากมนุษย์

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 2:1
ส่วนใหญ่แล้ว คนเรามักคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นเสมอ มักไม่เห็นความผิดของตน แต่เห็นความผิดของคนอื่น เราจะเห็นชัดในหมู่นักการเมืองและ
ในโซเชียลมีเดีย แต่ถ้ามองรอบ ๆ ตัวแล้ว เราก็จะเห็นชัดด้วยว่า คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละ การที่ท่านเปาโลได้เตือนสติ ทำให้เราจะต้องระมัดระวัง
ที่จะไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคด แต่มองทุกอย่างตามความเป็นจริง และระวังที่จำไม่กล่าวโทษ ให้ร้ายผู้อื่น ให้ดีคือระวังตัวให้มาก ๆ
โรม 2:2-3
พระเจ้าจะทรงลงโทษคนทำผิดอยู่แล้ว ตามความเป็นจริง จึงไม่มีใครพ้นจากโทษของพระเจ้าไปได้ ในประเทศเผด็จการ ผู้ปกครองมักมีอำนาจเหนือ
กฎหมาย แต่ทางของพระเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าคนที่กล่าวโทษคนอื่น หรือคนที่ทำผิด เพราะในความจริงของชีวิต
มนุษย์ ไม่มีใครที่ไร้ผิดเลย พระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกอย่าง (อิสยาห์ 45:19 เราคือพระเจ้า เราพูดความจริง เราแจ้งสิ่งที่ถูกต้องให้รู้)
โรม 2:4
ที่พระเจ้าไม่ทรงลงโทษเราอย่างทันที เพราะพระองค์พอพระทัยที่จะให้เรากลับใจมากกว่าที่จะรับโทษ เมื่อรับโทษแล้ว ไม่อาจหันกลับ เปลี่ยนสถานการณ์ได้ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้มีชีวิตนิรันดร์ ที่ไม่ใช่อยู่ในความมืด แต่ ได้ชื่นชมในสิ่งที่ทรงสร้าง ได้เรียนรู้ และอยู่กับพระองค์ตลอดไป
โรม 2:5
วันแห่งพระพิโรธ หรือเรียกว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันพิพากษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านเปาโลเตือนไม่ให้เราดื้อดึงทำบาปสะสม เราได้รับคำเตือนแล้ว ควรจะฟัง และคิดให้ดีว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต ดูเหมือนว่า พระเจ้าทรงมีคลังเก็บข้อมูลการกระทำของมนุษย์ ปัญญาจารย์ 12:14 ย้ำเตือนเรื่องนี้
โรม 2:6-7
คนเราทำดีได้เสมอไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แต่คนดีที่ไร้พระเจ้า ก็ไม่อาจจะได้รับชีวิตนิรันดร์เพราะเขายังไม่ได้รับการประกาศจากพระเจ้าว่า
เป็นคนของพระองค์ เขายังป็นคนบาปที่ไม่รอดเพราะเขายังไม่ยอมรับว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะลบล้างบาปของเขาได้ คนที่เชื่อพระเจ้าและติดตามการดี
คือคนที่เชื่อและเชื่อฟัง เขาเป็นคนที่จะได้ค่าจ้างตามงานที่ได้ทำ (1 โครินธ์ 3:8) พระเจ้าทรงเตือนผู้ที่เชื่อพระองค์แล้วว่า เขาควรใช้ชีวิตอย่างไร
โรม 2:8-9
ในข้อก่อนหน้านี้ กล่าวถึงรางวัลสำหรับคนทำดีที่ใช้ชีวิตหาพระสิริ เกียรติ และชีวิตอมตะ และในข้อนี้บอกถึงคนที่ไม่ยอมฟังความจริง ชอบข่าวปลอมหันไปเชื่อความชั่วร้าย (ความจริงคืออะไรหรือ ? ….พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต) เมื่อไม่ฟังสิ่งที่พระเยซูทรงเตือนและติดตามความมุสาที่มีอยู่เต็มโลก อันตรายแห่งพระพิโรธของพระเจ้าก็รออยู่
โรม 2:10-11
ลำเอียงคือ การที่ให้ประโยชน์ เข้าข้างคนใดคนหนึ่งเพราะฐานะ ตำแหน่ง เชื้อชาติ ความสามารถ หรือเป็นเพราะรักมากเป็นพิเศษ พระลักษณะของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงเที่ยงธรรม สิ่งใดที่ได้ตรัสว่าจะทรงทำ ก็จะทรงทำแน่นอนโดยไม่ได้ทรงลำเอียง เราจึงสบายใจได้ว่า หากอยู่ในเงื่อนไขของพระเจ้าแล้ว เราก็ปลอดภัย ได้รับความยุติธรรมคนที่ติดตามพระองค์จากข้อ 7 จะได้รับ ศักดิ์ศรี เกียรติยศ และสันติสุขแน่
โรม 2:12
ยังมีคนในพื้นที่ห่างไกล คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้า คนที่ไม่เคยรู้เลย เมื่อทำบาป เขาจะถูกพิพากษาตามความรู้แบบที่มีในใจของเขา เราเห็นว่าชนเผ่าต่าง ๆ มากมายก็มีกฎของพวกเขาเองที่ใช้เพื่อทำให้สังคมของพวกเขายืนยงอยู่ได้ ครอบครัวที่อยู่ห่างไกลไม่เคยสัมผัสกับคนอื่น ๆ เขาก็ต้องมีกฎในใจของเขาที่จะช่วยให้เขาอยู่ต่อไปได้ พวกเขาที่ไม่มีบัญญัติ พระเจ้าก็จะทรงพิพากษาตามนั้น แต่คนที่มีก็อีกเรื่อง
โรม 2:13-14
พระคำข้อ14 ชัดเจน ชนเผ่าทั้งหลาย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สามารถสืบทอดชนเผ่าและสายพันธุ์มาจนถึงวันนี้ได้ เพราะในใจของพวกเขายังมีความรักความผูกพัน มีความไว้ใจกัน ความชื่อตรงต่อกันสิ่งเหล่านี้คือ ความดีต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่อย่าลืมว่าในเวลาเดียวกันก็มีความโหดร้าย การเอาเปรียบกัน การเห็นแก่ตัวเห็นแก่เผ่าของตน เหล่านี้ ทำให้เราเห็นชัดว่า ในใจของทุกคนมีสิ่งที่บอกความถูกผิดอยู่แล้ว 
โรม 2:15-16
เมื่อเราทำผิด ใจก็จะฟ้องให้รู้ว่าทำผิดไป มโนธรรมนี้จะบอกคน ๆ หนึ่งว่าเขาทำผิดหรือถูก เมื่อใครคนหนึ่งตั้งใจที่จะละเมิดกฏ ความขัดแย้งในใจจะเกิด
ขึ้น และถ้าเขาฝืนที่จะไม่เชื่อฟัง หลายครั้งเข้าก็จะกลายเป็นด้านชาต่อมโนธรรมที่มีอยู่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เปาโลขอให้เขาอย่าเฉยเมยต่อมโนธรรมในใจนี้ บางครั้งเราเรียกมโนธรรมนี้ว่า จิตสำนึก ความลับในใจ คือแรงจูงใจที่ส่งผลให้เราทำผิดหรือถูก (1 ทิโมธี 4:2)
โรม 2:17-19
การเรียกคนอิสราเอลว่า ยิว เพราะมองว่า พวกเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัม แผ่นดินของพวกเขาในขณะนั้น ถูกปกครองด้วยโรม โดยมีการแต่งตั้งผู้ว่า
เข้ามาปกครองตามพื้นที่ต่าง ๆ ยิวก็ยังดำรงความเชื่อในศาสนายิวอย่างเคร่งครัด ในช่วงสี่ร้อยปีระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่นั้นพวกเขาได้มีการเขียนกฏต่าง ๆ เพิ่มเติมมากมายเป็นกฏเล็ก กฏน้อยที่บังคับให้ผู้คนทำตาม พวกเขาจึงเกลียดพระเยซูนักที่ทรงต้านความเคร่งไร้ค่านี้
โรม 2:20-21
เป็นเพราะพวกเขารู้บทบัญญัติเป็นอย่างดี ทั้งที่มาจากโมเสส และที่พวกเขาเขียนกันขึ้นมาใหม่ด้วย จึงเข้าใจว่า ตัวเองรู้มาก พวกเขาได้ทำระบบการ
ศึกษาของเด็กชายชาวยิวอย่างมั่นคงจนกระทั่งทุกวันนี้ เด็ก ๆ จะต้องเข้าเรียนพระคัมภีร์อย่างเข้มข้นแต่ปัญหาที่ท่านเปาโลชี้ให้เขามองตัวเองคือ
สอนคนอื่นแล้ว สอนตัวเองหรือเปล่า เป็นเรื่องเดียวกับที่ท่านเขียนมาก่อนหน้านี้ใน 2:1-2 ทั้งหมดคือการมองตัวเองอย่างถูกต้องก่อนอื่นใด 
โรม 2:22-24
ประเมินจากรายการคำถามทั้งหมดของท่านเปาโลเท่ากับว่าคนยิวที่ยังไม่ได้กลับใจก็ต้องรู้สึกหนาวเลยทีเดียว ท่านไม่สอนตัวเอง ท่านขโมยไหม?
ทำผิดประเวณีหรือไม่? ได้ปล้นพระวิหารไหม?ละเมิดบัญญัติไหม? สรุปว่า พวกเขาทำตัวเลวร้ายอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องการปล้นพระวิหารก็คือ
เก็บเงินภาษีพระวิหารแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ประเมินจากที่ท่านเปาโลพูด พวกเขาน่าจะมีเอี่ยวการขายรูปเคารพด้วย เฉลยธรรมบัญญัติ 7:25
โรม 2:25-26
คนยิวมองว่าตนเองเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก และคนใดในหมู่ยิวทำสุหนัต เท่ากับได้รับความรอดแล้ว พวกเขาคิดเอาเองว่า พิธีกรรมพร้อมความเป็นยิวจะทำให้รอดแต่ท่านเปาโลยืนกรานชัดว่า  ถ้ายิวจะคิดว่า ตนเองมีทั้งบัญญัติ และสุหนัต จะรอดได้ ความจริงคือ ไม่มีใครในหมู่ยิวสักคนสามารถผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติไปได้ การที่ท่านกล่าวเช่นนี้อาจทำให้เราลืมไปคิดว่า เรายังรอดด้วยการรักษาบัญญัติได้ 
โรม 2:27
ไป ๆ มา ๆ คนยิวที่มีพร้อมทั้งเชื้อชาติยิว และทำพิธีสุหนัต แต่ไม่รักษาบทบัญญัติ ดูท่าจะมาตรฐานต่ำกว่าคนต่างชาติที่รักษาบทบัญญัติของพระเจ้า  เพราะคนยิวคิดเหมาเอาว่า ชีวิตนิรันดร์เป็นของตายสำหรับพวกเขาเอง  การที่บอกว่า กล่าวโทษนั้น คงไม่ใช่คนต่างชาติมากล่าวโทษพวกยิว แต่เป็นสภาพที่เห็น ๆ ว่า คนต่างชาติกลับเอาใจใส่พระดำรัสของพระเจ้ามากกว่าคนยิว พวกเขาเทิดทูน และเชื่อฟังมากกว่าคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
โรม 2:28-29
สำหรับท่านเปาโลแล้ว การเข้าสุหนัตทางร่างกาย ด้วยพิธีกรรมที่ผู้คนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่มีความหมาย
เพราะทุกคนจะเข้าสุหนัตแท้จริงคือ ด้วยการรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง มีคนเป็นจำนวนมากที่ตกในความบาปหนา ตกในความชั่วช้า แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขาด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ  เขากลับกลายเป็นคนที่รับใช้ผู้อื่น ทุ่มเทให้กับพระเจ้า แสวงหาพระองค์จริงจัง แบบนี้คือ เข้าสุหนัตแท้!!

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 1:20; มัทธิว 7:1-5
2* สดุดี 9:7-8
3* สุภาษิต 16:5
4* เอเฟซัส 1:7, 18; 2:7; โรม 3:25; อพยพ 34:6; อิสยาห์ 30:18
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:34
6* สดุดี 62:12 ; สุภาษิต 24:12
7* 2 ทิโมธี 4:7-8
8* 2 เธสะโลนิกา 1:8
9* 1 เปโตร 4:17
10* 1 เปโตร 1:7

11* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:17
12* 1โครินธ์ 9:21
13* ยากอบ 1:22, 25
14* โรม 2:12
15* 1โครินธ์ 5:1; กิจการ 24:25
16* มัทธิว 25:31; กิจการ 10:42; 17:31; 1 ทิโมธี 1:11
17* ยอห์น 8:33; มีคาห์ 3:11; อิสยาห์ 48:1-2
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:8; ฟีลิปปี 1:10
19* มัทธิว 15:4
20* 2 ทิโมธี 3:5

21* มัทธิว 23:3
22* มาลาคี 3:8
23* โรม 2:17; 9:4
24* เอเสเคียล 16:27; 36:22; อิสยาห์ 52:5
25* กาลาเทีย 5:3
26* กิจการ 10:34
27* มัทธิว 12:4
28* กาลาเทีย 6:15
29* 1 เปโตร 3:4; ฟีลิปปี 3:3 ; เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6; 1โครินธ์ 4:5

โอบาดีย์

คำพิพากษาเอโดม
1 ต่อไปนี้เป็นจินตภาพของโอบาดีห์
 เอโดมจะถูกทำให้ต่ำลงต่อหน้าชาติต่าง ๆ
องค์พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตได้ตรัสถึงเอโดมว่า
เราได้ยินพระดำรัสจากองค์พระยาห์เวห์ดังนี้
มีท่านผู้หนึ่งถูกส่งไปตามชาติต่าง ๆ ประกาศออกไปว่า
“จงลุกขึ้น ให้เราไปโจมตีเอโดม!”

พระยาห์เวห์ตรัสกับชาวเอโดม
2 “ดูเถิด อีกไม่นาน เราจะทำให้เจ้า
กลายเป็นผู้ที่เล็กน้อย ท่ามกลางชาติต่าง ๆ
เจ้าจะถูกเกลียดชังเป็นที่สุด (อ่าน มาลาคี 1:2-4, เยเรมีย์ 49:7-22)
 3 ความหยิ่งยโสในใจของเจ้าล่อลวงเจ้า
เจ้าผู้อาศัยตามหลืบ ในซอกหิน
บ้านของเจ้าอยู่บนที่สูง เจ้ากล่าวกับตัวเองว่า
‘จะมีใครมาดึงเราลงไปอยู่บนพื้นดินได้เล่า?’
“แม้ว่าเจ้าจะบินสูงไปอย่างอินทรี
และสร้างรังท่ามกลางดวงดาว
เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น” พระยาห์เวห์ตรัส
5 “ หากมีโจรเข้ามาหาเจ้า
หากพวกปล้นมายามกลางคืน
เจ้าจะถูกทำลายย่อยยับขนาดไหน !
พวกเขาก็จะเอาของไปเท่าที่ต้องการ
หากมีคนเก็บองุ่นเข้ามา
และเก็บองุ่นจากสวนของเจ้า
เขาจะเหลือไว้ให้คนยากจนบ้างไม่ใช่หรือ?
6 แต่เจ้า เอซาว จะถูกค้นทุกซอกทุกมุม
 ทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ทุกชิ้น
จะถูกค้นพบช่วงชิงไปจนหมด



7 คนที่เป็นมิตรของเจ้า จะบังคับให้เจ้าไปจนสุดเขตแดน คนที่สัญญาจะให้สันติสุขกับเจ้า ก็หลอกเจ้า และเอาชนะเจ้า คนที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้าเวลานี้ กลับวางแผนดักเจ้า และเจ้าเองก็ไม่สังเกตเห็นเลย
8 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ในวันนั้น เราจะไม่ทำลายนักปราชญ์แห่งเอโดม และคนที่มีความเข้าใจให้หมดจากขุนเขาเอซาวหรือ?”
9 โอเมืองเทมาน นักรบที่เก่งกล้าของเจ้าจะตกใจกลัว
และทุกคนจากขุนเขาแห่งเอซาวจะถูกสังหาร

เอโดมทำกับน้องอย่างไม่สมควร
10 เจ้าได้ทำความอำมหิตต่อยาโคบน้องของเจ้า เจ้าจะปกคลุมด้วยความอับอาย และถูกตัดขาดไปเป็นนิตย์
11 ในวันที่เจ้ายืนอยู่เฉยอีกด้าน เจ้าไม่ยอมช่วยในวันที่ มีคนแปลกหน้าเข้ามาขนสมบัติของอิสราเอลออกไป มีคนต่างชาติผ่านเข้ามาทางประตูเมือง และจับสลากแบ่งส่วนนครเยรูซาเล็มกันเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งในพวกเขา




12 “ เจ้าไม่ควรไปหัวเราะเย้ยหยันน้องอิสราเอลของเจ้าในวันที่เขาต้องเจอเหตุการณ์ร้าย
เจ้าไม่ควรไปยิ้มเยาะดีใจเมื่อคนยูดาห์พบเจอหายนะ หรือไม่ควรไปโอ้อวด ในวันที่พวกเขาเจ็บปวด

13  เจ้าไม่ควรเข้าไปในประตูเมืองของประชากรของเรา ในวันที่พวกเขาพบหายนะ เจ้าไม่ควรหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า ในวันที่พวกเขาพบหายนะ หรือไม่ควรปล้นเอาสมบัติของพวกเขาไป ในวันที่พวกเขาพบหายนะ
14  เจ้าไม่ควรยืนดักอยู่ที่ทางแยกเพื่อทำลายคนที่พยายามลี้ภัย
เจ้าไม่ควรจับคนที่รอดชีวิตส่งให้กับศัตรูในวันที่เขาเจ็บปวด




วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
15 “วันแห่งพระยาห์เวห์ กำลังใกล้เข้ามายังชาติต่าง ๆ สิ่งชั่วร้ายที่เจ้าได้ทำกับคนอื่น เจ้าจะถูกกระทำคืนเช่นนั้น
การกระทำทุกอย่างจะกลับมาตกบนหัวของเจ้า
ชาติต่าง ๆ จะถูกพิพากษา
16  เพราะเจ้าได้ดื่มจนเมาบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ชาติต่าง ๆ ก็จะดื่มต่อไปอย่างนั้น พวกเขาจะดื่มแล้วดื่มอีกราวกับไม่เคยดื่มมาก่อน
ชัยชนะที่สุดของอิสราเอล
17 แต่บนภูเขาศิโยน จะมีบางคนหนีพ้นมาได้ และภูเขานั้นจะเป็นที่บริสุทธิ์ วงศ์วานยาโคบจะได้รับกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินคืนมา
18  วงศ์วานยาโคบจะเป็นเหมือนไฟ
วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเหมือนเปลวไฟ
แต่วงศ์วานของเอซาวจะเป็นเหมือนตอไม้วงศ์วานยาโคบจะจุดไฟและเผาผลาญพวกเขาจนหมด
จะไม่มีใครรอดชีวิตจากวงศ์วานเอซาวเลย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระยาเวห์ได้ตรัสไว้




19 แล้วประชากรแห่งเนเกบจะได้รับภูเขาเอซาวคืนมา
ประชากรแห่งเนินเขาต่าง ๆ จะครอบครองดินแดนฟีลิสเตีย
เขาจะได้ท้องทุ่งของเอฟราอิมกับสะมาเรีย
และเบนยามินจะได้ครอบครองกิเลอาด
20 ประชาชนจากอิสราเอลผู้ที่เคยเป็นเชลย
จะเข้ามาในดินแดนคานาอันจนไปถึงเศราฟัท ประชากรจากยูดาห์ผู้ที่ถูกบังคับให้ทิ้งนครเยรูซาเล็มไป และไปอาศัยอยู่ในเสฟาราด จะยึดเมืองต่าง ๆ คืนมาจากเนเกบ
21 เหล่าผู้กล้า จะขึ้นไปยังภูเขาศิโยน เพื่อปกครองขุนเขาของเอซาวจากที่นั่น
และอาณาจักรนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพระยาห์เวห์

อธิบายเพิ่มเติม

บื้องหลังโอบาดีย์
หนังสือสั้น ๆ โอบาดีย์ฉบับนี้ เขียนโดยโอบาดีย์ ซึ่งชื่อของเขาแปลว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้า หนังสือโอบาดีห์ เป็นคำพยากรณ์สั้น ๆ สั้นที่สุดในพันธสัญญาเดิม โดยที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านโอบาดีห์ด้วยจินตภาพและพระดำรัส เรื่องราวของโอบาดีย์ก็ทำให้เราเห็นสภาพความสัมพันธ์ของผู้คนในดินแดนแถบนั้น ที่ยังคงตึงเครียดมาจนทุกวันนี้ (เพื่อให้ไม่สับสน ชาวเอโดมเป็นลูกหลานของเอซาว ซึ่งเป็นพี่ชายของยาโคบ
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นเหมือนพี่ชายของอิสราเอลหรือที่เรียกว่ายูดาห์ หรือบางครั้งเรียกยาโคบ บางครั้งจะพูดถึงเอโดม โดยใช้ชื่อ เอซาว (ปฐมกาล 36 นั่นคือ เอซาว=เอโดม อิสราเอล=ยาโคบหรือ โยเซฟ)
เอโดมคือใคร?
จำได้ไหมว่า อิสอัคกับเรเบคาห์นั้น มีลูกชายแฝดสองคนคือ เอซาวกับยาโคบ ทั้งสองต่อสู้กันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ (ปฐมกาล 25-27) วันหนึ่งพี่ชายหิวโซมา จึงขายสิทธิลูกหัวปีให้น้องด้วยราคาแกงหนึ่งหม้อ ต่อมาน้องคือยาโคบก็ปลอมตัวไปรับสิทธิและพรของลูกหัวปีจากพ่อ
ลูกหลานของเอซาวคือชาวเอโดมย้ายลงไปอยู่แถบภูเขาเซียร์ทางใต้ (เราจะเห็นลำดับวงศ์วานของพวกเขาในปฐมกาล 38 และอ่าน มาลาคี 1:2-4, เยเรมีย์ 49:7-22)
ลูกหลานของยาโคบคืออิสราเอล ซึ่งรวมไปถึงทั้งสิบสองเผ่า ทั้งสองชนชาตินี้ก็ได้มีข้อขัดแย้งกันมาตลอด
แค่ข้อความจากโอบาดีย์สั้น ๆ แต่โยงเหตุการณ์ตั้งแต่สมัยของเอซาวมาถึงปัจจุบัน … ดังนั้น โอบาดีย์จึงเป็นการบันทึกในสิ่งที่ทั้งเกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่กำลังเกิดต่อหน้าต่อตาเราในปัจจุบัน (7 ตุลาคม 2023 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ มองหนังสือโอบาดีห์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ) อ่านดี ๆ เราจะเห็นว่า
พระเจ้าทรงทำให้โฮเชยาเห็นภาพบางอย่าง ทั้งได้ยินพระสุรเสียงจากพระยาห์เวห์ให้ชวนชาติต่าง ๆ เข้าไปโจมตีเอโดม
เอโดมอยู่ที่ไหนในโลก?
พื้นที่ของเอโดม อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลตาย  เป็นพื้นที่เต็มด้วยขุนเขา ซึ่งเขตนี้เอง เรียกว่า เทือกเขาเซียร์ (Sier)

โอบาดีย์ 1
พระเจ้าทรงส่งผู้สื่อสารคนหนึ่งไปยังผู้ที่เป็นผู้ดูแลชาติต่าง ๆ ซึ่งสามารถบอกได้ว่า เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือประเทศเหล่านั้น มีผู้ให้ความเห็นว่า นั่นคือวิญญาณที่พระเจ้าทรงให้ดูแลประชาชาติ  ที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น ก็เป็นเพราะเหตุผลในข้อถัดมา คือความเย่อหยิ่ง ข้อ 2-3   การดูหมิ่นเยาะเย้ย ทับถม และไม่ช่วยชนชาติของน้องเมื่อถูกโจมตี แถมยังร่วมมือกับศัตรูอีกด้วย  (6-15)
พระเจ้าทรงเรียกระดมชาติต่าง ๆ ให้มาสู้กับเอโดมเพราะเขามีความผิดที่พระองค์จะทรงแจ้งอย่างชัดเจน   พระเจ้าทรงทำกับบาบิโลนก็คล้ายกันกับครั้งนี้ ตัวอย่างในอิสยาห์ 13:2-5
โอบาดีย์ 2
พระเจ้าได้ตรัสกับชาวเอโดมซึ่งเป็นลูกหลานของเอซาว พี่ชายแฝดของยาโคบพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด ซึ่งมีความหมายให้คนฟัง สนใจสิ่งที่กำลังจะพูด สิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ใช่พร แต่เป็นความอัปยศที่ชาวเอโดมต้องเจอ คือ การที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อย และชาติต่าง ๆ จะเกลียดชัง เป็นความต่ำต้อย ทางการเมืองอย่างชัดเจน
โอบาดีย์ 3
ประชากรเอโดมอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นขุนเขา ทางตะวันตกของอาราบาห์ สูงถึง 1.5 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล พวกเขาเชื่อมั่นว่าตนเองปลอดภัยจากศัตรู ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาบุกรุกได้ จากข้อ 3 เราเห็นความรู้สึกสบายใจของพวกเขาได้จากคำรำพึงของพวกเขา พระเจ้าจึงจะทรงจัดการเขาเรื่องนี้
จะเห็นว่า เอโดมมีนักรบที่เก่งกล้า เป็นพวกที่เย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ทำร้ายญาติพี่น้องของตน และหักหลังส่งคนที่พยายามหนีภัยให้ศัตรูด้วย
โอบาดีย์ 4
อินทรี เป็นอย่างไร ทั้งบินสูง เร็ว เข้มแข็ง สง่างาม
คนชาวเอโดมในบ้านที่อยู่ตามภูเขาสูงมีความเห็นว่า พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ มาทำร้ายพวกเขาได้ แต่ความเห็นของเขา ในข้อสามนี้ ช่างมีความคล้ายคลึงกับ นี่เป็นความเข้าใจผิดผสมกับความเย่อหยิ่งของพวกเขาเอง
สิ่งที่เขาพูดเป็นแบบเดียวกับที่มารกล่าว ในอิสยาห์ 14:13-205
โอบาดีย์ 5
ปกติแล้ว โจรที่ปล้นก็ไม่ได้ปล้นไปหมด ยังเหลือข้าวของไว้ให้บ้าง คนที่เก็บองุ่น ก็มักจะเหลือทิ้งไว้ให้คนยากจนได้มาเก็บกินบ้าง
โอบาดีย์ 6
แต่เอโดมจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ของที่ซ่อนไว้ ทำให้เราเห็นภาพของชาติที่ถูกปล้นสะดมไปโดยไม่เหลือแม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ
โอบาดีย์ 7 คนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ คือคนที่ตกลงจะเป็นพันธมิตรด้วย เพราะเวลาทำการประทับตราสัญญาก็จะมีการกินอาหารร่วมกันเป็นสัญญา (ดูสดุดี 41:9) เอโดมหลงเชื่อคนที่บอกว่าเป็นพันธมิตร แต่ในที่สุดเขาก็ถูกหักหลัง
โอบาดีย์ 8
คนชาวเอโดม เป็นชาติที่มีคนที่ฉลาดปราชญ์เปรื่องระดับหนึ่งเลยทีเดียว พวกเขาทำเหมืองทองแดงเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้มากมาย
โอบาดีย์ 9
เทมานเป็นชื่อของหลานปู่ของเอซาว ปฐมกาล 36:9-11 เมืองเทมานอยู่ทางใต้ของเขตเอโดม เขามีทั้งคนเก่ง นักรบชั้นยอด แต่พระเจ้าจะทรงทำลายพวกเขา เป็นเพราะ….
โอบาดีย์ 10
ชนชาติเอโดมได้ทำการอำมหิตต่อยูดาห์ แทนที่จะช่วยในฐานะเป็นพี่น้องกัน และเขาทำตัวเหมือนกับชาวบาบิโลนด้วย
โอบาดีย์ 11
553 ปีก่อนคริสตศักราช บาบิโลนได้เข้ามาบุกเอโดม ต่อมาเปอร์เซียเรืองอำนาจ พวกนาบาเทียนได้เข้ามาครอบครอง
นอกจากที่เขาไม่ยอมช่วยแล้ว เขายังเยาะหยัน นี่คือเขายืนเฉย เป็นบาปของการละเลยที่จะไม่ช่วย ไม่ส่งทหารเก่ง ๆที่พวกเขามีมากมาย เข้ามาช่วยในขณะที่อิสราเอลถูกบาบิโลนโจมตี
โอบาดีย์ 12
นอกจากนั้นยังมีการเยาะหยันอิสราเอลเมื่อเขาต้องเจอกับหายนะด้วย ทั้งกร่าง ทั้งทำโอ่ ทั้งจับพวกเขาส่งศัตรู(14) มีแปดอย่างที่พวกเขาไม่ควรทำ
พระเจ้าทรงห้ามชัดเจนว่า ไม่ควรทำอะไร แต่เราจะเห็นการทำเช่นนี้ ในโลกสมัยใหม่
โอบาดีย์ 13
เอโดมทำตัวเหมือนกับศัตรูที่ไปปล้นรอบสองเมื่อศัตรูปล้นไปแล้วหนึ่งรอบ เอโดมยังมีรับซื้อทาสมนุษย์ด้วย ดูอาโมส 1:6,9พระเจ้าทรงสอนเสมอว่า เราไม่ควรที่จะทับถมคนที่กำลังล้มลง เพราะไม่อย่างนั้น สิ่งร้าย ๆ จะกลับมาที่เราเอง
โอบาดีย์ 14
เอโดมยังคอยขวางคนที่พยายามหนี และจับคนที่หนีจากบาบิโลน ไปส่งให้กับบาบิโลนอีก เป็นการเพิ่มระดับความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด
โอบาดีย์ 15
ในเมื่อวันของพระเจ้ามาใกล้แล้ว เป็นวันที่พระเจ้าจะพิพากษาคนทั้งโลก เอโดมจึงควรที่จะหยุดเป็นศัตรูกับคนของพระเจ้า (วันของพระเจ้าเป็นวันที่บอกให้รู้ว่า พระเจ้าทรงมีพระลักษณะแท้จริงอย่างไร พระประสงค์ของพระองค์คืออะไร) อ่าน อพยพ 32:34 เฉลยธรรมบัญญัติ 31:16-19 ,32:35-38) วันของพระเจ้ายังหมายถึงการที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนของพระองค์ อาโมส 5:18-27 อิสราเอลไปเป็นเชลย เศฟันยาห์ 1:7, 14 และการพิพากษาคนที่กดขี่คนของพระเจ้า อิสยาห์ 13:6 การลงโทษบาบิโลน โยเอลได้กล่าวถึงวันของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร
โอบาดีย์ 16
บาบิโลนทำกับเยรูซาเล็มเหมือนกับเป็นสินค้า มีการจับฉลากแบ่งส่วนกัน ข้อ 11 เยเรมีย์ 51:51 บอกให้รู้ว่า พระเจ้าทรงถูกสบประมาท เพราะคนต่างชาติเข้ามาในที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า
มีชาติต่าง ๆ สองแบบ แบบที่เป็นศัตรู กับแบบที่จะเข้ามาหาพระเจ้า อิสยาห์ 25:6-9; 45:22 mic 4:1-4การเจอกับพระพิโรธของพระเจ้านั้น เป็นเหมือนการดื่ม..ที่ไม่ได้นำความสุข มีแต่ความเจ็บปวด
โอบาดีย์ 17
พระเจ้าทรงสัญญาให้อิสราเอลได้รับกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินคืนมา ที่จริงเขาก็ได้รับแล้วในปี 1948 เมื่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมา แต่ยังไม่ได้อย่างครบถ้วนตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ มีปัญหาเกิดขึ้นตามมาอย่างยิ่งใหญ่ที่เราเห็นกับตาในสงครามอิสราเอล กับฮามาสเวลานี้ (ตั้งแต่ปี 2023 ) แต่.. เราต้องคอยระวังดู และอธิษฐาน จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ดูเหมือนจะเป็นสงครามที่ยืดเยื้ออีกนาน
โอบาดีย์ 18
วงศ์วานยาโคบ คือสองเผ่าของยูดาห์ทางใต้ และวงศ์วานโยเซฟ คืออีกสิบเผ่าทางเหนือ ได้รับการปล่อยตัวจากอัสซีเรียในปี 722 ปีก่อนคริสตศักราช จะกลับมายังแผ่นดินนี้ ทั้งสิบสองเผ่าจะปราบวงศ์วานเอซาว และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้ การใช้ไฟ เปลวเพลิง บ่งบอกว่า เอโดมจะถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว และเหลือแต่ตอคือไม่เหลือใครเลย นี่เป็นการสนองตอบข้อ 14 ที่เอโดมทำร้ายชนชาติน้องของเขา

หมายเหตุ
ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์จำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า ฮามาส ซึ่งศัตรูสำคัญของอิสราเอล เป็นลูกหลานของเอซาวเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เป็นอาหรับ พวกเขามีความเคียดแค้นอิสราเอลเป็นที่สุด ต้องการทำลายอิสราเอลให้สิ้นไปจากโลกนี้ นี่เป็นความต้องการอันรุนแรงที่ฮามาสแห่งปาเลสไตน์ไม่ได้ปิดบังไว้เลย พวกเขาได้ร่วมมือกันกับหลายกลุ่มผู้ก่อการร้ายในหลายประเทศที่ความตั้งใจเหมือนกันคือ ทำให้อิสราเอลสิ้นชาติ (สดุดี 83:1-8) ต้องไปอ่าน เพราะเป็นจริงมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่เขียนมาหลายพันปีแล้ว
คำว่า ฮามาส Strong’s word # 2555 – Hamas
จาก The Word Study Dictionary of the Old Testament กล่าวว่า เป็นคำนาม ที่มีความหมายถึงความรุนแรง ความผิด ความโหดร้าย โยงถึงความเสียหาย และอยุติธรรม เป็นความรุนแรงทางร่างกาย เป็นความโหดเหี้ยมที่สุด เมื่อใช้กับคน หมายถึงผู้กดขี่ ผู้ที่สร้างความรุนแรง
เราเองเพิ่งเห็นอาการแสดงการเยาะเย้ยชัดเจนในช่วงเวลาที่พวกเขาแลกตัวประกันกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขังไว้ในคุกอิสราเอล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา อาการแสดงความเหยียดหยามเมื่อส่งตัวศพของตัวประกันที่ตายไปก่อนหน้านี้ พยายามให้คนทั้งโลกเห็น เหมือนกับที่เขียนไว้ในข้อ 12-14

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 21:11; เยเรมีย์ 49:14-16
3* เยเรมีย์ 49:16; วิวรณ์ 18:7
4* โยบ 20:6; ฮาบากุก 2:9
5* เยเรมีย์ 49:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 24:21
6* เยเรมีย์ 49:10;
7* เยเรมีย์ 38:22; อิสยาห์ 19:11
8* โยบ 5:12-14

9* สดุดี 76:5; เยเรมีย์ 49:7
10* ปฐมกาล 27:41; เอเสเคียล 35:9
11* สดุดี 83:5-8; นาฮูม 3:10
12* มีคาห์ 4:11; 7:10; สุภาษิต 17:5
13* เศคาริยาห์ 1:15
14* อาโมส 1:9
15* เอเสเคียล 30:3; ฮาบากุก 2:8

16* โยเอล 3:17
17* อาโมส 9:8
18* เศคาริยาห์ 12:6
19* อิสยาห์ 11:14; เศฟันยาห์ 2:7
20* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:9;
เยเรมีย์ 32:44
21* ยากอบ 5:20; วิวรณ์ 11:15



โรม 1 ข่าวประเสริฐมีฤทธิ์!

โรม 1:1-2
จากข้า เปาโลผู้เป็นทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเรียกข้าให้เป็นอัครทูตและทรงเลือกให้ข้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้ทรงสัญญานานมาแล้ว ผ่านเหล่าผู้เผยพระดำรัสของพระองค์ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์

โรม 1:3-4
เป็นข่าวประเสริฐเรื่องของพระบุตรของพระองค์ ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด พระเจ้าทรงประกาศผ่านองค์พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ว่า ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงฤทธานุภาพของพระเจ้า โดยการที่ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย 

โรม 1:5-6
โดยพระคุณ เราได้รับมอบหมายให้เป็นอัครทูต ผ่านองค์พระคริสต์ เพื่อนำประชาชนจากชาติต่าง ๆ ให้มาเชื่อฟังจนถึงเชื่อวางใจ และท่านทั้งหลายที่อยู่ในโรมนั้น ก็เป็นผู้ที่อยู่ในหมู่คนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นคนของพระเยซูคริสต์

โรม 1:7
ถึง ท่านทุกคนซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระองค์ที่อยู่ในโรม ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด


โรม 1:8
ก่อนอื่นใด ข้าขอขอบพระคุณพระเจ้า
ของข้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์
สำหรับพวกท่านทุกคน
เพราะคนทั้งหลายในโลกต่างกล่าวถึง
ความเชื่อของพวกท่าน


โรม 1:9-10
องค์พระเจ้าผู้ที่ข้ารับใช้ด้วยสุดจิตสุดใจด้วยการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์ ทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าไม่เคยหยุดที่จะเอ่ยถึงพวกท่าน ทุกครั้งที่ข้าอธิษฐาน
ข้าอธิษฐานว่าที่สุดแล้ว หากพระองค์ทรงประสงค์ ข้าจะไดัมาเยี่ยมพวกท่าน


โรม 1:11-12
ข้าปรารถนาที่จะพบพวกท่านเป็นอย่างมากเพื่อจะได้แบ่งปันของประทานแห่งพระวิญญาณ เพื่อว่าพวกท่านจะเข้มแข็ง
ข้าหมายถึงว่า อยากจะให้เราทั้งสองฝ่ายต่างหนุนใจซึ่งกันและกัน ด้วยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย ความเชื่อของพวกท่านช่วยข้า และความเชื่อของข้าก็ช่วยท่าน

โรม 1:13
พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ข้าอยากให้พวกท่านทราบว่า ข้าวางแผนเพื่อจะมาหาพวกท่านหลายครั้ง แต่มีอุปสรรคจนกระทั่งเวลานี้
ข้าต้องการที่จะมาเพื่อจะได้ช่วยพวกท่านให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ ได้เกี่ยวเก็บผลท่ามกลางพี่น้อง เหมือนอย่างที่ข้าได้ทำในหมู่คนต่างชาติ

โรม 1:14-15
ข้าเอง เป็นหนี้คนทั้งหลาย ทั้งชาวกรีก และชนชาติอื่น ๆ (ที่ถูกมองว่า เป็นคนที่ไม่มีอารยะ) ทั้งคนที่มีสติปัญญา และคนที่รู้น้อย ดังนั้นข้าเองจึงร้อนใจที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย

โรม 1:16
เพราะข้าพเจ้าไม่อายเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะข่าวประเสริฐนี้เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อช่วยทุกคนที่เชื่อช่วยคนยิวก่อน และจากนั้นก็ช่วยคนต่างชาติด้วย


โรม 1:17
ข่าวประเสริฐนี้ แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์เรามีความถูกต้องอย่างเที่ยงธรรมกับพระองค์โดยเริ่มต้นที่
ความเชื่อ และจบลงด้วยความเชื่อ
ตามที่พระคัมภีร์บันทึกว่า
“คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”(ฮาบากุก 2:4)

โรม 1:18
พระพิโรธของพระเจ้า ได้แสดงออกมาจากสวรรค์ต่อต้านการอธรรม และความชั่วร้ายที่มนุษย์ได้ลงมือกระทำ
พวกเขาได้เหยียบย่ำ บิดเบือนความจริง
ด้วยความชั่วร้ายของพวกเขาเอง

โรม 1:19
เพราะว่า สิ่งที่มนุษย์จะรู้เกี่ยวกับ
พระเจ้านั้น ก็ปรากฏชัดเจนแก่พวกเขา
เพราะพระเจ้าทรงสำแดง
ให้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขา

โรม 1:20
เพราะตั้งแต่การสร้างโลกนี้มา พระลักษณะของพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตา นั่นก็คือ ฤทธิ์เดชนิรันดร์ และสถานะความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เป็นที่สัมผัสรู้ และเข้าใจได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัว

โรม 1:21
พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์ หรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดของพวกเขาจึงกลายเป็นความไร้ประโยชน์ (ไร้เหตุผล) ความคิดอันโง่เขลาของพวกเขาจึงถูกเติมเต็มด้วยความมืด

โรม 1:22-23
พวกเขาอ้างว่าตนเองฉลาดแต่กลับกลายเป็นคนโง่เขลา
และได้แลกพระสิริตระการของพระเจ้าผู้ทรงดำรงนิรันดร์ กับรูปเคารพที่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ นก สัตว์ต่าง ๆ รวมไปถึงสัตว์เลื้อยคลาน!

โรม 1:24
เพราะเขากระทำเช่นนั้น
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาทำตาม
ความเร่าร้อนที่จะทำบาป
ทำให้เขาได้กระทำความอัปยศ
อดสูต่อร่างกายของกันและกัน

โรม 1:25
พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้าแลกกับความเท็จ และกราบไหว้ รับใช้สรรพสิ่งที่ถูกสร้างแทน
องค์พระผู้สร้างผู้ทรงสมควรที่จะได้รับการสรรเสริญตลอด
ไปเป็นนิตย์ อาเมน

โรม 1:26
เพราะพวกเขาทำเช่นนี้ 
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาตามติดตัณหาที่ต่ำทราม
พวกผู้หญิงก็หยุดความสัมพันธ์ตาม
ธรรมชาติ และไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง



โรม 1:27
ฝ่ายผู้ชายก็ทำเช่นกัน คือ หยุดมี
ความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง ต่างกระสันกันและกัน
ผู้ชายได้ทำสิ่งที่น่าละอายกับผู้ชายด้วยกัน
และพวกเขาจึงได้รับการลงโทษในร่างกาย
สมกับความผิดที่เขาได้กระทำไปนั้น 

โรม 1:28
นอกเหนือไปจากนั้น เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่า การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่สมควร
พระเจ้าจะทรงละทิ้ง ปล่อยให้เขาทำตามความคิดเสื่อมทรามที่ไร้ค่า ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่ไม่ควรทำ


โรม 1:29
ดังนั้น ในตัวพวกเขาจึงเต็มด้วยความอธรรม ความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวและความเกลียดชัง พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การทะเลาะวิวาท
โกหกหลอกลวง และคิดร้ายต่อกันและกันและยังนินทากัน

โรม 1:30-31
พวกเขากล่าวร้ายกันและกัน เกลียดพระเจ้า หยาบคาย และโอหัง อวดตัว คิดแผนชั่วไม่ให้เกียรติพ่อแม่
พวกเขาโง่งม ไม่เคยรักษาสัญญา
ไร้ความเมตตา ไร้ความสงสารผู้อื่น

โรม 1:32
แม้พวกเขารู้ว่า พระเจ้าทรงสั่งว่า
คนที่ทำสิ่งเหล่านี้สมควรตาย
แต่พวกเขายังคงทำการชั่วเหล่านี้ต่อไป
และยังสนับสนุนคนที่ทำเช่นนั้น


อธิบายเพิ่มเติม

โรม 1:1-2
ท่านเปาโล แนะนำตัวเองว่า เป็นทาสรับใช้ขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทาสแบบสมัครใจ ไม่ใช่ทาสที่ถูกบังคับให้เป็น (อพยพ 21:1-6) และพระเจ้าก็
ทรงเลือกให้ท่านเป็นอัครทูต ซึ่งมีความหมายว่า คนที่ถูกส่งออกไป หน้าที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านเปาโลคือการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องที่พระเจ้า
ทรงรักโลก และประทานพระเยซูมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรัก ในหนังสือโรมจะบอกเราว่า ขอบเขตข่าวประเสริฐมีกว้างขนาดไหน
โรม 1:3-4
การที่พี่น้องมาจากหลายที่หลายแห่ง ยังไม่มีคริสตจักรที่แน่นอน เป็นการประชุมตามบ้าน ทำให้ท่านเปาโลเขียนจดหมายนี้ อธิบายแผนการแห่งความรอดให้ชัดเจนเริ่มต้นที่พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งมาทางสายของดาวิด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ​(ลูกา 1:35 อิสยาห์ 7:14) ไม่ว่าพระองค์จะทำสิ่งใด ทรงทำตามพระบิดาโดยการทรงนำ พลัง และอำนาจแห่งพระวิญญาณ (มัทธิว 3:16; ยอห์น 3:34) ยิ่งกว่านั้น ทรงฟื้นขึ้นจากความตายอย่างที่พวกเขาได้ทราบแล้ว
โรม 1:5-6
คำว่าอัครทูต มีความหมายกว้าง ๆ ถึงคนที่ถูกส่งไปเพื่อประกาศความรอด (กิจการ 14:14) พระเยซูก็ทรงเป็นอัครทูตด้วย (ฮีบรู 3:1) การเชื่อฟังข่าวประเสริฐมาก่อน การวางใจและการจำนนต่อพระเยซูคริสต์จึงตามมา (โรม 10:9-10) พระเจ้าจะทรงเรียกให้ทุกคนมาหาพระองค์ ไม่ประสงค์ให้ใครพินาศเลย (2 เปโตร 3:9) และพี่น้องชาวโรมเหล่านี้ทั้งยิวและคนต่างชาติตอบรับการทรงเรียกของพระองค์
โรม 1:7
ในโรมสมัยของท่านเปาโล เป็นเมืองที่นับได้เป็นมหาอำนาจเวลานั้น ตอนนั้นยังไม่มีคริสตจักรในโรม แต่พวกเขานมัสการในบ้านเป็นส่วนใหญ่ เราเห็นว่า ท่านเปาโลบอกถึงฐานะของท่านว่าเป็นทาสของพระเยซูคริสต์ พี่น้องก็จะเข้าใจว่าท่านภักดีต่อพระองค์อย่างไร โรมช่วงเวลานั้นเป็นมหาอำนาจ และคริสเตียนก็จะถูกกดขี่ข่มเหงเพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะก้มหัวนมัสการซีซาร์ว่าเป็นพระเจ้า
โรม 1:8
ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หัวใจของท่านเปาโลอยู่ที่ข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนชีวิตของพี่น้อง ไม่เฉพาะยิว แต่เป็นคนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ในจดหมายนี้ท่านเน้น
คนที่อยู่ในโรมก็จริง ข่าวเรื่องความเชื่อของคนในโรมนั้น โด่งดังไปทั่วดินแดนยุโรปตอนใต้ เอเชียน้อย ท่านขอบคุณพระเจ้าเพราะการประกาศได้รับการตอบรับมีคนเชื่อ มีคนเปลี่ยนชีวิต นั่นเป็นที่สุดในหัวใจของท่านเปาโลแล้ว
โรม 1:9-10
ท่านเปาโลอธิษฐานเผื่อพี่น้องในโรมเสมอ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วท่านไม่รู้จักเป็นส่วนตัว ท่านรู้ดีว่าจะเกิดผลได้ ต้องพึ่งพาพระเจ้า ใจของท่านเปาโลอยากพบพี่น้อง และท่านก็อธิษฐานขอพระเจ้าโปรดเปิดทางให้ มีบางครั้งพระเจ้าก็ไม่ได้ให้ตามที่ท่านขอ และท่านก็ต้องยอมกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกครั้งไป (ดู 2 โครินธ์ 12:7-10)
โรม 1:11-12
เหตุผลที่อยากมาพบก็คือ อยากจะให้ทั้งสองฝ่ายได้แบ่งปันสิ่งที่เป็นพระพรให้กันและกัน ครูแท้จริงทุกคนได้รับสิ่งดี ๆ จากนักเรียนของเขา นักเรียน
สามารถที่จะทำให้ครูเก่งขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อท่านเปาโลเป็นเช่นนั้น ท่านรู้ว่า พี่น้องมีสิ่งดีที่จะแบ่งปันให้ท่าน ต่างจากสิ่งดีที่ท่านกำลังจะแบ่งปันให้เขา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันและกัน ดังนั้นพี่น้องทุกคนอย่างคิดว่าตนไม่มีประโยชน์ เราทุกคนมีสิ่งดีที่จะให้กันและกัน
โรม 1:13
ท่านเปาโลตั้งใจ วางแผนที่จะมาหาพี่น้องชาวโรมแต่พระเจ้าทรงกั้นไว้ การเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมีการดูแล เอาใจใส่ ให้อาหารเหมือนอย่างต้นไม้ที่เราปลูก ต้องดูแลสม่ำเสมอ เติมปุ๋ยท่านเปาโลต้องการแบ่งปันทุกสิ่งที่ท่านเข้าใจจากพระเจ้าให้กับพี่น้อง เพื่อเขาจะเติบโตอย่างดี แข็งแรงและสามารถส่งต่อความเข้าใจนั้นให้ผู้อื่นประโยคสุดท้ายของท่านนั้น ทำให้รู้ว่าท่านเปาโลทำงานท่ามกลางคนต่างชาติไม่น้อยเลยทีเดียว
โรม 1:14-15
ทำไมจึงรู้สึกเป็นหนี้คนทุกคนเช่นนี้? ความรู้สึกอย่างนี้มาจากไหน? พระเจ้าทรงมอบงานประกาศเรื่องราวแห่งแผ่นดินสวรรค์ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไว้ให้ท่าน งานที่พระเจ้าทรงมอบให้นี้ เป็นสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ ท่านเปาโลรู้สึกเป็นหนี้ในฐานะที่ยังจ่ายความรู้ ความเข้าใจในพระเจ้าไม่ครบ
จึงร้อนใจมากที่จะคืนสิ่งดีนี้ให้กับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ชนชั้นใด ไม่ว่าจะมีความรู้หรือไม่ จะร่ำรวยหรือยากจน ท่านก็เป็นหนี้อยู่
โรม 1:16
สำหรับท่านเปาโลแล้ว เรื่องข่าวประเสริฐ (ที่รัฐบาลโรม ผู้นำศาสนายิวพยายามกำจัด) คือความภูมิใจที่สุดในชีวิต แม้ว่ามีความพยายามที่จะทำลายข่าวประเสริฐด้วยสารพัดวิธี แต่ข่าวประเสริฐนั้น เต็มด้วยฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงทำการพร้อมกับผู้รับใช้ของพระองค์โดยการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างมหัศจรรย์ ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูนี้ ช่วยชีวิตคนทุกคนในโลก ไม่ได้เว้นใครเลย
โรม 1:17
ข่าวประเสริฐ ทำให้คนที่บาปกลับกลายเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า วิธีคือ คนบาปนั้นต้องกลับใจสำนึกผิด และเชื่อในวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทำ
ให้เขาถูกต้องกับพระองค์ เป็นความเชื่อในพระเยซูสิ่งที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน จนคืนพระชนม์ ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้เราถูกต้องกับพระเจ้าได้นอกจากเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาเพื่อให้เราได้กลับไปอยู่กับพระองค์
โรม 1:18
ผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ครั้งหนึ่งก็คือคนที่ได้เหยียบย่ำและบิดเบือนความจริง แต่พระเจ้าได้ทรงเมตตา ผ่านองค์พระเยซู พระเจ้าทรงยกโทษให้กับคนที่กลับใจ
และไม่ทำเช่นนั้นอีก เราจะเห็นความพยายามของคนที่ทำผิดแล้วอ้างว่าตนไม่ผิดมากมาย และเรื่องที่จะอ้างว่า ไม่มีพระเจ้าก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาไม่อยาก
ให้มีพระเจ้า เขาก็จะอ้างสารพัดอย่าง จะพยายามพิสูจน์ให้ได้เพื่อจะบอกว่า ไม่มีพระเจ้า
โรม 1:19
ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกได้ยินเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพระคัมภีร์ ยังมีคนอีกมากมายในโลกที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องของพระเจ้าเที่ยงแท้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตำตาของพวกเขาคือตัวมนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวของเขา ท่านเปาโลได้บอกว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้แมนุษย์ได้รู้ว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างอยู่จริง ๆพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มองไม่เห็น แต่ทรงสร้างสิ่งที่มองเห็นมาให้เป็นพยานถึงพระองค์เอง
โรม 1:20
จากธรรมชาติที่เราเห็นรอบตัว เราจะเห็นพระเจ้าได้หากเราไม่ปิดใจไปเสียก่อน ทุกอย่างในจักรวาลต้องมีผู้สร้าง สิ่งต่าง ๆที่เราใช้อยู่ทุกวัน มีการผลิต
ออกมาจากโรงงานบ้าง จากการสร้างสรรค์ด้วยมือคน ธรรมชาติที่เราเห็นในต้นไม้ ในแม่น้ำ ทะเล ต่างมีทั้งความงาม มีประโยชน์ มีความซับซ้อนมีระบบระเบียบการทำงานเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแพทย์ ที่เห็นระบบของร่างกาย ต้นไม้อวกาศ ยิ่งอดไม่ได้ที่จะสรุปว่า มีองค์ผู้ทรงสร้างแน่!
โรม 1:21
แต่ก่อนเราก็เป็นอย่างนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง เราเคยเชื่อในวิวัฒนาการซึ่งวันนี้ เริ่มพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างมีแต่จะด้อย
ลง ไม่ใช่จากสัตว์เซลเดียวแล้วขยายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น แต่คนที่ไม่ต้องการรับพระเจ้าก็ยังยืนยันที่จะเชื่อทฤษฎีซึ่งเปลี่ยนสมมติฐานไปเรื่อย ๆ น่าเสียดาย
ที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้เสียเวลาของชีวิตอันแสนสั้น เพื่อพิสูจน์ว่า ในจักรวาลนี้ไม่มีพระเจ้าใจของเขามืดไป ไม่อาจรับความสว่างได้…
โรม 1:22-23
เวลาเราย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า และกราบไหว้รูปปั้นใด ๆ ที่เป็นรูปคน สัตว์ เราก็จะรู้สึกแย่เอามาก ๆ ว่า ทำลงไปได้อย่างไรกัน เมื่อ
ก่อนทำไมจึงมืดบอดได้ขนาดนี้ จำได้ไหมถึงวันที่เราวางใจในสร้อยตะกรุดของเราที่คิดว่าจะกันไม่ให้ผีเข้ามาสิงเรา ตอนนั้นเราคิดว่า ตัวเองเก่งและรู้
จักผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจจะช่วยได้ โดยไม่ได้รู้เลยว่าเป็นแค่มารปลอมตัวมาให้เราหลงทาง หลงกราบหลงไหว้และหลงให้ความไว้วางใจ
โรม 1:24
มีการเอามาทำเป็นภาพยนต์โดยมีบทให้ตัวเอกในหนังหลายเรื่อง มีพฤติกรรมที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นบาป พยายามทำให้เป็นพฤติกรรมธรรมดาที่รับได้ ความจริงคนที่กระทำการเช่นนี้เขารู้ตัวว่ามันผิดธรรมชาติ แต่ก็พอใจที่จะทำและเกลียดชังคนที่ไม่รับพฤติกรรมเช่นนี้ไปด้วย มันเป็นบาปที่มีการทำให้กลายเป็นถูกกฎหมาย แต่ยังฝืนกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาอยู่ดี
โรม 1:25
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง สมควรที่เราจะนมัสการเป็นผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายควรตามหาเพื่อขออยู่ใต้ร่มพระคุณ การที่เอาความจริงของพระเจ้าแลกความ
เท็จนั่นก็คือ แทนที่จะเลือกนมัสการพระเจ้าผู้คนกลับเลือกชื่นชมกับไอดอล รูปปั้นต่าง ๆสิ่งที่นิยมกันในช่วงเวลานั้น แทนที่จะยึดมั่นในพระเจ้า ก็กลับเชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่คนโอ้อวดว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ ทำให้รวย ทำให้สวย ทำให้ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
โรม 1:26
นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านเปาโลกล่าวว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนกระทำตามความต้องการทางชั่วของเขาเอง เรารู้ว่า ถ้าพระเจ้าไม่ปล่อย พระองค์จะทรงทำอะไรก็ได้ จะลงโทษอย่างทันทีทันควันก็ได้ แต่เรารู้ว่า พระเจ้าทรงดี ทรงอดกลั้น และอดทนนานมาก เพื่อให้เขาคิดใหม่ กลับใจใหม่ (โรม 2:2-3)
โรม 1:27
ท่านเปาโลได้เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการชี้ให้ผู้เชื่อในโรมได้รู้ว่า การนิยมความสนุกทางเพศแบบนี้อย่างดาษดื่น เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาจะต้องถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการไม่ทำตาม ละเว้นจากสิ่งที่สังคมโรมกำลังนิยมชมชอบ ดังนั้นจะเห็นว่า ความเชื่อของคริสเตียนนั้นตรงข้ามกับโลกอย่างสิ้นเชิง สังคมโรมเกลียดชังคริสเตียนเพราะพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นต่ำทรามเพียงใด
โรม 1:28
ข้อนี้เป็นความคิดที่ต่อเนื่องมาจากข้อก่อน ๆ ในเรื่องที่ว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ไม่สนใจ ไม่ติดตาม คนที่ไม่เห็นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ
สำหรับชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าทรงปล่อยและตรงนี้เอง ทำให้พวกเขาจะรู้สึกว่า อะไรก็โอเคไม่ต้องรับผิดชอบกับใคร จากความคิดที่ทำให้เกิด
ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ ต่อมาก็เป็นความคิดที่เสื่อมทรามทำให้คนเราสามารถทำได้ทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตของตนตกต่ำลงไปอีก
โรม 1:29
พระคำข้อนี้ ท่านเปาโลอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หันเหไปจากความจริงจากพระเจ้า แต่หากเราคิดในระดับชาติ เราจะพบว่า ในสังคมของเรานั้น คนที่
ต้องการควบคุมคนอื่น คนมีอำนาจ จะควบคุมให้คนอื่นทำตามอย่างเขาต้องการ ให้ใช้ชีวิตแบบที่เอื้อประโยชน์กับพรรคพวกของเขา จึงเกิดความทุกข์
ไม่ใช่สันติสุข เราเห็นความพยายามที่จะแก้กฎหมายให้พวกตนเองได้รับประโยชน์ ผู้คนจะทุกข์ยากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สนใจ
โรม 1:30-31
คนที่มุ่งมั่นใช้ชีวิตบาป ไม่อาจรักพระเจ้าได้ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าไม่ตรงกับความต้องการของเขาและเขาตกอยู่ใต้อำนาจมารที่ทำลายชีวิตตนเอง
เวลาเดียวกัน เขาต้องการพวกพ้อง จึงต้องทำทีว่ารัก และเห็นใจคนอื่น ชักชวนคนอื่นให้ทำบาปอย่างเขา ตรงนี้ที่ทำให้โลกยิ่งไม่น่าอยู่เข้าไปอีก คนที่
น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ถูกหลอก ถูกทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นเหมือนปลาที่ถูกจับเป็นฝูง
โรม 1:32
การที่คนเราเกลียดพระเจ้าทำให้เขาทำทุกอย่างที่จะให้คนเกลียดชังกัน ทำทุกอย่างที่จะชักชวนให้คนทำชั่วต่อกัน ชวนให้ผู้คนทำร้ายตัวเอง ในโลก
ของยาเสพติด โลกของการค้ามนุษย์ การล่อลวงให้ร่ำรวยอย่างแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เป็นการล่อให้คนมีความสุขที่ไม่จริง ทั้งอันตรายผสมอยู่กับความทุกข์ทรมานเพราะการหลงเชื่อคนที่ทำชั่ว คนเหล่านี้ ไม่ได้ทำชั่วคนเดียวแต่ยังช่วยกันทำเพื่อทำร้ายคนอื่นอีกด้วย

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:11; กิจการ 9:15; 13:2
2* กิจการ 26:6; กาลาเทีย 3:8
3* กาลาเทีย 4:4
4* สดุดี 2:7; 16:10-11; กิจการ 9:20; 13:33; ฮีบรู 9:14
5* เอเฟซัส 3:8; กิจการ 6:7; 9:15
6* 1 เปโตร 2:9
7* 1โครินธ์ 1:2, 24; 1:3
8* 1โครินธ์ 1:4; โรม 16:19
9* โรม 9:1; กิจการ 27:23;
1 เธสะโลนิกา 3:10
11* โรม 15:29

12* ทิตัส 1:4
13* 1 เธสะโลนิกา 2:18; ฟีลิปปี 4:17
14* 1โครินธ์ 9:16-23
15* โรม 15:20
16* สดุดี 40:9-10; 1โครินธ์ 1:18,24; กิจการ 3:26
17* โรม 3:21; 9:30; ฮาบากุก 2:4
18* กิจการ  17:30; 2 เธสะโลนิกา 14:17
19* กิจการ 14:17;17:24; ยอห์น 1:9
20* สดุดี 19:1-6
21* เยเรมีย์ 2:5

22* เยเรมีย์ 10:1423* 1 ทิโมธี 1:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:16-1
24* เอเฟซัส 4:18-19; 1โครินธ์ 6:18; เลวีนิติ 18:22
25* 1 เธสะโลนิกา 1:9; อิสยาห์ 44:20
26* เลวีนิติ 18:22
27* เลวีนิติ 20:13; 18:22
28* เอเฟซัส 5:4
29* 2 โครินธ์ 12:20
30* 2 ทิโมธี 3:2; ยูดา 1:16
31* 2 ทิโมธี 3:3; สุภาษิต 18:2

ฮาบากุก 3 พระเจ้าผู้ทรงเป็นกำลัง

คำอธิษฐานของฮาบากุก มองไปในอนาคต และเกิดความเชื่อวางใจสรรเสริญพระเจ้า ตามที่เขามองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ
1 คำอธิษฐานของฮาบากุก ผู้เผยพระคำของพระเจ้าตามทำนอง ชิกิโอโนท
2 โอ พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสถึงพระเกียรติเลื่องลือของพระองค์ และข้าพเจ้าก็ครั่นคร้าม
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจนั้นให้คนได้รู้กัน ในช่วงเวลากลางปีนี้ ในยามที่ทรงพระพิโรธ ขอทรงระลึกถึงพระเมตตาด้วย

3 พระเจ้าเสด็จมาจากเทมาน องค์ผู้บริสุทธิ์เสด็จมาจากภูเขาปาราน
เซ-ลาห์
ความงามตระการของพระองค์ปกคลุมฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยคำสรรเสริญ
4 ความเจิดจ้าของพระองค์เป็นเหมือนแสงสว่าง
เป็นรังสีที่แปลบปลาบจากพระหัตถ์ และพระองค์ทรงซ่อนฤทธานุภาพของพระองค์ไว้ ณ ที่นั้น
5 ภัยพิบัตินำหน้าพระองค์ไปและโรคระบาดตามย่างพระบาทของพระองค์

6 เมื่อพระองค์ประทับยืน ทรงวัดแผ่นดิน พระองค์ทอดพระเนตร และชาติ
ต่าง ๆ ก็สั่นสะเทือน 
แล้วภูเขาที่มั่นคงนิรันดร์ ก็พังทลาย
เนินเขาที่ยั่งยืนก็จมลงไป
วิถีของพระองค์นั้นดำรงเป็นนิตย์
7 ข้าเห็นเต็นท์ของชาวคูชันกำลังเจอความยากลำบาก
และที่อาศัยของดินแดนมีเดียน
ก็กำลังสั่นไหว
8 โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงโกรธกริ้วแม่น้ำทั้งหลายหรือ?
ขณะที่พระองค์ทรงม้าบนรถรบแห่งความรอดของพระองค์นั้น
พระองค์กำลังทรงกริ้วแม่น้ำ และทรงโกรธทะเลอย่างนั้นหรือ?

9 พระองค์ทรงหยิบคันธนูจากแล่ง ทรงเรียกหาลูกธนูมากมาย
เซ ลาห์
พระองค์ทรงแยกแผ่นดินโลกด้วยแม่น้ำทั้งหลาย 
10 ทิวเขามองเห็นพระองค์และมันบิดตัว. กระแสน้ำโถมซัดเข้ามา  ห้วงลึก
ส่งเสียงคำรามลั่น คลื่นซัดโหมสูงยิ่ง
11 ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ต่างหยุดนิ่งในที่ของมัน
เมื่อลูกธนูของพระองค์ส่องแสงขณะพุ่งออกไป 
เมื่อหอกของพระองค์ส่องแสงแปลบปลาบดั่งฟ้าแลบ
12 พระองค์ทรงก้าวผ่านไปทั่วทั้งแผ่นดินด้วยพระพิโรธ
พระองค์ทรงเหยียบย่ำชาติต่าง ๆ ในความกริ้ว

13 พระองค์เสด็จออกไปเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด
เพื่อความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิม 
พระองค์ทรงบดขยี้หัวหน้าของวงศ์วานคนชั่วร้าย ทรงทำให้เขาเปลือยตั้งแต่ขาอ่อนถึงคอ (หัวจรดเท้า) เส-ลาห์
14 พระองค์ทรงแทงศีรษะของหัวหน้านักรบด้วยลูกธนูของเขาเอง
เมื่อนักรบเหล่านั้นบุกเข้ามาเพื่อทำให้พวกเรากระจัดกระจายไป
พวกเขาร่าเริงเหมือนกับได้เข้า
มาปล้นสะดมคนยากไร้อย่างลับ ๆ
 

15 พระองค์ทรงย่ำทะเลด้วยฝูงม้าของพระองค์
ห้วงน้ำมหึมาจึงเกิดคลื่นปั่นป่วน
16  ข้าพเจ้าได้ยิน และร่างของข้าพเจ้าก็สั่นระรัว
 ริมฝีปากของข้าพเจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียง
กระดูกของข้าพเจ้ากลับอ่อนแรงลงไปขาของข้าพเจ้าก็สั่น
แต่ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าจะอดทนรอวันแห่งความลำบาก
ที่จะมาถึงคนที่เข้ามาโจมตีเรา

บทเพลงแห่งความเชื่อ
17 แม้ว่าต้นมะเดื่อจะไม่ผลิดอก
หรือเถาองุ่นไม่ออกผล
ผลผลิตจากมะกอกก็แห้งไป
และทุ่งนาก็ไม่เกิดอาหาร
ฝูงแพะแกะไม่เหลือในคอก
ไม่มีวัวในโรงวัว
18 ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะยินดีในองค์พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะยกย่ององค์พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า (พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้)

19 พระเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
(ผู้ปกป้อง กำแพง)
พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าเป็นเหมือนเท้าของกวาง 
พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้า
ไต่ขึ้นไปบนที่สูง 
ถึงหัวหน้าวงดนตรี โดยใช้เครื่องสายของข้าพเจ้า

อธิบายเพิ่มเติม

ฮาบากุก 3:1-5
3:1 ถึงเวลานี้ ฮาบากุกรู้แล้วว่า พระเจ้าทรงส่งบาบิโลนมาสั่งสอนอิสราเอลก็จริง แต่พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์ให้เขาทำร้ายประชาชนเกินเลยขนาดที่พวกเขาทำ และบาบิโลนเองก็มีคดีติดตัวที่จะต้องรับการลงโทษด้วย เขาเห็นแล้วว่า ความทุกข์ใจที่เขามีต่อคนอิสราเอลที่ทำผิดแล้วทูลถามพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบให้เขารู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเมินเฉย อิสราเอลจะต้องรับโทษ และเมื่อคนที่พระองค์ทรงใช้ทำเกินหน้าที่ เขาก็ต้องรับโทษเช่นกัน
คำว่า ชิกิโอโนท มีบันทึกสองครั้งในพระคัมภีร์ น่าจะหมายถึงทำนองแบบหนึ่งในการร้องสรรเสริญ
3:2 พระดำรัสของพระเจ้าที่ฮาบากุกได้ยินมาก่อนหน้านี้คือ ราชกิจที่ทรงนำชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นสดุดีของโมเสส อพยพ 15:1-21 เมื่อเขาทบทวนเปรียบเทียบราชกิจของพระเจ้า และการงานของมนุษย์เขาก็รู้สึกครั่นคร้าม และเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาทูลขอให้ผู้คนได้รับรู้ถึงอานุภาพของราชกิจนั้นในกลางปี แปลว่า ขอทรงทำอย่างรวดเร็ว เขากลัวพระเจ้ามากจนต้องอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเมตตาในยามที่ทรงพิโรธคนของพระองค์
3:3 เทมานแปลว่า ใต้ กล่าวถึงพร้อมภูเขาปาราน ฮาบากุกกล่าวถึงสถานที่นี้เพื่อให้คนอ่านได้ระลึกถึงราชกิจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอันน่ากลัว เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2 เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ที่ภูเขาซีนาย
(คำว่า เซ ลาห์ เป็นคำที่ใช้เหมือนสร้อยในบทเพลง เป็นช่วงให้หยุดพักนิดหนึ่ง ความหมายคล้ายอาเมน) ฮาบากุกย้อนไปถึงวันนั้นว่า ประชาชนอิสราเอลได้เห็นพระสิริของพระเจ้าเต็มท้องฟ้า และพวกเขาได้สรรเสริญพระองค์ในบรรยากาศนั้น
3:4 ฮาบากุกเปรียบเทียบการประทับอยู่ของพระเจ้าว่ามาพร้อมกับ ฟ้าแลบ ฟ้าคำราม ความมืด (อพยพ 19:18-20 ) ที่ชาวอิสราเอลได้เห็นนั้น เป็นเพียงเล็กน้อยของฤทธานุภาพของพระองค์ หากพระองค์ปล่อยมาหมด คนทั้งโลกคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้
3:5 ภัยพิบัติ และโรคระบาดนี้ สื่อถึงการพิพากษาของพระเจ้า (อพยพ 7:14-12:30; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:21-22 )

ฮาบากุก 3:6-12
3:6 ทรงวัดแผ่นดิน หมายถึง….แผ่นดินที่สั่นสะเทือน เหล่านี้ บอกผู้รับใช้ของพระเจ้าว่า พระองค์กำลังเสด็จมา คนอิสราเอลโบรานมองว่า ภูเขาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานโลก การสั่นสะเทือน การพังทลายของภูเขาถือเป็นการพิพากษาลงโทษของพระเจ้า (เยเรมีย์​4:24-26; 10:10) พระเจ้าจะทรงทำให้ภูเขาทั้งหลายเปลี่ยนแปลง เนินเขาก็ต้องน้อมตัวลง
3:7 ชาวคูชัน (เอธิโอเปีย อัฟริกา)และชาวมีเดียน เป็นตัวแทนของชนชาติที่มีอำนาจ ต้องเจอกับฤทธิ์ของพระเจ้า พวกเขาสั่นไหวเมื่อเผชิญพระพิโรธของพระเจ้า พระเจ้าจะเปลี่ยนพวกเขา เพราะพวกเขาอยู่ใต้อำนาจชั่วร้าย
3:8 แม่น้ำ.. พระเจ้าทรงโกรธกริ้วแม่น้ำหรือ? ถ้าเราเปลี่ยนแม่น้ำเป็นทะเลล่ะ การโกรธนี้เพื่อช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ทรงรถม้าแห่งความรอดเพื่อนำมาซึ่งความรอด … พระเจ้าต้องการให้เกิดสิ่งดีขึ้น
รถรบแห่งความรอดนี้คือ ความรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมช่วยกู้คนของพระองค์ พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ เหนือ แม่น้ำไนล์ (อพยพ 7:14-24) ทะเลแดง (อพยพ 14:2-15:5) แม่น้ำจอร์แดน (โยชูวา 3:14-17) ให้คนอิสราเอลได้ประจักษ์ในฤทธานุภาพของพระองค์ พวกเขาไม่ได้ขาดการอัศจรรย์ของพระเจ้าเลย
3:9 แผ่นดินโลกถูกแยก จึงทำให้มองเห็นความชั่วช้าของโลกนี้ เป็นการเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ .. การพิพากษาของพระองค์เพื่อ ให้เกิดสิ่งดี เปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายกลายเป็นดี
3:10 ภูเขาเห็นพระองค์ บิดตัวกำลังพูดถึง ผู้ปกครองชาติต่าง ๆ เห็นพระองค์ ก็กลัวพระเจ้าจะยกพระหัตถ์ขึ้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เที่ยงธรรม
3:11 แสงสว่างมีไว้เพื่อเปิดเผยบางอย่าง มันนิ่งในที่ของมัน แต่ยังสว่าง เน้นการเปิดเผย
ลูกธนู หอก พระเจ้าจะเปิดเผยการพิพากษาของพระองค์อย่างให้ชัดเจน สว่างจ้า ฟ้าแลบออกมา เป็นแสงที่เข้มข้นเคลื่อนไหวอย่างเร็วที่ไม่อาจเดาได้ ฮาบากุกกำลังกล่าวถึงสงครามเกิดขึ้นที่กิเบโอน (โยชูวา 10:12-13) ซึ่งอาทิตย์ จันทร์หยุดนิ่ง เขามองว่า พระเจ้าทรงเป็นนักรบที่ส่งลูกธนูและหอกออกไปทำลายศัตรู (สดุดี 18:14)
3:12 พระเจ้าเสด็จไปทั่ว และพระองค์ทรงจัดการกับทุกชาติ พระพิโรธของพระองค์จะมาถึงทุกชาติ
ถ้าไม่มีพระพิโรธจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มี

ฮาบากุก 3:13-16
3:13 ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์พระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลกนี้ และทรงบดขยี้ มาคัสตา (מָחַ֤צְתָּ)หัวหน้าวงศ์วานคนชั่วร้ายก็คือซาตานด้วย ทรงประจานซาตานโดยกางเขน (โคโลสี 2:15) หัวหน้าวงศ์วานคนชั่วร้ายต้องพ่ายแพ้ต่อพระองค์ การเปลือยแบบนี้คือ การพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้พังพินาศหมดไป แต่ต้องการให้มีการกลับใจ เปลี่ยนแปลง
3:14 ที่น่าสนใจ มีคนแปลข้อความนี้ว่า…​ลูกธนูของเขาแทงหัวเขาเอง ใช่แล้วหอกที่แทงสีข้างของพระเยซูบนกางเขนนั้น ได้หันมาประหารซาตาน นักรบที่บุกมาเพื่อทำให้เรากระจัดกระจายไปก็คือ เหล่าคนที่มาเยาะเย้ยพระเยซูที่ไม้กางเขน ทำให้ศิษย์และผู้เชื่อต้องแอบไปอยู่ในที่ห้องชั้นบนนั้น คนดีใจที่อิสราเอลลำบาก
3:15 ตอนนี้พูดถึงการข้ามทะเลแดง และพระเจ้าทรงทำลายกองทัพฟาโรห์ ??
3:16 ฮาบากุกสรุปให้กับตัวเองว่า เขาเองนั่นแหละที่ต้องรอวันพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล ใช่.. เป็นการรอที่กลัวจริง ๆ รอคนที่เข้ามาโจมตี  และนำพวกเขาไปเป็นเชลยก็คือ ชาวบาบิโลน 

ฮาบากุก 3:1-5 บทเพลงแห่งความเชื่อ
3:17 ตอนนี้ ฮาบากุกรู้ว่า จะเกิดหายนะกับคนอิสราเอล พวกเขาจะตกในเงื้อมมือของศัตรูที่โหดร้ายมาก เขาเปลี่ยนไป เขาตระหนักแล้วว่า พระเจ้าเท่านั้น ที่ทรงครองโลกสูงสุด ไม่ใช่ตัวเขาที่จะมาต่อต้านว่า พระเจ้าน่าจะทำอย่างนี้หรืออย่างนั้น ข้อสิบเจ็ดนี้ เป็นภาพที่ฮาบากุกมองเห็นอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อถูกศัตรูเข้ามาทำร้ายยับเยิน ดังนั้น เมื่อขาดอาหาร ขาดแพะแกะคือประชาชนไม่เหลือในอิสราเอล ไม่มีวัวในโรงวัว คือ ประชาชนไม่อยู่ในแผ่นดินอีกแล้ว
แม้ฮาบากุกจะต้องเจอ เจ็ดสิบปี กับความทุกข์ยากสาหัส เพราะพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลง
3:18 ฮาบากุกรู้ว่า เขาวางใจพระเจ้าได้ และเชื่อว่า พระองค์จะทรงทำกับพวกเขา กับศัตรูของพวกเขาอย่างยุติธรรม สิ่งดีที่สุดสำหรับเขาเวลานี้ คือ การยินดีทั้งในพระเจ้า ในหนทาง และในแผนการของพระองค์ พระเจ้ากลายมาเป็นความรอดของเขาทั้งที่อนาคตดูมืดมน
ข้าจะยินดีในพระยาห์เวห์
3:19 จากมุมมองที่เห็นว่า พระเจ้าทรงนิ่งเฉยในบทที่ 1 บัดนี้ เขาเรียกพระเจ้าว่า ทรงเป็นองค์เจ้านายที่ทำให้เขาว่องไว มั่นคง สามารถก้าวขึ้นไปในที่สูงเหมือนกับกวางที่สามารถก้าวขึ้นไปยังภูเขาสูงที่ขรุขระโดยไม่เป็นอันตราย (มาลาคี 4:2)เขาส่งเพลงนี้ให้กับหัวหน้าวงดนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลนักดนตรีในพระวิหาร เขาใช้เครื่องสายในการทำเพลง เห็นได้ชัดว่า ฮาบากุกใช้ข้อความตอนนี้เพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน
หมายเหตุ ปราชญ์ฮีบรูที่แปลภาษาฮีบรูไปกรีก ได้แปลตอนนี้เพื่อให้กำลังใจว่า
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า และพระองค์จะทรงจัดให้เท้าของข้าไปจนจบ (สำเร็จเสร็จสิ้น) พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปยังที่สูง เพื่อว่าข้าพเจ้าจะชนะได้โดยบทเพลงของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 90:1-17
2* สดุดี 85:6; โฮเชยา 6:2-3
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; โอบาดีย์ 1:9
4* มัทธิว 17:2; อิสยาห์ 60:19-20
5* อพยพ 12:29-30; กันดารวิถี 16:46-49
6* ปฐมกาล 49:26; นาฮูม 1:5
7* อพยพ 15:14-16; สดุดี 83:5-10

8* สดุดี 68:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:26-27
9* สดุดี 7:12-13; 105:41
10* สดุดี 93:3; ฮีบรู 11:29
11* สดุดี 144:5-6; 18:12-14
12* มีคาห์ 4:12-13; เยเรมีย์ 51:33
13* สดุดี 110:6; 105:15

14* เศคาริยาห์ 9:14; ดาเนียล 11:40
15* สดุดี 77:19
16* เยเรมีย์ 23:9; ดาเนียล 10:8
17* เยเรมีย์ 5:17; โยเอล 1:16-18
18* โยบ 13:15; ฟีลิปปี 4:4
19* 2 ซามูเอล 22:34; สดุดี 18:33



ฮาบากุก 2 วิบัติทั้งห้า

2 ฮาบากุกรอคอยการตอบของพระเจ้า
คำถามของฮาบากุก
คำตอบจากพระยาห์เวห์คำบัญชาของพระเจ้าให้เขียน
2 พระยาห์เวห์ทรงตอบข้าพเจ้าว่า
จงเขียนนิมิตนี้ลงไป จารึกลงบนแผ่นศิลาให้เห็นชัดเจน
เพื่อว่าคนที่อ่าน ยังจะอ่านได้ชัดเจน
3 เพราะการเปิดเผยในนิมิตกำลังรอให้ถึงเวลากำหนด เป็นเรื่องของวาระสุดท้าย และพิสูจน์ได้ว่า ไม่ใช่คำเท็จ

แม้จะดูเนิ่นช้า ก็ขอให้รอต่อไป
เพราะมันจะมาถึงแน่และไม่ล่าช้า
ดูเถิด เขากำลังพองตัวขึ้น เขาไม่มีความถูกต้อง
แต่คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ
5 ความจริงคือ เหล้าองุ่นนั้นทรยศเขา บุคคลที่หยิ่งยะโสไม่เคยนิ่งสงบได้ ความอยากของเขานั้นขยายกว้างออกราวกับแดนตาย เขาเป็นเหมือนความตายที่ไม่เคยอิ่ม เขารวบรวมชาติต่าง ๆ มาเป็นของตน และกวาดคนมากมายไปเป็นเชลย

วิบัติทั้งห้าที่คนชั่วร้ายต้องเผชิญ
6 คนทั้งหลายจะไม่ร้องเยาะเย้ยด้วยวาจาเสียดสี กระทบกระเทียบเปรียบเปรยเกี่ยวกับเขาหรือว่า “วิบัติแก่คนที่สะสมกักตุนสิ่งที่ไม่ใช่ของตน และกอบโกยความมั่งคั่งด้วยการขู่เข็ญ.. จะเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไรหรือ?
7 แล้วเจ้าหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกฮือขึ้นมาอย่างทันควันหรือ?
เขาจะไม่ตื่นขึ้นมา ทำให้เจ้าต้องตัวสั่นด้วยความกลัวหรือ?
แล้วเวลานั้น เจ้าจะกลายเป็นเหยื่อของเขา
8 เนื่องจากเจ้าได้ปล้นสะดมชาติต่าง ๆ มากมาย
ชาติที่เหลืออยู่จะกลับมาปล้นเจ้า
และเป็นเพราะเจ้าทำให้คนต้องหลั่งเลือด
เกิดความรุนแรงในแผ่นดิน ในเมืองต่าง ๆ
และกับผู้คนที่อาศัยในนั้น

9 วิบัติมีแก่คนที่สร้างบ้านเรือนของตนจากสิ่งที่ได้มาจากการคดโกง เพื่อสร้างรังไว้บนที่สูง เพื่อหลบหนีเงื้อมมือของความหายนะ
10 แผนของเจ้าจะทำให้ครอบครัวเจ้าต้องอัปยศอดสู เพราะเจ้าได้ทำลายชาติต่าง ๆ มากมาย เจ้าจะทำลายตัวเจ้าเอง
11  เพราะก้อนหินบนผนังจะส่งเสียงร้องออกมาจากผนัง และไม้คานก็จะร้องตอบกลับมา
12  วิบัติมีแก่คนที่สร้างเมืองด้วยการนองเลือด และวางรากฐานของเมืองด้วยความอยุติธรรม !
13  พระยาห์เวห์องค์จอมทัพได้กำหนดไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า แรงงานของประชาชนนั้นจะกลายเป็นเชื้อไฟ
และงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยกลับไร้ประโยชน์?
14  เพราะว่า โลกนี้จะเต็มด้วยความรู้
ถึงพระสิริของพระยาห์เวห์ ดั่งมวลน้ำที่ปกคลุมท้องทะเล

15 วิบัติแก่คนที่ให้เพื่อนบ้านดื่ม โดยเทเหล้าจากถุงหนังให้เขาจนเมา เพียงเพื่อต้องการดูร่างเปลือยของพวกเขา
16  เจ้าเองจะมีความอับอายแทนเกียรติยศ
และเจ้าเองก็ดื่มเช่นกัน และก็เปลือยอย่างคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถ้วยจากพระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กำลังเวียนมาต่อต้านเจ้า
แล้วความอัปยศจะเข้ามาปกคลุมเหนือเกียรติยศของเจ้า
17 เพราะความรุนแรงที่เจ้าทำต่อเลบานอนจะท่วมท้นตัวเจ้า การที่เจ้าทำร้ายสัตว์ต่าง ๆ โดยทำให้มันหวาดกลัว เพราะการที่เจ้าทำให้คนต้องหลั่งเลือด เพราะความรุนแรงต่อแผ่นดิน เมืองต่าง ๆ และคนที่อาศัยในนั้น

18 รูปเคารพมีค่าอะไรในเมื่อมีคนแกะสลักมันขึ้นมา
 หรือรูปบูชาที่สอนความเท็จ
เพราะคนที่ทำมันขึ้นมาวางใจในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น
 เขาทำรูปเคารพซึ่งไม่สามารถพูดได้
19 วิบัติแก่คนที่พูดกับสิ่งที่เป็นไม้ว่า ‘จงมีชีวิตขึ้นมา’หรือพูดกับหินซึ่งไม่มีชีวิตว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด’
มันให้คำแนะนำได้หรือ มันถูกแปะด้วยทองคำ
และแร่เงินไม่มีลมหายใจ
20 แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์ให้ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
นิ่งเงียบ ณ เบื้องพระพักตร์พระองค์”

อธิบายเพิ่มเติม

ฮาบากุก 2:1-5
2:1 เมื่อได้คำตอบจากพระเจ้าครั้งแรก เข้าใจแล้วว่า พระองค์จะใช้บาบิโลนมาสั่งสอนคนของพระองค์ ฮาบากุกก็ขึ้นไปประจำการเป็นยามบนกำแพงเมือง และเฝ้ายามอยู่ นี่คือ ยิ่งมองออกไปไกล ยิ่งหนักใจ เขาไม่อยากให้คำตอบที่ได้มานั้น เกิดขึ้นจริง เวลานี้เขาขึ้นมาบนกำแพงเมืองเพื่อจะฟังคำตอบของพระเจ้า
2:2 คราวก่อน พระเจ้าทรงตอบโดยการให้เขามองออกไปท่ามกลางชาติต่าง ๆ เขาต้องคอยพิจารณาดูว่า แต่ละชาติล้อมรอบนั้นเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงสั่งเขียนนิมิตลงไปบนแผ่นหิน ในภาษาเดิมชัดว่าเป็นหลายแผ่น เมื่อเขียนก็เขียนให้ชัด ตัวโต อ่านง่าย ใครเห็นก็อ่านออกทันที แม้จะมองอย่างรวดเร็วก็อ่านได้ ไม่มีใครจะพลาดข่าวที่บอกอนาคตครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้เขารักษาคำพยากรณ์นี้ไว้ เพื่อผู้คนจะได้รับรู้กันไปทั่ว 
2:3 พระเจ้าทรงท้าทายเลยว่า คำที่พระองค์ให้เขียนลงไป ไม่เป็นเท็จ จะเกิดขึ้นแน่ตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
 2:4 เห็นชัดว่า คนเย่อหยิ่งพึ่งตนเอง แต่คนที่ถ่อมตนจะวางใจพระเจ้า คนที่เที่ยงธรรมจะอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สถานการณ์จะดูกู้ไม่ได้ อาจถึงชีวิต แต่เขาก็ยังดำเนินในความเชื่อ อย่างเช่น เพื่อนทั้งสามของดานิเอลที่ถูกทิ้งในกองไฟ หรือดานิเอลเองที่ถูกทิ้งลงในถ้ำสิงโต (ดาเนียล 3, 6)
2:5 ข้อนี้ ฮาบากุกกำลังกล่าวถึง คนที่หยิ่งยะโส นั่นก็หมายถึงบาบิโลนนั่นเอง  พระยาห์เวห์ทรงบอกเลยว่า ที่เขาชั่วช้า ไม่หยุดที่จะทำร้ายคนอื่นนั้นเป็นเพราะเหล้าองุ่นที่พวกเขาดื่มไม่ยั้ง ทำให้ขาดสติ ไม่นิ่งสงบ ความต้องการของเขาเป็นเหมือนแดนตายที่ไม่เคยพอใจ ต้องการให้มีคนตายมากขึ้น ๆ (สุภาษิต 30:15)  พวกเขาพยายามกวาดคนทุกชาติมาเป็นข้ารับใช้ของตนเอง และสร้างความยิ่งใหญ่ของตนด้วยแรงงานของคนเหล่านี้ 

ฮาบากุก 2:6-11
บาบิโลนจะพบกับวิบัติห้าอย่าง … เพราะบาปทั้งห้าเวลาจะประกาศวิบัติ จะมีสองตอนคือ บอกว่าบาปนั้นคืออะไร และโทษคืออะไร
2:6 พระเจ้าทรงอธิบายกับฮาบากุกให้ทราบว่า คนที่ถูกพวกเขาทำร้าย จะไม่อยู่นิ่ง แต่โกรธแค้นและประกาศถึงสิ่งที่บาบิโลนทำ ความผิดแรกคือ การที่บาบิโลนไปปล้น เอาทรัพย์สมบัติจากประเทศต่าง ๆ มา รวมทั้งจากอิสราเอลด้วย แล้วก็เอาไปเก็บไว้ในคลังของตน นี่เป็นบาปแรกที่จะทำให้เกิดวิบัติแก่เขา
2:7 จากที่บาบิโลนเคยไปปล้นคนอื่น แล้ววันหนึ่งเขาจะถูกปล้นเช่นกัน สิ่งที่เขาเคยทำกับยูดาห์ จะกลับมาหาพวกเขา คำว่าเจ้าหนี้ มีความหมายที่รวมไปถึงคำว่า กัด คนที่เคยถูกบาบิโลนทำร้าย ชาติที่เคยถูกเรียกภาษีอย่างหนัก เป็นชาติที่จะกลับมาโจมตีอย่างรวดเร็ว
2:8 การที่เคลเดียหรือบาบิโลนปล้นชาติต่าง ๆ ทำให้เกิดการนองเลือด ความรุนแรง กับประชาชน ยังมีชาติที่เหลือ..จะเข้ามาปล้นบาบิโลน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า
2:9 ชาวเคลเดียได้สร้างบ้านเรือนด้วยเงิน ด้วยวัสดุต่าง ๆ ที่ยึดคนอื่นเขามา แล้วแถมยังพยายามสร้างบ้านให้สูง เพื่อป้องกันการบุกรุกเอาคืนจากผู้ที่พวกเขาปล้นมา คนเหล่านี้ทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งร้าย หายนะกับพวกเขา ไม่ว่าจากสัตว์ร้ายหรือศัตรู
2:10 ความผิดที่สองคือการโกงเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นทุนสร้างเมืองของตนเอง การที่พวกเขาทำลายคนอื่นมาก่อน สิ่งที่เขาทำเพื่อตัวเองนั้น กลับกลายทำให้ตนเองอัปยศ และทำลายตัวเขาเอง พระเจ้าจะทรงให้บาบิโลนได้รับผิดชอบต่อการที่เขาสังหารคนจำนวนมาก
2:11 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้น เป็นหลักฐานให้เห็นว่า เขาได้กระทำผิดอย่างไรบ้าง เป็นหลักฐานที่เด่นชัด ไม่มีทางปฏิเสธได้
นี่เป็นเหมือนบทกวี

ฮาบากุก 2:12-14
2:12 บาบิโลนยังได้สร้างเมืองของพวกเขาจากการนองเลือดในประเทศต่าง ๆ พวกเขาบังคับแรงงาน จากเชลยศึกให้สร้างเมืองสร้างบ้านเรือนให้กับพวกเขา พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาเข้มแข็ง แต่ความจริงนั้นตรงข้าม
2:13 แต่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่า ถึงอย่างนั้น แรงงานที่ลงไป ก็จะเหมือนไฟที่ไหม้ทุกอย่างทั้งหมด เป็นแรงงานที่พวกเขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะในที่สุด มันจะถูกทำลายไปหมด คำถามนี้ต้องการคำตอบว่า ไม่
2:14 แล้วพระเจ้าทรงย้อนกลับมากล่าวถึงพระสิริของพระองค์ที่ในยุคต่อมานั้นผู้คนจะจับต้อง รู้จักพระเจ้าได้ง่าย ความรู้ในพระองค์จะท่วมท้นโลกนี้ เราเองก็สัมผัสเรื่องนี้ในยุคเราที่สามารถเข้าถึงพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างง่ายดายไม่เหมือนในอดีต
พระเจ้าทรงให้เห็นความแตกต่างของเทพของบาบิโลนกับพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ …​ พระเจ้าทรงสัญญาว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักรู้ทุก ๆ วัน

ฮาบากุก 2:15-17
2:15 ความผิดที่สี่ซึ่งจะทำให้ได้รับวิบัติคือ การหมกมุ่น ทำร้ายคน ทำทารุณกรรมในเรื่องเพศ พวกเขามอมเมาคนเพื่อให้คนนั้นขาดสติ ทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาสั่งตามต้องการ (ร่างเปลือยมีความหมายถึงความอับอาย) ต้องการเปิดเผยคน ๆ นั้น ทำให้พวกเขาเป็นเหยื่อทางเพศ ทำสิ่งวิตถารต่าง ๆ ที่พวกเขาพอใจ และได้หัวเราะเยาะเหยื่อเหล่านั้นอย่างไร้ความปรานี
2:16 ผลที่จะได้รับจากการทำเช่นนั้นคือ เขาจะได้รับความอับอายเช่นกัน จะถูกทำให้เปลือยอย่างคนไม่ได้เข้าสุหนัต (ไม่มีพันธสัญญากับพระเจ้า) ไม่มีการเชื่อมโยงใด ๆ กับพระเจ้า พระเจ้าจะใช้ถ้วยของพระองค์มาจากพระหัตถ์ขวานั้นที่น่าจะเป็นสิ่งดีให้กับเขากลับกลายเป็นความอัปยศ
2:17 เลบานอน อาจมีความหมายในภาษาฮีบรูเพิ่มเติมจากประเทศเลบานอน คือมีความหมายว่า สีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ ชี้ไปถึงนครเยรูซาเล็ม ซึ่งมีพระวิหารของพระเจ้าอยู่ ข้อนี้มีความเชื่อมโยงกับข้อ 11 ด้วย การทำร้ายสัตว์ต่าง ๆ นี้คือ สัตว์ที่เขาเตรียมไว้ถวายพระเจ้า ชาวบาบิโลนก็เอาไปฆ่าสังเวยเทพของพวกเขา พวกเขาทำให้ชาวเยรูซาเล็มต้องตายไปมากมาย ดังนั้น พระเจ้าจะทรงเอาคืน ..เราอาจถามว่า พระเจ้าทรงส่งเขามาไม่ใช่หรือ คำตอบคือใช่ แต่บาบิโลนได้ทำเกินไปกว่าที่ควรจะทำ พวกเขาจึงต้องถูกพิพากษา

ฮาบากุก 2:18-20
2:18 แล้วพระเจ้าทรงบอกถึงความผิดชุดสุดท้ายนั่นคือ การสร้าง และกราบไหว้รูปเคารพ คนได้สร้างรูปปั้นขึ้นมากจากวัสดุต่าง ๆ ตั้งแต่ไม้ จนไปถึงทอง แล้วจากนั้นเขาก็ยกให้มันอยู่เหนือตัวของเขา ให้มันกลายเป็นสิ่งที่จะปกป้องเขาให้พ้นจากสิ่งร้าย
2:19 ความผิดสุดท้าย เป็นความผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยตรง
พระเจ้าทรงประกาศวิบัติแก่คนที่สั่งให้รูปปั้นเหล่านั้นมีชีวิต ลุกขึ้นมา แต่ความจริงคือ สิ่งเหล่านั้นไม่อาจพูดได้ .. พวกเขาทำให้ไม้ หินเหล่านี้กลายเป็นเทพเพียงเพื่อพวกเขาจะกราบไหว้ แล้วพระเจ้าทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้…. ผู้ประทับในพระวิหาร และมนุษย์จะต้องนิ่ง และทบทวนว่า พระองค์ทรงสั่งอะไร ทรงทำสิ่งใดเพื่อมนุษย์ ….
2:20 โลก ต้องนิ่งสงบต่อองค์พระเจ้า ต่อพระพักตร์ของพระองค์ ตอนนี้โลกไม่เคยสงบ ทุกคนต่างใช้วาจาปะทะตอบโต้ รองลงมาจากการทำสงครามโดยใช้อาวุธจริง แต่การสั่งให้นิ่งนั้นไม่ได้มีแค่ที่นี่ ในสดุดี 46:10 บอกว่า จงนิ่งสงบและรู้ว่า เราคือพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราจะได้รับการยกย่องในโลกพระเจ้าไม่ได้ทรงให้อิสราเอลเท่านั้นที่จะเข้ามานมัสการพระองค์ แต่คนทั้งโลกด้วย
การไหว้รูปเคารพ คือสั่งให้รูปเคารพเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่การนมัสการพระเจ้าคือ เราจำนนต่อพระองค์ และการสำแดงของพระองค์ทุกประการ
เราต้องการฟังจากพระเจ้าเพื่อเราจะเชื่อและเชื่อฟังคำของพระองค์ไหม?​

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 21:8, 11
2* อิสยาห์ 8:1
3* ดาเนียล 8:17, 19; เอเสเคียล 12:24-25;
ฮีบรู 10:37-38; 2 เปโตร 3:9
4* ยอห์น 3:36; โรม 1:17
5* อิสยาห์ 5:11-15
6* มีคาห์ 2:4
8* อิสยาห์ 33:1
9* โอบาดีย์ 4
10* นาฮูม 1:14

11* ลูกา 19:40
12* มีคาห์ 3:10
13* เยเรมีย์ 51:58
14* อิสยาห์ 11:915* โฮเชยา 7:5
16* อิสยาห์ 47:3; นาฮูม 3:5-6
17* เศคาริยาห์ 11:1; ฮาบากุก 2:8
18* เยเรมีย์ 10:8; 1โครินธ์ 12:2
19* สดุดี 135:17
20* เศฟันยาห์ 1:7

ฮาบากุก 1 เหตุใดพระเจ้าทรงนิ่ง?

1 นี่คือภาพเหตุการณ์อันน่าหนักใจ
ที่ผู้เผยพระคำฮาบากุกได้เห็น

คำทูลร้องขอพระเมตตา
2 โอ พระยาห์เวห์ 
ข้าพเจ้าจะต้องร้องทูลขอความช่วยเหลือ
อีกนานเท่าไรหรือ พระองค์จึงจะทรงฟัง?
อีกนานเท่าไรที่จะร้องทูลต่อพระองค์ว่า
“โหดร้ายนัก” แต่พระองค์ไม่เสด็จมาช่วย?
3 เหตุใดพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าต้องทนดูความอยุติธรรม
เหตุใดพระองค์ทรงทนต่อการกระทำผิด?
หายนะและความโหดร้ายท่วมท้นอยู่ต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า
4 ดังนั้น บัญญัติจึงไร้ความหมาย
ความยุติธรรมไม่อาจส่งผลสำเร็จ
เพราะคนชั่วอยู่ล้อมรอบคนเที่ยงธรรม
ความยุติธรรมจึงถูกบิดเบือน

คำตอบจากพระยาห์เวห์
5 จงมองดูชาติต่าง ๆ และสังเกตให้ดี
จงประหลาดใจอย่างที่สุด เพราะเรากำลังทำการในสมัยของเจ้า ที่เจ้าจะไม่เชื่อ แม้ว่าจะมีใครมาบอกเจ้า

6 ดูเถิด เรากำลังยกให้ชาวเคลเดียมีอำนาจขึ้น พวกเขาเป็นชนชาติที่ไร้ความปราณี และไม่อาจหยุดยั้งได้ พวกเขาจะเดินทัพไปทั่วแผ่นดินโลกเพื่อยึดครองดินแดนของผู้อื่น
7 ใคร ๆ ก็ขยาด หวาดกลัวพวกเขา พวกเขาตั้งความยุติธรรมแบบของตนเองขึ้นมา และถือว่าตนเป็นผู้ปกครองสูงสุด

คิดว่าตัวเองเก่งกล้ากว่าใคร!!

8 ม้าศึกของพวกเขารวดเร็วยิ่งกว่าเสือดาว โหดเหี้ยมยิ่งกว่าหมาป่าในทะเลทรายพลม้าของพวกเขาตะบึงมาจากแดนไกล โฉบเฉี่ยวลงมาอย่างว่องไวราวกับแร้งที่กัดกินเหยื่อ
9 พวกเขาทุกคนมุ่งมั่นกับความรุนแรง ประชาชนของพวกเขาก็รุกเข้ามาเหมือนลมตะวันออก พวกเขารวบรวมเชลย ราวกับกอบทราย
10 พวกเขาเยาะเย้ยกษัตริย์ทั้งหลาย และทำให้ผู้ปกครองเป็นเป้าให้คนเหยียดหยาม พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองป้อมทุกแห่ง และสร้างเชิงเทินข้ามไปเพื่อยึดเมือง
11 แล้วพวกเขาก็เดินทัพผ่านไปรวดเร็วราวกับลม และมุ่งหน้าต่อไป พวกเขามีความผิด เพราะเขาพึ่งกำลังของตนเองว่าเป็นพระเจ้า

คำถามครั้งที่สอง : เหตุใดจึงทรงให้คนชั่วกว่ามาสั่งสอนคนชั่วน้อยกว่า?

12 โอ พระยาห์เวห์ องค์ผู้บริสุทธิ์ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นอมตะ? โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสิน โอ องค์พระศิลา พระองค์ได้ทรงกำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ลงโทษ
13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะมองความชั่ว และพระองค์ไม่อาจทรงทนต่อความผิดได้ แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงทนต่อคนทรยศเยี่ยงนั้น? เหตุใดพระองค์ทรงนิ่งเงียบขณะที่คนชั่วร้ายกลืนกินคนที่มีความเที่ยงธรรมยิ่งกว่าพวกเขา?

14 พระองค์ทรงสร้างให้มนุษย์เป็นเหมือนปลาในทะเล เหมือนสิ่งมีชีวิตคืบคลานที่ไม่มีผู้ปกครอง
15 ศัตรูได้เกี่ยวพวกเขาขึ้นด้วยเบ็ด และลากจับพวกเขาไว้ด้วยแห และรวบรวมพวกเขาขึ้นมาด้วยอวน ศัตรูผู้นั้นจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
16 ดังนั้นพวกเขาจึงถวายเครื่องบูชาให้กับแหของพวกเขา เผาเครื่องหอมให้อวนของตน
เพราะเขาเห็นว่า แหของเขาทำให้เขาได้อยู่อย่างหรูหรา และมีอาหารอย่างเลิศเกินพอ
17 แล้วเขาจะเอาสิ่งที่แหจับได้ออกมา และยังคงทำลายล้างชาติต่าง ๆ อย่างไร้เมตตาต่อไปหรือ?

อธิบายเพิ่มเติม

ฮาบากุก 1:1-4
ทูลถามครั้งแรก  สิ่งที่ฮาบากุกเห็นรอบข้างเขา เห็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดในประเทศของเขา  ผู้คนโหดเหี้ยม ทำร้ายกันและกัน
เหตุใดพระเจ้าทรงนิ่งเฉยทั้ง ๆ ที่ ประชากรโหดร้ายต่อกัน
1:1 ฮาบากุก  ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตที่น่าหนักใจมาก แทนที่เขาจะนำมาบอกให้กับประชาชน เขากลับหันไปหาพระเจ้าและถามเหตุผล
1:2 เกือบไม่ไหวแล้วที่จะต้องทนเห็นความทารุณโหดร้ายที่ประชากรของพระเจ้าได้ทำร้ายกันและกัน คนรวยกดขี่คนยากจน ฮาบากุกรู้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงจัดการกับคนเหล่านี้ได้ เขาถามซ้ำว่า อีกนานเท่าไรที่จะต้องทูลขอ  เวลานั้นเขาสงสัยจริง ๆ ว่า ทำไม่พระเจ้าทรงเงียบเหลือเกิน
คำว่า ร้องทูล มาจากคำว่า ชาวา (שָׁוַע) หมายถึงการร้องทูลขอความช่วยเหลือด้วยเสียงอันดัง
คำว่าโหดร้ายในภาษาฮีบรูนี้คือ คามาส (חָמָ֖ס)หรือ ฮามาสนั่นเอง เป็นความโหดร้ายแบบสุด ๆ สืบต่อมาจากธรรมชาติของซาตาน สุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข

1:3 สิ่งที่ทำฮาบากุกคับข้องใจเอามาก ๆ คือ ทำไมทั้งพระเจ้าและเขาต้องทนต่อความอยุติธรรมและการกระทำผิดที่รุนแรงเหล่านี้  หันไปทางใดก็เจอแต่สิ่งร้าย บ้านเมืองจะอยู่ต่อไปไม่ได้  ฮาบากุกต้องการให้คนกลับใจ เขารู้ดีว่า ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งพวกเขาจะต้องโดนลงโทษสาหัสเป็นแน่
1:4 ในภาษาเดิม บัญญัตินิ่ง ไร้อำนาจ ไม่ส่งผลต่อชีวิตของคน ไม่มีการสั่งสอนบัญญัติ ไม่มีการทำตามบัญญัติ  คนชั่วทำร้ายคนดีตลอดเวลา คำว่าคนชั่วคำนี้ ฮีบรูว่า ราฌา (רָשָׁע֙ )เป็นคนที่รู้จักบัญญัติแต่ไม่ทำตาม ท้าทาย ไม่กลัวผลของการทำผิด  ขบวนการยุติธรรมในครอบครัว ในสังคมจบไปแล้ว  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้าคดโกงก็โกงต่อไปไม่มีใครจัดการได้เลย 
สำหรับฮาบากุกคือ ถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมพระเจ้ายังทรงเฉยอยู่ได้…​ สภาพของฮาบากุก เหมือนกับอาสาฟที่กล่าวในสดุดี 77:2  ว่า ..ยามค่ำ ข้าชูมือวิงวอนไม่อ่อนล้า จิตข้า ไม่รับการเล้าโลมใจ 

ฮาบากุก 1:5-11
คำตอบที่ไม่คาดฝัน
1:5 แทนที่พระเจ้าจะทรงตอบทันที พระองค์กลับทรงให้ฮาบากุกหันไปสังเกตพฤติกรรมของชาติต่าง ๆ รอบข้าง ฮาบากุกทูลพระองค์เรื่องคนอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงให้เขามองชนชาติอื่น เมื่อมองแล้ว ก็ให้รู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด นั่นคือ ฮาบากุกจะเห็นอะไรที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจะเห็นว่า พระเจ้ากำลังทำบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง!!
1:6 แล้วพระองค์ก็ทรงบอกแผนการของพระองค์ให้เขาทราบ .. นั่นคือ จะทรงยกให้ชาวเคลเดีย หรือบาบิโลนกลายเป็นผู้ที่ใหญ่สุดในภูมิภาคนี้
ชาวเคลเดียรึ? พวกเขาน่ากลัวเป็นที่สุด พระเจ้าจะทรงให้เขาใหญ่… และตรงนี้ พระเจ้าทรงยืนยันชัดเจน ดาวิดเองรู้มาตลอดว่า พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ยกขึ้นหรือทำให้ต่ำลง
1:7 ชาวเคลเดียไม่รู้ว่า พวกเขาเป็นใหญ่ได้เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต พวกเขามีกฎของตนเอง และคิดว่าตนเองสุดยอดกว่าใคร เยเรมีย์ 51:20-23 บอกเราชัดว่า พระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปทำอะไรบ้าง
1:8 พระเจ้าทรงบรรยายให้ฮาบากุกได้ฟังว่า ม้าศึกและพลม้าของเคลเดียหรือบาบิโลนนั้น รวดเร็ว โหดเหี้ยม ว่องไวขนาดไหน พระองค์ทรงเปรียบเทียบกับสัตว์ต่าง ๆ
1:9 ไม่พอ ยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะใช้ความรุนแรง (คำเดียวกันกับข้อ 1:2 ) มาเร็ว ควบคุมเร็ว แรง 1:10 ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหน ก็เย้ยหยัน ผู้นำและคนในพื้นที่
1:11 ดูเหมือนการที่พวกเขาไปที่ใด ก็จะปราบได้หมดสิ้นดังนั้นจึงมุ่งหน้าต่อไป ไม่คิดจะหยุด แต่ต้องการครองอำนาจให้กว้างไกลที่สุด
แต่พระเจ้าทรงบอกฮาบากุกว่า พวกเขามีความผิด เพราะแทนที่จะเชื่อพระองค์ แต่เขากลับคิดว่า กำลังอันเข้มแข็งของตนเองคือ สิ่งที่ช่วยพวกเขา คือพระเจ้าของพวกเขา

ฮาบากุก 1:12-17
นี่เป็นปัญหาของฮาบากุกมาก เพราะเขารู้จักพระบุคลิกภาพของพระเจ้า
รู้จักพระองค์ว่าทรงเป็นอย่างไร ในเมื่อพระเจ้าสถิตในสวรรค์และทรงมองเห็นมนุษย์ทุกคน ทรงตรวจสอบพวกเขาประจำอยู่แล้ว และทรงชังคนที่ชั่วร้ายด้วย (สดุดี 11:1-7)  พระองค์ไม่น่าจะปล่อยให้แบบนี้เกิดขึ้นนี่นา 
แต่..ฮาบากุกมองตามสายตามนุษย์ ไม่ได้มองลงมาจากเบื้องบน

1:12 สองข้อต่อไปนี้ ฮาบากุกเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าจะทรงส่งชาวบาบโลนมาจัดการกับคนของพระองค์   เขาตระหนักว่า พระองค์ทรงเป็นมาจากเดิม
1:13  ถึงจะยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนอิสราเอล เข้าใจแล้วว่า พระเจ้าให้คนเคลเดียมาช่วยตีสอน ไม่ใช่ทำลายให้สิ้นซาก ฮาบากุกอดถามไม่ได้ว่า ทำไมให้คนชั่วมากกว่า มาจัดการกับคนที่ชั่วน้อยกว่า
1:14 แล้วเขาก็กล่าวเหมือนต่อว่า พระเจ้าว่าพระองค์ทรงสร้าง มนุษย์ให้เหมือนอย่างปลา ที่ต่ำต้อย ไม่มีระบบการปกครอง
1:15  ศัตรูที่กล่าวถึงคือคนเคลเดียหรือบาบิโลนที่จะเข้ามาบุก
1:16 พวกเขาได้จับผู้คนราวกับใช้แห อวน ลากคนเข้าไปเป็นเชลย ดังนั้น เขาจึงมองเห็นว่า อาวุธต่าง ๆ ของเขานั้นคือพระเจ้า เพราะทำให้พวกเขาได้ทำตามที่ต้องการได้ทุกอย่าง 
1:17 แล้วพระเจ้าจะทรงปล่อยให้บาบิโลนทำชั่วช้าต่อประชาชาติต่าง ๆ อย่างนี้ต่อไปหรือ  เขาเข้าใจว่า พระเจ้าน่าจะทรงจัดการกับบาบิโลนเหมือนกัน 

พระคำเชื่อมโยง

2* เพลงคร่ำครวญ 3:8; มีคาห์ 2:1-2; 3:1-3 โยบ 21:5-16
4* เยเรมีย์ 12:1
5* อิสยาห์ 29:14
6* 2 พงศ์กษัตริย์ 24:2; เอเสเคียล 7:24; 21:31

8* เยเรมีย์ 4:13; โฮเชยา 8:1
11* ดาเนียล 5:4
12* สดุดี 90:2; 93:2; อิสยาห์ 10:5-7; เยเรมีย์ 25:9
16* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:17

ฟีเลโมน : อภัยให้เขาด้วย

ฟีเลโมน 3:1-2
จากเปาโล นักโทษเพื่อพระเยซูคริสต์และจากทิโมธี น้องชายของข้า. ถึงฟีเลโมน เพื่อนที่รักและเพื่อนร่วมงานของเรา
ถึงอัปเฟีย น้องสาวของเรา ถึงอาร์คิปปัส เพื่อนทหารรับใช้ด้วยกันกับเรา และถึงคริสตจักรที่ประชุมกันในบ้านของท่าน

ฟีเลโมน 3:3-4
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้าของเราอยู่กับท่านข้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าเสมอ
เมื่อข้าอธิษฐานเพื่อท่าน


ฟีเลโมน 1:5-6
เพราะข้าได้ยินเรื่องความรักของท่านที่มีต่อวิสุทธิชนของพระเจ้า และความเชื่อที่ท่านมีในองค์พระเยซูเจ้า ข้าอธิษฐานว่า
ความเชื่อที่ท่านแบ่งปันกับคนอื่น ๆ นั้นจะส่งผลทำให้ท่านได้เข้าใจลึกซึ้งถึงสิ่งดีต่าง ๆ ที่เรามีในพระคริสต์


ฟีเลโมน 1:7-8
ข้าเองยินดีมาก และรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
เพราะความรักที่ท่านมีต่อวิสุทธิชนของพระเจ้า ได้ทำให้พวกเขาได้สดชื่นดังนั้น ในพระคริสต์ ข้าจึงกล้าและสั่ง
ให้ท่านทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สมควร


ฟีเลโมน 1:9-10
แต่เป็นเพราะข้ารักท่าน ข้าจึงขอร้องท่านดีกว่า ในฐานะที่ข้าเปาโล ชราแล้วและยังเป็นนักโทษอยู่ในโรมเพราะรับใช้
พระเยซูคริสต์ ข้าขอร้องท่านในเรื่องลูกชายของข้าคือ
โอเนสิมัสที่มาเป็นลูกชายของข้า ขณะที่ข้าถูกจำจองอยู่

ฟีเลโมน 1:11-13
เมื่อก่อนเขาไร้ประโยชน์สำหรับท่าน แต่บัดนี้ เขามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับท่านและข้า ข้าส่งเขากลับมาหาท่าน ซึ่ง
เท่ากับส่งหัวใจของข้าเองมา ข้าอยากให้เขาอยู่กับข้าเพื่อจะทำหน้าที่ช่วยข้าแทนท่านขณะที่ข้าถูกจำคุกเพื่อข่าวประเสริฐ

ฟีเลโมน 1:14
แต่ข้าไม่ต้องการทำสิ่งใดโดยไม่ถามความเห็นของท่านก่อน เพื่อว่าสิ่งดี ๆที่ท่านได้ทำให้นั้นจะไม่เป็นการบังคับให้ทำแต่เป็นความตั้งใจของท่านเอง

ฟีเลโมน 1:15-16
การที่โอเนสิมัสต้องห่างท่านไปสักพัก ก็เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนไปหาท่านตลอดไป โดยไม่เป็นทาสอีกแต่ดียิ่งกว่าเป็นทาส คือกลายเป็นน้องที่รัก ข้ารักเขามากและท่านจะรักเขามากกว่านั้นอีก ทั้งในฐานะเพื่อนมนุษย์ และในฐานะพี่น้องในองค์
พระผู้เป็นเจ้า

ฟีเลโมน 1:17-18
ดังนั้น หากท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้ร่วมงานของท่าน ก็ขอโปรดรับโอเนสิมัสเหมือนอย่างที่ท่านต้อนรับข้า
หากเขาได้ทำสิ่งใดผิดต่อท่านหรือหาก
เขาติดค้างสิ่งใดกับท่าน ก็ขอให้ท่าน
คิดเอาคืนจากข้าเถิด

ฟีเลโมน 1:19-20
ข้าเปาโลเขียนจดหมายนี้ด้วยมือของข้าเองข้าจะใช้คืนทุกอย่างโดย ไม่กล่าวถึงชีวิตที่ท่านยังติดค้างข้าอยู่ ดังนั้นน้องชายเอ๋ยข้าขอให้ท่านทำสิ่งนี้เพื่อข้าจะได้ประโยชน์ขอทำให้ข้าได้สดชื่นขึ้นใหม่ในพระคริสต์

ฟีเลโมน 1:21-22
ข้ามั่นใจว่า ท่านจะเชื่อฟัง ข้าจึงเขียนจดหมายถึงท่าน ข้ารู้ว่าท่านจะทำให้มากกว่าที่ข้าขอร้อง อีกสิ่งหนึ่งคือ ขอให้ท่านเตรียมห้องพักสำหรับข้าด้วย เพราะข้าเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน นั่นคือข้าจะกลับมาหาท่านได้

ฟีเลโมน 1:23-25
เอปาฟรัส เพื่อนร่วมจำจองกับข้าเพื่อองค์พระเยซูคริสต์ ฝากความคิดถึงท่านมาระโก อาริสทาร์คัส เดมาส และลูกาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของข้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่
กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด 

อธิบายเพิ่มเติม

ฟีเลโมน 3:1-2
ฟีเลโมนเป็นจดหมายสั้นๆจากท่านเปาโลและ ทิโมธีถึงพี่น้องหลายๆคนเป็นจดหมายที่ต้อง เดินทางไกลด้วยบุรุษไปรษณีย์โบราณที่เดินทาง ลุยข้ามน้ำข้ามทะเลทรายลงเรือเพื่อจัดส่งจดหมาย ให้ถึงที่หมายเราขอบคุณพระเจ้าที่ทรงบันดาลใจให้ ผู้นำคริสเตียนในสมัยสองพันปีก่อนได้เขียนเพื่อ หนุนใจและอธิบายความจริงเรื่องของพระเจ้าที่ ทำให้พี่น้องเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ฟีเลโมน 3:3-4
นอกเหนือไปจากการเขียนจดหมายเพื่อสั่งสอนตักเตือนแล้ว ท่านเปาโลยังอธิษฐานเผื่อฟีเลโมนและคนใกล้ชิดของเขาเป็นประจำด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นคนที่เกิดผล เพราะเขาทำงานไปกับพระเจ้า ขอพระองค์ทรงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงชีวิตพี่น้องเหล่านี้ เราจะเห็นว่าท่านเปาโลบอกเสมอว่า ท่านอธิษฐานเผื่อคนที่ท่านเขียนจดหมายถึง ฟิลิปปี 1:3, โรม 1:8
ฟีเลโมน 1:5-6
ท่านเปาโลและฟีเลโมนต่างก็มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเดียวกัน และยังรับใช้พระเจ้าร่วมกันด้วยทั้งสองมีความรักและปรนนิบัติพี่น้องด้วยหัวใจแบบเดียวกัน ท่านเปาโลเห็นแล้วว่า ฟีเลโมนเดินในเส้นทางเดียวกับท่าน ท่านจึงอธิษฐานขอพระเจ้าให้ฟีเลโมนจะได้เข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังจะขอร้องให้เขาทำเพื่อเห็นแก่พระเจ้าอีกอย่างหนึ่งนั่นคือการขอให้ยกโทษให้แก่โอเนสิมัสซึ่งได้หนีไปก่อนหน้านี้
ฟีเลโมน 1:7-8
คำขอของท่านเปาโลตอนนี้ เกิดจากการที่ท่านมั่นใจในตัวของฟีเลโมนเป็นอย่างยิ่ง การที่เขารักพี่น้อง และแสดงออกมาให้เห็น ท่านเปาโลจึงกล้าที่จะขอร้องด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นคำสั่งเหมือนอย่างหลายครั้งที่ท่านสั่งคริสตจักรอย่างเข้มงวดในเรื่องต่าง ๆ ตัวฟีเลโมนก็เป็นตัวอย่างของเราด้วยว่า จะให้ใครสักคนไว้ใจนั้น ต้องมาจากหัวใจจริง รักและเป็นห่วงจริง ไม่ใช่ทำเพราะหน้าที่หรืออยากให้คนอื่นยกย่องชมเชย
ฟีเลโมน 1:9-10
ตอนที่ท่านเปาโลเขียนถึงฟีเลโมนนี้ ท่านน่าจะอายุประมาณหกสิบปี แต่การที่ท่านต้องพบเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมายในชีวิต ต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อ และยังต่อสู้เพื่อพี่น้อง เข้าคุกมาก็ตั้งหลายครั้ง ชีวิตของท่านในหนังสือกิจการจะทำให้เราได้เห็นว่า ท่านต้องพบเจออะไรบ้าง นี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้ท่านรู้สึกว่า เหนื่อยอ่อน เป็นคนชราก็เป็นได้ ชีวิตสมัยก่อนนั้นยากกว่าสมัยนี้ ท่านใช้คำว่าขอร้อง …เพื่อโอเนสิมัส
ฟีเลโมน 1:11-13
โอเนสิมัสได้ทำผิดกฎหมายของโรม และยังมีปัญหาขโมยเงินของฟีเลโมนด้วย (ดูจากข้อ 18)เขาหนีไปโรม เพื่อว่าจะได้่หลบหนีง่าย ง่ายกว่าที่อยู่ในเมืองเล็ก แต่แล้วเขากลับมาพบท่านเปาโลและเมื่อได้ยินข่าวประเสริฐก็ได้กลับใจใหม่ และกลายเป็นคนที่คอยดูแลท่านเปาโลในขณะที่ท่านถูกจำจอง ท่านได้ส่งโอเนสิมัสพร้อมกับจดหมายไปกับทีคิกัส เพราะหากทาสเดินทางคนเดียวอาจถูกคนที่ชอบค้าทาสจับตัวไปได้ (โคโลสี 4:7-9)
ฟีเลโมน 1:14
คำพูดของท่านเปาโลจนถึงตอนนี้ ฟีเลโมนอ่านแล้วน่าจะเริ่มเห็นเงาราง ๆ ว่าท่านเปาโลต้องการอะไรกันแน่ ในขณะที่ท่านไม่ได้บังคับ แต่ก็เหมือนบังคับอย่างอ่อนโยน เพราะท่านแสดงความไว้ใจในตัวฟีเลโมนเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้ว การที่ทั้งสองต่างเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกัน เท่ากับมีมาตรฐานการตัดสินแบบเดียวกันอยู่แล้ว คืออยู่บนพื้นฐานแห่งความรักของพระเจ้า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามมา 
ฟีเลโมน 1:15-16
คำขอของท่านเปาโลนั้น เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะทำให้ได้ โอเนสิมัสเคยร้ายต่อฟีเลโมน การที่ทาสทำอย่างที่เขาทำ ไม่น่าจะได้รับการให้อภัยสมควรที่จะโดนจำจองเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านเปาโลกลับมองเห็นอีกแบบ ไม่ให้กลับมาให้ฐานะทาสแต่เป็นในฐานะน้องชาย เป็นลูกของพระบิดาเดียวกัน ฟีเลโมนจะทำให้ได้ไหม ขึ้นอยู่กับว่าตัวเขา ซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าต่อตัวเองขนาดไหน
ฟีเลโมน 1:17-18
เป็นคำขออย่างอ่อนโยน สุภาพ น่าฟัง ขอแบบนี้ขัดไม่ได้เลย ท่านเปาโลเอาตัวมาเป็นประกันว่าโอเนสิมัสจะเป็นคนที่ดี คนที่ใช้ได้ เป็นคนที่ฟีเลโมนไม่ต้องกังวลว่าจะทำสิ่งร้ายเหมือนเดิมอีก การที่ท่านเปาโลรับประกันขนาดนี้ เท่ากับว่าท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของทาสเก่าคนนี้จริง ๆ ท่านรักเขา พระเจ้าทรงอยู่ในตัวเขาจริงหากใครได้รับการยืนยันแบบนี้ น่าจะเป็นเกียรติของชีวิตมากเลย
ฟีเลโมน 1:19-20
ขอบคุณพระเจ้า ท่านเปาโลยังไม่ลืมที่จะบอกฟีเลโมนด้วยว่าเขา ก็ติดค้างท่านเหมือนกันสรุปแล้วว่าเมื่อเราอยู่ใน พระคริสต์จริงๆเราต้องฟังกันและกันเพื่อว่า สิ่งที่ร่วมมือทำด้วยกันนั้นจะสร้างเสริมชีวิตของ สองฝ่ายและคนอื่นที่อยู่รอบข้างหากฟีเลโมนได้ทำตามคำขอของท่านเปาโลแล้วก็ล้วนแต่จะมีความชื่นชมเกิดขึ้นในทุกฝ่ายหากฟีเลโมนยังมี ปัญหาติดค้างในใจท่านเองเป็นคนที่จะต้องจัดการใจของตนเองให้ทำอย่างถูกต้องกับพระเจ้า
ฟีเลโมน 1:21-22
ท่านเปาโลมั่นใจอย่างยิ่งว่า ฟีเลโมนจะฟังคำขอของท่าน นั่นคือ ปล่อยโอเนสิมัสให้เป็นไท ไม่เป็นทาสอีกต่อไป ให้รับเป็นน้องในพระคริสต์ และทำตาม
อย่างเต็มใจ ไม่มีความเคืองใจหลงเหลืออยู่เลยซึ่งจะทำให้โอเนสิมัสกลายเป็นคนหนึ่งที่จะรับใช้พระเจ้าต่อไปกับฟีเลโมน อย่างน้อย ทาสคนนี้ก็ได้ฝึกฝนที่จะรับใช้จากท่านเปาโลตอนที่ท่านอยู่ในคุกแล้ว เขาน่าจะเป็นคนหนึ่งที่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เขา (เอเฟซัส 2:10)
ฟีเลโมน 1:23-25
ท่านเปาโลมีเพื่อนร่วมงานรับใช้พระเจ้าหลายคนและท่านก็มักเอ่ยชื่อของพวกเขาในจดหมายที่ท่านเขียนไปตามที่ต่าง ๆ เอปาฟรัสถูกจำจองเพราะความเชื่อของเขา และเขาก็เป็นชาวโคโลสีด้วย (โคโลสี 1:7; 4:12) มาระโกเป็นญาติของบารนาบัส เดมาสเคยทำงานด้วยกัน แต่ก็จากกันไป(โคโลสี4:14; 2 ทิโมธี 4:10) ลูกาเขียนลูกาและกิจการ ส่วนอาริสทารคัส ได้เดินทางไปกับท่าน(กิจการ 19:29; 20:4; โคโลสี 4:10)

พระคำเชื่อมโยง

1* เอเฟซัส 3:1
2* โคโลสี 4:17
4* 2 เธสะโลนิกา 1:3
5* โคโลสี 1:4
6* ฟีลิปปี 1:9; 1 เธสะโลนิกา 5:18

10* โคโลสี 4:9
14* 2 โครินธ์ 9:7
16* โคโลสี 3:22
19* 1โครินธ์. 16:21
21* 2 โครินธ์ 7:16

22* ฟีลิปปี 1:25; 2:24; 2 โครินธ์ 1:11
23* โคโลสี 1:7; 4:12
24* กิจการ 12:12,25; 15:37-39; 19:29; 27:2; โคโลสี 4:14 ; 2 ทิโมธี 4:11
25* 2 ทิโมธี 4:22



มัทธิว 4 ทดสอบก่อนราชกิจ

เผชิญการทดสอบ
มาระโก 1:12-3; ลูกา 4:1-13
1 แล้วพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลองพระองค์
2 หลังจากที่พระองค์อดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ทรงหิว
3 ผู้ทดลองมาหาพระองค์ ทูลว่า “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้บอกหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปังเสียสิ”
4 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ดังนี้ “มนุษย์จะมีชีวิตต่อไปด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ด้วยพระดำรัสทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

5 จากนั้น มารได้นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับบนยอดสูงของพระวิหาร
6 “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” มารกล่าว “ก็กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ทรงบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์เรื่องท่าน และทูตนั้นจะยกท่านไว้ในมือของพวกเขาเพื่อว่าเท้าของท่านจะไม่กระทบหินสักก้อน’ ” (สดุดี 91:11-12)
7 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”

8 อีกครั้ง มารได้นำพระองค์ไปยังภูเขาสูง และให้พระองค์มองดูอาณาจักรในโลกที่ยิ่งใหญ่ตระการ
9 “ทั้งหมดนี้เราจะมอบให้ท่าน” มารกล่าว “หากท่านจะคุกเข่าลงและนมัสการข้าพเจ้า”
10 “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน!” พระเยซูตรัส “เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น’”
11 จากนั้น มารจึงละจากพระองค์ไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจ
อิสยาห์ 9:1-7; มาระโก 1:14-15; ลูกา 4:14-15
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินว่า ยอห์นถูกจำคุก พระองค์ก็ทรงเดินทางไปยังกาลิลี
13 ทรงออกจากนาซาเร็ธ และทรงไปอาศัยในเมืองคาเปอรนาอูม ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเล ในแคว้นเศบูลุน และนัฟทาลี
14 เพื่อให้สำเร็จตามผู้เผยพระดำรัสอิสยาห์ว่า
15 “แผ่นดินเศบูลุน และแผ่นดินนัฟทาลี เหนือขึ้นไปจากแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลีของชาวต่างชาติ
16 ประชาชนที่อยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ คนที่อาศัยในแผ่นดินเงาความตาย แสงสว่างส่องได้มาถึงแล้ว ”
17 จากนั้นเป็นต้นมา พระเยซูทรงเริ่มเทศนาว่า
“จงกลับใจเสียใหม่เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ศิษย์กลุ่มแรก
มาระโก 1:16-20; ลูกา 5:1-11; ยอห์น 1;35-42
18 ขณะที่พระเยซูดำเนินไปตามริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทรงเห็นพี่น้องชายสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อว่าเปโตร และน้องชายของเขาคืออันดรูว์ ทั้งสองกำลังโยนอวนลงไปในทะเล เพราะว่าเขาเป็นชาวประมง
19 “มาเถอะ ตามเรามา!” พระเยซูตรัส “เราจะทำให้เจ้าเป็นคนที่หาคนอย่างคนหาปลา
20 ทันใดนั้นเอง ทั้งสองก็ละจากอวนของเขา และติดตามพระองค์ไป
21 จากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นพี่น้องชายสองคนคือยากอบ ลูกชายเศบีดี และน้องชายของเขาคือ ยอห์น ทั้งสองกำลังซ่อมชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อของเขาคือเศบีดี พระเยซูทรงเรียกเขา
22 และเขาก็ละจากเรือและพ่อของเขา
ติดตามพระองค์ไปทันที!

ทรงรักษาโรคของคนจำนวนมาก
มาระโก 3:7-12; 6;17-19
23พระเยซูทรงเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดิน
และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดของประชาชน 
24ข่าวเรื่องของพระองค์นั้น เลื่องลือไปถึงซีเรีย และผู้คนก็พากันนำเอาคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  คนที่เจ็บปวดตามตัว คนที่ถูกผีสิง และคนที่มีอาการชัก รวมทั้งคนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขา
25 ประชาชนกลุ่มใหญ่มากติดตามพระองค์
พวกเขามาจาก กาลิลี แคว้นทศบุรี นครเยรูซาเล็ม และจากอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 4:1-11
หลังจากการบัพติศมา พระวิญญาณทรงลงมาในรูปลักษณ์ของนกและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์แจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงรักมากทำให้ยอห์นมั่นใจว่าพระเยซูคือองค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมและทรงส่งลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอด เหตุการณ์วันนั้น คนจำนวนมากได้เห็น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากพระพรยิ่งใหญ่ พระเยซูกำลังจะเข้าไปเผชิญกับมาร…ศัตรูของพระเจ้า มันต้องการทำลายพระเยซูเหมือนอย่างที่มันพยายามทำมาตลอด
จากนั้น พระวิญญาณทรงนำไป ให้พระเยซูทรงเผชิญกับการทดลอง (ถิ่นกันดารเป็นสถานที่กว้างใหญ่ที่เต็มด้วยขุนเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนเดินทางผ่านมา ไม่มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และในพระคัมภีร์ ยังมีความหมายถึงสถานที่ ๆ มารอยู่ ไม่สะอาด ดูเลวีนิติ หลังจากที่ปุโรหิตเอาบาปของประชาชนไว้บนตัวแพะ แล้วไล่มันไปอยู่ในถิ่นกันดาร )
หลังจากทรงอดอาหาร อธิษฐาน มีการสนทนากับพระบิดาตลอดเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าด้วย (มาระโก 1:12-13)
เมื่อทรงอ่อนแรง อิดโรยที่สุด ผู้ทดลองหรืออีกชื่อคือมาร, ซาตาน ได้มาพบพระองค์​
การทดลองสามประการและการตอบกลับของพระเยซู.
วิธีการ
1 ท้าให้พระเยซูเปลี่ยนหินเป็นขนมปัง เป็นการดูหมิ่นองค์พระบิดาว่า พระองค์ไม่ทรงดูแลพระบุตร ดังนั้น พระบุตรจะต้องจัดหาเอง ตอบด้วยพระคำ “แค่กินอาหารไม่พอ ต้องกินพระคำด้วย” 8:3 พระเจ้าทรงรักษาชีวิตของเราด้วยพระคำ
2 ท้าให้พระเยซูกระโจนลงจากที่สูง โดยอ้างพระคำ ตามความเห็นของยิวแล้ว โลกมีจุดศูนย์กลางที่เยรูซาเล็ม (เอเสเคียล 5:5) เท่ากับพระเยซูกำลังอยู่ที่ศูนย์กลางของโลก และเป็นที่ ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า การกระโจนลงไปจากระเบียง 450 ฟุต พิสูจน์สิว่า พระบิดาจะทรงปกป้องพระบุตรไว้ ..
(มาลาคี 3 ตอบด้วยพระคำ “อย่าทดลองพระเจ้า” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ มาท้าให้ทำทำไม? 16 อย่างไร.. เราก็จะไม่ทดสอบในสิ่งที่เรารู้แล้วว่า พระเจ้าทรงทำได้ เราวางใจพระองค์ได้
3 สร้างเงื่อนไข (ที่มารหวังว่าพระเยซูจะรับ)
ต่อมามันพาพระองค์ไปดูอาณาจักรในโลก .. มาระโก ลูกามีคำว่า…….ในพริบตาเดียว ชั่วขณะเดียว………ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการมองดูอาณาจักรต่าง ๆ ในโลกในฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เดินทางไปดูตามที่ต่าง ๆ
เพราะอาณาจักรเหล่านี้เป็นของมาร ดังนั้น ซาตานล่อพระองค์ว่าจะให้อาณาจักรถ้าคุกเข่าลงกราบนมัสการตัวมัน แค่นมัสการชั่วขณะ พระเยซูก็จะได้ทุกอย่างที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ในสดุดีบทที่ 2 ไม่ต้องไปทำงานของพระเจ้า ไม่ต้องไปตายบนไม้กางเขน… ไม่ต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ความทุกข์ยากต่าง ๆ แต่จะได้อาณาจักรเหล่านี้เลยตอบด้วยพระคำ และไล่มันไป “จงนมัสการและรับใช้พระเจ้าเท่านั้น” ไม่ใช่มากราบไหว้รับใช้มาร อย่างที่เราเคยทำเมื่อยังไม่รู้จักพระเจ้า เราจะไม่นมัสการใครทั้งสิ้น
หมายเหตุ
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า หากท่านนมัสการเรา จะได้….

มัทธิว 4:12-17
หลังจากที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำคุก นั่นเท่ากับงานของเขากำลังเริ่มจะจบลง เขาได้ทำทางขององค์พระเยซู ด้วยการเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย  ทุกคนควรจะต้องฟัง และเชื่อฟังพระองค์ 
พระองค์ก็ทรงออกจากนาซาเร็ธ เมืองที่พระองค์ทรงเติบโตมา และไปเริ่มงานของพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอูม  เมืองนี้ เป็นเมืองที่สมัยก่อนจะมีผู้คนเดินทางผ่านไปมามากมาย เมื่อมีสงคราม เมืองนี้ก็มักจะอยู่ในทางของกองทัพต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีคนต่างชาติ เชื้อชาติผสมอยู่ในเมืองนี้เป็นจำนวนไม่น้อย  ต่างจากทางใต้อย่างยูเดียที่เป็นถิ่นของคนเชื้อสายอิสราเอล
และที่ทรงทำเช่นนั้น เพื่อให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์ได้สำเร็จ  … ใช่แล้ว ดินแดนแห่งความมืดกำลังได้รับแสงสว่างของพระเจ้า  องค์ผู้เป็นแสงสว่างได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ไม่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทรงอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติมากมาย
และก็ทรงเรียกให้ประชาชนกลับใจใหม่  เป็นการประกาศแบบเดียวกับยอห์น นี่เป็นภาพที่สวยงาม แสงสว่างแห่งโลก ทรงอยู่ท่ามกลางชาวโลก…​… 

พระคำเชื่อมโยง

1* มาระโก 1:12-15; เอเสเคียล 43:5
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:18; อพยพ 34:28
3* 1 เธสะโลนิกา 3:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3
5* ลูกา 4:9
6* สดุดี 91:11-12
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16; 1โครินธ์ 10:9
8* 1 ยอห์น 2:15-16; ลูกา 4:5-7

10* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14; 10:20;
โยชูวา 24:14
11* ยากอบ 4:7; ฮีบรู 1:14
12* ยอห์น 4:43
13* มาระโก 1:21
15* อิสยาห์ 9:1-2
16* ลูกา 2:32
17* มาระโก 1:14-15; มัทธิว 3:2; 10:7

18* มาระโก 1:16-20; ยอห์น 1:40-42
19* ลูกา 5:10
20* มาระโก 10:28
21* มาระโก 1:19
22* มัทธิว 10:37; ลูกา 14:26
23* สดุดี 22:22; มัทธิว 9:35;24:14; มาระโก 1:34
24* ลูกา 4:40
25* มาระโก 3:7-8

มัทธิว 3 ทรงโปรดปรานท่านผู้นี้

พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา 
1 ในช่วงเวลานั้นเอง  ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มต้นเทศนาในพื้นที่ถิ่นกันดารในยูเดีย  
2 ท่านกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
3 ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้นี้ เป็นคนที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้ากล่าวถึงเมื่อท่านกล่าวว่า
“มีเสียงจากคนหนึ่ง ร้องเสียงดังในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำให้ถนนตรงราบเรียบเพื่อพระองค์’” (อิสยาห์  40:3)

4 เสื้อผ้าของท่านยอห์นทำจากขนอูฐ มีสายคาดหนังรอบเอวของท่าน
ท่านกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร 
5 มีประชาชนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม และพื้นที่ในยูเดีย รวมทั้งจากพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำจอร์แดน
6 พวกเขาสารภาพบาป และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน

7  แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีฟาริสีและสะดูสีมากมายได้มายังที่ ๆ ท่านให้บัพติศมา  ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าชาติงูพิษร้าย ใครเตือนให้เจ้าหนีจากการลงโทษของพระเจ้า? 
8 จงเกิดผลให้สมกับการที่เจ้ากลับใจใหม่ 
9 และอย่านึกไปเองว่า “เรา   มีพ่อคืออับราฮัม” เพราะเราบอกแก่เจ้าว่า พระเจ้าสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 
10 ขวานนั้นวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว  และต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นลง และโยนทิ้งลงในกองไฟ

11 เราให้บัพติศมาแก่เจ้าในน้ำ แสดงการกลับใจของเจ้า แต่หลังจากนี้ไป จะมีท่านผู้หนึ่งที่ทรงฤทธิ์กว่าเราเสด็จมา แม้แต่รองเท้าของพระองค์ เราก็ไม่คู่ควรที่จะถือให้พระองค์  พระองค์ผู้นี้จะบัพติศมาพวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 

12 ทรงถือพลั่วในพระหัตถ์เพื่อจะเก็บกวาดลานนวดข้าว  และเพื่อรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่อาจดับได้  

พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำ
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดน และทรงประสงค์ให้ยอห์นบัพติศมาให้พระองค์
14 แต่ยอห์นพยายามที่จะห้ามพระองค์ไว้ ทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรได้รับบัพติศมาจากพระองค์​
เหตุใดพระองค์จึงมาหาข้าพเจ้าเพื่อรับบัพติศมาเล่า?
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “เวลานี้ให้เป็นไปอย่างนี้เถิด สมควรแล้วที่เราจะทำให้ความเที่ยงธรรมบรรลุผลครบถ้วนด้วยวิธีนี้” ยอห์นจึงยอมทำตามพระองค์
16 ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาเสร็จ พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้ารูปลักษณ์ดุจนกพิราบลงมาประทับกับพระองค์
17 มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ ตรัสว่า
“ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 3:1-6
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นคนสำคัญยิ่งที่มาเตรียมทางให้พระเยซู เขาเป็นลูกชายของปุโรหิตเศคาริยาห์ เกิดในเวลาที่พ่อ แม่ชราแล้ว (อ่านลูกา 1) แต่แทนที่จะเตรียมตัวเป็นปุโรหิตเหมือนกับพ่อ เขากลับออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ในถิ่นกันดาร!
ยอห์น ตระหนักว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาในโลกแล้วก็ตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงของมารีย์ทักทายเอลีซาเบ็ธ ก็ดิ้นด้วยความดีใจในท้องของแม่ด้วย (ลูกา 1:44)ยอห์นกับพระเยซูน่าจะรู้จักกันมาบ้างตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครอบครัวจะไปพบกันระหว่างปีเมื่อมีเทศกาลสำคัญในเยรูซาเล็ม ครอบครัวของพระเยซูมาจากกาลิลีทางเหนือ ส่วนครอบครัวยอห์นจะอยู่ในยูเดียทั้งสองครอบครัวเป็นญาติกัน
เมื่อฟาริสี ถูกส่งมาถามยอห์นว่าเขาเป็นพระเมสสิยาห์ หรือเป็นเอลียาห์ เขาตอบว่า ไม่ใช่… แต่เขาเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’(ยอห์น 1:23) ตรงนี้น่าคิดมาก.. พระเยซูทรงเป็นพระคำและทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1) ส่วนยอห์นเป็นเสียงที่กล่าวพระคำนั้น!
อีกประการ เขากำลังเตรียมทางให้องค์กษัตริย์ สมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์จะเดินทางไปเมืองไหน ก็ต้องมีคนไปล่วงหน้าเพื่อทำทางให้เรียบ คนงานเหล่านั้นมีหน้าที่เตรียมทางให้ตรง ราบเรียบ ยอห์นเป็นคน ๆ นั้น
ยอห์นไม่ได้ประกาศในเมือง เขาไม่เหมือนใครเลย แต่งตัวก็ใช้หนังอูฐ กินอาหารก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กลับมีคนออกจากเมืองไปฟังเขาเทศนาในที่ห่างไกล ไกลจากเมืองมาก อยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นที่ ๆ เขาใช้บัพติศมาคนที่มาฟัง และกลับใจ
การบัพติศมาของยอห์นนี้ เรียกให้คนอิสราเอลเองกลับใจ จากชีวิตบาป และก็มีคนจำนวนมากฟังเขา รับบัพติศมาเตรียมใจที่จะฟังองค์กษัตริย์ที่กำลังมา ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เป็นใคร

มัทธิว 3:7-10
คนที่มาฟังยอห์นนั้น มีทั้งประชาชนชาวอิสราเอล และเหล่าฟาริสี สะดูสี พวกฟาริสีเป็นพวกที่ทุ่มเทชีวิตสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเพิ่มเติมจากบัญญัติต่าง ๆ ของโมเสส เชื่อว่ามีอยู่ราว ๆ 6000 คนในสมัยพระเยซู พวกเขาเชื่อการอัศจรรย์ทุกอย่าง และมีชีวิตวุ่นอยู่กับการทำดี การทำตามหลักต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมา
ส่วนพวกสะดูสีมักมีเชื้อสายจากปุโรหิต มีจำนวนน้อยกว่า ไม่เชื่อการอัศจรรย์ใด ๆ มีอำนาจทางการเมืองมาก ทั้งสองพวกนี้เกลียดกัน แต่ต่อมามีศัตรูคนเดียวกันคือ พระเยซู ทั้งฟาริสีและสะดูสีต่างเชื่อว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ไม่มีใครดีเท่าตัว มีความภูมิใจในการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลอย่างพิเศษ พวกเขาติดตามศาสนายิวอย่างเคร่งครัดโดยต่างก็มีความคิดแบบของตน แต่แทนที่ยอห์นจะเคารพพวกเขา กลับเรียกพวกเขาต่อหน้าประชาชนว่า เป็นชาติงูพิษที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ !!
ดังนั้น ยอห์นจึงเตือนสติพวกเขาให้มีกรอบความคิดใหม่ คิดอย่างเดิมไม่ได้ ต้องกลับใจจริง ๆ อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานอับราฮัมแล้วพระเจ้าจะยอมรับเขา จะเห็นได้ว่ายอห์นเน้นชีวิตที่กลับใจจากบาป เขาไม่ได้กล่าวถึงการที่ต้องทำตามกฎแบบฟาริสี
.การทำพิธีจุ่มน้ำชำระของยอห์นนี้ เพื่อแสดงว่า คน ๆ นั้นยอมรับผิด และกลับใจจากทางเดิมของตนแล้ว เป็นบัพติศมาที่ยอห์นทำให้ได้ แต่ยอห์นได้เตือนว่า พระองค์ที่ทรงฤทธิ์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟ…
การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? โยเอลเคยบอกไว้ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน (โยเอล 2:28-29) และคนที่จะให้คือผู้ที่ทรงฤทธิ์กว่ายอห์นเสียด้วย
ยอห์นอธิบายว่า เหมือนกับการแยกข้าวดีข้าวเสียออกจากกัน พระเจ้าจะทรงแยกคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอธรรมที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าออกจากกันในวันพิพากษาของพระองค์ (มาลาคี 3:3)

มัทธิว 3:13-17
การบัพติศมาของยิวโดยทั่วไปที่ทำให้คนต่างชาติ เป็นการจุ่มตัวลงในน้ำต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นการบอกว่า พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในศาสนายิว เป็นคนที่เชื่อพระเจ้าแบบคนยิว ..
แล้วพระเยซูก็ทรงมาพบกับยอห์น และรับบัพติศมาทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเหมือนคนที่มารับ แต่ทรงบอกยอห์นเองว่า เป็นสิ่งที่พระองค์สมควรทำ ดังนั้นความหมายของการบัพติศมาของพระเยซูน่าจะสื่ออะไร?
พระเยซูทรงมาในโลกอย่างผู้เที่ยงธรรม ไม่มีบาปใดติดมา และพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใด แต่เวลานี้ พระองค์กำลังจะทรงบอกยอห์นว่า เราจะให้ท่านบัพติศมาให้เรา ราวกับว่า เราเป็นมนุษย์ทั่วไปที่เป็นคนบาป … (2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า (ผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า))
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหลังจากการจุ่มน้ำของพระเยซูก็คือ
พระเจ้าเสด็จมาในรูปลักษณ์ดุจนกพิราบ และตรัสต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ต่อหน้ายอห์นว่า “ ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”
เหตุการณ์นี้ ยอห์นให้ความมั่นใจกับทุกคนเต็มร้อยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่มีข้อกังขาเหลืออยู่เลย (ยอห์น 1:33-34)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 31* มาระโก 1:3-8; โยชูวา 14:10
2* ดาเนียล 2:44; มาลาคี 4:5-6
3* อิสยาห์ 40:3; ลูกา 1:76
4* มาระโก 1:6; เลวีนิติ 11:22; 1 ซามูเอล 14:25-16
5* มาระโก 1:5

6* กิจการ 19:4, 18
7* มัทธิว 12:34; 1 เธสะโลนิกา 1:10
9* ยอห์น 8:33
10* มัทธิว 7:19
11* ลูกา 3:16; กิจการ 2:3-4

12* มาลาคี 3:3; มัทธิว 13:30
13* มาระโก 1:9-11; มัทธิว 2:2216* มาระโก 1:10; อิสยาห์ 11:2; 42:1; ยอห์น 1:32
17* ยอห์น 12:28; สดุดี 2:7

ทิตัส 3 สิ่งที่ดีเลิศ

ทิตัส 3:1-2
จงเตือนให้พวกเขายอมฟังผู้ปกครองและเจ้าบ้านผ่านเมือง
ให้เชื่อฟัง และพร้อมที่จะทำงานสุจริตทุกอย่าง
อย่าพูดให้ร้ายผู้ใด หลีกเลี่ยงการวิวาท อ่อนโยน และแสดงความสุภาพต่อทุกคน


ทิตัส 3:3
ในอดีต เราก็เคยโง่เขลา เราไม่เชื่อฟัง
เราถูกหลอก และเป็นทาสสิ่งต่าง ๆ ที่ร่างกายเร่าร้อนหาและมีความสุขกับมันเราใช้ชีวิตในการทำชั่ว และอิจฉาเขาไปทั่ว
มีคนที่เกลียดชังเรา และเกลียดชังกันและกัน


ทิตัส 3:4-5
แต่เมื่อความดีและความรักมั่นคงของพระเจ้าพระผู้ช่วยของเราปรากฏขึ้นพระองค์ทรงช่วยเราไม่ใช่เพราะความดีที่เราทำอย่างถูกต้องกับพระองค์ แต่เพราะพระกรุณาของพระองค์ ทรงชำระเราทำให้เราเป็นคนใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทิตัส 3:6-7
พระองค์ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เราอย่างล้นเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเมื่อเราได้
รับการประกาศว่าเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้าด้วยพระคุณของพระองค์แล้วเราก็มีความหวังใจที่จะรับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก

ทิตัส 3:8
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ไว้ใจได้ และข้าต้องการให้เจ้า กล่าวย้ำแก่พี่น้องถึงสิ่งเหล่านี้จริง ๆ เพื่อคนที่เชื่อในพระเจ้าจะมีชีวิตที่ระมัดระวัง ใช้ชีวิตในการทำดี สิ่งเหล่านี้ดีเลิศ และจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน


ทิตัส 3:9
แต่ขอให้อยู่ห่าง ๆ การโต้เถียงที่โง่เขลาและการพูดเรื่องลำดับวงศ์วานที่ไม่มีประโยชน์ รวมไปถึงการโต้แย้ง และการทุ่มเถียงเรื่องบทบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่มีประโยชน์อันใด และไม่ได้ช่วยใครเลย!


ทิตัส 3:10-11
หลังจากที่ได้เตือนมาแล้วครั้งหรือสองครั้ง ก็ขอให้หลีกเลี่ยง ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่สร้างความแตกแยกอีกต่อไป เจ้ารู้อยู่ว่า คนเช่นนี้ เป็นคนชั่ว และบาปหนา ความบาปของพวกเขานั้น
กล่าวโทษพวกเขาเอง


ทิตัส 3:12-13
เมื่อข้าได้ส่งอาร์เทมาสหรือทีคิกัสมาหาเจ้านั้น เจ้าจะพยายามมาหาข้าที่นิโคบุรีเพราะฤดูหนาวปีนี้ข้าตั้งใจจะพักที่นี่ จงทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อช่วยทนายความเศนาส และอปอลโลในการเดินทางของเขา เพื่อว่าเขาจะได้มีทุกสิ่งที่จำเป็น ไม่ขาดสิ่งใด

ทิตัส 3:14-15
คนของเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในการทำสิ่งดีเพื่อเตรียมสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเพื่อว่าพวกเขาจะไม่เป็นคนไร้ประโยชน์
ทุกคนที่อยู่กับข้า ขอฝากความคิดถึงมาด้วย ขอฝากความคิดถึงไปยังทุกคนที่รักเรา ที่มีความเชื่อเดียวกัน
ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคน

อธิบายเพิ่มเติม

ทิตัส 3:1-2
พวกเขาในที่นี้ก็คือ พี่น้องชาวครีตที่เชื่อ ที่อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง อย่าลืมว่า เดิมนั้นพวกเขาเป็นคนที่ใช้วาจาให้ร้ายคนอื่นเสมอ ชอบชวนตี และเป็นคนที่ไร้มารยาท ศีลธรรม แต่เมื่อเขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขาแล้วก็อย่ากลับไปเป็นคนแบบนั้นอีก จะเห็นว่า ท่านเปาโลเน้นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่กลับไปกลับมา พวกเขาจะต้องมีผลของพระวิญญาณในเรื่องการควบคุมตนเองให้ได้
ทิตัส 3:3
ท่านเปาโลได้ยอมรับให้ทิตัสและพี่น้องที่อ่านจดหมายนี้ฉบับนี้ทราบว่า ในอดีต ท่านและทิตัสก็เป็นเหมือนกับพี่น้อง ทั้งโง่ ไม่เชื่อฟัง ถูกหลอกติดกับของกิเลสตนเอง ชีวิตทำชั่ว ขี้อิจฉา และเกลียดชัง เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลก็เป็นแบบนี้ก่อนที่จะมารู้จักพระเจ้า ท่านทำให้โลกของคริสเตียนปั่นป่วนไปหมดเพราะความที่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนยิวจึงหันไปเชื่อพระเยซูกันมากมาย ทำไมจึงติดตามคำสอนของเหล่าอัครทูตที่การศึกษาน้อย
ทิตัส 3:4-5
ท่านเปาโลยืนยันว่า พี่น้องจะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากอดีต และการเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้เพราะพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้เป็นคนใหม่ด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยความพยายามของพวกเขาเอง พระกรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปอย่างพวกเรา ทำให้เราที่เข้ามาเชื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง สำหรับคนที่เคยชั่วร้าย มาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดเจนมาก
ทิตัส 3:6-7
ท่านเปาโลกำลังบอกเราการที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เข้ามาประทับในชีวิตของผู้เชื่อเมื่อเขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงมาในชีวิตเพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้ให้เราก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ (ยอห์น 14-16) สมัยก่อนพระเยซูจะเสด็จมานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบพระวิญญาณให้ผู้เชื่อแบบนี้ และเมื่อ ทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม (เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า) เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก
ทิตัส 3:8
ท่านเปาโลต้องการให้ทิตัสสอนย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ดี เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่พวกเขาอยู่ การทำดีไม่ได้เป็นเหตุให้พี่น้อง
รับความรอด แต่เป็นเพราะพวกเขารับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จึงส่งผลให้ชีวิตของเขาแตกต่างเป็นประโยชน์กับชุมชน เราจะเห็นการงานของ
ผู้รับใช้มากมายที่ไม่ได้แค่ประกาศข่าวประเสริฐ แต่มีการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล โรงพิมพ์ ฯลฯเพื่อพัฒนาคนและพื้นที่
ทิตัส 3:9
เราฟันธงได้เลยว่า เมื่อเกิดการโต้แย้งที่ต้องการแค่เอาชนะ ไม่ใช่ต้องการหาคำตอบแท้จริง สิ่งที่จะเกิดตามมา คือความเกลียดชัง แบ่งเป็นสองฝ่าย
และกลายเป็นสงครามระหว่างสองฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตอนที่โต้เถียงกันนั้น แต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนเองคิดถูกที่สุด แม้ว่าจะจนตรอกก็ยัง
ยืนหยัดในกรอบความคิดเดิมที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ดังนั้น การโต้เถียงที่โง่เขลาจึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง การคุยกันด้วยความรักเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ทิตัส 3:10-11
จะเห็นว่า สำหรับท่านเปาโลแล้ว จุดสำคัญของเรื่องคือการที่พี่น้องในเกาะครีตจะต้องฉลาด ใช้ปัญญาโดยการไม่เกี่ยวข้องกับใครก็ตามที่มีแนวโน้มจะ
สร้างความแตกแยกระหว่างพี่น้องในคริสตจักร คนที่จะสร้างความเจริญที่เก่ง มีปัญญา สามารถพัฒนาชุมชนโดยที่ให้มีความแตกแยกน้อยที่สุดได้
การอธิบายให้เข้าใจ ทำตัวอย่างให้เห็น แทนที่จะใช้เสียงดังสุด ใช้คำหยาบคายสุดอย่างที่ใช้กันในหมู่นักเดินประท้วงทุกวันนี้
ทิตัส 3:12-13
เมืองนิโคบุรี หรือนิโคโพลิสเป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของกรีซ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะครีตพวกเขาจะต้องเดินทางไปมาหาสู่กันทางเรือ ดังนั้น
จึงต้องมีเสบียง เสื้อผ้าที่เหมาะสมให้สำหรับทุกคนที่เดินทาง ท่านเปาโลมีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ที่มีอาชีพต่าง ๆ ทั้งชายและหญิง จะเห็นว่า ไม่ว่าท่านไปที่ไหนก็มีปัญหากับผู้ที่ถือศาสนายิว แต่เมื่อใดพวกเขากลับใจเชื่อ ก็จะกลายเป็นเหมือนผู้ช่วยในด้านต่าง ๆ ของท่าน
ทิตัส 3:14-15
ท่านเปโตรเคยกล่าวถึงการที่จะมีชีวิตอย่างคนมี ประโยชน์ให้กับตนเองแผ่นดินของพระเจ้าและ คนอื่นๆใน 1เปโตร2:5-8จากข้อ 5 มาเรื่อย เป็นคำแนะนำว่าจะต้องเพิ่มชีวิตด้วยอะไรเป็นขั้น เป็นตอนชัดเจนมากถ้าชีวิตของเรามีเป้าหมาย มีวินัยในการที่จะสร้างชีวิตเพื่อเป็นประโยชน์ เราก็จะไม่เป็นคนอยู่นิ่งเฉยไปวันๆจะไม่เป็นคนหายใจทิ้งแต่..ทุกสิ่งที่ทำจะเกิดเป็นผลดี

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เปโตร 2:13; โคโลสี 1:10
3* 1โครินธ์ 6:11
4* ทิตัส 2:11; 1 ทิโมธี 2:3
5* โรม 3:20; ยอห์น 3:3
6* เอเสเคียล 36:26

7* โรม 8:17, 23-24
8* 1 ทิโมธี 1:15
9* 2 ทิโมธี 2:23
10* มัทธิว 18:17
12* กิจการ 20:4
13* กิจการ 18:24


ทิตัส 2 พฤติกรรมที่เหมาะสม

ทิตัส 2:1-2
แต่ท่านจะต้องบอกทุกคนว่า ควรทำอย่างไรเพื่อที่จะติดตามคำสอนที่แท้จริง สอนชายสูงอายุให้รู้จักควบคุมตัวเอง เป็นคนที่น่านับถือ มีปัญญา มั่นคงในความเชื่อ ในความรัก และมีความอดทน


ทิตัส 2:3-4
เช่นเดียวกัน สอนสตรีสูงอายุใหัปฏิบัติตนเป็นคนที่น่าเคารพ ต้องไม่ใส่ร้ายผู้อื่นหรือดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน แต่ให้สอนสิ่ง
ที่ดี เพื่อว่าจะได้สอนหญิงสาวให้รักสามี
และรักลูก ๆ ของตน

ทิตัส 2:5-6
และให้เธอเป็นคนที่ควบคุมตนเอง บริสุทธิ์ ดูแลบ้านได้ดี เป็นคนมีน้ำใจ และเชื่อฟังสามี 
เพื่อจะไม่มีใครมาวิจารณ์
คำสอนที่พระเจ้าประทานแก่เราได้


ทิตัส 2:7-8
เช่นเดียวกัน ให้หนุนน้ำใจชายหนุ่มให้รู้จักควบคุมตนเอง ตัวเจ้า ก็ขอให้เป็นตัวอย่างในเรื่องการทำดี เมื่อเจ้าสอนก็ขอให้สอนด้วยความซื่อตรง มีเกียรติ ให้พูดจริง เพื่อว่าจะไม่มีใครมากล่าวหาเจ้าได้ แล้วคนที่ต่อต้านเจ้าจะละอายใจเพราะไม่มีผู้ใดที่จะมาพูดให้ร้ายเราได้


ทิตัส 2:9-10
ส่วนกลุ่มคนที่เป็นทาสนั้น ก็ควรเชื่อฟังนายของพวกเขาทุกเวลา พยายามที่จะทำให้เขาพอใจ ไม่ใช่พูดจาโต้กลับนาย
อย่าเป็นคนขโมย แต่จะต้องทำให้เจ้านายได้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนไว้ใจได้ เพื่อว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะทำให้ได้เห็นถึงคำสอนอันทรงเกียรติของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทิตัส 2:11-12
เพราะพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยทุกคนให้รอดได้ปรากฏแก่มนุษย์ทั้งปวง
พระคุณนั้นสอนเราให้ใช้ชีวิตในยุคนี้ด้วยการควบคุมตนเอง อยู่ในทางของพระเจ้าโดยหันออกจากชีวิตที่ไร้พระเจ้า จากตัณหาของโลก


ทิตัส 2:13
เราควรมีชีวิตเช่นนั้น ในขณะที่เรารอคอยความหวังที่เป็นสุข
และการเสด็จกลับมาด้วยพระสิริของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา


ทิตัส 2:14
พระองค์ประทานชีวิตของพระองค์แก่เรา เป็นการจ่ายราคาเพื่อไถ่เราจากความชั่วทั้งสิ้น และเพื่อทำให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะทำสิ่งดี

ทิตัส 2:15
จงบอกสิ่งเหล่านี้ และหนุนใจพี่น้องและตักเตือนให้เขาได้รู้ถึงสิ่งที่ยังผิดพลาดในชีวิตด้วยสิทธิอำนาจ อย่ายอมให้ใครมาดูหมิ่นเจ้าได้


ทิตัส 2:1-2
ผู้เชื่อในคริสตจักรจะต้องได้รับการสอนให้มีชีวิตการกระทำซึ่งเป็นที่ถวายพระเกียรติ มีความเชื่อถูกต้อง และการกระทำก็สอดคล้องกับความเชื่อ
นั้น ในบทนี้ เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเอาใจใส่ที่จะช่วยให้พี่น้องมีพฤติกรรมที่บริสุทธิ์สะอาดสมกับเป็นผู้เชื่อ เป็นชีวิตที่แตกต่างจากชาวครีตทั่วไป
แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เป็นแสงสว่างให้แก่ชาวครีตเป็นเหมือนเกลือให้กับชุมชนชาวเกาะนี้
ทิตัส 2:3-4
สมัยก่อนนั้น อายุสี่สิบกว่าก็ถือเป็น ผู้หญิงสูงอายุแล้ว เพราะสถิติการเสียชีวิตนั้น เร็วกว่าสมัยนี้มากสิ่งสำคัญที่ท่านเปาโลเตือนก็เป็นเรื่องของการนินทา
ซึ่งมักจะเป็นการใส่ร้ายคนอื่นอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัวไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ เสียเวลาไปโดยไร้ค่าสิ่งดี ๆ ที่พวกเธอต้องตั้งใจทำคือ การส่งต่อคำสอนที่ดีสำหรับชีวิตครอบครัวให้กับคนที่เป็นหญิงสาว ให้เอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นอย่างดี
ทิตัส 2:5-6
เป้าหมายของชีวิตคริสเตียนที่ท่านเปาโลย้ำมาก ๆ คือการมีชีวิตที่ไร้ที่ติ เพื่อว่าคำเทศนา คำสอนจะไม่เป็นที่ครหานินทาได้ ท่านเปาโลทำให้เราเห็นว่า
พระคำของพระเจ้านั้นอยู่สูงเหนือชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะวางไว้บนโต๊ะเฉย ๆ หรือแค่โหลดเข้ามาในโทรศัพท์แต่ไม่เคยอ่านเลย การมีพระคำ
การมีคำสอนของพระเจ้าในชีวิต และทำตามนั้นเป็นพระพรใหญ่หลวง เราเห็นนักเทศน์มากมายที่มีข้อตำหนิเพราะปากกับการกระทำแตกต่าง
ทิตัส 2:7-8
อีกแล้วที่ท่านเปาโลย้ำให้สอนการควบคุมตนเองซึ่งในสังคมภายนอกไม่มีเลย การมั่วสุมทางเพศเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น แถมมีศาสนาที่มั่วเพศขณะทำพิธีทางศาสนาด้วย สิ่งที่ชายหนุ่มคริสเตียนต้องระมัดระวังคือ ต้องควบคุมจิตใจ ความคิด การกระทำของตน มีความซื่อตรง มีเกียรติ พูดจริง ทั้งหมดนี้ จะต้องทำโดยไม่ให้ใครมาตำหนิได้สำหรับเราแล้ว เราต้องถามตัวเองว่า คนอื่นที่เข้ามาเจอเรานั้น ไว้วางใจเราในเรื่องต่าง ๆ หรือไม่
ทิตัส 2:9-10
เป้าหมายชีวิตของทาสที่เข้ามาเชื่อพระเจ้านั้นก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มาเชื่อ พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตไม่เหมือนทาสทั่วไปที่ท้าทาย ขโมย ไว้ใจยาก พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าในตัวพวกเขา ต้องทำให้เจ้านายได้สัมผัสกับชีวิตที่มีพระเจ้า การเชื่อฟังเจ้านาย การไม่ย้อนเจ้านายกลับ ตัวท่านเปาโลเองมองเห็นว่าทาสคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเจ้าใต้เจ้านายที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกัน ควรได้รับการปฏิบัติดีจากเจ้านายด้วย
ทิตัส 2:11-12
แต่ก่อนนี้ พระคุณของพระเจ้ามีให้กับชาวยิวเท่านั้นมาบัดนี้พระคุณโดยองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เป็นพระคุณทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะ
เป็นชนชาติใดเมื่อเชื่อพระเยซู ก็จะได้รับความรอดคำกล่าวนี้ทำให้ทิตัสซึ่งเป็นคนต่างชาติ และรับใช้ในหมู่ชาวเกาะที่เป็นคนต่างชาติเช่นกันได้รับความ
มั่นใจในพระคุณของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาต้องระวังในการใช้ชีวิตก็คือเรื่องเดียวกับที่บอกมาแล้วคือควบคุมตนเอง และหันจากโลก
ทิตัส 2:13
ความหวังที่เป็นสุขนี้ใช้คำกรีกว่า มาคาริออส μακάριος ซึ่งใช้อธิบายสภาพฝ่ายวิญญาณที่มีสวัสดิภาพ รุ่งเรือง เรามีความยินดีลึกซึ้ง มีความพอใจที่เป็นสุขเพราะความยินดีนั้นมาจากการมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คำ ๆ นี้ใช้อธิบายถึงคนที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ได้รับพระคุณ และความชื่นชมของพระเจ้าในชีวิต นอกจากนั้นเรายังรอคอยพระเจ้าเสด็จกลับอย่างมีสง่า
ราศีด้วย
ทิตัส 2:14
พระคำตอนนี้ เหมือนกับหนังสือเอเฟซัส 2:8-10 ความรอดมาถึงเราได้เพราะพระคุณพระเจ้าและความเชื่อที่เรามีในพระองค์ เกิดขึ้นได้เพราะ
พระเจ้าประทานให้เรา ไม่มีใครอวดในความดีของตนเองได้เลย แต่เมื่อเราได้รับความรอดจากพระเจ้าแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่ขวยขวาย เร่าร้อน
ที่จะทำสิ่งดีให้กับชุมชนรอบข้าง และโลกของเรา สิ่งดีที่เราแต่ละคนทำนั้น แตกต่างกัน เป็นสิ่งดีที่พระเจ้าทรงเตรียมให้แต่ละคน 
ทิตัส 2:15
การเป็นผู้ที่จะช่วยนำคนอื่นให้เติบโตในพระเจ้านั้นไม่ใช่อยู่นิ่ง ๆ แต่เป็นการทั้งบอกกล่าว ทั้งหนุนใจทั้งตักเตือน ใช้การสื่อสารที่เพื่อน พี่น้องของเรา
จะได้เข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้า และต้องเป็นการทำด้วยสิทธิอำนาจจากพระเจ้าด้วยยิ่งกว่านั้น อย่าทำตัวให้ใครดูหมิ่นได้เลย การประพฤติตัวของผู้ที่สอนคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนคอยสังเกต และหากติดลบ ก็จะไม่มีใครต้องการฟังและนับถือ

พระคำเชื่อมโยง

5* 1 ทิโมธี 5:14; 1โครินธ์ 14:34; โรม 2:24
7* 1 ทิโมธี 4:12; เอเฟซัส 6:24
9* 1 1 ทิโมธี 6:1
11* โรม 5:15

13* 1โครินธ์  1:7; โคโลสี 3:4
14* กาลาเทีย 1:4; ฮีบรู  1:3, 9:14; อพยพ15:16
15* 2 ทิโมธี 4:2

มัทธิว 2 ดวงดาวและความฝัน

โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
1 หลังจากที่พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด   ก็มีโหราจารย์ จากประเทศทางทิศตะวันออก เดินทางมายังนครเยรูซาเล็ม  (คนเหล่านี้เขาเป็นทั้งนักดาราศาสตร์ เป็นปราชญ์ และเป็นปุโรหิตที่ทำนายฝันโดยใช้ดวงดาวเป็นตัวนำ) 
2 พวกเขาถามว่า “ทารกที่มาเกิดเพื่อเป็นกษัตริย์ของยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราเห็นดวงดาวของท่านในทางตะวันออก และเราเดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์”
3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดรู้เรื่องนี้ ท่านก็รู้สึกกลัว ว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ชาวเมืองเยรูซาเล็มก็เป็นเหมือนกัน 
4 เฮโรดจึงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย  และเหล่าธรรมาจารย์ ถามพวกเขาว่า พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์) มาเกิดที่ใด
5 พวกเขาตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย มีผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า :
6  ‘ส่วนเจ้านั้น เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์เอ๋ย เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยให้หมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์เลย  เพราะจะมีผู้ปกครองท่านหนึ่งมาจากเจ้า ท่านเป็นเหมือนผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอล’ 

แผนลวงของเฮโรด
7 แล้วเฮโรดจึงเรียกเหล่าโหราจารย์มาพบเป็นส่วนตัว ท่านสอบถามจนรู้แน่ว่า ดวงดาวนั้นปรากฏขึ้นเวลาใด
8 จากนั้นก็ส่งโหราจารย์เหล่านี้ไปยังเบธเลเฮม กล่าวว่า “ขอให้พวกท่านไปตามหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้ว ก็กลับมารายงานให้ข้าเพื่อว่าข้าจะไปนมัสการท่านเช่นกัน”
9 หลังจากที่ได้รับฟังคำของกษัตริย์แล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาตามมาจากตะวันออกก็เคลื่อนที่นำพวกเขาไปจนกระทั่งดาวหยุดเหนือที่ ๆ องค์พระกุมารประทับอยู่

10 เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาว พวกเขาก็ปีติยินดีมาก
11 พวกเขาเข้าไปในบ้าน และเห็นพระกุมารพร้อมกับมารดาของพระองค์ คือมารีย์ และเขาก็ได้ก้มลงแล้ว นมัสการพระองค์ แล้วเปิดกล่องนำของขวัญถวายพระองค์ เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ
12 แต่พระเจ้าทรงเตือนเหล่าโหราจารย์ ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหาเฮโรดอีก ดังนั้น พวกเขาจึงกลับประเทศของเขาด้วยเส้นทางอื่น

13 หลังจากที่เหล่าโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน กล่าวว่า “จงลุกขึ้น และพาพระกุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังตามค้นหาพระกุมารเพื่อประหารพระองค์”
14 ในคืนนั้นเอง โยเซฟลุกขึ้น และพาองค์ทารกน้อยกับมารดาเดินทางไปยังประเทศอียิปต์
15 โยเซฟอาศัยอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ที่เกิดขึ้นดังนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เราได้เรียกลูกชายของเราออกจากอียิปต์” (โฮเชยา 11:1)

เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่า เหล่าโหราจารย์รู้ทันความตั้งใจของท่าน ท่านก็โกรธนัก จึงสั่งทหารไปประหารเด็กชายทั้งหลายในเมืองเบธเลเฮมและหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยคำนวนจากช่วงเวลาที่ได้ยินสิ่งที่โหราจารย์เล่าให้ฟัง
17 จึงเป็นจริงตามที่เยเรมีย์ผู้เผยพระดำรัสกล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงคร่ำครวญในรามาห์ (เป็นจุดที่ยิวถูกส่งออกไปเป็นเชลย เยเรมีย์ 40:1) เป็นเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ ราเชลร้องไห้ถึงลูก ๆ ของเธอ เธอไม่ยอมรับคำปลอบใจใด ๆ เพราะลูก ๆ ได้จากไปแล้ว​(เยเรมีย์​ 31:15)

กลับจากประเทศอียิปต์
19 หลังจากที่เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับโยเซฟในความฝัน ขณะที่เขายังอยู่ในอียิปต์
20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาองค์พระกุมารและมาดากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอลได้แล้ว เพราะคนที่พยายามตามล่าชีวิตของพระกุมารนั้น ตายไปแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล
22 แต่เขาได้ยินว่า อารเคลาอัสได้ขึ้นปกครองแคว้นยูเดียแทนบิดาคือเฮโรดที่ได้สิ้นชีวิตไป เขาก็กลัวที่จะไปอยู่ที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝัน จึงเดินทางต่อไปในเขตกาลิลี
23 ไปอาศัยในเมืองนาซาเรธ ดังนั้นจึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ” (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)

เบื้องหลังเรื่องราว

มัทธิว 2:1-6 โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม  ใกล้ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของเมืองนี้มีความหมายว่า บ้านขนมปัง หรือบ้านแห่งอาหาร พระเจ้าทรงให้ทั้งโยเซฟ มารีย์เดินทางมาเพื่อลงทะเบียนสำมะโนครัว    และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เขาเตรียมลูกแกะสำหรับการถวายเครื่องบูชา ลูกแกะตัวเล็ก ๆ ที่เกิดใหม่จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าเก่าของเหล่าเลวี ดังนั้นเมื่อมีการบันทึกว่า เราจะพบว่า เขาเน้นการที่พระเยซูทรงถูกหุ้มห่อด้วยผ้าขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการที่วันหนึ่งพระองค์จะถูกประหารเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาป

จากบ้านเมืองที่ไกลจากอิสราเอลมาก เราไม่ทราบว่า โหราจารย์เหล่านี้มาจากประเทศใด แต่สิ่งที่เรารู้คือว่า เขาเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า และรู้ด้วยว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดโดยดูจากดวงดาวที่เคยมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า  โหราจารย์เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า ในที่ ๆ ห่างไกล ยังมีคนที่เชื่อพระเจ้า และแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ พวกเขาพร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อตามหาพระองค์ ใครจะรู้บ้างว่า เขาอาจจะเป็นคนที่เคยตกไปเป็นเชลยเหมือนอย่างคนรุ่นดานิเอลก็เป็นได้  คนเหล่านี้เห็นดวงดาวของพระเมสสิยาห์ และเขาก็ตามมาเพื่อถวายความเคารพ ถวายหัวใจ ถวายนมัสการ และถวายของขวัญแด่พระองค์ (กันดารวิถี 24:17)

เฮโรดเป็นกษัตริย์ปกครองโดยอำนาจของโรม ในช่วง 34-4 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเป็นชาวเอโดม  เป็นกษัตริย์ที่เก่ง ฉลาด มีความรู้ในการสร้างอาคาร มีความสนุกกับการที่จะได้สร้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองที่สุดโหดด้วย  พร้อมที่จะฆ่าได้ทุกคนที่ขวางทาง

ขณะที่โหราจารย์มาเยี่ยมพระกุมาร พวกเขาก็เข้าใจว่า เป็นกษัตริย์ก็น่าจะอยู่ในวัง แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่… พวกเขาทำให้เฮโรดกังวลเป็นอย่างมากเมื่อรู้เรื่องของกษัตริย์ยิวที่มาเกิด…อย่างแรกที่คิดคือ ต้องกำจัดกษัตริย์ผู้นี้  จากข้อสี่เราจะเห็นว่า เฮโรดพอมีความรู้เรื่องพระเมสสิยาห์อยู่บ้างเขาไม่สบายใจมาก ต้องกำจัดองค์กษัตริย์ผู้นี้ให้ได้! ดูสิ ..พระบุตรพระเจ้ามาบังเกิด ก็ถูกปองร้ายตั้งแต่ต้น ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้พักเลย พร้อมที่จะทำลายตลอดเวลา!!

เมื่อเฮโรดถามปุโรหิต พวกเขาเองก็รู้เช่นกันว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดในเบธเลเฮม … ในขณะที่โหราจารย์เดินทางจากแดนไกลมาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์น้อย  เฮโรดกับปุโรหิต ธรรมาจารย์กลับมีความคิดอีกอย่าง.. 

มัทธิว 2:7-12 แผนลวงของเฮโรด
เฮโรดฉลาดมาก ไม่ได้แสดงความกังวลให้โหราจารย์เห็นเลย เขาสอบถามจนแน่ใจว่า ศัตรูที่อาจมาทำลายอำนาจของเขาผู้นั้น เป็นใครอยู่ที่ไหนกันแน่ แทนที่จะส่งคนไปกำจัดพระเยซูตัวน้อยเลย ก็ปล่อยให้โหราจารย์ไปก่อน ไปดูให้แน่.. แล้วค่อยไปจัดการ ไม่ให้เสียคน เสียเวลา แถมยังผูกมิตรกับโหราจารย์อีกด้วย นี่ไง..ความปราชญ์เปรื่องของเฮโรด

พบองค์กษัตริย์ที่ดาวนำมา
โหราจารย์เดินทางต่อ ดวงดาวนั้นก็พาพวกเขาไปต่อจนถึงสถานที่ซึ่งครอบครัวของพระเยซูอาศัยอยู่ เราไม่ทราบว่า จากวันที่พระองค์ประสูติ จนถึงวันนี้ผ่านมานานเท่าไรจริง ๆ แต่จากที่เราเห็นว่า เฮโรดสั่งประหารเด็กสองขวบลงมา ก็น่าจะห่างจากวันที่พระองค์ประสูติพอสมควร ดูความเชื่อของโหราจารย์ มหัศจรรย์!! พวกเขาเชื่อเพียงเห็นเด็กคนหนึ่งที่เขารู้ในใจว่า ใช่แน่.. เขาไม่มีความสงสัย

พวกเขาต้องเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์เดิม รู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมาเป็นอย่างดี ในขณะที่เหล่าผู้นำทางศาสนายิวกังวล โกรธเกรี้ยวที่พระเมสสิยาห์ซึ่งก็เป็นผู้ที่ชาวอิสราเอลรอคอยมาบังเกิด พวกเขากลับมาก้มลง คุกเข่านมัสการ ถวายของขวัญแด่พระองค์ ทั้ง ๆ ที่ยังทรงเป็นเด็ก อยู่ในบ้านธรรมดา มีพ่อแม่เป็นชาวบ้าน ไม่ได้แสดงการอัศจรรย์ให้เห็น แต่พวกเขาไม่ได้สงสัย กลับมั่นใจว่า พวกเขาได้พบองค์กษัตริย์ที่แท้จริง ดวงดาวที่นำมาและหยุดในที่ ๆ ใช่นั้น เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว (อิสยาห์ 49:7)

มัทธิว 2:13-15 การปกป้องจากพระบิดา
จากนั้น พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้โหราจารย์กลับไปรายงานสิ่งใดแก่เฮโรด พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า กลับไปทางอื่นอย่างที่พระเจ้าทรงเตือน … แล้ว พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ มาบอกโยเซฟในความฝันอีกครั้งให้หนีไปอียิปต์ทันที โยเซฟเองก็ไม่รอช้า ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ทันที

ช่วงเวลาที่โยเซฟออกเดินทาง ก็เป็นเวลาที่โหราจารย์กลับบ้าน และเวลานั้น เฮโรดก็กำลังรอคอยคำตอบจากโหราจารย์ด้วย .. ครอบครัวเล็ก ๆ ออกเดินทางไปช้า ๆ ในความมืด ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เกิดมา แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดนี้ พระเจ้าได้ตรัสล่วงหน้ามาแล้วว่าจะเกิดขึ้น (โฮเชยา 11:1)เราเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างพระเยซูกับอิสราเอลคนของพระเจ้าหรือไม่? ชีวิตของพระเยซูนั้น สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกมาจากความเป็นทาส และสะท้อนให้เห็นชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกจากความบาปและความตาย

มัทธิว 2:16-18 เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
การไม่กลับมาของโหราจารย์ทำให้เฮโรดโกรธยิ่งนัก 

สิ่งที่ทำได้คือ คำนวนเวลาแล้วก็สั่งประหารเด็กชายอายุสองขวบลงมา … พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เช่นกันใน เยเรมีย์​ 31:15  เฮโรดไม่ได้รู้เลยว่า องค์กษัตริย์ผู้ที่เขาพยายามสังหารนั้น ไม่ได้อยู่ในหมู่เด็กชายเหล่านั้น  และเมื่อฆ่าล้างเด็ก ๆ สำเร็จ เขาก็รู้สึกสบายใจ  เห็นไหม ว่าโหดขนาดไหน?

มัทธิว 2:19-23 กลับจากประเทศอียิปต์
ไม่นานเฮโรดก็สิ้นชีวิต พระเจ้าก็ทรงสั่งโยเซฟผ่านทูตสวรรค์ในความฝันอีกครั้ง เขาก็พาครอบครัวกลับมา โดยหลีกเลี่ยงลูกชายเฮโรดที่ขึ้นครอง จึงเดินทางไปอาศัยในนาซาเร็ธ (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)น่าแปลกที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์เติบโตในเมืองที่ผู้คนดูหมิ่น คนมักจะถามว่า มีอะไรดีที่มาจากนาซาเร็ธบ้าง? ผู้คนมักคิดว่าตนเองดีกว่าคนชาวนาซาเร็ธ

ในขณะที่เราแสวงหาสิ่งดีที่สุดให้กับตัวเอง พระบิดากลับทางวางพระบุตรไว้ในจุดที่คนเมิน…
พระเยซูทรงเติบโตมาพร้อมกับอาชีพที่รับต่อมาจากโยเซฟคือ เป็นช่างไม้ พระองค์ทรงดูแลครอบครัวเพราะเป็นเหมือนลูกชายหัวปี พระเจ้าทรงเตรียมพระเยซูเช่นนี้ และใครก็ตามที่รู้สึกต่ำต้อย ให้ดูว่าองค์กษัตริย์ที่จะครองใจมนุษย์ทรงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเลิกที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้แล้ว

พระคำเชื่อมโยง

1* มีคาห์ 5:2; ลูกา 2:4-7; ปฐมกาล 25:6
2* ลูกา 2:11; กันดารวิถี 24:17
4* 2 พงศาวดาร 36:14; 34:13; มาลาคี 2:7
6* มีคาห์ 5:2; ยอห์น 7:42; วิวรณ์ 2:27

7* กันดารวิถี 24:17
11* อิสยาห์ 60:6
12* มัทธิว 1:20
13* มัทธิว 2:16
15* โฮเชยา 11:1

18* เยเรมีย์ 31:15
20* ลูกา 2:39; มัทธิว 2:16
22* มัทธิว 2:12,13,19; ลูกา 2:39
23* ยอห์น 1:45-46; ผู้วินิจฉัย 13:5

ทิตัส 1 จากท่านเปาโลถึงทิตัส

ทิตัส 1:1
จากเปาโล ทาสของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ข้าได้รับมอบหมายมาเพื่อรับใช้เรื่องความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และเพื่อช่วยให้เขารู้จักความจริงในการเดินในวิถีทางของพระเจ้า

ทิตัส 1:2
ความเชื่อ และความจริงนั้น 
มาจากความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่ทรงมุสา ได้ทรงสัญญากับเราไว้ก่อนปฐมกาล


ทิตัส 1:3
และเมื่อถึงเวลาของพระองค์ พระเจ้าก็ทรงทำให้โลกได้รู้ถึงชีวิตนั้น ผ่านการประกาศ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบงานประกาศนั้นไว้แก่ข้าตามพระบัญชาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทิตัส 1:4
ถึงทิตัส ลูกชายแท้ของข้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา อยู่กับท่าน

ทิตัส 1:5
ที่ข้าปล่อยให้เจ้าไว้ที่เกาะครีต (ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
ก็เพื่อว่า เจ้าจะได้จัดการทำทุกสิ่งที่ต้องดูแลให้สำเร็จเรียบร้อย เพื่อเจ้าจะได้แต่งตั้งผู้ปกครองไว้ในทุกเมือง
ตามที่ข้าแนะนำไว้แล้ว

ทิตัส 1:6-7
ผู้ปกครองนั้น จะต้องเป็นคนที่ไร้ตำหนิ ซื่อสัตย์ต่อภรรยาคนเดียว และลูก ๆ มีความเชื่อเดียวกัน จะต้องไม่เป็นลูกที่ดื้อดึงดัน หรือไร้วินัย ในฐานะที่เขาเป็นผู้ดูแลคริสตจักร จะต้องไร้ตำหนิ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อารมณ์ร้อน และจะต้องไม่เป็นคนติดเหล้า หรือเป็นคนรุนแรง หรือพยายามร่ำรวยด้วยการคดโกงผู้อื่น


ทิตัส 1:8-9
เขาควรเป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจต้อนรับแขก รักความดี สามารถควบคุมตนเองได้ มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า และมีวินัย
โดยที่เขายึดมั่นในคำสอนที่จริง ไว้ใจได้ ซึ่งได้สอนเขาไว้ เพื่อเขาจะหนุนใจคนอื่นด้วยความสอนที่จริงแท้ และเขาสามารถ
ช่วยแก้ไขเหล่าคนที่ต่อต้านคำสอนนั้น

ทิตัส 1:10-11
เพราะมีหลายคนไม่ยอมร่วมมือ คนที่มักพูดถึงสิ่งที่ไร้ค่าและหลอกลวงผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยืนกรานว่าจะต้องเข้าสุหนัตเท่านั้นจึงจะรอดได้ เราต้องหยุดคนพวกนี้ เพราะพวกเขาทำลายหลายครอบครัว โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอน พวกเขาหลอกลวงผู้คนเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น

ทิตัส 1:12-14
หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า“ชาวครีตมุสาเสมอเป็นเหมือนอย่างสัตว์ป่า และเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเอาแต่ตะกละตะกลาม”  สิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง ดังนั้น จงเตือนพวกเขาให้รู้ว่าพวกเขาทำผิดไปแล้ว เพื่อจะได้มีความเชื่อที่ถูกหลัก จะไม่ยอมรับนิยายของยิวรวมถึงคำสั่งของคนที่ปฏิเสธความจริง

ทิตัส 1:15-16
สำหรับคนที่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่เป็นมลทินและไม่เชื่อนั้นก็ไม่มีอะไรในตัวที่บริสุทธิ์เลย ทั้งความคิดมโนธรรมของเขาเป็นมลทิน เขารับว่าตนรู้จักพระเจ้า แต่การกระทำแสดงว่า เขาไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขาน่ารังเกียจ
ไม่เชื่อฟัง และไม่เหมาะที่จะทำสิ่งดีใด ๆ

อธิบายเพิ่มเติม

ทิตัส 1:1
ทิตัสเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกับท่านเปาโล เขาเป็นคนกรีก และเป็นคนที่เปาโลรักเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง ท่านเปาโลได้เขียนถึงตัวท่านเองว่าเป็นทาสของพระเจ้า และเป็นอัครทูต คือ คนที่พระเจ้าทรงส่งไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆหน้าที่สำคัญของท่าน คือช่วยให้ผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ได้รู้จักความจริงของพระองค์และจะได้ใช้ชีวิตในการเดินไปกับพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:2
ความเชื่อของคริสเตียนในยุคนั้นแตกต่างจากความเชื่อในเทพเจ้าต่าง ๆ ที่เชื่อกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพกรีกที่ต่างมีชีวิตอันโสมม คริสเตียนกลับมีชีวิตที่มุ่งมั่นที่จะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์​โดยเริ่มต้นที่เชื่อพระเยซู และใช้ชีวิตตามความจริงของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีชีวิต
อมตะมาตั้งแต่วันที่ทรงสร้างโลก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงอนุญาตให้เขาเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยตัวเอง แล้วมนุษย์ก็ทำพลาดตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ทิตัส 1:3
ข้อนี้สำคัญมาก พระเจ้าทรงให้โลกได้รู้จักชีวิตนิรันดร์อย่างชัดเจน แตกต่างจากสมัยพระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเยซูเสด็จมาช่วยโลกให้รอดแล้ว คนจะรู้ได้ จะรอดได้ก็ต้องมีการประกาศ เผยแผ่ออกไป และพันธกิจดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าเราคิดกันขึ้นเอง แต่พระเยซูทรงเป็นผู้บัญชาให้เราทุกคนได้หน้าที่นี้ตัวท่านเปาโลเองก็ถือว่าตัวท่านเป็นคนที่พระเจ้าทรงส่งออกไปและชักชวนให้คนอื่นออกไปด้วย
ทิตัส 1:4
ท่านเปาโลรักทิตัสอย่างลูกชายคนหนึ่ง ความรักที่อาจารย์คนหนึ่งมีให้ศิษย์นั้นไม่เหมือนกับอาจารย์ที่รักศิษย์เหมือนลูกชาย ทั้งสองมีความเชื่อเดียวกัน รับใช้พระเจ้าเหมือนกัน มีเป้าหมายเพื่อแผ่นดินของพระองค์ แต่ทิตัสได้รับหน้าที่สำคัญที่จะดูแล แต่งตั้งคนทำงานในคริสตจักร ท่านเปาโลก็เขียนมาเพื่อช่วยให้ทิตัสมีแนวทางที่จะทำงานต่อไป
ทิตัส 1:5
นี่คืองานสำคัญที่ทิตัสได้รับมอบหมายมาจากท่านเปาโลคือ การตั้งผู้ดูแลปกครองในคริสตจักร แต่จะตั้งใครล่ะ?
ที่จริงเป็นเรื่องยากสำหรับทิตัสมาก เพราะคนชาวเกาะครีตนั้น ลือชื่อในการเป็นคนไร้มารยาท ทำชั่ว เกียจคร้าน พูดจาหยาบคาย โกหก คดโกง ดังนั้น คนที่เขาเลือกจะต้องเป็นคนที่เกิดใหม่แล้วจริง ๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า และมีชีวิตที่ดำเนินตามพระคำของพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:6-7
ชาวเกาะครีตมีปัญหาในพฤติกรรมบาปต่าง ๆ และพวกเขารับได้กับการกระทำเหล่านั้น ท่านเปาโลจึงต้องบอกชัดเจนว่า คนที่จะปกครองผู้อื่นในคริสต-
จักรจะต้องเป็นคนที่เหนือมาตรฐานของคนชาวครีตอย่างมาก ต่างกันแบบไม่เห็นฝุ่นเลย ตัวอย่างเช่น
พวกเขาเชื่อ ทำตามเทพซูส หรือเซอูสที่เป็นเทพที่จะหลอกผู้หญิงเพื่อเอาประโยชน์ทางเพศ พวกเขา ก็ทำตามเป็นต้น เรื่องการคิด พฤติกรรมอื่น ๆ ของคริสเตียนก็แตกต่างมาก
ทิตัส 1:8-9
คุณสมบัติของผู้ปกครองนั้น เหมือนกับคุณสมบัติของทุกคนที่เป็นผู้เชื่อด้วย ไม่ได้ต่างอะไรกันนักรายการคุณสมบัติที่ดีซึ่งเราได้อ่านมาอย่างแรกคือ
ไร้ตำหนิ ซึ่งแทบจะครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขาทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น เขาต้องเห็นแก่คนอื่น สามารถให้เวลากับคนอื่น มีวินัย และหาก
เขาเป็นคนที่เพียบพร้อมอย่างที่ท่านเปาโลเขียนรายการมา เขาก็สามารถหนุนใจ ช่วยเหลือคนอื่นเป็นที่นับถือของผู้เชื่อในคริสตจักร
ทิตัส 1:10-11
คนที่ไม่ยอมร่วมมือเหล่านี้ มีความหมายถึงคนที่ไม่ยอมอยู่ใต้ผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ผ่านการทดสอบมาแล้ว ในคริสตจักรทุกวันนี้ เราก็ยังเจอ
คนที่ไม่ร่วมมือ ไม่อยู่ใต้การดูแล ที่หนักไปกว่านั้นคือสอนผิดตามประสานิสัยยิวเดิม นั่นคือ บอกว่าจะรอดได้ต้องเข้าสุหนัต ต้องทำพิธีแบบยิว
พวกเขาหลอกลวงคนอื่นเพื่อเงิน นั่นคือ เมื่อคนเข้าใจว่า พวกเขาเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ ก็มักจะมีการถวายเกิดขึ้น
ทิตัส 1:12-14
สิ่งที่ท่านเปาโลเตือนนั้น เป็นเพราะมีคำกล่าวที่เป็นจริงจากกวีท่านหนึ่งที่รู้จักชาวครีตเป็นอย่างดีท่านเล่าว่าพวกเขามีนิสัยใจคออย่างไร ซึ่งเปาโล
เองก็ได้อ้างถึงท่านราวกับว่าท่านคุ้นเคยกับวรรณกรรมในสมัยโบราณเป็นอย่างดีด้วย ท่านเปาโลไม่ได้ห้ามทิตัสให้ตัดขาดคนเหล่านี้ แต่ให้เตือนสติ
เพื่อเขาจะเชื่ออย่างถูกต้อง พวกเขาจะเปลี่ยนได้ก็มีทางเดียวคือ ได้รับฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงจากองค์พระวิญญาณ นั่นเป็นความหวังเดียวที่ไว้ใจได้
ทิตัส 1:15-16
ชาวครีตที่ว่าเชื่อแต่ยังไม่เชื่อจริงนั้น ยังมีกรอบความคิดของตัวเอง ในเรื่องความบริสุทธิ์กับมลทินเช่น พวกเขาคิดว่า อาหารนี่บริสุทธิ์ อาหารนั้นเป็นมลทิน ท่านเปาโลให้ความเห็นว่า คนพวกนี้มีมโนธรรมมลทิน แล้วยังมาชักชวนให้คนที่รู้น้อยหลงคิดตามพวกเขาไป ยังคงไม่ยอมรับพระคุณของพระเยซู
ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อคนที่วางใจในพระองค์ ดังนั้นท่านจึงสรุปว่า คนเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟัง น่ารังเกียจ ไม่เหมาะที่จะเป็นคนดีเสียด้วยซ้ำ

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 ทิโมธี 2:25; 1 ทิโมธี 3:16
2* กันดารวิถี 23:9
4* 2 โครินธ์ 2:13; 8:23
5* 1 โครินธ์ 11:34
6* 1 ทิโมธี 3:2-4

7* เลวีนิติ 10:9
10* ยากอบ 1:26
11* 1 ทิโมธี 6:5
12* กิจการ 17:28

13* 2 โครินธ์ 13:10
14* อิสยาห์ 29:13
15* 1 โครินธ์ 6:12
16* มัทธิว 7:20-23; 25:12 ; 2 ทิโมธี 3:5, 7; โรม 1:28

โยเอล 3 พิพากษาและรื้อฟื้น

สิ่งที่ชาติต่าง ๆ ทำกับคนของพระเจ้า
1 ดูเถิด ในวันเหล่านั้น และเวลานั้น 
เมื่อเราจะรื้อฟื้นยูดาห์และเยรูซาเล็ม จากการเป็นเชลย 
2 เราจะรวบรวมชาติต่าง ๆ
และนำพวกเขามายังหุบเขาเยโฮชาฟัท และที่นั่น
เราจะพิพากษาพวกเขาในประเด็นเรื่องประชากรของเรา
และมรดกของเราคืออิสราเอล
ซึ่งพวกเขาได้ทำให้กระจัดกระจายไปตามชาติต่าง ๆ 
และได้แบ่งแยกแผ่นดินของเรา 
3 พวกเขาได้จับฉลากจับประชากรของเราไป
และทำให้เด็กชายต้องขายตัว 
และค้าเด็กหญิงเอาเงินไปดื่มเหล้าองุ่น


สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตนร้ายกาจต่อคนของพระเจ้า

4 โอ ไทระ ไซโดน และพื้นที่แถบฟีลิสเตีย 
พวกเจ้ามาต่อต้านเราด้วยเรื่องอะไร?
พวกเจ้าจะแก้แค้นเราอย่างนั้นหรือ?
หากเจ้าตอบโต้เรา
เราจะคืนมันกลับไปบนกบาลของพวกเจ้า
อย่างทันควันและรวดเร็ว
5 เพราะพวกเจ้าได้เอาเงินและทองของเราไป  และนำทรัพย์สมบัติมีค่าของเราไปยังวิหารของพวกเจ้า 
6 เจ้าขายประชาชนชาวยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มให้กับพวกกรีกส่งพวกเขาไปไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน 
7 ดูเถิด เราจะเร้าพวกเขาให้ออกจากพื้นที่ ๆ พวกเจ้าขายเขาไป  เราจะสนองการกระทำของเจ้าลงไปที่หัวของเจ้าเอง 
8  เราจะขายลูกชายลูกสาวของเจ้าให้ไปอยู่ในมืองของคนยูดาห์ และ คนยูดาห์จะขายต่อพวกเขาไปให้คนซาเบียนซึ่งเป็นชาติที่อยู่แสนไกล เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว”

การพิพากษาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท
9 จงประกาศเรื่องนี้ท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ
“จงเตรียมทำสงคราม เร้าใจคนที่แข็งแกร่งทั้งหลาย
ให้นักรบทุกคนบุกเข้ามาและโจมตี!
10 จงตีคันไถให้เป็นดาบและขอลิดแขนงให้เป็นหอก
ให้คนอ่อนแอกล่าวว่า “ฉันเข้มแข็ง”
11 จงรีบมา ชาติต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เอ๋ย จงรวมตัวกันที่นั่น
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
12 ขอเร้าใจชาติต่าง ๆ และขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท
เพราะที่นั่น เราจะนั่งตัดสินความชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ
13 แกว่งเคียวเกี่ยวเถอะ เพราะฤดูเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว
มา มาย่ำผลองุ่น เพราะบ่อองุ่นเต็มแล้ว
บ่อเก็บน้ำองุ่นก็ล้นแล้วด้วย เพราะความชั่วร้ายของเขามากยิ่งนัก

วันของพระเจ้า ณ หุบเขาแห่งการตัดสินใจ
14 ผู้คนจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมาก
ในหุบเขาแห่งการตัดสินใจ
15 ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะมืดไป
และดวงดาวจะไม่ส่องแสงต่อไป
16 พระยาห์เวห์จะทรงคำรามจากศิโยน​
และเปล่งพระสุรเสียงจากกรุงเยรูซาเล็ม ฟ้าสวรรค์
และแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน
แต่พระยาห์เวห์จะทรงเป็นที่ลี้ภัยให้กับประชากรของพระองค์
ทรงเป็นป้อมปราการเข้มแข็งให้กับประชากรของอิสราเอล
พระพรมีแก่ประชากรของพระเจ้า
17 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ประทับในศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา
นครเยรูซาเล็มจะบริสุทธิ์
จะไม่ถูกคนต่างชาติเหยียบย่ำอีกต่อไป

การรื้อฟื้นครั้งสุดท้ายของอิสราเอล
18 และในวันนั้น ภูเขาจะส่งน้ำองุ่นหยดลงมา
และเนินเขาจะเต็มด้วยน้ำนม ลำธารทั้งหลายของ
ยูดาห์จะมีน้ำหลั่งไหล และจะมีน้ำพุออกมาจาก
พระนิเวศของพระยาห์เวห์
เพื่อรดน้ำให้กับหุบเขาอาคาเชีย (ชิทธีม)
19 อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง
และเอโดมจะเป็นถิ่นกันดารร้างเปล่า
เพราะความทารุณโหดร้ายที่พวกเขาทำต่อคนยูดาห์
พวกเขาได้ทำให้คนไร้ผิดต้องหลั่งเลือด
20 แต่ยูดาห์จะมีคนอาศัยตลอดไปเป็นนิตย์
และนครเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ยุคแล้วยุคเล่า
21เพราะเราจะแก้แค้นแทนเลือดตกที่เรายังไม่ได้จัดการให้
เพราะพระยาห์เวห์ประทับในศิโยน

อธิบายเพิ่มเติม

ยเอล 3:1-8
บทนี้บอกถึงการรื้อฟื้นชนชาติอิสราเอล จากการเป็นเชลย
1 เมื่อกล่าวถึงวันเหล่านั้น เวลานั้น เป็นการอ้างไปถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (เยเรมีย์ 33:15)
2 พระองค์ทรงแจ้งให้ชัดว่า จะทรงพิพากษาคดีใด ชาติต่าง ๆ ที่ต้องมาอยู่ต่อพระพักตร์คือชาติที่ได้เข้ามากดขี่ข่มเหงชนชาติของพระเจ้า (อิสยาห์ 66:18; เยเรมีย์ 25:31; เศฟันยาห์ 3:8) หุบเขาเยโฮชาฟัทมีความหมายว่า พระเจ้าทรงพิพากษา (อ่านมัทธิว 25:31-46)
3 แล้วพระองค์ทรงบอกว่า พวกเขาได้ทำอะไรกับคนของพระองค์ กับเด็กชายและเด็กหญิง นี่เป็นการค้ามนุษย์ในสมัยโบราณ เขามีการจับฉลากกันในขบวนการค้ามนุษย์นั้น

4 เมืองไทระ ไซโดน เป็นเมืองของชาวฟีนีเชียปกติแล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ บางครั้งพวกเขาก็เป็นภัยต่ออิสราเอล การที่พระเจ้าจะรื้อฟื้นอิสราเอลขึ้นมาได้ พระเจ้าก็ต้องทรงทำบางอย่างกับชนชาติเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่ได้นับถือพระเจ้าแห่งอิสราเอล พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของศัตรูชาติอื่น ๆ ของอิสราเอล
5 ความผิดของพวกเขาคือ การเอาเครื่องใช้ เครื่องประดับต่าง ๆ ในพระวิหารไปยังวิหารเทพของตน
6 ชาวกรีกพวกนี้ เป็นคนที่พูดภาษากรีก ทั้งสองฝั่งของทะเลอีเจียน เราจะเห็นว่า มีค้ามนุษย์กันมาอย่างดาษดื่นแล้วในโลกโบราณ (อาโมส 1:6-9; เอเสเคียล 27:13)
7 พระเจ้าทรงตอบสนองพวกเขาอย่างที่เขาทำกับอิสราเอล พระเจ้าจะทรงช่วยอิสราเอลที่ถูกขายไปไกล และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ยิวไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีสภาพดีขึ้น พวกเขามักเป็นนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาด
8 ชนชาติซาเบียน เป็นพวกพ่อค้าที่อาศัยในอาราเบีย (เยเรมีย์ 6:20)

โยเอล 3:9-17
ต่อไปนี้ โยเอล กลับไปที่เรื่องราวของ 1-3
เป็นการรวบรวมชาติต่าง ๆ มาที่ศาลคือหุบเขาเยโฮชาฟัท 
9 ข้อนี้  พระเจ้าทรงเรียกให้ชาติต่าง ๆ ทำสงคราม แต่เป็นการทำสงครามเพื่อพิพากษาพวกเขา 
10 เป็นเพราะจะต้องเข้าสงคราม อุปกรณ์ทำการเกษตร จึงจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธ ซึ่งตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในอิสยาห์ 2:4 (ที่เป็นการปกครองของพระเจ้า และพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้จบสงครามให้) แม้กระทั่งคนที่อ่อนแอ ก็จะต้องเข้าสงครามด้วย  เพราะอิสราเอลต้องการชายทุกคนให้เข้าไปต่อสู้
11 เรียกชาติต่าง ๆ ก็จริง แต่โยเอลก็เรียกนักรบของพระเจ้าลงมาด้วย (สดุดี  68:17; 103:19-20)  เราเห็นกองทัพสองแบบ พวกแรกมาจากชาติต่าง ๆ อีกพวกเป็นของพระเจ้า
12 ให้เรียกชนชาติต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อพระเจ้าจะทรงพิพากษาพวกเขา
13 โยเอลกล่าวถึงการการเก็บเกี่ยวผลองุ่น การย่ำบ่อองุ่น มีความหมาย……
14 หุบเขาแห่งการตัดสินใจ น่าจะเป็นชื่อเรียกของหุบเขาเยโฮชาฟัทนั่นเอง หรืออาจจะเล็งไปถึงการที่ผู้คนสามารถตัดสินใจได้ว่า จะกลับใจ และติดตามพระเจ้า หรือเดินตามทางของตนเอง
15 ข้อ 15 และ 16 นี้ พูดเหมือน 2:30-32 บรรยายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องฟ้า แต่พระเจ้าทรงยื่นความช่วยเหลือมาให้ประชากรของพระองค์ ท่ามกลางวิบัติต่าง ๆ ดูเศฟันยาห์ 2:1-3 บอกให้ผู้คนตามหาความถูกต้องกับพระเจ้าเพื่อจะรอดพ้น
17 โยเอลเห็นว่า วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อคนต่างชาติเข้ามา จะไม่เหยียบย่ำทำลายเยรูซาเล็มอีกต่อไป แต่จะมานมัสการพระเจ้า เหมือนกับเหตุการณ์ในเศคาริยาห์ 8:20-23

โยเอล 3:18-21
18 หุบเขาอาคาเชียเป็นที่ ๆ มีต้นอาคาเชียขึ้น อยู่ทางเหนือของทะเลตาย เป็น ที่ ๆ คนอิสราเอลพักก่อนที่จะเข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  โยชูวา 2:1, 3:1จากการพิพากษา โยเอลหันมากล่าวเรื่องของพระพรแห่งพันปีจะมีองุ่นมากมายจนหยดเป็นน้ำองุ่น  น้ำนมมากมายก็แสดงว่ามีสัตว์ที่ให้นมมากพอ 
19 การที่อียิปต์ เอโดมเคยทำร้ายคนอิสราเอล พระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง ศัตรูของพวกเขาจะกลับต้องพบกับความกันดาร อียิปต์กับเอโดมเป็นตัวแทนของชาติต่าง ๆ ที่ต่อต้านพระเจ้า
20 พระเจ้าจะให้แผ่นดินของพระองค์ไม่ขาดประชากรเลย 
21 เราเคยได้รับคำสั่งจากพระเจ้าว่า อย่าแก้แค้น การแก้แค้นเป็นของพระองค์  โยเอลบอกชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงจัดการให้เอง ไม่ต้องกังวล สิ่งใดที่คนกระทำต่อผู้อื่นอย่างโฉดชั่ว พระเจ้าจะทรงเอาคืน และสิ่งที่สำคัญคือ บอกย้ำครั้งสุดท้ายว่า พระเจ้าประทับในศิโยน  (2:27, 3:17)

พระคำเชื่อมโยง

1* เยเรมีย์ 30:3
2* เศคาริยาห์ 14:2; อิสยาห์ 66:16
3* เนหะมีย์ 3:10
4* อาโมส 1:6-8
7* เยเรมีย์ 23:8
8* เอเสเคียล 23:42; เยเรมีย์ 6:20


9* เอเสเคียล 38:7
10* อิสยาห์ 2:4; เศคาริยาห์ 12:8
11* อิสยาห์ 13:3
12* อิสยาห์ 2:4
13* วิวรณ์ 14:15; เยเรมีย์ 51:33; อิสยาห์ 63:3

14* โยเอล 2:1
16* อิสยาห์ 51:5-6
17* เศคาริยาห์ 8:3
18* เอเสเคียล 47:1
21* อิสยาห์ 4:4

โยเอล 2 วันของพระเจ้ากำลังมา


กองทัพใกล้เข้ามา
1 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
 ส่งเสียงเตือนบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา   
ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดิน ตัวสั่นเทา   
เพราะวันของพระยาห์เวห์ กำลังมาใกล้ มาใกล้แล้ว  
2  เป็นวันแห่งความมืดและหมองหม่น
วันที่เต็มด้วยหมู่เมฆและความมืดทึบ
เหมือนกับเวลาเช้ามืดที่แผ่ปกคลุมบนภูเขา  
มีกองทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งปรากฎขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีอีกต่อไปในยุคต่อ ๆ มา

กองทัพใหญ่ที่อำนาจทำลายล้างสูง
3  มีกองไฟเผาผลาญนำหน้ามัน
และตามหลังมันคือไฟเผาไหม้
แผ่นดินหน้ามันงดงามดั่งสวนเอเดน 
แต่แผ่นดินด้านหลัง เป็นถิ่นกันดารที่ร้างเปล่า  
ไม่มีสิ่งใดอาจหนีมันไปได้เลย 
4 พวกมันปรากฏขึ้นเหมือนกับม้า
มันควบราวกับม้าศึก
5 และมีเสียงเหมือนรถรบ
พวกมันวิ่งโลดอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย  
เป็นเหมือนเปลวไฟที่ไหม้ตอข้าว
เป็นเหมือนกองทัพที่ทรงอำนาจ
ตั้งแนวรบเข้าประจันบาญ

กองทัพที่ไม่ปราณี
6 ชาติต่าง ๆ บิดตัวด้วยความกลัวต่อหน้าพวกมัน  ทุกคนหน้าซีดเผือด
7 พวกมันกระโจนเข้ามาเหมือนนักรบกระโดดข้ามกำแพงเหมือนทหารต่างเดินแถวเป็นขบวน ไม่แตกแถวที่กำหนดไว้ 
8 พวกมันไม่ปะทะกันเลย ต่างเดินแถวในทางของตน
พวกมันทะลุ ผ่านแนว ป้องกันไม่มีสิ่งใดยับยั้งพวกมันได้ 
9พวกมันเหยียบย่ำเข้าไปในเมือง
วิ่งบนกำแพงเมืองปีนเข้าไปในบ้าน
เข้าไปตามหน้าต่างราวกับโจร

กองทัพที่ทรงพลัง
10 แผ่นดินไหวเบื้องหน้าพวกมัน
และสวรรค์ก็สั่นสะเทือน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป 
ดวงดาวทั้งหลายไม่ส่องแสง
11องค์พระยาห์เวห์
ทรงเปล่งพระสุรเสียงต่อกองทัพของพระองค์
ความจริงแล้ว กองทัพของพระองค์ใหญ่มหึมา 
ผู้ที่ฟังคำบัญชาของพระองค์ก็ทรงพลังมาก  
เพราะวันแห่งพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่
และน่ากลัวเหลือเกิน ใครล่ะ จะทนได้? 

ขอร้องให้กลับใจ
12  พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า 
“บัดนี้ เจ้าทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดใจ ด้วยการอดอาหาร การร้องไห้ และคร่ำครวญเสียใจ 
13 จงฉีกใจของเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า”
จงกลับมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ทรงเต็มด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง
และพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยที่จะไม่ส่งหายนะมายังเจ้า (อพยพ 34:6)

14 ใครจะรู้บ้าง? พระองค์อาจทรงกลับมา และเปลี่ยนพระทัย และเหลือพระพรไว้เบื้องหลังพระองค์ 
คือ ให้มีธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
เอาไว้ถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

ร้องเรียกให้กลับใจทั้งชุมชน
15 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
จัดให้มีการอดอาหารด้วยกัน
จงจัดให้มีการประชุมรวมกัน
16 รวมรวมประชากร ชำระชุมนุมชนนี้ให้บริสุทธ์ รวบรวมผู้อาวุโสรวบรวมเด็ก ๆแม้กระทั่งเด็กที่ยังกินนมอยู่ 
ให้เจ้าบ่าวออกมาจากเรือนหอ
และเจ้าสาวออกมาจากห้องของเธอ
17ให้เหล่าปุโรหิตที่รับใช้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ร่ำไห้ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาร้องว่า “โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงโปรดไว้ชีวิตของประชากรของพระองค์ด้วย  ขออย่าทรงให้มรดกของพระองค์เป็นที่ครหา   เป็นที่เยาะเย้ย ท่ามกลางประชาชาติ 
เหตุใดพวกเขาจะพูดท่ามกลางประชาชนว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

วันของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
18 แล้วองค์พระยาห์เวห์
ทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์และทรงสงสารคนของพระองค์
19 และพระยาห์เวห์ทรงตอบ 
ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า
“ดูเถิด เรากำลังส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้เจ้าและเจ้าจะอิ่มหนำ
และเราจะไม่ทำให้เจ้าเป็นที่ครหาของชาติต่าง ๆ อีกต่อไป 

20 เราจะเอาพวกที่อยู่ทางเหนือออกไปให้ไกลจากเจ้า
จะขับไล่มันไปยังแผ่นดินแห้ง ร้างเปล่า 
กองหน้าจะเข้าไปในทะเลตะวันออก 
และกองหลังจะไปทางทะเลตะวันตก
20 กลิ่นเหม็นคลุ้ง และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะโชยขึ้นมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 
21 โอแผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงชื่นชมและยินดี 
เพราะพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

พระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางอิสราเอล
22 โอ สัตว์ทั้งหลายในทุ่งเอ๋ย  เพราะทุ่งหญ้าในถิ่นกันดารนั้น เขียวสด ต้นไม้ก็ออกผล  ต้นมะเดื่อและเถาองุ่น ออกผลเต็มที่  
23 โอ ลูกหลานของศิโยนเอ๋ย จงยินดีในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ประทานฝนต้นฤดูแก่เจ้าเพื่อแสดงว่าเจ้าเที่ยงธรรม
พระองค์เทฝนลงมาให้เจ้าอย่างเกินพอ ทั้งฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูเหมือนอย่างที่เคย 
24 ลาดนวดข้าวจะเต็มด้วยเมล็ดข้าว และ ถังเก็บเหล้าองุ่นและน้ำมันก็เต็มล้น

25 เราจะชดเชยปีเดือนที่ฝูงตั๊กแตนได้กินไป ทั้งตั๊กแตนจอมเขมือบ ตั๊กแตนกองทัพใหญ่ที่เราส่งมาท่ามกลางเจ้า
26 เจ้าจะมีกินบริบูรณ์ และอิ่มหนำ และจะสรรเสริญพระนามของพระยาห์ เวห์ พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้จัดการกับเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และคนของเราจะไม่ถูกครหาอีกต่อไป 
27 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราอยู่ท่ามกลางอิสราเอล และเราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดนอกเหนือจากเรา  และประชากรของเราจะไม่เป็นที่ครหาอีกต่อไป

พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมา 

28 และต่อมาภายหลัง
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน 
ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาจะเผยพระคำ 
คนชราจะฝันเห็น และคนหนุ่มจะเห็นนิมิต 
29 ในเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมา
เหนือแม้กระทั่ง คนรับใช้ทั้งชายและหญิง

30 เราจะแสดงการอัศจรรย์ในท้องฟ้า
และบนแผ่นดินโลก  เลือด ไฟ และ กลุ่มเกลียวควัน 
31 ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด
ก่อนที่วันยิ่งใหญ่อันน่าสะพรึงของพระยาห์เวห์จะมาถึง
32 และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์
จะรับความรอด
เพราะจะมีคนรอดบนภูเขาศิโยน 
และในนครเยรูซาเล็มตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้แล้ว
และในหมู่คนที่เหลืออยู่นั้น
จะมีคนที่พระยาห์เวห์ทรงเรียกด้วย 


อธิบายเพิ่มเติม

โยเอล 2:1-2
1 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์ เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมที่จะรับวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า  การเป่าเขาสัตว์ในสมัยโบราณเป็นการเตือนภัยที่กำลังใกล้เข้ามา ทุกคน ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเขาสัตว์   เพราะรู้ว่าจะเกิดภัยพิบัติแล้ว
ศิโยนหรือเยรูซาเล็มถือเป็นที่ประทับของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเตือนล่วงหน้าให้คนอิสราเอลได้กลับใจก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น  หรืออาจจะเป็นการบอกว่า พระเจ้ากำลังเสด็จมา (ในซีนาย ก็มีการเรียกเช่นนี้ มีความมืดเตือนล่วงหน้า (ฉธบ. 4:10-11  )  เป็นความมืดคล้ายเช้ามืด (ชาคาร์)
จากข้อ 1-11 บอกว่าจะถูกบุก ส่วน 12-17 เป็นคำสั่งให้กลับมาหาพระเจ้า
 2 ความมืด ความหมองหม่นนั้นชี้ให้เห็นถึงวันที่พระเจ้าปรากฏพระองค์บนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:16-19) เป็นภาพเงาชี้ไปถึงวันของพระองค์ในอนาคต (อาโมส 5:18-20)

โยเอล 2;3-5
3 พออ่านเราก็เห็นภาพไฟที่ลามเข้าไปในทุ่ง แล้วไม่อาจหยุดได้ เราก็เห็นอนาคตแล้ว กำลังบอกว่า หายนะมาแล้ว   เมื่อพระเจ้าเสด็จมา จะมีเพลิงมาก่อนหน้าพระองค์ (สดุดี 50:3) และที่มานี้ร้อนแรง เผาผลาญ หยุดไม่ได้ แม้แผ่นดินข้างหน้าจะงดงามราวเอเดน ก็จะกลายเป็นดินที่ร้อนผ่าว เต็มด้วยควันลอยขึ้นมา
4-5  เราจะเห็นว่า ทั้งตั๊กแตนและกองทัพม้าศึกนั้นคล้ายกันมากตรงที่มาเร็ว ดุเดือด ดุดัน เสียงสนั่น และไม่อาจที่จะทัดทานได้ เมื่อมันจากไปก็ไม่เหลืออะไร ม้านี้มาเป็นม้าศึกเพราะมาพร้อมกับรถด้วย การเข้ามาบุกครั้งนี้ มาแบบเต็มที่  

โยเอล 2:6-9
6 ทุกคนเห็นอย่างนี้ ก็รู้ว่า ชีวิตของตนสิ้นสุดแน่
7-9 ลักษณะของกองทัพนี้ มีวินัยอย่างสูง แม่นยำ มีประสิทธิภาพมาก เมื่อได้รับคำสั่งมาอย่างไร ก็จะทำตาม   เราจะเห็นภาพของการกระโจน กระโดด เดินแถว เหยียบย่ำ วิ่ง เข้าตามหน้าต่าง  พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งที่มีกำแพงเมือง มีแนวป้องกัน มีบ้าน มีหน้าต่าง

โยเอล 2:10-11
10 กองทัพนี้ พบแผ่นดินไหวเบื้องหน้า จักรวาลสะเทือน อาทิตย์ จันทร์ ดาว มีดไปพร้อม ๆ กัน  ไม่มีวันไหนจะสร้างเหตุการณ์น่าสะพรึงสุดขีดเช่นนี้ได้นอกจากเป็นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่า สั่นสะเทือนในที่นี้ ภาษาฮีบรูว่า ราอาช เกี่ยวข้องกับวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาครั้งสุดท้ายนี้ ดูฮักกัย 2:6; อาโมส 8:8-9 
11 พระสุรเสียงของพระเจ้านั้นดังแบบที่ไม่มีลำโพงตัวไหนในโลกจะรับได้เลย เป็นเสียงดั่งฟ้าร้องดังเข้าไปถึงส่วนลึกของร่างกาย (เยเรมีย์ 10:13)  กองทัพที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรับคำบัญชาของพระองค์ได้  เป็นคนอื่นไม่อาจทนได้เลย

โยเอล 2:12-14 
12 ยัง ยังพอมีโอกาสให้แก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พระเจ้าทรงสั่งให้กลับมาหาพระองค์ อดอาหาร เสียใจต่อความผิด ต่อความเย็นชาที่อิสราเอลทำกับพระองค์  จะเห็นว่าแม้จะอยู่กลางความวิกฤติ พระเจ้ายังทรงเรียก และทรงพร้อมจะพลิกวิกฤติเหล่านั้น
13พระองค์ทรงเรียกให้กลับมาด้วยสุดใจ ไม่ใช่แบบเล่น ๆ หรือเป็นแค่พิธีกรรม คำที่ว่า พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ให้พวกเขามีหายนะ ทำให้เกิดความหวังใจ  เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงเมตตา กรุณา กริ้วช้า เต็มด้วยความรัก พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้คนบาปต้องเจอหายนะ และมีทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือการกลับใจ
14 นี่ไง .. ใครจะรู้? ใครจะคาดได้ พระเจ้าอาจทรงกลับมาเปลี่ยนพระทัย  หากเรารู้จักพระเจ้าของเรา  เราจะรู้ว่า พระเจ้าทรงให้โอกาสกับเราบ่อยเหลือเกิน เราเองกลับทิ้งโอกาสนั้นไป ไม่มีเยื่อใยกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะรู้บ้างว่า ต่อไปจะมีของถวาย พืชผลไร่นาจะกลับมาเหมือนเดิม

โยเอล 2:15-17
15 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์เรียกประชุม เพื่อให้อดอาหารอธิษฐาน และกลับใจใหม่กันให้ทั่วทุกคน
16 ไม่มีการเว้นใครทั้งคนชรา แม้กระทั่งเด็กเล็ก หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงาน  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญต่อคนรุ่นต่อไปอย่างยิ่ง
17 และผู้ที่จะนำอธิษฐานเพื่อคนทั้งหลายก็คือปุโรหิตนั่นเอง  มีการประชุมกันระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาพระเจ้า พวกเขาจะขอให้พระเจ้าทรงไว้ชีวิต และอย่าให้เป็นที่นินทาของชาติต่าง ๆ  เวลาคนอื่นดูหมิ่นอิสราเอลก็มักจะกล่าวว่า “พระเจ้าไปไหนกันนี่ หรือพระเจ้าของเจ้าอยู่ไหนกัน? เป็นคำถามที่คนจะกล่าวเพื่อให้เห็นว่า อิสราเอลไม่มีพระเจ้าปกป้อง 

โยเอล 2:18-21
จากนี้ไป โยเอลได้หักมุมมายังการรื้อฟื้นใหม่ของอิสราเอล  เราจะเห็นการรื้อฟื้นทั้งฝ่ายร่างกาย (2:21-27)  จิตวิญญาณ (2:28-32) และการรื้อฟื้นชาติขึ้นมาใหม่ด้วย (บทที่ 3)
18 การที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์นั้น  คือความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่จะเข้ามาช่วยคนของพระองค์ เพื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ (เศคาริยาห์ 1:14) เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้อนรับคนที่กลับใจจริง 19 ต่อมา  พระเจ้าทรงสัญญาจะส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้  จะทรงทำให้อิ่ม ไม่เป็นที่นินทา พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของปุโรหิตที่อธิษฐานพร้อมกับประชาชน  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงสงสารพวกเขา ทรงรู้ว่าหากไม่เป็นเพราะพระองค์ทรงช่วย พวกเขาไม่มีวันที่จะได้สิ่งดีคืนมาเป็นแน่ 
20-21 พระเจ้าจะทรงจัดการกับศัตรูของอิสราเอลด้วยพระองค์เอง  พระองค์จะทรงขับไล่พวกเขาไปยังที่ร้าง ทิศต่าง ๆ พวกเขาจะตายเป็นกอง … ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นกองทัพที่เกรียงไกร แต่ในที่สุดจะกลายเป็นแค่ซากศพ

โยเอล 2:22-27
โยเอลกำลังมองไปในอนาคต เขาเห็นว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่อาจทำได้ 
22 พระองค์ทรงให้สัตว์ทุ่งได้ยินดี เพราะมีทุ่งหญ้าเขียวสดเกิดขึ้น (สดุดี 33:…)  เปรียบเหมือนเอเดนเลยทีเดียว (2:3)
23 จากบทที่หนึ่งโยเอลเห็นแต่หายนะ แต่มาเวลานี้ ด้วยความเชื่อ เขาเห็นว่า พระเจ้าจะประทานฝนต้นและปลายฤดูให้อย่างเคย มาถึงเวลานี้ คนอิสราเอลที่ไม่เคยเห็นความดีของพระเจ้าจะเข้าใจว่า พระองค์เท่านั้นที่ทรงเลี้ยงดูพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เหล่ารูปเคารพที่พวกเขาหลงไปกราบไหว้
24 พระเจ้าประทานอาหารเหล้าองุ่น น้ำมันให้กลับมามีอย่างเหลือเฟือ 
25 พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เคยมีมาก่อนชดเชยให้  แม้ว่าทุกอย่างจะถูกทำลายอย่างราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าจะทรงคืนให้
26 พวกเขาจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ และจะกลับมาสรรเสริญพระเจ้าอีกครั้ง
27 การคืนความสุขให้อีกหลังจากที่พวกเขาได้สารภาพบาปกลับใจนั้น ทำให้อิสราเอลได้เห็นว่า ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด สงครามที่เข้ามา วิบัติต่าง ๆ ล้วนแต่จะนำพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ทั้งสิ้น  พวกเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ และจะทรงเอาความอับอายของพวกเขาออกไป

โยเอล 2:28-32
จากนี้ไปเราจะเห็นการรื้อฟื้นฝ่ายวิญญาณ
หลังจากที่พระเจ้าทรงให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาแล้ว 
28 สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น จะเกิดกับคนทุกคน ทุกวัย  คนทุกชนชั้น!! ในสมัยพระคัมภีร์เดิมเราเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตเฉพาะบุคคลอย่างเช่น แซมสัน โยเซฟ โยชูวา เป็นต้น 
แต่ภายหลัง .. พระเจ้าประทานให้ทุกคนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย  และสิ่งนี้ได้สำเร็จในวันเพนเตคอส ในกิจการบทที่ 2 ตามที่โยเอลบอก ตามที่พระเยซูทรงบอกเช่นกัน 
29 เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เทพระวิญญาณมาเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยตรง แต่เหนือผู้เชื่อโดยไม่ต้องมาแบ่งชนชั้น สีผิว ฐานะ ตำแหน่ง 
30 จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้เกิดการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในท้องฟ้า บนแผ่นดินอย่างที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน  เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น 
31 แต่จะเกิดก่อนวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น เราอาจกลับใจไม่ทัน 
32 พระเจ้าทรงสัญญาจะให้คนที่ร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์  เชื่อพระนามว่า เป็นพระนามเดียวที่ให้ความรอด  คนที่หลงเหลือในอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงเลือกและเรียกจะได้รับความรอด (มีคาห์ 2:12; ดาเนียล 11:45)

พระคำเชื่อมโยง

1* เยเรมีย์ 4:5; กันดารวิถี 10:5; โอบาดีย์ 15;
อาโมส 7:1-9
2* อาโมส 5:18; โยเอล 1:6; 2:11, 25; ดาเนียล 9:12; 12:1
3* อิสยาห์ 51:3; เศคาริยาห์ 7:14
4* วิวรณ์ 9:7
5* วิวรณ์ 9:9
6* เนหะมีย์ 2:10
7* สุภาษิต 30:27
9* เยเรมีย์ 9:21; ยอห์น 10:1
10* สดุดี 18:7; อิสยาห์ 13:10, 34:4
11* เยเรมีย์ 25:30; วิวรณ์ 18:8; อาโมส 5:18; มาลาคี 3:2

12* เยเรมีย์ 4:1
13* สดุดี 34:18; 51:17; ปฐมกาล 37:34; อพยพ 34:6
14* เยเรมีย์ 26:3; ฮักกัย 2:19; โยเอล 1:9, 13
15* กันดารวิถี 10:3; โยเอล 1:14
16* อพยพ 19:10; สดุดี 19:517* มัทธิว 23:35; อพยพ 32:11-12; สดุดี 42:10
18* อิสยาห์ 60:10, 63:9
19* มาลาคี 3:10
20* อพยพ 10:19; เยเรมีย์ 1:14-15; เฉลยธรรมบัญญัติ 11:24

22* โยเอล 1:19
23* อิสยาห์ 41:16 ; เลวีนิติ 26:4
25* โยเอล 1:4-7; 2:2-11
26* เลวีนิติ 26:5 ; อิสยาห์ 45:17
27* เลวีนิติ 26:11-12 ; อิสยาห์ 45:5-6
28* เอเสเคียล 39:29 ; เศคาริยาห์ 12:10; อิสยาห์ 54:13 ; กิจการ 21:9
29* กาลาเทีย 3:28
30* มัทธิว 24:29
31* อิสยาห์ 13:9-10; 34:4; มาลาคี 4:1, 5-6
32* โรม 10:13 ; อิสยาห์ 46:13; มีคาห์ 4:7

สุภาษิต 31 ถ้อยคำจากกษัตริย์เลมูเอล

นี่เป็นคำสอนจากเลมูเอล กษัตริย์แห่งมัสสา
1 ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวของกษัตริย์เลมูเอล
เป็นถ้อยคำที่ท่านแม่ของท่านได้สอนไว้
2 ลูกชายของแม่เอ๋ย แม่จะพูดอย่างไรดี?
โอ ลูกชายจากครรภ์ของแม่ ?
โอ ลูกชายที่เกิดจากคำสัญญา?
3 เจ้าอย่าไปเสียแรงของเจ้าให้กับผู้หญิง
หรือกำลังวัยหนุ่มของเจ้ากับคนที่ทำลายเหล่ากษัตริย์
4 โอ เลมูเอล .. สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับองค์กษัตริย์
การดื่มเหล้าองุ่นไม่เหมาะกับองค์กษัตริย์
ไม่เหมาะสมเลยที่เหล่าผู้นำจะโหยหาสุรา
5 เพราะหากดื่มไปแล้ว ท่านก็อาจจะลืมไปว่า
ได้ออกกฎหมายอะไรไปบ้าง
และทำให้คนที่ถูกข่มเหงไม่ได้รับความเป็นธรรม
6 จงเอาเครื่องดื่มแรง ๆ ให้กับคนที่กำลังพินาศ
และเหล้าองุ่นให้กับคนที่กำลังทุกข์ทรมานใจ
7 ให้เขาดื่มเพื่อจะลืมความยากจน
และลืมความทุกข์ลำเค็ญของตน
8 จงเป็นปากเสียงให้กับคนที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้
จงช่วยคนที่ถูกทอดทิ้ง
9 จงเป็นปากเสียงให้กับพวกเขาและพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม
จงรักษาสิทธิคนยากจนและคนขัดสน

คุณความดีของสตรีที่ดีเลิศ
10 ใครบ้างที่จะหาภรรยาที่เลิศล้ำได้?
เธอนั้นทรงคุณค่ายิ่งกว่าอัญมณี
11 สามีวางใจในตัวเธอ
และเขาไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ เลย
12 ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเธอ
เธอนำสิ่งดี ๆ มาให้เขา ไม่ใช่ความเสียหาย
13 เธอตามหาขนแกะ และใยป่าน
แล้วทำงานด้วยมือทั้งสองอย่างเต็มใจ
14เธอเป็นเหมือนเรือสินค้า
ที่นำอาหารมาจากแดนไกล
15 เธอตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืด
เพื่อจัดหาอาหารให้คนในครัวเรือน
และยังมีส่วนแบ่งให้กับสาวใช้ของเธอด้วย

16 เธอออกไปสำรวจที่ดินและซื้อไว้
เธอปลูกสวนองุ่นจากรายได้แห่งน้ำมือของเธอ
17 เธอทำให้ตัวเองมีกำลัง
เธอทำให้แขนของเธอแข็งแกร่ง
18 เธอคอยดูว่าสินค้านั้นให้ผลกำไรที่ดี
และยามค่ำ ตะเกียงของเธอก็ไม่ดับ
19 เธอยื่นมือออกม้วนด้าย
และทอผ้าด้วยมือของเธอ
20 เธอโอบอ้อมช่วยเหลือคนยากจน
และยื่นมือออกช่วยคนขัดสน
21 เมื่อหิมะตก ก็ไม่ต้องห่วงคนในครอบครัว
เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าทอสีแดงสด
22 เธอทำผ้าคลุมที่นอนด้วยตัวเอง
เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าลินินเนื้อดีสีม่วง
23 สามีของเธอเป็นที่รู้จักที่ประตูเมือง
เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของแผ่นดิน
24 เธอทำเสื้อผ้าลินินไว้ขาย
และส่งผ้าคาดเอวให้กับพ่อค้า
25 พลังและความงามสง่าเป็นอาภรณ์ของเธอ
เธอหัวเราะให้กับอนาคตที่จะมาถึง


26 เธอเอ่ยปากกล่าวคำแห่งสติปัญญา
และลิ้นของเธอมีคำสอนเจือความเมตตา
27 เธอดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือนของเธอ
และไม่กินอาหารที่ได้มาจากการอยู่นิ่งเฉย
28 ลูก ๆ ของเธอลุกขึ้นมาและเรียกเธอว่า
คุณแม่ผู้ได้รับพระพร สามีก็ยกย่องเธอเช่นกัน
29“สตรีมากมายได้ทำสิ่งที่มีเกียรติ
แต่เธอนั้นเป็นเลิศเหนือพวกเธอเหล่านั้น!”
30 เสน่ห์เป็นสิ่งที่หลอกลวงตา และความงามก็ไม่ถาวร
แต่สตรีที่ยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นคนที่น่ายกย่อง
31 ขอให้เธอได้รับผลจากน้ำมือของเธอ
ให้การงานของเธอเชิดชูเธอที่ประตูเมือง

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 31

2* อิสยาห์ 49:15
3* สุภาษิต 5:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17
4* ปัญญาจารย์ 10:17
5* โฮเชยา 4:11

6* สดุดี 104:15
8* โยบ 29:15, 16
9* เลวีนิติ 19:15; เยเรมีย์ 22:16

10* สุภาษิต 12:4; 19:14
15* โรม 12:11; ลูกา 12:42
20* เอเฟซัส 4:28
23* สุภาษิต 12:4

โยเอล 1 กลับใจได้แล้ว!!

การจู่โจมของตั๊กแตนในยูดาห์
1นี่เป็นพระดำรัสของพระยาห์เวห์
ที่มายังโยเอล บุตรชายของเปธูเอล
แผ่นดินร้างเปล่า
2 จงฟังทางนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลาย 
จงเงี่ยหูฟัง เหล่าผู้ที่อาศัยในแผ่นดิน
ในสมัยของพวกเจ้า   หรือในสมัยบรรพบุรุษของเจ้า
เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่? 
3 จงเล่าเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ของพวกเจ้าฟัง
ให้พวกเขาเล่าต่อกับลูก ๆ ของเขา  
และลูก ๆ เหล่านั้นก็เล่าให้คนรุ่นต่อไปฟัง 
4 สิ่งที่ตั๊กแตนจอมเขมือบเหลือทิ้งไว้
ตั๊กแตนที่มาเป็นฝูงใหญ่จำนวนมหาศาลก็จะกิน
สิ่งที่ตั๊กแตนที่มาเป็นฝูงใหญ่กินเหลือไว้   
ตั๊กแตนวัยกระโดดก็จะกิน
และสิ่งที่ตั๊กแตนวัยกระโดดเหลือทิ้งไว้
ตั๊กแตนจอมขม้ำก็จะกิน 

เรียกให้คร่ำครวญ 1:5-13
5คนขี้เมา .. จงตื่นขึ้นและร้องไห้
เจ้าคนที่ชอบดื่มเหล้าองุ่นทุกคนจงร้องโหยหวน 
เพราะเหล้าองุ่นใหม่ถูกกระชากไปจากปากของพวกเจ้า
6 เพราะมีประเทศหนึ่งเข้ามา
บุกแผ่นดินของเรา (ของพระเจ้า)
มีอานุภาพมาก  จำนวนมหาศาล 
และมีฟันเหมือนสิงโต  มีเขี้ยวเหมือนสิงโตตัวเมีย 
7 ดูมันทำลายเถาองุ่นของเรา และฉีกกาบก้านต้นมะเดื่อ มันฉีกกาบออกและเขวี้ยงทิ้ง เหลือแต่ก้านข้างในขาวๆ
 8 จงร้องคร่ำครวญเหมือนกับสาวพรหมจารีที่สวมเสื้อกระสอบ อาลัยสามีในวัยเยาว์ของเธอ
9  ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา ถูกตัดจากพระนิเวศของพระเจ้าแล้วปุโรหิตผู้รับใช้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พากันคร่ำครวญ​


ไม่หลงเหลือแม้รอยยิ้ม
10 ทุ่งนาถูกทำลาย แผ่นดินร่ำไห้ เพราะธัญพืชถูกทำลายเหล้าองุ่นใหม่ก็เหือดแห้ง น้ำมันแห้งไปแล้ว
11 โอชาวนาเอ๋ย จงอับอาย
ชาวสวนองุ่น จงร้องครวญ เพราะข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์เพราะไม่ได้อะไรกลับมาจากการเก็บเกี่ยว
12 เถาองุ่นแห้งไป และต้นมะเดื่อก็แห้งเหี่ยว
ต้นทับทิมต้นปาล์ม และต้นแอปเปิ้ล
รวมทั้งต้นไม้ในไร่แห้งเหี่ยวไปหมด
ความยินดีของมนุษย์ก็เหือดหายไป

เรียกให้กลับใจ
13 โอ เหล่าปุโรหิต จงสวมเสื้อกระสอบและคร่ำครวญ โอ ผู้รับใช้ ณ แท่นบูชา จงมาและสวมเสื้อกระสอบทั้งคืน โอ้ผู้รับใช้ของพระเจ้าของข้า เพราะว่า เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชา ไม่หลงเหลือในพระนิเวศของพระเจ้า
14 จงจัดให้มีการประชุมรวมกัน​และจัดให้มีการอดอาหารด้วยกัน จงรวบรวมผู้อาวุโส และผู้อาศัยในแผ่นดินมายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า และร้องทูลต่อพระองค์

ความหมายที่สำคัญของการระบาดครั้งนี้
15 โธ่เอ๋ย วันนั้น เพราะวันขององค์พระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว และวันนั้นกำลังมาเป็นการทำลายล้างจากองค์ผู้ทรงฤทธิ์
16 อาหารไม่ได้ถูกตัดออกไปต่อหน้าต่อตาหรือ ?
ความยินดีและความรื่นเริงไม่ได้หายไปจากพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?
17 เมล็ดพืชนั้น เหี่ยวแห้งคาใต้ก้อนดิน ยุ้งเก็บอาหารกลายเป็นซากยุ้งฉางพังลง เพราะธัญพืชแห้งไป
18 สัตว์เลี้ยงร้องครวญครางขนาดหนัก
ฝูงวัวสับสนเร่ร่อนไปเพราะไม่มีทุ่งหญ้าเหลือ
ฝูงแกะก็ลำบากไปกับการลงโทษนี้
19 ข้าพเจ้าร้องเรียกหาพระองค์
โอ พระยาห์เวห์ เพราะไฟมาเผาผลาญทุ่งกว้าง
และเปลวไฟได้ลามไล่ต้นไม้ในทุ่ง
20 แม้แต่สัตว์ป่าในทุ่งยังกระเสือกกระสนร้องหาพระองค์ เพราะน้ำในลำธารเหือดแห้งไป
ไฟได้เผาผลาญทุ่งหญ้ากว้างไปเสียแล้ว

เบื้องหลังของโยเอล
วันของพระยาห์เวห์ หรือ วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีกล่าวอยู่ 17 ครั้งในพระคัมภีร์ และในโยเอลนี้ กล่าวถึง 5 ครั้ง นับเป็นหนังสือที่กล่าวถึงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจนที่สุด ชื่อโยเอล มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า”
โยเอล 1:1-4
1  พระเจ้าตรัสกับชนอิสราเอลผ่านโยเอลในสมัยใดเราไม่ทราบเลย  เขาไม่ได้กล่าวโทษบาปเหมือนอย่างที่โฮเชยาได้ทำ แต่จะพยายามอธิบายว่า วิบัติที่เกิดขึ้นนั้น มีสภาพอย่างไร  และพระเจ้าจะทรงช่วยกู้อิสราเอลอย่างไร  การที่เขากล่าวถึงปุโรหิต ผู้คน ในสามบทนี้  ทำให้รู้สึกเหมือนว่า เขาเป็นผู้เผยพระดำรัสจากยูดาห์ทางใต้  

2 โยเอลเรียกให้ประชากรอาวุโสในชุมชนได้เข้ามาฟัง เข้าใจ และเล่าต่อให้เด็กรุ่นต่อไปฟัง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ .. แต่ไม่เฉพาะคนกลุ่มนี้ โจเอลยังเรียกคนขี้เมา(5) ชาวไร่ชาวนา (11)และพวกปุโรหิต (13)ด้วย   นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฟัง เพราะกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เข้มข้น และไม่มีใครเคยประสบมาก่อน ​การถามว่า “เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นไหม?” เท่ากับว่า พวกเขาไม่เคยเจอความพินาศขนาดนี้มาก่อน
การเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นต่อมาได้รับรู้นั้น เป็นความเด่นของคนอิสราเอล พระเจ้าทรงสั่งใน อพยพ 10:1-2, 4-6  การทำเช่นนี้ส่งต่อมายังชุมชนคริสเตียนในเวลาต่อมา จะต้องมีการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าให้กับชุมชนแห่งความเชื่อเป็นประจำ ไม่ละทิ้งการประชุมร่วมกัน (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:9, 6:4-7; สดุดี 78:4-6)

4 แล้วโยเอลก็บอกถึงตั๊กแตนสี่รุ่นที่เข้ามาทำลายพื้นที่ทำการเกษตร พวกนี้มากันเป็นลำดับ และไม่ปล่อยให้เหลือซากเลย  เวลามีการระบาดของแมลงพวกนี้ มันจะมากันเป็นฝูงใหญ่มาก  การบรรยายของโจเอลทำให้เราเห็นว่า มันอาจเป็นตั๊กแตนแบบเดียวกัน แต่ตามกันมาเป็นรุ่น  สิ่งที่ท่านเน้นคือ การถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง อธิบายถึงตั๊กแตนสี่รุ่นที่ทำลายล้างแผ่นดินอย่างหมดสิ้น  ไม่มีอะไรเหลือจริง ๆ มันคือ grasshopper เมื่อวางไข่ ในอากาศบรรยากาศที่เหมาะสม มันจะมีจำนวนมากเป็นหลายต่อหลายกิโลเมตร การถูกตั๊กแตนจัดการมันหนักหนากว่ากองทัพมนุษย์เข้ามาเสียอีก  พวกนี้เป็น การทรงเรียกให้ตื่นขึ้น 

ในฮีบรูใช้คำอธิบายตั๊กแตนสี่กลุ่มนี้ว่า הַגָּזָם֙ chewing הָֽאַרְבֶּ֔ה swarming הַיָּ֑לֶק crawling הֶחָסִֽיל consuming
เราจะเห็นว่า ในพระคัมภีร์มักเล่าถึงการทำลายสี่ระดับแบบนี้ อย่างเช่นในเยเรมีย์  15:2-3; เอเสเคียล 14:21; วิวรณ์ 9:15
เหตุผลที่มีตั๊กแตนระบาดนี้ เป็นเพราะความบาปของอิสราเอลนั่นเอง  พวกเขาจำเป็นต้องกลับมาหาพระเจ้าอย่างเร่งด่วน! 
โยเอลเห็นชัดว่าสาเหตุคือเรื่องนี้ อ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ  28:38, 39, 42
ในวันสุดท้ายของพระเจ้า พระองค์ทรงทำให้ไม่เหลืออะไร  เราไม่ได้วางใจพระองค์ เราไม่ได้ใส่ใจกับการที่พระเจ้าทรงสั่งให้เรานมัสการพระองค์ ไม่ได้มีการนมัสการอย่างเหมาะสม ในวิวรณ์ 9:1-11 บอกว่าจะมีตั๊กแตนเข้ามาในโลก ก่อนการพิพากษาโลกของพระเจ้า

โยเอล 1:5-9
5 เมื่อบอกหายนะแล้ว พระเจ้าก็ทรงเรียกให้พวกเขามาแสวงหาพระองค์ พระเจ้าทรงเรียกให้ทุกคนลุกขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนขี้เมาและคนที่รักดื่ม คนเหล่านี้มักไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างตัวเลย ไม่รู้ตัวว่าจะมีหายนะเกิดขึ้น พวกเขาจะรู้ตัวได้ก็ต่อเมื่อไม่มีเหล้าเหลือให้ดื่มอีก เหล้าองุ่นใหม่ในที่นี้จะทำให้เมามากกว่าน้ำองุ่นที่บ่มนาน บางทีเรียกว่า เหล้าองุ่นหวาน
จงตื่นขึ้น หมายถึงจบการนอน การไม่รู้เรื่องได้แล้ว คำว่าดื่มมาจากเหล้าองุ่น ในความหมายของพระคัมภีร์ คือการความปรารถนาในสิ่งที่เป็นของโลก ไม่ใช่ของพระเจ้า พระเจ้าให้คนที่หาความสุขกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา ให้หยุดได้แล้ว พระเจ้าทำให้ความยินดี จบลง พระองค์ให้ร้องไห้ กลับใจใหม่

6 โยเอลเปรียบเทียบตั๊กแตนกับกองทัพที่เข้ามาโจมตีประเทศ เรายังมีการเปรียบเทียบทำนองนี้ให้ที่อื่น ๆ อย่างเช่นเยเรมีย์ 5:15-17; อิสยาห์ 33:4; เยเรมีย์ 46:23 และโยเอลยังเปรียบเทียบศัตรูที่เข้ามานั้นเหมือนกับสิงโตอีกด้วย ในประวัติศาสตร์อิสราเอล ประเทศที่เข้ามาบุกอย่างถอนรากถอนโคนสี่พวก คือ อัสซีเรีย บาบิโลน กรีก และโรม ศัตรูเหล่านี้ ไม่ได้มีพันธสัญญากับพระองค์ พระองค์ทรงเรียกให้พวกเขามาโจมตีแผ่นดินของพระองค์ มีจำนวนนับไม่ถ้วนและแข็งแรงมาก

7 เถาองุ่น และต้นมะเดื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน (มีคาห์ 4:4 ) เมื่อมีศัตรูเข้ามาบุก ความสมบูรณ์จะถูกปล้นไป ไม่เหลือให้ประชาชนอีกต่อไป การเหลือแค่ก้านขาว ๆ ข้างใน แสดงว่า ศัตรูเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่ข้อหกเปรียบเทียบไว้ในวันสุดท้าย แม้ว่าพระเจ้าทรงรัก มีคนอธิษฐานเผื่อพวกเขา แต่พวกเขาจะถูกแยกจากพระเจ้า
พวกรับบีสอนเกี่ยวกับอนาคต มักจะบอกว่า ทุกอย่างดีขึ้น อิสราเอลจะโอเค พระเจ้าจะไม่ยอมให้การไม่เชื่อฟัง การสอนผิดต่อไป พระองค์จะทรงนำสิ่งที่คนในศาสนายิวพยายามต่อต้านพระเมสสิยาห์

8 โยเอลสั่งว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การร้องไห้กับความบาป การใส่เสื้อกระสอบบ่งบอกว่า บุคคลนั้นเป็นทุกข์หนัก ไม่อาจรับความยินดีใด ๆ
ร้องคร่ำครวญเหมือนสาวพรหมจารี กลับต้องใส่เสื้อผ้ากระสอบเพราะ เพิ่งจะเข้าพิธี แต่งงาน แต่สามีกลับมาตาย เปรียบเทียบกับ พระเจ้าผู้เป็นสามีของอิสราเอลถูกแยกจากอิสราเอลไปแล้ว อิสราเอลจะต้อง คร่ำครวญ กลับใจ อดอาหาร

9 การที่ถูกศัตรูทำลายขนาดนี้ ไม่มีข้าวเหลือ ไม่มีเหล้าองุ่นที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาเช้าเย็นอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งไว้อีกต่อไป (อพยพ 29:38-4) และพวกเขาก็ไม่เหลืออะไรที่จะกินด้วย เพราะเขาอยู่ได้ด้วยส่วนของของถวายเหล่านั้น

โยเอล 1:10-12
10 เราจะเห็นว่า ความสมบูรณ์ถูกพรากไปจากแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นต้นข้าว ไร่องุ่น ต้นมะกอกที่ให้น้ำมันมะกอกโยเอลบอกว่า เมื่อไม่เหลือเหล้าองุ่นใหม่ ไม่มีอะไรเหลือเพราะไม่มีการนมัสการอยู่อีกต่อไป น้ำมันคือน้ำมันมะกอก ถ้ามีสามอย่างนี้ พระเจ้าทรงพอพระทัย
(เฉลยธรรมบัญญัติ 7:13; 11:14; โยเอล 2:19)

11 ในภาษาเดิม พระเจ้าทรงสั่งให้เขารู้สึกอาย โฮบิชู( הֹבִ֣ישׁוּ) =จงอายเสียเถอะ..เสียงคล้ายคำว่า โฮบิช (הוֹבִ֥ישׁ) ที่แปลว่า แห้งเหี่ยว ในข้อ 12 คนอิสราเอลมักจะมีการฉลองเมื่อมีความอุดมสมบูรณ์เสมอ แต่บัดนี้ พวกเขากลับต้องอายเพราะสภาพเช่นนี้ พระเจ้าทรงเอา ผลผลิตทุกอย่างไปหมด พวกเขาจะต้องอับอาย คร่ำครวญ สาลี บาร์ลีย์ ….เกี่ยวข้องกับเทศกาลเพนเตคอสต์ แต่กลับไม่มีอะไรที่บ่งบอกความโปรดปรานของพระเจ้า

12 ในสังคมเกษตรกรรมแบบอิสราเอลตั้งแต่โบราณมาจนทุกวันนี้ ผลผลิตจากไร่นาคือการประกันถึงความมั่งคั่งของชาติบัดนี้ ความยินดีแห้งไปจากหัวใจแล้ว! เรียกให้กลับใจ พระเจ้าให้เกิดสิ่งนี้ เพราะสภาพฝ่ายจิตวิญญาณของผู้คน ไวน์ ..แห้ง มะเดื่อ miserable ขาดผล ต้นทับทิม ปาล์ม ..
เมื่อมีความยินดี บรรยากาศจะแตกต่าง นั่นคือ ต้นไม้ในทุ่งจะตบมือถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เถาองุ่น.. มะเดื่อ…เกี่ยวข้องกับคนอิสราเอล แต่อย่างอื่นพูดถึงมนุษยชาติ เศคาริยาห์ 8 ถ้าอิสราเอลกลับมาหาพระเจ้า ชาติอื่น ๆ ก็จะมาหาพระองค์

โยเอล 1:13-14
13 ข้อนี้สำคัญมาก เพราะพระเจ้าทรงสั่งให้ผู้นำฝ่ายวิญญาณทำหน้าที่ของตน  หน้าที่ของปุโรหิตที่จะช่วยให้ชาติกลับมารุ่งเรืองดังเดิม .. พวกเขาจะอยู่เฉยไม่ได้ เขาต้องเข้ามาหาพระเจ้า และสารภาพบาป  เพราะพวกเขารู้ดีว่า พระเจ้าทรงพระเมตตายิ่งนัก  จะได้พระพรกลับมาก็ต้องกลับใจ นี่เป็นสูตรสำหรับชีวิตของความเชื่อ ต้องกลับมาถูกต้องกับพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ  30:1-5; 2 พงศาวดาร 7:14)  ต้องทำเหมือนกับสาวพรหมจารีในข้อ 8!
ผู้นำจะต้องกลับมาหาพระเจ้าก่อน  มาคร่ำครวญกับพระเจ้า  ประชาชน ไม่สนใจนมัสการ สรรเสริญ ขอบพระคุณเท่ากับจิตใจของพวกเขาห่างจากพระองค์

14  จากภัยพิบัติเวลานี้ สิ่งที่ต้องทำคือ ทั้งชาติต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมรวมผู้ใหญ่ และประชาชนทั้งหลายมาให้พร้อมหน้า
การประชุมรวมกันครั้งนี้ เป็นการที่ชุมชนอธิษฐานาอดอาหารด้วยกัน แสดงถึง การกลับใจ การถ่อมตน พวกเขามาขอความช่วยเหลือ การอภัย และการทรงนำจากพระเจ้า และคนที่ต้องทำหน้าที่นี้คือ ผู้นำประเทศ!!  แต่เรากลับไม่ทำ 

โยเอล 1:15-20
15 วันแห่งการพิพากษา ใกล้จะถึงแล้ว โยเอลบอกชัดว่าวันนี้เป็นวันแห่งการทำลายล้าง ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบใดก็ตาม จากธรรมชาติ หรือจากที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
16 ความยินดี การฉลองก็ต้องมีอาหาร แต่ตอนนี้ไม่มีอาหาร ก็ไม่อาจมีทั้งการฉลองรื่นเริงและความยินดี การกันดารอาหารจะบ่งบอกถึงความใกล้เข้ามาของวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
17 ความแห้งแล้งนี้ ถึงกับทำให้ไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่จะปลูกในปีต่อไปด้วย
18 การทนทุกข์ครั้งนี้เป็นเพราะถูกลงโทษ หรือการต้องรับโทษ จะเห็นว่า สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาตินั้น ต้องเป็นทุกข์เพราะความผิดของอิสราเอล
19 โยเอลหันกลับมาหาพระเจ้า ร้องเรียกหาพระองค์ เพราะไฟที่ไหม้ทุ่งนั้นทำให้เรารู้ว่า พระเจ้ากำลังพิพากษาจริง ๆ (กันดารวิถี 11:1; โฮเชยา 8:14) ไฟที่ส่งมา มักมาจากพระเจ้าเสมอ
20 แม้แต่สัตว์ป่ายังร้องหาพระเจ้า แล้วคนล่ะ จะร้องหาพระองค์หรือเปล่า มันกลายเป็นตัวอย่างให้เราร้องหาพระองค์ยามลำบาก

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 2:16
2* โยเอล 2:2
3* สดุดี 78:4
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:38;
อิสยาห์ 33:4
5* อิสยาห์ 5:11; 28:1; 32:10
6* โยเอล 2:2, 11, 25; วิวรณ์ 9:8
7* อิสยาห์ 5:6

8* อิสยาห์ 22:12
9* โยเอล 1:13; 2:14, 17
10* เยเรมีย์ 12:11; อิสยาห์ 24:7
11* เยเรมีย์ 14:3-4
12* โยเอล 1:10; เยเรมีย์ 48:33
13* เยเรมีย์ 4:8
14* โยเอล 2:15-16; เลวีนิติ 23:36; 2 พงศาวดาร 20:13

15* เยเรมีย์ 30:7; อิสยาห์ 13:6
16* อิสยาห์ 3:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7
18* โฮเชยา 4:3
19* สดุดี 50:15; เยเรมีย์ 9:10
20* สดุดี 104:21; 147:9;
1 พงศ์กษัตริย์ 17:7; 18:5


สุภาษิต 30 ถ้อยคำจากท่านอากูร์


1 ถ้อยคำของอากูร์ บุตรชายยาเคห์
เป็นคำพยากรณ์ที่ส่งต่อให้กับอิธีเอล
กับอิธีเอลและอูคาล ดังนี้
2 ที่จริง ข้านั้นเป็นคนโง่กว่ามนุษย์คนใด
และข้าก็ขาดความเข้าใจอย่างมนุษย์
3 ข้าไม่ได้เรียนรู้ปัญญา
และไม่มีความรู้เรื่องขององค์ผู้บริสุทธิ์
4 ใครนะที่ได้ขึ้นสู่สวรรค์และลงมา?
ใครนะที่ได้กอบลมไว้ในอุ้งพระหัตถ์?
ใครนะที่ห่อน้ำไว้ในเสื้อคลุม?
ใครนะที่ได้สถาปนาแผ่นดินทั่วทุกสารทิศ ?
พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร ?
และพระบุตรของพระองค์ทรงพระนามว่าอะไร?
… แน่นอน ท่านรู้นี่นา!
5 พระดำรัสทุกคำของพระเจ้านั้นได้รับการพิสูจน์แล้ว
พระองค์ทรงเป็นโล่แก่คนทุกคนที่เข้าลี้ภัยในพระองค์
6 อย่าเพิ่มเติมอะไรเข้าไปในพระดำรัส
มิฉะนั้นพระองค์จะทรงตำหนิเจ้า
และทรงตัดสินว่า เจ้านั้นพูดมุสา

7 มีสองสิ่งที่ข้าพเจ้าทูลขอจากพระองค์
ขออย่าทรงปฎิเสธก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย
8 ขอให้ความเท็จ และคำหลอกลวงอยู่ห่างไกลข้าพเจ้า
ขออย่าให้ข้าพเจ้ายากจนหรือมั่งมี
ขอทรงเลี้ยงด้วยอาหารที่จำเป็นสำหรับข้าพเจ้า
9 มิฉะนั้น หากข้าพเจ้ามีมากเกินไป
ข้าพเจ้าอาจปฎิเสธพระองค์ แล้วกล่าวว่า
“พระยาห์เวห์เป็นใคร?”
หรือเกรงว่าข้าพเจ้าจะยากจนและไปลักขโมย
ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เสื่อมเสีย

10 อย่าไปกล่าวร้ายคนรับใช้ให้เจ้านายฟัง
เพราะเขาจะสาปแช่งเจ้า แล้วเจ้าจะต้องใช้คืน
11 มีบางคนแช่งด่าพ่อของตน
และไม่อวยพรแม่ของตน
12 มีบางคนที่ยโสโอหังเห็นว่าตนเองบริสุทธิ์
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ชำระล้างความสกปรกของตน
13 มีบางคนที่สายตานั้นยโสเหลือเกิน
ปรายตาดูหมิ่นผู้อื่น
14 มีบางคนที่ฟันเป็นดาบ เขี้ยวเป็นมีด
กลืนกินคนยากไร้บนแผ่นดินโลก
กลืนกินคนขัดสนให้หมดไปจากมนุษยชาติ
15 ปลิงมีลูกตัวเมียสองตัวร้องว่า “เอามาอีก เอามาอีก”
มีสามสิ่งในโลกนี้ที่ไม่เคยพอ สี่สิ่งที่ไม่เคยกล่าวว่า “พอแล้ว!”
16 นั่นคือ แดนตาย ครรภ์ของหญิงเป็นหมัน
ผืนแผ่นดินที่ไม่เคยอิ่มน้ำ
และเปลวเพลิงที่ไม่เคยกล่าวว่า “พอแล้ว!”
17 สายตาที่คอยเยาะเย้ยพ่อ
และดูหมิ่นแม่ที่สูงอายุของตนนั้น
ขอให้ฝูงกาแห่งหุบเขาจิกดวงตานั้นออกมา
และให้ฝูงนกแร้งมารุมกิน


18 มีสามสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจ
มีสี่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจได้
19 คือหนทางของนกอินทรีในท้องฟ้า
ทางเลื้อยของงูบนหิน วิถีทางของเรือในทะเล
และความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับหญิงสาว
20 นี่เป็นทางของหญิงมีชู้ เธอกินและเช็ดปาก
กล่าวว่า‘ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด’
21แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนด้วยสามสิ่ง
มีสี่สิ่งที่โลกไม่อาจทนได้
22 นั่นคือ เมื่อทาสรับใช้ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์
คนโง่ที่มีอาหารกินเหลือเฟือ
23 หญิงที่ไม่มีใครรักได้แต่งงาน
และทาสสาวที่ครองตำแหน่งแทนนายหญิงของตน

24 มีสี่สิ่งบนแผ่นดินที่ตัวเล็ก แต่กลับฉลาดล้ำ
25 มด เป็นสัตว์มีกำลังน้อย
แต่มันก็สะสมอาหารในฤดูร้อน
26 ตัวกระจงผาหิน เป็นสัตว์ที่แรงน้อย
แต่มันกลับสร้างรังในซอกหิน
27 ตั๊กแตนไม่มีผู้นำ
แต่มันก็รวมตัวเป็นขบวน เรียงตามหน้าที่
28 และจิ้งจกที่คนจับด้วยมือได้
แต่ก็พบมันในราชวัง
29 มีสามสิ่งที่ก้าวย่างอย่างสง่างาม
และสี่สิ่งที่ก้าวย่างอย่างอาจหาญ
30 คือสิงโตเจ้าป่าที่มีพละกำลังมหาศาล
มันไม่ถอยหนีให้ใครเลย
31 พ่อไก่ที่เดินชูคอ แพะตัวผู้
และองค์กษัตริย์พร้อมกองทัพของพระองค์
32 หากเจ้าโง่เขลา และได้ยกย่องตนเอง
หรือได้วางแผนชั่วขึ้นมา จงใช้มือปิดปากของเจ้าไว้
33 เพราะเมื่อกวนน้ำนม ก็จะได้เนย
เมื่อชกจมูกจะได้เลือดเช่นไร
เมื่อกวนโมโหก็จะได้การวิวาทเช่นนั้น

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 30

2* สดุดี 73:22
3* สุภาษิต 9:10
4* ยอห์น 3:13; โยบ 38:4
5* สดุดี 12:6;19:8; 119:140; 18:30; 84:11; 115:9-11
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:2; 12:32

8* มัทธิว 6:11
9* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:12-14
11* อพยพ 21:17
12* ลูกา 18:11
13* สุภาษิต 6:17
14* โยบ 29:17; อาโมส 8:4

16* สุภาษิต 27:10
17* ปฐมกาล 9:22
22* สุภาษิต 19:10
25* สุภาษิต 6:6
26* สดุดี 104:18
32* มีคาห์ 7:16

สุภาษิต 29 วางใจพระเจ้า ปลอดภัยแน่

1 คนที่ทำคอแข็งทั้ง ๆ ที่ถูกเตือนหลายครั้ง
จะคอหักทันควันเกินเยียวยา
2 เมื่อคนเที่ยงธรรมขึ้นมาปกครอง
ประชาชนก็ยินดี
แต่เมื่อคนชั่วครองเมืองประชาชนก็คร่ำครวญ
3 คนที่รักปัญญา ก็นำความยินดีมาให้พ่อของเขา
แต่คนที่เป็นเพื่อนกับโสเภณีก็จะหมดตัวไปเปล่า ๆ
4 กษัตริย์นำความมั่นคงมาให้แผ่นดินด้วยความยุติธรรม
แต่ใครที่รับสินบนนั้น เป็นผู้บ่อนทำลาย
5 คนที่ประจบสอพลอเพื่อนบ้าน
เท่ากับโยนตาข่ายดักเท้าตนเอง
6 คนชั่วติดกับดักเพราะบาปของตนเอง
แต่คนเที่ยงธรรมจะร้องเพลงและยินดีนัก
7 คนเที่ยงธรรมจะเอาใจใส่สิทธิของคนยากไร้
แต่คนชั่วไม่เข้าใจเรื่องนั้นเลย
8 ฝูงชนช่างเยาะเย้ยทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
แต่คนมีปัญญาจะช่วยบรรเทาความโกรธให้หายไป

อย่ารับสินบน


9 เมื่อคนมีปัญญาต้องโต้เถียงกับคนโง่
ก็จะพบแต่การโกรธเกรี้ยว การเยาะเย้ย ไร้ความสุขสงบ
10 เหล่าคนที่กระหายเลือดเกลียดชังคนไร้มลทิน
และพยายามตามล่าคนเที่ยงธรรม
11 คนชั่วระบายความโกรธออกมา
แต่คนฉลาดจะยับยั้งความโกรธไว้
12 หากผู้ปกครองฟังคำพูดเท็จ
ข้าราชการของเขาก็จะพลอยเป็นคนชั่วไป
13 คนยากจนกับคนที่บีบบังคับมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ
พระยาห์เวห์ประทานตาที่มองเห็นให้เขาทั้งคู่
14 บัลลังก์ขององค์กษัตริย์ที่พิพากษาคนยากจนอย่างยุติธรรม
จะมั่นคงตลอดไป
15 ไม้เรียวที่ตีสอนทำให้เกิดสติปัญญา
แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะทำให้แม่ต้องอับอาย
16 เมื่อคนชั่วเพิ่มจำนวน การกบฏก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่คนเที่ยงธรรมจะเห็นการล้มลงของพวกเขา

คนยากจนและคนบีบบังคับ


17 จงฝึกวินัยให้ลูกชาย
และเขาจะทำให้เจ้าได้มีสันติและนำความชื่นใจมาให้เจ้า
18 ที่ไหนไม่มีการเผยพระคำจากพระเจ้า
ประชาชนก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ
แต่คนที่ทำตามบัญญัติจะได้รับพระพร
19 เราจะสั่งสอนคนรับใช้แค่คำพูดอย่างเดียวไม่ได้
เพราะแม้จะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ทำตาม
20 เคยเห็นคนที่ปากไวใจเร็วไหม?
เรายังหวังใจในคนโง่ได้มากกว่าเขาเสียอีก
21 คนรับใช้ที่ได้รับการปรนเปรอมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในที่สุดก็จะนำความทุกข์ใจมาให้
22 คนช่างโกรธยุยงให้เกิดการวิวาท
และคนอารมณ์ร้อนทำให้เกิดการทำบาปมากขึ้น
23 ความเย่อหยิ่งของคน ๆ หนึ่งจะทำให้เขาตกต่ำลง
แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ

24 คนที่คบโจรเท่ากับเกลียดตัวเอง
เขาสาบานในศาล แต่ก็ไม่กล้าเป็นพยาน
25 การกลัวมนุษย์คือกับดักอย่างหนึ่ง
แต่คนที่วางใจพระยาห์เวห์จะปลอดภัยแน่นอน
26 หลายคนต้องการเป็นคนโปรดของผู้ปกครอง
แต่ความยุติธรรมแท้จริงนั้นมาจากพระยาห์เวห์
27 คนอยุติธรรมเป็นที่น่าชังต่อคนเที่ยงธรรม
และคนเที่ยงตรงก็เป็นที่น่าชังต่อคนโหดร้าย

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 29

1* 1 พงศาวดาร 36:16
2* สุภาษิต 28:12; เอสเธอร์4:3
5* สุภาษิต 26:28
7* โยบ 29:16
8* สุภาษิต 11:11
9* มัทธิว 11:17
10* 1 ยอห์น 3:12

11* สุภาษิต 14:33
13* มัทธิว 5:45
14* อิสยาห์ 11:4
15* สุภาษิต 22:15
16* สดุดี 37:34
18* 1 ซามูเอล 3:1; ยอห์น 13:17

20* สุภาษิต 26:12
22* สุภาษิต 26:21
23* อิสยาห์ 66:2
24* เลวีนิติ 5:1
25* ปฐมกาล 12:12; 20:2
26* สดุดี 20:9

มัทธิว 1 วันที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิด

ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 ต่อไปนี้เป็นบันทึกลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม

อับราฮัมถึงดาวิด
2 อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค
อิสอัคเป็นพ่อของยาโคบ
ยาโคบเป็นพ่อของยูดาห์กับพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นพ่อของเปเรศกับเศราห์
มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์
เปเรศเป็นพ่อของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นพ่อของราม
4 รามเป็นพ่อของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นพ่อของนาโชน
นาโชนเป็นพ่อของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นพ่อของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ
โบอาสเป็นพ่อของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ
โอเบดเป็นพ่อของเจสซี
6 และเจสซีเป็นพ่อของกษัตริย์ดาวิด

ดาวิดถึงเยโคนิยาห์
ดาวิดเป็นพ่อของโซโลมอนมารดาของโซโลมอน
เคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 โซโลมอนเป็นพ่อของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นพ่อของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นพ่อของอาสา
8 อาสาเป็นพ่อของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นพ่อของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นพ่อของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นพ่อของโยธาม
โยธามเป็นพ่อของอาหัส
อาหัสเป็นพ่อของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นพ่อของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นพ่อของอาโมน (บางทีเรียกอาโมส)
อาโมนเป็นพ่อของโยสิยาห์
11 และโยสิยาห์เป็นพ่อของเยโคนิยาห์
กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน

เยโคนิยาห์ถึงโยเซฟ สามีมารีย์
12 หลังจากที่ได้ตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว….
เยโคนิยาห์เป็นพ่อของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นพ่อของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นพ่อของอาบียุด
อาบียุดเป็นพ่อของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นพ่อของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นพ่อของศาโดก
ศาโดกเป็นพ่อของอาคิม
อาคิมเป็นพ่อของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นพ่อของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นพ่อของมัทธาน
มัทธานเป็นพ่อของยาโคบ
16 และยาโคบเป็นพ่อของโยเซฟ
สามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซู
ซึ่งพระองค์ถูกเรียกว่า พระคริสต์
หรือพระเมสสิยาห์
“พระคริสต์” (เป็นคำกรีก) และ
“พระเมสสิยาห์” (เป็นคำฮีบรู)
แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”


7 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิด
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วอายุคน

18 นี่เป็นเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ คือ
มารีย์ มารดาของพระองค์นั้น ได้หมั้นที่จะสมรสกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้ามาเป็นสามีภรรยากัน พบว่า เธอตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
19 เป็นเพราะโยเซฟ คู่หมั้นของเธอเป็นผู้ชายที่ดี มีคุณธรรม เขาไม่ต้องการทำให้เธอเสียหายในหมู่ชาวบ้าน เขาจึงคิดว่าจะถอนหมั้นเงียบ ๆ
20 แต่หลังจากที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏกับเขาในความฝัน และกล่าวว่า “โยเซฟ ลูกชายดาวิดเอ๋ย อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะพระองค์ที่ทรงปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอนั้น ทรงมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
21 เธอจะให้กำเนิดลูกชาย และท่านจะตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู เพราะพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์จากความบาป

1:21 “เยซู” เป็นคำกรีกของคำว่า “โยชูวา” ในภาษาฮีบรู ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอด”


22 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านผู้เผยพระดำรัสนั้นสำเร็จ ที่ว่า
23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกพระองค์ว่า อิมมานูเอล” (ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์จากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ และรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา
25 โดยที่เขาไม่ได้มีสัมพันธ์กับเธอในฐานะสามีภรรยา จนกระทั่งเธอให้กำเนิดลูกชาย และเขาตั้งชื่อลูกชายว่า เยซู

อธิบายเพิ่มเติม

คนอิสราเอลโบราณได้ให้ความสำคัญกับการบันทึกลำดับวงศ์วานมาตั้งแต่ต้น เพราะทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ใครเป็นใคร มาจากครอบครัวไหน มีสิทธิจะเป็นปุโรหิตได้หรือไม่  เขาคนนั้นเป็นคนยิวแท้หรือว่า ปลอมแปลงมา
เมื่อเราดูวงศ์วานของพระเยซูด้านของโยเซฟ ทางกฎหมายพระองค์ก็ได้สืบเชื้อสายด้านพ่อมาจากดาวิด และด้านของมารีย์ก็เช่นกัน (ดูจากลำดับวงศ์วานในลูกา)แค่เชื้อสายทางโยเซฟ พระเยซูก็ทรงมีสิทธิที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองเพราะมาทางเชื้อสายดาวิด ส่วนทางร่างกายนั้นทรงเป็นพระบุตรที่ปฏิสนธิ์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณและอยู่ในครรภ์ของมารีย์ซึ่งเป็นมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์เดินดินอย่างพวกเรา
จะสังเกตได้ว่า มีชื่อของสตรีอยู่สามคน และบอกเพียงว่าเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อนอีกหนึ่งคน ทั้งสามคนแรกเป็นผู้หญิงต่างชาติที่เข้ามาแต่งงานกับคนในสายอิสราเอล ส่วนเบธเชบาห์ก็เป็นสตรีที่ดาวิดแย่งจากอุรียาห์มา
กษัตริย์ที่กล่าวถึงก็มีทั้งกษัตริย์ที่มีคุณธรรมและกษัตริย์ที่ชั่วช้าด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็ยังคงอยู่ในเชื้อสายนี้ และเชื้อสายในตำแหน่งกษัตริย์จบลงที่การเป็นเชลยในบาบิโลน

มัทธิว 1:18-25
การหมั้นในหมู่คนยิวนั้น เป็นการตกลงระหว่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย และมีความหมายลึกซึ้งกว่าการหมั้นในโลกปัจจุบัน  หากง่ายหญิงหรือฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พวกเขาก็มีความผิดในฐานะการล่วงประเวณี หรือเทียบเท่าการมีชู้ 
ตอนแรกนั้น โยเซฟไม่ทราบเลยว่า มารีย์ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์พระวิญญาณ เขารู้เพียงว่าเธอตั้งครรภ์ ทำให้เขาลำบากใจมากกับการที่จะแต่งงานกับเธอ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ถอนหมั้นกับเงียบ ๆ ไม่บอกอะไรกับใครเลย  เขาตั้งใจจะไม่ให้เธอเสียชื่อเสียง
แต่แล้ว ทูตสวรรค์กลับมาบอกในความฝันว่า เรื่องเป็นอย่างไร  ลูกชายที่จะมาเกิดนั้น มาจากพระเจ้า เกิดโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ  การเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรม และอยู่ในสายของดาวิดก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เขาเป็นผู้ดูแลมารีย์ด้วย 
ถึงกระนั้น ต่อมาเราก็ไม่ได้รู้เรื่องของเขาอีกหลังจากวันที่พระเยซูทรงหายตัวไปอยู่ในพระวิหารที่เยรูซาเล็มตอนที่ทรงเริ่มแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ 
จะเห็นว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าทรงใช้ทั้งผู้เผยพระคำหรือความฝันเพื่อส่งข่าวให้มนุษย์ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์  ในข้อความตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงติดต่อกับเขาเป็นส่วนตัว และทูตได้กล่าวกับเขาว่า ลูกชายดาวิด…
ข่าวสารที่โยเซฟได้รับ เป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย เป็นเกียรติไม่ใช่เป็นความอับอาย โยเซฟ ทำตามที่พระเจ้าทรงสั่งโดยรับมารีย์มาเป็นภรรยา และได้ให้เกียรติกับพระเจ้า และมารีย์โดยที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ใด ๆ กับเธอจนกว่า เธอได้คลอดพระบุตรพระเจ้าแล้ว
ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ โยเซฟได้รับรู้พระนามทั้งสองของพระเยซูคือ เยซู และอิมมานูเอล … และเขาได้รับการย้ำเตือนว่า นี่เป็นคำที่พระเจ้าได้ตรัสมา
ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนผ่านท่านอิสยาห์

จากนั้น เขาเป็นคนที่ดูแลทั้งเธอ และพระเยซูจนเติบโต  ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในฐานะมนุษย์ ก็ทรงเป็นลูกชายคนโตของโยเซฟด้วย และต่อมาก็ได้มีครอบครัว มีลูกชาย ลูกสาวอีกหลายคน  (มัทธิว 13:55-56) 

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 3:23; เยเรมีย์ 23:5; ยอห์น 7:42;
ปฐมกาล 12:3; 22:18
2* ปฐมกาล 21:2, 12; 25:26; 28:14; 29:35
3* ปฐมกาล 38:27; 49:10; รูธ 4:18-22
5* รูธ 2:1; 4:1-13
6* 1 ซามูเอล 16:1; อิสยาห์ 11:1, 10; 2 ซามูเอล7:12; 12:24

7* 1 พงศาวดาร 3:10; 2 พงศาวดาร 11:20
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 3:10;
2 พงศ์กษัตริย์ 15:13
9* 2 พงศ์กษัตริย์ 15:38
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 20:21; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:2
11* 1 พงศาวดาร 3:15-16; 2 พงศ์กษัตริย์ 24:14-16

12* 1 พงศาวดาร 3:17; เอสรา 3:2
16* Matt 13:55
18* ลูกา1:27,35 ; อิสยาห์ 49:1,5
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
20* ลูกา 1:35
21* ลูกา 1:31; 2:21; ยอห์น 1:29; โรม 5:18-19
23* อิสยาห์ 7:14
25* ลูกา 2:7,21

กิจการ 27 เรือแตก!


คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 27:1-2
ลูกา ผู้เขียนได้กล่าวว่า มีการตัดสินใจให้ “เรา” แล่นเรือไปอิตาลี แสดงว่า นอกจากเปาโลแล้วก็มีลูกาและนักโทษคนอื่น ๆ อีกด้วย เมืองอัดรามิททิยุมอยู่ชายฝั่งทะเลอีเจียนทางเหนือขึ้นไป แผนการคือ เรือจะมารับพวกเขาแล้วเลียบฝั่งเอเชีย
กิจการ 27:3
วันแรกของการเดินทาง ไปถึงไซดอน ซึ่งนายร้อยยูเลียสอนุญาตให้เปาโลไปหาคนรู้จักเพื่อช่วยหาสิ่งจำเป็นให้ แสดงว่า ในไซดอนมีคริสเตียนอยู่จำนวนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของเปาโล
กิจการ 27:4-6 เปลี่ยนเรือ
เรือออกเดินทางต่อไป แต่แทนที่จะไปตามที่บอก กัปตันเดินทางเลียบเส้นทางปลอดลมของเกาะไซปรัสแทนที่จะเลียบฝั่ง ดังนั้น นายร้อยจึงต้องให้นักโทษขึ้นเรือที่มุ่งหน้าไปอิตาลี เป็นเรือที่มีเป้าหมายที่โรม
เรือจากอเล็กซานเดรียเป็นเรือขนส่งพวกธัญพืชจากอียิปต์ไปโรม
กิจการ 27:7-8
เรือดังกล่าวแล่นในช่วงปลายของฤดูเดินเรือ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาที่กัปตันเองก็รู้ดี ท่างามไม่ได้เป็นที่เหมาะจะพักเรือช่วงฤดูหนาว เพราะว่าท่าเรือนั้นเปิดสู่ทะเลกว้าง
กิจการ 27:9-12
เปาโลได้กล่าวคำเตือนกัปตันและนายร้อยว่า การเดินทางครั้งนี้อันตราย ควรหยุดรอก่อน เราไม่ทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่คำของท่านเป็นเหมือนคำพยากรณ์
แต่กัปตันเองไม่เห็นด้วย เขาอยากจะไปจากที่ตรงนี้ ด้วยเหตุผลว่าต้องการแล่นเรือให้ถึงเกาะครีตทันฤดูหนาว เขาคงคิดว่า ไม่เห็นต้องฟังคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการเดินเรือ .. ความเห็นของเขาต้องดีกว่า
กิจการ 27:13-15
กัปตันเรือมองว่า ในเมื่อมีลมทะเลใต้เบา ๆ ก็น่าจะเลียบไปตามฝั่งเกาะครีตได้ … แต่แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีลมประจำถิ่นจากทางตะวันออกเฉียงเหนือพัดมาอย่างแรง ทำให้เรือไปตามลมจากเมืองโฟนิกซ์ออกไปยังทะเลกว้าง
กิจการ 27:16-17
เรือลอยไปจนใกล้เกาะคาลดา กัปตันตัดสินใจปล่อยเรือลอยไปตามลมแรงนั้น
กิจการ 27:19-20
กัปตันเห็นทีจะอันตรายเกินไปจึงให้ทิ้งเครื่องมือหนักลงทะเลไปให้หมด ในเมื่อฟ้ามืดทั้งเช้าเย็น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน มองไม่เห็นดาวบนฟ้าที่จะบอกทิศทาง เขาอาจจะรู้แค่ว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนโดยเดาเอาจากความสว่างราง ๆ ของเวลากลางวัน
กิจการ 27:21-22
แทนที่จะตำหนิกัปตัน เปาโลกลับเตือนสติและให้กำลังใจว่า จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่เรือจะจมแน่นอน
กิจการ 27:23-24
ที่เปาโลรู้ก็เพราะทูตสวรรค์มาบอกว่า อย่างไร จะได้พบซีซาร์แน่ และพระเจ้าจะทรงเมตตาให้ทุกคนรอดชีวิต
นี่เป็นการเห็นนิมิตครั้งสุดท้ายของเปาโล ที่ถูกบันทึกไว้
กิจการ 27:25-26
เปาโลรู้แน่ว่า พระเจ้าตรัสอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น และยังกล่าวคำล่วงหน้าว่า เรือจะเกยตื้นด้วย
กิจการ 27:27-29
ทะเลอาเดรียติคที่กล่าวถึงนี้ หมายถึงท้องทะเลไอโอเนียนที่อยู่ระหว่างเกาะครีต มอลตา อิตาลีและกรีซ
กลาสีเรือลองหยั่งความลึกได้ประมาณ 120 ฟุต ต่อมาเป็น 90 ฟุต พวกเขาทิ้งสมอท้ายเรือ ช่วยให้เรือไม่หมุนเคว้ง
กิจการ 27:30-32
ถึงตรงนี้ มีกลาสีหลายคนคิดว่าจะหนีจากเรือเอาชีวิตรอด แต่.. เปาโลเตือนนายร้อยทันทีว่า หากพวกเขาหนีไป คนที่อยู่บนเรือจะไม่รอด เปาโลรู้ว่า ทุกคนต้องเชื่อสิ่งที่เขากล่าว ไม่ใช่คิดเอาแต่ตัวรอด เพราะในเวลาต่อมา ทุกคนต้องช่วยเหลือกันยามที่เรือแตก
กิจการ 27:33-34
การที่พวกเขาอดอาหารมาถึง 14 วันทำให้ทุกคนหมดแรง เปาโลจึงขอให้ทุกคนกินอาหารบ้าง และยังคงให้กำลังใจพวกเขาต่อไป ก่อนหน้านี้ทั้งอาเจียน เมาเรือ พวกเขาก็งดอาหาร การเตรียมอาหารน่าจะลำบากมากเพราะพายุพัดไม่หยุดหย่อน
กิจการ 27:35-38
เปาโลกล่าวคำอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า … เมื่อกินอาหารเสร็จก็ให้ทิ้งข้าวสาลีลงให้หมด เชื่อแน่ว่าระหว่างที่อยู่ในเรือก่อนหน้านี้ เปาโลได้ใช้เวลากล่าวพระคำของพระเจ้าให้แก่เหล่ากลาสีเรือ และนักโทษสองร้อยกว่าคน ไม่หยุดหย่อน เปาโลน่าจะมีความสุขไม่น้อย
กิจการ 27:39-40
ตอนนี้ทางเลือกเดียวเมื่อเห็นฝั่ง คือ ไปให้ใกล้ฝั่งมากที่สุด
กิจการ 27:41-42
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรือแตก! นายทหารที่คุมนักโทษจึงคิดว่า จะฆ่านักโทษ เพราะหากนักโทษหนีไปได้พวกเขาจะโดนลงทัณฑ์แน่นอนตามกฏของโรม โดยต้องรับโทษของนักโทษที่หนีหายไปด้วยตัวเอง
กิจการ 27:43
แต่นายร้อยไม่ยอม เขาไม่ยอมให้ใครฆ่าเปาโลเด็ดขาด
กิจการ 27:44
ในที่สุด เรือแตกจริง ๆ แต่แล้ว พวกเขาก็รอดตายทุกคน

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 25:12,25
2* กิจการ 19:29
3* กิจการ 24:23; 28:16
6* กิจการ 28:11
7* กิจการ 2:11; 27:12,21; ทิตัส 1:5,12
9* เลวีนิติ 16:29-31; 23:27-29; กันดารวิถี 29:7

19* โยนาห์ 1:5
23* กิจการ 18:9; 23:11; 2 ทิโมธี 4:17; ดาเนียล 6:16; โรม 1:9; 2 ทิโมธี 1:3
25* ลูกา 1:45;โรม 4:20-21; 2 ทิโมธี 1:12
26* กิจการ 28:1
34* 1 พงศ์กษัตริย์ 1:52; มัทธิว 10:30; ลูกา 12:7,21:18

35* 1 ซามูเอล 9:13; มัทธิว 15:36; มาระโก 8:6; ยอห์น 6:11; 1 ทิโมธี 4:3-4
37* กิจการ 2:41; โรม 13:1; 1 เปโตร 3:20
41* 2 โครินธ์ 11:25
44* กิจการ 27:22,31