แนะนำ
มาระโก 15 พระเยซูสิ้นพระชนม์
พระเยซูถูกสอบสวนต่อหน้าปีลาต
1 เช้าตรู่ของวันต่อมา พวกหัวหน้าปุโรหิต ผู้อาวุโส ธรรมาจารย์ และ
สภาแซนเฮอดรินทั้งหมดก็วางแผนร่วมกัน เขามัดพระเยซู และส่งให้กับปีลาต
2 ปีลาตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของยิวอย่างนั้นหรือ?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็เป็นอย่างที่ท่านว่า”
3 แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตก็เริ่มต้นกล่าวหาพระองค์หลายกระทง
4 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า“ท่านจะไม่ตอบหรือ? เห็นไหมว่า พวกเขากล่าวหาท่านหลายอย่างขนาดนี้!”
5 แต่พระเยซูไม่ทรงตอบประการใด ทำให้ปีลาตประหลาดใจนัก
ฝูงชนเลือกอาชญากรตัวจริง
6 เป็นธรรมเนียมของปีลาตที่จะปล่อยนักโทษคนที่ประชาชนเลือกออกมาในช่วงเทศกาล
7 และมีชายคนหนึ่งชื่อบารับบัสถูกจำคุกพร้อมกับพวกกบฏที่ได้ฆ่าคนระหว่างการจลาจล
8 ดังนั้นฝูงชนได้ขึ้นไปขอให้ปีลาตทำตามธรรมเนียมที่เคย
9 “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” ปีลาตถาม
10 เพราะเขารู้อยู่ว่า เหล่าหัวหน้าปุโรหิตต้องการส่งมอบพระเยซูให้เขาก็เพราะพวกเขาอิจฉาพระองค์
11 แต่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต กลับปลุกปั่นฝูงชนให้เรียกร้องปีลาตปล่อยบารับบัสมาแทน
ปีลาตมอบพระเยซูให้ประหาร
12 แล้วปีลาตก็ถามพวกเขาอีกว่า“แล้วพวกเจ้าจะให้เราทำอย่างไรกับคนที่ท่านเรียกว่า กษัตริย์ของพวกยิว?”
13 พวกเขาตะโกนกลับมาว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
14“ตรึงทำไม?” ปีลาตถาม “เขาทำชั่วร้ายอะไรเล่า?” แต่พวกเขากลับตะโกนดังขึ้น “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
15 ปีลาตพยายามเอาใจฝูงชน เขาจึงปล่อยบารับบัสออกมาให้ แต่กลับสั่งให้โบยพระเยซู และมอบตัวพระองค์ให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน
พวกทหารเยาะเย้ยพระองค์
16 แล้วพวกทหารจึงนำพระเยซูออกไปยังวังของผู้ว่าคือศาลปรีโทเรียม และระดมกองกำลังทั้งหมดเข้ามา
17 พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระองค์ และสานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร
18 จากนั้นก็ถวายคำนับและร้องว่า “ขอกษัตริย์ของพวกยิวจงทรงพระเจริญ!”
19 พวกเขาเอาไม้ฟาดพระเศียรและถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วจากนั้นคุกเข่าถวายคำนับต่อพระองค์
20 หลังจากที่ได้เยาะเย้ยพระองค์ขนาดนั้นแล้ว
ก็ถอดเสื้อคลุมออก นำฉลองพระองค์กลับมาสวมให้
จากนั้นจึงนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน
การตรึงบนไม้กางเขน
21 ซีโมนชาวเมืองไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส ได้เดินทางจากเมืองข้างนอกเข้ามาพอดี และทหารก็บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนแทนพระองค์
22 พวกเขานำพระเยซูมายังสถานที่ชื่อโกละโกธา
ซึ่งหมายถึงสถานที่แห่งหัวกระโหลก
23 แล้วเขาก็เอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบมาให้พระองค์ แต่พระเยซูไม่ทรงรับ
24 จากนั้นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และยังนำฉลองพระองค์มาจับฉลากเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ส่วนใดไป
25 ตอนที่เขาตรึงพระเยซูนั้น เป็นเวลาเก้าโมงเช้า
26 มีป้ายข้อกล่าวหาเขียนไว้ว่า“กษัตริย์ของพวกยิว”
27 พวกเขายังตรึงโจรอีกสองคนพร้อมกับพระเยซูด้วย
ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
28 (เพื่อเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“และพระองค์ทรงถูกนับเข้ากับคนที่ล่วงละเมิด”)
เหล่าคนเยาะเย้ย
29 คนที่เดินผ่านไป ก็พากันทับถมเยาะเย้ยพระองค์ ส่ายหัว กล่าวว่า “ฮะฮ้า ท่านผู้ที่จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ในสามสิบวัน
30 ลงมาจากไม้กางเขน และช่วยตัวเองให้รอดเถอะ!”
31เช่นเดียวกัน ในหมู่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ กล่าวว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่กลับช่วยตัวเองไม่ได้!”
32 “ให้พระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เห็นและเชื่อพระองค์กัน!” แม้กระทั่งคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ยังกล่าวสบประมาทพระองค์ด้วย
การสิ้นพระชนม์
33 จากเที่ยงวันจนกระทั่งบ่ายสามโมง เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดิน
34 พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงละทิ้งข้าพระองค์ไป?”
35 เมื่อมีคนบางคนที่ยืนอยู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็ว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
36 มีบางคนวิ่งไปแล้วเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นติดปลายไม้อ้อ ยื่นให้พระองค์ได้จิบ แล้วพูดว่า”ปล่อยเขา มาดูกันสิว่า เอลียาห์จะมาเอาเขาลงไปหรือไม่”
37 แต่พระเยซูทรงร้องออกมาเสียงดัง และหายพระทัยครั้งสุดท้าย
38 และม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงมาล่าง
39เมื่อนายร้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเยซูเห็นว่า พระองค์ได้ทรงหายพระทัยครั้งสุดท้ายอย่างไร เขากล่าวว่า “แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
40 มีพวกผู้หญิงเฝ้ามองดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งในหมู่ผู้หญิงก็มี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อย และโยเสส และนางสะโลเม
41 พวกเธอได้ติดตามพระเยซู และรับใช้ปรนนิบัติพระองค์ขณะที่ทรงอยู่ในกาลิลี และมีผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคนซึ่งขึ้นมายังเยรูซาเล็มกับพระองค์
ฝังพระศพ
42 วันนั้นเย็นแล้ว เป็นวันเตรียม ซึ่งหมายถึงวันก่อนสะบาโต
43 โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญที่รอคอยอาณาจักรของพระเจ้า ได้เข้าไปพบปีลาตอย่างกล้าหาญ เพื่อขอพระศพของพระเยซู
44 ปีลาตเองรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ดังนั้น เขาจึงเรียกนายร้อยมาถามว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือไม่
45เมื่อปีลาตได้รับคำยืนยัน จากนายร้อย เขาจึงอนุญาตให้โยเซฟ นำพระศพไป
46 ดังนั้นโยเซฟได้ซื้อผ้าลินินมา และนำร่างของพระองค์ลงมา พันพระศพ และนำพระศพไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพที่สกัดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็กลิ้งหินปิดปากถ้ำไว้
47 โดยที่มารีย์มักดาลา และมารีย์มารดาของโยเซฟ ก็ได้เห็นที่เก็บพระศพด้วย
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 15:1-5
เมื่อคืน พวกยิวได้สอบสวนพระเยซูตามแบบของยิว เพื่อหาหลักฐานมาส่งฟ้องตอนเช้า ซึ่งพวกเขานำพระเยซูไปส่งให้ปีลาต แต่เช้าตรู่ เพราะโดยปกติแล้ว การทำคดีของโรมมักจะทำเช้ามาก ๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากประหารพระเยซูมากเพียงไร แต่เป็นเพราะโรมปกครองอยู่ เขาจึงไม่มีสิทธิทำอะไรเช่นนั้น อีกอย่างประชาชนคงลุกฮือขึ้นอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่ปลอดภัยคือยืมมือของปีลาตให้ทำตามแผนของพวกเขา
ข้อกล่าวหาคือ “พระเยซูทรงตั้งตนเป็นกษัตริย์ของยิว” ซึ่งหมายถึงการที่พระองค์จะนำประชาชนลุกฮือ ต่อต้านโรมนั่นเอง นับเป็นข้อหาทางการเมืองที่จะส่งผลถึงการประหารได้ (ที่จะบอกว่า พระเยซูทรงอ้างว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าส่งมา หรือว่าพระองค์ทรงอ้างว่า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั้น ปีลาตจะไม่เข้าใจเลย)
พอปีลาตถามว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ยิวหรือ พระองค์ก็ทรงตอบในเชิงว่าใช่ตามที่ปีลาตถาม
จากนั้น เมื่อพระองค์โดนใส่ความเพิ่มทับถมเข้ามา ปีลาตก็แปลกใจนักที่พระองค์ไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
มาระโก 15:6-11
ปีลาตรู้มาตั้งแต่แรกว่า พวกยิวพยายามใช้ให้เขาเป็นคนสั่งประหารพระเยซู เนื่องจากพวกเขาอิจฉาที่พระองค์ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แล้วตอนนี้พวกยิวกลับมาใช้ประเพณีที่มีการปล่อยตัวนักโทษประจำปีเลือกปล่อยอาชญากร ที่ทั้งกบฏ และฆ่าคน ทั้ง ๆ ที่ปีลาตเสนอให้ปล่อยพระเยซู เพราะจากการสนทนาสอบสวน ปีลาตรู้อยู่แก่ใจว่า การฟ้องร้องของยิวนั้น ไม่มีหลักฐานแน่นหนา แต่เป็นการใส่ร้ายอย่างจงใจ ปีลาตเห็นอาการอิจฉาอย่างชัดเจน (10)
ก่อนหน้านี้ฝูงชนส่วนหนึ่งติดตามพระเยซู แต่เมื่อมีการใส่ร้าย ผู้คนได้ฟังความพยานเท็จ พวกเขาก็เปลี่ยนใจจากชอบพระเยซูเป็นเกลียดจนต้องการประหารพระองค์ ฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ และแน่นอนในเหตุการณ์นี้ต้องมีคนที่คอยบงการปลุกระดมฝูงชนอยู่ ก็เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันด้วย
มาระโก 15:12-15
ปีลาตหันไปถามฝูงชนว่าต้องการอะไร เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นว่า เขาต้องการเอาใจคนยิวที่มาฟ้องพระเยซู แต่กลับได้คำตอบที่ไม่คาดว่า จะรุนแรงขนาดนั้น …ให้ตรึงที่ไม้กางเขน .. เป็นการลงโทษอาชญากรที่โหดเหี้ยม เลวร้ายแบบโรม แต่พระเยซูไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ได้เป็นฆาตกรหรือกบฏด้วยซ้ำ
การสั่งโบยพระเยซู เป็นเพียงเพื่อเอาใจฝูงชน การโบยนี้รุนแรงกว่าการสั่งเฆี่ยนนักโทษธรรมดา
พระเยซูถูกโบยด้วยแส้หนังหลายเส้น ที่ตรงปลายติดไว้ด้วยกระดูกแหลม หรือเหล็กคมเพื่อขูดเนื้อของนักโทษออกไปทุกครั้งที่โบยทำให้เกิดแผล ผิวหนังจะลอกออกมาเป็นริ้ว ๆ เป็นรอยที่เจ็บปวดมาก อิสยาห์ 52:14 ได้อธิบายไว้ล่วงหน้าว่า พระบุตรของพระเจ้าจะทรงเผชิญอะไร เวลานี้ พระโลหิตไหลท่วมร่างของพระองค์!
มาระโก 15:16-20
วังของผู้ว่าก็คือ สถานที่พักทางราชการของผู้ว่าฯ ที่โรมจัดไว้ให้ เป็นที่ ๆ สามารถสอบสวน ตัดสินความได้ มีการระดมกำลังทหารเข้ามาเพื่อจัดระเบียบ ไม่ให้ฝูงชนทำร้ายจำเลย..
พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้และสวมมงกุฎหนามด้วยเป็นการเยาะเย้ยพระองค์อย่างถึงที่สุด มงกุฎนี้ ทำจากกิ่งไม้หนามที่มีอยู่ทั่วไป และบัดนี้พระเศียรของพระองค์ก็อาบโลหิตเต็มไปหมด! มาระโกไม่ได้บันทึกถึงความรู้สึกของพระเยซูเลย เขาเพียงรายงานว่า พระองค์ทรงถูกกระทำอย่างไรบ้าง …เราเองเป็นผู้ที่จะต้องทบทวนว่า พระบุตรของพระเจ้าทรงโดนคนต่ำทรามเหล่านี้ ดูแคลนพระองค์ขนาดไหน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวขนาดไหนในเวลานั้น แล้วพระองค์ถูกฟาดพระเศียรด้วยไม้อีกครั้ง หนามทิ่มลึกลงไป พระโลหิตไหลออกมาอีกเป็นสายโลหิตท่วมพระพักตร์! ตามด้วยน้ำลายของทหารอันธพาลที่โสโครกเหล่านั้น ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
พวกเขายังเยาะเย้ยพระองค์ด้วยวิธีสามานย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุกเข่า คำนับพร้อมกับแสดงความเหยียดหยาม
ช่วงนี้เองที่ยอห์นเล่าว่า ปีลาตพยายามช่วยให้พระเยซูไม่ถูกตรึงอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ (ยอห์น 19:4-5)
จากนั้น พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ ให้สวมเสื้อเดิม และนำพระองค์ออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะประหารในวันนั้นเอง โดยให้พระองค์แบกกางเขนออกไปเอง แบกท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่คนแข็งแรงยังแบกยาก…
มาระโก 15:21-28
การแบกกางเขนนั้น ก็เหมือนการลากไม้กางเขนไป เพราะทหารจะให้ปลายไม้อยู่บนดิน นักโทษจะต้องแบกและลากไป
ซีโมนชาวเมืองไซรีน อยู่ทางเหนือของอัฟริกา เขาน่าจะเป็นคนยิวที่เข้ามาร่วมในพิธีปัสกา เขาได้รับเกียรติจากพระเจ้าสูงสุดให้ช่วยแบกไม้กางเขนแทนพระเยซูที่ทรงบาดเจ็บอย่างสาหัส ผ่านคำสั่งของทหารโรมเองที่เห็นว่า นักโทษคงไม่มีแรงพากางเขนไปถึงที่หมายได้ (ส่วนรูฟัสคนนี้ รู้จักกับเปาโลในโรมด้วย (โรม 16:13)
สถานที่ซึ่งเขาจะตรึงพระเยซูน่าจะเป็นเนินที่มีรูปร่างคล้ายหัวกระโหลก คนจึงเรียกเช่นนั้น เป็นสถานที่อยู่นอกเมืองออกไป
มีคนหนึ่งเอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบซึ่งจะช่วยทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลงได้ มีคุณสมบัติทำให้ชาไปทั้งตัว แต่พระเยซูเลือกที่จะไม่รับสิ่งนั้น พระองค์ต้องรู้พระองค์จนถึงสิ้นลมหายใจ… พระองค์เองเคยตรัสว่าจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนถึงวันนั้นที่จะมีคริสตจักรดื่มกับพระองค์
(มัทธิว 26:29)ดาวิดได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในข้อ 24 ล่วงหน้าในสดุดี 22:16-18
มาระโก 15:29-32
การทำโทษด้วยตรึงมักทำในที่ ๆ คนเดินไปมานอกเมืองเพื่อนักโทษจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม คนที่ผ่านมาก็นิสัยทรามมากเพราะว่าสามารถหาเรื่องมาลงที่ผู้ที่อยู่บนไม้กางเขน ไม่มีเห็นใจ มีแต่การทับถมซ้ำ
หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์กล่าวหาว่า พระเยซูทรงหมิ่นประมาทพระเจ้า(มาระโก 14:64) แต่พวกเขานั่นแหละที่กำลังทำบาปนี้อย่างไม่รู้ตัว สมควรที่จะได้รับโทษประหาร(เลวีนิติ 24:16)
มาระโก 15:33-41
ทั้งแผ่นดิน มืดสนิท ช่างเป็นภาวะที่น่ากลัว เป็นความมืดในเวลากลางวันถึงสามชั่วโมง พระเยซูทรงเจ็บปวดในพระทัยขนาดไหน จนกระทั่งทรงร้องตัดพ้อพระบิดาว่า เหตุใดทรงทิ้งพระองค์ไป .. เป็นคำเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในสดุดีบทที่ 22 ทรงทำให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในสมัยโบราณนั้น จำเป็นต้องเกิดขึ้นตามจริง จำได้ไหมว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์ผู้ไม่ได้มีบาปต้องรับบาปเพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า (อ่าน 2 โครินธ์ 5:21)
เราไม่อาจมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้าโดยผ่านความดีของตัวเอง หรือการช่วยเหลือของใคร นอกจากองค์พระเยซูเท่านั้น
แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังตามที่ยอห์น 19:30 บันทึกไว้คือ “สำเร็จแล้ว”แล้วก็สิ้นพระชนม์
ม่านในพระวิหารเป็นผ้าทอหนาราว 9 นิ้ว เป็นผ้าที่หนาแบบหาได้ยาก ขนาดประมาณ 30×60 ฟุต
ในวันนั้น ม่านที่แยกคนออกจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ขาดออกเป็นสองท่อน บนลงล่าง ทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำ แต่พระเจ้าทรงทำเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์ทรงฉีกที่กั้นออกไปแล้ว พระเยซูทรงทำให้มนุษย์สามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมีตัวแทนอย่างปุโรหิตอีกต่อไป
ผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าคนหนึ่งคือ นายร้อยโรมเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้น เขากล่าวยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า! ชายคนนี้ต้องเห็นการทำโทษโดยตรึงบนไม้กางเขนมาบ้าง และเขาก็รู้ว่า พระเยซูไม่ใช่นักโทษ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ ๆและยังมีคนที่ติดตามพระเยซูดูอยู่ห่าง ๆ อย่างเศร้าใจ มาระโกได้บันทึกถึงสตรีเหล่านี้ให้เราได้รู้ว่า มีทั้งชายและหญิงที่ติดตามพระองค์ใกล้ชิด
มาระโก 15:42-47
แม้เราจะไม่ได้รู้จักโยเซฟชาวอาริมาเธียมาก่อน แต่ในช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูจะถูกตัดสิน เขาก็ไม่เห็นด้วย (ลูกา 23:50-51) แต่จำเป็นต้องมีการเก็บพระศพของพระเยซูนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนสำคัญในการเมือง และก็มีฐานะ กล้าที่จะเข้าไปขออนุญาตจากปีลาตโดยตรง เหตุที่วันต่อมาจะเป็นวันสะบาโต และวันต่อมาก็จะเป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ จะไม่มีการทำงานใด ๆ (เลวีนิติ 23:5-7) ผู้ที่เชื่อ ติดตามพระองค์ ก็จะต้องเก็บพระศพทันที
ปีลาตแปลกใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะจริงแล้ว การตรึงบนไม้กางเขนจะทรมานนักโทษที่ถูกตรึงหลายวันก่อนตาย ตามธรรมเนียมของโรม ก็จะทิ้งศพไว้อีกหลายวันเพื่อประจาน และให้สัตว์มาทึ้งร่างด้วยแต่ปีลาตก็อนุญาตให้เอาพระศพลงมา แสดงว่า เขาน่าจะเข้าใจชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิด ไม่เป็นอาชญากรอย่างที่พวกผู้นำศาสนายิวกล่าวหา
โยเซฟได้นำพระศพมา และตามธรรมเนียมจะต้องทำความสะอาดพระศพด้วยจึงจะใส่เครื่องหอมสมุนไพรที่พวกเขาจะใช้ชโลมศพที่ นิโคเดมัสเป็นผู้นำมา (ยอห์น 19:39) ในคืนนั้น เขาเตรียมพระศพเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าลินิน และโยเซฟ เก็บพระศพไว้ที่ถ้ำเก็บศพของครอบครัวเขาเองซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ประหารนั้น
ส่วนพวกผู้หญิงที่อยู่ตรงไม้กางเขนก็เห็นสิ่งที่โยเซฟ นิโคเดมัส และคนของพวกเขาได้เตรียมให้พระเยซูก่อนจะเก็บพระศพและกลิ้งหินปิดปากถ้ำตามคำขอของพวกผู้นำศาสนายิว
พระคำเชื่อมโยง
มาระโก15
1* สดุดี 2:2; อิสยาห์ 53:7; กิจการ 3:13
2* มัทธิว 27:11-14
3* ยอห์น 19:9
4* มัทธิว 27:13
5* สดุดี 38:13-14; อิสยาห์ 53:7; ยอห์น 19:9
6* มัทธิว 27:15-26
11* กิจการ 3:14
12* มีคาห์ 5:2
14* 1 เปโตร 2:21-23
15* มัทธิว 27:26; อิสยาห์ 53:8
16* มัทธิว 27:27-31
19* อิสยาห์ 50:6; 52:14; 53:5; มีคาห์ 5:1
20* ลูกา 22:63; 23:11
21* มัทธิว 27:32
22* ยอห์น 19:17-24
23* มัทธิว 27:34
24* สดุดี 22:18
25* ยอห์น 19:14
26* มัทธิว 27:37
27* อิสยาห์ 53:9, 12; ลูกา 22:37
28* อิสยาห์ 53:12; ลูกา 22:37
29* สดุดี 22:6-7; 69:7; 109:25; ยอห์น 2:19-21
30* สดุดี 22:8
31* สดุดี 69:19; ลูกา 18:32; ยอห์น 11:43
32* สดุดี 22:8; มัทธิว 27:44
33* อาโมส 8:9; ลูกา 23:44-49
34* สดุดี 22:1
36* ยอห์น 19:29; สดุดี 69:21
37* มัทธิว 17:23; 27:50
38* อพยพ 26:31-33; เศคาริยาห์ 11:10-11
39* ลูกา 23:47
40* มัทธิว 27:55; สดุดี 38:11
41* ลูกา 8:2-3
42* ยอห์น 19:38-42
43* อิสยาห์ 53:9; ลูกา 2:25, 38; 23:51
46* มัทธิว 27:59-60; 26:12; มาระโก 14:8
ฮีบรู 13 ชีวิตที่พอพระทัย
ฮีบรู 13:1-2 จงรักกันอย่างพี่น้องสืบต่อไป
อย่าละเลยการต้อนรับแขกแปลกหน้า
เพราะการทำเช่นนั้นทำให้บางคนได้
ต้อนรับทูตสวรรค์อย่างไม่รู้ตัว
ฮีบรู 13:3 จงระลึกถึงผู้ที่ถูกจำจองราวกับว่าท่าน
เองอยู่ในเรือนจำเช่นเดียวกับพวกเขา
และระลึกถึงคนที่ถูกข่มเหงราวกับว่า
ท่านก็ได้ทนทุกข์ไปพร้อมกับเขา
ฮีบรู 13:4 จงให้การสมรสเป็นเกียรติน่านับถือ
แก่คนทั้งหลาย และให้เตียงสมรส
ไร้มลทิน เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษา
คนที่ผิดศีลธรรมทางเพศ
และคนที่ผิดประเวณี
ฮีบรู 13:5-6 จงรักษาชีวิตให้พ้นจากการรักเงิน และจงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีวันที่เราจะละจากเจ้า ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้าไป” ดังนั้นเราจึงพูดด้วยความมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?”
ฮีบรู 13:7 จงระลึกถึงผู้นำของท่านที่ได้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่าน จงพิจารณาผลการดำเนินชีวิตของพวกเขา และทำตามอย่างความเชื่อของพวกเขา
ฮีบรู 13:8 องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์
ฮีบรู 13:9 อย่าหลงเชื่อคำสอนแปลก ๆ หลากหลายอย่าง เพราะเป็นการดีที่ใจของเราจะรับพลังจากพระคุณ ไม่ใช่จากอาหารตามพิธีกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์กับคน
ที่ปฏิบัติตาม
ฮีบรู 13:10-11 เรามีแท่นบูชาซึ่งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาไม่มีสิทธิกินอาหารจากแท่นนั้น ปุโรหิตนำเลือดของสัตว์เข้ามาในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปแต่ร่างของสัตว์ก็จะถูกเผานอกค่าย
ฮีบรู 13:12 องค์พระเยซูก็เช่นกัน ทรงทนทุกข์นอก
เขตประตูเมืองเพื่อให้คนทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์
ฮีบรู 13:13-14 ดังนั้น ให้เราออกไปหาพระองค์นอกค่าย
และรับความอับอายที่พระองค์ได้ทรงแบกรับไว้ เพราะเราไม่มีเมืองถาวรที่นี่ แต่เรากำลังรอคอยเมืองที่กำลังจะมา
ฮีบรู 13:15-16 ดังนั้น ให้เราถวายเครื่องบูชาแห่งคำ
สรรเสริญแด่พระเจ้าผ่านองค์พระเยซูตลอดไป เป็นการถวายคำยอมรับพระนามของพระองค์จากปากของเรา
อย่าลืมที่จะทำความดี และแบ่งปันให้ผู้อื่น เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้
ฮีบรู 13:17 จงเชื่อฟังผู้นำของท่าน และยอมใต้การดูแลของเขา เพราะพวกเขาดูแลท่าน ในฐานะของผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน ถึงขนาดนี้แล้ว จงให้เขานำท่านด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ใจ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ท่าน
ฮีบรู 13:18-19 จงอธิษฐานเผื่อเรา เราแน่ใจว่า เรามีจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ และมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติในทุก ๆ ทาง เราขอร้องเป็นพิเศษ
ที่ท่านจะอธิษฐานเพื่อให้ข้าพเจ้า
มาพบกับท่านในไม่ช้านี้
ฮีบรู 13:20 บัดนี้ ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข
พระองค์ผู้ทรงนำองค์พระเยซูเจ้า
องค์พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของฝูงแกะ
ให้ฟื้นจากความตาย
ด้วยพระโลหิตของพันธสัญญานิรันดร์ได้ทรง………
ฮีบรู 13:21 ได้ทรง…ให้ท่านได้เต็มด้วยสิ่งดี ที่จะช่วยให้ทำ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และขอให้พระองค์ทรงทำราชกิจสำเร็จในตัวเราตามที่ชอบพระทัยของพระองค์ทาง
พระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
ฮีบรู 13:22-23 พี่น้องเอ๋ย ข้าขอให้ท่านได้อดทนรับ
คำเตือน คำหนุนใจจากข้า เพราะข้าเขียนจดหมายสั้น ๆ มาถึงท่าน ขอเรียนให้ทราบว่า ทิโมธีน้องของเราถูกปล่อยตัวแล้ว หากเขามาถึงเร็ว ข้าจะมาพร้อมกับเขาเพื่อจะได้พบท่าน
ฮีบรู 13:24-25 ข้าขอฝากความคิดถึงมายังผู้นำของ
ท่านและวิสุทธิชนทุกท่านผู้ที่มาจากอิตาลีขอฝากความคิดถึงมาด้วยขอพระคุณจงดำรงกับท่านทุกคน
ฮีบรู 13:1-2
พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาศิษย์และผู้เชื่อของพระองค์ให้รักกันและกัน เพื่อโลกจะรู้ว่า เราเป็นของ ๆ พระองค์ (ยอห์น 13:35) เรารักกันอย่างพี่น้องเพราะเรามีพระบิดาองค์เดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละเชื้อชาติ แต่ผู้เชื่อพระเยซูก็เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่แปลกไปจากความคิดของคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ยังให้เรามีใจต้อนรับในแง่ของการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพื่อบันเทิง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราดีต่อคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ฮีบรู 13:3
ในช่วงเวลานั้น คริสเตียนจำนวนมากถูกจับเพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาไปยังวิหารต่างชาติ กราบไหว้เทพชาวโรม แต่พอพวกเขาเชื่อพระเจ้าก็เลิกถูกจับเข้าคุกไม่พอ ยังถูกส่งให้สัตว์ร้ายกิน ถูกเผา ผู้เขียนบอกเราให้ระลึกถึงคนที่ถูกจองจำและให้
ตระหนักว่า เราถูกจองจำเหมือนเขาด้วย บางคนสามารถที่จะไปเยี่ยม ให้กำลังใจ อธิษฐานด้วยกัน บางคนอธิษฐานเผื่อ
ฮีบรู 13:4
พระคำข้อนี้ ไม่ต้องอธิบายมากเลย ชัดเจน สั้นตรงไปตรงมา ข้อเสียของโลกปัจจุบันคือ เราคิดว่า เรื่องนี้ไม่สำคัญ ใคร ๆ ก็ได้กันก่อนทั้งนั้นแล้วคริสเตียนแทนที่จะคิดอย่างพระเจ้า แต่กลับไปคิดอย่างโลก แล้วก็คิดด้วยว่า อยู่ด้วยกันแล้วไม่ถูกใจก็เลิก ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้กับครอบครัว พระองค์ทรงประสงค์ครอบครัวที่ถูกต้องกับพระองค์ และคู่สมรสที่จะอยู่ยืนยาวไปด้วยกัน
ฮีบรู 13:5-6
เมื่อเราอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขาไม่รู้จักที่จะวางใจพระเจ้าในทุกก้าวของชีวิต พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเราที่ทำงานเหมือน ๆ กับเขาแต่ทำไมช่างวางใจว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง พวกเขามองว่า การที่เราวางใจพระเจ้าเป็นความอ่อนแอ เราต้องพึ่งตนเองมากที่สุดเขาไม่รู้กันเลยว่า การที่มีความเชื่อในพระเจ้านั้นเป็นประกันความปลอดภัยในชีวิตที่ดีสุด
ฮีบรู 13:7
พระคำตอนนี้ไม่ได้มีเพื่อผู้ตามให้ตามอย่างดี แต่มีเพื่อผู้นำที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของรุ่นต่อ ๆ มามีผู้นำเป็นจำนวนมากที่นำมานานจนหลงตัวเองคิดว่า ตนเองโอเคทุกเรื่อง อย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องพิจารณาความเชื่อ การกระทำของตนเองว่า
ตรงกับที่ตนเองสอนผู้อื่นหรือเปล่า ชีวิตของทุกคนต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน หากไม่เปลี่ยน ชีวิตก็เหมือนกิ่งไม้ที่ไม่ได้ติดกับลำต้น มีแต่จะแห้งเหี่ยวไป
ฮีบรู 13:8
ก่อนหน้านี้ ได้กล่าวถึงการที่จะมีชีวิตคริสเตียนเต็มด้วยความเชื่อและการกระทำที่ตรงกับพระคำของพระเจ้า และข้อต่อไปได้กล่าวถึงการที่จะไม่หลงไปตามความเชื่อผิด ผู้เขียนต้องการให้พี่น้องได้รู้ว่า ความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงที่ว่าพระเยซูไม่ทรงเปลี่ยนแปลง มาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เสด็จมาเป็นมนุษย์จนเสด็จสู่สวรรค์ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ เรายังมั่นใจในพระองค์ได้เสมอ
ฮีบรู 13:9
เนื่องจากมักจะมีคำสอนแปลก ๆ เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่สมัยคริสตจักรเริ่มแรกจนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวก็มีพิธีกรรมใหม่ ๆ ให้ผู้เชื่อได้ตื่นเต้น แทนที่จะดื่มด่ำในพระคำของพระเจ้า ดังนั้น ผู้เชื่อจึงต้องระวังคำสอนที่เน้นการกระทำ บิดเบือนพระคำของพระเจ้า เราได้รับพลังในการใช้ชีวิตตามพระเจ้าจากพระคุณยิ่งใหญ่ มิใช่ด้วยการกระทำตามพิธีกรรม
ฮีบรู 13:10-11
แท่นบูชาที่ผู้เขียนกล่าวถึงในข้อนี้ คือไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์ เป็นแท่นบูชาที่บรรดาคนที่ยังเชื่อในระบบการถวายเครื่องบูชาแบบของโมเสส พูดง่าย ๆ คือ คนที่ยังติดอยู่กับพิธีกรรมของโมเสส ไม่มีสิทธิใด ๆ ในไม้กางเขนนี้คนที่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น จะไม่ได้รับการประกาศว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าเหมือนอย่างคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 13:12
เหมือนอย่างที่โคบูชานั้นถูกฆ่าเพื่อทำให้อาโรนและเหล่าปุโรหิตได้บริสุทธิ์ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อให้คนที่เชื่อได้กลายเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า เป็นผู้ที่ถูกรับว่าเป็นคนบริสุทธิ์ พ้นจากโทษบาป สัญญลักษณ์ของการถูกทิ้งนอกค่าย ชี้มายังพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์นอกประตูเมือง มีความหมายถึงการที่พระองค์ทรงถูกทิ้งถูกปฏิเสธ นี่คือความอับอายที่ทรงเผชิญเพื่อเรา
ฮีบรู 13:13
ความอับอายของพระเยซูคริสต์ที่ทรงเผชิญนั้นลึกล้ำกว่าที่เราจะเข้าใจได้จริง ๆ พระองค์ทรงกลายเป็นอาชญากรผู้ถูกประหารทั้งที่ไม่มีความผิดใด ๆ ถูกผู้คนละทิ้ง และปฏิเสธ ที่สำคัญไปถึงพระบิดาที่รักทรงทอดทิ้งพระองค์ด้วยอย่างที่พระองค์ได้ตรัสด้วยความเจ็บปวดในพระทัยว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของ ข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มาระโก 15:34)
ฮีบรู 13:14
ก็เหมือนกับบรรพบุรุษของอิสราเอลที่ต่างมีความเชื่อในพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาแม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ ก็จะเชื่อต่อไป ตรงจุดนี้เป็นขั้นของการพิสูจน์ความเชื่อของทุกคนยังไม่เห็น แต่จะเชื่อหรือเปล่า.. ยังไม่เกิด แต่จะเชื่อต่อไปไหม เราทุกคนผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาอยู่แล้ว และต่อไปข้างหน้าหรือแม้วันนี้เราจะยังเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเชื่อแม้ว่าสิ่งที่ทูลขอยังมาไม่ถึง
ฮีบรู 13:15-16
พระคำข้อนี้ ช่วยบอกเราชัดเจนว่า การสรรเสริญนมัสการพระเจ้านั้น ไม่ได้อยู่แค่ที่การร้องเพลงสรรเสริญนมัสการจากวิญญาณและความจริงเท่านั้น แต่การทำความดีให้กับผู้อื่น แบ่งปันสิ่งดีที่มีให้ผู้อื่น ก็เป็นเครื่องบูชาจากเราได้ด้วย
เราจะเห็นสิ่งดีที่ผู้รับใช้ในประเทศต่าง ๆ ได้ทำเพื่อคนอื่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ แต่เราคนเล็ก ๆ ก็สามารถทำสิ่งดีให้กับคนรอบข้างได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน
ฮีบรู 13:17
ผู้นำฝ่ายวิญญาณของเรา เขาต้องดูแลเรา พระเจ้าทรงเรียกให้เขานำประโยชน์ฝ่ายวิญญาณมาให้ชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องถวายรายงานเรื่องชีวิตของเราด้วยสำหรับพระคำข้อนี้ เราต้องคิดย้อนด้วย หากเราเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของคนรอบข้างล่ะ หากเราเป็นพ่อ แม่ หรือ ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่นำทุกคนมาหาพระเจ้าล่ะ เราต้องรับผิดชอบอย่างไรที่จะ
เข้าไปเสนอรายงานต่อพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจ?
ฮีบรู 13:18-19
ตอนนี้ผู้เขียนกำลังสรุปเรื่องราวทั้งหมดมา เขาขอร้องให้พี่น้องได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาที่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ เราอย่าคิดว่า ผู้นำไม่ต้องการคำอธิษฐาน พวกเขายิ่งต้องการมากเพราะเขาจะต้องทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผล เราเจอมามากที่ผู้ตามไม่ได้อธิษฐานเผื่อผู้นำ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้นำแล้ว เขาก็เก่งแล้วนี่นา เขาต้องผ่านได้ทุกเรื่อง แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ให้เราทิ้งผู้นำไว้คนเดียว อธิษฐานเผื่อทุกเรื่อง
ฮีบรู 13:20
นี่เป็นคำอธิษฐานของผู้เขียนฮีบรู ซึ่งเราไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร หลายคนคิดว่าเป็นท่านเปาโล แต่วิธีการเขียนนั้น แตกต่างจากท่านมาก คำอธิษฐานนี้เป็นการจบจดหมายที่ท่านเขียนมา ท่านมีใจปรารถนาให้พี่น้องได้รับสิ่งดีจากพระเจ้า ท่าน
อธิษฐานถึงพระเจ้าแห่งสันติสุข เน้นว่าพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย จำได้ไหมว่าท่านเริ่มต้นจดหมายนี้ด้วยการยกย่องพระเยซูคริสต์อย่างสูงและท่านจะจบจดหมายด้วยพระเยซูเช่นกัน
ฮีบรู 13:21
ท่านทูลขอพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงทำให้พี่น้องมีสิ่งดี ๆ เป็นเครื่องมือที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้พระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรานั้นสำเร็จ นี่เป็นคำอธิษฐานตัวอย่างที่เราจะอธิษฐานเผื่อทั้งผู้นำและพี่น้องที่มีความเชื่อร่วมกับเรา คำอธิษฐานนี้ก็เพื่อว่า พระเยซูเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสูงสุด จากสิ่งดีที่เราทำ จากการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงทำให้ชีวิตของพวกเรา
ฮีบรู 13:22-23
เราจะเห็นว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าเช่นเปาโลหรือแม้ทิโมธีเองซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ใกล้ชิดของเปาโลก็ถูกจำจองด้วยซึ่งเป็นเพราะเขารับใช้พระเจ้านั่นเอง ผู้เขียนฮีบรูคงเป็นส่วนหนึ่งของราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในช่วงคริสตจักรยุคแรกนี้ ท่านขอให้พี่น้องรับทั้งคำเตือน คำหนุนใจ ซึ่งก็รวมถึงคำสอนต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์ปุโรหิตนิรันดร์
ฮีบรู 13:24-25
จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มาถึงแค่พี่น้องในคริสตจักรแต่มาถึงทั้งผู้นำและผู้ตาม เป็นชุมชนคริสเตียนที่มีอยู่จริง ๆ เป็นขุมชนที่ต้องการคำสอนของหนังสือฮีบรูนี้ คำสุดท้ายของจดหมายคือ ขอให้พระคุณของพระเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคน นี่เป็นสิ่งที่เราเองก็จะได้รับเมื่ออ่านพระคัมภีร์ฉบับนี้ และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเพราะการติดตามพระเจ้า
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 12:10
2* มัทธิว 25:35; ปฐมกาล 18:1-22; 19:1
3* มัทธิว 25:36
4* สุภาษิต 5:18-19;1โครินธ์ 6:9
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6, 8;โยชูวา 1:5
6* สดุดี 27:1; 118:6
8* ฮีบรู 1:12
9* เอเฟซัส 4:14; 1 ทิโมธี 6:3-5
10* 1โครินธ์ 10:20; 5:7-8
11* เลวีนิติ 16:27
12* ฮีบรู 9:12-14; ยอห์น 19:17-18
13* 1 เปโตร 4:14
15* เอเฟซัส 5:20; เลวีนิติ 7:12; โฮเชยา 14:2
16* โรม 12:13; ฟีลิปปี 4:18
17* ฟีลิปปี 2:29; เอเสเคียล 3:17
18* เอเฟซัส 6:19; กิจการ 23:1
20* โรม 5:1-2, 10; 15:33 โฮเชยา 6:2; โรม 4:24; 1 เปโตร 2:25; 5:4เศคาริยาห์ 9:11
21* ฟีลิปปี 2:13
ฮีบรู 12 ทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ
ฮีบรู 12:1 ดังนั้น ในเมื่อเรามีพยานมากมายรอบข้างเช่นนี้ ให้เราสละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ออกไปรวมถึงบาปที่พันเราจนยุ่งเหยิง
และให้เราวิ่งแข่งตามที่กำหนดไว้ข้างหน้าด้วยความทรหดอดทน
ฮีบรู 12:2 ให้เราจับตาที่พระเยซู ผู้ทรงเบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับเอาความตายบนกางเขน ไม่ใส่พระทัยกับความน่าอับอายก็เพื่อความยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์พระที่นั่งของพระเจ้า
ฮีบรู 12:3 ขอให้พิจารณาถึงพระองค์
ผู้ทรงทนต่อความเกลียดชัง
จากคนบาป
เพื่อว่า
ท่านจะไม่อ่อนล้า และท้อใจไป
ฮีบรู 12:4-5 การที่ท่านต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้ต่อต้านจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย และท่านได้ลืมคำแห่งกำลังใจที่มาถึงท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเฉยเมยต่อการลงวินัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจไปเมื่อพระองค์ทรงตำหนิ
ฮีบรู 12:6-7 เพราะพระเจ้าทรงฝึกวินัยคนที่พระองค์
ทรงรัก และทรงตีสอนคนที่พระองค์ทรง
รับเป็นบุตร จงอดทนต่อความยากลำบาก
โดยถือว่าเป็นการฝึกวินัย พระเจ้า
ทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่เป็นบุตร
มีบุตรคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน?
ฮีบรู 12:8-9 หากท่านไม่เคยรับการฝึกวินัยเหมือนคน
อื่น ๆ เท่ากับท่านเป็นบุตรนอกกฎหมาย
ไม่ใช่บุตรแท้ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ซึ่งตีสอนเรา และเราก็นับถือท่าน ไม่ควรที่เราจะสยบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเรายิ่งกว่านั้นเพื่อเราจะได้มีชีวิตหรือ?
ฮีบรู 12:10 พ่อ ๆ ของเราได้ฝึกวินัยเราในช่วง
เวลาสั้น ๆ ตามที่พวกเขาเห็นว่าดีที่สุด
แต่พระเจ้าทรงฝึกวินัยแก่เราเพื่อประโยชน์ของเรา
เพื่อว่าเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ฮีบรู 12:11 ไม่มีการฝึกวินัยใด ๆ ดูน่าสนุก น่ายินดี
ในเวลานั้น มีแต่ความเจ็บ
แต่ต่อมาภายหลังมันจะส่งผลแห่ง
ความเที่ยงธรรมและสันติสุข
ให้แก่ผู้ที่รับการฝึกจากวินัยเหล่านั้น
ฮีบรู 12:12-13 ดังนั้น จงตั้งใจทำให้แขนที่อ่อนกำลัง
กับเข่าที่อ่อนล้านั้นแข็งแรงขึ้น
จงทำทางให้ราบเรียบสำหรับเท้าของ
ท่าน เพื่อว่าคนง่อยจะไม่กลายเป็น
พิการ แต่ได้รับการรักษาให้หาย
ฮีบรู 12:14
จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสันติกับทุกคน
และอุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์
เพราะถ้าไม่มีความบริสุทธิ์แล้ว
เราไม่อาจเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ฮีบรู 12:15 คอยระวังอย่าให้ใครพลาดที่จะได้รับ
พระคุณของพระเจ้า และ
อย่าให้รากแห่งความขมขื่นงอกขึ้นมา
เพราะจะสร้างความยุ่งยากสับสน
และยังอาจทำให้หลายคนเป็นมลทิน
ฮีบรู 12:16-17 คอยระวังอย่าให้ใครทำผิดศีลธรรมทาง
เพศ หรือเป็นคนไร้พระเจ้าอย่างเอซาวที่ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกอาหารเพียงมื้อเดียว เพราะท่านรู้ว่า ในเวลาต่อมาเมื่อเขาต้องการที่จะได้รับพระพรเป็นมรดกเขาก็ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาพยายามตามหาพระพรนั้นด้วยน้ำตา
ฮีบรู 12:18-19 เพราะท่านไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้ซึ่ง
ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด
ความหมองหม่นและพายุ ไม่ได้มายัง
เสียงแตรดังสนั่น หรือมายังเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินแล้วกลับต้องขอร้องไม่ให้ตรัสกับพวกเขาอีกต่อไป
ฮีบรู 12:20-21 เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจทนคำบัญชาได้
“แม้แต่สัตว์มาแตะต้องภูเขา มันต้องถูกหินขว้างตาย”
ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมาก แม้โมเสสยังกล่าวว่า
“ข้าตัวสั่นเพราะกลัวนัก”
ฮีบรู 12:22 แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านได้เข้ามายังภูเขาศิโยน มายังเมืองของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้เข้ามาถึงทูตสวรรค์จำนวนมากมายที่ไม่อาจนับได้
ฮีบรู 12:23 มาถึงที่ประชุมของบุตรหัวปีผู้ที่มีชื่อบันทึกไว้ในสวรรค์ (1:6). มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง
มาถึงดวงวิญญาณของผู้เที่ยงธรรม ซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์ทุกประการแล้ว(11:40)
ฮีบรู 12:24 มาถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตที่ประพรม ซึ่งได้กล่าวเป็นคำที่ดีกว่าคำแห่งโลหิตของอาเบล
ฮีบรู 12:25 จงระวัง อย่าปฏิเสธพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ เพราะหากประชาชนไม่อาจหนีเมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ในโลกเราจะหนีได้อย่างไร หากเราปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์?
ฮีบรู 12:26 ในเวลานั้นพระสุรเสียงของพระองค์
เขย่าโลกจนสะเทือน
แต่มาบัดนี้พระองค์ทรงสัญญาว่า
“อีกครั้งที่เราจะไม่เพียงเขย่าโลกเท่านั้น แต่จะเขย่าทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”
ฮีบรู 12:27-29 คำ “อีกครั้ง”บ่งถึงการขจัดสิ่งที่สะเทือนได้
นั่นก็คือสิ่งที่ทรงสร้าง เพื่อว่าสิ่งที่ไม่สะเทือนจะดำรงอยู่ ดังนั้นในเมื่อเรากำลังรับราชอาณาจักรที่ไม่สะเทือน ก็ขอให้ใจเราเต็มด้วยการขอบพระคุณ และนมัสการพระเจ้าตามที่ทรงพอพระทัยด้วยความเคารพและเกรงกลัว “เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ”
ฮีบรู 12:1
ผู้เชื่อที่ได้กล่าวมาในบทที่แล้วนั้น เป็นคนที่อาจทำพลาดในชีวิต แต่แล้วการกลับใจของเขาการยอมรับ สารภาพ และการตั้งใจเชื่อและเชื่อฟัง
ของพวกเขา ทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้การสละของที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในความเชื่อ จำเป็นที่สุด นิสัยใจคอที่ต้องทิ้งวาจาที่เคยสามหาว ฯลฯ แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องทิ้งไปต่าง ๆ กัน จากนั้น ก็ตั้งต้นใช้ชีวิตใหม่ด้วยความพากเพียรอดทนเป็นที่สุด
ฮีบรู 12:2
ตัวอย่างจากชีวิตของพระเยซู เป็นตัวอย่างที่เราควรติดตามที่สุด พระองค์ทรงยินดีที่จะรับความทุกข์ยากทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเชื่อ และวางใจ
พระบิดาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับผู้ที่รักพระองค์ การสละพระชนม์ของพระองค์ทำให้ได้การฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และทำให้ผู้เชื่อทุกคนจะ
ได้ไปอยู่ใน เมืองที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง (ฮีบรู 11:10) ถ้าพระเยซูไม่ทรงเชื่อ และเชื่อฟัง พวกเราก็พินาศ
ฮีบรู 12:3
เราได้รับการบันทึกว่า พระเยซูได้อธิษฐานขอให้พระองค์พ้นจากสถานการณ์ร้ายที่จะจบชีวิตของแล้วจากนั้น เมื่อทรงได้รับคำตอบจากพระบิดาพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัย ทรงทำตามน้ำพระทัยพระบิดา ยอมถูกทุรชนทำร้ายและดูหมิ่น เหยียดหยาม และทำกับพระองค์อย่างโหดเหี้ยม (อ่านมาระโก 14-15) การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระเจ้าในเงื้อมมือของคนโหดนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องบอกว่า ไม่ยุติธรรมเลย!
ฮีบรู 12:4-5
ผู้เขียนให้กำลังใจกับพี่น้องชาวยิวว่า พวกเขายังไม่ได้ถูกทำร้ายอย่างพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงมาเป็นมนุษย์ที่ไร้บาป ไม่น่าที่จะมีความทุกข์ยาก การทำร้ายมาถึงพระองค์เลย แต่แล้ว กลับทรงต้องถูกทรมานหลั่งพระโลหิต โดยที่ไม่มีคำออกจากพระองค์ว่า“ไม่รับ จะไม่ทน!” เลยแม้แต่ครั้งเดียวบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง
ฮีบรู 12:6-7
มีคำกล่าวว่า “การไม่ใส่ใจ ไม่สนใจนั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าเกลียดเสียอีก” หากพ่อแม่ ไม่สนใจลูกไม่รู้ว่า ลูกกำลังเป็นอย่างไร ปล่อยให้เขาเติบโตไปด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นพ่อแม่ที่เฉยเมย แต่พ่อแม่ที่รักลูกจะคอยเตือน สั่งสอน ให้วินัยเมื่อลูกพลาดเพื่อเขาจะไม่พลาดต่อไป ดังนั้น เมื่อเราพบความทุกข์ยาก อย่าไปคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัย ลองพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้ได้เรียนรู้จักพระองค์อย่างไรจากเหตุการณ์นั้น
ฮีบรู 12:8-9
หลังจากที่เราได้เกิดใหม่ รับความรอดจากพระเจ้าเราได้รับตำแหน่งว่า เป็นลูกของพระองค์ทันที ดังนั้น เมื่อเข้ามาในครอบครัวใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้ว่า ครอบครัวนี้เขาเป็นอย่างไรกัน อะไรบ้างที่เป็นวัฒนธรรมของครอบครัวนี้ คนทุกคนที่รอดแล้วควรที่จะคาดหวังได้ว่า พระเจ้าจะทรงสอนเราจะทรงบอกเราว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อว่าเราจะเติบโตเป็นที่รัก เป็นคนในครอบครัวแท้จริง การฝึกวินัยจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก!
ฮีบรู 12:10
ว้าว นี่ไง เป้าหมายของการฝึกวินัยของพระเจ้าคือเพื่อให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ภายใต้ความบริสุทธิ์ขององค์พระเยซูคริสต์บางครั้งเราได้ยินเสียงเตือนจากพระเจ้าแต่เราก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วอะไร ๆ ต่าง ๆก็เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อเราจะได้ฟังเสียงของพระองค์ลองเข้าไปดูในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม
โมเสส ดาวิด เปโตร เปาโล ต่างได้รับการฝึกวินัยจากพระเจ้าทั้งสิ้น
ฮีบรู 12:12-13
อีกแล้วที่เราเห็นคำซึ่งใช้กับนักกีฬา พระคำตอนนี้มาจาก อิสยาห์35:3 จงช่วยให้คนอ่อนล้ามีกำลัง…ตรงนี้เป็นพระคำที่หนุนใจให้เราอดทนผ่านความยากลำบากทุกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ความลำบากทุกอย่างของเรา มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เราดีขึ้น และเราต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ขัดขวางการพัฒนาชีวิต
ต้องมุ่งมั่นสร้างทั้งร่างกายจิตใจให้เข้มแข็ง อย่าลืมเรามีชีวิตหลายด้าน จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ
ฮีบรู 12:11
ความสัมพันธ์ของพ่อ ลูกที่แนบแน่นนั้นคือ พ่อสามารถมองไปไกลในอนาคตว่า ถ้าลูกไม่พร้อมในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ลูกอาจจะผิดหวัง อาจพลาดไปได้ พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตของพวกเราชัดว่า จะพบเจออะไร จะต้องชนะศึกในชีวิตแบบไหนบ้าง พระองค์ทรงฝึกเราอย่างฝึกนักกีฬา ซึ่งต้องมีการเอาชนะตัวเองทุกวัน เราจึงจะได้รับผลอย่างที่ต้องการ … ฝึกให้ชนะ และรับผลที่ดีเลิศ
ฮีบรู 12:14
ผู้เขียนได้ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสันติสุขกับคนรอบข้าง การที่เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีสันติก็ต้องเป็นคนที่เติบโต เข้าใจชีวิต ไม่ใช่มีความคิดร้ายต้องการให้อีกฝ่ายตกต่ำ หรือ เสียหาย และทำให้เกิดสงครามอย่างที่เราเห็นในยูเครน และในกาซา อิสราเอล แค่มีชีวิตอย่างสันติด้วยกันยังไม่พอ พระเยซูตรัสว่า เมื่อเรารักกันและกัน และยังต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อกัน ต่อพระเจ้า ไม่คิดทางลบใด ๆ กับพี่น้องของเรา
ฮีบรู 12:15
ถ้าเรามาพบพระเจ้าแล้ว และยังพลาดที่จะได้รับความรอด รับพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิต เพราะมันส่งผลในชีวิตนิรันดร์กาลของเราด้วย อีกเรื่องคืออย่าให้เรามีรากขมขื่น ซึ่งเป็นสิ่งร้ายจากคนอื่นที่อาจจะเกิดกับเราแล้วเราไม่สามารถยกโทษให้จนกลายเป็นรากขมขื่น หรืออาจจะเกิดจากสิ่งที่พลาดในอดีตไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ เหล่านี้จะส่งผลออกมาเป็นพฤติกรรมที่ทำลายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
ฮีบรู 12:16-17
มีสองเรื่องสำคัญในตอนนี้ คือ ให้ระวังการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่พระคัมภีร์เฝ้าบอกแล้วบอกอีก การทำผิดต่อร่างกายของตนเองและของคนอีกคนนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อคนสองคนเท่านั้น แต่ส่งผลร้ายให้กับครอบครัว และคนรอบข้างด้วย ส่วนเอซาวที่ถือว่าผิดหนักก็เพราะว่า เขาดูหมิ่นสิทธิหัวปีของเขาเอง เป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานให้กับลูกชายหัวปีเท่านั้น เขายอมที่จะแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควรเลย ปฐมกาล 25:24-33
ฮีบรู 12:18-19
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน คนอิสราเอลพบพระเจ้าแบบตรงไปตรงมา พบกับความมหัศจรรย์ที่น่ากลัวของพระเจ้า อ่านอพยพ 20:18–21; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:22–33พระเจ้าทรงอยู่ในที่ ๆ มีเสียงดังสนั่น ซึ่งน่าจะเป็นเหมือนฟ้าคำรามที่ต่อเนื่อง พร้อมกับฟ้าแลบ ยังมีเสียงแตรด้วยมากับควันโขมงบนภูเขา ไม่ให้กลัวได้อย่างไร น่ากลัวมาก แต่พระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลในฮีบรูนี้ ไม่ได้น่าสะพรึงขนาดนั้น
ฮีบรู 12:20-21
ในวันนั้น ประชาชนถูกกำหนดให้อยู่รอบนอกของเขตที่กำหนดไว้ ใครจะเข้าไปใกล้เกินกว่านั้น จะถูกหินขว้างหรือยิงให้ตาย (อพยพ 19:12-13)พระเจ้าทรงน่ากลัวแต่เราในทุกวันนี้กลับไม่กลัวและไม่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ พระเจ้าให้โมเสสกำชับประชาชนให้ไม่ล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า (ข้อ21)สิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับคนทั้งหลายที่อยู่รอบ ๆภูเขาซีนายคือ พอโมเสสกราบทูลพระเจ้า พระองค์ทรงตอบเป็นเสียงดั่งฟ้าร้องคำราม ดังสนั่นแบบที่ ลำโพงใด ๆ ในโลกไม่อาจเทียบได้!
ฮีบรู 12:22
ภูเขาศิโยน มีความหมายแตกต่างจากภูเขาซีนายเพราะมีความหมายถึงที่ประทับของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ (ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงภูเขาศิโยนแห่งนครเยรูซาเล็ม) เป็นสถานที่ซึ่งรอรับคนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครอาจทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยการทำตามกฎที่ได้มาจากภูเขาซีนายเลย แต่คนที่เข้ามาหาพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์ จะเข้ามาถึงภูเขาศิโยนในแผ่นดินสวรรค์ได้
ฮีบรู 12:23
การรับพระบัญญัติของสมัยก่อน กับการรับพระคุณหลังจากที่องค์พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้วมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งเราจะได้เห็นว่าสมัยพระบัญญัติมีแต่ความเข้มงวด ที่สั่งให้มนุษย์กระทำตามสิ่งที่พวกเขาทำได้บ้าง และทำไม่ได้บ้างพวกเขามีความผิดพลาดกเกิดขึ้นทุกเวลาแต่เมื่อพระเยซูมาเปลี่ยนแปลงชีวิต บรรยากาศแบบเดิมก็เปลี่ยนแปลง แทนที่จะเป็นทาสของบทบัญญัติ กลับเป็นเสรีชนในพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 12:24
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างไมตรี ความเชื่อมต่อให้เกิดขึ้น ดังนั้นมนุษย์บาปจึงสามารถเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ผ่านพระองค์ ใน 11:4 กล่าวว่า อาเบลยังพูดอยู่ แม้ว่าตายแล้วอาเบลหลั่งเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ (ปฐมกาล 4:8) ดังนั้นเลือดของเขาจึงร้องขอการชดเชย แต่พระเยซูทรงสละพระชนม์ด้วยเต็มพระทัย และได้ช่วยเหลือมนุษยชาติจากโทษบาป พระโลหิตจึงดังและเด่นเหนือเลือดเอเบล
ฮีบรู 12:25
การฟังหรือไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้านั้น เป็นการเลือกจากใจของเราเอง ดังนั้น เราคือคนตัดสินใจว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร พวกพี่น้องหลายคนกำลังถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาอาจจะคิดกลับไปอยู่ในศาสนายิวเหมือนเดิมแทนที่จะติดตามพระเจ้า ผู้เขียนเป็นห่วงที่พี่น้องจะกลับไปตามความเท็จแทนที่จะติดตามความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์ !
ฮีบรู 12:26
เมื่อครั้งก่อน กว่าจะได้พระบัญญัติมา พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านพายุ ไฟ ความมืด โลกที่สั่นสะเทือน แต่พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนอย่างน่าสะพรึงยิ่งนัก หากเราดูฮีบรู 10:26 พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราตั้งใจทำบาปต่อไป ฮีบรู 2:4เตือนว่า หากเราละเลยความรอดยิ่งใหญ่ เราจะหนีรอดตายไปได้อย่างไร ในข้อนี้ ผู้เขียนยังคงให้เราตัดสินใจให้ดี (ฮักกัย 2:6)
ฮีบรู 12:27-29
การที่เราจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้ามีพระองค์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ อาณาจักรของพระองค์ถาวรยั่งยืน ไม่สะเทือนสะท้านต่อสิ่งใด สิ่งที่เราสมควรจะตอบสนองพระองค์คือ ใจขอบพระคุณ และการนมัสการพระองค์สมกับที่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เรียนรู้ที่จะเคารพและยำเกรงพระเจ้าของเรา อย่าคิดว่าทำอะไรผ่าน ๆ ก็โอเคแล้ว ..พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงร้อนแรง!
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:8 ; 1โครินธ์ 9:24 ; โรม 12:12
2* ลูกา 24:26; สดุดี 68:18; 69:7, 19; ฟิลิปปี 2:8; สดุดี 110:1
3* มัทธิว 10:24; กาลาเทีย 6:9
4* 1โครินธ์ 10:13
5* สุภาษิต 3:11-12
6* วิวรณ์ 3:19
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:5; สุภาษิต 13:24; 19:18; 23:13
8* 1 เปโตร 5:9
9* โยบ 12:10
10* เลวีนิติ 11:44
11* ยากอบ 3:17-18
12* อิสยาห์ 35:3
14* สดุดี 34:14; มัทธิว 5:8
15* ฮีบรู 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:18
16* 1โครินธ์ 6:13-18; ปฐมกาล 25:33
17* ปฐมกาล 27:30-40
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:11; 5:22
19* อพยพ 20:18-26
20* อพยพ 19:12,13
21* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:19
23* ยากอบ 1:18; ลูกา 10:20; สดุดี 50:6; 94:2; ฟีลิปปี 3:12
24* ฮีบรู 8:6; 9:15; อพยพ 24:8; ปฐมกาล 4:10
25* ฮีบรู 2:2, 3
26* ฮักกัย 2:6
27* อิสยาห์ 34:4; 54:10; 65:17
28* ดาเนียล 2:44; ฮีบรู 13:15, 21
29* อพยพ 24:17
ฮีบรู 11 ความเชื่อที่จะเดินตาม
ฮีบรู 11:1-2 นี่แน่ะ ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และเป็นความมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น คนสมัยโบราณได้รับการชมเชยจากพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ
ฮีบรู 11:3 เราเองเข้าใจโดยความเชื่อว่า เอกภพนี้
ถูกสร้างขึ้นโดยพระดำรัสของพระเจ้า
ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ฮีบรู 11:4 โดยความเชื่อ อาแบลได้ถวายเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่อ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อพระเจ้าทรงชมเชยเครื่องถวายของเขา โดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้ง ๆ ที่เขาตายไปแล้ว
ฮีบรู 11:5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป
เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องพบความตาย “ไม่มีใครพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป เพราะก่อนที่เขาจะถูกรับไปนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ฮีบรู 11:6 ถ้าไม่มีความเชื่อ นั่นคือจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยไม่ได้เลยเพราะใครก็ตามที่จะเข้ามาใกล้พระองค์
นั้น ต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานรางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์
ฮีบรู 11:7 โดยความเชื่อ โนอาห์ ได้สร้างนาวาใหญ่
เพื่อช่วยให้ครอบครัวรอดพ้น เมื่อได้รับการเตือนถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็น โดยความเชื่อท่านได้กล่าวโทษโลกและ
ได้มาเป็นทายาทแห่งความเที่ยงธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ
ฮีบรู 11:8โดยความเชื่อ อับราฮัม ได้เชื่อฟัง
และเดินทางไปเมื่อได้รับการทรงเรียกให้ไป
ยังที่ซึ่งท่านจะได้รับเป็นมรดกในเวลาต่อมา
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
ฮีบรู 11:9-10 โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาในฐานะคนแปลกหน้าซึ่งอาศัยในต่างแดน ท่านอาศัยในเต็นท์ทั้งอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทร่วม
พระสัญญาเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นเพราะท่านตั้งตาคอยเมืองที่มีฐานรากที่พระเจ้าเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง
ฮีบรู 11:11-12 โดยความเชื่อ ซาราห์ ได้รับฤทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ แม้ว่าเธอเลยวัยเจริญพันธุ์มาแล้ว เพราะเธอเชื่อว่าพระเจ้าผู้ให้สัญญาทรงซื่อตรง ดังนั้น จากชายคนเดียวที่
เป็นดั่งบุรุษที่ตายแล้วกลับมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากราวกับดาวบนท้องฟ้าและนับไม่ถ้วนดั่งทรายบนชายหาด
ฮีบรู 11:13-14 โดยยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
แต่พวกเขาเห็นและยอมรับสิ่งนั้นแต่ไกลและพวกเขาตระหนักว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนต่างแดนในโลกคนที่พูดอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองของเขาเอง
ฮีบรู 11:15-16 หากพวกเขาได้คิดถึงเมืองที่จากมา พวก
เขาคงมีโอกาสกลับไปได้แต่พวกเขากลับปรารถนาเมืองที่ดีกว่าคือเมืองสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงละอายที่เขาเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าของพวกเขา เพราะทรงเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว
ฮีบรู 11:17-18 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมถูกทดสอบ
ให้ถวายอิสอัคบนแท่นบูชาท่านเป็นผู้ที่ได้รับคำสัญญา ก็พร้อมที่จะถวายลูกชายคนเดียว คนเดียวเท่านั้นแม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค”
ฮีบรู 11:19 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า“เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค” อับราฮัมมั่นใจว่า พระเจ้าทรงทำให้คนตายฟื้นขึ้นได้ กล่าวได้อีกอย่างก็คือท่านได้รับอิสอัคคืนมาจากความตาย
ฮีบรู 11:20-21 โดยความเชื่อ อิสอัคได้อวยพรยาโคบ
และเอซาวสำหรับอนาคตของทั้งสองโดยความเชื่อ ขณะที่ใกล้จะสิ้นชีวิตยาโคบได้อวยพรลูกชายแต่ละคนของ
โยเซฟและนมัสการพระเจ้าในขณะที่เอนตัวลงพิงไม้เท้าของท่าน
ฮีบรู 11:22 โดยความเชื่อ ขณะที่ความตายใกล้เข้ามา
โยเซฟได้กล่าวถึงการอพยพของชนอิสราเอลจากอียิปต์ และกำชับสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
ฮีบรู 11:23 โดยความเชื่อ พ่อแม่ของโมเสสได้ซ่อนท่านไว้สามเดือนหลังจากเกิดเพราะเขาทั้งสองเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่งดงามและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย
ฮีบรู 11:24-25 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเรียกว่าเป็นโอรสของธิดาฟาโรห์
ท่านเลือกที่จะทนทุกข์กับคนของพระเจ้า แทนที่จะเพลินไปกับความสำราญจากบาปชั่ว
ฮีบรู 11:26-27 ท่านเห็นคุณค่าของการทนทุกข์เพื่อ
พระคริสต์เหนือทรัพย์สมบัติของอียิปต์ ท่านมองไปข้างหน้าเห็นรางวัลที่จะได้รับโดยความเชื่อ โมเสสละจากอียิปต์โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์อียิปต์ ท่านพากเพียร บากบั่น เพราะท่านเห็นพระองค์ผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้
ฮีบรู 11:28 โดยความเชื่อ ท่านรักษาพิธีปัสกา และการประพรมเลือดเพื่อว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ประหารบุตรหัวปีจะไม่แตะต้องลูกชายหัวปีของชนอิสราเอล
ฮีบรู 11:29 โดยความเชื่อ
ประชาชนเดินผ่านทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามตามพวกเขามา ก็กลับจมน้ำตาย
ฮีบรู 11:30 โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังทลายลง!หลังจากที่ประชาชนได้เดินแถวรอบ ๆ เมืองเจ็ดวัน
ฮีบรู 11:31โดยความเชื่อ ราหับ หญิงโสเภณี จึงไม่ถูกสังหารไปพร้อมกับคนที่ไม่เชื่อฟังเพราะเธอได้ต้อนรับสายสืบอิสราเอลด้วยไมตรี
ฮีบรู 11:32-33 จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกเล่า?
ไม่มีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องของกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอลและเหล่าผู้เผยพระดำรัส พวกเขาได้พิชิตอาณาจักรต่าง ๆ โดยความเชื่อ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากของสิงโต
ฮีบรู 11:34 ได้ดับเปลวไฟที่ไหม้เผาผลาญและหนีจากคมดาบ ได้รับกำลังแม้ว่าจะอ่อนแอ กลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญในการสู้รบ และทำให้กองทัพชาวต่างชาติต้องแตกพ่ายหนีไป
ฮีบรู 11:35 พวกผู้หญิงได้รับคนที่ตายไปแล้วคืนมา
พวกเขาฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนก็ถูกทรมานและไม่ยอมถูกปล่อยออกมาเพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการฟื้นคืนชีวิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ฮีบรู 11:36-37 ยังมีคนอื่นที่ยอมทนการเยาะเย้ย การ
โบยตี และบางคนถูกล่ามโซ่และจำจองพวกเขาถูกหินขว้าง พวกเขาถูกเลื่อยสองท่อน พวกเขาตายด้วยคมดาบ
พวกเขาสวมหนังแพะหนังแกะเร่ร่อนไปสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหง และถูกทารุณกรรม
ฮีบรู 11:38
โลกนี้ไม่ดีพอสำหรับพวกเขาพวกเขาเร่ร่อนไปตามแผ่นดินกันดาร ตามภูเขาและซ่อนตัวในถ้ำตามโพรงใต้ดิน
ฮีบรู 11:39-40 พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพราะความเชื่อของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญา
พระเจ้าได้ทรงเตรียมสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราเพื่อว่า พวกเขาจะได้รับการทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมไปพร้อม ๆ กับเรา
ฮีบรู 11:1-2
ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นที่มีความเชื่อ คนทุกคนที่มีความเชื่อในพระของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดต่างก็มีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น แล้ว
ความแตกต่างอยู่ตรงไหนกันล่ะ? คริสเตียนเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเราในพระคัมภีร์ หลายอย่างที่เชื่อ ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่อาจล้มล้างสิ่งที่เราเชื่อได้เช่นกัน เช่นบางคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเจ้า!!
ฮีบรู 11:3
คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัส ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาทราบจากพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกพระดำริ พระดำรัสของ
พระองค์ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกเราทุกอย่างบางอย่างเรารู้ไม่ได้ เพราะสมองความเข้าใจของเราไปไม่ถึง แต่เราเชื่อพระองค์ได้ในทุกคำที่ตรัส
แก่เรา ผู้ที่ไม่เชื่อ มีความเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ เชื่อคำสอนต่าง ๆ ที่เขาคิดว่าให้ประโยชน์แต่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง
ฮีบรู 11:4
เราเห็นแล้วว่า ความเชื่ออันเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าอยู่ที่เราเชื่อในพระดำรัสของพระองค์เรื่องที่กล่าวถึงอยู่ในหนังสือปฐมกาล 4:2-16พี่ชายน้องชายเอาของมาถวายแต่พระเจ้า พี่ชายเอาพืชมา ส่วนน้องชายเอาสัตว์ที่ต้องหลั่งเลือดมาต่อพระพักตร์ และพระเจ้าทรงรับของน้องชาย เราคงสงสัยว่าทำไมหรือ? เป็นเพราะการถวายของอาเบลน้องชายนั้น กำลังสื่อถึงการที่พระเจ้าจะทรงลงมาหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปของมนุษย์
ฮีบรู 11:5
พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อเอโนคอายุ 65 ปีท่านมีลูกชาย หลังจากนั้นก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี มีลูกชายหญิงอีกหลายคน เอโนคดำเนินกับพระเจ้าแล้วหายหน้าไปเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป(ปฐมกาล 5:21-24) มีหลายคนในพระคัมภีร์เดินไปกับพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย
แต่ไม่มีใครได้ไปอยู่กับพระเจ้าเจ้าโดยไม่ผ่านความตายเหมือนเอโนค ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทิ้งชีวิตที่มีครอบครัวไปอยู่คนเดียว เขาเดินกับพระองค์
อย่างไรกัน?
ฮีบรู 11:6
นี่เป็นคำตอบหนึ่งว่าชีวิตของเอโนคเป็นเช่นไรเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ เขาติดสนิทกับพระองค์ เขาใกล้ชิดพระองค์ และรางวัลที่เขาได้รับนั้นก็แตกต่างจากใคร ๆ พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ย้ำเตือนเราว่า เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าแบบนับถือศาสนา แต่เราเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นความเชื่อในปัจจุบัน เราจึงเดินไปกับพระองค์ ทุ่มเทแสวงหาพระองค์ไม่ใช่มีชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่มีการพัฒนาวิญญาณ
ฮีบรู 11:7
เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือนั้น ยังไม่มีวี่แววว่า เรือจะลงน้ำที่ไหน เขาสร้างบนพื้นที่แห้งคำสั่งของพระองค์นั้นดูเหมือนไม่เข้าท่าเอาเลย เขาต้องสร้างเรือที่ใหญ่มาก ไม่มีทางที่จะลากไปยังทะเลเลยด้วยซ้ำ แต่การกระทำของโนอาห์กลับกลายเป็นการกล่าวโทษโลก ทำไมหรือ?
นั่นคือ เขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เดินตามความพอใจของสังคมที่เขาอยู่ คนที่เข้ามาเยาะเย้ยเขา ในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงพิพากษา
ฮีบรู 11:8
ความเชื่อขั้นแรกของอับราฮัมคือ ท่านเริ่มรับคำบัญชาจากพระเจ้า ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนและเดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เป็นแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาที่ให้พวกเขาสร้างไม่แค่ครอบครัวแต่สร้างชนชาติหนึ่ง เขาไม่รู้ว่า ผลจะออกมาในรูปใด แต่ท่านก็เชื่อพระเจ้าทั้งที่ไม่รู้ว่า พระสัญญา
จะสำเร็จหรือไม่ แต่เขาเชื่อพระองค์ไปแล้วและพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ทรงบัญชา
ฮีบรู 11:9-10
ต่อมาอับราฮัมอาศัยในแผ่นดินโดยไม่สร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐาน เขาอาศัยในเต็นท์ฐานะคนต่างแดน รวมทั้งอิสอัคและยาโคบ จริงแล้ว เราไม่ได้ต่างจากเขาเหล่านี้ เพราะโลกเป็นเพียงทางผ่านของเรา ไม่ใช่ที่ ๆ เราจะอยู่เป็นนิรันดร์ เรารอคอยจะอยู่ในบ้านเมืองที่พระเยซูทรงเตรียมให้ (ดู
ยอห์น 14) นี่เป็นความเชื่อของเราว่า วันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าตลอดไป
ฮีบรู 11:11-12
ที่เราอ่านมา เราเห็นชัดว่าความเชื่อตามมาด้วยการกระทำตามความเชื่อที่พระเจ้าทรงสำแดงที่จริง ตอนแรกซาราห์ยังหัวเราะกับคำสัญญาของ
พระเจ้าที่จะให้เธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตรให้อับราฮัม ก็ยากที่จะเชื่อเพราะว่า เธออายุมากแล้ว อับราฮัมก็เหมือนคนตายแล้วเพราะชราขนาด
นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร แต่แล้ว เมื่อทั้งสองเชื่อพระเจ้า เหตุการณ์ก็เป็นจริงอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ ลูกหลานมากมายเหลือเชื่อ!
ฮีบรู 11:13-14
ผู้เขียนกำลังย้ำให้เรารู้จัก และเข้าใจคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าว่า พวกเขายังคงเชื่อทั้งที่ยังมีการทดลองใจให้ไม่เชื่อ อย่างเช่นการที่ถูกผู้คนเยาะตอนที่โนอาห์สร้างเรือบนดินแห้ง การที่อับราฮัมและซาราห์ต้องรอนานมาก ก่อนจะมีลูกชายอิสอัคพวกเขายังเชื่อทั้งที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ถูกลองใจ เป็นความเชื่อทางบวกที่ข้ามอุปสรรคทั้งปวง และเราเองก็ต้องเผชิญการทดลองที่ทำให้หมดความเชื่อ แต่เราต้องเชื่อในพระสัญญาต่อไป
ฮีบรู 11:15-16
หากเรารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ ๆ ของเรา เราจะไม่กังวลอะไรมากมายนัก เรารู้ว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานแบบว่าจะไม่จากโลกนี้ไป เห็นไหมว่า
แม้ในปัจจุบัน ยังมีคนที่อยากเป็นอมตะ ไม่ต้องการสิ้นชีวิต และบางคนก็เก็บบางส่วนของตนไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำจนสามารถเอา
เซลที่เขาเก็บไว้มาทำให้เขาเกิดมีชีวิตขึ้นมาอีกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตนิรันดร์จึงมักไม่กลัวความตาย
ฮีบรู 11:17-18
อิสอัคเป็นคนเดียวที่ถือว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่จะสืบเชื้อสายของอับราฮัมที่จะเป็นชนชาติยิว ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดในวงศ์วานของเขาอิชมาเอลไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ดังนั้นอิสอัคจึงถูกเรียกว่า เป็นลูกชายคนเดียว…ในวันที่พระเจ้าทรงสั่งให้เขาไปถวายอิสอัคเหมือน
กับถวายแกะบูชานั้น เขาคงสับสน คงแปลกใจกับคำสั่งของพระเจ้า ถึงกระนั้น เขาก็ทำตามคำบัญชาของพระองค์
ฮีบรู 11:19
ที่อับราฮัมยอมเป็นเพราะเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงวางแผนให้อิสอัคเป็นลูกชายที่จะส่งต่อเชื้อสายของเขาจนมีลูกหลานเต็มเหมือนดาวบนท้องฟ้า ดังนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้ถวายบูชาลูกชาย เขาก็ต้องฟื้นจากความตายโดยฤทธิ์ของพระเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่มีวันที่พระองค์จะผิดคำสัญญา ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าที่แปลกมากเขาจึงเชื่ออย่างไม่มีใจสงสัย..
ฮีบรู 11:20-21
อิสอัคได้อวยพรแก่เอซาวและยาโคบสลับตัวกันแทนที่พี่ชายจะได้รับพรของลูกชายคนโต กลับกลายเป็นของน้องชาย แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการ
กล่าวในเวลานี้คือ อิสอัคมองเห็นอนาคตข้างหน้าว่าครอบครัวของเขาจะใหญ่โตเพียงไร เขาเชื่อตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ และพอมาถึงรุ่น
หลาน ยาโคบอวยพรอีก แม้ว่าจะแก่เฒ่ามากในเวลานั้น แต่ยาโคบก็ไม่ได้ขาดความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงจัดการอนาคตให้หลาน ๆ ของเขา
ฮีบรู 11:22
เมื่ออายุหนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟสั่งให้คนที่จะกลับไปยังแผ่นดินคานาอันที่ครอบครัวจากมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรในอนาคต ก็ขอเอาศพเขากลับไปด้วย
ปฐมกาล 50 โยเซฟเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลกลับไปอีก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน แต่โยเซฟมีความเชื่อ แน่นอนที่ความเชื่อของทั้งปู่ทวดอับราฮัมปู่อิสอัค และพ่อยาโคบ ได้ส่งต่อลงมายังโยเซฟและความเชื่อนั้นก็ส่งต่อมาจนทุกวันนี้
ฮีบรู 11:23
พ่อ แม่ของโมเสสต้องเผชิญกับคำสั่งของผู้มีอำนาจให้กำจัดชีวิตของลูกชาย แต่ทั้งสองกลับไม่กลัวคำสั่งนั้น หาวิธีที่จะให้ลูกชายมีชีวิตอยู่
ผู้เขียนได้กล่าวชื่อของโมเสสหลายครั้ง ความเชื่อของพ่อแม่โมเสสในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เชื่อว่าลูกจะรอดชีวิต แต่เชื่อว่า พระเจ้าจะส่งให้เขาและลูก
ผ่านการกดขี่ของฟาโรห์ไปได้ด้วย เป็นความเชื่อที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่ยากเย็น และพระเจ้าก็ทรงพลิกชีวิตของโมเสสให้ไปอยู่ในวังฟาโรห์!
ฮีบรู 11:24-25
โมเสสเติบโตขึ้นมาโดยรู้ภูมิหลังของตนเองเป็นอย่างดี เพราะคนที่เลี้ยงดูเขามาในวังของฟาโรห์คือแม่ของเขาเอง เป็นแม่ที่จะส่งต่อความเชื่อใน
พระเจ้าให้กับเขา ส่งต่อความรักในชนชาติของตนให้กับเขาด้วย ตอนที่เขากำลังเป็นหนุ่มแน่น โมเสสได้เลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนอิสราเอล แทนที่จะ
เสวยสุขสบาย ๆ ในวัง แทนที่จะกลายเป็นผู้ปกครองในฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ เขาเข้าไปคลุกคลีกับพี่น้อง… และรับผลร้ายที่ต้องยอมรับ
ฮีบรู 11:26-27
โมเสสต้องหนีจากราชวังของฟาโรห์ ไปอยู่ในถิ่นกันดารมีเดียน นี่เป็นการพลิกชีวิตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เกิดเรื่องขึ้น โมเสสจะต้อง
วางใจพระเจ้าให้ปกป้องชีวิตของเขาให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือฟาโรห์ น่าแปลกที่ผู้เขียนได้ย้ำชัดว่าโมเสสได้เห็นพระเจ้าผู้ไม่อาจมองเห็น เราเข้าใจว่าท่านได้สัมผัสกับพระเจ้าแห่งอิสราเอลตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเจอปัญหาใหญ่ในวัยหนุ่มกับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์
ฮีบรู 11:28
ต่อมาเมื่อโมเสสต้องนำประชากรอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านก็ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชา ท่านช่วยให้คนอิสราเอล
ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใจเมื่อเผชิญกับวิบัติครั้งสุดท้ายของอียิปต์ ท่านปกป้องลูกชายคนโตของคนอิสราเอลโดยสั่งให้ทุกคนทาเลือดแกะไว้
ที่ประตู เป็นการแจ้งให้ทูตสวรรค์ได้รู้ว่า พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่คนอียิปต์ และจะผ่านครอบครัวนั้น ๆ ไม่แตะต้องชีวิตลูกชายคนโต
ฮีบรู 11:29
ต่อมาเราได้เห็นความเชื่อที่เป็นความเชื่อชุมชนไม่ใช่เป็นคน ๆ เดียวต่อไป เมื่อคนอิสราเอลเห็นการปกป้องชีวิตจากวิบัติสุดท้าย พวกเขาก็มี
ความเชื่อมากขึ้น ในขณะที่หนีออกจากอียิปต์นั้นเอง ข้างหน้าของพวกเขาคือทะเล แต่พระเจ้าทรงเปิดทะเลให้พวกเขาเดินไปได้ ในวันนั้น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จะมีคนบ่นกลัว แต่แล้ว พวกเขาก็ยอมที่จะเชื่อพระเจ้าแล้วเดินลงไปในก้นทะเลที่แห้งแข็งพอที่จะเดินผ่านไปได้
ฮีบรู 11:30
เมื่อคนอิสราเอลพร้อมใจกันที่จะเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาก็พบว่า สามารถที่จะเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีทั้งความเชื่อและ
ส่งผลออกมาเป็นความเชื่อฟังลงมือทำตามที่เชื่อนั้น ที่อิสราเอลยังคงมีชาติอยู่ในทุกวันนี้ถึงแม้มีความพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ยิวให้สิ้นซาก
ก็เพราะพระสัญญาของพระเจ้าและเป็นเพราะเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อในพระสัญญานิรันดร์ที่มีต่อชนชาติของเขา จึงลงมือทำและได้ผล
ฮีบรู 11:31
ความเชื่อของราหับ หญิงต่างชาติที่เป็นหญิงโสเภณี ยังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าอย่างที่ไม่มีใครจะคาดได้เลย พระองค์ทรงไว้ชีวิตของ
เธอในขณะที่คนอื่นถูกสังหาร ที่พระเจ้าทรงไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนดีเพียบพร้อม แต่เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อมั่น
ในพระองค์ แม้ว่าราหับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในพันธสัญญา แต่เธอกลับเชื่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่าจะปกป้องเธอไว้
ฮีบรู 11:32-33
จะเห็นได้เลยว่า เหล่าคนที่ผู้เขียนฮีบรูได้เรียงรายชื่อมาเหล่านี้ ต่างสำเร็จในความเชื่อในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นกิเดโอน (ผู้วินิจฉัย 6-8)ได้มีชัยชนะในสงครามแม้ตัวเองมีทหารน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่น่าเชื่อ คนที่ปิดปากสิงโตก็มีทั้งดาเนียล (ดาเนียล 6:16-28) แซมสัน (ผู้วินิจฉัย 14:5-6) รวมทั้งดาวิดด้วย (1ซามูเอล 17:34-37) ทั้งหมดนี้ เขาชนะในสถานการณ์ลำบากเพราะเขาเชื่อพระเจ้า
ฮีบรู 11:34
วีรบุรุษของพระเจ้าเหล่านี้กล้าหาญได้เพราะเขามีพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิต ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับไฟทั้งที่ไม่อยากจะยุ่ง แต่พวกเขาก็เชื่อจนกระทั่งกษัตริย์ ที่ส่งเขาเข้ากองไฟ กลับได้เห็นพระบุตรของพระเจ้าในกองไฟนั้น คือ เพื่อนของดาเนียลทั้งสามคน (ดาเนียล 2:49-3:30) ส่วนผู้ที่หนีจากคมดาบ ด้วยความเชื่อนั้นก็อย่างเอลียาห์ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 19:2) เป็นต้น คนที่ตัวเล็ก แต่สามารถโค่นโกลิอัทลงได้ก็คือดาวิดนั่นเอง (1 ซามูเอล 17)
ฮีบรู 11:35 ผู้หญิงที่ได้รับคนตายคืนมานั้น ก็มีตัวอย่างอยู่ในชีวิตของเอลียาห์ที่ช่วยทำให้ลูกชายของหญิงม่ายเมืองเศราฟัทฟื้นขึ้นมา ( 1 พงศ์กษัตริย์ 17:17-24 ) และเอลีชาที่ทำให้ลูกชายของหญิงชาวเมืองชูนัม… ฟื้นคืนมา ( 2 พงศ์กษัตริย์ 4:18-37)บางคนก็เสียชีวิตของเขาไปเพื่อวันหนึ่งด้วยความเชื่อ เขาจะได้คืนชีวิตขึ้นมากับพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 11:36-37
คนที่เป็นยิวแล้วกลับมาเชื่อพระเยซูถูกเยาะเย้ยถูกปฏิเสธจากครอบครัว ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปเพราะเชื่อพระเยซูนั้นก็มีมากจนแม้กระทั่งทุกวันนี้
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ของผู้เชื่อที่ถูกหินขว้างนั้นอย่างเช่น สเทเฟน คนที่ถูกเลื่อยสองท่อนนั้นก็อย่างเช่นอิสยาห์ และเยเรมีย์ (ตามประวัติศาสตร์นอกพระคัมภีร์ มีการเล่าต่อกันมาว่าท่านทั้งสองตายจากการสั่งประหารด้วยให้เลื่อยตัวขาดสองท่อน)
ฮีบรู 11:38
ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าในสมัยโบราณอย่างเอลียาห์ เอลีชา พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างสบาย แต่กลับต้องเผชิญกับชีวิตที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังเชื่อต่อไป ถ้าจะคิดถึงคนที่ซ่อนตัวตามภูเขา ซ่อนตามถ้ำ เราก็นึกถึงดาวิดที่ต้องหนีจากซาอูลในช่วงแรกของชีวิตดาวิดต้องหลบหนีกษัตริย์ซาอูลอย่างเสียเปรียบเพราะดาวิดจะไม่ทำร้ายซาอูลเลย และในที่สุดท่านก็ได้รับตามสัญญา
ฮีบรู 11:39-40
ความยากลำบากที่ผู้เขียนได้บรรยายมานั้น ก็เพื่อหนุนใจให้พี่น้องผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ยากไม่ว่าใน
รูปแบบใดก็ตาม เพราะว่า พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งดีกว่าไว้ให้ ตอนที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น เราอาจตกใจ เป็นทุกข์ รู้สึกจนมุมจนแทบไปต่อไม่ได้ แต่.. พระสัญญาของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยให้เรายืนขึ้นมาได้อีกครั้ง
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 8:24
3* สดุดี 33:6
4* ปฐมกาล 4:3-5; ฮีบรู 12:24
5* ปฐมกาล 5:21-24
7* ปฐมกาล 6:13-22; 1เปโตร 3:20; โรม 3:22
8* ปฐมกาล 12:1-4
9* ปฐมกาล 12:8; 13:3, 18; 18:1, 9; ฮีบรู 6:17
10* ฮีบรู 12:22; 13:14
11* ปฐมกาล 17:19; ฮีบรู 10:23
12* โรม 4:19; ปฐมกาล 15:5; 22:17; 32:12
13* ฮีบรู 11:39; ปฐมกาล 12:7; ยอห์น 8:56; สดุดี 39:12
14* ฮีบรู 13:14
15* ปฐมกาล 11:31
16* อพยพ 3:6, 15; 4:5; วิวรณ์ 21:2
17* ยากอบ 2:21
18* ปฐมกาล 21:12
19* โรม 4:17
20* ปฐมกาล 27:26-40
21* ปฐมกาล 48:1,5,16,20
22* ปฐมกาล 50:24-25
23* อพยพ 2:1-3; 1:16,22
24* อพยพ 2:11-15
26* ฮีบรู 13:13; โรม 8:18
27* อพยพ 10:28
28* อพยพ 12:21
29* อพยพ 14:22-29
30* โยชูวา 6:20
31* โยชูวา 2:9; 6:23; 2:1
32* วินิจฉัย 6:11; 7:1-25; 4:6-24; 13:24-16:31; 11:1-29;12:1-7; 1ซามูเอล 16; 17; 1 ซามูเอล 7:9-14
33* ดาเนียล 6:22
34* ดาเนียล 3:23-28
35* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:22; กิจการ 22:25
36* ปฐมกาล 39:20
37* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:13; 2 1 พงศ์กษัตริย์ 1:8; เศคาริยาห์ 13:4
38* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:4, 13; 19:9
39* ฮีบรู 11:2,13
40* ฮีบรู 5:9
ฮีบรู 10 มีชีวิตโดยความเชื่อ
ฮีบรู 10:1 บทบัญญัตินั้น เป็นเพียงเงาของสิ่งดีที่จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นบทบัญญัติจึงไม่อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อนมัสการนั้น บริสุทธิ์เพียบพร้อมได้ด้วยเครื่องบูชาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า
ฮีบรู 10:2-3 เพราะหากเครื่องบูชาชำระบาปได้ เขาก็ควรหยุดถวายเครื่องบูชาไปแล้วเพราะผู้ที่มานมัสการคงได้รับการชำระครั้งเดียวจบ จะไม่รู้สึกผิดกับบาปของพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นการเตือนให้คิดถึงบาปอยู่ทุกปี
ฮีบรู 10:4-5 เพราะเลือดของโคผู้และแพะไม่อาจ
จะชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเครื่องสักการะและของถวาย แต่พระองค์ทรงเตรียมร่างหนึ่งไว้ให้ข้าพระองค์ได้ถวาย (สดุดี 40:6-8)
ฮีบรู 10:6-7 พระองค์ไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ตามที่มีคำเขียนถึงข้าพระองค์ในหนังสือม้วน’”
ฮีบรู 10:8 ก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสว่า “พระองค์มิได้ทรงพอพระทัยใน เครื่องสักการะและของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาปและพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งเหล่านั้นด้วย (แม้ว่าจะเป็นการถวายตามบทบัญญัติก็ตาม)
ฮีบรู 10:9-10พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า “โอ พระเจ้าข้าข้าพระองค์มาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกแบบแรกออกไปเพื่อสร้างแบบที่สอง และด้วยพระประสงค์เช่นนี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยที่พระเยซูคริสต์ถวายพระกายครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 10:11-12 ปุโรหิตทุกคนได้ยืนปรนนิบัติรับใช้และถวายเครื่องบูชาแบบเดิม วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ไม่อาจลบล้างบาปได้ แต่เมื่อพระองค์
ท่านนี้ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบบาปทั้งสิ้น ตลอดไป พระองค์ก็ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ฮีบรู 10:13-14 ณ ที่นั้น พระองค์ก็ทรงรอจนกว่าศัตรู
ทั้งหลายจะถูกนำมาเป็นแท่นรองพระบาท ด้วยการถวายเครื่องบูชาครั้งเดียว พระองค์ทรงทำให้คนที่รับการชำระให้บริสุทธิ์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์
ฮีบรู 10:15-16 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน
กับเราเรื่องนี้ อย่างแรก พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขา หลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในใจพวกเขา และจะจารึกคำนั้นไว้ในความคิดของพวกเขา
ฮีบรู 10:17-18 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะไม่จดจำบาปและการอธรรมของเขาอีกต่อไป” และเมื่อมีการอภัยบาปแล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป
ฮีบรู 10:19-21 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามีใจกล้า
ที่จะเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด โดยพระโลหิตของพระเยซู
โดยหนทางใหม่ที่มีชีวิต ได้เปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์และในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ทรงดูแลพระนิเวศของพระเจ้า….
ฮีบรู 10:22 พวกเราจงเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง และมั่นใจในความเชื่อเต็มที่ โดยมีจิตใจที่ได้รับการประพรม
เพื่อชำระเราให้หมดจากจิตสำนึกผิดและร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยนำ้บริสุทธิ์
ฮีบรู 10:23-24 ให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราเชื่ออย่าง
แน่วแน่ เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงซื่อตรง
และให้เราพิจารณาดูว่า เราจะทำอย่างไรที่จะหนุนใจกันให้รักกันและกันและทำความดี
ฮีบรู 10:25 เราอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างที่บางคนทำเป็นนิสัย แต่ให้เราหนุนใจกันและกันมากขึ้น เพราะท่านก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
ฮีบรู 10:26-27 หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบาปต่อไปทั้ง ๆ ที่ได้รู้จักความจริง ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปให้
มีแต่ความหวาดกลัวเพราะการพิพากษาที่จะมา และไฟอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า
ฮีบรู 10:28-29 คนที่ทำผิดบทบัญญัติโมเสสก็ยังต้อง
ตายโดยไม่ได้รับความเมตตา หากมีพยานสองสามปาก แล้วท่านคิดว่า ผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่
หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญาที่ชำระเขาให้บริสุทธิ์ ผู้ที่ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณแห่งพระคุณ จะถูกลงโทษหนักกว่านั้นสักเพียงใด?
ฮีบรู 10:30-31 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การ
ตอบแทนเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” และอีกครั้งว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”การตกอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์นั้น เป็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ฮีบรู 10:32 จงนึกถึงวันแรก ๆ ที่ท่านได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ในช่วงเวลาเหล่านั้น ท่านมีความทรหดอดทนอย่างมั่นคงขณะที่เผชิญความทุกข์ยาก
ฮีบรู 10:33-34 บางครั้งท่านถูกประจานต่อหน้า สาธารณชน ถูกเยาะเย้ย และถูกข่มเหง บางครั้งท่านร่วมทุกข์กับคนที่ถูกกระทำเช่นนั้นท่านเห็นใจผู้ที่ถูกขัง และยอมให้ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปด้วยใจยินดีเพราะรู้ว่า ท่านยังมีทรัพย์สินที่ยั่งยืนและดีกว่านั้น
ฮีบรู 10: 35-36
ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป เพราะท่านจะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่ท่านจำเป็นต้องพากเพียรอดทน เพื่อว่าเมื่อท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะได้รับสิ่งทรงสัญญาไว้
ฮีบรู 10:37-39 เพราะว่า “อีกครู่เดียว พระองค์ผู้เสด็จ
มาก็จะมาถึง พระองค์จะไม่ล่าช้า แต่คนเที่ยงธรรมของเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากเขาถอยกลับไป เราจะไม่
ยินดีในตัวเขา” แต่เราไม่ใช่เป็นคนที่จะถอยกลับสู่หายนะ แต่เป็นคนที่มีความเชื่อ และได้รักษาจิตวิญญาณให้รอด
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 10:1
เราจะเห็นว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นเพียงเงาที่มาก่อนของจริงคือพันธสัญญาใหม่ การที่มีเงามาก่อน ก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงสอน
ให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริงของพันธสัญญาที่สมบูรณ์แบบน่าจะเป็นเช่นไร เงานั้นมีโครงร่าง รูปร่างคล้ายของจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ท่านผู้เขียน
พยายามที่จะอธิบายกับพี่น้องฮีบรูที่มาเป็นคริสเตียนว่า ที่พวกเขาเคยเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์แบบ
ฮีบรู 10:2-3
การถวายเครื่องบูชาแบบที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ผู้คนระลึกถึงบาปของตนเองที่ไม่อาจหลุดไปจากตัวพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขายังต้อง
รู้สึกกับความผิดไม่หยุดยั้ง ยิ่งถ้าเป็นบาปร้ายมาก ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะเสียใจอย่างที่อาจถึงทำให้เขาต้องทำลายตัวเองไปเพราะไม่อาจลบบาปที่
ทำผิดได้ พวกเขาถูกเตือนไว้ว่า “นายยังบาปอยู่นายยังไม่อาจเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ นายมันคนโสโครก ไม่มีวันดีขึ้นได้!”
ฮีบรู 10:4-5
ชัดเจนว่า เลือดของสัตว์ไม่พอที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้จากตรงนี้ เราจะเห็นว่า มีคำพยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์มาตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ดาวิด ผู้เขียนได้พยายามให้คริสเตียนยิวได้เข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้ผิดพลาด แค่เป็นเงาของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้จริง ๆ คือองค์พระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่จะไม่ต้องถวายเครื่องบูชาซ้ำ ๆ อีกต่อไป
ฮีบรู 10:6-7
ในประโยคใกล้ ๆ กัน มีการย้ำว่า พระเจ้าไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชา ของถวายเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนไม่มีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตจากมืดเป็นสว่างไม่มีความผูกพันทางจิตใจระหว่างเจ้าตัวที่สละเลือด กับคนที่ได้รับการยกโทษในวันนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การยกบาปให้มนุษย์ พระองค์จะต้องทรงสละพระบุตรของพระองค์ ให้รับความอับอายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ!
ฮีบรู 10:8
พระเจ้าไม่ได้พอพระทัยทั้งสี่สิ่งนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยที่มนุษย์จะรักและเชื่อฟังพระองค์ การถวายสิ่งของเหล่านี้ มนุษย์ทำไปทำมา ก็กลายเป็นพิธีที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า กลายเป็นภาระของพวกเขา กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนคิดว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าชำระ ทั้ง ๆที่ใจไม่ได้ใสสะอาดสักนิด พระเจ้าทรงเห็นภายในที่มนุษย์พูด คิด ทำ ทรงเห็นแรงจูงใจทั้งสิ้น สดุดี 139
ฮีบรู 10:9-10
เราต้องไม่ลืมว่า ที่เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ก็เป็นเพราะพระเยซูทรงตั้งใจมาทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดา ถ้าพระเยซูไม่ทรงเต็มพระทัย
ที่จะทำสิ่งนี้ จะไม่มีคนใดในโลกได้รับความรอดเลย! พระองค์ทรงยกเลิกพิธีกรรมแบบเดิมเพื่อว่า พระเยซูคริสต์จะทรงทำตามน้ำพระทัยที่ให้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นคำที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำบ่อย ๆ อย่างที่เราได้อ่านมาแล้ว
ฮีบรู 10:11-12
ดูความแตกต่างของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า แตกต่างกันมากเหลือเกิน ผู้เขียนฮีบรูต้องการให้พี่น้องยิวที่มาเชื่อพระเยซูมั่นใจ และไม่กลับไปหาพิธีกรรมแบบเดิมอีก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงรักษารูปแบบปุโรหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาทำให้ผู้เชื่อต้องพึ่งพาเหล่านักบวชอย่างไม่สามารถหลุดออกได้เลย พระคำตอนนี้จึงทำให้เรามั่นใจว่า พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นปุโรหิตแท้ของเรา
10:13-14
อ้างถึงสดุดี 110:1 ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวไว้นี้จะสำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองและเมื่อมนุษย์ทุกคนจะต้องคุกเข่ากราบลงและยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งแม้ว่าในวันนี้ เราจะเห็นคนมากมายดูหมิ่นพระเจ้าและท้าทายพระองค์ แต่วันหนึ่งทุกคนที่โอหัง ก้าวร้าวจะพบว่าเขาเป็นผู้แพ้ ศัตรูของพระองค์จะถูกปราบจนราบคาบ
10:15-16
พันธสัญญาใหม่มาหลังจากวันเหล่านั้น เท่ากับพันธสัญญาใหม่นั้นใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในใจของ
ผู้คน นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแค่รูปแบบภายนอก พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พระดำรัสของพระองค์เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ
ในความคิดของผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ที่แผ่นศิลา หรือหนังสือม้วนอีกต่อไป (ดูเยเรมีย์ 31:33-34,โคโลสี 3:16) พระเจ้าทรงทำให้ เราตอบสนอง
ฮีบรู 10:17-18
เราโล่งใจเมื่อได้ยินคำแบบนี้ ความบาปใด ๆ ที่ได้ทำมานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ ยิ่งกว่านั้น จะไม่ทรงจำบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่มีการบันทึกไว้ในที่จะสืบค้นได้อีก นี่ไง พันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ..ทรงยกโทษให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีการเรียกกลับคืนมาให้รับโทษอีก และพระองค์ยังทรงให้ชีวิตเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก
ฮีบรู 10:19-21
พระคำตอนนี้บอกว่า เรามีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่เหมือนตอนที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความกลัวลาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเยซู
ทรงมาเป็นทางนั้น ที่ทำให้เราเข้าหาพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่มีม่านใด ๆ มากั้นไว้ พระเยซูทรงเป็นองค์ปุโรหิตที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้
ผู้เชื่อพระเยซูทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ ในอดีตแตกต่างจากนี้มาก พวกเรามักต้องเห็นคุณค่า สิทธิพิเศษของการเข้าเฝ้าโดยตรงเช่นนี้
ฮีบรู 10:22
เราเข้ามาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้ชวนให้เราเข้ามาใกล้องค์พระเจ้า ไม่ใช่มีชีวิตที่อยู่ห่างพระองค์ ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาของพวกเราเอง พระเจ้าทรงเตรียมทุกอย่างให้แล้ว แต่พวกเราไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตจนเหนื่อย หมดกำลังก่อนที่จะเข้ามาหาพระเจ้า สิ่งสำคัญของเราคือการที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แสวงหาพระองค์ก่อน แล้วจะเห็นว่า ชีวิตจะแตกต่างจากวันที่ห่างพระองค์!
ฮีบรู 10:23-24
ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ลังเลใจ หรือพูดง่าย ๆ คือให้เรามีความแน่วแน่ในความหวังที่มีในพระเจ้าโดยไม่ให้อะไรมาทำให้เราไขว่้เขวได้เลย การยึด
มั่นในพระเจ้าคือการไว้ใจในพระสัญญาของพระองค์ว่าที่ทรงสัญญาไว้ จะทรงทำให้แน่นอนสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่เราต้องใส่ใจทำต่อมา คือรักกัน และทำดีให้กันและกัน ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ส่วนตัวอีกต่อไป แต่เราต้องมีคนที่รักและทำดีให้
ฮีบรู 10:25
เราเห็นพี่น้องจำนวนมากไปประชุม เจอเพื่อนได้หนุนใจกันอย่างต่อเนื่อง เราเห็นคนที่ขาดการประชุมเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในระยะยาว มัน
ส่งผลร้ายต่อผู้เชื่อไม่ว่าใครก็ตาม การหลงทางไปจากพระเจ้า การไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไปเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อเราไม่มีพี่น้องที่คอย
ช่วยเหลือกันแม้ว่าคนหนึ่งอาจอ้างว่า เฝ้าพระเจ้าคนเดียวก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สุขภาพจิตที่แข็งแรง แม้คริสตจักรจะมีข้อเสียบ้างแต่เราอย่าขาดประชุมเลย
ฮีบรู 10:26-27
เรื่องของคริสเตียนยิวที่ผู้เขียนเป็นห่วงคือการที่เขาจะหันกลับไปหาศาสนายิว กลับไปสู่กฎบัญญัติพิธีการลบบาปแบบเดิม หันหลังให้กับไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่เราคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะในข้อต่อไปได้พูดถึง แต่สำหรับพวกเขาก็ชัดเจนว่า ถ้าเราทำผิดทั้งที่รู้ความจริงเราจะเจอกับอะไร หากเราปฏิเสธพระเจ้า ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไปนั่นเอง สิ่งที่จะเพิ่มมาคือการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่มาเชื่อแล้วก็เลิกไป
ฮีบรู 10:28-29
นี่คือความบาปที่ทำซ้ำ ๆ ซึ่งผู้เขียนได้พูดในก่อนหน้านี้ หากใครคนหนึ่งดูหมิ่นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยการปฏิเสธพระองค์
ทั้ง ๆ ที่รู้ ผู้เขียนอธิบายว่า การทำเช่นนั้น เป็น 1 การเหยียบย่ำพระเยซู 2หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญา 3 ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณผู้
ทรงสอนให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนเตือนไม่ให้คนที่เชื่อกลับไปสู่พิธีกรรมแบบเดิมที่เคยทำและเตือนเราเช่นกันด้วย
ฮีบรู 10:30-31
การตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า คือการที่ต้องเผชิญกับพระเจ้าในวันที่พระองค์ทรงพิพากษา ไม่มีใครจะหนีพ้นวันนั้นไปได้ ตอนที่
ไม่เอาใจใส่ เดินหนีพระองค์ไป ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที เพราะพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกทำให้ถูกต้องที่สุดคือ การ
ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราให้รอด พวกเราไม่ควรที่จะท้าทายพระองค์เลย เพราะผลนั้นน่ากลัวมาก
ฮีบรู 10:32
ตอนแรกที่พวกยิวมาเชื่อใหม่ ๆ นั้น พวกเขามีรักแรกให้กับพระเจ้า เป็นรักที่แนบสนิท รักมากจากคนที่เคยอยู่ในความมืดมาพบความสว่างของ
พระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงนั้นเป็นเวลาฮันนีมูน ที่พวกเขาเจออะไรก็ทนได้หมด สามารถทนทุกข์เพื่อพระคริสต์อย่างเต็ม
ใจ สุดใจ สุดกำลัง พวกเขาถูกยิวในศาสนายิวขับไล่จากชุมชน ถูกกดขี่ข่มเหงหนักมาก
ฮีบรู 10:33-34
ผู้เขียนได้อธิบายชัดเจนว่า พี่น้องเหล่านี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง พวกเขามาเชื่อ และถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากคนที่เคยเป็นเพื่อน เคยอยู่
ในชุมชนเดียวกัน ในศาลาธรรมเดียวกัน บัดนี้กลายเป็นถูกเกลียดชังอย่างรุนแรง แต่เวลานั้นพวกเขามีความหวังในพระเจ้าอย่างมั่นคง ไม่คิด
ที่จะหันกลับไป มั่นใจและยังร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงด้วย การที่พวกเขาเผชิญได้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนที่เปลี่ยนใจกลับสู่โลกเดิมเลย
ฮีบรู 10: 35-36
ตรงนี้ทั้งคริสเตียนยิวและเรารับการเตือนว่าอย่าให้เราทิ้งความมั่นใจในพระเจ้าเด็ดขาด! อาจมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่เรายังต้องวางใจ
เราจะไม่กลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใช้วิธีของตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เราจะวางใจพระเจ้าแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเรา รู้ไหมว่าความวางใจพระเจ้านั้นเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตได้ และต้องมีความอดทนอย่างสูงที่จะไม่ลังเลใจ
ฮีบรู 10:37-39
พระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอย่างล่องลอย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง พวกเขามั่นคง
ในพระเจ้า หวังใจในพระองค์เต็มร้อย ไม่ลังเลไม่รีรอที่จะเดินตามพระองค์ และตอนนี้บอกเราชัดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยหากเราหันกลับไป
สู่ชีวิตเดิม ซึ่งจะนำสู่ความตาย จะเห็นว่า เราเองเป็นผู้ที่จะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการรักษาจิตวิญญาณให้ถึงความรอด
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 8:5; 7:19; 9:9
4* มีคาห์ 6:6-7
5* สดุดี 40:6-8
10* ยอห์น 17:19; ฮีบรู 9:12
11* กันดารวิถี 28:3
12* โคโลสี 3:1; สดุดี 110:1
13* สดุดี 110:1
16* เยเรมีย์ 31:33-34
17* เยเรมีย์ 31:34
19* เอเฟซัส 2:18; ฮีบรู 9:8,12
20* ยอห์น 14:6
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 7:19; 10:1; เอเฟซัส 3:12
23* 1โครินธ์ 1:9; 10:13
25* กิจการ 2:42; โรม 13:11; ฟีลิปปี 4:5
26* กันดารวิถี 15:30; 2 เปโตร 2:20; ฮีบรู 6:6
27* เศฟันยาห์ 1:18
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 17:2-6; 19:15
29* ฮีบรู 2:3; 1โครินธ์ 11:29; มัทธิว 12:31
30* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35-36
31* ลูกา 12:5
32* กาลาเทีย 3:4
33* 1โครินธ์ 4:9; ฟีลิปปี 1:7
34* 2 ทิโมธี 1:16; มัทธิว 5:12; 6:20
35* มัทธิว 5:12
36* ลูกา 21:19; โคโลสี 3:24
37* ลูกา 18:8; ฮาบากุก 2:3-4
38* โรม 1:17
39* 2 เปโตร 2:20; โรม 3:22
ฮีบรู 9 พระโลหิตคือคำตอบ
ฮีบรู 9:1-2 ในพันธสัญญาแรกนั้น มีกฎเกณฑ์ต่างๆเรื่องการนมัสการ และยังมีสถานบริสุทธิ์บนแผ่นดินโลก พลับพลาถูกเตรียมไว้ในห้องแรกคือคันประทีป โต๊ะ และขนมปังบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์ ณ ที่นี้ เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ (วิสุทธิสถาน)
ฮีบรู 9:3-4 หลังจากม่านชั้นที่สอง เป็นห้องที่เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ที่สุด (อภิสุทธิสถาน)ในห้องนี้ มีแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำ ข้างในหีบมีโถทองคำใส่มานาไว้รวมทั้งไม้เท้าที่ผลิดอกตูมของอาโรนและแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา
ฮีบรู 9:5 บนหีบพันธสัญญามีรูปเครูบแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า โดยเครูบกางปีกปกคลุมฝาหีบของพระที่นั่งแห่งพระกรุณา แต่เรายังไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในเวลานี้
ฮีบรู 9:6-7 ในเมื่อทุกสิ่งถูกจัดเตรียมดังกล่าว เหล่าปุโรหิตก็จะเข้าไปยังส่วนแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในส่วนที่สองได้และเข้าได้เพียงปีละครั้ง พร้อมกับนำเลือดเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นเลือดที่ถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปที่ประชาชนซึ่งทำลงไปโดยไม่เจตนา
ฮีบรู 9:8 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงจากการทำทุกสิ่ง (คือระบบปุโรหิต)ตามที่กล่าวมา ให้รู้ว่าทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ยังไม่เปิดออกมา ตราบใดที่พลับพลาแรกยังคงตั้งอยู่
ฮีบรู 9:9-10 นี่เป็นภาพอธิบายเพื่อปัจจุบัน เพราะทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ถวายไป ไม่อาจชำระให้มโนธรรมของผู้นมัสการให้บริสุทธิ์ได้เลย ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม พิธีการชำระล้าง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัตินอกกาย ที่ใช้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่
ฮีบรู 9:11 แต่เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะมหาปุโรหิตเหนือสิ่งดีที่มาก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่า ซึ่งเป็นพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์และไม่ได้เป็นส่วนของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
ฮีบรู 9:12 พระองค์มิได้เข้าไปด้วยเลือดของแพะ และวัว แต่ทรงเข้าไปยังที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งเดียวเป็นพอพร้อมกับพระโลหิตของพระองค์เองทำให้ได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์
ฮีบรู 9:13-14 เพราะหากเลือดแกะและโคผู้ และเถ้าจากลูกโคเมียที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระให้ร่างกายมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองอย่างไร้ตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ จะชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำที่นำสู่ความตาย เพื่อว่าเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ฮีบรู 9:15 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อว่าคนที่ได้รับทรงเรียกจะได้รับมรดกนิรันดร์ที่ทรงสัญญาไว้ เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขาจากการล่วงละเมิดที่ได้กระทำลงไปภายใต้พันธสัญญาแรก
ฮีบรู 9:16-18 ในกรณีของหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตแล้ว เพราะพินัยกรรมจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคนที่ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิตไป หากเขายังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมก็ไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น พันธสัญญาแรกก็ไม่มีผลใด ๆ จนกว่าจะต้องมีโลหิตเสียก่อน
ฮีบรู 9:19 เพราะเมื่อโมเสสประกาศคำสั่งทุกข้อของบทบัญญัติแก่ประชาชน ท่านได้นำเลือดของลูกโคและแพะผสมน้ำพร้อมขนแกะสีแดง ไม้หุสบมาประพรมทั้งหนังสือม้วนและประชาชน
ฮีบรู 9:20-21 กล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงสั่งให้ท่านทั้งหลายรักษาไว้” และด้วยวิธีเดียวกัน ท่านก็ได้ประพรมพลับพลาและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการนมัสการด้วยโลหิตนั้น
ฮีบรู 9:22 ความจริง ตามบทบัญญัติ ทุกสิ่งได้รับการชำระให้สะอาดด้วยโลหิต! และหากไม่มีการหลั่งโลหิตก็จะไม่มีการให้อภัยบาป
ฮีบรู 9:23-24 ดังนั้น การที่ของจำลองตามแบบสวรรค์จะได้รับการชำระด้วยพิธีบูชาแบบนี้จึงจำเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์นั้น มีเครื่องถวายบูชาที่ดีกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงเข้ามายังสถานนมัสการซึ่งถูกสร้างด้วยมือโดยจำลองตามสถานนมัสการแท้ แต่เสด็จสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา
ฮีบรู 9:25 ทั้งพระองค์ไม่ได้เข้าไปยังสวรรค์เพื่อถวาย
พระองค์เอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับมหาปุโรหิตที่เข้าไปยังอภิสุทธิสถานทุกปีพร้อมกับโลหิตที่ไม่ใช่เป็นของตัวเขา
ฮีบรู 9:26 หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำ ๆ มาตั้งแต่การเริ่มต้นของโลก แต่เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา
9:27-28 เหมือนมนุษย์ทุกคนที่ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะพบการพิพากษา พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เป็นเครื่องลบบาปของคนจำนวนมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดสู่คนที่จดจ่อรอคอยพระองค์
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 9:1-2
บทที่ 8 ที่ผ่านมา ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่า จำเป็นต้องมีพันธสัญญาใหม่ เพราะพันธสัญญาเดิมนั้นมีข้อบกพร่องอยู่ ในบทที่ 9 นี้ ท่านได้บอกว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้มายังพันธสัญญาใหม่ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาในอนาคต และสิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูทรง
เหนือกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนได้เริ่มให้เราเห็นภาพว่าในพลับพลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
ถอดความจาก ฮีบรู 9:3-4
ในเมื่ออุปกรณ์ทุกชิ้นมีความหมาย ผู้เขียนจึงเริ่มทำให้ชาวยิวที่อ่านเรื่องราวนี้ ได้กลับไประลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพลับพลา ในห้องชั้นในสุดมีหีบพันธสัญญาอยู่ หีบนี้เป็นหีบทองคำ ท่านไม่ได้ให้รายละเอียดมาก บอกคร่าว ๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ มานาบ่งบอกการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูในถิ่นกันดาร ศิลาแห่งพันธสัญญาระลึกถึงบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส และไม้เท้าที่สื่อหน้าที่ปุโรหิต
ถอดความจาก ฮีบรู 9:5
เมื่อกล่าวถึงของที่มี่อยู่ในหีบพันธสัญญาแล้วผู้เขียนก็เล่าว่า บนหีบพันธสัญญาซึ่งเป็นหีบไม้ที่มีทองคำปิดทับไว้ ส่วนเครูปคือ ทองคำที่ทำเป็น
รูปเลียนแบบของเครูบซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ โดยที่เครูปเอาปีกปกคลุมเหนือหีบพันธสัญญา พระเจ้า
จะทรงพบกับปุโรหิต ณ ที่ตรงนี้ เพื่อบอกสิ่งที่ทรงประสงค์จะบอกคนอิสราเอล อพยพ 25:22
ฮีบรู 9:6-7
ตอนนี้ ผู้เขียนเริ่มที่จะอธิบายความว่า ปุโรหิตทำหน้าที่ในห้องชั้นแรกเป็นประจำทุกวัน แต่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น จะมีหนึ่งท่านที่เข้าไปเพียงปีละครั้งเท่านั้น และที่เข้าไปก็เพื่อถวายเลือดเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาปของตนเอง ของประชาชน การทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า การทำบาปทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า และเราต้องได้รับการอภัยเพื่อกลับเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์
ฮีบรู 9:8
รูปแบบพันธสัญญาเดิมที่อธิบายมานี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม ความผิดบาปของมนุษย์จะต้องถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเรายังใช้ระบบเดิมของพลับพลานี้อยู่ หากยังใช้ระบบปุโรหิตคนกลางที่เป็นมนุษย์แล้ว ทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ ทางที่จะเข้าไปหาพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์โดยตรงก็ไม่เปิดได้อย่างอิสระ ระบบเดิมกับใหม่ใช้ไปพร้อมกันไม่ได้
ฮีบรู 9:9-10
ระบบเดิมนั้น ไม่อาจชำระชีวิตของผู้ที่เข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างถาวร สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธี และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ไม่ได้เป็นแผนการสุดท้าย
ของพระเจ้า เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะจัดการกับบาปอย่างแท้จริงและยั่งยืนในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นคนกลางเดียวเท่านั้นที่จะนำความรอดมาให้ พระเจ้าทรงแจ้งให้รู้ว่า ชีวิตบาปต้องมีการกำจัด
ฮีบรู 9:11
ข้อความตอนนี้ ได้สรุปชัดว่า ในสวรรค์มีพลับพลาที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในส่วนของธรรมชาติที่พระเจ้า
ทรงสร้าง เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่ง เป็นพลับพลาที่เหมาะกับองค์มหาปุโรหิต ซึ่งเราไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ และก็ไม่ได้มีบันทึกในที่อื่น ๆ ที่สำคัญคือพลับพลาสวรรค์สมบูรณ์แบบกว่าพลับพลาในโลก
ฮีบรู 9:12
วิธีการของพลับพลาสวรรค์นี้แตกต่างจากระบบของพลับพลาในโลก ตรงที่ว่า เลือดที่เข้าไปเพื่อรับการไถ่บาปให้มนุษย์ไม่ใช่เป็นเลือดสัตว์
แต่เป็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขน ในการถวายเครื่องบูชาของปุโรหิตในโลกเป็นการทำซ้ำ
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงทำครั้งเดียวเท่านั้นแล้วคนที่เชื่อวางใจก็ได้รับการไถ่บาปเลย
ฮีบรู 9:13-14
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังเล่าว่า ขนาดเลือดของโคและแกะยังมีพลังช่วยให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ยังมีพลังตามที่
พระเจ้าทรงกำหนดให้ ดังนั้น พระโลหิตของพระบุตรพระเจ้าจะยิ่งมีพลังเหลือล้นมากมายกว่านั้นขนาดไหน เป็นพระโลหิตที่ชำระเราจากชีวิต
เก่าที่วนเวียนอยู่กับการกระทำที่นำสู่ความตายกลายเป็นคนมีชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแต่มุ่งรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ฮีบรู 9:15
เมื่อเห็นคำว่า “มรดกนิรันดร์” ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงเตรียมไว้ให้
พวกเขามาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพี่น้องยิวที่อ่านข้อความตอนนี้ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขา ไม่ใช่
พิธีกรรมใด ๆ ในพระวิหารหรือพลับพลาที่ต้องผ่านเหล่าปุโรหิตอีกต่อไป
ฮีบรู 9:16-18
คำว่าพินัยกรรม กับคำว่าพันธสัญญามีการใช้สลับกัน แต่ในภาษากรีกเป็นคำ ๆ เดียวกัน เสปอร์เจียนให้ความเห็นว่า ถ้าเรามีหลักฐานว่า
ผู้ทำสัญญาหรือผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตไปแล้วสัญญาหรือพินัยกรรมนั้นจะส่งผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับข่าวประเสริฐ ถ้าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์ข่าวประเสริฐนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ในพันธสัญญาเดิมต้องมีการใช้เลือดประพรมทุกอย่าง
ฮีบรู 9:19
อย่างที่ได้เล่าในข้อ 18 แล้วว่าพันธสัญญาเดิมนั้นต้องการเลือดของโค แพะ แกะมาเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีการอภัยบาปเกิดขึ้น บาปเป็น
เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะว่ามันทำให้คนที่ทำบาปนั้น รับโทษถึงตาย จะเกิดการอภัยให้บาปนั้นก็ต้องมีการรับโทษถึงตายเสียก่อน ในพันธสัญญาเดิมได้เลือกให้เป็นการตายของสัตว์เพื่ออภัยบาปตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสเอาไว้โดยต้องมีการฆ่าเอาเลือดกันเป็นประจำทุกวัน
ฮีบรู 9:20-21
ประชาชนจะต้องทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสในเรื่องเลือด ภายใต้พันธสัญญาเดิมนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้นในพลับพลา จะได้รับการชำระให้สะอาดด้วยการประพรมเลือดลงไป การทำเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึง ในมาระโก 14:24 พระเยซูตรัสในคืนสุดท้ายกับศิษย์ โดยทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและตรัสว่า นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนเป็นอันมาก ชี้ให้เห็นถึงพระโลหิตที่จะมาชำระเราให้สะอาด
ฮีบรู 9:22
พระเจ้าทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์ด้วยสิ่งที่มนุษย์เองคาดไม่ถึง ความดี ด้วยการขอโทษ หรือรับโทษที่ได้ทำไปแต่หลักพื้นฐานของการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์คือ การหลั่งเลือด ซึ่งในสมัยโบราณ พระองค์ทรงให้ประชาชนรับการอภัยบาปผ่านพิธีต่าง ๆ ที่ต้องมีการหลั่งเลือดของสัตว์ แต่ที่สุด พระองค์ทรงใช้พระโลหิตพระเยซู!
ฮีบรู 9:23-24
พลับพลา พิธีต่าง ๆ ซึ่งทำในสมัยโมเสสนั้น ช่วยให้คนรับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาซึ่งไม่สมบูรณ์แบบเต็มร้อย นี่เป็นพิธีในโลก
แต่ในสวรรค์ พระเยซูทรงเข้าไปในสถานนมัสการต้นแบบในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในฐานะองค์ปุโรหิตเพื่อช่วยให้เราพ้นจากความบาป นี่เป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นความล้ำเลิศที่ไม่มีใครให้ได้
ฮีบรู 9:25
การเข้าเฝ้าพระบิดาในฐานะปุโรหิตของมนุษยชาตินั้น เป็นการเข้าเฝ้าที่ยังคงทำเพื่อเราเสมอ คือพระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้อง
ถวายพระองค์บนไม้กางเขนอีกเลย สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวนั้น เป็นพอ สิ่งที่ปุโรหิตในสมัยก่อนทำหรือแม้กระทั่งในกลุ่มศาสนาที่ต้องมีตัวแทนติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้เลย มีพระเยซูเท่านั้นที่ทรงลบบาปให้และยังทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากมืดเป็นสว่างอย่างเห็นได้ชัด
ฮีบรู 9:26
เลือดของสัตว์ที่ปุโรหิตใช้เป็นสิ่งที่ต้องหามาใหม่ทุกครั้งที่ทำพิธีลบล้างบาป เพราะเป็นระบบการถวายเครื่องบูชาที่จำกัด แต่พระโลหิตของพระเยซูนั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำลายอำนาจและการลงโทษบาปได้ พระองค์ไม่ต้องทรงสิ้นพระชนม์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ในปลายยุคก็คือ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นผู้ขีดเส้นให้รู้ว่า ยุคของพันธสัญญาเดิมนั้นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือยุคของพันธสัญญาใหม่
ฮีบรู 9:27-28
ชีวิตเดียว และตายครั้งเดียว พวกเราซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาให้เกิดมานั้น มีโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่จะรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเราทุกคนจะพบการพิพากษาของพระเจ้า เราต้องให้การกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องไม่ลืม เพื่อเราจะได้ไม่อายในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง พระเยซูทรงตายเพื่อคนเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่หยุดยั้งที่จะชวนคนอื่นให้มาพบพระองค์เช่นกัน
พระคำเชื่อมโยง
1* อพยพ 25:8
3* อพยพ 26:31-35; 40:3
4* อพยพ 25:10; 16:33; กันดารวิถี 17:1-10; อพยพ 25:16; 34:29
5* เลวีนิติ 16:2
6* กันดารวิถี 18:2-6; 28:3
7* อพยพ 30:10; ฮีบรู 5:3
8* ยอห์น 14:6
9* ฮีบรู 7:19
10* โคโลสี 2:16; กันดารวิถี 19:7;
เอเฟซัส 2:15
11* ฮีบรู 10:1
12* ฮีบรู 10:4; เอเฟซัส 1:7; เศคาริยาห์ 3:9; ดาเนียล 9:24
13* เลวีนิติ 16:14-15; กันดารวิถี 19:2
14* อิสยาห์ 53:2; 1 ยอห์น 1:7; ฮีบรู 6:1;
ลูกา 1:74
15* โรม 3:25; ฮีบรู 3:117* กาลาเทีย 3:15
18* อพยพ 24:6
19* อพยพ 24:5-6; เลวีนิติ 14:4,7
20* มัทธิว 26:28; อพยพ 24:3-8
21* อพยพ 29:12, 36
22* เลวีนิติ 17:11
23* ฮีบรู 8:5
24* ฮีบรู 6:20; 8:2; 8:34
25* ฮีบรู 9:7
27* ปฐมกาล 3:19; 2 โครินธ์ 5:10
28* โรม 6:10; 1 เปโตร 2:24; มัทธิว 26:28; ทิตัส 2:13
ฮีบรู 8 เราทุกคนรู้จักพระองค์
ฮีบรู 8:1-2 สิ่งที่เป็นจุดสำคัญคือเรามีมหาปุโรหิตเช่นนี้ ผู้ประทับนั่ง ณ เบื้องขวาของพระที่นั่งแห่งองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสวรรค์และพระองค์ทรงปฏิบัติกรณียกิจในสถานบริสุทธิ์ และพลับพลาแท้ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น
ฮีบรู 8:3-4 ในเมื่อมหาปุโรหิตทุกท่านถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อถวายทั้งของถวายและเครื่องบูชาจึงจำเป็นที่องค์ปุโรหิตท่านนี้จะต้องมีสิ่งที่จะถวายเช่นกัน หากพระองค์ทรงอยู่ในโลกพระองค์ก็จะไม่ได้เป็นปุโรหิตเพราะมีปุโรหิตท่านอื่น ๆ ที่ถวายของต่าง ๆ ตามที่บัญญัติกำหนดไว้อยู่แล้ว
ฮีบรู 8:5 ปุโรหิตเหล่านั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ซึ่งเป็นแค่แบบจำลอง เป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ นี่เองที่โมเสสได้เตือนไว้ตอนที่ท่านกำลังจะสร้างพลับพลาว่า “จงระวังทำทุกอย่างตามต้นแบบ(แบบร่าง)ที่ได้แสดงให้เจ้าเห็นบนภูเขานั้น”
ฮีบรู 8:6-7 อย่างไรก็ตาม พระเยซูองค์มหาปุโรหิตของเรา ทรงได้รับพันธกิจที่เป็นเลิศกว่า (ระบบปุโรหิตเดิม) เพราะพระองค์ทรงเป็นสื่อกลางให้กับพันธสัญญาดีกว่าซึ่งอยู่บนพระสัญญาที่เหนือกว่า เพราะหากว่าพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก
ฮีบรู 8:8 เมื่อพระเจ้าทรงพบความผิดในหมู่ประชากรและตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง พระเจ้าทรงประกาศ .. เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและกับวงศ์วานยูดาห์
ฮีบรู 8:9 จะไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา ในเวลาที่เราจูงมือนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์เพราะพวกเขาไม่ซื่อตรงในพันธสัญญาของเรา และเราจะหันหลังให้พวกเขา” องค์พระผู้เป็นพระเจ้าตรัสดังนั้น
ฮีบรู 8:10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับวงศ์วานอิสราเอลหลังจากสมัยนั้น นั่นคือเราจะใส่บทบัญญัติของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และจารึกมันไว้บนแผ่นหัวใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
ฮีบรู 8:11-12 ไม่มีใครในพวกเขาที่จะสอนเพื่อนบ้านหรือพี่น้องว่า“จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า”เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยสุดไปจนถึงคนที่ใหญ่โตสุดเพราะเราจะอภัยความบาปชั่วของพวกเขา และจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”
ฮีบรู 8:13 เมื่อพระเจ้าตรัสถึงพันธสัญญาใหม่เท่ากับพระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาเดิมนั้นพ้นไป ในไม่ช้า สิ่งที่พ้นยุคและเก่าแก่นั้นจะสูญหายไป
ฮีบรู 8:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ทรงทำหน้าที่ในฐานะปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดคในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ ต้นแบบของพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น บัดนี้ เราจึงมีพลับพลานิรันดร์ องค์ปุโรหิตของ เราทรงอยู่ใกล้ชิดพระบิดามากและทรงอยู่ด้วยกันทุกเวลา ไม่เหมือนปุโรหิตที่มาพระวิหารแล้วก็ไป
ฮีบรู 8:3-4
พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดคทรงมาจากตระกูลยูดาห์ซึ่งเป็นตระกูลของกษัตริย์ดาวิด หากทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็ไม่อาจเป็นปุโรหิตตามสายเลือดได้เลย แต่ผู้เขียนเองได้บอกเราก่อนหน้านี้ว่า จะมีปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่าสายของเลวีมากนัก หากเรากลับไปอ่านในฮีบรู 7:11-19 จะเห็นว่าผู้เขียนพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับยิวที่กำลังลังเลว่าจะกลับไปอยู่ในศาสนายิวเดิมหรือไม่เพราะเป็นคริสเตียนถูกข่มเหงเสมอ
ฮีบรู 8:5
พระเจ้ามักจะทรงใช้เหตุการณ์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวรูปแบบจำลองเรื่องราว มาช่วยให้ผู้คนเข้าใจพระดำริของพระองค์ การสร้างพลับพลาเพื่อนมัสการพระเจ้า ระบบปุโรหิตและการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ ต่างมีเพื่อให้คนได้เข้าใจว่า ความรอดจากพระเจ้ามีการวางแผนอย่างชัดเจน รอบคอบโดยพระองค์เอง ดังนั้น เราจึงต้องมองเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทะลุถึงพระดำริในแต่ละสถานการณ์
ฮีบรู 8:6-7
ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านชาวยิวที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนว่า ระบบปุโรหิตเดิมที่พวกเขาคุ้นเคยนั้น เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่า พวกเขาไม่อาจทำตามบัญญัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ได้ครบครันเลย พวกเขายังต้องกลับมาถวายเครื่องบูชาไถ่บาปไม่หยุดหย่อน พระเจ้าทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าหลายร้อยปีแล้วว่า พระองค์จะทรงทำอะไรกับบัญญัติเดิม แต่ตอนนั้นคนยิวที่ได้ยินคำพยากรณ์นี้ ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
ฮีบรู 8:8
ตั้งแต่สมัยของเยเรมีย์ พระเจ้าได้ทรงบอกล่วงหน้าว่า พระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับพวกเขา และตอนนั้น พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอย่างไร พระองค์ทรงชัดเจนมาก ว่าพระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับชนอิสราเอล พวกเขาจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเดิมในเรื่องการมาถวายเครื่องบูชาในพลับพลาหรือพระวิหารอีกต่อไป
ฮีบรู 8:9 (เยเรมีย์ 31:31-32)
ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำพันธสัญญาใหม่มาตั้งนานแล้ว พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น แต่หากไม่มีระบบเดิมอันนี้มาก่อน ผู้คนก็จะไม่รู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะทำตามบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวเอง พันธสัญญาใหม่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ การรักพระเจ้าสุดใจสุดจิตสุดกำลังความคิด มาเหนือการกระทำใด ๆ
ฮีบรู 8:10 (เยเรมีย์ 31:31-32)
นี่ไง พันธสัญญาใหม่ที่เหนือกว่าพันธสัญญาเดิมมากมายนัก ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่อยู่บนศิลาสองก้อนที่พระเจ้าประทานให้กับโมเสส แต่เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าจะจารึกเข้าไปในจิตใจ ในความคิด ในสมอง ในชีวิตของประชากรของพระองค์ ผู้ที่ติดตามพระเจ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพระองค์ผ่านคนกลางไม่ว่าเป็นแบบใดทั้งสิ้น เพราะพวกเขาจะติดต่อกับพระเจ้าโดยตรง
ฮีบรู 8:11-12 (เยเรมีย์ 31:34)
ในเวลานั้น การมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา คนทั่วไปจะไม่รู้วิธีที่จะเข้ามาหาพระเจ้า และไม่ได้รับอนุญาตขนาดนั้นด้วย ในประวัติศาสตร์ของยิว จากระบบปุโรหิตก็ยังมีเหล่าธรรมาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่เราเห็นในพระคัมภีร์ใหม่ คือพวกสะดูสี ฟาริสี ที่สำคัญคือ
พระเจ้าทรงสัญญาว่า เมื่อยกโทษแล้วพระองค์จะไม่ทรงจำบาปนั้นอีกต่อไป
ฮีบรู 8:13
พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าประทานผ่าน พระเยซูคริสต์นั้น แตกต่างจากระบบเดิมของความเชื่อที่ส่งต่อมาตั้งแต่สมัยโมเสสลงมาจนยุคของพระเยซูอย่างสิ้นเชิง และในข้อนี้ได้บอกชัดว่า เมื่อระบบเดิมสิ้นไป มันจะหายไปเลย ไม่มีต่อไปอีก นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยิวที่เคยชินกับการทำพิธีต่าง ๆ ในพระวิหาร สิ่งที่เขารักษาไว้จะหายไปอย่างนั้นหรือ? พวกเขาต้องยอมรับให้ได้
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:1
2* ฮีบรู 9:8, 12; 9:11, 24
3* ฮีบรู 5:1; 8:4; เอเฟซัส 5:2
5* ฮีบรู 9:23-24; โคโลสี
2:17; อพยพ 25:40
6* 2 โครินธ์ 3:6-8; ฮีบรู 7:22
7* อพยพ 3:8; 19:5
8* เยเรมีย์ 31:31-34
10* เยเรมีย์ 31:33; เศคาริยาห์ 8:8
11* อิสยาห์ 54:13; เยเรมีย์ 31:34
12* โรม 11:27
13* 2 โครินธ์ 5:17
มาระโก 14 ก้าวสู่แดนประหาร
แผนสังหารพระเยซู
(มัทธิว 26:1–5; ลูกา 22:1–2; ยอห์น 11:45–57)
1 อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไร้เชื้อและเหล่าหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์กำลังหาวิธีที่จะลอบจับกุม และสังหารพระเยซูอย่างลับ ๆ
2 “แต่อย่าลงมือในช่วงเทศกาล”พวกเขากล่าว “ไม่อย่างนั้น ผู้คนอาจจะก่อความไม่สงบขึ้นมาได้”
ระวัง
ประชาชน
ก่อจลาจล!
การชโลมที่เบธานี
(มัทธิว 26:6–13; ลูกา 7:36–50; ยอห์น 12:1–8)
3 ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้านเบธานี ประทับนั่งเอนพระกาย ที่โต๊ะอาหารบ้านของซีโมนชายโรคเรื้อน มีหญิงผู้หนึ่งนำกระปุกใส่น้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงมากมา น้ำมันหอมนั้นทำจากไม้หอมบริสุทธิ์ เธอทุบกระปุก และเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรของพระเยซู!
4 บางคนที่อยู่ด้วยได้แสดงความเห็นต่อกันอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดจึงทำให้น้ำมันหอมนี้เสียเปล่าเล่า?
5 ถ้าเอาไปขายก็ได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอัน (ค่าจ้างคนงานทั้งปี) และเอาเงินไปแจกให้คนยากจนได้” และพวกเขายังตำหนิเธอด้วย
6 แต่พระเยซูตรัสว่า “ปล่อยเธอไป เหตุใดพวกเจ้าต้องกวนใจเธอด้วย? เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา
7 คนยากคนจะอยู่กับเจ้าเสมอ และเจ้าก็ช่วยพวกเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป
8 เธอได้ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อเจิมร่างของเราล่วงหน้า ก่อนที่จะมีพิธีศพ
9 และเราขอบอกความจริงแก่เจ้าว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะถูกประกาศในที่แห่งใดในโลก สิ่งที่เธอทำนี้จะถูกกล่าวถึงเป็นการระลึกถึงเธอ“
ยูดาสตกลงใจที่จะทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:14–16; ลูกา 22:3–6)
10 แล้วยูดาส อิสคาริโอท ซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคน ได้ไปหาเหล่าหัวหน้าปุโรหิต เพื่อจะมอบพระองค์ให้พวกเขา 11 ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาต่างดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่เขา ยูดาสจึงเฝ้ารอโอกาสที่จะทรยศพระเยซู
เตรียมปัสกา
(มัทธิว 26:17–19; ลูกา 22:7–13)
12วันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อมีการฆ่าเพื่อถวายลูกแกะปัสกา
พวกศิษย์ของพระเยซูทูลถามว่า “พระองค์ท่านต้องการให้พวกเราเตรียมปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหนขอรับ?”
13 ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งศิษย์สองคนไป ตรัสว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งแบกเหยือกน้ำมาพบเจ้า จงตามเขาไป
14 ไม่ว่าเขาจะเข้าไปบ้านไหน ก็จะกล่าวกับเจ้าของบ้านว่า ‘ท่านอาจารย์ถามว่า ห้องรับแขกของเราอยู่ที่ไหน? และเราจะรับประทานปัสกากับศิษย์ของเราได้ที่ไหน?’
15 และเขาก็จะชี้ให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่ง เตรียมไว้พร้อมแล้ว จงเตรียมปัสกาไว้ให้เราที่นั่น”
16ดังนั้นศิษย์ทั้งสองก็เข้าไปในเมือง และที่นั่นพวกเขาก็พบทุกสิ่งตามที่พระเยซูทรงบอกไว้ และพวกเขาก็เตรียมปัสกา
อาหารมื้อสุดท้าย
(มัทธิว 26:20–30; ลูกา 22:14–23; 1 โครินธ์ 11:17–34)
17 เมื่อถึงเวลาค่ำ พระเยซูทรงมาถึงพร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสอง
18 และขณะที่พวกเขาเอนกาย และรับประทานอยู่นั้น พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีคนหนึ่งในพวกเจ้าที่กำลังรับประทานด้วยกันกับเราจะทรยศเรา”
19พวกเขารู้สึกเสียใจ และถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือไม่?”
20 พระองค์ทรงตอบว่า “เขาคือคนหนึ่งในสิบสองคน คนที่กำลังจิ้มขนมปังในชามนี้ร่วมกับเรา
21บุตรมนุษย์จะต้องไป ตามที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมายังคนที่ทรยศท่าน จะว่าไปแล้วหากเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า”
พิธีมหาสนิท
22 ขณะที่เขากำลังรับประทานกันอยู่ พระเยซูทรงหยิบขนมปัง และขอพระพร ทรงหักขนมปังเป็นชิ้น ยื่นให้กับศิษย์ ตรัสว่า “จงรับไปเถิด นี่คือกายของเรา”
23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วประทานให้เขา ทุกคนก็ดื่มจากถ้วยนั้น
24 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนจำนวนมาก
25 เราบอกความจริงว่า เราจะไม่ดื่มจากน้ำจากผลองุ่นนี้อีกจนกว่าถึงวันที่เราจะดื่มใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของพระเจ้า”
26และหลังจากที่ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูทรงบอกเรื่องที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ล่วงหน้า
(เศคาริยาห์ 13:7–9; มัทธิว 26:31–35; ลูกา 22:31–38; ยอห์น 13:36–38)
27 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะทิ้งเราไป เพราะมีคำเขียนว่า ‘เราจะฟาดผู้เลี้ยงแกะ แล้วแกะทั้งหลายจะกระจัดกระจายไป’
28 แต่หลังจากที่เราคืนชีพขึ้นมา เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าพวกเจ้า”
29 เปโตรกล่าวออกมาว่า “แม้คนอื่นจะทิ้งพระองค์ไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น”
30“เราบอกเจ้าจริง ๆ” พระเยซูตรัสตอบ “คืนนี้ ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”
31แต่เปโตรยังยืนยันหนักแน่นว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธพระองค์แน่นอน”
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็พูดอย่างเดียวกัน
พระเยซูทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
(มัทธิว 26:36–46;ลูกา 22:39–46)
32 แล้วพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และพระเยซูตรัสกับศิษย์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ตอนที่เราไปอธิษฐาน”
33พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์ และทรงปวดร้าวพระทัยลึกนัก และทรงหนักพระทัยเป็นอย่างมาก
34 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราเป็นทุกข์หนักแทบจะตายอยู่แล้ว จงอยู่ที่นี่ และเฝ้าระวังไว้”
35 พระองค์ทรงเดินไปอีกหน่อย ทรงซบพระพักตร์ลงและอธิษฐานว่า หากเป็นไปได้ ขอให้ชั่วโมงนั้นพ้นผ่านไปจากพระองค์
36 “โอ อับบา พระบิดาเจ้า” พระองค์ทูล “ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ออกไปจากข้าพระองค์ด้วย แต่อย่าให้เป็นตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
37 แล้วพระเยซูทรงกลับมา พบศิษย์หลับอยู่ “ซีโมนเอ๋ย เจ้าหลับอยู่หรือ?”พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่อาจเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเลยหรือ?
38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าไปในการทดลอง เพราะวิญญาณพร้อมก็จริง แต่ร่างกายอ่อนกำลัง”
39 พระองค์ทรงออกไปอีกครั้งและอธิษฐาน ตรัสอย่างเดียวกัน
40 ทรงกลับมาอีก และพบพวกเขาหลับอยู่ เพราะง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้จะตอบพระองค์อย่างไร
41 เมื่อพระเยซูทรงกลับมาครั้งที่สาม พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้ายังจะนอนหลับพักผ่อนอยู่อีกหรือ? พอเถอะ ! เวลามาถึงแล้ว ดูสิ บุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกในเงื้อมมือคนบาป
42 ลุกขึ้นเถิด ไปกัน ดูสิ คนทรยศมาใกล้เต็มที!”
การทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:47–56; ลูกา 22:47–53; ยอห์น 18:1–14)
43 ขณะที่พระเยซูยังคงตรัสไม่ขาดคำ ยูดาสซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคนก็มาถึง โดยมีฝูงชนถือดาบและกระบองมาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และ ผู้อาวุโสเป็นคนส่งพวกเขามา
44 และตอนนี้เองที่คนทรยศได้ส่งสัญญาณที่เตรียมไว้กับพวกเขา “คนที่ข้าไปจูบก็คือชายคนนั้น พวกเจ้าจับกุมและคุมตัวเขาไปได้เลย”
45 ยูดาสตรงเข้าไปหาพระเยซู กล่าวว่า “รับบี!” และจูบพระองค์
46 แล้วคนเหล่านั้นก็ยึดและจับกุมพระองค์ไว้
47 มีคนที่ยืนดูอยู่คนหนึ่ง ชักดาบออกมาและฟันหูของคนรับใช้ปุโรหิตใหญ่คนหนึ่งออก
48 พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าออกมาจับเราพร้อมดาบและกระบองราวเหมือนกับจับโจรอย่างนั้นหรือ?
49 ทุกวันเราอยู่กับพวกเจ้า สอนในบริเวณพระวิหาร และเจ้าไม่จับกุมเรา แต่ที่เกิดเหตุเช่นนี้ก็เพื่อเป็นจริงตามพระคัมภีร์”
50 จากนั้นทุกคนก็หนีไป ทิ้งพระองค์ไว้
51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยติดตามพระเยซู เขาใช้ผ้าลินินคลุมตัวไว้ แล้วพวกเขาก็ดึงตัวชายคนนั้นไว้
52 แต่เขาสลัดผ้าทิ้ง วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย
พระเยซูต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
(มัทธิว 26:57–68; ลูกา 22:66–71; ยอห์น 18:19–24)
53 พวกเขานำพระเยซูไปพบมหาปุโรหิตใหญ่ และหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย รวมทั้งผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ที่เข้ามาชุมนุมกัน
54 ส่วนเปโตรตามพระเยซูมาห่าง ๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาไปนั่งผิงไฟกับพวกเจ้าหน้าที่
55 ตอนนี้ทั้งหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดริน พยายามรวบรวมหลักฐานปรักปรำพระเยซูเพื่อให้ต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้
56 หลายคนขึ้นเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขากลับไม่สอดคล้องกันเลย
57 แล้วมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์
58 “เราได้ยินเขากล่าวว่า ‘เราจะทำลายวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น และภายในสามวันเราจะสร้างวิหารขึ้นใหม่ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือ’ ”
59 ถึงอย่างนั้น คำพยานของเขาก็ยังไม่สอดคล้องกัน
60 ดังนั้น ปุโรหิตใหญ่จึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขา ถามพระเยซูว่า “ท่านไม่มีคำตอบอะไรเลยรึ? จะว่าอย่างไรกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้?”
61แต่พระเยซูยังคงนิ่งและไม่ทรงตอบอะไร ปุโรหิตใหญ่ถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญอย่างนั้นหรือ?”
62 “เราคือผู้นั้น” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้เห็นบุตรมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆแห่งสวรรค์”
63 เป็นเช่นนี้ มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและประกาศว่า “เราจะต้องไปหาพยานที่ไหนอีก?
64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้วไง ท่านตัดสินอย่างไรเล่า? พวกเขาจึงรวมหัวกันตัดสินว่า พระองค์สมควรรับโทษประหาร
65 แล้วบางคนก็เริ่มต้นถ่มน้ำลายใส่พระองค์ พวกเขาเอาผ้ามาผูกปิดพระเนตร และต่อยพระองค์ ถามว่า
“ทำนายมาสิ!” พวเจ้าหน้าที่มานำตัวพระองค์ไปพร้อมกับตบพระพักตร์
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มัทธิว 26:69–75; ลูกา 22:54–62; ยอห์น 18:15–18)
66 ขณะที่เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้นเอง มีสาวใช้ของมหาปุโรหิตคนหนึ่งเดินผ่านมา
67 เห็นเขากำลังผิงไฟอยู่ เธอมองตรงไปที่เปโตร และกล่าวว่า “เจ้าก็อยู่กับท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธด้วย”
68 แต่เขาปฏิเสธ “ข้าไม่รู้จักท่านสักหน่อย เจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” แล้วเขาก็ออกไปยังทางเข้าออก และตอนนั้นเองไก่ก็ขัน
69 ที่นั่น สาวใช้คนนั้นเห็นเขา จึงพูดกับคนที่ยืนแถวนั้นอีกว่า “ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเขา”
70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก สักครู่ต่อมา คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดกับเขาว่า “แน่เลย เจ้าเป็นหนึ่งในพวกเขา เพราะสำเนียงเจ้าบอกว่า เจ้าเป็นชาวกาลิลี”
71 แต่เขาเริ่มต้นสบถ และสาบานขึ้นมา “ข้าไม่รู้จักชายคนที่เจ้าพูดถึงสักหน่อย”
72 ทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง
แล้วเปโตรก็นึกถึงคำที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ก่อนที่ไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรคิดขึ้นได้นั้น เขาก็ร้องไห้ออกมา
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 14:1-2
การฉลองปัสกาอยู่ในวันที่สิบสี่ของเดือนนิสาน(เทียบได้กับมีนาคม-เมษายน) ส่วนเทศกาลขนมปังไร้เชื้อจะทำในวันที่สิบห้าต่อไปจนถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนเดียวกัน พวกผู้นำต้องการจับกุมและสังหารพระเยซูอย่างจริงจังและต้องการทำแบบลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ด้วย แต่อุปสรรคคือ ในช่วงเทศกาลจะมีชาวยิวเข้ามารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มมากมายถ้าคนรู้เข้าก็จะเกิดเรื่องแน่นอน
มาระโก 14:3-9
เราไม่ทราบว่า ซีโมนคนนี้เป็นคนเดียวกับที่พระเยซูทรงรักษาในบทที่ 1:40-42 หรือไม่ดูเหมือนน่าจะเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องออกไปอยู่เองนอกเมืองตามกฎบัญญัติแล้ว แต่มีบ้านที่สามารถรับแขกได้ด้วย พระเยซูได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านชายคนนี้
แล้วมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งเอาน้ำมันหอมราคาแพงมาเทบนพระเศียรของพระองค์ … (เรื่องนี้แตกต่างจากอีกเรื่องที่มีผู้หญิงชโลมพระบาท) คนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันหอมนั้น แต่พระเยซูทรงห้ามพวกเขาไว้ และยังตรัสด้วยว่า ไม่ว่าเรื่องของพระเจ้าประกาศที่ใด ผู้คนก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย และก็เป็นจริงดังนั้น เพราะมาระโก มัทธิว ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ส่วนยอห์น 12 ได้บอกถึงมารีย์ที่ชโลมพระบาท
พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว และทรงแจ้งให้ศิษย์ทราบด้วยว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร แต่ดูเหมือนพวกศิษย์จะไม่ได้สนใจมาก พวกเขารู้สึกเหมือนว่า พระเยซูจะทรงอยู่กับพวกเขาไปตลอด. น้ำมันหอมดังกล่าวราคาแพงขนาดค่าจ้างแรงงานทั้งปี และพระเยซูก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องสิ่งนั้น แต่เป็นสิ่งที่เธออยากจะทำถวายพระเยซู … มีคำถามเดียวว่า พวกเราแต่ละคน มีอะไรบ้างที่จะทำถวายพระเยซูอย่างเธอคนนี้?
มาระโก 14:10-11
จากเรื่องเดียวกันนี้ มัทธิวได้บันทึกว่า ยูดาสตกลงราคาที่สามสิบเหรียญ
จากวันนี้ได้ ยูดาสก็คอยโอกาสที่จะได้เงินนั้นมาเป็นของคนทั้ง ๆ ที่หมายถึงเขาต้องทรยศพระเจ้าและพระอาจารย์ของเขา
นี่คือสิ่งที่ยูดาสแตกต่างจากผู้หญิงคนที่มาเทน้ำมันเจิมพระเยซูมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นศิษย์วงในของพระองค์
มาระโก 14:12-16
ลูกแกะจะถูกฆ่าในวันที่สิบสี่ตอนเย็น วันต่อมาคือวันที่สิบห้าของเดือนนิสาน ก็เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อต่อจากเทศกาลปัสกา นี่นับเป็นวันพฤหัส ซึ่งพระเยซูทรงเตรียมที่สำหรับการรับประทานอาหารปัสการ่วมกัน พระองค์ทรงส่งเปโตร และยอห์นไปพบชายคนหนึ่งที่แบกเหยือกน้ำมา และคนนี้จะบอกว่า สถานที่รับประทานอาหารปัสกาอยู่ที่ไหน ซึ่งมีการจัดอยู่ที่ห้องชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว และพระเยซูทรงให้ศิษย์ทั้งสองเตรียมอาหารให้ที่นั่น สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่เดียวกับห้องชั้นบนที่ผู้เชื่อรอคอยพระวิญญาณในกิจการ 1:13
มาระโก 14:17-21
สดุดี 41:9 บันทึกว่า “แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้” และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นกับพระเยซูจริง ๆ
นั่นคือยูดาสที่จิ้มขนมปังชามเดียวกับพระเยซู แต่ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่เข้าใจแม้พวกเขาจะถามพระองค์ และได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มัทธิว
มาระโกและยอห์นได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ มีรายละเอียดต่างกันบ้างนิดหน่อย ตามแต่ว่าแต่ละคนเห็นอะไรชัดกว่ากัน มัทธิว ยอห์นบอกชัดว่า คน ๆ ที่จะทรยศพระเยซูก็คือยูดาห์นั่นเอง
พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่า ยูดาห์จะเลือกทรยศพระองค์ เพราะเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังทรงเลือกเขาให้เป็นศิษย์ใกล้ชิด … แปลกจริง
หลังจากตอนนี้ ยูดาห์ออกไปจากห้อง เขาไม่ได้มีส่วนในพิธีมหาสนิท
มาระโก 14:22-26
ในการรับประทานอาหารปัสกาแบบนี้ ทุกอย่างที่ทำ ที่กินเข้าไปมีความหมายทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการระลึกถึงการเป็นทาสในอียิปต์ ความทุกข์ทรมาน และการได้เป็นอิสระออกมาพวกเขาจะกินขนมปังไร้เชื้อ เพื่อระลึกถึงการหนีจากอียิปต์ ขนมปังจะเป็นแผ่นที่ต้องหักกิน พวกเขาไม่มีเวลารอให้ขนมปังฟูขึ้นด้วยเชื้อ
พระเยซูทรงเปรียบเทียบขนมปังนี้ว่าเป็นพระกายของพระองค์ ที่กินแล้วจะไม่ตาย คือเรายอมให้พระองค์มาเป็นส่วนในชีวิตของเรา
ส่วนเหล้าองุ่นนั้น พระองค์ทรงอ้างถึงพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ในวันที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์บนไม้กางเขน การที่ดื่มเข้าไปนั้นบ่งบอกถึงว่า ฤทธิ์เดชการชำระบาปได้เข้าไปในชีวิต จะเปลี่ยนแปลงชีวิตจากข้างในมายังข้างนอก
การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากการทำพิธีมหาสนิทแบบนี้ มักจะร้องจากหนังสือสดุดี 116-118 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะถูกจับในคืนเดียวกันนั้นเอง
มาระโก 14:27-31
ระหว่างทางนั้นเอง พระเยซูทรงบอกเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งล่วงหน้าแก่เปโตรและศิษย์คนอื่น นั่นคือ พวกเขาจะทิ้งพระองค์ไปแน่นอน เมื่อพระองค์ถูกจับกุม แต่เปโตรและทุกคนยืนกรานว่า จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ และตรัสด้วยว่า พระองค์จะไปรอพวกเขาที่กาลิลี ซึ่งเมื่อพวกเขาเจอทูตสวรรค์ในเช้าวันที่คืนพระชนม์ ทูตก็ได้ย้ำคำนี้ด้วย (16:7)
เปโตรมั่นใจมากเป็นคนแรกว่า เขาจะไม่ทิ้งพระองค์ แต่สิ่งที่ทรงตอบเขากลับมานั้น น่าจะทำให้เปโตรเสียหน้าพอควรเลยทีเดียว
มีมาระโกเท่านั้นที่บันทึกว่า เปโตรจะปฏิเสธพระเยซูสามครั้งก่อนไก่ขันสองครั้ง เชื่อว่า เมื่อเปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มาระโกฟัง เขายังรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่
มาระโก 14:32-42
ในเวลาเช่นนี้ พระเยซูทรงต้องการเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่จะทรงเผชิญต่อไปคือ ความตายที่น่าอับอายดั่งนักโทษประหาร ความน่ากลัวของการรับโทษบาปของคนทั้งโลก การทำตามพระทัยพระบิดาโดยที่เวลาหนึ่งพระองค์จะทรงถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเวลาไม่นานในสายตาของพวกเรา แต่พระองค์ไม่เคยห่างจากพระบิดาเลย…เป็นเวลาที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับพระเยซูพระบุตรเลย
ทรงเป็นทุกข์เจียนตาย ศิษย์ของพระองค์ไม่อาจเข้าใจถึงความเจ็บปวดในพระทัยได้ คนอื่น ๆ ทรงให้นั่งอยู่ แต่ทรงนำเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แม้กระนั้น ทั้งสามก็ไม่ได้เข้าไปอธิษฐานพร้อมกับพระองค์ พวกเขาเห็นการคร่ำครวญของพระองค์ ได้ยินคำอธิษฐานนั้นบางส่วน แต่แล้วก็หลับไป เป็นอย่างนี้ถึงสามรอบ พวกเขาง่วง เหนื่อยจนไม่อาจนั่งอธิษฐานกับพระเยซูได้
พระเยซูทรงเป็นทุกข์มากจนถึงกับขอว่า หากเป็นได้ .. ก็ขอให้ไม้กางเขนนั้นผ่านไป แต่..พระบิดาได้ไม่ได้ทรงประสงค์เช่นนั้น เพราะเป็นถ้วยแห่งพระพิโรธที่พระบุตรผู้เดียวเท่านั้นที่ดื่มได้! (ยอห์น 18:11)
ในคำอธิษฐานของพระเยซู คำว่า ถ้วยนี้คือ ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของมนุษย์ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นบาปของพระองค์ที่ต้องมารับเลย (อิสยาห์ 57:17; สดุดี 75:8) แต่พระองค์ทรงรับแทนมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก แม้ว่าพวกเขาจะกบฏต่อพระองค์มากแค่ไหนก็ตาม
และพระองค์ก็ตรัสให้เขาและเรารู้ว่า การเฝ้าระวังและอธิษฐานสำคัญมาเพื่อจะไม่เข้าในการทดลอง เป็นงานสำคัญที่ต้องตั้งใจสู้ ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว
มาระโก 14:43-52
ที่ยูดาสออกไปจากการกินอาหารร่วมกันนั้น ก็เพื่อไปรวบรวมทหารและผู้คนมาจับกุมพระเยซูนั่นเอง ยอห์นกล่าวว่าเป็นกองทหารกับเจ้าหน้าที่จากปุโรหิต ถ้าเป็นทหารหนึ่งกองจะมีประมาณ 600 คน พวกเขาตั้งใจมาจับกุมเพื่อนำพระองค์ไปประหารให้ได้ พวกเขามีทั้งดาบและกระบองมาครบครัน และยูดาสก็เข้ามาพบพระองค์ จูบพระองค์เป็นเครื่องหมายให้คนเหล่านั้นรู้ว่า คนนี้แหละ พระเยซู!
ในเหตุการณ์นี้ มีทาสคนหนึ่งถูกฟันหูขาด มาระโกไม่บอกว่าใคร แต่ยอห์นบันทึกว่าเป็นเปโตรที่ทำเช่นนั้น (ยอห์น 18:10)
จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ได้หลบ ไม่หนี ไม่ต่อต้าน แต่เพียงกล่าวให้พวกเขารู้ว่า ที่พวกเขาพากันมาจับพระองค์ในลักษณะนี้เพราะเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ถึงพระองค์ (อิสยาห์ 53:7-9)
ดูสถานการณ์แล้ว พระเยซูทรงยอมให้พวกเขาจับพระองค์แน่นอน ศิษย์ของพระองค์ทุกคนก็เลยพากันหนีไปหมด เกรงว่าตัวเองจะโดนจับตามไปด้วย
เป็นเพราะมาระโกเท่านั้นที่เล่าเรื่องนี้ หลาย ๆ คนจึงให้ความเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นมาระโกนั่นเอง
มาระโก 14:53-65
การสอบสวนพระเยซูนั้น แบ่งเป็นสองขั้นตอนคือ กับสภาสูงของยิวก่อนแล้วจึงส่งพระองค์ไปสอบสวนโดยผู้มีอำนาจจากโรม
หลังจากที่ยูดาห์พาทหารไปจับกุมพระเยซู ก็พามายังผู้นำศาสนายิวที่บ้านของมหาปุโรหิต
ถ้าเรานำเรื่องราวจากมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มาเรียบเรียงให้ถูกตามเวลา เราจะเห็นถึงขบวนการทั้งหมด ตอนนี้เราดูว่า มาระโกรายงานว่าอย่างไร …
1 หัวหน้าปุโรหิตและสภาสูงพยายามหาหลักฐานมาเพื่อให้พระเยซูถูกตัดสินประหาร แต่หาไม่ได้
2 เอาคนมาเป็นพยานเท็จ แต่คำพยานของคนเหล่านั้นขัดแย้งไปคนละทิศละทาง
3 ในที่สุดจึงถามพระเยซูเอง .. พระองค์ไม่ตอบ
4 เมื่อพวกเขาถามว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิม พระองค์ทรงตอบว่าทรงเป็นผู้นั้น …จุดนี้เองที่ทำให้พวกเขาเอามาเป็นข้อฟ้องร้องพระองค์เท่ากับตอนนี้ ผู้นำศาสนายิวได้บทสรุปว่า พระเยซูสมควรถูกประหารจากนั้นก็มีการเยาะเย้ยถากถางพระองค์ มีคนถ่มน้ำลายรดพระเยซู เอาผ้าปิดพระเนตร และให้ทายว่าใครทำร้าย
ถ้าเป็นสำนักงานข่าว เราจะพบว่า มาระโกรายงานเพียงเท่านี้
มาระโก 14:66-72
แล้วมาระโกก็หันไปรายงานเรื่องของเปโตรที่ได้ปฏิเสธพระเยซู
เราจะเห็นว่า เขาเดินตามพระเยซูไปห่าง ๆ ยังมีความกลัวว่าพวกทหารอาจจะจับเขาไปด้วย และในความกลัวนี้เอง เมื่อมีคนทักสามครั้งทำให้เขา
ปฎิเสธพระองค์ทันที
ครั้งที่ 1 พูดว่า ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องที่เขาพูดออกมา
ครั้งที่ 2 ปฎิเสธอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 คนจับได้ว่าสำเนียงทางเหนือ เริ่มสบถ
บอกว่าไม่รู้จักอีก
เมื่อไก่ขันครั้งที่สอง เปโตรก็นึกได้ว่า พระเยซูได้ตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะปฏิเสธพระองค์ เขาเสียใจมาก …
เปโตรได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง พระเยซูทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์ถึงสามครั้งหลังจากที่ทรงฟื้นจากความตาย (ยอห์น 21 )
แต่น่าเสียดาย ยูดาส อิสการิโอท ไม่ได้กลับใจ แต่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ทำให้หมดโอกาสที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอีกครั้ง (กิจการ 1:18)
พระคำเชื่อมโยง
Cross Reference มาระโก 14
1* ลูกา 22:1-2; อพยพ 12:1-27
3* ลูกา 7:37
5* มัทธิว 18:28; ; ยอห์น 6:61
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11; ยอห์น 7:77; 8:21; 14:2, 12; 16:10, 17, 28
8* ยอห์น 19:40-42
9* ลูกา 24:47
10* มัทธิว 10:2-4
12* มัทธิว 26:17-19
17* มัทธิว 26:20-24
18* สดุดี 41:9; ยอห์น 6:70, 71; 13:18
21* ลูกา 22:22
22* 1โครินธ์ 11:23-25; 1 เปโตร 2:24
26* มัทธิว 26:30
27* มัทธิว 26:31-35; เศคาริยาห์ 13:7
28* มาระโก 16:729* ยอห์น 13:37-38
30* มาระโก 14:72; ลูกา 22:6132* ลูกา 22:40-46
33* มาระโก 5:37; 9:2; 13:3
34* ยอห์น 12:27
36* กาลาเทีย 4:6; ฮีบรู 5:7; อิสยาห์ 50:5; ยอห์น 5:30; 6:38
38* ลูกา 21:36; โรม 7:18; 21-24
41* ยอห์น 13:1; 17:142* ยอห์น 13:21; 18:1-2; มัทธิว 20:18; 26:2143* ลูกา 22:47-53
44* สุภาษิต 27:648* มัทธิว 26:55
49* มัทธิว 21:23; อิสยาห์ 53:7
50* สดุดี 88:8
53* มัทธิว 26:57-68; มาระโก 15:1; ยอห์น 7:32; 18:3; 19:6
54* ยอห์น 18:15
55* มัทธิว 26:59
56* อพยพ 20:1657* สดุดี 27:12; 35:11
58* ยอห์น 2:19
60* มัทธิว 26:62
61* อิสยาห์ 53:7; ลูกา 22:67-7162* ลูกา 22:69
64* ยอห์น 10:33, 36; มัทธิว 20:18; มาระโก 10:33;ยอห์น 19:7
65* อิสยาห์ 50:6; 52:1466* ยอห์น 18:16-18; 25-27
67* ยอห์น 1:45
69* มัทธิว 26:71
70* ลูกา 22:59
71* กิจการ 2:7
72* มัทธิว 26:75
ฮีบรู 7 ครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 7:1 เมลคีเซเดคท่านนี้ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าองค์สูงสุด ท่านพบอับราฮัมตอนที่กลับมาจากการต่อสู้กับกษัตริย์ทั้งหลายและได้อวยพรท่าน (ปฐมกาล 14:8-16)
ฮีบรู 7:2 และอับราฮัมได้มอบหนึ่งในสิบจาก ของที่ริบมาทั้งหมด ประการแรกนามของท่านหมายถึง “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” ท่านยังเป็น “กษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม” ซึ่งหมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข”
ฮีบรู 7:3 ไม่มีบันทึกลำดับวงศ์วานของท่าน ไม่มีบิดามารดา ไม่มีบันทึกวันเริ่มต้นชีวิตหรือวันสิ้นสุดชีวิต แต่เป็นเหมือนกับพระบุตรของพระเจ้า ท่านดำรงตำแหน่ง ปุโรหิตเป็นนิตย์
ฮีบรู 7:4-5 ให้พิจารณาให้ดีว่า ท่านเมลคีเซเดคยิ่งใหญ่เพียงใด แม้แต่อับราฮัมต้นวงศ์วานของเรา ยังได้ถวายหนึ่งในสิบจากสิ่งที่ริบมาจากการสู้รบ บทบัญญัตินั้นสั่งให้วงศ์วานเลวีที่มีตำแหน่งปุโรหิตรับหนึ่งในสิบจากประชาชน นั่นคือ จากพี่น้องของพวกเขา แม้ว่า พี่น้องของเขาเองก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเช่นกัน
ฮีบรู 7:6-7 แต่ท่านเมลคีเซเดค ท่านไม่ได้สืบเชื้อสายจากเลวี ก็ได้เก็บหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และอวยพรให้เขาผู้ได้รับพระสัญญาการที่ผู้น้อยได้รับพรจากผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ฮีบรู 7:8 ในกรณีของเลวี คนที่รับหนึ่งในสิบเป็นมนุษย์ที่ตาย แต่กรณีของท่านเมลคีเซเดคท่านเป็นผู้ที่ได้รับการประกาศว่า ดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป
ฮีบรู 7:9-10 กล่าวได้อีกอย่างคือเลวีที่รับหนึ่งในสิบ ได้ถวายหนึ่งในสิบผ่านอับราฮัมแล้วเพราะเมื่อท่านเมลคีเซเดคพบอับราฮัม เลวียังอยู่ในกายของอับราฮัมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขาฮีบรู 7:11 หากว่าระบบปุโรหิตเลวีซึ่งเป็นฐานของบทบัญญัติ สามารถทำให้ผู้คนมีความสมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงตั้งระบบปุโรหิตที่แตกต่างไป โดยมีปุโรหิตตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบอย่างของอาโรน?
ฮีบรู 7:12-13 เพราะเมื่อระบบของปุโรหิตเปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกันปุโรหิตผู้ที่เรากล่าวถึงเป็นผู้ที่มาจากเผ่าอื่น ซึ่งไม่เคยมีใครในเผ่านั้นรับใช้ต่อหน้าแท่นบูชาในฐานะปุโรหิตมาก่อน
ฮีบรู 7:14-15 เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามาจากเชื้อสายเผ่ายูดาห์ โมเสสเองไม่เคยกล่าวว่ามีปุโรหิตมาจากเผ่านั้น และสิ่งที่เรากล่าวถึงจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีปุโรหิตอีกท่านที่เหมือนท่านเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น
ฮีบรู 7:16-17 พระองค์เป็นปุโรหิตโดยไม่ได้ใช้กฎระเบียบการสืบทอดตามบรรพบุรษแต่เป็นโดยฤทธิ์เดชแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจทำลายได้ ตามที่ได้มีคำยืนยันว่า
“ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”
ฮีบรู 7:18-19 กฎเกณฑ์ดั้งเดิม (ในระบบปุโรหิต)จึงถูกยกเลิกไป เพราะไม่ได้คุณภาพและไร้ประโยชน์ (เพราะบทบัญญัติไม่อาจทำให้สิ่งใดดีพร้อมได้เลย) มีการให้ความหวังที่ดีกว่า ความหวังนี้ทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้
ฮีบรู 7:20-21 และทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ด้วยคำปฏิญาณจากพระเจ้า เพราะผู้อื่นที่มาเป็นปุโรหิตต่างมาโดยไม่ได้มีคำปฏิญาณใด ๆ แต่พระเยซูทรงมาเป็นปุโรหิตด้วยคำปฏิญาณ เมื่อพระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัย คือว่า ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์”
ฮีบรู 7:22-23เป็นเพราะคำปฏิญาณนี้เอง พระเยซูจึงทรงมาเป็นผู้ประกันของพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม มีปุโรหิตมากมายที่รับตำแหน่งสืบทอดต่อ ๆ กัน เพราะความตายนั้นกั้นไม่ให้พวกเขาทำงานในตำแหน่งนั้นตลอดไป
ฮีบรู 7:24-25 แต่เป็นเพราะพระเยซูทรงพระชนม์เป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงเป็นปุโรหิตที่ดำรงตำแหน่งอย่างยั่งยืน
ดังนั้น พระองค์จึงทรงช่วยคนที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์ถึงที่สุดเพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เสมอ
เพื่อทูลวิงวอนเพื่อพวกเขา
ฮีบรู 7:26 มหาปุโรหิตเช่นนี้ สามารถช่วยเราจริง ๆ นั่นคือ
ท่านที่บริสุทธิ์ ปราศจากความผิดไร้ตำหนิ ถูกแยกออกจากคนบาปและเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ฮีบรู 7:27 พระเยซูไม่เหมือนมหาปุโรหิตอื่น เพราะพระองค์ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาประจำวันเพื่อบาปของพระองค์ก่อนและต่อมาเพื่อบาปของประชาชน ที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เท่ากับเป็นเครื่องบูชาเพื่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 7:28 เพราะกฎบัญญัติแต่งตั้งคนที่มีข้อจำกัดเพราะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอมาเป็นมหาปุโรหิต แต่คำปฏิญาณที่มาหลังกฎบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งพระบุตรผู้ทรงถูกทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมตลอดไปเป็นนิตย์
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 7:1
ครั้งแรกที่เราพบท่านเมลคีเซเดคนั้น คือครั้งที่อับราฮัมไปช่วยชีวิตโลทหลานชาย โดยการสู้รบกับกษัตริย์จากตะวันออกที่กวาดต้อนชาวโสโดม
ไป ชนะพวกเขาได้ราบคาบ และริบข้าวของมาอีกมากมาย เมื่อกลับมา ก็มาพบกับท่านเมลคีเซเดคโดยอับราฮัมได้มอบทรัพย์สินที่ได้มาหนึ่งในสิบให้กับท่านซึ่งเป็นทั้งกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม และเป็นปุโรหิตคือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วย
ฮีบรู 7:2
ชื่อของท่านเมลคีเซเดกนั้น มีความหมายตรงไปยังองค์พระเยซูคริสต์ นั่นคือ คำว่า เมลคี หมายถึงกษัตริย์และ เซเดค คือ ความเที่ยงธรรม
แปลชื่อท่านตรง ๆ คือ “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” และยังทรงเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุขซึ่งก็มีความหมายถึง องค์พระเยซูผู้ประทานสันติสุขให้ไม่เหมือนสันติสุขแบบของโลก อิสยาห์ 9:6 และ 11:14 ได้บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูคือราชาแห่งสันติ
ฮีบรู 7:3
อย่าเพิ่งถอดใจเรื่องของท่านเมลคีเซเดคผู้นี้ เราอาจคิดว่า ท่านเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันคนนี้ ถ้าเรารู้จักท่าน เราจะเข้าใจอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับพระเยซูในฐานะคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ มากขึ้น มีบันทึกเกี่ยวกับท่านในหนังสือโบราณอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จากฮีบรูคือ ท่านเหมือนพระบุตรพระเจ้า และดำรงตำแหน่งนี้ตลอดไป
ฮีบรู 7:4-5
การที่อับราฮัมมอบสิบลดให้กับเมลคีเซเดค เท่ากับว่า เมลคีเซเดคเป็นผู้ที่ใหญ่กว่า อับราฮัมยอมรับว่า กษัตริย์-ปุโรหิตองค์นี้ ต้องได้รับการนับถือต้องได้รับของถวาย เมลคีเซเดคมาก่อนระบบปุโรหิต-เลวีในสมัยของโมเสส การมอบของถวายหนึ่งในสิบของอับราฮัมนี้ เป็นต้นแบบสำคัญที่อีกสี่ร้อยปีต่อมาที่พระเจ้าได้ทรงให้โมเสสตั้งระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วยเผ่าเลวี ซึ่งเป็นระบบที่จะหมดสิ้นในวันหนึ่ง
ฮีบรู 7:6-7
แม้ว่าอับราฮัมเป็นที่นับถือของผู้คนมากมาย ในฐานะที่เป็นบิดาของประชาชาติ แต่แล้วกลับมาพบว่า มีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา และยังอวยพรเขาด้วย ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะท่านเมลคีเซเดค รับของถวาย และให้พรแก่อับราฮัม เท่ากับอับราฮัม บิดาแห่งประชาชาติยังมีฐานะที่ต่ำกว่าท่านเมลคีเซเดค จากเหตุการณ์ตอนนี้เราพบว่า ระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ามนุษย์มีมานานแล้ว ก่อนระบบปุโรหิตสมัยโมเสส
ฮีบรู 7:8
จากข้อสามกล่าวว่าลักษณะของท่านเมลคีเซเดคก็คือ ไม่มีบิดามารดา ไม่มีลำดับวงศ์ ไม่มีวันเกิดหรือวันสิ้นชีวิต เป็นเหมือนพระบุตรพระเจ้า และ
เป็นปุโรหิตตลอดไป สิ่งที่กำลังหมายถึงก็คือการที่เมลคีเซเดคมาปรากฏตัว มีความสำคัญมากกว่าระบบปุโรหิตของเผ่าเลวีที่โมเสสตั้งขึ้น
มีความเหมือนกับหน้าที่ตำแหน่งของพระเยซูแบบเหมือนเป๊ะ ทุก ๆ อย่างตามที่บรรยายไว้
ฮีบรู 7:9-10
สิบลดที่อับราฮัมมอบให้กับเมลคีเซเดค มีความสำคัญมากเพราะเท่ากับว่า เลวีในสมัยสี่ร้อยปีต่อมา ก็ได้ให้สิบลดแก่เมลคีเซเดคล่วงหน้าแล้ว
ผ่านอับราฮัมซึ่งเป็นต้นตระกูลของพวกเขาที่ผู้เขียนได้พยายามอธิบายมาถึงตอนนี้ ก็เพื่อผู้อ่านซึ่งเป็นคนยิว ที่ยังยึดติดกับระบบปุโรหิต
จะได้เข้าใจว่า การที่พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตหรือคนกลางของเรานั้นสำคัญอย่างยิ่ง
ฮีบรู 7:11
เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้องการระบบคนกลาง (ปุโรหิต) แบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่แบบอาโรน ตรัสกับพระเยซูในในฮีบรู 5:5-6 ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา.. เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค” ระบบของอาโรนทำให้เรารู้ว่าเราบาปอย่างไร และมีมนุษย์เป็นคนกลาง แต่ระบบของเมลคีเซเดค มีพระเยซูผู้เดียวเป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า
ฮีบรู 7:12-13
ระบบปุโรหิตเปลี่ยน แทนที่ปุโรหิตจะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ และทำผิดบาป กลับกลายเป็นพระเยซูทรงมาเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์แทน
ดังนั้น กฎบัญญัติจึงไม่เหมือนเดิมในหลาย ๆ กรณี อย่างเช่นสมัยก่อนเรายึดกฎบัญญัติเป็นหลักในการที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่มาบัดนี้
การเชื่อวางใจ และติดตามพระเยซูต่างหากที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
ฮีบรู 7:14-15
ย้อนกลับไปที่เรื่องของปุโรหิตหรือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สมัยโมเสสผู้ที่จะเป็นปุโรหิตได้ก็ต้องมาจากเผ่าเลวีเท่านั้น ทั้งหมดที่ผ่านมา
ระบบต่าง ๆ ที่เราเห็น เป็นเพียงการบอกเราว่าเราซึ่งเป็นมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยวิธีของพระองค์ และสิ่งที่ดีกว่าระบบ
ปุโรหิตของโมเสสก็คือ ความบริสุทธิ์ขององค์ผู้เป็นปุโรหิต และศักดิ์ศรีความเป็นกษัตริย์
ฮีบรู 7:16-17
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์โดยที่พระองค์ไม่ได้รับตำแหน่งนี้มาด้วยการสืบทอดทางสายเลือดเหมือนอย่างเลวี แต่พระองค์
ทรงเป็นคนกลางหรือปุโรหิตแบบเดียวกับท่านเมลคีเซเดคซึ่งท่านมีตำแหน่งปุโรหิตนี้ก่อนที่จะมีระบบปุโรหิตในสมัยโมเสส และตำแหน่งหน้าที่ของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ชั่วคราว แต่ยั่งยืนเป็นนิตย์ไม่มีใครทำลายได้ ไม่หายไป ไม่มีวันสูญสิ้น
ฮีบรู 7:18-19
เราเป็นคนต่างชาติ ระบบปุโรหิตเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ผู้เขียนกำลังบอกเราว่า กฎในระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งเป็นของเดิมที่พระเจ้าทรงตั้งในสมัยโมเสสนั้น ได้บอกชัดว่า ไม่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้คนรอดไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์ติดกับดักของบัญญัติที่เพียงชี้ให้เห็นเราว่า เราเป็นคนแบบใด เราทำผิดอย่างไรไปบ้าง แต่เราต้องมาหาพระผู้ช่วยแท้
ฮีบรู 7:20-21
คำว่า คำปฏิญาณนั้น คือคำสัญญาอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ อิสราเอลสมัยก่อนจะขอให้พระเจ้าทรงเป็นพยานคำปฏิญาณคำปฏิญาณบ่งบอกความตั้งใจที่จะทำให้สิ่งที่กล่าวไว้สำเร็จตามที่พูดอย่างแน่นอน ปุโรหิตหรือคนกลางทั้งหลายสมัยโมเสสเป็นต้นมาถูกตั้งโดยระบบต่อเนื่อง แต่พระเยซูทรงถูกตั้งโดยคำปฏิญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ฮีบรู 7:22-23
ที่ทรงเป็นปุโรหิตที่ดีกว่าด้วยเหตุผลหลายประการเป็นเพราะพระเจ้าปฏิญาณจะประทานปุโรหิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุไหน ปีไหนในประวัติ-
ศาสตร์ เราก็มีพระเยซูเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับเรา -พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ -การเป็นคนกลางของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องเปลี่ยนตัว มีการนับว่าจากสมัยโมเสสถึงค.ศ. 70 มีการเปลี่ยนตัวปุโรหิตถึง 83 คน !
ฮีบรู 7:24-25
ที่พระเยซูทรงช่วยได้เพราะทรงเป็นพระเจ้าเป็นมนุษย์ในพระองค์เดียวกัน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อวิงวอนเพื่อคนที่มาใกล้พระองค์ ทรงชำระให้บริสุทธิ์ ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาการที่ทรงช่วยจนถึงที่สุดหมายถึงได้ทั้งการช่วยอย่างสมบูรณ์แบบ และ เสมอไป การช่วยให้รอดของพระองค์เพื่อเราจึงสมบูรณ์แบบรอบด้านและเป็นการช่วยเสมอ ตลอดไป
ฮีบรู 7:26
ความเหมาะสมเช่นนี้ ไม่มีใครทำให้ได้นอกจากพระเจ้าจะทรงกำหนดให้ เวลาเรามีอาจารย์หรือครูสอนที่เราชอบ วันหนึ่งเราอาจผิดหวังเพราะเขาเป็นแค่มนุษย์มีโอกาสทำพลาดได้ แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือมนุษย์คนใด เหนือฟ้าสวรรค์ ทรงไร้ที่ติหน้าที่คนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์จึงเหมาะสมที่จะเป็นของพระองค์ผู้เดียว
ฮีบรู 7:27
พระองค์ทรงแตกต่างจากปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ เดี๋ยวพลาด เดี๋ยวกลับใจ เดี๋ยวดี พระองค์ได้ทรงสละชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขน
เพียงครั้งเดียว และการสละครั้งนั้น เพียงพอแล้วและบัดนี้ทรงนั่งข้างขวาพระบิดาในสวรรค์ทรงรับการยกย่องเหนือผู้ใดในเอกภพ (ปุโรหิต
ทั่วไปต้องถวายเครื่องบูชาในวันลบบาปปีละครั้งแถมยังต้องถวายเครื่องบูชาทุกวันด้วย)
ฮีบรู 7:28 เราต้องแยกระหว่างกฎบัญญัติ กับคำปฏิญาณของพระเจ้า กฎ ทำไว้เพื่อให้ทำตามกฎกันต่อไปเรื่อย ๆ และมนุษย์ก็มีความจำกัด เพราะแพ้บาปได้เสมอ เราเองเป็นคนบาปที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า ไม่มีระบบใดในโลก วิธีการใดที่จะเป็นสะพานระหว่างพระเจ้ากับเรา ดังนั้นเราจึงต้องการพระบุตรของพระเจ้าองค์นี้ มาเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ ให้เราคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
พระคำเชื่อมโยง
1* ปฐมกาล 14:18-20
5* กันดารวิถี 18:21-26
6* ปฐมกาล 14:19-20; โรม 4:13
8* ฮีบรู 5:6; 6:20
11* ฮีบรู 7:18; 8:7
14* อิสยาห์ 1:1; มัทธิว 1:217* สดุดี 110:4
18* โรม 8:3
19* กิจการ 13:39; ฮีบรู 6
:18-19; โรม 5:2
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 8:6
25* ยูดา 24; โรม 8:34
26* ฮีบรู 4:15; เอเฟซัส 1:20
27* เลวีนิติ 9:7; 16:6
ฮีบรู 6 คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด
หลักคำสอนพื้นฐาน
6:1 ดังนั้น ให้เราพากันผ่านหลักคำสอนพื้นฐานเกี่ยวกับพระคริสต์ และก้าว
ต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีกในเรื่อง
1 การกลับใจจากการกระทำที่นำสู่ความตาย
2 และความเชื่อในพระเจ้า
6:2-3 3 คำสอนเรื่องการชำระให้สะอาด
4 การวางมือ
5 เรื่องการคืนชีพจากความตาย
6 และการพิพากษาลงโทษนิรันดร์
หากพระเจ้าทรงอนุญาต เราจะมุ่งหน้าก้าวต่อไป
อย่าทิ้งทางนี้ไป..เพราะอันตราย
6:4-5 ส่วนบรรดาคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเข้าใจ ได้ลิ้มรสของประทาน
จากสวรรค์ คนที่มีสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่เคยรับความดีแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้สัมผัสฤทธิ์เดชของยุคที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
6:6แล้วกลับละทิ้งทางนี้ไป … กรณีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะนำพวกเขากลับมา สู่การกลับใจอีกครั้ง เพราะพวกเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีกครั้ง
และทำให้พระองค์ทรงอับอายต่อหน้าสาธาณชน
6:7-8 ผืนดินที่ได้รับน้ำฝนซึ่งตกลงมา และเกิดพืชผลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์
แก่คนที่เพาะปลูกดูแล ก็เท่ากับเป็นพระพรจากพระเจ้า แต่ผืนดินที่เกิด
ต้นหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่าใกล้ถูกสาป ในที่สุดก็จะถูกไฟเผา
6:9 เพื่อนรัก แม้ว่าเราจะพูดเช่นนี้ เราก็ตระหนักว่า ในกรณีของท่าน
นั้นยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสารพัดสิ่งที่จะมาพร้อมกับความรอด
พากเพียรบากบั่น จนถึงที่สุด
6:10 เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมงานที่ทำ และความรัก
ที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ ในขณะที่ท่านได้รับใช้วิสุทธิชนของพระเจ้า และยังจะรับใช้พวกเขาต่อไป
6:11-12 เราปรารถนาให้ท่านแสดงว่าได้พากเพียรบากบั่นจนถึงที่สุด เพื่อว่าจะทำให้สิ่งที่ท่านหวังนั้นเกิดขึ้นจริง เพื่อท่านจะไม่เป็นคนเฉื่อยช้า แต่จะเลียนแบบคนที่ได้รับมรดกตามพระสัญญาโดยอาศัยทั้งความเชื่อและความทรหดอดทน
คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด
6:13-14 เมื่อพระเจ้าทรงทำสัญญาต่ออับราฮัมนั้น พระองค์ทรงกล่าวคำปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์เอง เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าพระองค์ที่จะทรงอ้างในคำปฏิญาณได้ ตรัสว่า“เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและทวีจำนวนลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากเจ้า”
6:15-16 ดังนั้น อับราฮัมจึงได้รับตามพระสัญญาหลังจากที่ได้รอคอยอย่างอดทน มนุษย์นั้นจะสาบานโดยอ้างบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง และคำปฏิญาณของพวกเขาก็เป็นสิ่งยืนยันเพื่อจบการโต้แย้งใด ๆ
6:17 ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะแสดงให้ทายาทที่จะรับตามพระสัญญารู้ชัดว่า ไม่มีการเปลี่ยนสิ่งที่ทรงตั้งพระทัยไว้ พระองค์ทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำปฏิญาณ (ภาษาเดิมว่าคำสาบาน)
ความหวังที่อยู่ข้างหน้า
6:18 ดังนั้น โดยสองสิ่งนี้ที่ไม่มีวันเปลี่ยนและเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา พวกเราที่ได้หนีไปยึดความหวังซึ่งเตรียมไว้ต่อหน้าพวกเราจึงต่างได้รับกำลังใจ
6:19-20 เรามีความหวังนี้ เป็นสมอสำหรับจิตวิญญาณทั้งมั่นคง ปลอดภัย เป็นหวังที่ได้เข้าไปยังสถานที่บริสุทธิ์เบื้องหลังม่าน เป็นที่ซึ่งพระเยซูผู้ทรงเข้าไปก่อนเพื่อเรา พระองค์จึงทรงเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 6:1
ประเด็นสำคัญตอนนี้ คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ พี่น้องที่เข้ามาเชื่อนั้น ส่วนใหญ่เปลี่ยนจากศาสนายิว มาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้กล่าวถึงพื้นฐานที่สำคัญหกหัวข้อ หลักคำสอนพื้นฐานดังกล่าวจะเป็นรากฐานที่สำคัญให้กับผู้เชื่อ สอง อย่างแรกคือ การกลับใจและความเชื่อ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราเช่นกัน
ฮีบรู 6:2-3
การชำระให้สะอาดและการวางมือนั้น คู่กัน มีความหมายถึงการรับบัพติศมา และเมื่อ มีการวางมืออธิษฐานให้ เป็นภาษาท่าทางที่สื่อว่า คน ๆ นั้น ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และก้าวเข้าสู่ชุมชนพระกายของพระคริสต์ ส่วนสองข้อสุดท้ายคริสเตียนจะต้องเข้าใจว่า พระเยซูผู้ทรงคืนชีพจากตายจะเสด็จกลับมาและพิพากษาโลก
ฮีบรู 6:4-5
พระคำตอนนี้ต้องอ่านคู่ไปกับข้อที่หก ในสองข้อนี้กำลังอธิบายถึงคนที่เคยรู้จักพระเจ้ามาอย่างดี ทั้งเข้าใจ ทั้งได้ของประทานที่ล้ำเลิศ ทั้งได้เคยสนิทกับองค์พระวิญญาณรู้จักพระวจนะของพระเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นคนที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้าอย่างเหลือล้น แต่แล้ว เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ …..
ฮีบรู 6:6
เขาละทิ้งทางของพระเจ้าทั้งที่รู้ดีกว่าใครเหมือนกับคนที่พระธรรมโรม 1:28 กล่าวว่า “เขาไม่เห็นคุณค่าของการที่รู้จักพระเจ้า” ข้อความตอนนี้ยากที่จะเข้าใจ และยังน่ากลัวสำหรับชีวิตของคน ๆ นี้ด้วย การที่บอกว่าเขาตรึงพระเยซูอีกครั้งก็คือ เขากำลังทำอย่างเดียวกับคนที่ตรึงพระเยซูในอดีต… คือปฏิเสธเยาะเย้ย และดูหมิ่นพระองค์
ฮีบรู 6:7-8
นี่เป็นภาพเดียวกับที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น คนหนึ่งได้รับของดีจากพระเจ้ามาทั้งชีวิตแต่แล้วปฏิเสธพระองค์ ก็เหมือนกับแผ่นดินที่ได้รับน้ำฝนอย่างเพียงพอ แต่กลับเกิดต้นหนามทั้งเล็กใหญ่ ผืนดินนั้นก็เท่ากับไร้คุณค่า บางครั้งเราคิดว่า เราโอเคแล้ว เป็นลูกคริสเตียน หรือเป็นสมาชิกในโบสถ์ แต่หารู้ตัวไม่ว่าจริง ๆ เป็นคนที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้า
ฮีบรู 6:9
หลังจากที่ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงสิ่งน่ากลัวที่จะเกิดกับคนที่ปฏิเสธพระเจ้าไป ท่านก็พูดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความหวังใจในสิ่งดี ๆ ท่านเชื่อว่าพี่น้องที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จะไม่อยู่ในกรณีนั้น ท่านกำลังบอกว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะได้รับความรอด” นั่นเอง เราต้องดูต่อไปว่าทำไมท่านมีความหวังใจเช่นนี้
ฮีบรู 6:10
ที่ผู้เขียนฮีบรูมีความหวังใจกับพี่น้องเป็นเพราะพวกเขาได้ออกแรงทำงานรับใช้พี่น้องรับใช้พระเจ้าด้วยความรักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ท่านให้กำลังใจว่า ทุกสิ่งที่ได้ทำนั้น พระเจ้าไม่ทรงลืม พระองค์ทรงยุติธรรมที่จะประทานพร รางวัลให้แก่พวกเขา สิ่งที่ทำให้ท่านรู้ว่า พวกเขาเป็นผู้เชื่อแท้ก็เพราะพวกเขารักพระเจ้า รับใช้อย่างไม่หยุดยั้ง
ฮีบรู 6:11-12
จากข้อความนี้ เราเห็นชัดว่า ผู้เขียนขอร้องให้พี่น้องเอาจริงเอาจังกับความเชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ทำตัวสบาย ๆ ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เรามีตัวอย่างของคนที่มีความเชื่อและความอดทนในพระคัมภีร์หลายคน และแน่นอน รอบตัวเรา ก็น่าจะมีคนที่เป็นแบบอย่างให้กับเราด้วย
ฮีบรู 6:13-14
น่าแปลกที่พระเจ้าทรงสัญญาต่ออับราฮัมว่าท่านจะได้มีลูกหลานจำนวนมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ทรงสั่งให้เอาอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชา ซึ่งตัวอับราฮัมผู้ที่ได้คุ้นเคยกับพระเจ้า และมีความมั่นใจในพระองค์เต็มร้อย ก็ลงมือทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ แต่ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงหาทางให้อิสอัคมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ต้องตายไปก่อน
ฮีบรู 6:15-16
อับราฮัมได้อย่างที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่จริงคำมั่นสัญญาของพระเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างใครเพื่อให้เกิดการเชื่อถือ เราเชื่อพระสัญญาได้เพราะพระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระดำรัา ไม่เคยมีครั้งใดที่พระองค์ทรงเปลี่ยนคำของพระองค์ตามพระทัยตามอารมณ์หรือตามสถานการณ์ มนุษย์เราเวลาให้สัญญาก็มักจะต้องอ้างถึงผู้ที่ใหญ่กว่าตนเสมอ แต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญาทรงใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้
ฮีบรู 6:17
ที่พระเจ้าทรงยืนยันพระสัญญาด้วยคำปฏิญาณของพระองค์ ก็เพื่อเห็นแก่อับราฮัม เพื่อเขาจะเชื่ออย่างเต็มร้อย เพื่อเขาจะไม่ต้องสงสัยในพระสัญญา (อย่างที่พวกเรามักจะสงสัย ไม่เชื่อคิดว่าพระเจ้าทรงทำไม่ได้ คิดว่าพระเจ้าทรงลืมไปแล้ว) เราจะเห็นคำว่า ทายาทที่จะรับตามพระสัญญา นั่นก็คือ พวกเราที่เชื่อพระเยซูนั่นเอง(กาลาเทีย 3:29) พระคำตอนนี้จึงพูดกับเราโดยตรง
ฮีบรู 6:18
เวลาพระเจ้าตรัสสิ่งใดกับมนุษย์ คำไหนเป็นคำนั้นไม่เปลี่ยนไปมาอยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มภาษาให้กับเรา พระเยซูตรัสว่า ทรงเป็นทางนั้นเป็นความจริง และเป็นชีวิต จะเห็นว่า ความจริงคือพระลักษณะของพระองค์เอง เราเองต้องทบทวนตัวเองว่า เรามั่นใจในพระลักษณะ พระดำรัส และคำสัญญาของพระองค์ขนาดไหนถ้ายังมีไม่พอ ต้องอ่าน ฟังพระคำเยอะหน่อย!
ฮีบรู 6:19-20
สถานที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้น ห้ามคนเข้าไปเด็ดขาดเป็นที่ ๆ บอกว่า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์กับมนุษย์ไม่อาจพบปะกันได้ แต่พระเยซูคริสต์ ทรงเข้าไปก่อนแล้ว ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเราที่บอกว่า เราหวังจะได้เข้าที่บริสุทธิ์หลังม่านก็คือที่จะได้พบกับพระเจ้าต่อพระพักตร์พระองค์เราในปัจจุบันไม่ทราบกันว่า ในสมัยโบราณนั้นการเข้าหาพระเจ้าไม่ง่ายเหมือนเวลานี้เลย
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 5:12; 9:14
2* กิจการ 19:3-5; 8:17; 17:31;24:25
4* ยอห์น 4:10; กาลาเทีย 3:2,5
6* ฮีบรู 10:29
7* สดุดี 65:10
8* อิสยาห์ 5:6
10* โรม 3:4; 1 เธสะโลนิกา 1:3; โรม 15:25
11* โคโลสี 2:2
12* ฮีบรู 10:36
13* ปฐมกาล 22:16-17
14* ปฐมกาล 22:16-17
15* ปฐมกาล 12:4; 21:5
16* อพยพ 22:11
17* ฮีบรู 11:9; โรม 11:29
18* กันดารวิถี 23:19; โคโลสี 1:5
19* เลวีนิติ 16:2,15
20* ฮีบรู 4:14; 3:1;5:10-11
ฮีบรู 5 องค์มหาปุโรหิต..
ปุโรหิตมนุษย์ที่พลาดได้
5:1 มหาปุโรหิตทุกคน ถูกเลือกมาจากหมู่มนุษย์เพื่อทำหน้าที่แทนพวกเขาในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า
พวกเขานำของถวายและเครื่องบูชามาถวายเพื่อรับการอภัยบาป
5:2-3 เขาสามารถทำหน้าที่ของเขาได้ด้วยความเข้าใจคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนที่ถูกชักนำไปในทางผิด เป็นเพราะเขาเองก็อ่อนแอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาเพื่อบาปของตนเองเช่นเดียวกับบาปของประชาชนด้วย
5:4 ไม่มีใครอาจรับเกียรติทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เขาต้องได้รับการทรงเรียก
จากพระเจ้าเหมือนอย่างที่อาโรน ได้รับการทรงเรียกนั้น
องค์ปุโรหิตนิรันดร์
5:5 เช่นเดียวกัน พระคริสต์มิได้ทรงถือเอาเกียรติแห่งการเป็นมหาปุโรหิตด้วยพระองค์เอง….. แต่ทรงได้รับการทรงเรียกโดยพระองค์ผู้ตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”
5:6 และในอีกตอนหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตองค์นิรันดร์ ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”
5:7 ระหว่างที่พระเยซูทรงดำเนินชีวิตในโลกพระองค์ทรงทูลอธิษฐานอ้อนวอนด้วยสุรเสียงดังพร้อมน้ำตาพรั่งพรู ต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้าก็ทรงรับฟังเพราะพระเยซูทรงนบนอบเชื่อฟัง
5:8-10 แม้ว่าทรงเป็นพระบุตร พระองค์ทรงเรียนรู้การเชื่อฟังจากความทุกข์ทรมานที่ทรงเผชิญและเมื่อทรงรับความสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์และพระเจ้าทรงแต่งตั้งให้พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค
จิตวิญญาณที่ไม่โต
5:11-12 เรายังมีประเด็นที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เป็นการยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ช้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ ท่านควรเป็นครูสอนคนอื่นได้แล้ว ท่านกลับต้องให้มีคนมาสอนหลักการพื้นฐานของพระดำรัสซ้ำอีก ท่านต้องการน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง
5:13-14 เพราะทุกคนที่ยังกินนมอยู่คือเด็กทารก ไม่เข้าใจคำสอนเรื่องความเที่ยงธรรม แต่อาหารแข็งนั้นเป็นของผู้ที่เติบโตแล้ว เป็นคนที่ฝึกประสาทสัมผัสของตนเองให้รู้จักแยกความดีออกจากความชั่วถอด
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 5:1
หันกลับไปอ่านอพยพ 28 เป็นต้นไปเราจะพบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดระบบการเลือกว่าใครเหมาะสมจะเป็นปุโรหิตได้ในสมัยของโมเสสพวกเขาทำหน้าที่เกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชาประจำวัน อย่างเช่นถวายลูกแกะเช้าตัวหนึ่งเย็นตัวหนึ่ง และยังมีการถวายเครื่องบูชาแบบอื่น ๆ ด้วย เราจะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเครื่องบูชาทุกอย่างเป็นการเสียเลือด แต่ยังมีของถวายที่แสดงการขอบพระคุณ และอื่น ๆ อีก
ฮีบรู 5:2-3
ปุโรหิตที่รู้จักตัวเอง จะรู้ตัวดีว่า ตนเองก็เป็นมนุษย์และมีโอกาสทำความผิดเหมือนกับคนของพระเจ้าที่พวกเขากำลังปรนนิบัติรับใช้อยู่
แต่ก็มีปุโรหิตที่ทำไป ๆ ก็คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ดีเหนือผู้อื่น ตรงจุดนี้ สอนเราว่า เราเองต้องมองตนเองให้ถูก เรามีโอกาสพลาดเสมอ ที่เสื้อนอก
ปุโรหิตมีอัญมณี 12 ช่องเพื่อทำให้เขาระลึกถึงชนอิสราเอลทั้งหมดที่เขากำลังรับใช้อยู่ ปุโรหิตที่เข้าใจก็จะเห็นอกเห็นใจคนที่อ่อนแอ
ฮีบรู 5:4
งานอื่น ๆ ในโลก ล้วนเกิดจากความจำเป็น ความถนัด ความชอบ หรือโอกาสที่ได้รับของคนที่ทำงานนั้น แต่งานรับใช้ในพลับพลาหน้าที่ปุโรหิต
หรือเลวี ต้องได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์ ไม่มีใครนึกอยากจะรับใช้ก็มาทำได้ สำหรับคนอิสราเอลแล้ว พวก
เขามาจากเผ่าเลวีซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากยาโคบ (ยาโคบมีลูกชาย 12 คนที่ออกลูกหลานกลายเป็น 12 ตระกูล)
ฮีบรู 5:5
สถานะการเป็นปุโรหิตของพระเยซูนั้น เหนือชั้นกว่าของปุโรหิตสมัยโมเสสมากนัก เพราะว่าพระองค์ทรงได้รับเลือกจากพระเจ้าโดยตรง และ
พระองค์ทรงทำหน้าที่มากกว่าเป็นผู้สื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ และทรงเป็นผู้มารับโทษบนไม้กางเขนแทนโทษที่มนุษย์สมควรจะรับเท่ากับทรงเป็นดั่งลูกแกะที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาด้วย
ฮีบรู 5:6
ที่สำคัญ พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิตตามแบบอย่างของปุโรหิตที่มาจากเผ่าเลวี แต่ทรงเป็นตามแบบของเมลคีเซเดคที่อยู่มาก่อนระบบปุโรหิต
ที่พระเจ้าทรงสถาปนาให้กับคนอิสราเอลในสมัยของโมเสส ชื่อของท่านเมลคีเซเดค ปรากฏเพียงสองครั้งในพระคัมภีร์เดิม แต่มาปรากฏอีกหลายครั้งในหนังสือฮีบรูนี้ ท่านเมลคีเซเดคนั้นเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือไม่ หรือเป็นพระเยซูที่มาปรากฏในสมัยของอับราฮัมหรือเปล่านะ?
ฮีบรู 5:7
เรารู้ว่า ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงนั้น ทรงเข้าไปในสวนเกทเสมนี ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนักเพราะความตายที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งทารุณ ทั้งน่าอับอาย พระองค์จะถูกประหารเยี่ยงอาชญากรที่เลวร้ายที่สุด ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย แต่ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพื่อจะทรงรับโทษของคนทั้งโลก
ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ นอกจากองค์พระบิดาที่ทรงตอบคำอธิษฐานในคืนนั้น
ฮีบรู 5:8-10
สำหรับเราทั่วไปแล้ว การเชื่อฟังพระเจ้าไม่ใช่มาได้ง่าย ๆ แต่ต้องปฏิเสธตนเอง นิสัยเดิมของเราที่ไม่ตรงกับพระเจ้าต้องถูกกำจัดออกไป แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีปัญหาแบบเรา ทรงผ่านไม้กางเขน เป็นความทรมานที่ไม่สมควรจะได้รับ ทรงทนทุกข์พร้อมกับต้องเผชิญความอยุติธรรม แต่ก็ทรงผ่านเป็นที่มาของความรอดของเราทุกคน
ฮีบรู 5:11-12
ผู้เขียนกำลังเล่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นปุโรหิตตามอย่างมัลคีเซเดค แต่แล้วเขากลับบอกว่า ยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้กับผู้อ่าน เป็นเพราะพวกเขาเรียนรู้ช้า ..พวกเขาควรสอนคนอื่นได้แล้ว เป็นคนที่อยู่ในทางของพระเจ้ามานานแล้ว แต่กลับไม่รู้อะไรเอาแต่เรียนเรื่องพื้นฐานซ้ำ กลายเป็นคนที่ไม่อาจเรียนสิ่งที่ลึกกว่านี้ได้
ความจาก ฮีบรู 5:13-14
ในภาษากรีก มีคำชัดเจนว่า เอสเธทิเรียหมายถึง senses ประสาทรับรู้ คำ ๆ นี้หมายความถึงความสามารถในการรับรู้ด้วยจากประสาทสัมผัส สติสัมปัญชัญญะหรือเชาวน์ปัญญา ว่าอะไรดีอะไรชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกตัดสินใจว่าอะไรดีชั่ว หนังสือสุภาษิตก็เป็นหนึ่งที่ช่วยสอนเราในเรื่องนี้
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 2:17; 8:3
2* ฮีบรู 7:283* เลวีนิติ 9:7; 16:6
4* อพยพ 28:1
5* ยอห์น 8:54; สดุดี 2:7
6* สดุดี 110:4
7* มัทธิว 26:39, 42, 44; สดุดี 22:1; มัทธิว 26:53, 39
8* ฟีลิปปี 2:8
9* ฮีบรู 2:10
10* สดุดี 110:4
11* ยอห์น 16:12; มัทธิว 13:15
12* 1โครินธ์ 3:1-3
13* เอเฟซัส 4:14
14* อิสยาห์ 7:15
ฮีบรู 4 พระสัญญาแห่งการพัก
4:1 ดังนั้น ในขณะที่พระสัญญาเรื่องการเข้าสู่ที่พักของพระเจ้ายังคงใช้ได้อยู่
เราก็จงระวัง (จงเกรงกลัว) ที่จะไม่ให้มีใครสักคนพลาดไปจากการพักนี้
4:2 เพราะเราเองก็ได้รับข่าวประเสริฐเหมือนอย่างพวกเขา แต่เนื้อหาที่เขา
ได้ยินกลับไม่มีคุณค่าสำคัญแก่พวกเขา เพราะเขาได้ยินแต่ไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้า
ตรัสกับเขา
4:3 บัดนี้ เราที่เชื่อได้เข้าไปสู่การพักนั้น แต่สำหรับผู้อื่น พระเจ้าตรัสว่า
“เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธของเราว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา” แม้ว่าราชกิจของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก
4:4-5 มีตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงวันที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์”และอีกครั้งหนึ่งในข้อความข้างต้น
พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา”
4:6 ที่ยังคงเป็นอย่างนี้คือ บางคนจะได้เข้าสู่การพักของพระองค์ และเหล่าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐในครั้งก่อน ไม่ได้เข้าไป เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
4:7 พระเจ้าจึงทรงกำหนดอีกวันขึ้นมาอีกครั้งโดยเรียกว่า “วันนี้”หลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว พระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านดาวิดเหมือนที่ได้ตรัสไว้ก่อนว่า “วันนี้ หากท่านได้ยินเสียงของพระองค์ ก็อย่าทำใจแข็ง”
4:8-10 เพราะหากโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าพัก พระเจ้าก็คงจะไม่ได้ตรัสถึงวันอื่นอีกในภายหลัง จึงมีวันสะบาโตให้คนของพระเจ้าได้พัก เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การพักของพระเจ้า ก็ได้พักจากงานของเขาเหมือนกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจของพระองค์
เห็นตนเองจากพระคำของพระเจ้า
4:11 ดังนั้นให้เราพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าสู่การพักดังกล่าวเพื่อจะไม่มีใครพลาดไปเพราะทำตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา
4:12 เพราะพระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิตและมีอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคม สามารถแทงลึกลงไปในจิตและวิญญาณ ทั้งข้อต่อและไขกระดูก สามารถวินิจฉัยทั้งความคิดและความมุ่งหมายในใจ
4:13 ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างจะหลบซ่อนจากพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ทุกอย่างถูกเปิดเผย ถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ที่เราต้องถวาย
คำรายงาน
องค์มหาปุโรหิตผู้ทรงเมตตา
4:14 ดังนั้น ในเมื่อเรามีองค์มหาปุโรหิตผู้ทรงผ่านสวรรค์มาแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในคำที่เรายอมรับด้วยปาก
4:15 เพราะเรามิได้มีองค์มหาปุโรหิตที่ไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่เรามีพระองค์ผู้ทรงถูกลองใจ เหมือนพวกเราทุกอย่าง ถึงอย่างนั้น
พระองค์ก็ทรงไร้บาป
4:16 ให้เราเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อว่าเราจะได้รับ
พระเมตตาและพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามที่จำเป็น
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 4:1
น่าแปลกที่เราได้ยินเรื่องของการที่คนอิสราเอลใจแข็ง และการที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปยังดินแดนแห่งการพักของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงล้มเลิกการพักดังกล่าว “ยังคงใช้ได้อยู่” เท่ากับว่าใช้ได้กับคริสเตียนยิวที่อ่านหนังสือฮีบรู และยังใช้ได้กับพวกเราที่เชื่อด้วย การพักดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนธรรมดาหรือแผ่นดินแต่หมายถึงการที่ผู้เชื่อจะได้มีส่วนในชีวิตนิรันดร์กับพระองค์เป็นการพักตลอดไป
ฮีบรู 4:2
การได้ยินข่าวประเสริฐส่งผลสองทาง คือทางหนึ่งไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ อีกทางคือการแยกออกจากพระองค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับคนที่ได้ยินนั้นเชื่อหรือไม่เหมือนกับที่ท่านเปาโลได้กล่าวว่าข่าวประเสริฐเป็นกลิ่นอันหอมหวานสำหรับคนที่เชื่อ แต่เป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับคนที่ไม่รับ2 โครินธ์ 2:15-17 เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนได้รับผลจากการตัดสินใจของตนว่า จะรับหนทางของพระเจ้าหรือไม่รับ
ฮีบรู 4:3 (สดุดี 95:11)
ชัดเจนว่า มีคนสองพวกที่ผู้เขียนจะพูดถึงบ่อย ๆคือคนที่พระเจ้าทรงให้เข้าสู่การพัก กับคนที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าสู่การพักนั้นทำไมพระเจ้าทรงโกรธ? มันก็น่าอยู่หรอก เพราะว่าพระองค์ทรงทำราชกิจของพระองค์เพื่อมนุษย์ให้พวกเขาทั้งมีความสุขและได้ประโยชน์กับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และยังทรงยื่นความสัมพันธ์สนิทให้กับเขา แต่พวกเขากลับเมินพระองค์ รับแต่เพียงความสุขแต่ไม่ได้รับพระองค์ผู้ประทานความสุขนั้น
ฮีบรู 4:4-5
พระเจ้าทรงกล่าวถึงการพัก ซึ่งมีความหมายถึงราชอาณาจักรของพระองค์ การที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือชีวิตของผู้ที่เชื่อ พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลาก็จริง แต่พระองค์ทรงสงวนวันหนึ่งไว้ที่คนของพระองค์จะไดัพักจากงานประจำ และเข้ามาติดสนิทกับพระองค์ ข้อนี้พูดถึงวันที่เจ็ด .. เป็นการพักสะบาโต คนยิวเข้าใจทันทีว่า คำ ๆ นี้มีความหมายถึงอะไรบ้าง
ฮีบรู 4:6
การพักดีที่สุดคือการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู ศาสนาต่าง ๆ พยายามให้คนมีการพัก ทำสมาธิ เขาฌาณ เป็นการทำให้พ้นทุกข์ ให้พักใจ แต่ในการทำอย่างนั้น ไม่ได้มีใครเข้ามาแบ่งปันสุขทุกข์ที่กำลังเผชิญ การพักในพระเจ้านั้นแตกต่าง เพราะพระเยซูเป็นผู้ประทานสันติสุขในการพักนั้น ยอห์น 14:27
ฮีบรู 4:7
พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคำว่า วันนี้ หลายครั้ง ในครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับคนยิวว่า อย่าดื้อดึง อย่ากบฏต่อพระเจ้า พระคำตอนนี้มาจากสดุดี 95 ซึ่งกษัตริย์ ดาวิดเองได้เผชิญกับการช่วยเหลือและการลงโทษของพระเจ้าด้วยตัวท่านเอง เมื่อท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงตักเตือนด้วยชีวิตของลูกชายของท่าน ดาวิดจึงเข้าใจดีว่า การใจแข็งนั้น ส่งผลร้ายอะไรให้กับ
ชีวิตบ้าง ท่านเตือนแล้ว ก็ฟังเถอะ
ฮีบรู 4:8-10
เรื่องการพักดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำนักหนาว่า คนที่เชื่อในพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีโอกาสพัก การเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้คนหนึ่ง ๆ ได้พักสงบกับพระเจ้า แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้อะไรต่าง ๆ มากมาย การพักผ่อนในพระเจ้าไม่ได้มีเฉพาะวันที่พระเจ้าพักจากราชกิจ แต่เป็นการพักที่คนของพระเจ้าได้ทำต่อสืบเนื่องกันมาจนปัจจุบัน การพักวันสะบาโต เป็นพักที่มีนัยสำคัญคือเราได้พัก พร้อมกับมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
ฮีบรู 4:11
เรื่องของการพักที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยคิดกันเท่าไร ยิ่งโลกทุกวันนี้ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสพักเลย สมอง สายตาหูของเราทำงานตลอดเวลาเพราะจอดำที่อยู่ข้างตัว สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา แต่จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมันทำให้เราไม่ขยัน ไม่มีความพยายามที่จะพักกับพระเจ้า ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อหรือไม่เชื่อฟังเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการที่เราไม่สนใจคำเตือนของพระเจ้าเลย
ฮีบรู 4:12
พระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนคำของคนทั่วไป เพราะเป็นพระดำรัสที่มีชีวิต นั่นคือเมื่อเรามาอ่านพระคัมภีร์ เท่ากับเรากำลังฟังสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสกับเราโดยตรง พระคำเป็นดั่งบุคคล ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ และยังมีอานุภาพเหนือเรา
ด้วย บางครั้งอ่านแล้วเจ็บแปลบปลาบเข้าไปลึกมากเพราะพระคำมองเห็นใจของเราทะลุปรุโปร่ง เราไม่อาจปิดบังความคิดของเราไว้จากพระคำของพระเจ้าเลย ล้อมเราไว้หมด..
ฮีบรู 4:13
แม้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ถ้าคิดนั้นบาป พระคำของพระเจ้าสามารถเข้าไปและรักษาความคิดบาปนั้นได้ เมื่อเรายอม และขอความช่วยเหลือจากพระองค์การที่เราต้องถวายรายงานต่อพระเจ้านั้น เป็นสิ่งน่ากลัวหากเรายังมีบาปอยู่ในชีวิต การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจึงจำเป็นต่อชีวิตในภายภาคหน้าของเรา เราต้องมาหาพระองค์ขอทรงลบบาปทั้งสิ้นที่เราไม่ต้องการตีแผ่ให้ใครได้รับรู้!
ฮีบรู 4:14
พระคำข้อนี้ และข้อต่ำ ๆ ไปจะกล่าวถึงพระเยซูในฐานะที่ทรงเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ พระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นหลายอย่างในชีวิตของเรา ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงที่สละชีวิตของพระองค์ ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางไปยังเป้าหมายคือชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปและที่สำคัญ ทรงเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อเราเราไม่ต้องไปสารภาพบาปกับมนุษย์คนใด แต่เรามาหาพระเยซู แล้วเราจะได้เข้าถึงองค์พระบิดา
ฮีบรู 4:15
ทุกคนที่เป็นมนุษย์ แม้ว่าคนๆ นั้น มีหน้าที่ปุโรหิตหรือในสมัยนี้ เป็นอาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ต่างมีความอ่อนแอ และแข็งแรงในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน และมีโอกาสที่จะชนะหรือแพ้การทดลองที่ผ่านเข้ามาแต่ละชั่วโมงไม่เท่ากันด้วย พระเยซู
องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย ที่ไม่แพ้การทดลองอย่างมนุษย์ทั่วไป พระองค์นี้ที่ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเรา เราจึงมีความมั่นใจว่า เราจะผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยพระองค์
ฮีบรู 4:16
เราจึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยตัวเองอย่างมั่นใจไม่ต้องหวังพึ่งคนกลางที่เป็นมนุษย์ เมื่อสารภาพบาป เราก็สารภาพกับพระเจ้าโดยตรง ณ ที่นั้นเราจะได้รับพระเมตตา และพระคุณของพระเจ้าที่มนุษย์คนใดไม่อาจให้ได้ ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้พิพากษาอย่างยุติธรรมด้วย เราเป็นคนบาปตกอยู่ในบาป ถ้าหากเราไม่ได้มารับ มาพบ
พระบัลลังก์แห่งพระคุณ เราจะไหวหรือ??
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 12:15
3* สดุดี 95:11
4* ปฐมกาล 2:2
5* สดุดี 95:11
7* สดุดี 95:7-8
8* โยชูวา 22:4
11* 2 เปโตร 1:10
12* สดุดี 147:15; อิสยาห์ 49:2; เอเฟซัส 6:17; 1 โครินธ์ 14:24-25
13* สดุดี 33:13-15; 90:8; โยบ 26:6
14* ฮีบรู 2:17; 7:26; ฮีบรู 10:23
15* อิสยาห์ 53:3-5; ลูกา 22:28
16* เอเฟซัส 2:18
สุภาษิต 23 อย่าเห็นแก่กิน
คำกล่าวที่ 7
1 เมื่อเจ้านั่งรับประทานอาหารร่วมกับผู้ครองเมือง
ขอให้เจ้าระมัดระวังว่า มีอะไรวางอยู่ตรงหน้าเจ้า
2 ให้เอามีดจ่อคอหอยตัวเองไว้
หากว่าเจ้าเป็นคนเห็นแก่กิน
3 อย่าไปโลภอยากได้ของโอชะของเขา
เพราะอาหารเหล่านั้นเป็นสิ่งลวง
คำกล่าวที่ 8
4 อย่าตรากตรำทำงานจนหมดแรงเพื่อที่จะร่ำรวย
จงฉลาดพอที่จะยับยั้งตนเองไว้
5 แค่เจ้า ชายตามองความมั่งคั่ง มันก็หายไป
เพราะมันติดปีกของมันเอง บินลับฟ้าไปเหมือนนกอินทรี
คำกล่าวที่ 9
6 อย่าไปกินอาหารของคนตระหนี่
และอย่าไปอยากกินอาหารที่ดูอร่อยของเขา
7 เพราะในใจของเขานั้นจะคอยคิดราคาตามไปเสมอ
เขาพูดกับเจ้าว่า “มากินและดื่มเถอะ”
แต่ใจของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
8 เจ้าจะอาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปเพียงนิดหน่อย
และเสียดายคำพูดที่เจ้าได้พูดยกย่องเขา
คำกล่าวที่ 10
9 อย่าไปร่วมวงสนทนากับคนโง่
เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาที่เจ้ากล่าวออกมา
คำกล่าวที่ 11
10 อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่
หรือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของลูกกำพร้าพ่อ
11 เพราะองค์พระผู้ไถ่ของเขาทรงเข้มแข็ง
จะทรงว่าความต่อสู้เจ้าให้เขาด้วยพระองค์เอง
คำกล่าวที่ 12
12 จงให้ใจของเจ้าใส่ใจคำตักเตือน
และให้หูของเจ้าตั้งใจฟังคำแห่งความรู้
คำกล่าวที่ 13
13 อย่ายับยั้งการฝึกวินัยให้เด็ก
แม้เจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
14 หากเจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว
เจ้าจะช่วยวิญญาณของเขาจากแดนตาย
คำกล่าวที่ 14
15 ลูกเอ๋ย หากใจของเจ้ามีปัญญา
ใจของเราก็จะยินดีจริง ๆ
16 ส่วนลึกของใจเราจะยินดียิ่งนัก
เมื่อเจ้าพูดสิ่งที่ถูกต้อง
คำกล่าวที่ 15
17 อย่าหลงไปอิจฉาคนบาป
แต่จงตั้งหน้ายำเกรงพระเจ้าตลอดไป
18 เพราะมีอนาคตให้แน่
และความหวังของเจ้าจะไม่ถูกตัดออกไป
คำกล่าวที่ 16
19 ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟัง และเป็นคนฉลาด
และรักษาใจของเจ้าให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง
20อย่าไปร่วมวงกับคนขี้เหล้าและคนตะกละกินเนื้อ
21 เพราะคนขี้เหล้าและคนตะกละจะกลายเป็นคนยากจน
และความง่วงเหงาทำให้เหลือแต่ผ้าขี้ริ้วพันตัว
คำกล่าวที่ 17
22จงฟังพ่อที่ให้กำเนิดเจ้ามา
และอย่าดูหมิ่นแม่ของเจ้าที่ชราแล้ว
23 จงซื้อความจริงไว้ อย่าขายความจริงนั้นไป
จงซื้อปัญญา คำสอน และความเข้าใจ
24 พ่อของคนเที่ยงธรรมจะยินดีมาก
และพ่อที่มีลูกซึ่งมีปัญญาก็จะชื่นชมกับลูกของเขา
25 ขอให้พ่อและแม่ของเจ้าได้ยินดี
และขอให้เธอที่ให้กำเนิดเจ้านั้นได้ชื่นใจ
คำกล่าวที่ 18
26 ลูกชายเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถิด
และให้สายตาของเจ้านั้นชื่นชมกับทางของเรา
27 เพราะหญิงโสเภณีนั้นเป็นดั่งหลุมลึก
และคนเป็นชู้ก็เป็นบ่อที่คับแคบ
28 เธอซุ่มตัวอยู่เหมือนโจร
และเพิ่มจำนวนชายที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา
คำกล่าวที่ 19
29 ใครที่เจอความทุกข์? ใครที่เศร้าใจ?
ใครที่ต้องเจอกับการวิวาท? ใครมีเรื่องร้องทุกข์?
ใครต้องบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุ? ใครที่ตาแดงก่ำ?
30 ก็คือคนที่จมปลักกับเหล้าองุ่น
คนที่ทดลองชิมเหล้าผสม
31 อย่าไปจับตาดูเหล้าองุ่นเมื่อมันยังมีสีแดง
เมื่อมีฟองส่องประกายวับในแก้ว
และลื่นลงคอง่าย ๆ
32 ในที่สุดมันจะฉกกัดเหมือนงู
และพ่นพิษออกมาดั่งงูพิษ
33 ตาของเจ้าจะมองเห็นภาพหลอน
และความคิดของเจ้าจะสับสนอลเวง
34 เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนลอยกลางทะเล
เหมือนคนที่นอนอยู่บนยอดเสากระโดงเรือ
35 เจ้าจะพูดออกมาว่า
“พวกเขาฟาดข้า แต่ข้าก็ไม่เห็นจะเจ็บเลย
เขาทุบตีข้า แต่ข้าก็ไม่รู้สึกอะไร
เมื่อไรหนอที่ข้าจะสร่างเมา และจะไปดื่มอีกสักแก้ว?”
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 23
4* 1 ทิโมธี 6:9-10; โรม 12:16
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:9
7* สุภาษิต 12:2
9* มัทธิว 7:6
11* สุภาษิต 22:23
13* สุภาษิต 13:24
17* สดุดี 37:1; สุภาษิต 28:14
18* สดุดี 37:37
20* อิสยาห์ 5:22
22* สุภาษิต 1:8
23* มัทธิว 13:44
24* สุภาษิต 10:1
27* สุภาษิต 22:14
28* สุภาษิต 7:1229* อิสยาห์ 5:11-12;
ปฐมกาล 49:12
30* เอเฟซัส 5:18; สดุดี 75:8
35* เยเรมีย์ 5:3 ; เอเฟซัส 4:19
สุภาษิต 22 คำกล่าวจากคนมีปัญญา
1 ชื่อเสียงที่ดีนั้นน่าปรารถนายิ่งกว่าความมั่งคั่ง
การเป็นที่โปรดปรานก็ดีกว่าเงินและทอง
2 สิ่งหนึ่งที่คนรวยคนจนเป็นเหมือนกัน
นั่นคือ พระยาห์เวห์ทรงสร้างพวกเขามา
3 คนฉลาดเห็นอันตรายแล้วก็หลบให้พ้น
แต่คนเขลากลับก้าวออกไปและต้องเผชิญกับผลที่ตามมา
4 รางวัลของความถ่อมใจและความยำเกรงพระยาห์เวห์
คือความมั่งคั่ง เกียรติยศ และชีวิต
5 หนามและกับดักเรียงรายอยู่ในทางของคนหัวแข็ง
คนที่ระวังรักษาใจของตนจะอยู่ห่างจากทางนั้น
6 จงฝึกฝนอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป
และเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะไม่พรากไปจากทางนั้น
7 คนมั่งคั่งปกครองคนยากจน
และลูกหนี้ก็จะเป็นทาสรับใช้เจ้าหนี้ของเขา
8คนที่หว่านความอยุติธรรมจะได้เก็บเกี่ยววิบัติ
และอำนาจที่โกรธเกรี้ยวของเขาจะถูกทำลาย
9 คนที่มีน้ำใจจะได้รับพระพร
เพราะเขาได้แบ่งอาหารให้กับคนยากจน
10 จงไล่คนช่างเยาะออกไป แล้วความขัดแย้งจะจากไป
แม้กระทั่งการวิวาท และการดูหมิ่นก็จะหยุดลงด้วย
11 คนที่รักใจบริสุทธิ์ และวาจาอ่อนโยน
จะได้กษัตริย์มาเป็นเพื่อน
12 พระเนตรของพระยาห์เวห์ทรงปกป้องความรู้
แต่ทรงลบล้างคำพูดของคนไม่ซื่อตรง
13 คนเกียจคร้านกล่าวว่า
“มีสิงโตอยู่ข้างนอก! ฉันจะถูกมันฆ่ากลางถนน!”
14 ปากของหญิงที่เป็นชู้นั้นเหมือนหลุมลึก
คนที่พระเจ้าทรงพิโรธจะตกลงในหลุมนั้น
15 มีความโง่อยู่ในใจของเด็ก
แต่การฝึกวินัยด้วยการตีสอน
จะไล่ความโง่นั้นออกไปไกลจากตัวเขา
16 การกดขี่คนยากจนเพื่อทำให้ตนมั่งคั่ง
หรือการมอบของกำนัลให้แก่คนรวย
จะนำสู่ความยากจนเป็นแน่
คำกล่าวของคนมีปัญญา สามสิบข้อ
คำกล่าวที่ 1
17 จงเอียงหูของเจ้าฟังคำของคนมีปัญญา
และใส่ใจในความรู้ของเรา
18 เพราะเมื่อเจ้ารักษามันไว้ในใจก็เป็นความชื่นใจ
โดยให้เจ้าพร้อมที่จะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
19 เพื่อว่าเจ้าจะวางใจในองค์พระยาห์เวห์
เราสอนให้เจ้าเรียนรู้ในวันนี้ ใช่แล้ว เจ้านั่นเอง
20 เราไม่ได้เขียนคำกล่าวสามสิบข้อให้เจ้าหรือ
เป็นทั้งคำปรึกษา และความรู้
21 เพื่อทำให้เจ้ารู้จักคำที่เป็นจริงซึ่งวางใจได้
และเจ้าจะได้ตอบให้กับคนที่ส่งเจ้าไป?
คำกล่าวที่ 2
22 อย่าปล้นคนยากจนเพราะเขายากจน
และอย่าขยี้คนที่ยากไร้ที่ประตูเมือง
23 เพราะพระยาห์เวห์จะทรงว่าความให้กับพวกเขา
และจะทรงยึดคืนจากคนที่ปล้นพวกเขามา
คำกล่าวที่ 3
24 อย่าเป็นเพื่อนกับคนที่โกรธง่าย
และอย่าไปสังสรรค์กับคนที่ใจร้อน
25 เพราะเจ้าอาจไปเลียนแบบเขา
และทำให้ตนเองติดกับดัก
คำกล่าวที่ 4
26 อย่าไปให้คำสัญญาใด ๆ
หรือประกันคนหนึ่งคนใด
27 หากเจ้าไม่มีอะไรจะจ่ายค่าชดใช้
ทำไมจะให้เขามายึดเตียงนอนของเจ้าไปเล่า?
คำกล่าวที่ 5
28 อย่าเคลื่อนย้ายหลักเขตที่เก่าแก่
ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ปักเอาไว้
คำกล่าวที่ 6
29 เจ้าเห็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานของเขาไหม?
เขาจะได้รับใช้เหล่ากษัตริย์ เขาจะไม่ต้องรับใช้คนธรรมดาทั่วไป
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 22
1* ปัญญาจารย์ 7:1
2* สุภาษิต 29:13; โยบ 31:15
3* สุภาษิต 27:12
6* เอเฟซัส 6:4
7* ยากอบ 2:6
8* โยบ 4:8
9* 2 โครินธ์ 9:6; สุภาษิต 19:17
10* สดุดี 101:5
11* สดุดี 101:6
13* สุภาษิต 26:13
14* สุภาษิต 2:16; 5:3; 7:5; ปัญญาจารย์ 7:26
15* สุภาษิต 13:24; 23:13,14
21* ลูกา 1:3-4; 1 เปโตร 3:15
22* อพยพ 23:6
23* 1 ซามูเอล 24:12
24* สุภาษิต 29:22
26* สุภาษิต 11:15
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 19:14; 27:17
ฮีบรู 3 มั่นคงจนจบ
พระบุตรทรงซื่อตรง
3:1 ดังนั้น เหล่าพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้มีส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงใส่ใจ จดจ่อที่พระเยซูผู้ทรงเป็นองค์อัครทูต และมหาปุโรหิตซึ่งเรารับว่าเราเชื่อพระองค์
3:2 พระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสส
ซื่อตรงต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า
3:3 เหตุว่าพระเยซูทรงสมควรที่จะรับเกียรติยิ่งใหญ่กว่าเกียรติของโมเสส
ดังที่ผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติกว่าตัวบ้าน
3:4-5 และบ้านทุกหลังก็จะมีผู้สร้างแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสซื่อตรงในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานเรื่องต่าง ๆที่พระเจ้าจะตรัสในเวลาต่อมา
3:6 แต่พระคริสต์ทรงซื่อตรงในฐานะบุตรชายที่ทรงครอบครองบ้านของ
พระเจ้า และเรานี่แหละคือบ้านของพระเจ้า หากเรายืนหยัดใน
ความมั่นใจ และความยินดีในความหวังอย่างมั่นคงจนถึงที่สุด
ภักดีต่อพระสุรเสียง
3:7-8 ดังนั้น ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้คือ
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจแข็งเหมือนครั้งที่เจ้าได้ดื้อรั้นต่อเราในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นกันดาร
3:9-11 เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ทดสอบและลองดีกับเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าราชกิจของเราคืออะไรในสี่สิบปีนั้น
เราจึงกริ้วต่อคนรุ่นนั้น และเรากล่าวว่า
“ใจของพวกเขาโน้มเอียงที่จะหลงผิดเสมอ
และไม่รู้จักหนทางของเรา
เราจึงสาบานในความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าในการพักของเรา”
ให้กำลังใจกันในวันนี้
3:12-13 พี่น้องทั้งหลาย จงระวังระไวว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านมีใจโฉดชั่ว และไม่เชื่อแล้วหันหลังไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
แต่จงให้กำลังใจกันทุกวันตราบเท่าที่เรียกว่า
“วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีใครสักคนในพวกท่านใจแข็งไปเพราะการล่อลวงของบาป
3:14-15 เราได้มามีส่วนร่วมกับพระคริสต์
หากเรามั่นคงในความเชื่อมั่นที่เรามีแต่ต้นจนถึงที่สุด
ตามที่มีการกล่าวไว้ว่า “วันนี้ หากว่าเจ้าได้ยิน
พระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำให้ใจของเจ้าแข็งกระด้างเหมือนในวันที่เจ้ากบฏ”
ความล้มเหลวของคนในถิ่นกันดาร
3:16-17 ใครนะที่เป็นคนที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้พาออกมาจากอียิปต์หรอกหรือ? แล้วพระเจ้าทรงโกรธใครเป็นเวลาสี่สิบปีเล่า? ไม่ใช่คนที่ทำบาป แล้วร่างของพวกเขาก็ล้มตายในถิ่นกันดารหรอกหรือ?
3:18-19 แล้วพระเจ้าทรงปฏิญาณกับใครว่าจะไม่ได้เข้าที่พักของพระองค์
ถ้าไม่ใช่คนที่ขาดการเชื่อฟัง? ดังนั้น เราจึงเห็นว่า ที่พวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อ
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 3:1
ผู้มีส่วนในการทรงเรียก กับคำว่า สหาย ใน 1:9 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ผู้เขียนให้เราตั้งใจ พินิจพิจารณาความซื่อตรงขององค์พระเยซู ผู้ทรงเป็น
ทั้งอัครทูตและปุโรหิต พระคำตอนนี้ย้ำว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อจะทำให้โลกได้รู้จักพระบิดา (ยอห์น 14:7)และเป็นตอนเดียวที่เน้นถึงตำแหน่งของพระองค์ทั้งสองตำแหน่งคือผู้ที่ถูกส่งมา และในฐานะปุโรหิต ทรงผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ฮีบรู 3:2
คนยิวที่เป็นคริสเตียนเป็นคนได้รับจดหมาย พวกเขาเห็นว่าโมเสสเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่าใครผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระเยซูกับโมเสส ว่า
ทั้งสองต่างชื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาสิ่งที่โมเสสได้ทำในสมัยของท่านต่างเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู ท่านทั้งสองเป็นผู้ดูแลที่ซื่อตรงในงานของท่าน( 1 โครินธ์ 4:2, กันดารวิถี 12:7, ฮีบรู 2:17)
ฮีบรู 3:3
ตัวบ้านในที่นี้คือชุมชนของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสร้างขึ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างบ้านหรือครอบครัว หรือชุมชนของผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง โมเสสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้เชื่อเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างอย่างที่พระเยซูทรงทำ เอเฟซัส 2:19-22 “สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก”
ฮีบรู 3:4-5
สิ่งที่โมเสสได้สร้าง ต่างชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา ท่านเป็นผู้รับใช้ที่สร้างพลับพลาขึ้นตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ท่านเป็นผู้ดูแล “บ้าน”
ของพระเจ้าหรือชุมชนอิสราเอลในเวลานั้น โดยที่ทุกสิ่งที่ท่านทำชี้ไปยังราชกิจของพระเยซูที่ทรงสร้าง ดูแล “บ้าน” ของพระเจ้าในสมัยของ
พระองค์ คือทั้งคนอิสราเอล และคนต่างชาติที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้า คนของพระเจ้าจากโมเสสถึงปัจจุบัน คือ บ้าน ที่กล่าวถึง
ฮีบรู 3:6
นี่ไง พวกเราที่เชื่อ คือบ้านแท้ของพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ คือสมาชิกแท้ในครอบครัวยิ่งใหญ่นี้ การมีคริสตจักรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระคริสต์ประทับอยู่กับกลุ่มผู้เชื่อทรงเป็นพระบุตรที่เป็นศีรษะของชุมชนนี้ โคโลสี 1:18 และพระองค์ยังทรงเป็นศิลามุมเอกด้วย (เอเฟซัส 2:19-22)
คริสตจักร เป็นคนกลุ่มที่มั่นใจ มั่นคงในองค์พระเยซูผู้เป็นบุตรชายที่ครองบ้านจนถึงที่สุด
ฮีบรู 3:7-8
พระคำตอนต่อไปนี้ พระเจ้าตรัสถึงการพักผ่อนฝ่ายวิญญาณ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมรีบาห์ และมัสสาห์ในถิ่นกันดาร (ฮีบรูเอาคำมาจากสดุดี 95
เหตุการณ์จริงบันทึกไว้ที่ อพยพ 17) เรื่องของเรื่องคือ หากพระเจ้าตรัส ก็อย่าดื้อ อย่าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนพระบัญชาของพระองค์ วันแห่งการ
ทดสอบครั้งนั้น มีมาเพื่อคนอิสราเอล แล้วพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ เพราะพบว่า พวกเขาไม่ได้วางใจ ไม่เชื่อฟัง บ่น ว่า ยั่วยุเหมือนเดิม
ฮีบรู 3:9-11
พระเจ้าทรงให้พวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญา แต่พวกเขากับปฏิเสธ เพราะกลัวคนในพื้นที่ซึ่งดูตัวใหญ่ น่ากลัว มากกว่าที่จะเกรงกลัวพระเจ้าที่
ทรงนำเขามาตลอดสี่สิบปี พวกเขาเห็นการอัศจรรย์มากมาย คนเป็นล้านที่ต้องการน้ำพระเจ้าก็ประทานน้ำให้อย่างมากมายไม่ใช่เพื่อให้คนดื่มกินคนละนิดละหน่อย แต่ประทานให้อย่างล้นเหลือ ถึงกระนั้นพวกเขายังไม่สำนึกในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงช่วยพวกเขามาโดยตลอด
ฮีบรู3:12-13
มีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ใครคนหนึ่งห่างไปจากทางของพระเจ้า เพื่อนต้องคอยดูเพื่อนว่า มีอะไรบ่งว่าเขากำลังจะออกจากทางของพระเจ้า และการเตือนสติ การอธิษฐานเผื่อจะต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปจนกู่ไม่กลับ เพราะหากเขาไปไกลแล้ว การจะช่วยให้กลับมาในทางของพระเจ้าก็ยากขึ้นไปอีก ผู้เขียนฮีบรูจึงเตือนสติเราให้ช่วยกันระวังระไว
ฮีบรู 3:14-15
อย่างที่เราบอกว่า การเริ่มต้นดีไม่ได้หมายความว่าจะจบดี เคล็ดลับคือ เราต้องพากเพียรบากบั่น ในการแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราอย่าไปเชื่อว่า ในพระเจ้ามีความรู้แค่นี้ก็พอ รู้แค่กางเขนคริสตมาส อีสเตอร์ก็พอ ในพระเจ้ามีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราต้องไม่ยอมให้ใจของเราแข็งกระด้างไป ใจแข็งเกิดจากการได้ยินเสียงของพระเจ้าแล้วทำเฉยเมย ไม่นำพา ขอให้เราได้เป็นดินดีที่เกิดผลในสวนแห่งความเชื่อ
ฮีบรู 3:16-17
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดารเพื่อไปสู่ดินแดนที่ทรงสัญญาก็จริง แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของพระองค์นั้น เพื่อพวกเขาจะ
ได้เข้ามาอยู่กับพระองค์ มีการพักอย่างนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอียิปต์สู่คานาอัน เป็นเรื่องเดียวกันกับชีวิตของเราที่ออก
จากบาปไปสู่การพักพิงในพระเจ้า ผ่านถิ่นกันดารผ่านการช่วยเหลือของพระเจ้า แล้วเราเองต้องตัดสินใจว่าจะวางใจพระองค์ไปจนสุดทางหรือไม่
ฮีบรู 3:18-19(อ่านกันดารวิถี 14 เพิ่มเติม)
อิสราเอลที่ตายเป็นเบือในถิ่นกันดาร เป็นเพราะการที่พวกเขาไม่เชื่อฟังนั่นเอง อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า? อะไรที่ทำให้คิดว่า
พระเจ้าทรงทำผิดไปหมด? ใจขอบพระคุณไม่มี ขอบ่น ขอสู้ ขอทะเลาะกับโมเสส บ่นด่าว่าท่านตลอดมา พวกเขาดื้อดึง ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าชวนกันต่อต้าน จนกระทั่งโมเสสก็ไม่ไหว อารมณ์ชั่ววูบที่ตอบโต้พวกเขาทำให้ท่านเองก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินคานาอัน
พระคำเชื่อมโยง
1* สดุดี 110:4
2* กันดารวิถี 12:7
3* เศคาริยาห์ 6:12-13
4* เอเฟซัส 2:10
5* ฮีบรู 3:2; อพยพ 14:31; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18-19
6* ฮีบรู 1:2; 1โครินธ์ 3:16; มัทธิว 10:22
7* กิจการ 1:16; สดุดี 95:7-11
15* สดุดี 95:7-8
16* กันดารวิถี 14:2, 11, 3017* กันดารวิถี 14:22-23
18* กันดารวิถี 14:1019* 1โครินธ์ 10:11-12
ฮีบรู 2 ความรอดจากพระบุตร
อย่าเฉยเมยต่อความรอด
2:1 เราจะต้องใส่ใจต่อสิ่งที่เราได้ยินมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อว่าเราจะไม่หลงไป
2:2เพราะหากคำที่ทูตสวรรค์กล่าวนั้นยังมีผลผูกมัด และการล่วงละเมิดการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างยุติธรรม….
2:3 หากเราละเลยความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เราจะหนีรอดไปได้อย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเรื่องความรอดมาตั้งแต่แรก และได้รับการยืนยันจากคนที่ได้ยินจากพระองค์
2:4แล้วพระเจ้าก็ทรงยืนยันรับรองด้วยหมายสำคัญ สิ่งมหัศจรรย์ การอัศจรรย์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ประทานให้ตามพระดำริของพระองค์
พระบุตรที่ทรงต่ำกว่าทูตสวรรค์ขณะหนึ่ง
2:5-6 พระองค์ไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ปกครองโลกในอนาคตที่กำลังมา ซึ่งเรากล่าวถึงแต่มีคนได้กล่าวคำยืนยันไว้ว่า “มนุษย์เป็นใคร ที่พระองค์ทรงคิดถึง? บุตรของมนุษย์เป็นใครที่พระองค์ทรงดูแลรักษาเขา? (สดุดี 8:4)
2:7พระองค์ทรงทำให้ท่านต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะหนึ่ง พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้แก่ท่าน ทรงให้ท่านอยู่เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (สดุดี 8:5-8)
2:8 และทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของท่าน”เมื่อพระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของท่าน จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของท่านแต่ในเวลานี้ เรายังไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของท่าน
2:9 แต่เราเห็นองค์พระเยซู ผู้ทรงถูกจัดให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะ ทรงรับมงกุฎที่ทรงพระสิริและทรงรับพระเกียรติ เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างทรมานเพื่อว่า โดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ทรงเผชิญความตายเพื่อทุกคน
นำบุตรมากมายมาถึงพระสิริ
2:10 การที่จะนำบุตรมากมายมาถึงพระสิรินั้นนับว่าเหมาะสมที่พระเจ้าผู้ที่สรรพสิ่งทั้งปวงดำรงอยู่ทั้งเพื่อพระองค์ และโดยพระองค์ จะทรงทำให้ผู้ เปิดทางแห่งความรอดของพวกเขาได้ทรงเพียบพร้อมผ่านการทนทุกข์
2:11 ทั้งสองฝ่ายคือ พระองค์ผู้ทรงชำระให้บริสุทธิ์กับผู้ที่รับการชำระนั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกพวกเขาว่า พี่น้อง
2:12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางที่ประชุม”(สดุดี 22:22)
2:13 และยังตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์” และตรัสอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้า รวมทั้งบุตรที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” (อิสยาห์ 8:17-18)
2:14 บัดนี้ ในเมื่อบุตรทั้งหลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ พระองค์ก็จะทรงเข้ามามีส่วนในการเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขา เพื่อว่า พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายคือมารด้วยการสิ้นพระชนม์
ทรงเป็นเหมือนพี่น้องทุกประการ
2:15-16 และจะทรงช่วยปลดปล่อยผู้ที่ทั้งชีวิต
ตกเป็นทาสความกลัวตายเพราะพระองค์มิได้ทรงช่วยเหล่าทูตสวรรค์
แต่ทรงช่วยลูกหลานของอับราฮัม
2:17 ด้วยเหตุนี้ จึงต้องให้พระองค์เป็นเหมือนพี่น้องของพระองค์ทุกประการ
เพื่อว่าจะทรงมาเป็นมหาปุโรหิตผู้ทรงเต็มด้วยความเมตตา
และทรงซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้า
เพื่อจะทรงลบล้างบาปให้กับผู้คนทั้งหลาย
2:18 เพราะพระองค์เองทรงเป็นทุกข์เมื่อทรงถูกทดลองใจพระองค์
จึงทรงสามารถที่จะช่วย (ทั้งปลอบใจและช่วยกู้)
เหล่าคนที่ถูกทดลองใจ
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 2:1
เวลาเรารู้เรื่องอะไร ไม่ว่าจะใหม่ เก่า ใกล้ตัวหรือไกลตัว หากว่าเราได้ยินแล้ว เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ อีกไม่กี่วันเราก็จะลืม และสิ่งที่รู้ก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตในทางที่ดี เหมือนกับเวลาเราลอยตัวในน้ำ แล้วปล่อยให้น้ำพาเราล่องลอยไปตามสายลมที่พัดมา วิธีง่ายสุดที่เราจะไม่ได้พบแผ่นดินสวรรค์แต่กลับเจอนรกก็คือ การที่เราปล่อยชีวิตไปวัน ๆ ห่างจากพระเจ้าไปทีละน้อยจนกู่ไม่กลับค่อย ๆ ลืมพระองค์ ค่อย ๆ ล่องลอยออกไป
ฮีบรู 2:2
ตั้งแต่สมัยโบราณมา เมื่อคนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะมีผลสืบเนื่องเสมอมา ตอนที่พวกเขาหันไปไหว้รูปวัวทองคำ พระเจ้าทรงให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกเขา (อพยพ 32:35) และเมื่ออาคานเก็บของบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาและครอบครัวก็ถูกหินขว้างจนตาย (โยชูวา 7)ผู้เขียนฮีบรูได้เตือนสติ
ให้เรา เอาใจใส่สิ่งที่เราฟังจากพระคำ อ่านจากพระคัมภีร์ สิ่งที่ได้ยินจาก การเตือนสติจากคนรอบข้าง
ฮีบรู 2:3
ความรอดที่ยิ่งใหญ่นี้ มีมาเพื่อชาวโลกผ่านการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าทรงบอกเราเรื่องความรอดมาตั้งแต่หนังสือปฐมกาล เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์แม้สักคนเดียวต้องพินาศ และทรงยื่นความรอดให้พวกเขาโดยพระบุตรของพระองค์ แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธ คนที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น
ฮีบรู 2:4
เรื่องของความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้แน่นอน เพราะว่า พระเจ้าทรงให้เกิดหมายสำคัญ การอัศจรรย์ต่าง ๆ ในทั้งในเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในโลกนี้ รวมไปถึงของประทานแห่งพระวิญญาณ ที่ทำให้เกิดผลดีในคริสตจักรในเวลาต่อมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมีพยานเห็น และบันทึกไว้อย่างชัดเจน เรื่องที่คนเห็นเป็นพยานนั้นสำคัญ และเมื่อบอกว่าพระเจ้าทรงรับรองว่าเป็นจริงก็สำคัญมากขึ้นอีก
ฮีบรู 2:5-6
แล้วผู้เขียนก็ยืนยันกับคนยิวที่คิดว่า ทูตสวรรค์ใหญ่ และคงจะได้ปกครองโลก .. ทูตสวรรค์ไม่ใช่ผู้ที่จะครองมนุษยชาติ แต่จะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์พิเศษกว่าใคร ๆ เพราะท่านผู้นั้น เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าเต็มร้อย ในฮีบรู 1:3ย้ำว่า พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า และข้อต่อมาบอกว่าทรง
ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะว่าพระนามสูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์
ฮีบรู 2:7
มนุษย์ท่านนี้ เป็นผู้ที่ถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพราะท่านลงมาเป็นมนุษย์เต็มตัว แต่เป็นชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูทรงมาเป็นทูตสวรรค์ แต่ให้เป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงให้สิทธิครอบครองแก่มนุษย์ ไม่ใช่แก่ทูตสวรรค์ ผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่าผู้ใดในจักรวาลคือพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนฮีบรูได้ย้ำเตือนผู้อ่านที่
เป็นยิวให้รู้ว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเคารพ
ฮีบรู 2:8
การที่บอกว่า พระเยซูทรงมีเกียรติสูงเหนือผู้ใด เราต้องเข้าใจด้วยว่า ทุกสิ่งในเอกภพอยู่ในการควบคุม ครอบครองของพระเยซู ตั้งแต่สัตว์โลกตัวจิ๋วอย่างจุลินทรีย์จำนวนมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตา ไปจนถึงดวงดาวมหึมาที่ใหญ่กว่าโลกหลายล้านเท่า ไม่ใช่แค่นั้น แต่วิญญาณทุกดวงในเอกภพก็เป็นของพระองค์เช่นกัน ทรงอยู่เหนือทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ และมนุษย์ตอนนี้เรามองไม่เห็น แต่ความจริงคืออย่างนั้น
ฮีบรู 2:9
การที่พระเยซูทรงลงมาเป็นมนุษย์และรับสภาพมนุษย์ ก็เพื่อว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ เสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นชัยชนะเหนือความตายที่ยิ่งใหญ่นัก ชัยชนะนี้ ทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านความเชื่อวางใจในพระองค์ และที่พระองค์ทรงเผชิญความตายโดยที่ความตายไม่สามารถยึดพระองค์ในแดนตาย
ได้ก็โดยพระคุณของพระบิดาเจ้า (กิจการ 2:24)
ฮีบรู 2:11
พระคำตอนนี้สุดยอด .. พระเยซูทรงมองว่า เราเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียว พระบิดาองค์เดียวกัน ที่ทรงเรียกเราว่า เป็นพี่น้องได้นั้น เพราะว่า พระองค์ทรงมาเป็นมนุษย์แบบพวกเรา พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยการสละพระชนม์เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้แล้วเราเอง เป็นคนบาปที่ไม่อาจจะเรียกพระองค์ว่าเป็นพี่น้องได้ แต่พระองค์กลับทรงเป็นผู้ยื่นความเป็นพี่น้องให้กับเรา
ฮีบรู 2:12
ในสดุดี 22 เล่าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูล่วงหน้า และคำสัญญาว่าจะประกาศพระนาม จะร้องเพลงสรรเสริญในหมู่ผู้คน .. พระเยซูทรงประกาศพระนามของพระเจ้าแก่เหล่าคนอิสราเอลและทรงสรรเสริญพระเจ้าก็คนเหล่านั้นในศาลาธรรมก็จริง แต่ทุกวันนี้ พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงดลใจให้ผู้รับใช้ประกาศพระนามไม่หยุด เรารู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางพี่น้องทั่วโลกขณะที่เขารวมตัวกันเพื่อพระนาม (มัทธิว 18:20)
ฮีบรู 2:13
ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงวางใจในพระเจ้าว่า จะทรงช่วยกู้ให้พ้นจากโลกแห่งความตายอย่างแน่นอน เป็นความวางใจที่สะท้อนมาจากสดุดี 18:16-17 พระเยซูทรงมองเห็นว่า คนที่วางใจในพระองค์นั้น
มีค่ายิ่งนัก พวกเขาเป็นคนที่พระบิดาเจ้าประทานให้ ผู้ที่เชื่อวางใจเป็นของขวัญจากพระบิดาและเป็นผู้ที่พระองค์จะทรงรักษาไม่ให้หายไปจากสายพระเนตร (ยอห์น 6:39)
ฮีบรู 2:14
ผู้เขียนได้แจ้งให้เราทราบว่า ผู้กำอำนาจความตายของมนุษยชาติไว้ในมือคือมาร มารได้อำนาจนี้มาเมื่ออาดัมและเอวาได้หลงเชื่อ และพ่ายแพ้การหลอกลวงของมัน มันพยายามให้มนุษย์สิ้นชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า จะได้ลงนรกห่างจากพระเจ้าตลอดไป แต่หากพวกเขาเชื่อพระองค์ ความตายไม่อาจมีชัยชนะเหนือพวกเขาได้ พระเยซูได้ทรงถือกุญแจแห่งความตายแล้ว (วิวรณ์ 1:17-18)
ฮีบรู 2:15-16
พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความกลัวตาย ศาสนาต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์กลัวความตายมากเพียงไร เพราะพยายามหาหนทางไปอยู่ในภพดี ๆ หลังจากที่ตายไปแล้วแต่..เสียดายที่ทำอย่างไรไม่มีวันสำเร็จเพราะค่าจ้างของบาปคือตาย! (โรม 6:23)ทางเดียวที่จะไปได้คือ ต้องไปทางเจ้าของสวรรค์ ทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 14:6)
ฮีบรู 2:17
พระเยซูไม่ได้ทรงมาช่วยทูตสวรรค์ที่หลงทางไปพรอมกับมาร แต่ทรงมาเพื่อช่วยมนุษย์ที่หลงทางไปเพราะมาร วิธีเดียวที่จะทำให้พระองค์ลบล้างบาปพวกเขาได้คือ มาเป็นพวกเดียวกับเขา มารับรสชาติความเป็นมนุษย์ โดยอย่างเดียวที่ไม่ทรงเหมือนพวกเขาคือ พระองค์ทรงปราศจากความบาป พระองค์ไม่ได้ทรงช่วยตามหน้าที่ แต่ด้วยความรักเมตตาอย่างที่พระบิดาทรงเมตตาสงสารพวกเขา
ฮีบรู 2:18
บทบาทของผู้ที่จะปลอบใจ และช่วยกู้มนุษย์ที่ต้องเจอกับความทุกข์ยากนั้น ไม่ใช่เป็นของทูตสวรรค์ เพราะพวกเขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้เหมือนพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงเผชิญกับความอ่อนแอ ความเหน็ดเหนื่อยความทุกข์ยากของความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ทรงพบด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ทรงพบในผู้คนรอบข้างที่มาขอความช่วยเหลือไม่หยุดหย่อน
พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 7:53; กันดารวิถี 15:30
3* ฮีบรู 10:28; มัทธิว 4:17; ลูกา 1:2
4* กิจการ 2:22, 43
5* 2 เปโตร 3:13
6* สดุดี 8:4-6
8* มัทธิว 28:18; 1โครินธ์ 15:25, 27
9* ฟีลิปปี 2:7-9; กิจการ 2:33; 3:13; ยอห์น 3:16
10* โคโลสี 1:16; ฮีบรู 5:8-9; 7:28
11* ฮีบรู 10:10; กิจการ 17:26; มัทธิว 28:10
12* สดุดี 22:22
13* 2 ซามูเอล 22:3;อิสยาห์ 8:17-18
14* ยอห์น 1:14; โคโลสี 2:15; 2 ทิโมธี 1:10
15* อิสยาห์ 42:7; 49:9; 61:1 ; ลูกา 1:7417* ฮีบรู 4:15; 5:1-10
18* ฮีบรู 4:15-16
สุภาษิต 21 ชัยชนะมาจากพระเจ้า
1 พระทัยขององค์กษัตริย์เป็นดั่งธารน้ำในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์
จะทรงเปลี่ยนสายน้ำไปยังทิศที่ทรงพอพระทัย
2 สำหรับมนุษย์แล้ว ทางทั้งสิ้นของเขาก็ดูเหมือนถูกต้อง
แต่พระยาห์เวห์ทรงตรวจสอบชั่งใจของเขา
3 ที่จะทำความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม
ก็เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยมากกว่าของถวายบูชา
4 สายตาเย่อหยิ่งและหัวใจยโส
และตะเกียงนำทางของคนชั่วร้ายล้วนเป็นความบาป
5 แผนการของคนที่ขยันขันแข็งนำความมั่งคั่ง
พอ ๆ กับความรีบร้อนที่นำความยากจน
6 ความร่ำรวยที่ได้มาจากการโกหกนั้น
เป็นเหมือนไอน้ำที่ระเหยหายไป เป็นกับดักแห่งความตาย
7 ความรุนแรงของคนโหดร้ายจะกวาดพวกเขาไป
เพราะพวกเขาไม่ยอมทำตามความยุติธรรม
8 หนทางของคนผิด คดเคี้ยว ลดเลี้ยวนัก
แต่การกระทำของผู้บริสุทธิ์ก็เที่ยงตรง
9 ที่จะอาศัยในมุมหนึ่งของดาดฟ้า
ก็ดีกว่าการอยู่ร่วมกับภรรยาที่ชอบหาเรื่อง
10 คนชั่วร้ายนั้นโหยหาความชั่ว
เขาไม่เคยเมตตาเพื่อนบ้านของตนเองเลย
11 เมื่อคนช่างเยาะถูกลงโทษ คนอ่อนต่อโลกก็เริ่มเข้าใจ
และเมื่อคนมีปัญญารับการสอน เขาก็ได้รับความรู้
12 องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรมทรงพิจารณาครอบครัวคนชั่วร้าย
และทรงโยนเขาไปสู่ความหายนะ
13 คนที่ปิดหูจากเสียงร้องขอของคนยากจน
เมื่อเวลาเขาร้องขอก็จะไม่มีใครตอบเขา
14 ของกำนัลที่แอบให้ ทำให้ความโกรธละลายไป
และสินบนที่แอบให้ก็ช่วยบรรเทาความเกรี้ยวกราด
15 การทำความยุติธรรมเป็นความยินดีของคนเที่ยงธรรม
แต่หายนะจะมาถึงคนที่ตั้งใจทำความชั่ว
16 คนที่หลงออกไปจากความเข้าใจ
จะจบชีวิตใน หมู่คนตาย
17 คนที่รักความสนุกสนานจะกลายเป็นคนยากจน
คนที่รักเหล้าองุ่นและน้ำมันจะไม่มีวันร่ำรวยขึ้นมา
18 คนชั่วร้ายจะกลายเป็นค่าไถ่ให้คนเที่ยงธรรม
และคนไม่ซื่อเป็นค่าไถ่ให้คนที่เที่ยงตรง
19 การอาศัยในถิ่นกันดาร
ยังดีกว่าอาศัยอยู่กับภรรยาอารมณ์ร้ายที่ชอบหาเรื่อง
20 ทรัพย์สินมีค่า และน้ำมันมีอยู่ในที่อาศัยของคนมีปัญญา
แต่คนโง่กลับเผาผลาญไปจนหมดสิ้น
21 คนที่ติดตามความเที่ยงธรรม และรักมั่นคงนั้น
จะพบชีวิต รางวัล และเกียรติยศ
22 คนฉลาดสามารถโจมตีเมืองของคนแข็งแรง
และทำลายป้อมที่พวกเขาวางใจได้
23 คนที่ระมัดระวังปากและลิ้น
จะรักษาวิญญาณของตนให้พ้นจากความหายนะ
24 “นักเยาะเย้ย” เป็นชื่อของคนที่เย่อหยิ่ง จองหอง
เป็นคนที่ทำตัวหยิ่งยโสเกินเหตุ
25 ใจที่อยากได้ของคนเกียจคร้านนั้นจะฆ่าเขา
เพราะเขาไม่ยอมลงมือทำงาน
26 เขากระหายอยากได้ไม่หยุด
แต่คนเที่ยงธรรมนั้นเอื้อเฟื้ออย่างไม่อั้น
27 เครื่องบูชาของคนชั่วร้ายนั้นน่ารังเกียจ
เมื่อเขาถวายด้วยเจตนาร้าย จะยิ่งน่ารังเกียจกว่านั้นสักเท่าใด
28 ผู้ที่เป็นพยานเท็จจะพินาศ
ส่วนคนที่รายงานตามจริงนั้น คำของเขาจะอยู่ตลอดไป
29 คนชั่วจะทำหน้าตาขึงขัง
แต่คนเที่ยงตรงจะก่อตั้งทางชีวิตของเขาให้มั่นคง
30 ไม่มีสติปัญญาใด ความเข้าใจใด
และแผนการใดที่จะต่อต้านองค์พระยาห์เวห์ได้
31 ม้าศึกนั้น ถูกเตรียมไว้สำหรับวันทำสงคราม
แต่ชัยชนะมาจากองค์พระยาห์เวห์
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 21
2* สุภาษิต 16:2; 24:12
3* 1 ซามูเอล 15:22
4* สุภาษิต 6:17
5* สุภาษิต 10:4
6* 2 เปโตร 2:3
9* สุภาษิต 19:13
10* ยากอบ 4:5
11* สุภาษิต19:25
13* มัทธิว 7:2; 18:30-34
16* สดุดี 49:14
20* สดุดี 112:3
21* มัทธิว 5:6
22* สุภาษิต 24:5
23* ยากอบ 3:2
25* สุภาษิต 13:4
26* สุภาษิต 22:9
27* เยเรมีย์ 6:20
30* เยเรมีย์ 9:23-24
31* สดุดี 3:8
ฮีบรู 1 พระเยซูคือผู้ใด?
1:1 ในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง
ผ่านทางผู้เผยพระดำรัสด้วยวิธีต่าง ๆ
1:2 แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ตรัสกับเราผ่านพระบุตรของพระองค์
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทซึ่งจะรับสรรพสิ่งเป็นมรดก
และพระองค์ทรงสร้างจักรวาลโดยพระบุตรองค์นี้
1:3 พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า
ทรงมีพระลักษณะเหมือนพระองค์ทุกประการ
และทรงผดุงรักษาสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์
หลังจากที่ทรงชำระบาปแล้ว ก็ประทับนั่งเบื้องขวา
พระหัตถ์ของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน
1:4 ดังนั้น พระองค์ทรงมาเป็นผู้ที่ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์
เพราะว่าพระนามที่พระองค์ทรงได้รับมานั้น
สูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์ทั้งหลาย!
1:5 เพราะมีทูตสวรรค์องค์ใดที่พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า
“เจ้าเป็นลูกชายของเราวันนี้ เราได้เป็นบิดาของเจ้า?” หรือได้ตรัสว่า
“เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นลูกชายของเรา?”
1:6-7 และอีกครั้งที่พระเจ้าทรงนำพระบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก
พระองค์ตรัสว่า “ให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า
นมัสการพระองค์” พระองค์ได้ตรัสถึงทูตสวรรค์ดังนี้
“พระองค์ทรงทำให้ทูตสวรรค์เป็นลมของพระองค์
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง”
1:8 แต่กับพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า
“โอ พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะยืนยงดำรงนิรันดร์ พระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยคทาแห่งความยุติธรรม
1:9 พระองค์ทรงรักความเที่ยงธรรมและทรงชังความชั่วร้าย
ดังนั้น พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์เหนือสหายทั้งหลายด้วยน้ำมันแห่งความยินดี”
1:10 และพระองค์ตรัสต่อไปว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์ก็เป็นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์
1:11-12 สิ่งเหล่านี้จะสูญไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าผุไปเหมือนเครื่องนุ่งห่มพระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไป เหมือนเสื้อผ้า แต่พระองค์ยังทรงดำรงเหมือนเดิม”
ฮีบรู 1:13-14 พระเจ้าได้ตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างว่า.. “จงมานั่งทางด้านขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”
ทูตสวรรค์ทั้งหลาย มิได้เป็นวิญญาณผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงส่งไปรับใช้คนที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกหรอกหรือ?
www.publicdomainpictures.net
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 1:1
พระเจ้าของเรา ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยพระดำริของพระองค์มาแต่ไหนแต่ไร พระองค์ไม่ใช่รูปเคารพที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วพูดไม่ได้แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสเสมอ ตรัสตั้งแต่วันแรกที่ทรงสร้างโลก พระองค์ตรัสผ่านการเขียนของโมเสสที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดของโลก ของชนชาติอิสราเอล สิ่งที่เกิดขึ้นกับชนชาตินี้ ในหนังสือห้าเล่มแรกของพันธสัญญาเดิม ความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อชาวโลกปรากฏชัดในหนังสือสดุดี…
ฮีบรู 1:2
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพวกเจ้ารู้จักเรา เจ้าก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย ต่อจากนี้ไปเจ้าก็รู้จักพระบิดาจริง ๆ และได้เห็นพระองค์แล้ว ยอห์น 14:7เพราะพระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกนี้พร้อมกับพระบิดา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะรับสรรพสิ่งมาครอบครอง (อิสยาห์ 8:6) ทรงปกครองเหนือมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งสิ้น ทูตสวรรค์ประกาศเรื่องนี้ว่า “อาณาจักรจะเป็นของพระคริสต์และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 11:15)
ฮีบรู 1:3
ข้อความตอนนี้มหัศจรรย์.. พระเยซูทรงเป็นราศีที่มาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ใช่แสงสะท้อน แต่เป็นพิมพ์เดียวกัน ทรงเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง ทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็จริง แต่ขณะเดียวกันทรงเป็นพระบุตรที่บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริงเหมือนพระบิดา (ยอห์น 1:14) ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับพระบิดาและความบริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งสิ้นนั้น อยู่ในพระองค์ (โคโลสี 1:19)
ฮีบรู 1:4
พระเยซูทรงเหนือทูตสวรรค์ เป็นเพราะพระองค์ประทับข้างขวาของพระบิดา ทรงเป็นผู้รับมรดก ยิ่งกว่านั้น พระนามของพระองค์สูงส่ง มีฤทธิ์สูงยิ่งเหนือนามทั้งหลาย (ฟีลิปปี 2:9-11)เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ สละพระชนม์ชีพเพื่อให้มนุษยชาติได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า การสละชีวิตของ
พระองค์นี้ทำให้พระเจ้าทรงมอบพระเกียรติสูงสุดยกพระนามของพระองค์เหนือนามใด ๆ
ฮีบรู 1:5
แม้ทูตสวรรค์จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาก็มีลักษณะวิญญาณแบบทูตสวรรค์ พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลก เพื่อทำราชกิจสำคัญตามพระดำริ คือการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษบาป ข้อนี้อ้างถึงพันธสัญญาเดิมสองที่คือ สดุดี 2:7, 1 ซามูเอล 7:14 สดุดีเน้นการเป็นลูกชาย ซามูเอลเน้นการเป็นกษัตริย์เชื้อสายดาวิด
ฮีบรู 1:6-7
เป็นคำที่สื่ออย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์มากนัก ผู้เขียนเน้นย้ำความแตกต่างนี้ในข้อ 5-14 โดยอ้างถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในสดุดีทูตสวรรค์บอกเสมอว่า พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คนทั้งหลายจะต้องไม่นมัสการกราบไหว้พวกเขา แต่จะต้องนมัสการพระเจ้า ทั้งดานิเอลยอห์น และอีกหลาย ๆ คนก็ได้ฟังคำแบบนี้จากปากของทูตสวรรค์เอง ส่วนทูตที่ต้องการให้คนกราบไหว้นั้น เป็นฝ่ายมารแน่นอน
ฮีบรู 1:8
ผู้เขียนฮีบรูได้อธิบายให้คนยิวเข้าใจว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์จริง ๆในขณะที่บอกว่า ทูตสวรรค์เป็นลมเป็นเปลวเพลิงที่รับใช้พระเจ้าอยู่ ก็ได้บอกชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นองค์ราชาที่ปกครองตลอดไป พระองค์
ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับทูตสวรรค์ ผู้เขียนอ้างถึงสดุดี 45:6 ซึ่งมีความหมายถึงพระเยซูผู้ทรงมีเจ้าสาวคือคริสตจักร และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์
ฮีบรู 1:9
ผู้เขียนฮีบรูได้อ้างถึงสดุดี 45:7 อย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงครอบครองนั้นทรงอยู่ฝ่ายความเที่ยงธรรม ทรงเป็นความสว่าง ทรงอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่
พระบิดาทรงเจิมด้วยน้ำมันแห่งความยินดี (มีความหมายถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์)เท่ากับว่า เราได้สัมผัสกับ องค์ตรีเอกานุภาพอย่างชัดเจนในข้อนี้
ฮีบรู 1:10
ที่เขียนมาล้วนแล้วแต่นำมาจากพันธสัญญาเดิมข้อ10-12 มาจาก สดุดี 102 :25-27 เพื่อบอกเราว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทรงเป็นอย่างไรในแง่มุมต่าง ๆ นอกจากทรงครอบครองเป็นนิตย์แล้ว ทุกสิ่งในธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินและอวกาศ ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนเป็นผลงานของพระองค์ทั้งสิ้น พระเยซูทรงเต็มด้วยความยิ่งใหญ่ตระการ พระนามของพระองค์อยู่เหนือนามทั้งสิ้นในโลกนี้ ไม่มีใครมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้
ฮีบรู 1:11-12
น่าประหลาดที่โลกอันสวยงาม ธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างได้ ท้องฟ้ายิ่งใหญ่ ภูเขา ป่าไม้ ทะเลเป็นสิ่งทรงสร้างที่จะสูญไป พระคำตอนนี้ได้บอกเราว่า พระเจ้าจะทรงม้วนฟ้าสวรรค์เข้าไปเหมือนกับม้วนเสื้อผ้า ฟ้าสวรรค์เปลี่ยนแปลงไป เก่าไป ซึ่งเราเองก็เห็นอยู่ตำตาว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ก็ตั้งต้นที่จะเก่า แต่ที่ประหลาดคือ พระเจ้าไม่ทรงเก่า ไม่ทรงแก่ พระองค์ยังทรงดำรงเป็นอย่างเดิมตลอดไป
ฮีบรู 1:13-14
สำหรับพี่น้องชาวยิวที่ได้อ่านฮีบรูบทที่ 1 นี้ พี่น้องที่ยังเคยคิดว่าทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่ก็จะพบแล้วว่า พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้านั้นทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเข้าใจว่าใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าตกใจสำหรับพวกเขาคือทูตสวรรค์ไม่ได้เป็นเจ้าเหนือหัว แต่กลับเป็นวิญญาณผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อดูแล ปกป้องช่วยเหลือคนที่กำลังจะได้รับความรอด เราล่ะ ตื่นเต้นไหม?
พระคำเชื่อมโยง
1* กันดารวิถี 12:6,8
3* ยอห์น 1:14; 2 โครินธ์ 4:4; โคโลสี 1:17; ฮีบรู 7:27; สดุดี 110:1
4* ฟีลิปปี 2:9-10
5* สดุดี 2:7; 2 ซามูเอล 7:14
6* โรม 8:29; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:43
7* สดุดี 104:4
8* สดุดี 45:6-7
9* อิสยาห์ 61:1,3
10* สดุดี 102:25-27
11* อิสยาห์ 34:4, 50:9, 51:6
12* ฮีบรู 13:8
13* สดุดี 110:1
14* สดุดี 103:20; โรม 8:17
สุภาษิต 20 ย่างเท้า.. พระเจ้าทรงกำหนด
1 เหล้าองุ่นทำให้คนเยาะหยันคนอื่น เหล้าแรงพาไปสู่การวิวาท
และใครที่ยอมให้มันพาเขาหลงไป ก็เป็นคนไร้ปัญญา
2 พิโรธของกษัตริย์เป็นเหมือนเสียงคำรามของสิงโต
ใครก็ตามที่ยั่วยุพระองค์ให้โกรธ เท่ากับเอาชีวิตไปแลก
3 การที่พยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทนั้นเป็นเกียรติ
แต่คนโง่ชอบทะเลาะเบาะแว้งเสมอ
4 คนเกียจคร้านไม่ยอมไถในฤดู
พอถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขามองออกไป ก็ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยว
5 ความตั้งใจของมนุษย์เป็นดั่งน้ำลึก
แต่คนที่มีความเข้าใจจะหยั่งรู้ใจนั้นได้
6 คนมากมายอ้างว่า ตนเองนั้นจงรักภักดี
แต่ใครจะพบคนที่เราวางใจได้เล่า?
7 คนเที่ยงธรรมเดินไปด้วยความเที่ยงตรง
ลูกหลานรุ่นต่อมาจะได้รับพระพร
8 องค์กษัตริย์ที่ประทับบนบัลลังก์เพื่อพิพากษา
จะฝัดร่อนความชั่วออกไป ด้วยพระเนตรของพระองค์
9 ใครจะกล่าวว่า “ข้าได้รักษาใจของข้าให้บริสุทธิ์
ข้าสะอาด ไร้ความบาปแล้ว?”
10ตาชั่งที่ไม่เที่ยง และเครื่องตวงที่ไม่ตรง
ทั้งสองเป็นที่น่าชังสำหรับองค์พระยาห์เวห์
11 เรามองออกจากการกระทำของเด็ก ๆ ได้ว่า
ต่อไป เขาจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์และเที่ยงตรงหรือไม่
12 หูที่ฟัง ตาที่มองเห็น
พระยาห์เวห์ทรงสร้างทั้งสองนี้มา
13 อย่าเอาแต่ชอบนอน เพราะเจ้าจะยากจน
จงเปิดตาขึ้น แล้วเจ้าจะมีอาหารบริบูรณ์
14“ไม่ดีเลย ไร้ค่า” คนซื้อพูดอย่างนั้น
แต่พอเดินออกไป เขาก็คุยโม้โอ้อวด
15 มีทองคำและแร่ทับทิมเหลือเฟือ
แต่ริมฝีปากที่เต็มด้วยความรู้ก็เป็นทรัพย์มีค่าที่หายาก
16 จงยึดเสื้อผ้าของคนที่ไว้ใจคนแปลกหน้า
ต้องมีสัญญาเป็นประกัน หากเขาไว้ใจคนต่างถิ่น
17 อาหารที่ได้มาด้วยการคดโกงนั้น
หวานชื่นสำหรับคนหนึ่ง
แต่ในที่สุด ปากของเขาจะเต็มด้วยก้อนกรวด
18 จงวางแผนด้วยการปรึกษาหารือ
จงลงมือทำสงคราม ตามคำแนะนำที่ฉลาดรอบคอบ
26 องค์กษัตริย์ที่ทรงปัญญาสามารถแยกคนชั่วออกมา
และหมุนล้อนวดข้าวทับเขาเหล่านั้น
27 วิญญาณของคน ๆ หนึ่งเป็นตะเกียงของพระยาห์เวห์
มันช่วยส่องให้เห็นส่วนลึกที่สุดของเขา
28 ความรักที่ทุ่มเทและความเที่ยงตรง
ช่วยปกป้ององค์กษัตริย์ไว้
บัลลังก์มั่นคงได้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้
29 ศักดิ์ศรีของคนอายุน้อยคือกำลังของเขา
และผมขาวเป็นความสง่างามของคนชรา
30 ไม้เรียวและบาดแผลช่วยขจัดความชั่ว
การถูกโบยก็ช่วยชำระล้างส่วนลึกที่สุดให้สะอาด
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 20
1* ปฐมกาล 9:21
3* สุภาษิต 17:14
4* สุภาษิต 10:4; 19:15
7* 2 โครินธ์ 1:12; สดุดี 37:26
9* 1 พงศ์กษัตริย์ 8:46
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:13
11* มัทธิว 7:16
12* อพยพ 4:11
13* โรม 12:11
15* สุภาษิต 3:13-15
16* สุภาษิต 22:26
17* สุภาษิต 9:17
18* สุภาษิต 24:6; ลูกา 14:31
19* สุภาษิต 11:13; โรม 16:18
20* มัทธิว 15:4; โยบ 18:5-6
21* สุภาษิต 28:20; ฮาบากุก 2:6
22* โรม 12:17-19; 2 ซามูเอล 16:12
26* สดุดี 101:8
27* 1 โครินธ์ 2:11
28* สุภาษิต 21:21
29* สุภาษิต 16:31
สุภาษิต 19 ใจเราก็มีแผนมากมาย
1 ที่จะเป็นคนยากจนแต่เดินในความสัตย์จริง
ก็ยังดีกว่าเป็นคนโง่ที่พลิกลิ้น
2 ความกระตือรือร้นที่ขาดความรู้นั้นไม่ดีเลย
และคนที่รีบร้อนนักมักพลาดเป้าหมาย
3 ความโง่ของคน ๆ หนึ่งทำลายทางชีวิตของตนเอง
แต่เขากลับโกรธเกรี้ยวองค์พระยาห์เวห์
4 ความมั่งคั่งทำให้มีเพื่อนมากมาย
แต่คนยากจนก็ถูกเพื่อนทิ้งไป
5 พยานเท็จจะไม่พ้นโทษ
และคนที่กล่าวคำโกหกจะหนีไม่พ้น
6 คนมากมายประจบสอพลอคนมีอำนาจ
และทุกคนเป็นมิตรกับคนที่ให้ของกำนัล
7 พี่น้องของคนยากจนต่างก็เกลียดชังเขา
เพื่อน ๆ จะยิ่งหลีกเลี่ยงเขามากกว่านั้นสักเท่าใด
เขาอาจจะตามไปอ้อนวอนแต่เขาก็จะไม่พบใครสักคน
8 คนที่ตามหาปัญญาจนได้มานั้น เป็นคนรักตนเอง
คนที่รักความเข้าใจจะพบกับความสำเร็จ
9 พยานเท็จจะไม่พ้นโทษ
และคนที่พูดมุสาจะพบหายนะ
10 ชีวิตที่หรูหราไม่เหมาะกับคนโง่
ที่ทาสจะปกครองเหนือเจ้านายยิ่งไม่เหมาะไปกว่านั้นอีก
11 คนที่มีความหยั่งรู้จะอดทนโกรธช้า
การให้อภัยความผิดคนอื่นก็เป็นศักดิ์ศรีของเขา
12 พระพิโรธขององค์กษัตริย์เป็นเหมือนเสียงสิงโตคำราม
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นเหมือนน้ำค้างบนใบหญ้า
13 ลูกที่โง่เขลาเป็นหายนะของพ่อ
ภรรยาที่ช่างทะเลาะเป็นเหมือนฝนที่โปรยไม่หยุด
14 บ้านและความมั่งคั่งเป็นมรดกจากพ่อแม่
แต่ภรรยาที่ฉลาดเฉลียวมาจากพระยาห์เวห์
15 ความเกียจคร้านทำให้คนหลับสนิท
และคนที่เกียจคร้านจะหิวโหย
16 คนที่รักษาพระบัญญัติจะรักษาวิญญาณจิตของตนไว้
แต่คนที่ขาดความระมัดระวังจะต้องเสียชีวิตไป
17 การมีน้ำใจให้กับคนยากจนเป็นเหมือนให้พระเจ้าทรงยืม
และพระองค์จะทรงตอบแทนสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
18จงฝึกวินัยลูกชายของเจ้า เพราะจะมีความหวัง
แต่อย่าทำจนถึงกับเขาต้องเสียชีวิต
19 คนที่อารมณ์ร้ายวู่วามจะต้องรับผลของตน
หากเจ้าช่วยเขาเจ้าจะต้องช่วยเขาอยู่ร่ำไป
20 จงฟังคำแนะนำและยอมรับวินัย
เพื่อว่าเจ้าจะฉลาดเฉลียวไปตลอดชีวิตของเจ้า
21 มนุษย์มีแผนในใจเป็นอันมาก
แต่พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะสำเร็จ
22 สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งคือที่จะมีความรักยั่งยืน
และการเป็นคนยากจนก็ยังดีกว่าเป็นคนมุสา
23 ความยำเกรงพระยาห์เวห์นำมาสู่ชีวิต
เขาจะพักผ่อนอย่างเป็นสุข ไม่มีภัยใด ๆ มาแผ้วพาน
24 คนเกียจคร้านแช่มือในจาน
เขายังไม่ยอมแม้แต่จะป้อนตนเอง
25 จงเฆี่ยนคนที่ชอบเยาะเย้ย และคนรู้น้อยจะได้รับปัญญา
จงตักเตือนคนที่มีวิจารณญาณ และเขาก็จะได้รับความรู้
26 คนที่ก้าวร้าวต่อพ่อ และขับไล่แม่ของเขา
เป็นลูกที่นำความอับอายและความเสื่อมเสียมาให้
27 ลูกเอ๋ย หากเจ้าหยุดที่จะฟังคำสอน
เจ้าก็จะหลงไปจากถ้อยคำแห่งความรู้
28 พยานที่คดโกงนั้น เยาะเย้ยความยุติธรรม
ปากของคนโหดร้ายกลืนความชั่วลงไป
29 โทษทัณฑ์เตรียมไว้สำหรับคนชอบเยาะเย้ย
และการโบยก็เตรียมไว้สำหรับ หลังของคนโง่
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 28:6
4* สุภาษิต 14:20
5* อพยพ 23:1
7* สุภาษิต 14:20; สดุดี 38:11
8* สุภาษิต 16:20
10* สุภาษิต 30:21-22
11* ยากอบ 1:19; เอเฟซัส 4:32
12* สุภาษิต 16:14; โฮเชยา 14:5
13* สุภาษิต 10:1; 21:9,19
14* 2 โครินธ์ 12:14; สุภาษิต 18:22
15* สุภาษิต 6:9; 10:4
16* ลูกา 10:28; 11:28
17* 2 โครินธ์ 9:6-8
18* สุภาษิต 13:24
20* สดุดี 37:37
21* ฮีบรู 6:17
23* 1 ทิโมธี 4:8
24* สุภาษิต 15:19
25* เฉลยธรรมบัญญัติ 13:11; สุภาษิต 9:8
26* สุภาษิต 17:2
28* โยบ 15:1629* สุภาษิต 26:3
สุภาษิต 18 อำนาจลิ้น
1 คนที่แยกตัวออกไปคือคนที่ทำตามใจตนเอง
เขาต่อต้านสติปัญญาที่ถูกต้องทุกอย่าง
2 คนโง่ ไม่มีความยินดีในความเข้าใจ
แต่เขาสนุกกับการออกความเห็นของตัวเองเท่านั้น
3 คนชั่วร้ายมาพร้อมกับการดูหมิ่นผู้อื่น
และยังมีความอัปยศและความอับอายตามมาด้วย
4 คำพูดของคน ๆ หนึ่งเป็นเหมือนน้ำลึก
น้ำพุแห่งปัญญา เป็นเหมือนสายธารที่ไหลไปไม่หยุด
5 การเข้าข้างคนชั่วนั้นไม่ดีเลย
และการยับยั้งความยุติธรรมให้คนบริสุทธิ์ ก็ไม่ดีเช่นกัน
6 ปากของคนโง่เชื้อเชิญการวิวาท
และปากของเขาก็เชิญการโบย
7 ปากของคนโง่คือหายนะของเขา
และริมฝีปากของเขาเป็นกับดักชีวิตของเขาเอง
8 คำซุบซิบนินทาเป็นเหมือนอาหารอร่อย
ซึ่งกลืนลงไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกาย
9 คนใดที่เกียจคร้านชอบหนีงาน
ก็เป็นพี่น้องกับคนช่างทำลาย
10 พระนามของพระเจ้าเป็นดั่งป้อมเข้มแข็ง
คนเที่ยงธรรมจะวิ่งเข้าไปในนั้น และปลอดภัย
11 ความมั่งคั่งของคนรวยเป็นเหมือนเมืองป้อมของเขา
มันเป็นกำแพงสูงในความคิดของเขา
12 เมื่อมีความหยิ่งผยองเกิดขึ้นในใจ
การล้มลงก็ตามมา แต่ความถ่อมตนนำหน้าเกียรติ
13 คนที่ตอบก่อนฟัง
ทั้งเขลาและขายหน้า
14 กำลังใจของคน ๆ หนึ่งช่วยทำให้เขาอดทนผ่านความเจ็บป่วยได้
แต่ใครจะทนผ่านจิตใจที่แตกสลายไปได้เล่า?
15 ใจของคนมีวิจารณญาณใฝ่หาความรู้
และคนที่มีปัญญาก็ใช้หูตามหามันจนเจอ
16 ผู้ที่ให้ของกำนัลเท่ากับเปิดช่องทางให้กับตนเอง
และนำเขาไปยังคนที่ยิ่งใหญ่
17 คนที่ให้การในคดีก่อนมักจะดูเหมือนเป็นคนถูกต้อง
จนกระทั่งมีคนอื่นมาและสอบสวนเขาอีกครั้ง
18การจับฉลากช่วยยุติการทะเลาะวิวาท
และแยกคู่ต่อสู้ออกจากกัน
19 พี่น้องที่บาดหมางกันนั้นยากที่จะไกล่เกลี่ย
ยิ่งกว่าการยึดเมืองป้อมเสียอีก
การวิวาทเป็นเหมือนปราสาทที่มีกลอนลั่นดาลไว้
20 ท้องของคน ๆ หนึ่งอิ่มได้จากผลของคำพูด
เขาจะอิ่มได้โดยเก็บเกี่ยวจากคำพูดของเขาเอง
21 ชีวิตและความตาย อยู่ใต้อำนาจของลิ้น
และคนที่รักลิ้นจะได้กินผลจากลิ้นนั้น
22 คนที่พบภรรยาก็ได้พบของดี
และได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
23 คนยากจนร้องขอความเมตตา
แต่คนรวยก็จะตอบอย่างหยาบคาย
24 คนที่มีเพื่อนมากอาจเสียหายจนหายนะได้
แต่ก็ยังมีเพื่อนที่ใกล้ชิดกว่าพี่น้อง
พระคำเชื่อมโยง
2* ปัญญาจารย์ 10:3
4* สุภาษิต 10:11; ยากอบ 3:17
5* สุภาษิต 17:15
7* สุภาษิต 10:14; ปัญญาจารย์ 10:12
8* สุภาษิต 12:18
10* 2 ซามูเอล 22:2-3, 33
12* สุภาษิต 15:33; 16:18
16* ปฐมกาล 32:20,21
18* สุภาษิต 16:33
20* สุภาษิต 12:14; 14:14
21* มัทธิว 12:37
22* สุภาษิต 12:4; 19:14
23* ยากอบ 2:3, 6
24* สุภาษิต 17:17
สุภาษิต 17 เกียรติยศของคนชรา
1 การได้กินเศษขนมปังแห้งในความสงบ
ยังดีกว่าอยู่ในบ้านที่จัดเลี้ยงพร้อมกับเสียงอึกทึกจากการวิวาท
2 คนรับใช้ที่มีปัญญาจะปกครองเหนือลูกชายที่น่าอาย
และจะได้รับมรดกราวกับเป็นลูกชายอีกคน
3 เบ้ามีเอาไว้หลอมแร่เงิน เตาถลุงสำหรับแร่ทอง
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ทดสอบจิตใจ
4 คนชั่วร้ายมักจะฟังคำจากปากที่ชั่ว
คนช่างมุสาก็มักฟังลิ้นที่จ้องทำลาย
5 คนที่เยาะเย้ยคนยากจนเท่ากับกำลังดูหมิ่นพระผู้สร้าง
คนที่ยินดีกับวิบัติ จะหนีไม่พ้นการลงโทษ
6 หลาน ๆ เป็นมงกุฎของคนชรา
และเกียรติของลูกชายก็คือบิดาของเขา
7คำพูดที่คมคายไม่เหมาะกับคนโง่
คำมุสาก็ยิ่งไม่เหมาะกับปากของผู้นำ
8 สินบนเป็นเหมือนเสน่หาสำหรับผู้มอบให้
ไม่ว่าเขาหันไปที่ใด ก็ประสบความสำเร็จไปทั่ว
9 คนที่ให้อภัยการบาดหมางคือคนที่สร้างเสริมความรัก
แต่คนที่ขุดคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาทำให้เพื่อนต้องแยกจากกัน
10 การเตือนสติคนที่มีวิจารณญาณเพียงครั้งเดียว
ได้ผลมากกว่าการเฆี่ยนหลังคนโง่ร้อยครั้ง
11 คนชั่วร้ายเอาแต่ดึงดันต่อต้านเท่านั้น
ดังนั้นจะมีการส่งคนใจโหดเข้ามาจัดการเขา
12 ที่จะต้องเผชิญหน้ากับแม่หมีที่ลูกถูกขโมยมา
ก็ยังดีกว่าต้องเจอคนโง่ที่มาพร้อมกับความเขลา
13 หากคนใดใช้ความชั่วตอบแทนความดี
ความชั่วจะไม่มีวันหายไปจากบ้านของเขา
14 ที่จะเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนกับการปล่อยน้ำจากเขื่อน
ดังนั้นจะต้องหยุดการโต้เถียงก่อนที่จะเกิดการวิวาท
15 การปล่อยคนผิดให้ลอยนวล
และการลงโทษคนเที่ยงธรรม
ทั้งสองอย่างนี้เป็นที่น่าชังต่อพระเจ้า
16 คนโง่มีเงินในมือไปเพื่ออะไร
ในเมื่อเขาไม่มีความคิดที่จะซื้อปัญญาให้ตัวเอง?
17 เพื่อนก็รักกันทุกเวลา
และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามยากเข็ญ
18 คนไร้ความคิดก็จับมือให้สัญญา
และรับประกันเพื่อนบ้านของเขา
19 คนที่รักการทำผิด ก็รักการวิวาท
คนที่สร้างประตูรั้วให้สูงก็เชื้อเชิญความพินาศ
20 คนที่มีใจคดจะไม่พบความเจริญ
และคนที่มีลิ้นล่อหลอกจะพบความยุ่งยาก
21 คนที่เป็นพ่อของคนโง่นั้นก็เป็นทุกข์นัก
และพ่อของคนโง่ไม่อาจมีความยินดีได้
22 ใจที่ชื่นชมยินดีเป็นยาชั้นเยี่ยม
แต่จิตใจที่แตกร้าวทำให้กระดูกแห้งไป
23 คนชั่วรับสินบนลับ ๆ
เพื่อล้มล้างความยุติธรรม
24 สายตาคนที่หยั่งรู้นั้นมุ่งมั่นที่ปัญญา
แต่สายตาของคนโง่กวาดไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
25ลูกชายที่โง่เขลานำความเสียใจมาให้พ่อ
และนำความขมขื่นมาให้กับแม่ที่เกิดเขามา
26 การลงโทษคนบริสุทธิ์
หรือโบยผู้ที่ซื่อตรงในหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย
27 คนที่มีความรู้จะยับยั้งคำพูดของเขา
คนที่มีความเข้าใจจะควบคุมตนให้สงบ
28 คนโง่จะถูกมองว่าเป็นคนฉลาดถ้าเขารู้จักนิ่ง
และหากเขาสงบปากสงบคำก็จะ ดูเหมือนคนมีความเข้าใจ
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 15:17
2* สุภาษิต 10:5
3* เยเรมีย์ 17:10
5* สุภาษิต 14:31 ;โยบ 31:29
6* สดุดี 127:3; 128:3
9* สุภาษิต 10:12; 16:28
10* มีคาห์ 7:9
12* โฮเชยา 13:8
13* สดุดี 109:4-5
14* สุภาษิต 20:315* อพยพ 23:7
17* รูธ 1:16
18* สุภาษิต 6:1
19* สุภาษิต 16:18
20* ยากอบ 3:8
22* สุภาษิต 12:25; 15:13, 15
24* ปัญญาจารย์ 2:14
25* สุภาษิต 10:1; 15:20; 19:13
27* ยากอบ 1:19
28* โยบ 13:5
สุภาษิต 16 มนุษย์คิด พระเจ้าทรงตอบ
1 แผนงานในใจนั้นเป็นของมนุษย์
แต่คำตอบจากลิ้นมาจากพระยาห์เวห์
2 ในสายตามนุษย์แล้วทางทั้งสิ้นของเขาบริสุทธิ์
แต่พระยาห์เวห์จะทรงชั่งดูแรงจูงใจของเขา
3 จงมอบงานต่าง ๆ ของเจ้าแด่พระยาห์เวห์
แล้วแผนงานของเจ้าจะสำเร็จผล
4 พระยาห์เวห์ทรงสร้างทุกสิ่งโดยมีพระประสงค์
แม้คนชั่วร้าย ก็เพื่อวันหายนะ
5 คนใดที่มีใจเย่อหยิ่งนั้นเป็นที่น่าชังต่อพระยาห์เวห์
แน่ใจได้เลยว่า เขาไม่อาจลอยนวลไปได้
6 ความผิดบาปถูกลบล้างไปด้วยความรักและความซื่อตรง
และคน ๆ หนึ่งหันไปจากความชั่วก็เพราะเขายำเกรงพระเจ้า
7 เมื่อทางของคน ๆ หนึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
พระองค์ก็ทรงช่วย แม้ ศัตรูก็อยู่อย่างสันติกับเขา
8 การมีน้อยพร้อมกับความเที่ยงธรรม
ก็ดีกว่าการได้มามากมายพร้อมกับความอยุติธรรม
9 ใจของคนก็วางแผนงานไว้
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้กำหนดย่างเท้าของเขา
10 คำชี้ขาดจากพระเจ้านั้นอยู่ที่พระโอษฐ์ขององค์กษัตริย์
พระโอษฐ์นั้นจะตัดสินอย่างยุติธรรม
11ตราชั่งและตราชูที่เที่ยงตรงมาจากพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ ตุ้มน้ำหนักในถุงนั้น
12 พฤติกรรมที่โหดร้ายเป็นที่ชิงชังขององค์กษัตริย์
เพราะบัลลังก์ตั้งอยู่ได้ด้วยความเที่ยงธรรม
13 ริมฝีปากที่เที่ยงธรรมทำให้องค์กษัตริย์ทรงยินดี
และคนที่กล่าวความถูกต้องนั้นก็เป็นที่รัก
14 พระพิโรธขององค์กษัตริย์ เป็นเหมือนการส่งผู้สื่อสารความตาย
แต่คนฉลาดจะช่วยระงับมันไว้
15 เมื่อพระพักตร์ขององค์กษัตริย์สดชื่นแจ่มใส นั่นก็คือชีวิต
เพราะความโปรดปรานของท่านเป็นเหมือนเมฆฝนในฤดูใบไม้ผลิ
16 การที่ได้รับปัญญานั้นดีกว่าได้แร่ทองคำ
การได้ความเข้าใจก็น่าปรารถนายิ่งกว่าแร่เงิน
17ทางหลวงของคนเที่ยงตรงนำออกจากความชั่ว
คนที่ระวังทางของเขาจะป้องกันชีวิตของตนไว้
18 ความเย่อหยิ่งยโสนำหน้าการทำลาย
และใจที่ผยองนำหน้าการล้มลง
19 ที่จะมีใจถ่อมลงท่ามกลางคนที่ยากจน
ก็ดีกว่าที่จะแบ่งรับของริบจากคนที่เย่อหยิ่ง
20 ใครก็ตามที่เอาใจใส่คำแนะนำจะพบความสำเร็จ
และคนที่วางใจพระยาห์เวห์ก็ได้รับพร
21 เขาเรียกคนที่มีปัญญาในใจว่าเป็นคนมีวิจารณญาณ
และคำพูดที่น่าฟังนั้น ชักชวนใจได้ดี
22 ความเข้าใจเป็นน้ำพุแห่งชีวิตกับคน ๆ นั้น
แต่วินัยของคนโง่ก็คือความเขลา
23 ใจของคนที่ฉลาดจะพูดในสิ่งที่มีปัญญา
และเพิ่มการโน้มน้าวใจให้มากขึ้น
24 คำกล่าวที่น่ายินดีเป็นเหมือนรวงผึ้ง
ที่หวานต่อวิญญาณ และบำบัดรักษาร่างกาย
25 มีทางที่ดูเหมือนถูกต้องกับมนุษย์
แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นทางแห่งความตาย
26 ความหิวของคน ทำให้เขาได้ทำงาน
เพราะความหิวนั้นช่วยผลักดันเขาไปข้างหน้า
27 คนที่ไร้ค่าขุดความชั่วร้ายขึ้นมา
และคำของเขาก็เป็นเหมือนไฟที่เผาผลาญ
28 คนที่พูดจา บิดเบือนกระจายความแตกร้าว
และการพูดนินทาก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน
29 คนที่รุนแรงหลอกล่อเพื่อนบ้าน
และนำเขาไปในทางที่ไม่ดี
30 คนที่ขยิบตาก็วางแผนการร้ายอยู่
คนที่ปิดปากนิ่งก็กำลังจะทำความชั่วจนสำเร็จ
31 ผมสีเลานั้นเป็นมงกุฎเกียรติยศ
ที่ได้รับมาระหว่างทางแห่งความเที่ยงธรรม
32 เป็นคนที่ช้าในการโกรธก็ดีกว่าเป็นนักรบ
และคนที่ควบคุมอารมณ์ของตนได้
ก็ยิ่งใหญ่กว่าคนที่สามารถยึดเมืองสำเร็จ
33 สลากนั้นก็โยนไว้ที่ตัก
แต่การตัดสินใจทุกเรื่องมาจากพระยาห์เวห์
พระคำเชื่อมโยง
1* เยเรมีย์ 10:23; มัทธิว 10:19
2* สุภาษิต 21:2
3* สดุดี 37:5
4* อิสยาห์ 43:7; โรม 9:22
5* สุภาษิต 6:17; 8:13
6* สุภาษิต 8:13; 14:16
8* สดุดี 37:16
9* สุภาษิต 9:21. 10:23
11* เลวีนิติ 19:36
12* สุภาษิต 25:5
13* สุภาษิต 14:35
14* สุภาษิต 25:1515* เศคาริยาห์ 10:1
16* สุภาษิต 8:10, 11, 19
20* สดุดี 34:8
25* สุภาษิต 14:12
26* ปัญญาจารย์ 6:7
27* ยากอบ 3:6
28* สุภาษิต 17:931* สุภาษิต 20:29
32* สุภาษิต 14:29; 19:11
สุภาษิต 15 คำตอบที่เหมาะสม
1 คำตอบที่อ่อนโยนช่วยทำให้ความโกรธลดลง
แต่คำพูดที่แข็งกระด้างจะยั่วโทสะให้แรงขึ้น
2 ลิ้นของคนมีปัญญานำสู่ความรู้
แต่ปากของคนโง่พลุ่งพล่านพ่นความเขลาออกมา
3 พระเนตรของพระยาห์เวห์อยู่ทุกหนแห่ง
พระองค์ทรงเฝ้าดูทั้งคนชั่วและคนดี
4 ลิ้นที่อ่อนโยนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
แต่ลิ้นที่ตลบแตลงนั้น ขยี้จิตใจให้แตกสลาย
5 คนโง่จะดูหมิ่นวินัยคำสอนของพ่อ
แต่คนที่เอาใจใส่การตักเตือน ก็เป็นคนฉลาดเฉลียว
6 ในบ้านของคนเที่ยงธรรมมีสมบัติมากมาย
แต่รายได้ของคนชั่วร้ายนั้น คือความลำบาก
7 ริมฝีปากของคนมีปัญญาแผ่ความรู้ออกไป
แต่จิตใจของคนโง่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
8 เครื่องบูชาของคนโหดร้ายเป็นสิ่งน่าชังต่อพระยาห์เวห์
แต่คำอธิษฐานของคนเที่ยงตรงเป็นความยินดีของพระองค์
9 พระยาห์เวห์ทรงชังทางของคนโหดร้าย
แต่ทรงรักคนที่ตามติดความเที่ยงธรรม
10 คนที่หันไปจากทางที่ถูกต้องนั้น จะพบโทษหนัก
ส่วนคนที่เกลียดการแนะนำแก้ไขจะพบความตาย
11 แดนตาย และแดนแห่งความพินาศ
ก็เปิดกว้างต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
แล้วหัวใจของมนุษย์จะเปิดกว้างมากกว่านั้นสักเท่าใด
12 คนช่างเยาะไม่ชอบการตักเตือน
และเขาจะไม่ไปปรึกษาคนที่มีปัญญา
13 หัวใจที่เป็นสุขทำให้หน้าตาสดชื่นแจ่มใส
แต่หัวใจที่เป็นทุกข์ทำให้จิตวิญญาณแตกสลาย
14 ใจที่สุขุมรอบคอบตามหาความรู้
แต่ปากของคนโง่กินความเขลาเป็นอาหาร
15 ทุกวันของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงช่างเลวร้าย
แต่จิตใจที่ร่าเริงนั้นเหมือนมีการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง
16 มีน้อยแต่มีความยำเกรงพระยาห์เวห์
ก็ดีกว่ามีทรัพย์สมบัติมหาศาลพร้อมกับความวุ่นวาย
17 มีผักกินในที่ ๆ มีความรัก
ก็ดีกว่าได้กินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความจงเกลียดจงชัง
18 คนที่อารมณ์เสียง่าย ๆ ก็มักทำให้เกิดการวิวาท
แต่คนที่โกรธช้าจะช่วยทำให้การโต้เถียงจบลง
19 หนทางของคนที่เกียจคร้านเหมือนรั้วหนาม
แต่ทางของคนเที่ยงตรงนั้นจะราบรื่น
20 ลูกที่มีปัญญานำความยินดีมาให้พ่อ
แต่คนโง่เป็นคนที่ดูหมิ่นแม่ของเขาเอง
21 คนที่ขาดสามัญสำนึกก็ชอบความโง่เขลา
แต่คนที่มีความเข้าใจจะเดินในทางตรงไป
22 แผนการล้มเหลวเพราะขาดการปรึกษาหารือ
แต่เมื่อมีคนแนะนำหลายคนงานก็สำเร็จ
23 พอได้คำตอบที่เหมาะสมก็ทำให้เกิดความยินดี
และคำพูดที่เหมาะกับสถานการณ์ก็ดียิ่งนัก
24 หนทางแห่งชีวิตนำคนมีปัญญาไปยังที่ สูงขึ้น
เพื่อว่าเขาจะหลีกเลี่ยงหนทางที่ลงไปยังแดนคนตาย
25 พระยาห์เวห์ทรงรื้อบ้านของคนเย่อหยิ่ง
แต่ทรงปกป้องพื้นที่ของหญิงม่าย
26 พระยาห์เวห์ทรงชังความคิดของคนชั่ว
แต่คำจากคนใจสะอาดนั้นบริสุทธิ์
27 คนที่ละโมภต้องการจะได้จากการคดโกงนั้น
นำความลำบากมาสู่ครอบครัว
แต่คนที่เกลียดชังสินบนจะมีชีวิตอยู่
28ใจของคนเที่ยงธรรมตรึกตรองว่าจะตอบอย่างไร
แต่ปากของคนโหดร้ายก็พลุ่งพล่านไปด้วยความชั่ว
29 พระยาห์เวห์ทรงอยู่ห่างคนชั่วร้าย
แต่พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรม
30 ประกายจากดวงตาทำให้ใจพองโต
และข่าวดีก็เป็นอาหารบำรุงกระดูกให้สดชื่น
31 คนที่ยอมฟังการตักเตือนที่ให้ชีวิต
จะได้อยู่ท่ามกลางคนที่มีปัญญา
32 คนที่ไม่ใส่ใจกับวินัยก็ดูถูกตนเอง
แต่คนที่ใส่ใจกับการแก้ไขความผิดพลาดก็จะไดัรับความเข้าใจ
33 ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นคำสอนที่ให้ปัญญา
ความถ่อมตนนั้นนำหน้าเกียรติยศ
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 25:15; 1 ซามูเอล 25:10
2* สุภาษิต 12:23
3* โยบ 34:21
5* สุภาษิต 10:1; 13:18
8* อิสยาห์ 1:11
9* สุภาษิต 21:21
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 22:8; สุภาษิต 5:12
11* โยบ 26:6; 2 พงศาวดาร 6:30
12* อาโมส 5:10
13* สุภาษิต 12:25; 17:22
15* สุภาษิต 17:22
16* สดุดี 37:16
17* สุภาษิต 17:1
18* สุภาษิต 26:21
19* สุภาษิต 22:5
20* สุภาษิต 10:1
21* สุภาษิต 10:23; เอเฟซัส 5:15
22* สุภาษิต 11:14
23* สุภาษิต 25:11
24* ฟีลิปปี 3:20; สุภาษิต 14:16
25* สุภาษิต12:7; สดุดี 68:5-6
26* สุภาษิต 6:16, 18 ; สดุดี 37:30
27* อิสยาห์ 5:8
28* 1 เปโตร 3:15
29* สดุดี 10:1; 34:16; 145:18
33* สุภาษิต 1:7; 18:12
มาระโก 13 จงเฝ้าระวัง!
หมายสำคัญและหายนะของพระวิหาร
จะเกิดขึ้นเมื่อไรกัน?
(Matthew 24:1–8; Luke 21:5–9)
1 ขณะที่พระเยซูทรงออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ดูสิว่า ศิลานี้ก้อนใหญ่มาก และพระวิหารก็เป็นอาคารใหญ่งดงาม”
2“เจ้าเห็นตึกใหญ่ตระการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” พระเยซูตรัสตอบ
“หินก้อนใดที่วางซ้อนกันอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอย่างเดิม มันจะถูกโยนทิ้งไปทั้งหมด”
3 ขณะที่พระเยซูประทับนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ตรงข้ามพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ ทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า
4 “ขอพระองค์ทรงบอกเราเถิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? และมีอะไรเป็นหมายสำคัญบ่งบอกว่า ทุกสิ่งใกล้จะสำเร็จ?”
5 พระเยซูทรงเริ่มต้นบอกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครหลอกลวงเจ้า
6 หลายคนจะมาในนามของเราอ้างว่า “เราคือพระองค์นั้น” แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก
7 เมื่อเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม
ก็อย่าตกใจไป เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น แต่จุดจบยังไม่มาถึง
8 เชื้อชาติต่าง ๆ จะต่อสู้กัน อาณาจักรต่าง ๆ จะทำสงครามกัน จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการกันดารอาหาร และนี่คือการเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนการคลอดบุตร
การเป็นพยานสู่ชาติต่าง ๆ
(มัทธิว 24:9–14; ลูกา 21:10–19)
9 ดังนั้น ขอให้เจ้าระวังตัว เพราะเจ้าจะถูกคุมตัวไปยังศาลต่าง ๆ และถูกโบยในศาลาธรรม เจ้าจะต้องยืนเป็นพยานต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์เพื่อเรา
10 จะต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐและชาติต่าง ๆ ทั้งปวงก่อน
11 แต่เมื่อพวกเขาจับกุมเจ้า และส่งตัวขึ้นศาล ขออย่ากังวลล่วงหน้าไปว่าจะพูดอย่างไร แต่จงพูดตามถ้อยคำที่เจ้าจะได้รับในเวลานั้น เพราะไม่ใช่เจ้าที่พูด แต่เป็นองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
12 พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตาย และพ่อจะทรยศลูก
ลูกจะขัดขืนพ่อแม่ และทำให้พวกเขาถูกประหาร
13 ใคร ๆ จะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา
แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด
สิ่งเลวทราม การหลอกลวงที่จะเกิดขึ้น
(มัทธิว 24:15–25; ลูกา 21:20–24)
14 ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่เลวทราม ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบัติ ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน (ขอให้ผู้อ่านเข้าใจเองเถิด) เมื่อนั้น ให้คนที่อยู่ในยูเดีย หนีไปยังภูเขา
15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้า กลับลงไปในบ้านเพื่อจะขนสิ่งใดออกมา
16 และอย่าให้ใครที่อยู่ในทุ่ง กลับไปหยิบเสื้อคลุม
17 วันเวลาเหล่านั้นจะยากลำบากมากสำหรับหญิงมีครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน
18 จงอธิษฐานขอเพื่อเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดในฤดูหนาว
19 เพราะเวลานั้น เป็นเวลาแห่งความทุกข์เข็ญ อย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีให้เห็นอีกในภายหน้า
20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงลดจำนวนวันเหล่านั้นให้น้อยลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพื่อเห็นแก่คนที่พระเจ้าทรงเลือก คนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง
21 ในเวลานั้น หากมีใครพูดกับเจ้าว่า “ดูนั่นสิ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “พระคริสต์อยู่ที่โน่น” อย่าได้หลงเชื่อ
22 เพราะว่า พระคริสต์ปลอมและผู้กล่าวพระคำเท็จจะปรากฏตัวขึ้น และแสดงหมายสำคัญ การอัศจรรย์ โดย หากเป็นไปได้ จะลวงกระทั่งคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
23 ดังนั้นจงเฝ้าระวัง เราได้บอกทุกสิ่งแก่เจ้าล่วงหน้าไว้แล้ว
สิ่งที่สำคัญต่อเรามากในยุคสุดท้ายนี้
(Matthew 24:26–31; Luke 21:25–28)
24 แต่ในเวลานั้น หลังจากเวลาแห่งความทุกข์เข็ญผ่านไป ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง
25 ดวงดาวจะร่วงลงมาจากท้องฟ้า และอำนาจทั้งหลายในสวรรค์จะสั่นสะเทือน’
26 เวลานั้นเอง พวกเขาจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ
ด้วยราชอำนาจและพระเกียรติสิริยิ่งใหญ่ตระการ
27 และพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์เพื่อรวบรวมคนที่พระองค์ทรงเลือก
จากลมทั้งสี่ทิศ จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้าสวรรค์
บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
(Matthew 24:32–35; Luke 21:29–33)
28 ขอให้เอาบทเรียนมาจากต้นมะเดื่อ คือว่า ทันทีที่กิ่งเริ่มเขียวสด แตกใบอ่อนเท่ากับฤดูร้อนกำลังเคลื่อนเข้ามา
29 เช่นกัน เมื่อเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้รู้ว่า พระองค์ทรงมาใกล้ อยู่ที่ประตู
30 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนยุคนี้ยังไม่ทันจะตายไป จนกว่าเหตุการณ์ทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นก่อน
31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไปเลย
ต้องเตรียมพร้อมไม่ว่าเวลาใด
(Matthew 24:36–51; Luke 12:35–48)
32 ไม่มีใครรู้วันและชั่วโมงนั้น หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ในสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่ทรงทราบ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ
33 จงระวังและตื่นตัวเอาไว้ เจ้าไม่รู้ว่า เวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไร
34 ก็เป็นเหมือนกับชายคนหนึ่งเดินทางจากบ้านไป โดยที่เขามอบหมายคนรับใช้แต่ละคนให้รับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ และสั่งให้คนเฝ้าประตูคอยเฝ้าระวัง
35 ดังนั้นจะเฝ้าระวังอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่า เจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไร อาจจะเป็นเวลาเย็น เที่ยงคืน เวลาไก่ขันหรือรุ่งเช้า
36 ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลับมาถึงโดยไม่บอกล่วงหน้า และพบเจ้าหลับอยู่
37 สิ่งที่เราบอกเจ้า ก็ขอบอกกับทุกคนด้วยว่า “จงเฝ้าระวัง!”
มาระโก 13:1-8
บทที่ 13 เป็นบทที่เชื่อมระหว่างบทที่ 11-12 กับบทที่ 14 เป็นบทที่เข้าใจยากที่สุดของมาระโก พระเยซูทรงบอกศิษย์พระองค์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกประมาณไม่กี่สิบปีข้างหน้า และทรงบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายหรือในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ด้วย
ขณะที่ทั้งกลุ่มออกจากพระวิหารซึ่งขณะนั้นยังสร้างไม่เสร็จดี เป็นวิหารที่ใช้เวลาสร้างถึง 8 ศตวรรษ โดยเฮโรดเป็นผู้เริ่มต้นเมื่อ 19 ปีกคศ.และเสร็จเมื่อปี 63 วิหารนี้ใช้หินก้อนใหญ่มากหนักกว่า 400 ตันวางเรียงซ้อนกัน และยังมีการฉาบอาหารด้วยทองคำ เมื่อสร้างเสร็จ อีกประมาณเจ็ดปีต่อมา ก็ถูกทำลายโดยอาณาจักรโรมที่เข้ามากวาดล้างหมู่คนยิวที่กบฎต่อโรม วิหารแห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนยิว และบางครั้งถึงกับใหญ่ในใจของพวกเขายิ่งกว่าพระเจ้าอีก !
หลังจากนั้นพวกเขาไปนั่งอยู่บนเขาตรงข้ามพระวิหาร โดยมีหุบเขาขิดโรนขวางอยู่ แล้วก็มีคำถามจากศิษย์ว่า สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คำตอบของพระเยซูนั้นไม่ได้อยู่แค่การสิ้นสุดของพระวิหาร เป็นคำตอบที่บอกถึงอนาคตที่ไกลมากเป็นคำตอบที่อยู่ในบทที่ 13 นี้ทั้งหมด น่าสนใจที่ ศิษย์สี่คนที่นั่งกับพระองค์ (พวกเขาเป็นพี่น้องมาจากสองครอบครัว)
สิ่งที่พระเยซูตรัสอย่างแรกคือ ระวังไม่ให้ใครหลอกเรา นั่นหมายความว่า เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ อ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ออก และเข้าใจในสายตาที่มองจากพระคัมภีร์ เข้าใจเรื่องของคำพยากรณ์ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิมมาจนถึงวันที่พระเยซูตรัสนี้
เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะเจอวิญญาณแห่งการหลอกลวง และท่วมท้นในยุคสุดท้ายนี้
พวกเขาจะมาและบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า หรือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราเห็นมากมายในหลาย ๆ ประเทศ คนเหล่านี้สามารถหลอกคนมากมายได้ แต่คนของพระเจ้าได้รับการเตือนแล้ว ไม่ควรจะหลงไป
ส่วนเรื่องของสงครามนั้น จะเกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ และพระเยซูตรัสสั่งว่า ไม่ต้องกลัวเพราะว่า มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราจะเจอการยากลำบากเมื่อเราติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะมีทั้งแผ่นดินไหว และการอดอยาก เราจะเห็นว่า แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ความอดอยากมากขึ้นอีก แต่เหล่านี้ ไม่ได้เป็นจุดจบ มันเป็นความเจ็บปวดที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ …เหมือนหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด
มาระโก 13:9-13
ความยากลำบากที่เกิดขึ้น เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยเพราะเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรแล้ว
ถ้าเราได้รู้เรื่องของคริสเตียนในสมัยที่คอมมิวนิสต์เข้ามาครองในช่วงเหมาเจ๋อตง เราจะรู้ว่าชีวิตของคริสเตียนลำบากแค่ไหน ซึ่งยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ คนมากมายเกิด ในประเทศที่มีการห้ามเชื่อ ห้ามคิด ห้ามพูดตามที่ใจอยาก พวกเขาถูกจำกัดความเป็นคนเต็มคนเพียงเพื่อให้อำนาจของผู้ปกครองยั่งยืน
การที่คนในครอบครัวทรยศกันเองเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน
สิ่งสำคัญของเราคือ เราต้องรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงช่วยเราเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นเหตุผลที่เราจะไม่เรียนรู้พระคัมภีร์ให้มากที่สุด
สิ่งที่พระเยซูทรงเตือนเราสำคัญสุดคือ ให้ยืนหยัดจนถึงที่สุด
มาระโก 13:14-23
พระเยซูทรงอธิบายว่า จะเกิดเหตุการณ์อย่างไรบ้าง และผู้เชื่อต้องทำอย่างไร ข้อ 18 ให้รู้ว่า เราต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าที่ความทุกข์ยากนั้นจะบรรเทาบ้างจนเราพอทนได้ เพราะความทุกข์ยากที่พระเยซูทรงกล่าวถึงนั้น มันเป็นแบบว่า ไม่เคยมีอะไรอย่างนั้นให้เห็นมาก่อน ในข้อยี่สิบพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องให้วันของพระองค์าเร็วขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่มีใครเหลือ เนื่องจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นมันรุนแรงเกินทน
ยังมีอีกเรื่องคือ การที่คนวิ่งไปหาผู้ช่วยให้พ้นความลำบาก คำว่า พระคริสต์ คือ พระผู้ช่วยให้รอด คนทั้งหลายจะบอกกันต่อ ๆ ว่า ไปหาคนนั้น คนนี้สิ เขาจะช่วยได้ ไปหาโค้ชชีวิตคนนั้น คนนี้ ซึ่งทั้งหมดพระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด
เราขอสรุปคำของพระเยซูที่สำคัญในตอนสั้น ๆ นี้คือเมื่อถึงเวลาต้องหนี ให้หนีโดยไม่ต้องรีรอ อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า อย่าเชื่อคนหลอกลวง เฝ้าระวัง โดยทำอย่างขยันขันแข็งไม่ใช่แบบตามสบายอะไรก็ได้
มาระโก 13:24-27
พระเยซูทรงอธิบายภาพของการเสด็จมาอีกครั้งให้เราทราบ ซึ่งเราน่าจะจินตนาการได้ว่า เป็นอย่างไร
เป้าหมายของพระองค์คือ แสดงพระราชอำนาจ พระเกียรติยิ่งใหญ่ และมารับคนที่ทรงเลือกไว้ในแผ่นดินโลกไปกับพระองค์
พระเยซูไม่ทรงเน้นว่าเมื่อไร ทรงเน้นว่า ให้เตรียมพร้อม!
มาระโก 13:28-31
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนั้น ช่างตรงกับเวลาที่เราอยู่ในทุกวันนี้ เราเจอกับโรคระบาดกันทั้งโลกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ปี 2024 นี้ เราก็พบกับสงครามร้อน ๆ ในยูเครน ตะวันออกกลาง พม่า และมีความตึงเครียดของจีนและใต้หวัน
สงครามความคิดในสังคมผู้คนแตกแยก ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ทำให้คนไม่รักกัน และชังกันและกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเหมือนกิ่งของต้นมะเดื่อที่เริ่มแตกใบอ่อน
มาระโก 13:32-37
มีคนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการที่พระเยซูทรงบอกให้เตรียมพร้อม โดยไม่บอกเวลาวันปีเดือนให้ชัดเจน ดังนั้น ก็จะมีคนเตรียมพร้อมที่อาจจะอ่อนแรงเพราะยังไม่พบพระองค์สักที แต่การบอกของพระองค์อย่างนี้ มีความสำคัญเหมือนกับว่า เราอยู่ในสงครามที่ไม่รู้ว่า ศัตรูจะบุกตอนไหน ทิ้งระเบิดเวลาใด เราจึงเตรียมพร้อมเหมือนทหารที่อยู่ในสงคราม
และหากใครมาอวดอ้างว่ารู้เวลาแน่นอน เท่ากับเขากำลังกล่าวเท็จ
เรามีเวลาคร่าว ๆ ให้รู้ แต่ไม่มีใครรู้เวลาที่กำหนดชัดเจน
สิ่งที่สำคัญมากคือการตื่นตัว ไม่ประมาท ไม่หลับไหลในทางของพระเจ้า
Cross Reference มาระโก 13
1* ลูกา 21:5-36
2* ลูกา 19:44
3* มัทธิว 16:18; มาระโก 1;19; ยอห์น 1:40
4* มัทธิว 24:3
5* เอเฟซัส 5:6
8* ฮักกัย 2:22; มัทธิว 24:8
9* มัทธิว 10:17-18; 24:9
10* มัทธิว 24:14
11* ลูกา 12:11; 21:12-17; กิจการ 2:4; 4:8, 31
12* มีคาห์ 7:6
13* ลูกา 21:17; มัทธิว 10:22; 24:13
14* มัทธิว 24:15; ดาเนียล 9:27; 11:31; ลูกา 21:21
17* ลูกา 21:23
19* ดาเนียล 9:26; 12:1
21* ลูกา 17:23; 21:8
22* วิวรณ์ 13:13-14
23* 2 เปโตร 3:17
24* เศฟันยาห์ 1:15
25* อิสยาห์ 13:10; 34:4
26* ดาเนียล 7:13-14; มัทธิว 16:27
28* ลูกา 21:2931* อิสยาห์ 40:8
32* มัทธิว 25:13; กิจการ 1:7
33* 1 เธสะโลนิกา 5:6
34* มัทธิว 24:45; 25:14; 16:19
35* มัทธิว 24:42, 44
คำถามสำหรับการเรียนพระคัมภีร์
- พระเยซูตรัสว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในยุคสุดท้าย ? (13:1-4)
- ในยุคสุดท้าย สิ่งสำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียนคืออะไร (3:24-37)
- ในเมื่อไม่รู้เวลาแน่นอนว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาเมื่อไร เราน่าจะทำอะไรดี?
- เกิดเรารู้ว่า พระเยซูจะเสด็จมากลางเดือนหน้า เราจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิดของเราหรือไม่ เราจะทำอย่างไร?
- พระเยซูทรงให้เงื่อนงำอะไรในเรื่องวันที่พระองค์เสด็จมาบ้าง?
- จินตนาการสิว่า พระเยซูจะทรงรวบรวมคนที่ทรงเลือกด้วยวิธีใด?
- พระเยซูทรงสอนให้เรารอคอยพระองค์อย่างไร?
สุภาษิต 14 ฉลาดกับโง่ในชีวิตประจำวัน
1 สตรีที่มีปัญญาทุกคนสร้างบ้านเรือนของเธอขึ้น
แต่หญิงที่โง่เขลารื้อทำลายมันด้วยมือของตนเอง
2 คนที่เดินไปอย่างเที่ยงตรงนั้นยำเกรงพระยาห์เวห์
แต่คนที่ชั่วร้ายในทางของเขาก็ดูหมิ่นพระองค์
3 คำกล่าวของคนโง่นำโทษมาสู่ตนเอง
แต่ริมฝีปากของคนฉลาดก็ปกป้องตัวเขาไว้
4 ที่ใดไม่มีวัว ยุ้งก็ว่างเปล่า
แต่ผลผลิตมากมายจากการเก็บเกี่ยวได้มาด้วยแรงของวัว
5 พยานที่ซื่อตรงจะไม่หลอกลวง
แต่พยานที่ไม่ซื่อจะพรั่งพรูคำมุสาออกมา
6 คนช่างเยาะเย้ยพยายามหาปัญญาแต่ก็ไม่พบ
แต่สำหรับคนที่มีวิจารณญาณก็ได้รับความรู้อย่างง่ายดาย
7 จงออกห่างจากคนโง่ที่หลงตนเอง
เพราะเจ้าจะไม่ได้ความรู้จากคำพูดของเขา
8 สติปัญญาของคนที่ฉลาดก็คือ
เขาจะพยายามเข้าใจสังเกตทางของเขาเอง
แต่ความโง่ของคนเขลาหลอกลวงตนเอง
9 คนโง่เยาะเย้ยเมื่อเห็นว่า มีการชดใช้คืน
แต่ความปรารถนาดีจะพบได้ในหมู่คนที่เที่ยงตรง
10 ใจรู้ความขมขื่นของใจเอง
และไม่มีใครอาจมาแบ่งความยินดีไปได้
11 บ้านของคนชั่วร้ายจะถูกทำลาย
แต่เต็นท์ของคนเที่ยงตรงจะรุ่งเรืองขึ้น
12 มีทางที่เหมือนถูกต้องในสายตามนุษย์
แต่ที่สุดแล้ว กลับเป็นทางแห่งความตาย
13 ในเสียงหัวเราะนั้น หัวใจอาจเจ็บปวด
และความยินดีก็อาจจบลงด้วยความหนักใจ
14 คนที่หันใจไปจากพระเจ้าจะได้รับผลแห่งทางของเขา
แต่คนดีจะได้รับรางวัลในทางของเขา
15 คนที่อ่อนต่อโลกจะเชื่อทุกคำพูด
แต่คนที่ฉลาดเฉลียวจะคอยระวังย่างเท้าของเขา
16 คนมีปัญญาจะเกรงกลัวและหลีกหนีจากความชั่ว
แต่คนโง่นั้นทั้งไม่ระวัง ทั้งประมาท
17 คนใจหุนหันพลันแล่นมักทำอะไรอย่างโง่เขลา
และคนที่ชั่วช้าเป็นที่เกลียดชัง
18 คนที่อ่อนต่อโลกจะรับความโง่เป็นมรดก
แต่คนที่ฉลาดเฉลียวจะมีความรู้เป็นมงกุฎ
19 ความชั่วต้องก้มหัวให้กับความดี
และคนชั่วร้ายต้องน้อมตัวลงที่ประตูแห่งความเที่ยงธรรม
20 ใคร ๆ ก็เกลียดคนยากจน แม้กระทั่งเพื่อนบ้านของเขา
แต่คนมั่งคั่งมักมีเพื่อนมากมาย
21 คนที่ดูหมิ่นเพื่อนบ้านของเขาทำบาป
แต่คนที่มีน้ำใจต่อคนยากจนนั้นจะได้รับพร
22 คนที่วางแผนชั่วก็หลงทางไม่ใช่หรือ?
แต่คนที่วางแผนทำสิ่งดีจะพบความรักเมตตาและความซื่อตรง
23 การลงแรงทำงานทุกอย่างมีกำไร
แต่แค่คำพูดลอย ๆ นั้น นำไปสู่ความยากจน
24 มงกุฏของคนมีปัญญาเป็นสมบัติของเขา
ส่วนคนโง่พยายามเท่าไร ก็ได้แต่ความโง่คืนมา
25 พยานที่พูดความจริงช่วยชีวิต
แต่พยานเท็จเป็นคนหลอกลวง
26 คนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์จะมั่นคง มั่นใจ
และลูกหลานของเขาจะมีที่หลบลี้ภัยเสมอ
27 ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต
ช่วยนำให้คนพ้นจากกับดักของความตาย
28 จำนวนประชากรมากมายเป็นสง่าราศี ของกษัตริย์
การไม่มีประชากร เป็นหายนะของเจ้าชาย
29 คนที่โกรธช้าเป็นคนที่มีความเข้าใจมาก
แต่คนที่ใจร้อน เป็นคนที่เปิดโปงความเขลาของตน
30 จิตใจที่สงบนิ่งเป็นชีวิตแก่ร่างกาย
แต่ความอิจฉาริษยากัดกินกระดูกให้กร่อนไป
31 คนที่กดขี่คนยากจน
เท่ากับเขากำลังเยาะหยันองค์พระผู้สร้าง
แต่คนที่มีน้ำใจต่อคนยากไร้นั้น เท่ากับเขาถวายเกียรติพระองค์
32 คนชั่วร้ายจะถูกโค่นลงด้วยบาปของเขา
แต่คนเที่ยงธรรมมีที่ลี้ภัยแม้กำลังเผชิญกับความตาย
33 สติปัญญาอยู่ในหัวใจของคนที่มีวิจารณญาณ
แต่สิ่งที่อยู่ในใจของคนโง่เขลานั้น พวกเขาจะเผยออกมาเอง
34 ความเที่ยงธรรมเชิดชูชาติ
แต่ความบาปเป็นความอัปยศของประชาชน
35 องค์กษัตริย์ทรงโปรดปรานข้าราชบริพารที่มีปัญญา
แต่พระพิโรธจะลงไปยังคนที่ทำตัวน่าอับอาย
พระคำเชื่อมโยง
2* โรม 2:4
3* สุภาษิต 12:6
5* วิวรณ์ 1:5, 3:14; สุภาษิต 6:19; 12:17
6* สุภาษิต 8:9; 17:24
7* สุภาษิต 23:9
9* สุภาษิต 10:23
11* โยบ 8:15
12* สุภาษิต 16:25; โรม 6:21; สุภาษิต 12:15
13* ปัญญาจารย์ 2:1-2
14* สุภาษิต 1:31; 12:15; 13:2; 18:20
16* สุภาษิต 22:3
20* สุภาษิต 19:4, 19:7
21* สดุดี 112:9
25* เอเสเคียล 3:18-21
27* สุภาษิต 13:14
29* ยากอบ 1:19
30* สดุดี 112:10; สุภาษิต 12:431* มัทธิว 25:40; สุภาษิต 22:2
32* โยบ 13:15
33* สุภาษิต 12:16
34* สุภาษิต 11:11
35* มัทธิว 24:45-47
สุภาษิต 13 วินัยจากท่านพ่อ
1 ลูกที่มีปัญญาจะตอบรับและรักษาคำสอนของพ่อ
แต่คนช่างเยาะไม่ฟังคำเตือนใดๆ
2 คน ๆ หนึ่งจะรับสิ่งดีจากผลแห่งคำพูดของเขา
แต่คนอธรรมก็โหยหาแต่ความรุนแรง
3 คนที่ระวังปากของตนก็ปกป้องชีวิตของตนไว้
แต่คนที่พูดไม่คิดก็เชิญชวนหายนะให้ตนเอง
4 ใจของคนเกียจคร้านอยากได้แต่ก็ไม่ได้
แต่ใจของคนขยันนั้น ได้รับผลอย่างน่าพอใจ
5คนเที่ยงธรรมชังการมุสา
แต่คนชั่วร้ายจะทำตัวน่าอาย น่าอดสู
6ความเที่ยงธรรมเป็นเกราะป้องกันคนซื่อตรง
แต่ความชั่วร้ายจะกัดกร่อนคนบาปชั่ว
7 บางคนแสร้งว่าตนรวยแต่ไม่มีสมบัติอะไร
ส่วนอีกคนแสร้งทำว่าจน แต่กลับมีทรัพย์สินเหลือล้น
8 ความมั่งคั่งอาจช่วยไถ่ชีวิตคน ๆ หนึ่งได้
แต่คนยากจนจะไม่มีใครมาข่มขู่เรียกร้องเงิน
9 แสงแห่งความชอบธรรมนั้นเจิดจ้า
แต่ตะเกียงของคนชั่วร้ายจะถูกดับเสีย
10 ความก้าวร้าวโอหังนำไปสู่การวิวาท
แต่ปัญญาอยู่กับคนที่รับฟังคำปรึกษา
11ทรัพย์ที่ได้มาโดยทุจริตจะสูญไปอย่างรวดเร็ว
แต่รายได้ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงจะทวีคูณขึ้น
12 ความหวังที่มีการขวางกั้นทำให้ใจไม่สบาย
แต่การสมปรารถนาคือต้นไม้แห่งชีวิต
13คนที่เหยียดหยามคำแนะนำจะพบความหายนะ
แต่คนที่ให้เกียรติคำบัญชาจะได้รับรางวัล
14 คำสอนจากคนมีปัญญานั้นเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
ทำให้คน ๆ หนึ่งพ้นจากกับดักความตาย
15 ความเข้าใจดีทำให้คนโปรดปราน
แต่ทางของคนอสัตย์จะยากเย็นนัก
16คนที่หลักแหลมจะทำทุกสิ่งด้วยความรู้
แต่คนโง่ก็จะแสดงความโง่ออกมา
17 คนสื่อสารที่ชั่วร้ายจะพบความยุ่งยาก
แต่คนที่นำข่าวมาอย่างซื่อตรงนำการรักษามาให้
18 ความยากจนและความอดสูจะมาถึงคนที่ละเลยวินัย
แต่คนที่ใส่ใจการแก้ไขจะได้รับเกียรติ
19 ความปราถนาที่สำเร็จนั้นหวานต่อวิญญาณ
แต่คนโง่รู้สึกรังเกียจการที่ต้องหันจากความชั่วร้าย
20 คนที่เดินไปกับคนมีปัญญาก็จะได้รับปัญญาตามมา
แต่คนที่เป็นสหายกับคนโง่จะถูกทำลาย
21 หายนะตามติดคนบาป
แต่ความมั่งคั่งเป็นรางวัลของคนเที่ยงธรรม
22 คนดีจะส่งต่อมรดกถึงลูกหลาน
แต่ความมั่งคั่งของคนบาปจะถูกส่งต่อไปให้คนเที่ยงธรรม
23 อาหารบริบูรณ์รออยู่ในรอยไถของคนยากจน
แต่จะถูกกวาดไปหมดหากไร้ความยุติธรรม
24 คนที่ไม่ยอมใช้ไม้เรียวเท่ากับเกลียดชังลูกของตน
แต่คนที่รักลูกจะเอาใจใส่ฝึกวินัยให้ลูก
25 คนเที่ยงธรรมนั้นได้กินจนพอใจ
แต่ท้องของคนที่ชั่วร้ายมีแต่ความหิวโหย
พระคำเชื่อมโยง
1* อิสยาห์ 28:14-15
2* สุภาษิต 12:14
6* สุภาษิต 11:3,5,6
7* สุภาษิต 11:24; 12:9
9* สุภาษิต 24:10
10* สุภาษิต 10:12
11* สุภาษิต 10:2; 20:21
12* สุภาษิต 13:19
13* กันดารวิถี 15:31
14* สุภาษิต 6:22; 10:11; 14:27;
2 ซามูเอล 22:6
15* สุภาษิต 3:4
16* สุภาษิต 12:23
17* สุภาษิต 25:13
18* สุภาษิต 15:5,31-32
21* สดุดี 32:10
22* ปัญญาจารย์ 2:26
23* สุภาษิต 12:11
24* สุภาษิต 19:18
25* สดุดี 34:10
สุภาษิต 12 วิถีคนโง่กับคนมีปัญญา
วิถีคนโง่กับคนมีปัญญา
1 คนที่รักวินัยก็เท่ากับเขารักความรู้
แต่คนที่เกลียดการตักเตือนเป็นคนโง่
2 คนดีย่อมได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
แต่พระองค์ทรงพิพากษาคนที่วางแผนชั่วร้าย
3 คนหนึ่งไม่อาจอยู่อย่างมั่นคงด้วยความชั่วร้าย
แต่คนที่เที่ยงธรรมจะไม่สั่นคลอนเลย
4 ภรรยาที่มีศักดิ์ศรีนั้นเป็นดั่งมงกุฎของสามี
แต่ภรรยาที่ไร้ยางอาย เป็นความผุพังในกระดูกของเขา
5 แผนการของคนเที่ยงธรรมนั้นยุติธรรม
แต่คำปรึกษาของคนชั่วร้ายนั้นหลอกลวง
6 คำพูดของคนชั่วซุ่มดักรอให้เลือดตก
แต่คำของคนที่เที่ยงตรงจะช่วยให้รอดพ้น
7 คนชั่วร้ายจะถูกกำจัด และพบกับหายนะ
แต่ครอบครัวของคนเที่ยงธรรมจะตั้งมั่นอยู่ได้
8 คน ๆ หนึ่งจะได้รับการยกย่องตามสติปัญญาของเขา
แต่คนที่ใจคดจะถูกดูหมิ่น
9 ที่จะมีคนยกย่องไม่มากแต่มีคนคอยรับใช้
ก็ยังดีกว่าคนที่ทำตัวสำคัญ แต่ไม่มีจะกิน
10 คนเที่ยงธรรมก็ห่วงใยความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยง
แต่คนชั่วที่เมตตาก็ยังโหดร้ายอยู่ดี
11 คนที่ออกแรงบนผืนดินของตนนั้นจะมีอาหารบริบูรณ์
แต่คนที่ไล่ตามแค่ความฝันก็ขาดสามัญสำนึก
12คนชั่วร้ายอยากได้ของโจร
แต่รากของคนเที่ยงธรรมจะรุ่งเรือง
13 คนชั่วติดกับจากคำพูดดึงดันของตน
แต่คนเที่ยงธรรมหนีพ้นความยุ่งยาก
14 คนหนึ่งจะมีสิ่งดีในชีวิตเพราะคำดี ๆ จากปากของเขา
และผลแห่งน้ำมือก็กลับมาสู่เขา
15 ทางของคนโง่นั้นดูเหมือนถูกต้องในสายตาของเขา
แต่คนที่มีปัญญาจะฟังคำปรึกษา
16 คนโง่จะโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
แต่คนที่ฉลาดเฉลียวจะมองข้ามคำดูหมิ่น
17 พยานที่พูดจริงจะประกาศสิ่งที่ถูกต้อง
แต่พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง
18 มีบางคนพูดพล่อย ๆ เป็นเหมือนดาบแทง
แต่ลิ้นของคนมีปัญญานำการรักษามาให้
19ลิ้นที่กล่าวความจริงจะคงอยู่ตลอดไป
แต่ลิ้นที่มุสาจะอยู่เพียงชั่วครู่
20 แผนลวงอยู่ในใจของคนที่คิดการชั่ว
แต่ผู้ที่อยู่ฝ่ายสันติจะมีความยินดี
21 ไม่มีภัยอันตรายตกอยู่กับคนเที่ยงธรรม
แต่ชีวิตคนชั่วร้ายนั้นเต็มด้วยความยุ่งยาก
22 พระยาห์เวห์ทรงรังเกียจลิ้นที่กล่าวคำมุสา
แต่คนที่ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์เป็นความยินดีของพระองค์
23 คนที่ฉลาดหลักแหลมจะไม่โอ้อวดว่ารู้
แต่คนโง่ประกาศความโง่ของตนออกมา
24 มือของคนขยันจะได้ปกครอง
แต่คนเกียจคร้านจะต้องกลายเป็นทาสแรงงาน
25ความกังวลทำให้ใจคนหนึ่งหนักอึ้ง
แต่คำพูดดี ๆ จะให้กำลังใจเขาขึ้นมา
26 คนเที่ยงธรรมระมัดระวังในการปฏิบัติตนกับเพื่อนบ้าน
แต่ทางของคนชั่วร้ายทำให้พวกเขาหลงไป
27 คนที่เกียจคร้านไม่ยอมปิ้งเนื้อที่หามาได้
แต่คนขยันจะให้คุณค่ากับสิ่งที่เขาได้มา
28 ทางของความเที่ยงธรรมนั้น นำไปสู่ชีวิต
แต่ทางอื่น ๆ นำไปสู่ความตาย
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 10:25
4* 1โครินธ์ 11:7; สุภาษิต 14:30
6* สุภาษิต 1:11, 18; 14:3
7* มัทธิว 7:24-27
8* 1 ซามูเอล 25:17
9* สุภาษิต 13:7
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:4
11* ปฐมกาล 3:19; สุภาษิต 28:19; 6:32
13* สุภาษิต 18:7; 2 เปโตร 2:9
14* สุภาษิต 13:2; 15:23; 18:20; อิสยาห์ 3:10-1115* ลูกา 18:11
16* สุภาษิต 11:13; 29:11
17* สุภาษิต 14:5
18* สดุดี 57:4
19* สุภาษิต 19:9
21* 1 เปโตร 3:13
22* วิวรณ์ 22:15
23* สุภาษิต 13:16
24* สุภาษิต 10:4
25* สุภาษิต 15:13; อิสยาห์ 50:4
สุภาษิต 11 ความแตกต่างของคนสองแบบ
1ตาชั่งที่ไม่เที่ยงตรงเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์
แต่เครื่องชั่งที่เที่ยงตรง เป็นที่พอพระทัยของพระองค์
2 เมื่อความเย่อหยิ่งเข้ามา ความอัปยศก็ตามเข้ามาด้วย
แต่ปัญญามาพร้อมกับความถ่อมตน
3 ความสุจริตของผู้เที่ยงตรงนำชีวิตเขา
แต่ความบิดพลิ้วของคนทรยศทำลายตัวเขาเอง
4 ความมั่งคั่งไม่มีค่าในวันแห่งพระพิโรธ
แต่ความเที่ยงตรงนำการช่วยกู้จากความตาย
5 ความเที่ยงธรรมของคนที่ไร้ตำหนินั้นนำทางให้เขา
แต่คนชั่วล้มลงเพราะความชั่วร้ายของเขาเอง
6 ความเที่ยงธรรมของคนเที่ยงตรงช่วยกู้เขาไว้
แต่คนทรยศติดกับดักความปรารถนาของตนเอง
7 เมื่อคนชั่วตาย ความหวังของเขาก็สูญไป
และความหวังในความมั่งคั่งของเขา ก็หายไปด้วย
8 คนเที่ยงธรรมได้รับการช่วยกู้จากความยากลำบาก
แล้วคนชั่วร้ายก็เดินเข้ารับความทุกข์นั้นแทน
9 คนไร้พระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านด้วยปากของเขา
แต่คนเที่ยงธรรมได้รับการช่วยกู้ด้วยความรู้
10 เมื่อคนเที่ยงธรรมรุ่งเรืองขึ้น ทั้งเมืองก็ยินดี
และเมื่อคนชั่วพินาศ ก็มีแต่เสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
11 เมืองถูกสร้างขึ้นด้วยพระพรของคนเที่ยงตรง
แต่ด้วยคำจากปากของคนชั่ว เมืองก็ย่อยยับไป
12 ใครก็ตามที่แสดงการดูหมิ่นเพื่อนบ้าน
เท่ากับเป็นคนไร้ความคิด
แต่คนที่มีความเข้าใจจะนิ่งอยู่
13การซุบซิบนินทาเปิดเผยความลับ
แต่คนที่เชื่อถือได้จะรักษาความลับนั้นไว้
14 ประเทศชาติล่มจมเพราะขาดผู้นำที่มีปัญญา
แต่ด้วยคำปรึกษาจากหลาย ๆ คน ก็ทำให้รอดปลอดภัย
15 คนที่ค้ำประกันคนแปลกหน้าจะต้องทุกข์ยากเป็นแน่
แต่คนที่เกลียดการวางมัดจำก็ปลอดภัย
16 สตรีที่มีน้ำใจจะได้รับเกียรติ
แต่ชายที่ไร้ความเมตตาจะได้แต่ความร่ำรวย
17 บุรุษที่มีน้ำใจจะได้ประโยชน์ แต่คนชั่วโฉด
จะนำความลำบากมาให้ตนเอง
18 คนชั่วร้ายรับค่าจ้างที่ไร้คุณค่า
แต่คนที่หว่านความเที่ยงธรรมจะเก็บเกี่ยวรางวัลแท้จริง
19 ความเที่ยงธรรมที่แท้จริงนำสู่ชีวิต
แต่การติดตามความชั่วนำไปสู่ความตาย
20คนใจคดเป็นที่น่ารังเกียจของพระยาห์เวห์
แต่คนที่ไร้ตำหนิในทางของเขาเป็นความยินดีของพระองค์
21 จงมั่นใจได้ว่า คนชั่วจะไม่ลอยนวลไปได้
แต่ลูกหลานของคนเที่ยงธรรมจะรอดพ้น
22 หญิงงามที่ขาดสติและความคิดก็เป็น
เหมือนแหวนทองประดับจมูกหมู
23 ความปรารถนาของคนเที่ยงธรรมนำสู่สิ่งดี
แต่ความหวังของคนชั่วร้ายนำพระพิโรธมา
24 บางคนให้อย่างใจกว้าง
และยังได้รับกลับมามากมาย
แต่อีกคนหวงไว้กลับพบแต่ความขาดแคลน
25 น้ำใจกว้างขวางจะเจริญรุ่งเรือง
และคนที่คอยให้ความสดชื่นแก่คนอื่น
จะได้รับความสดชื่นกลับมา
26 คนทั้งหลายจะสาปแช่งคนที่กักตุนข้าว
แต่พระพร เป็นของคนที่ขายมันออกไป
27 พระเจ้าทรงโปรดปรานคนที่แสวงหาความดี
แต่ความชั่วจะมายังคนที่ตามหามันแน่
28 คนที่วางใจในความมั่งคั่งของตนเองจะล้มลง
แต่ความเที่ยงธรรมจะงอกงามเหมือนใบไม้เขียวสด
29 คนที่นำความลำบากมาให้ครอบครัว
จะได้รับลมเป็นมรดก
และคนโง่จะเป็นบ่าวของคนที่มีปัญญา
30 ผลแห่งความเที่ยงธรรมคือต้นไม้แห่งชีวิต
และคนที่นำผู้อื่นมาถึงชีวิตเป็นคนมีปัญญา
31 ถ้าคนเที่ยงธรรม ได้รับผลตอบแทนบนแผ่นดินโลกแล้ว
คนชั่วร้ายกับคนบาปจะได้รับตอบแทนมากกว่านั้นสักเท่าใด!
พระคำเชื่อมโยง
1* เลวีนิติ 19:35-36
2* สุภาษิต 16:18; 18:12; 29:23
3* สุภาษิต 13:6
4* เอเสเคียล 7:19 ;ปฐมกาล 7:1
5* สุภาษิต 5:22
7* สุภาษิต 10:28
8* สุภาษิต 21:18
10* สุภาษิต 28:12
11* สุภาษิต 14:34
13* เลวีนิติ 19:16; สุภาษิต 19:11
14* 1 พงศ์กษัตริย์ 12:115* สุภาษิต 6:1-2
17* มัทธิว 5:7; 25:34-36
18* โฮเชยา 10:12
19* สุภาษิต 10:16; 12:18; โรม 6:23
21* สุภาษิต 16:5; สดุดี 112:2
23* โรม 2:8-9
24* สดุดี 112:9
25* 2 โครินธ์ 9:6-7; มัทธิว 5:7
26* อาโมส 8:5-6; โยบ 29:13
27* เอสเธอร์ 7:10
28* โยบ 31:24; สดุดี 1:329* ปัญญาจารย์ 5:16; สุภาษิต 14:19
30* ดาเนียล 12:331* เยเรมีย์ 25:29
31* 1 เปโตร 4:18
มาระโก 12 อุปมาเรื่องผู้เช่าโฉดชั่ว
คำอุปมาเรื่องผู้เช่าโฉดชั่ว
(มัทธิว 21:33–46; ลูกา 20:9–18)
1แล้วพระเยซูทรงกล่าวคำอุปมาแก่พวกเขาว่า “ชายคนหนึ่ง ปลูกสวนองุ่นไว้ แล้วเขาก็ล้อมรั้ว สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอคอยสำหรับ เฝ้าสวน จากนั้น เขาก็ให้คนเช่า และออกเดินทางไปต่างแดน
2เมื่อถึงฤดูเกี่ยวเก็บ เขาก็ส่งคนรับใช้ไปยังผู้เช่าเพื่อเก็บส่วนแบ่งของเขา จากผลผลิตในสวนองุ่น
3 แต่ผู้เช่ากลับโบยตีคนรับใช้ และไล่เขาออกมามือเปล่า
4 เจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป เขาก็ถูกตีหัว และทำให้อับอายต่อหน้าคนอื่นด้วย
5 เขาส่งคนรับใช้อีกคนไป แล้วคนนี้ก็ถูกฆ่าตาย เขาส่งคนอื่นไปอีก คนเหล่านั้น บางคนถูกโบย บางคนถูกฆ่า
6 ในที่สุด เจ้าของสวนจึงลูกชายที่รัก ไปหาผู้เช่า โดยกล่าวว่า “พวกเขาจะเคารพลูกชายของเรา”
7 แต่คนเช่ากลับพูดกันเองว่า ‘นี่ไงล่ะ ทายาท มาเถอะ ฆ่าเขาเสีย และมรดกจะเป็นของพวกเรา’
8ดังนั้น พวกเขาจึงจับลูกชายเจ้าของสวน ฆ่าเขาเสีย และโยนศพออกไปนอกสวนองุ่น
9 เจ้าของสวนจะทำอย่างไรรึ? เขาจะมาและฆ่าผู้เช่าทั้งหมด และจะมอบสวนนั้นให้กับผู้อื่น
10 เจ้าไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือ ที่ว่า..
‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้วนั้น กลับกลายมาเป็นศิลามุมเอก
11 พระเจ้าทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ในสายตาของเรา”
12 จากข้อความนี้ พวกผู้นำรู้ว่า พระองค์ทรงกล่าวคำอุปมาต่อต้านพวกเขา จึงพยายามที่จะจับกุมพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวประชาชนจึงละพระองค์ไว้ แล้ว เดินจากไป
ภาษีนี้ ส่งให้ใคร
(มัทธิว 22:15–22;ลูกา 20:19–26)
13 ต่อมา พวกเขาส่งฟาริสีบางคนกับพวกที่สนับสนุนเฮโรดมาหาพระเยซูเพื่อจับผิดพระดำรัสของพระองค์
14“ท่านอาจารย์” พวกเขากล่าว “เรารู้ว่า ท่านเป็นคนซื่อตรง ไม่แสวงหาความพอใจของมนุษย์ จริงแล้ว ท่านเป็นคนไม่เห็นแก่หน้าใคร และสอนตามทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องตามกฎหรือไม่ ที่เราจ่ายภาษีแก่ซีซาร์
15 เราควรจ่ายหรือไม่ ?” แต่พระเยซูทรงรู้ทันว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคด ตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงจับผิดเรา? เอาเหรียญหนึ่งดาริอันมาดูสิ”
16พวกเขาจึงเอาเหรียญมา และพระองค์ตรัสถามว่า “รูปในเหรียญนี้เป็นของใครกัน? และคำจารึกเป็นของใคร?” พวกเขาตอบว่า “ของซีซาร์”
17 แล้วพระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่เป็นของซีซาร์ ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงถวายแด่พระองค์”
พวกเขาประทับใจในพระองค์ยิ่งนัก
พวกสะดูสีกับประเด็นการคืนชีพ
(มัทธิว 22:23–33; ลูกา 20:27–40)
18 แล้วพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่า ไม่มีการคืนชีพจากตาย มาหา และทูลถามพระองค์ว่า
19“ท่านอาจารย์ โมเสสได้เขียนบอกเราว่า หากชายคนหนึ่งเสียชีวิตไป ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีลูก ก็ให้พี่ชายหรือน้องชายของเขาแต่งงานกับภรรยาม่ายของผู้ตาย เพื่อจะมีลูกชายสืบตระกูลให้ชายคนนั้น
20 ทีนี้ มีพี่น้องชายอยู่ 7 คน คนแรกแต่งงาน และตายไปโดยไม่มีลูกชาย
21คนที่สองจึงแต่งงานกับหญิงม่าย และเขาก็ตายและไม่มีบุตร น้องชายคนที่สามก็ทำเช่นเดียวกัน
22 เป็นอย่างนี้จนถึงคนที่เจ็ด โดยที่ตายไปโดยไม่มีลูกชายเลย ท้ายที่สุดหญิงม่ายก็ตายด้วย
23ดังนั้น เมื่อเป็นขึ้นมาจากตาย หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใครในเมื่อพี่น้องทั้งเจ็ดได้แต่งงานกับเธอ?
24 พระเยซูตรัสว่า “เจ้าผิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะเจ้าไม่รู้พระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า
25 เมื่อคนตายคืนชีพขึ้นมา พวกเขาจะไม่แต่งงาน หรือยกให้เป็นสามีภรรยาต่อไป แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนอย่างทูตสวรรค์
26 เรื่องที่เกี่ยวกับการคืนชีพของคนตายนั้น เจ้าไม่เคยอ่านเรื่องพุ่มไม้ไหม้ไฟในหนังสือของโมเสสหรือ ที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ?
27 พระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าของคนตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของผู้มีชีวิต พวกเจ้าน่ะ เข้าใจผิดมากทีเดียว”
พระบัญญัติข้อที่ใหญ่สุด
(เฉลยธรรมบัญญัติ6:1–19; มัทธิว 22:34–40)
28 ธรรมาจารย์คนหนึ่งได้มา และได้ยินการตอบโต้ครั้งนี้ เขาเห็นว่า พระเยซูทรงตอบได้ดีทีเดียว จึงถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติทั้งสิ้นที่มีอยู่นั้น ข้อไหนสำคัญที่สุดหรือ?
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ .. ‘อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว
30 จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และด้วยสุดจิตของเจ้า และด้วยสุดความคิดและด้วยสุดกำลังของเจ้า’
31 ข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนอย่างที่เจ้ารักตัวเอง’ ไม่มีคำบัญชาใดยิ่งใหญ่กว่าสองข้อนี้”
32 “เป็นอย่างนั้นจริง ท่านอาจารย์” ธรรมาจารย์ตอบ “ท่านตอบอย่างถูกต้องที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครนอกจากพระองค์
33 และที่จะรักพระองค์ด้วยสุดหัวใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลัง และที่จะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาใด ๆ ที่มีอยู่”
34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าเขาตอบด้วยปัญญา พระองค์ตรัสว่า “เจ้าอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้า” จากนั้นมา ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับพระองค์อีก
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของใครหรือ?
(มัทธิว 22:41–46; ลูกา 20:41–44)
35ขณะที่พระเยซูทรงสอนในลานพระวิหารอยู่นั้น ทรงถามว่า “เหตุใดเหล่าธรรมาจารย์จึงบอกว่า พระคริสต์ทรงเป็นบุตรของดาวิด?
36 ดาวิดเองเมื่อตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงประกาศว่า
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าว่า “จงนั่งที่ด้านมือขวาของเรา จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้าไว้ที่ใต้เท้าของเจ้า”
37 การที่ดาวิดเรียกพระองค์นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระองค์นั้นจะเป็นบุตรของดาวิดกันได้อย่างไรเล่า?” คนทั้งหลายที่ฟังต่างพากันชื่นชมยินดี
เห็นท่าทาง ไม่รู้ใจ
(ลูกา 20:45–47)
38 ขณะที่พระเยซูทรงสอนอยู่ พระองค์ตรัสด้วยว่า “จงระวังพวกธรรมาจารย์ พวกเขาชอบสวมเสื้อคลุมยาว เพื่อให้คนทักทายแสดงความเคารพในตลาด
39 พวกเขาชอบนั่งที่สำคัญในศาลาธรรม และที่ซึ่งมีเกียรติในงานเลี้ยง
40พวกเขาได้ริบเรือนของหญิงม่าย และแสดงให้คนเห็นว่า อธิษฐานยาวมาก คนเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนักทีเดียว! ”
คนที่ถวายมากที่สุด!
(ลูกา 21:1–4)
41ขณะที่พระเยซูทรงนั่งตรงข้ามที่รับเงินถวายของพระวิหาร พระองค์ทรงเฝ้าดูคนนำเงินมาใส่ในนั้น และคนรวยมักเอาเงินจำนวนมากมาใส่ไว้
42แล้วมีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งมาและถวายเพียงสองเหรียญทองแดง ที่มีมูลค่าแค่เศษของเดนาริอันมาถวายด้วย
43 พระเยซูทรงเรียกเหล่าศิษย์ของพระองค์มา ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า หญิงม่ายยากจนผู้นี้ได้ถวายมากกว่าใคร ๆ เข้าคลังพระวิหาร
44 เพราะพวกเขาต่างเอาส่วนหนึ่งที่เหลือจากความมั่งคั่งของพวกเขามาถวาย แต่หญิงคนนี้ได้เอาทุกสิ่งที่เธอมีเพื่อเลี้ยงชีพมาถวายจนหมด”
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 12:1-12
คำอุปมา เป็นเรื่องราวที่พระเยซูทรงเล่า ให้ผู้คนได้เข้าใจประเด็นฝ่ายวิญญาณผ่านเรื่องที่ทรงเล่านั้น
เมื่อคนฟังเรื่อง พวกเขาจะแปลความได้ว่า เจ้าของสวนองุ่นคือพระเจ้า สวนองุ่นคือ คนอิสราเอล ผู้เช่าสวนคือคนที่เป็นครูอาจารย์ ที่พระเจ้าทรงฝากให้ดูแลสวนนั้น ส่วนคนที่พระองค์ทรงส่งรับใช้มาคือเหล่าผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าทั้งหลายอย่างเช่นอิสยาห์ เยเรมีย์ อาโมสฯลฯ (ที่พวกเขาเข้าใจอย่างนี้ได้เพราะอิสยาห์บทที่ 5 มีเรื่องราวที่ชัดเจนว่าใครเป็นใคร)
ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงใครมา พวกเขามักถูกพวกผู้นำฝ่ายวิญญาณในประวัติศาสตร์จับฆ่า ในที่สุดพระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา และพวกเขาก็ประหารพระองค์เช่นกัน
เมื่อพวกผู้นำศาสนาได้ยินคำเหล่านี้ พวกเขาก็รู้เลยว่า พระเยซูกำลังบอกว่า พวกเขาเป็นคนที่ทำผิดต่อพระเจ้า และคนของพระองค์
เหล่าธรรมจารย์ ผู้นำ พวกเขาได้ยินว่า ผู้เช่าสวนได้จับลูกชายฆ่า แล้วพวกเขาก็วางแผนจับกุมพระองค์ทันที คำอุปมาจึงเป็นจริงแม้ในเวลาที่พวกเขาฟังพระเยซูอยู่นั้น !
พระเยซูทรงเปลี่ยนสวนองุ่นเป็นศิลาในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งมาจากหนังสือสดุดี 118:22-23 ทรงกล่าวถึงศิลาที่คนที่ถูกทิ้ง นั้นคือ พระบุตรของพระเจ้าหรือศิลามุมเอก ที่ยิวทอดทิ้ง ทั้งในประวัติศาสตร์และจนทุกวันนี้ ทรงมาเป็นพระองค์ผู้ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์
มาระโก 12:13-17
แล้วก็มีบางคนถูกส่งมาจับผิดพระเยซูอีก จะสังเกตได้ว่า พวกเขาต้องการให้พระเยซูพูดผิดหลักการ นั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของฝ่ายตรงข้ามพระเยซูซึ่งเป็นพวกที่เจนจัดในธรรมบัญญัติ
เขามาถามพระเยซูเพื่อหลอกล่อให้ตอบว่า ควรเสียภาษีให้ใคร ถ้าพระเยซูตอบว่าให้ซีซาร์เท่ากับพระองค์ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า ถ้าตอบว่า ถวายพระเจ้า พระองค์ก็ผิดอีกที่ไม่ซื่อต่อซีซาร์ เรียกว่าผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่แล้วคำตอบของพระเยซู เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน เพราะคำตอบนั้น ไม่ผิดต่อใครเลย!
มาระโก 12:18-27
เรื่องนี้อ่านแล้วดูสับสน ง่าย ๆ คือ หญิงคนหนึ่งต้องเป็นภรรยาชาย 7 คน เนื่องจากประเพณีของคนยิว “เธอจะเป็นภรรยาใครเมื่อฟื้นคืนชีพ?”
พวกสะดูสีตั้งคำถามขึ้นมาจากโจทย์ที่เขาคิดว่า จะทำให้พระเยซูจนตรอก ไม่สามารถอธิบายอย่างมีเหตุผลดี ๆ ได้ เป็นคำถามที่พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วแต่พระเยซูทรงบอกเขาว่า ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์(เดิม)จริง ๆ ไม่เข้าใจน้ำพระทัยและฤทธิ์ของพระเจ้า แต่ชอบเหมาสรุปชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วยตัวเอง
พระองค์ทรงเมตตาที่จะตอบเขาอย่างชัดเจนว่าในโลกหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร นั่นคือไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกันอีกว่า จะเป็นอย่างไร ตรงนี้เราเห็นชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาเองไม่รู้และเอาแต่เดาตามใจ
มาระโก 12:28-34
ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งได้ฟังคำตอบของพระเยซู ก็รู้สึกว่า พระเยซูทรงปัญญาอย่างยิ่ง และพระองค์สามารถจัดการกับเล่ห์เหลี่ยมของสะดูสีได้อย่างดี เขาจึงอยากรู้จริง ๆ ว่า ความเห็นของตัวเขานั้น ตรงกับพระเยซูหรือเปล่า เพราะในใจของเขานั้น ก็มีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว
ชายคนนี้ เป็นคนที่พระเยซูทรงกล่าวว่า เจ้าอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรพระเจ้า อีกนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้รู้จักพระเจ้าครบถ้วน นั่นคือ ขอเพียงเขาเชื่อวางใจพระเยซูที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะเป็นลูกของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
มาระโก 12:35-37
ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ มัทธิวได้เล่าด้วยว่า พระเยซูทรงถามพวกธรรมาจารย์ว่า “มีความคิดอย่างไรเรื่องพระคริสต์? ทรงเป็นบุตรของใคร?” พวกเขาตอบว่า “เป็นบุตรของดาวิด”
พวกธรรมาจารย์อ่านพระคัมภีร์เดิมแล้วตีความหมายไม่ถูก พวกเขาไม่เห็นว่า พระคัมภีร์เดิมเต็มไปด้วยข้อความที่บ่งบอกชีวิตของพระองค์ที่พระเจ้าทรงเจิมแล้วส่งมาในโลกคือ พระเมสสิยาห์
พระเยซูจึงทรงแก้ความเข้าใจผิดของพวกเขาว่าถึงแม้ว่ากษัตริย์ดาวิดจะเป็นบรรพบุรุษของพระเยซู ( ซึ่งในความเชื่อคนยิวแล้ว ผู้เป็นบรรพบุรุษถือว่าใหญ่กว่าลูกหลาน)แต่ดาวิดกลับกล่าวถึงเชื้อสายของท่าน ในอนาคต โดยเรียกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้า (อาโดนาย) แสดงว่า เชื้อสายผู้นั้นใหญ่กว่าดาวิด ..และเชื้อสายผู้นั้นคือพระเยซูนั่นเอง
มาระโก 12:38-40
มาระโกเล่าสั้น ๆ ว่า พระเยซูทรงเตือนอะไรอยู่
ชาวยิวจำนวนมากที่ให้ความเคารพพวกธรรมาจารย์อย่างสูงส่ง และพวกเขามีประเพณีที่ว่า ใครน่าเชื่อถือ ดูดี พวกเขาก็จะถวายเงินให้กับธรรมาจารย์ผู้นั้น ดังนั้น ตัวธรรมาจารย์บางคนที่ไม่ใช่คนที่รักบัญญัติจริง ไม่ได้ตามพระเจ้าจริง ก็จะแสร้งทำตัวว่า เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี น่าเชื่อถือ โดยการสร้างภาพให้ตัวเอง … แต่พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของพวกเขาเหล่านี้ พระเยซูจึงเตือนให้ประชาชนได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เนื้อแท้เป็นอย่างไร
มาระโก 12:41-44
ทุกคนที่มายังพระวิหารได้ถวายเงินตามที่พระเจ้าทรงบอกให้พวกเขาทำ บางคนถวายสิบลด บางคนก็มากกว่า บางคนก็น้อยกว่า แต่แล้ว พระเยซูกลับเจอคน ๆ หนึ่งที่ถวายเกินตัว โดยจำนวนที่ถวายนั้น น้อยมาก คือสองเหรียญทองแดงเท่านั้น
แล้วพระเยซูทรงบอกศิษย์ของพระองค์ว่า เธอถวายมากกว่าใคร เพราะเธอถวายทั้งหมดที่มา ทั้งหมดที่จะต่อทุนเลี้ยงชีวิต พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของทุกคน และไม่ได้ทรงมองจำนวน แต่ทรงมองในหัวใจว่า เขาทำเพราะอะไร หญิงผู้นี้ทำเพราะรักพระเจ้ามาก …นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ถวายมากที่สุด!
พระคำเชื่อมโยง
1* ลูกา 20:9-19
5* 2 พงศาวดาร 36:16
8* กิจการ 2:23
10* สดุดี 118:22-23
12* ยอห์น 7:25, 30, 44
13* ลูกา 20:20-26
14* กิจการ 18:2615* ลูกา 12:1
17* ปัญญาจารย์ 5:4-5
18* ลูกา 20:27-38; กิจการ 23:8
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:5
25* 1โครินธ์ 15:42, 49, 52
26* วิวรณ์ 20:12-13; อพยพ 3:6, 15
28* มัทธิว 22:34-4029* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5
30* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; 30:631* เลวีนิติ 19:18;โรม 13:9
32* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; 30:6
33* โฮเชยา 6:6
34* มัทธิว 22:46
35* ลูกา 20:41-4436* 2 ซามูเอล 23:2; สดุดี 110:1
37* กิจการ 2:29-31
38* มาระโก 4:2; มัทธิว 23:1-7
39* ลูกา 14:7
40* มัทธิว 23:14
41* ลูกา 21:1-4; 2 พงศ์กษัตริย์ 12:943* 2 โครินธ์ 8:12
44* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:6
สุภาษิต 10 สารพัดสิ่งที่เตือนสติเรา
จากบทนี้ไป ผู้เขียนจะพูดคำเตือนใจเป็นประโยคสั้น ๆ แม้เป็นทุกวันนี้ก็ยังเป็นเทรนด์ ไม่ได้ล้าหลังมนุษย์เลย ส่วนใหญ่เป็นคำเปรียบเทียบระหว่างชีวิตของคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม
1 ลูกที่มีปัญญานำความชื่นชมมาให้พ่อ
แต่ลูกที่โง่เขลานำความทุกข์ใจมาให้แม่
2 ทรัพย์สินที่ได้มาจากความชั่วร้ายนั้นไม่มีคุณค่า
แต่ความเที่ยงธรรมช่วยกู้จากความตาย
3 พระยาห์เวห์จะไม่ทรงปล่อยให้คนเที่ยงธรรมหิวโหย
แต่พระองค์ทรงปฏิเสธความอยากได้ของคนชั่วร้าย
4 มือที่อยู่เฉย ทำให้ยากจน
แต่มือที่ขยันขันแข็งทำให้มั่งคั่ง
5 ลูกที่มองการณ์ไกลเก็บสะสมพืชผลไว้ในฤดูร้อน
แต่คนที่นอนหลับระหว่างการเก็บเกี่ยวทำให้ขายหน้า
6 พระพรนั้นอยู่เหนือหัวของคนเที่ยงธรรม
แต่ปากของคนชั่วปกปิดแผนความรุนแรง
.
7 การที่เรา อระลึกถึงคนเที่ยงธรรมนั้นเป็นพระพร
แต่ชื่อของคนชั่วร้ายจะเสื่อมไป
8 ใจที่มีปัญญาจะรับคำบัญชา
แต่ปากของคนโง่จะถูกทำลาย
9 คนที่เดินในความเที่ยงตรงจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย
แต่คนที่เดินในทางคดจะถูกเปิดโปง
10 คนที่ขยิบตาให้สัญญาณเป็นคนสร้างความทุกข์ใจ
และปากของคนโง่จะถูกทำลาย
11 ปากของคนเที่ยงธรรมเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
แต่ปากของคนชั่วร้ายปกปิดความรุนแรง
12 ความเกลียดชังก่อกวนให้เกิดความแตกแยก
แต่ความรักจะปกปิดความผิดทั้งปวง
13 จะพบปัญญาได้ในริมฝีปากของคนที่มีวิจารณญาณ
แต่ไม้เรียวมีไว้สำหรับหลังของคนที่ขาดสามัญสำนึก
14คนมีปัญญาสะสมความรู้
แต่ปากของคนโง่เชิญชวนหายนะ
15 ความมั่งคั่งของคนร่ำรวยเป็นดั่งเมืองป้อมของเขา
แต่ความยากจนเป็นหายนะของคนยากไร้
16 แรงงานของคนเที่ยงธรรมนำสู่ชีวิต
กิจกรรมของคนชั่วร้ายนำไปสู่ความบาป
17คนใดที่ใส่ใจคำสั่งสอนก็อยู่บนทางแห่งชีวิต
แต่คนที่ไม่รับฟังคำเตือนจะหลงทางไป
18คนที่ปกปิดความเกลียดชังเป็นคนลิ้นมุสา
และใครที่แพร่การใส่ร้ายเป็นคนโง่เขลา
19เมื่อมีการพูดพล่ามมาก เท่ากับเป็นการเชื้อเชิญบาป
แต่คนที่ระวังยั้งปากของตนนั้นเป็นคนมีปัญญา
20ลิ้นของคนเที่ยงธรรมเป็นเหมือนแร่เงินเนื้อดี
แต่ใจของคนชั่วร้ายไม่มีค่าอันใด
21ริมฝีปากของคนเที่ยงธรรมเลี้ยงชีวิตคนมากมาย
แต่คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก
22 พระพรจากพระยาห์เวห์ทำให้มั่งคั่งขึ้น
และพระองค์ไม่ได้เพิ่มความทุกข์ใจให้
23คนโง่เพลินใจกับการกระทำที่น่าอับอาย
ส่วนปัญญาเป็นความยินดีของคนที่มีความเข้าใจ
24 สิ่งที่คนชั่วร้ายหวาดกลัวจะเข้ามาถึงเขา
แต่คนเที่ยงธรรมจะได้รับตามความปรารถนา
25 เมื่อพายุที่กระหน่ำมาผ่านพ้นไป
คนชั่วร้ายก็ไม่อยู่แล้ว แต่คนเที่ยงธรรมจะมั่นคงเป็นนิตย์
26 น้ำส้มทำให้เข็ดฟัน และควันทำให้ตาเคืองอย่างไร
คนที่เกียจคร้านก็เป็นเช่นนั้นกับผู้ที่ส่งเขาไปทำงาน
27 ความยำเกรงพระเจ้าทำให้ชีวิตยืนยาว
แต่วันของคนชั่วจะสั้นลง
28 ความหวังของคนเที่ยงธรรมคือความยินดี
แต่ความคาดหมายของคนชั่วนั้นไม่เหลืออะไรเลย
29 ทางของพระยาห์เวห์เป็นป้อมปราการสำหรับคนเที่ยงตรง
แต่ความหายนะรอคนที่ทำสิ่งชั่วร้ายอยู่
30คนเที่ยงธรรมจะไม่หวั่นไหวเลย
แต่คนชั่วร้ายจะไม่มีที่อาศัยในแผ่นดิน
31 ปากของคนเที่ยงธรรมนำปัญญามาให้
แต่ลิ้นที่บิดเบือนจะถูกเฉือนออกไป
32 ริมฝีปากของคนเที่ยงธรรมรู้จักกาละเทศะ
แต่ปากของคนชั่วนั้นมีแต่การบิดเบือน
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 1:1; 25:1; 15:20; 17:21, 25; 19:13; 29:3, 15
2* ลูกา 12:19-20; ดาเนียล 4:27
3* สดุดี 34:9-10; 37:254* สุภาษิต 19:15; 12:24; 13:4; 21:5
5* สุภาษิต 6:8; 19:26
7* ปัญญาจารย์ 8:10
8* สุภาษิต 10:10
9* สดุดี 23:4
12* 1โครินธ์ 13:4-7
13* สุภาษิต 26:3
14* สุภาษิต 18:715* โยบ 31:24
16* สุภาษิต 6:23
18* สุภาษิต 26:24; สดุดี 15:3; 101:5
19* ปัญญาจารย์ 5:3; ยากอบ 1:19; 3:2
22* ปฐมกาล 24:35; 26:12
23* สุภาษิต 2:14; 15:21
24* โยบ 15:21; สดุดี 145:19
25* สดุดี 37:9-10; 15:5
27* สุภาษิต 9:11; โยบ15:32
28* โยบ 8:1329* สดุดี 1:6
30* สดุดี 37:2231* สดุดี 37:30
มาระโก 11 โฮซันนา! โฮซันนา!
เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างทรงเกียรติ
(เศคาริยาห์ 9:9–13; มัทธิว 21:1–11; ลูกา 19:28–40; ยอห์น 12:12–19)
1 เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้เยรูซาเล็ม เข้าไปยังหมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี บนเนินเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งศิษย์สองคนออกไป
2 และตรัสกับเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างนี้ และเมื่อเจ้าเข้าไปก็จะเห็นลูกลาตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ เจ้าจงแก้เชือกและจูงมันมาที่นี่
3 หากมีใครถามว่า ‘ทำไมเจ้าทำอย่างนี้?’ ให้ตอบว่า ‘พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้มัน และสักพักก็จะส่งมันกลับคืนให้’ ”
4 พวกเขาจึงออกไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูบนถนน ขณะที่เขากำลังแก้เชือกนั้นเอง
5 มีบางคนที่อยู่ตรงนั้นถามว่า “ทำไมเจ้าจึงแก้เชือกลูกลา?”
6 พวกศิษย์จึงตอบตามที่พระเยซูตรัสสั่ง และพวกนั้นก็ยอมปล่อยลูกลาให้เขา
7 จากนั้น พวกเขาเอาลูกลามาหาพระเยซู โยนเสื้อคลุมของพวกเขาคลุมหลังลาให้พระองค์ประทับบนหลังมัน
8 ฝูงชนเป็นอันมากได้กางเสื้อคลุมของตนตามทาง บางคนเอากิ่งไม้ที่ตัดมาจากทุ่งมาปู
9 คนที่เดินนำเสด็จ และคนที่ตามมา ต่างโห่ร้องกันว่า
“โฮซันนา .. สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
คำว่าโฮซันนา แปลว่า ขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้ เป็นคำตะโกนสรรเสริญพระเจ้า สดุดี 118:25
10 “ขอให้ราชอาณาจักรของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของเราจงเจริญเถิด!”
“โฮซันนาในที่สูงสุด” สดุดี 118:25 และ 148:1
11 แล้วพระเยซูทรงลูกลาเสด็จเข้าไปในเยรูซาเล็ม ทรงไปยังพระวิหาร แล้วทรงมองไปรอบ ๆ แต่เนื่องจากว่า ใกล้ค่ำ พระองค์จึงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับศิษย์ทั้งสิบสองคน
พระเยซูทรงสาปต้นมะเดื่อ
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:20–25)
12 วันต่อมา เมื่อพวกเขาออกจากหมู่บ้านเบธานี พระเยซูทรงรู้สึกหิว
13 ทรงเห็นต้นมะเดื่อที่มีใบเขียวดก ทรงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ามีผลบ้างหรือไม่ แต่เมื่อถึง ก็ทรงเห็นว่า มีแต่ใบ เพราะยังไม่ถึงฤดู
14 พระองค์ตรัสกับต้นมะเดื่อว่า “ต่อจากนี้ไป จะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีกเลย” พวกศิษย์ก็ได้ยินคำนี้
พระเยซูทรงชำระพระวิหาร
(มัทธิว 21:12–17; ลูกา 19:45–48; ยอห์น 2:12–25)
15 เมื่อพวกเขาไปถึงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และทรงขับไล่เหล่าคนที่ซื้อขายของกันอยู่ ทรงคว่ำโต๊ะคนแลกเงิน และม้านั่งของคนที่ขายนกพิราบ
16 และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครเอาสินค้าเข้ามายังบริเวณพระวิหาร
17 จากนั้น พระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขา และทรงประกาศว่า
“มีเขียนไว้มิใช่หรือว่า ..พระนิเวศของเราจะได้ชื่อว่า เป็นพระนิเวศแห่งการอธิษฐานของชาติต่าง ๆ ?แต่พวกเจ้ากลับมาทำให้กลายเป็นถ้ำโจร” เยเรมีย์ 7:11
18 เมื่อหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็เริ่มหาช่องทางที่จะสังหารพระองค์ เพราะพวกเขากลัวพระองค์ เนื่องจากประชาชนต่างพากันอัศจรรย์ใจกับคำสอนของพระองค์
19 ตกเย็น พระเยซูกับพวกศิษย์ก็ออกจากเมืองไป
ต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้ง
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:12–14)
20 ขณะที่พวกเขาเดินกลับมาตามทาง
เขาเห็นต้นมะเดื่อแห้งจากรากขึ้นมา
21เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูว่า
“รับบีขอรับ ดูสิ ต้นมะเดื่อที่ท่านสาปนั้น ได้เหี่ยวลงไปแล้ว”
22 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด”
23 “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า หากใครจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงเคลื่อนลงไปในทะเล’ โดยไม่สงสัยในใจแต่มีความเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ก็จะเกิด
24 ดังนั้น เราขอบอกพวกเจ้าว่า เจ้าจะทูลขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และเจ้าจะได้รับสิ่งนั้น
25 และเมื่อท่านยืนอธิษฐาน หากว่ายังถือโทษใครอยู่ จงอภัยให้เขา เพื่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะทรงอภัยการล่วงละเมิดของเจ้าเช่นกัน”
26 (แต่หากเจ้าไม่อภัยเขา พระบิดาของท่านในสวรรค์ก็จะไม่ให้อภัยเจ้าเช่นกัน)
ข้อความที่อยู่ในวงเล็บนั้น ผู้ที่แปลสงสัยว่าอาจจะไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับแรกของมาระโก
การท้าทายสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มัทธิว 21:23–27; ลูกา 20:1–8)
27 หลังจากที่พวกเขากลับมายังเยรูซาเล็มอีกครั้ง พระเยซูทรงดำเนินในบริเวณพระวิหาร และปุโรหิตใหญ่พร้อมกับธรรมาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้มาหาพระองค์ทูลว่า
28“ท่านทำการเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจของใครกัน? ใครมอบอำนาจให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้?”
29“เราจะถามพวกเจ้าสักข้อหนึ่ง” พระเยซูตรัสตอบ “และหากเจ้าตอบเรา เราจะบอกเจ้าว่า เราได้สิทธิอำนาจมาจากไหนจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้
30 ตอบเรามาเถิดว่า การให้บัพติศมาของท่านยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์ ”
31 พวกเขาหารือกันว่า ควรจะตอบอย่างไร “หากเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์ ท่านเยซูก็จะถามว่า ทำไมเราไม่เชื่อท่านยอห์น?’
32 แต่หากเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ พวกเขาก็กลัวความเห็นประชาชน เพราะประชาชนเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าจริง ๆ
33 ดังนั้นพวกเขาจึงตอบว่า “พวกเราไม่รู้” และพระเยซูทรงตอบพวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอกพวกเจ้าว่า เราเอาสิทธิอำนาจทำการเหล่านี้มาจากไหนเช่นกัน”
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 11:1-11
พระเยซูเสด็จมาร่วมเทศกาลอย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงแล้ว
พระองค์ทรงเตรียมที่จะเข้าไปในเมืองโดยนั่งบนหลังลา ซึ่งมีความหมายว่าเข้ามาโดยสันติอย่างถ่อมพระทัย ไม่ได้นั่งบนหลังม้าศึกหรือรถรบ
ลาตัวนี้ไม่เคยถูกใครนั่งมาก่อนด้วย ดูเหมือนว่า พระเยซูได้ทรงตกลงกับเจ้าของลามาก่อนหน้านี้ ศิษย์ของพระองค์แค่ไปทำตามคำสั่งเท่านั้น
จากเหตุการณ์นี้ เราเห็นความแตกต่าง ปกติแล้วพระองค์จะไม่ให้ใครทราบว่า พระองค์คือใคร แต่ตอนนี้พระองค์ประกาศแล้วว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ประชาชนที่เห็นต่างโห่ร้องต้อนรับพระองค์ การเสด็จเข้ามาครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยความจริงให้กับประชาชนและผู้นำศาสนา ซึ่งเวลานั้นพวกเขาไม่พอใจมากที่ประชาชนสรรเสริญพระองค์ขนาดนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า หากพวกเขาเงียบ ก้อนหินก็จะร้องออกมาเอง (ลูกา 19:40)
มาระโก 11:12-14
มีผู้ที่ศึกษาปีเดือนของอิสราเอลบ บอกเราว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาเดือนมีนาคม ปีคศ. 33
ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวของต้นมะเดื่อ แต่ว่าต้นที่พระเยซูทรงเห็นนั้น ออกใบเขียวทีเดียว เป็นใบออกล่วงหน้า พระเยซูเองทรงพอพระทัยที่จะสอนศิษย์ของพระองค์โดยใช้ต้นมะเดื่อต้นนี้ ความหมายก็คือ ต้นมะเดื่อต้นนี้มีใบเยอะ ดูเหมือนอิสราเอลที่น่าจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี แต่กลับไม่เจอความเที่ยงธรรมในหมู่คนอิสราเอล พบเจอแต่คนหน้าซื่อใจคดในหมู่ผู้สอนพระบัญญัติ พวกศิษย์ควรรู้ว่า สภาพภายนอกกับตัวจริงข้างในนั้นอาจไม่ตรงกันก็เป็นได้ (จาก Constable’s note : Netbible.org)
มาระโก 11:15-19
การชำระพระวิหารเป็นการแสดงสิทธิอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะชำระพระวิหาร ทำลายสิ่งที่ทำให้พระวิหารเป็นมลทิน พระองค์ไม่อนุญาตการขายของ ณ บริเวณนั้น
สถานที่เกิดเรื่อง คือส่วนลานของคนต่างชาติ ด้านนอก (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นลานส่วนนั้น ไฮรอน) โดยปกติแล้ว ช่วงปัสกา คนที่เดินทางจากที่ไกล ๆ มา สามารถซื้อสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา และแลกเงินได้จากภูเขามะกอกเทศ จึงไม่ต้องตั้งร้านค้าในพระวิหาร แต่พวกผู้นำศาสนายิวสมัยกายาฟัสกลับเอาสถานที่ส่วนนั้นมาตั้งร้านทำธุรกิจ ชาวต่างชาติที่จะมาอธิษฐานจึงไม่มีที่สำหรับอธิษฐาน
การกวาด ขับไล่ร้านค้าต่าง ๆ ครั้งนี้ ทำให้ผู้นำศาสนายิวโกรธมาก เพราะเป็นการทำลายธุรกิจผูกขาดของพวกเขา ถึงกับหาช่องที่จะกำจัดพระเยซูถึงกับฆ่าให้ตาย แต่อย่างไรก็ยังต้องรอเวลาเพราะประชาชนนิยมพระองค์มาก
มาระโก 11:20-26
เดินกลับมาตามทางก็พบว่า ต้นมะเดื่อแห้งขึ้นมาจากรากเลย ก็แสดงว่า มันไม่ได้ร้อนตาย แต่เป็นการขาดอาหารจากส่วนราก
ต้นมะเดื่อในพระคัมภีร์มีความหมายถึงอิสราเอล และเหล่าผู้นำศาสนายิว ผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้รับใช้ประชาชน ไม่ได้เป็นพระพรสำหรับผู้คนอีกต่อไป เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมติดสนิทกับพระเจ้า แต่กลับติดสนิทกับกฎเกณฑ์ที่ตนเองตั้งขึ้นมา เมื่อเปโตรทักว่ามันเหี่ยวแห้งลงไปแล้ว พระเยซูกลับตรัสว่า จงเชื่อในพระเจ้าเถิด และทรงบอกด้วยว่า ถ้าจะอธิษฐานสั่งให้ภูเขาเคลื่อนก็ทำได้ แต่เวลาอธิษฐานต้องให้อภัยกับคนที่เราถือโทษอยู่
ทั้งหมดนี้ ..เกี่ยวข้องกันอย่างไร
มาระโก 11:27-33
ครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้ามกับพระเยซู คือพวกผู้นำศาสนาต้องการจะกำจัดพระเยซูด้วยคำตรัสของพระองค์เอง พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ แถมยังจัดการกับพวกที่ค้าขายในพระวิหาร (ซึ่งก็น่าจะเป็นพวกที่ให้ประโยชน์การเงินกับพวกเขา) พวกเขายอมรับว่า พระองค์มีอำนาจจริง ๆ จึงเข้ามาถามว่าใครเป็นผู้ให้อำนาจนี้
แทนที่พระเยซูจะตอบทันที ทรงถามเขากลับว่า การให้บัพติศมาของยอห์น (คือการยอมรับว่า กลับใจใหม่แล้ว) มาจากพระเจ้าหรือมาจากการตั้งพิธีขึ้นมาของมนุษย์ การย้อนถามกลับไปเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น
พวกเรา ไม่คุ้นชินกับพิธีซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญของยิว ยอห์นได้มาทำหน้าที่สั่งสอนให้คนกลับใจใหม่ และให้บัพติศมากับผู้คนเพื่อประกาศว่าเขากลับใจ
พวกผู้นำศาสนาเหล่านี้ ไม่อาจตอบยอมรับหรือปฎิเสธ เพราะพวกเขากลัวความเห็นประชาชนที่นับถือยอห์นเป็นอย่างมาก แผนลวงพระเยซูครั้งนี้จึงล่มไปโดยปริยาย
พระคำเชื่อมโยง
Cross Reference มาระโก 11
1* มัทธิว 21:1-9
8* มัทธิว 21:8
9* เศคาริยาห์ 9:9; สดุดี 118:25
10* สดุดี 148:1
11* มัทธิว 21:12
12* มัทธิว 21:18-22
13* มัทธิว 21:1915* ยอห์น 2:13-16; เลวีนิติ 14:22
17* อิสยาห์ 56:7; เยเรมีย์ 7:11
18* มัทธิว 21:45-46; มัทธิว 7:28
20* มัทธิว 21:19-22
23* มัทธิว 17:20; 21:21
24* มัทธิว 7:7
25* โคโลสี 3:13
26* มัทธิว 6:15; 18:35
27* ลูกา 20:1-8
28* ยอห์น 5:27
30* ลูกา 7:29-30
32* มัทธิว 3:5; 14:5
สุภาษิต 9 คุณหญิงมีปัญญากับหญิงโง่
►
หนทางแห่งปัญญา (สุภาษิต 1:1–7)
1สติปัญญาได้สร้างบ้านของเธอ
โดยมีเสาหลักทั้งสิ้นเจ็ดต้น
2 เธอได้เตรียมเนื้อและผสมเหล้าองุ่นของเธอ
เธอจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้
3 แล้วก็ส่งสาวใช้ออกไป
เธอร้องเรียกจากยอดสูงสุดของเมือง
4“ให้คนที่อ่อนต่อโลกมาที่นี่เถิด!”
เธอกล่าวกับคนที่ขาดสามัญสำนึกว่า
5“มาเถอะ มากินอาหาร และดื่มเหล้าองุ่นที่เราผสมไว้
6 จงละจากความเขลาของเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต
จงเดินในทางแห่งความเข้าใจ”
7 คนที่พยายามตักเตือนคนช่างเยาะเย้ยก็นำความอายมาสู่ตนเอง
คนที่เตือนสติคนชั่วร้ายก็กลับหาเรื่องให้ตัวเอง
8ดังนั้น อย่าตักเตือนคนช่างเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
จงเตือนสติคนมีปัญญา และเขาจะรักเจ้า
9 จงแนะนำคนมีปัญญา และเขาจะยิ่งมีปัญญามากขึ้น
จงสอนคนเที่ยงธรรม และเขาจะยิ่งเพิ่มการเรียนรู้
10 ความยำเกรงพระยาห์เวห์ เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
และการรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือความเข้าใจ
11 เพราะว่าวันของเจ้าจะทวีขึ้น
และจะเติมจำนวนปีเข้ามาในชีวิตของเจ้า
12 หากเจ้ามีปัญญา
เจ้าก็มีปัญญาเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง
แต่หากเจ้าไปเยาะเย้ยปัญญา
เจ้าเองจะได้รับความทุกข์ยาก
หนทางของคนโง่
13 หญิงที่ชื่อว่า โง่เง่า เป็นคนเสียงดัง
ทื่อทึ่มและไม่รู้อะไรเลย
14 มักจะนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน นั่งในที่สูงของเมือง
15 ร้องเรียกคนที่ผ่านไปมา
คนที่กำลังเดินไปตามทางของตน
16“ใครที่โง่ ก็หันมาทางนี้”
นางกล่าวกับคนที่ขาดสามัญสำนึก
17“น้ำดื่มที่ขโมยมานั้นหวานนัก
และอาหารที่ต้องแอบกินก็อร่อยจริงๆ”
18 แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ความตายอยู่ตรงนั้น
และคนที่เป็นแขกของนางต่างอยู่ในที่ลึกแห่งแดนตาย
อธิบายเพิ่มเติม
สุภาษิต 9:1-6
จำได้ไหมในบทที่ 7 เราเจอหญิงที่โง่ชวนชายหนุ่มไปทำสิ่งที่ทำลายชีวิตของเขา แต่ในบทนี้ เราพบว่า มีหญิงที่ฉลาด บ้านของเธอใหญ่ และมีที่ทางมากเพื่อให้ทุกคนอยากมาอยู่ที่บ้านนี้ อยู่ได้อย่างสบาย
เราเรียกเธอว่า คุณหญิงแล้วกัน คุณหญิงคนนี้ เป็นคนร่ำรวย และพร้อมที่จะรับแขกเสียด้วย การที่เธอเตรียมเนื้อและเหล้าองุ่นบ่งชัดว่า เธอเป็นคนมีนำ้ใจต้อนรับแขก การผสมเหล้าองุ่นนี้ คือการที่ผสมเหล้ากับน้ำ อาจมีเครื่องเทศใส่เข้าไปด้วย เมื่อเธอเตรียมโต๊ะพร้อม ก็ให้สาวใช้ออกไปเชิญคนเข้ามา เป็นฉากที่เหมือนกับใน 8:1-4
เหมือนกับที่พระเจ้าทรงเตรียมงานเลี้ยงไว้ และเชิญคนทั้งหลายให้มาหาพระองค์ แต่มนุษย์ต่างก็ปฏิเสธ (มัทธิว 22:1-10) พระเจ้าทรงเรียกคนที่อ่อนต่อโลก คนที่ไม่เข้าใจความจริง คนบาป แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่เรียนจบสูง ๆ เป็นคนฉลาดกว่า เราพบว่า คนที่จบสูง รวยมาก ไม่ได้มีหลักประกันว่า พวกเขาเข้าใจความจริงของชีวิต
เพราะพวกเขาก็อาจเป็นคนที่ถูกหญิงโง่หลอกเอาได้เหมือนกัน (ข้อ 13-18)
สุภาษิต 9:7-9
บอกเราว่าจะตอบโต้กับคนโง่ และคนฉลาดอย่างไร ข้อความตอนนี้ ง่าย และจริงสำหรับเรา เราจึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อเตือนคนโง่เรากลับได้รับการตอกกลับอย่างน่าเกลียด
เราจึงควรอยู่ใกล้กับคนที่ฉลาด และต่างเตือนสติกันดีกว่า เพราะต่างจะช่วยชีวิตของกันและกันให้ดีขึ้น
สุภาษิต 9:10-12
ปัญญาและความเข้าใจที่จะทำให้เราเดินไปได้อย่างดีในชีวิตการงาน ในครอบครัว ในความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น
เกิดจากการที่เรารู้จักพระเจ้า ยิ่งรู้จักพระองค์ ยิ่งมีปัญญา รู้แบบนี้ ไม่ได้แล้ว ต้องรีบค้นหา ติดตามเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า เริ่มต้นดีที่สุดนั้น อยู่ที่ชีวิตส่วนตัวใกล้ชิดกับพระองค์ ฟังเสียงของพระองค์จากการอ่านพระคัมภีร์ เรียนรู้จากองค์พระวิญญาณก่อนเสมอ แล้วค่อยเจอกับอาจารย์ที่ไว้ใจได้
สุภาษิต 9:13-18
หญิงโง่กับคุณหญิงที่มีปัญญานี้มีเป้าหมายต่างกัน คนหนึ่งพาสู่ความตาย แต่อีกคนพยายามที่จะนำสู่ชีวิตที่ดี เราจะเห็นว่า คนในโลก มักเลือกทางแห่งความตาย พวกเขาชอบความสนุกสนานที่ตื่นเต้น ดำมืด เพราะมันทำให้ไม่ต้องคิดรับผิดชอบตัวเองหรือผู้อื่น ยินดีโดนเขาหลอก ชีวิตพังก็โทษคนอื่น
เราจะเห็นแบบแผนของบทนี้ชัดเจน คุณหญิงที่มีปัญญาเชิญไปงานเลี้ยง การตอบสนองต่อปัญญาอย่างโง่เขลา
การยำเกรงพระเจ้าให้ปัญญา และจบด้วยหญิงโง่ชวนไปตาย
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 16:18
2* มัทธิว 22:4; สุภาษิต 23:30
4* สดุดี 19:7
5* อิสยาห์ 55:1
8* มัทธิว 7:6; สดุดี 141:5
9* มัทธิว 13:12
10* โยบ 28:28
11* สุภาษิต 3:2, 16
12* โยบ 35:6, 7
13* สุภาษิต 7:11
14* สุภาษิต 9:3
16* สุภาษิต 7:7-8
17* สุภาษิต 20:17
18* สุภาษิต 2:18; 7:27
สุภาษิต 8 คำเตือนจากคุณหญิงผู้รอบรู้
1 ปัญญาไม่ได้ส่งเสียงเรียกออกมาหรือ?
ความเข้าใจไม่ได้ส่งเสียงของเธอออกมาหรือ?
2 เธอยืนอยู่บนที่สูงข้าง ๆ เธอยืนอยู่ตรงสี่แยก
3 ข้าง ๆ ประตูเมือง ตรงทางเข้าเมือง เธอร้องออกมาว่า
4 “เราร้องเรียกเจ้าอยู่ มนุษย์เอ๋ย
และเราป่าวร้องออกมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย
5 โอ เจ้าคนที่อ่อนโลก จงเรียนรู้ที่จะฉลาดเฉลียว
โอ เจ้าคนโง่ จงรับความเข้าใจเถิด
6 จงฟังให้ดี เพราะเรากล่าวคำที่มีคุณค่า
เมื่อเราเอ่ยปาก ก็เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง
7 เพราะปากของเราจะกล่าวความจริง
ริมฝีปากของเราชิงชังความโหดร้าย
8 ทุกคำจากปากของเรานั้นเที่ยงธรรม
ไม่มีคำที่ลดเลี้ยวหรือบิดเบือน
9 คำของเรานั้น ชัดเจนสำหรับคนที่หยั่งรู้
กระจ่างแจ้งสำหรับคนที่ตามหาความรู้
10 จงรับคำสอนของเรา แทนการรับเงิน
จงรับความรู้ แทนการรับทองคำแท้
11 เพราะปัญญานั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าทับทิม
ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาจะมาเทียบเท่าเธอได้
ปัญญากับความเที่ยงธรรม
12 เรา คือปัญญา อยู่กับความฉลาดปราชญ์เปรื่อง
เราพบความรู้ และปฏิภาณ
13 ที่จะยำเกรงพระเจ้า คือการเกลียดชังความชั่ว
ดังนั้นเราชังความเย่อหยิ่ง ยโส การกระทำที่คดโกง
และคำพูดกลับกลอก
14 คำปรึกษาและการตัดสินที่ยุติธรรมเป็นของเรา
เรามีทั้งความหยั่งรู้และกำลัง
15 กษัตริย์ทั้งหลายครอบครองเพราะเรา
และผู้ปกครองจึงออกกฎหมายที่ยุติธรรม
16 เจ้าชายทั้งหลายปกครองเพราะเรา
และทุกคนจึงปกครองอย่างเป็นธรรม
17 เรารักคนที่รักเรา
และคนที่แสวงหาเราแต่เช้าจะพบเรา
18 ทรัพย์สมบัติ และเกียรติยศนั้นอยู่กับเรา
รวมไปถึงความมั่งคั่ง และความยุติธรรมด้วย
19ผลของเรานั้นดีกว่าทองแท้ ทองคำบริสุทธิ์
และผลที่เก็บเกี่ยวได้ก็เหนือเงินบริสุทธิ์
20 เราเดินในหนทางแห่งความเที่ยงธรรม
ตามทางแห่งความยุติธรรม
21 เรามอบความมั่งคั่งให้เป็นมรดกแก่คนที่รักเรา
และทำให้คลังของเขานั้นเต็มเปี่ยม
ปัญญากับสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นมา
22 องค์พระยาห์เวห์ทรงสร้างเราขึ้นมาเป็นงานแรก
ก่อนราชกิจสร้างสรรค์อื่น ๆ ใด
23 จากปฐมกาล และก่อนที่โลกจะเริ่มต้น
จากนิรันดร์กาล เราถูกแต่งตั้งขึ้นมาก่อน
24 เราถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อครั้งที่ยังไม่มีห้วงน้ำลึก
เมื่อครั้งยังไม่มีน้ำพุซึ่งเป็นแหล่งน้ำของโลก
25 ก่อนที่เทือกเขาจะถูกวางรากฐาน
ก่อนเนินเขาทั้งหลาย เราเกิดแล้ว
26 ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างแผ่นดิน ทุ่งกว้าง
ก่อนผงฝุ่นดินแรกของโลก
27 เราอยู่ที่นั่นเมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์
เมื่อพระองค์ทรงขีดเส้นโค้งเหนือห้วงน้ำลึก
28 เมื่อพระองค์ทรงวางก้อนเมฆทั้งหลายเบื้องบน
เมื่อทรงให้น้ำพุแห่งห้วงน้ำลึกพลุ่งออกมา
29 เราอยู่ที่นั่นแแล้ว เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเขตแดนของทะเล
เพื่อไม่ให้น้ำล้ำเขตคำบัญชาของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงวางเส้นรากฐานของแผ่นดิน
30 ขณะนั้น เราเป็นช่างชำนาญเคียงข้างพระองค์
และทรงยินดีในตัวเราวันแล้ววันเล่า
เรายืนต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความยินดีเสมอ
31 เรายินดีกับทั้งโลกที่พระองค์ทรงสร้าง
และยินดีในครอบครัวมนุษยชาติด้วยกันกับพระองค์
รอคอยปัญญาที่ประตูของเธอ
32 ดังนั้น ลูก ๆ เอ๋ย จงฟังเรา
เพราะว่า คนที่รักษาทางของเรานั้นจะมีความสุข
33 จงฟังคำเตือนสอนและจงมีปัญญา
อย่าได้ทำเฉยเมย อย่าได้ละเลยคำนั้น
34 ความสุขเป็นของคนที่ฟังเสียงของเรา
และเฝ้ารอเราทุกวันที่ประตูของเรา
รอคอยอยู่ที่เสาประตูของเรา
35 ใครก็ตามที่พบเรา ก็พบชีวิต
และได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
36 คนที่ตามหาเราไม่พบ ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง
คนทุกคนที่เกลียดเราก็คือเขารักความตาย”
อธิบายเพิ่มเติม
สุภาษิต 8:1-5 กษัตริย์โซโลมอนได้เขียนถึงปัญญาในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ก็สมควรจะติดตามหาแทนที่จะไปตามหาความรักจากหญิงสัญจร เราจะเรียกเธอว่า คุณหญิงผู้รอบรู้ ซึ่งเธอจะเรียกคนทุกคนที่จะฟังเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเรียกให้คนที่ขาดความเข้าใจได้มาฟัง องค์กษัตริย์ได้ให้สตรีผู้นี้กล่าวคำแห่งปัญญา เธอแตกต่างจากหญิงชู้ในบทก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
น่าสนใจว่าคุณหญิงผู้รอบรู้นี้ ยืนที่สี่แยกบนที่สูง ข้างประตูเมืองซึ่งเป็นที่คนสัญจรไปมา เธอตะโกนเสียงดัง ทุกคนต้องได้ยินเสียงของเธอ เธอต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ยิน แต่คนสองกลุ่มที่จำต้องฟังเธอคือ คนที่อ่อนต่อโลก และคนโง่ เธอยินดีมอบความเข้าใจให้กับพวกเขา
สำหรับเรา เธอกำลังชวนเราทุกคนที่อ่านสุภาษิตอยู่ให้เข้าไปในอาณาจักรแห่งปัญญาของพระเจ้า
สุภาษิต 8:6-11
สตรีแห่งปัญญาผู้นี้ กล่าวคำที่ทรงคุณค่าและถูกต้อง ทั้งจริง และเที่ยงธรรม ไร้การบิดเบือนซึ่งเต็มโลก คนที่เข้าใจเท่านั้นจะรู้ว่า ความจริงที่เธอกล่าวนั้นสำคัญต่อชีวิตนี้ และชีวิตหน้าเพียงไร เธอชักชวนให้ผู้คนได้มารับคำสอนและความรู้จากเธอ ให้หาปัญญาแทนที่จะหาเงิน เพราะปัญญานั้นสูงส่งเหนือทรัพย์สิน
สุภาษิต 8:12-21
สตรีผู้รอบรู้ได้แจ้งว่าเธอคือปัญญา ความฉลาด ความรู้ ปฎิภาณ และที่เป็นเช่นนี้ เพราะเธอยำเกรงพระเจ้า เกลียดความชั่วแค่คำเท่านี้ หากเราตามเธอ เราก็จะเป็นเหมือนเธอได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการมีปัญญา ความรอบรู้ พวกเขาชอบที่จะมีความสุข สนุกสนานในชีวิตเท่านั้น
ประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีผู้ปกครองที่ยำเกรงพระเจ้า ก็จะได้อยู่ใต้ผู้ที่ยุติธรรม และเป็นธรรม
ใครก็ตามที่รักปัญญา แสวงหาปัญญา จะได้ทั้งปัญญาและความมั่งคั่งเป็นของตอบแทน.. น่าสนใจจริง แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรอก เพราะพวกเขาไม่เชื่อ และรู้สึกว่า ตามปัญญานั้น ยากเกินไป
สุภาษิต 8:22-31
แล้วคุณหญิงผู้รอบรู้ได้เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงสร้างโลก และการที่เธอได้อยู่ที่นั่น ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการทรงสร้างนั้น
สุภาษิต 3:18-20 บอกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งโดยปัญญา อาริอุสแห่งเล็กซานเดรีย ซึ่งอยู่ในช่วงคริสตจักรยุคแรก อ้างว่า ข้อความตอนนี้หมายถึงพระเยซู และพระเจ้าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมา ให้เป็นปัญญา ที่สร้างโลกมาพร้อมกับพระองค์ และได้กลายเป็นความเชื่อว่า พระเยซูถูกสร้าง จึงไม่ใช่พระเจ้า เขาไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่อยู่กับพระบิดา นี่เป็นต้นกำเนิดความเชื่อแบบของพยานพระยะโฮวาห์ เรากลับไปอ่านยอห์นบทที่ 1 ก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ของพระบิดาและพระบุตรอย่างชัดเจน
แต่ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าปัญญานี้ เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระบุตรนั้น ทรงอยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ต้นอย่างที่ยอห์น 1:1 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยพระบุตร โคโลสี 1:16 คุณหญิงผู้รอบรู้ได้บอกว่าเธออยู่ที่นั่นเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก นี่เป็น ถ้าเราจะมองจากบริบทนี้ เราอาจสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยพระบุตรผู้ทรงปัญญา และระหว่างที่ทรงสร้างนั้น ก็มีความยินดีล้นเหลือในการสร้างสารพัดที่เราเห็นในโลก ความงามทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงใส่มาให้โลกนี้ เป็นความงามที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงปัญญา และเต็มด้วยความคิดแห่งความงาม ความซับซ้อน และความสามารถในการสืบทอดลูกหลานมาจนทุกวันนี้ เกินที่มนุษย์จะคิดได้ ข้อความตอนนี้เราได้เห็นความสุข ความยินดีของการทรงสร้างมากกว่าข้อความที่คล้ายคลึงกันในพระคัมภีร์
สุภาษิต 8:32-36
คุณหญิงผู้รอบรู้ ได้สรุปว่า การพบปัญญาไม่ใช่พบเฉย ๆ ต้องฟัง รักษา ไม่เฉยเมย รู้จักต่อยอดปัญญา ไม่ละเลย นั่นคือต้องตอบสนองปัญญาด้วยการลงมือทำตามปัญญานั้น ตั้งใจที่จะพบปัญญา
หากเราได้พบพระปัญญาของพระเจ้า เราจะพบชีวิตที่รับความโปรดปรานจากพระเจ้า อันนี้สุดยอด
1* สุภาษิต 1:20-21; 9:3
6* สุภาษิต 22:20
11* โยบ 28:15
13* สุภาษิต 3:7; 16:6; 16:17-18; 4:24
14* ปัญญาจารย์ 7:19; 9:16
15* โรม 13:1
17* ยอห์น 14:21; ยากอบ 1:5
18* สุภาษิต 3:16
22* สุภาษิต 3:19
23* สดุดี 2:6
25* โยบ 15:7-8
29* ปฐมกาล 1:9-10; โยบ 28:4, 6
30* ยอห์น 1:1-3, 18; มัทธิว 3:17
31* สดุดี 16:3
32* ลูกา 11:28
34* สุภาษิต 3:13, 18
35* ยอห์น 17:3
36* สุภาษิต 20:2
มาระโก 10 จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า
คำสอนเรื่องการหย่าร้าง
(มัทธิว 19:1–12)
1แล้วพระเยซูก็ทรงละจากที่นั่น และเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
ผู้คนก็เข้ามาหาพระองค์อีก และพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างที่เคย
2 มีฟาริสีบางคนมาหาเพื่อจะทดสอบพระองค์ ถามพระองค์ว่า
“ถูกต้อง ตามพระบัญญัติไหมที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน?”
3 พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วโมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?”
4 พวกเขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่า และให้ภรรยาละจากเขาไป
5 แต่พระเยซูตรัสว่า “โมเสสเขียนคำสั่งนี้เพราะว่าพวกเขาใจแข็งนัก
6 ตั้งแต่การทรงสร้าง ‘พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง‘
7 เพราะอย่างนี้ ชายจึงละจากพ่อและแม่เพื่อเขาจะได้ผูกพันกับภรรยาของเขา
8 และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน จึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน
9 ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงทรงผูกพันกันไว้ อย่าให้มนุษย์แยกเขาจากกันเลย”
10 เมื่อพวกเขากลับมาในบ้านอีกครั้ง ศิษย์ก็ถามพระองค์เรื่องนี้
11 พระองค์ทรงบอกเขาว่า “ใครก็ตามที่หย่าภรรยาและแต่งงานกับหญิงอื่นเท่ากับล่วงประเวณีต่อเธอ
12 และหากหญิงคนใดหย่าสามีของเธอและแต่งงานกับชายอื่น เท่ากับเธอล่วงประเวณี”
พระเยซูทรงอวยพระพรเด็กเล็ก ๆ
(มัทธิว 19:13–15; ลูกา 18:15–17)
13 ตอนนี้ประชาชนได้พาเด็กเล็ก ๆมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางพระหัตถ์เหนือพวกเขา พวกศิษย์ก็ไปตำหนิคนที่พาเด็ก ๆ มา
14 แต่เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้น พระองค์ทรงไม่พอพระทัย ตรัสว่า “จงให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้
5 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ใครไม่ตอบรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ จะไม่มีวันได้เข้าในแผ่นดินนั้น”
16 และพระองค์ทรงอุ้มเด็ก ๆ วางพระหัตถ์ทั้งสองบนตัวเขา และทรงอวยพระพรเขา
คำถามของเศรษฐีหนุ่ม
(มัทธิว 19:16–30; ลูกา 18:18–30)
17 ขณะที่พระเยซูกำลังจะออกเดินทาง ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาและคุกเข่าต่อพระองค์ “ท่านอาจารย์แสนดีขอรับ ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกขอรับ?”
18“เจ้ามาเรียกเราว่าดีทำไม ไม่มีใครดีต่อจากพระเจ้าเท่านั้น
19 เจ้ารู้บัญญัติที่ว่า..อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ ให้เกียรติพ่อและแม่ของเจ้า”
20“ท่านอาจารย์ขอรับ” เขาตอบ “ทุกอย่างที่ท่านกล่าวมานั้นข้าพเจ้าถือรักษามาตั้งแต่เด็ก
21 พระเยซูทรงมองเขาด้วยความรัก และตรัสกับเขาว่า “มีอีกอย่างที่ขาดอยู่ จงไปขายทุกสิ่งที่เจ้ามี และแจกจ่ายให้คนยากจน และเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นก็ตามเรามา”
22 แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เศร้าสลด และเดินออกไปด้วยความทุกข์ใจ เพราะเขาเป็นคนร่ำรวยมาก
23 แล้วพระเยซูทรงมองรอบ ๆ ตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “ยากจริง ๆ ที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า!”
24 พวกศิษย์ก็ประหลาดใจกับคำตรัสของพระองค์ แต่พระเยซูก็ตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ดูสิว่าการจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า!
25 ที่จะให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
26 พวกเขายิ่งประหลาดใจขึ้น ถามกันว่า “ถ้าอย่างนั้น ใครจะรอดได้เล่า?”
27 พระเยซูทรงมองที่พวกเขาและตรัสว่า “กับมนุษย์แล้วนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่กับพระเจ้าแล้วทุกสิ่งเป็นได้สำหรับพระองค์”
28 เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา”
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่มีใครสักคนที่ละจากบ้าน พี่น้องชายหญิง หรือแม่ หรือพ่อ หรือลูก ๆ หรือไร่นาเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ
30 แล้วจะไม่ได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้ (ไม่ว่าจะเป็นบ้าน พี่น้องชายหญิง แม่และลูก ๆ และไร่นา รวมทั้งการข่มเหง)
และยุคหน้าเขาจะไม่ขาดชีวิตนิรันดร์
31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับกลายเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลายเป็นคนต้น”
ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สาม
(มัทธิว 20:17–19; ลูกา18:31–34)
32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงนำหน้าพวกเขาไป และศิษย์ก็ประหลาดใจ แต่คนที่ตามมากลับรู้สึกกลัว อีกครั้งที่พระเยซูทรงพาศิษย์ทั้งสิบสองคนออกมาจากผู้คน เพื่อทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง
33“ดูเถิด เรากำลังขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกส่งตัวให้กับปุโรหิตใหญ่ และธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารและมอบพระองค์ให้กับคนต่างชาติ
34 ซึ่งคนเหล่านี้จะเยาะหยันพระองค์ จะถ่มน้ำลายรดพระองค์ จะเฆี่ยนและประหารพระองค์เสียหลังจากนั้นสามวัน พระองค์จะทรงคืนชีพขึ้นมา”
คำขอพิเศษจากยากอบและยอห์น
(มัทธิว 20:20-28)
35 จากนั้นยากอบและยอห์นลูกชายของเศเบดี มาหา และทูลขอพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ เรามาขอให้พระองค์ทรงทำตามคำขอ ไม่ว่าเราจะขออะไร”
36“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้หรือ?” พระองค์ตรัส
37พวกเขาตอบว่า “ขอทรงอนุญาตให้เราคนหนึ่งนั่งด้านขวาพระหัตถ์ และอีกคนนั่งด้านซ้าย ในเวลาที่พระองค์ทรงรับพระบัลลังก์”
38 “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าขออะไรอยู่สินะ” พระเยซูตรัสตอบ “เจ้าจะดื่มถ้วยที่เราจะดื่มได้หรือ? หรือเจ้าจะต้องผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่านได้หรือ?”
39 “ได้แน่ พระเจ้าข้า” พี่น้องทั้งสองตอบ “เจ้าจะได้ดื่มถ้วยที่เราต้องดื่ม” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้ผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่าน
40 แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือซ้ายมือของเราไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะจัดให้ ที่นั่งตรงนั้น เป็นที่ของคนที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้”
41 เมื่ออีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่พอใจยากอบและยอห์น42 พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาทุกคน ตรัสว่า “พวกเจ้ารู้อยู่ว่า สำหรับคนต่างชาตินั้น คนที่เป็นผู้ปกครองก็จะเป็นเจ้าเหนือผู้คน คนใหญ่โตก็จะใช้สิทธิอำนาจเหนือผู้คน
43 แต่สำหรับพวกเจ้าจะไม่เป็นอย่างนั้น ใครก็ตามที่ต้องการเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกเจ้า จะต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า
44 คนที่ต้องการเป็นต้น ก็จะต้องเป็นทาสของทุกคน
45 แม้แต่บุตรมนุษย์เองไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อรับใช้ และเพื่อประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนเป็นจำนวนมาก”
พระเยซูทรงรักษาบารทิเมอัส
(มัทธิว 20:29–34; ลูกา 18:35–43)
46 จากนั้น พวกเขามาถึงเมืองเยรีโค และขณะที่พระเยซูกับสาวกกำลังเดินออกจากเมืองพร้อมกับคนเป็นจำนวนมาก มีชายขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส ลูกชายของทิเมอัส นั่งอยู่ข้างทาง
47 เมื่อเขาได้ยินว่า เป็นพระเยซูทรงผ่านมาก เขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า “โอ พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย”
48 มีหลายคนห้ามเขา สั่งให้เงียบแต่เขากลับร้องเสียงดังกว่าเดิม “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย!”
49 พระเยซูทรงหยุดและตรัสว่า “เรียกเขามาสิ” ดังนั้น พวกเขาจึงเรียกชายตาบอดเข้ามา “ใจกล้าเข้าไว้” พวกเขาบอก “ลุกขึ้นสิ เพราะพระองค์ทรงเรียกหาเจ้า”
50 บารทิเมอัสสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดขึ้นมาหาพระเยซู
51“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้ารึ?” พระเยซูตรัสถาม“รับโบนี เจ้าข้า” ชายตาบอดกล่าว “ขอทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นได้” (รับโบนี แปลว่า เจ้านายของข้าพเจ้า)
52“ไปตามทางของเจ้าเถิด” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็น และเดินตามพระเยซูไปตามทางนั้น
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 10:1-12
ช่วงนี้ พระเยซูกำลังจะเดินทางไปเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย พระองค์มาที่คาเปอรนาอุมก่อน แล้วเข้าไปในเขตยูเดีย ทรงเจอผู้คนมากมายที่จะฟังคำสอน เราเห็นชัดว่า พระเยซูทรงพร้อมสอนคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะฟังแล้วลืมไปบ้างก็ตาม
แล้วก็มีฟาริสีที่อยากจะทดสอบพระองค์ เพื่อจะจับผิดให้ได้ จึงถามเรื่องการหย่าร้างว่า ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน ซึ่งคำตอบนั้นพวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว นั่นคือผู้ชายเขียนหนังสือหย่า แล้วภรรยาต้องออกจากบ้านไป
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24:1-4 พวกเขาพยายามทำให้การแต่งงานระหว่างชายหญิงและการหย่าเป็นเรื่องธรรมดา ต้องการดูว่า พระเยซูทรงมีความเห็นอย่างไร
แต่พระเยซูทรงกลับไปที่จุดเริ่มต้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้เขาได้เป็นสามีภรรยาหนึ่งต่อหนึ่ง และให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดไป พระเยซูทรงมองการแต่งงานเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงผูกพันคนสองคนเข้าด้วยกัน ดังนั้น คนสองคนที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตก็ต้องช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่ เพราะในชีวิตคู่นั้น มีทั้งสุขและทุกข์ ง่ายและยาก รักและโกรธ ซื่อสัตย์ และแอบไปมีคนอื่น ความอ่อนโยนและความรุนแรง สิ่งที่พระเยซูทรงย้ำคือ การผูกพันของสามีภรรยา มาจากพระเจ้า ในโลกของเราทุกวันนี้ มีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว ทุกระดับ ทุกรูปแบบ ซับซ้อนกว่าเดิมมาก
มาระโก 10:13-16
มีคนพาเด็ก ๆ มาหา เพื่อให้พระเยซูทรงอวยพระพร แต่ศิษย์ของพระองค์กลับรู้สึกไม่พอใจ ไปห้ามคนเหล่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระเยซูไม่ทรงพอพระทัยศิษย์ แล้วก็ทรงตรัสบางอย่างที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องฟังดี ๆ
1. จงให้เด็กมาหาเรา
2.อย่าขัดขวางเด็กจากทางของพระเจ้า
3.อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเด็ก ๆ
4.คนที่ไม่ต้อนรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กรับ จะไม่มีวันเข้าแผ่นดินนั้น
พระเยซูทรงบอกเราว่า เด็กสำคัญกับพระองค์ ไม่ว่าสังคมโบราณจะมองเด็กว่าไร้ค่า แต่พระเยซูทรงมองแตกต่าง พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างพวกเขามา ครอบครัว คริสตจักร บุคคลใดที่ให้ความสำคัญกับเด็กและทุ่มเทให้พวกเขา จะได้รับอนาคตของชุมชนที่น่าชื่นชม แต่ถ้าเราละทิ้งเด็ก เราก็จะเจอความโกลาหลจากเด็กและวัยรุ่น ที่ไม่เข้าใจสิทธิ หน้าที่ของตน ไม่สนใจจะช่วยเหลือคนอื่น เอาแต่จะเรียกร้องเพื่อตัวเองอย่างที่เราเจอกันทุกวันนี้
มาระโก 10:17-31
ข้อความตอนนี้ เป็นเรื่องของคนรวยที่ดี แต่ไม่อาจละทิ้งสมบัติตามพระองค์ไป และสำหรับคนที่ติดตามพระเจ้าจริง พระเยซูทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้แก่เขา และเป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว และลูกาเล่าเช่นกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นทั้งผู้นำ (ลูกา 18:18 ) ร่ำรวย (22) เป็นคนดีรักษาพระบัญญัติ (20) เขามีความเข้าใจว่า การที่จะได้ชีวิตนิรันดร์คือ ต้องทำอะไรสักอย่างที่ดีมาก ๆ จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ (17) แล้วแถมยังคิดว่า เขาน่าจะทำสำเร็จผ่านความดีที่ทำลงไปมาตั้งแต่เด็ก อาจมีอะไรที่ขาดอยู่ที่ยังไม่ได้ทำ และเป็นไปได้ไหมที่เขาคิดว่า ความมั่งคั่งของเขาเกิดจากการที่พระเจ้าทรงอวยพระพรเพราะเขาทำดี? (สดุดี 128:1-2)
พระเยซูทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมจาก เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15-16 เป็นข้อที่เน้นการประพฤติต่อบุคคลรอบข้าง (หลายคนคิดว่า เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ความจริงแล้ว ทุกคนเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าทั้งหมด) แล้วจากนั้นพระองค์จึงบอกวิธีที่จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ นั่นคือ ต้องทิ้งทุกอย่าง ไม่ให้มันมาเป็นอุปสรรค (ถ้าจะโยงไปถึงการรับพระเจ้าอย่างเด็ก ๆ นั้นก็คือ รับพระเจ้าโดยไม่หวังพึ่งสิ่งอื่นแทนพระองค์นั่นเอง)
ประเด็นคือ คนรวยจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้ายากอย่างนั้นหรือ? ที่จริงคนรวยมีอุปสรรคขัดขวางจากความร่ำรวยของเขา ต้องขจัดอุปสรรคนั้นมีคนรวยหลายคนที่ได้มาพบพระเจ้าอย่างเช่น โยเซฟ ชาวอาริมาเธีย ศักเคียส เป็นต้น จึงจะเห็นว่าเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า เราเองก็ต้อง คิด หาเหตุผลว่า เหตุใดคนรวยจึงสยบต่อพระเจ้า และไม่ได้มีเงินเป็นอุปสรรคต่อการพบพระองค์
ในสมัยนี้ บางครั้งอุปสรรคอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สูง ถ้ามาตามพระเยซูแล้วจะดูเหมือนคนไม่ฉลาด ดังนั้นจึงไม่ยอมมาหาพระองค์
ส่วนคนที่ตามพระองค์จริง ๆ แล้ว พวกเขาจะได้รับหลายอย่างร้อยเท่า นั่นคือ การติดตามพระเยซูไม่ได้หมายความว่าเป็นคนโง่หรือ แพ้ แต่เป็นคนที่พระเจ้าจะอวยพระพรและ ให้มากถึงชีวิตนิรันดร์เลย
มาระโก 10:32-34
นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์
1. จะเสด็จไปเยรูซาเล็ม (ทั้งที่ทรงรู้ว่าจะเกิดอะไรกับพระองค์ ทรงไปตามแผนของพระบิดา 2.พระองค์จะถูกจับกุมส่งตัวให้ศัตรู
3. พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์แต่
4.ยืมมือคนต่างชาติมาสั่งประหาร
5.พระองค์จะถูกเย้ย ถ่มน้ำลายรด ถูกเฆี่ยน
6.ในที่สุดจะสิ้นพระชนม์จริง ๆ เพราะพวกเขาประหารสำเร็จ แต่..
7.อีกสามวันจะทรงเป็นขึ้นมา
พระเยซูทรงบอกให้พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจ และในพระคัมภีร์ก็บอกหลาย ๆ อย่างล่วงหน้าแก่เราด้วย เราจึงควรเอาใจใส่ดูว่า พระเจ้าทรงบอกอะไรล่วงหน้าบาง
มาระโก 10:35-45
อย่างน้อยตอนนี้เรารู้แล้วว่า ลูกชายสองคนของเศเบดีนี่เองที่ต้องการเป็นใหญ่ อยากที่จะนั่งข้างซ้ายและขวาของพระเยซู โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า การขอเช่นนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
คำตอบของพระเยซูคือ ทั้งสองจะต้องเจอกับความยากลำบากอย่างแน่นอน แต่ที่จะได้นั่งในที่สูงขนาดนั้น เป็นเรื่องที่พระบิดาทรงตัดสิน
พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้เป็นผู้จัดที่ทางในสวรรค์ว่าใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นผู้น้อย พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ยกคนหนึ่งขึ้นหรือทำให้คนหนึ่งต่ำลง แต่พวกเขาควรทำตามพระองค์คือ การเป็นทาสของผู้อื่น ทำเพื่อรับใช้ และให้ชีวิตเพื่อนำคนอื่นสู่ชีวิตอย่างพระองค์
มาระโก 10:46-52
เรื่องราวนี้เราจะเห็นว่า การติดต่อกันระหว่างสองคนนั้น มีผู้คนขัดขวาง แต่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ยอมฟัง เขาตั้งใจว่า วันนี้เขาต้องตาดีเหมือนอย่างคนตาบอดอื่น ๆที่เขาได้ยินมาว่า พระเยซูทรงรักษาให้หาย เมื่อเราจะมาหาพระเยซูแต่มีคนขัดขวางเราก็ต้องไม่ยอมเหมือนกับบารทิเมอัสผู้นี้
เรามาดูเหตุการณ์ที่นำไปสู่บารทิเมอัสคนใหม่ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นขอทานอีก
เราจะเรียนอะไรได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้
1. บารทิเมอัสรับรู้ว่า พระเยซูผ่านมาทางเขา
2.เขาร้องเรียกพระองค์ว่า พระเยซูบุตรดาวิด..แสดงว่า เขาเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นลูกหลานของกษัตริย์ดาวิด เขารู้ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ เราไม่ทราบ
3.มีคนห้ามเรียกพระเยซู เขาไม่ฟัง ยิ่งเรียกพระองค์เสียงดังขึ้น
4.พระเยซูทรงหยุดและเรียกให้เขามาใกล้
5.เขาลุกขึ้น สลัดเสื้อ กระโดดไปตามทางเสียงของพระเยซูทั้ง ๆ ที่เป็นคนตาบอด เขาตอบรับคำเรียกของพระเยซูทันที
6.เมื่อพระเยซูทรงถามว่า “เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้า?” เขาตอบทันที “ขอมองเห็นขอรับ เจ้านายของข้าพเจ้า” เขาเชื่อฤทธิ์พระเยซูผู้ที่เขาเรียกว่า บุตรชายของดาวิด
7. พระเยซูทรงให้ตามคำขอทันที ทรงย้ำว่า ความเชื่อทำให้เจ้าหาย ทรงให้เขาไปตามทางของเขา
8.บารทิเมอัสมองเห็น และตัดสินใจเดินตามพระเยซูไป ไม่ได้กลับไปตามทางของตนเอง
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 19:1-9
2* มัทธิว 19:3
4* เฉลยธรรมบัญญัติ24:1-4
6* ปฐมกาล 1:27; 5:2
7* ปฐมกาล 2:24
11* มัทธิว 5:32; 19:9
13* ลูกา 18:15-17
14* 1 เปโตร 2:215* มัทธิว 18:3-4; 19:14; ลูกา 13:28
17* มัทธิว 19:16-30; ยอห์น 6:28
18* 1 ซามูเอล 2:2
19* อพยพ 20:12-16; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16-20
20* ฟีลิปปี 3:6
21* ลูกา 12:33; 16:9
24* 1 ทิโมธี 6:17
25* มัทธิว 13:22; 19:24
27* เยเรมีย์ 32:17
28* ลูกา 18:28
30* ลูกา 18:29-30; 1 เปโตร 4:12-13
31* ลูกา 13:30
32* มัทธิว 20:17-19; มาระโก 8:31; 9:31
33* มาระโก 14:53, 64
34* ลูกา 24:46
35* ยากอบ 4:3
38* ยอห์น 18:11; ลูกา 12:50
39* กิจการ 12;2
40* ฮีบรู 11:16
41* มัทธิว 20:2442* ลูกา 22:25
43* มาระโก 9:35
45* ฟีลิปปี 2:7-8; อิสยาห์ 53:12; ทิตัส 2:14
46* ลูกา 18:35-43
47* วิวรณ์ 22:16;มัทธิว 15:22
52* มัทธิว 9:22
มาระโก 9 ปรากฏพระกายแท้
ปรากฏพระกายแท้จริง
1 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะไม่ได้พบความตายก่อนที่เขาจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงด้วยฤทธานุภาพ”
2 หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์น ขึ้นไปยังภูเขาสูงตามลำพังกับพระองค์ ที่นั่น พระองค์ทรงเปลี่ยนพระกายต่อหน้าพวกเขา
3 ฉลองพระองค์กลายเป็นสีขาวระยับ
ขาวสว่างแบบที่ไม่มีช่างฟอกคนไหนจะทำได้ !!
4 และเอลียาห์กับโมเสสปรากฏต่อหน้าพวกเขา สนทนากับพระองค์
5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ ดีจริง ๆ ที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ขอให้เราได้สร้างพลับพลาขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง โมเสสหลังหนึ่ง และเอลียาห์หลังหนึ่ง”
6 พวกเขาตกใจกลัวกันมาก และเปโตรก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้
7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้น คลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า
“ท่านนี้เป็นลูกรักของเรา จงฟังท่านเถิด!”
8 ทันใดนั้น เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากพระเยซู
9 ขณะที่พวกเขาลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงห้ามไม่ให้พวกเขาบอกสิ่งที่เห็นให้ใครทราบจนกว่าบุตรมนุษย์จะคืนชีพจากความตาย
10 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ โดยถามกันถึงความหมายของ “การคืนชีพจากตาย”
11 แล้วพวกเขาทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดธรรมจารย์จึงกล่าวว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนขอรับ?”
12 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จริงแล้วเอลียาห์จะมาก่อน และเขาจะช่วยให้ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และจะถูกปฎิบัติอย่างเหยียดหยาม?
13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบเหมือนกับที่มีเขียนบันทึกเรื่องของเขาไว้”
เด็กชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง
14 เมื่อพวกเขากลับมาพบศิษย์คนอื่น ๆ ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงพวกเขาอยู่ และมีธรรมาจารย์กำลังโต้เถียงกับพวกเขา
15 ทันทีท่ีประชาชนเห็นพระเยซู พวกเขาก็รู้สึกดีใจและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์
16 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้ากำลังโต้กันเรื่องอะไร?”
17 คนหนึ่งในหมู่คนตอบว่า “พระอาจารย์ขอรับ ข้าพเจ้าพาลูกชายที่ถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้มา
18 เมื่อไรที่มันเข้าสิงเขา มันจะทำให้เขาล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแรง และตัวเกร็ง ข้าพเจ้าขอให้ศิษย์ของท่านไล่มันออกไป แต่พวกเขาทำไม่ได้ขอรับ”
19 “โอ คนในยุคที่ไร้ความเชื่อ!” พระเยซูตรัส “เราจะต้องอยู่กับเจ้าอีกนานเท่าไร? เราจะต้องอดทนกับพวกเจ้านานเท่าไร? ไปพาเด็กมาหาเราสิ”
20 พวกเขาจึงพาเด็กมา และเมื่อเห็นพระเยซู วิญญาณนั้นก็ทำให้เด็กล้มลงและกลิ้งตัวไปมา น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูทรงถามพ่อของเด็กว่า “เด็กเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?” “ตั้งแต่ยังเล็กขอรับ” เขาตอบ
22 “มันมักทำให้เขาตกในกองไฟ และตกน้ำบ่อย ๆ พยายามจะฆ่าเขา แต่หากท่านทำอะไรให้ได้ ขอทรงสงสารเรา และช่วยเราด้วยขอรับ”
23 “หากเราทำได้อย่างนั้นหรือ?”พระเยซูทรงทวนคำ “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง”
24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ขอทรงช่วยที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่ออยู่”
25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าฝูงชนกำลังวิ่งกรูเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าวิญญาณใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและไม่เข้าไปสิงเขาอีก!”
26 หลังจากที่วิญญาณนั้นกรีดเสียงร้องและทำให้เด็กชักอย่างแรง มันก็ออกมาจากตัวเขา เด็กก็นิ่งราวกับเป็นศพ จนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว”27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเด็กและช่วยให้เขาลุกขึ้นมา เขาก็ยืนขึ้น
28 หลังจากที่พระเยซูทรงเข้าไปในบ้านแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ทูลถามเป็นส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีไม่ออกล่ะขอรับ?”
29 พระเยซูทรงตอบว่า “ผีแบบนี้ออกไม่ได้นอกจากต้องอธิษฐาน และการอดอาหาร* เท่านั้น”
ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สอง
(Matthew 17:22–23; Luke 9:43–45)
30 พวกเขาออกจากที่นั่นโดยผ่านแคว้นกาลิลีไป พระเยซูไม่ทรงต้องการให้ใครรู้
31 เพราะพระองค์ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในเงื้อมมือมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย หลังจากนั้นสามวัน ท่านจะคืนชีพขึ้นมา”
32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจคำที่ตรัส และพวกเขาก็กลัว ไม่กล้าที่จะถาม
ผู้ที่เป็นใหญ่สุดในอาณาจักรสวรรค์
33 แล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้าน ทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเถียงกันเรื่องอะไรระหว่างทาง?”
34 แต่พวกเขากลับเงียบเพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันว่า ใครใหญ่สุด!
35 พระเยซูทรงนั่งลงและตรัสเรียกทั้งสิบสองคนมา “หากใครต้องการเป็นคนที่หนึ่ง เขาต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”
36 แล้วพระองค์ทรงนำเด็กเล็กคนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กไว้ และตรัสกับพวกเขาว่า
37 “ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้ในนามของเรา เท่ากับเขารับเรา และใครก็ตามต้อนรับเรา เท่ากับว่า เขาได้ต้อนรับทั้งเราและพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ขอรับ เราเห็นบางคนไล่ผีในพระนามของพระองค์ เราพยายามจะห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่เป็นพวกเรา”
39 “อย่าไปหยุดเขาเลย” พระเยซูตรัสตอบ “เพราะไม่มีใครที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเรา จะหันกลับมาและพูดให้ร้ายเรา
40 เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา
41 ที่จริงแล้ว หากใครสักคนหนึ่งได้เอาน้ำสักแก้วมาให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นคนของพระคริสต์
เราบอกความจริงว่า เขาจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”
ต้นเหตุแห่งการทดลองและการทำบาป
42 แต่หากใครทำให้คนเล็กน้อยที่เชื่อในเราสะดุด หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ถ่วงคอเขาแล้วโยนลงทะเลก็ดีกว่า
.
43 หากมือของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็จงตัดมันเสีย เป็นการดีสำหรับเจ้า ที่จะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พร้อมมือด้วน แทนที่จะลงนรกซึ่งมีไฟที่ไม่มีวันดับ พร้อมกับมือทั้งสองข้าง
44 (ในที่ซึ่ง ตัวหนอนของพวกเขาไม่ตาย และไฟไม่มีวันดับ)
45หากเท้าของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่เจ้าจะเข้าไปสู่ชีวิตทั้ง ๆ ที่ขาด้วน แทนที่จะถูกโยนลงนรกพร้อมขาสองข้าง
47 และหากดวงตาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็ควักออกเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยดวงตาข้างเดียวแทนที่จะมีดวงตาสองข้าง และถูกโยนลงไปในนรก
48 ซึ่งเป็นที่ ๆหนอนของพวกเขาไม่มีวันตาย และไฟที่ไม่มีวันดับ
เกลือเป็นสิ่งดี
49 เพราะทุกคนจะถูกเคล้าด้วยเกลือ และชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ
50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่หากเกลือหมดรสเค็ม
เจ้าจะช่วยให้มีรสชาติได้อย่างไรเล่า?
จงมีเกลือท่ามกลางพวกเจ้า และอยู่กันอย่างสันติเถิด”
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 9:1-13
ไม่มีศิษย์คนใดสบายใจได้เลย เมื่อได้รับรู้ว่า อีกไม่นานพระเยซูจะทรงสิ้นพระชนม์ แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้ยินที่ทรงบอกว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาอีก พระองค์จึงทรงบอกล่วงหน้าให้รู้ว่า อาณาจักรของพระองค์นั้น เป็นอาณาจักรแห่งฤทธานุภาพที่เหนือธรรมชาติ อีกหกวันต่อมา พระองค์ได้ทรงพาศิษย์สามคนเท่านั้น ขึ้นไปบนภูเขา เข้าใจจากสถานที่ในบทที่ผ่านมา ว่า น่าจะเป็นภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลางเลยทีเดียว
บนภูเขานั้นเอง พระเยซูทรงเปลี่ยนสภาพร่างของพระองค์จากเนื้อหนัง หน้าตาที่ทุกคนชิน กลายเป็นร่างที่แตกต่างออกไป เป็นร่างที่พวกเขายังจำได้ว่า เป็นพระองค์ และฉลองพระองค์นั้นก็สว่างระยับแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น โมเสส ซึ่งเป็นตัวแทนของกฎบัญญัติ และเป็นผู้นำอิสราเอลออกจากการเป็นทาส กับเอลียาห์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เผยพระคำของพระเจ้า ก็ปรากฏตัวด้วย ทั้งสองกำลังสนทนากับพระเยซู
ช่วงชีวิตของโมเสสประมาณ 1400 ปีมาแล้ว ส่วนเอลียาห์ก็ประมาณ 900 ปีมาแล้ว ทั้งสองมาสนทนากับพระองค์ผู้ทรงอยู่มาก่อนการสร้างโลก แม้ว่าจะกลัวเพียงใด เปโตร ยอห์นและยากอบ ก็ได้มีโอกาสเห็นพระเยซูองค์จริง และเห็นความสง่างามตระการของพระองค์อย่างที่ไม่มีใครจะได้เห็น
เหนืออื่นใด พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า (ได้ยินทั้งหมดสามครั้ง จากมาระโก 1:11 และยอห์น 12:28) ตรัสว่า ให้พวกเขาฟังเสียงของพระบุตรที่ทรงรักด้วย เป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ทำให้ทั้งสามได้เชื่อมั่นคงในพระเยซูมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เห็นนี้ กลับกลายต้องเป็นความลับ เผยไม่ได้จนกว่าพระองค์จะคืนชีพจากความตายเสียก่อน
ข้อ 12-13 ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวถึงท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่มาแล้ว ท่านไม่ได้เป็นเอลียาห์มาเกิด แต่เป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซูและทำงานโดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ (ลูกา 1:17) ท่านยอห์นเป็นคนที่ทำหน้าที่เหมือนเอลียาห์ตามในหนังสือมาลาคี 4:5-6 และยอห์นเองถูกกักขังและประหารอย่างไร้ความยุติธรรม
มาระโก 9:14-29
เมื่อลงมาจากภูเขานั้นเอง ก็มาพบกลุ่มคนที่กำลังพูดกันหน้าตาเครียดจริงจัง เราจะเห็นว่า พอคนเห็นพระเยซูพวกเขาก็จะวิ่งเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ ปุโรหิตไม่พอใจเอามาก ๆ เป็นอันว่า พวกเขามีปัญหาคือ มีคุณพ่อพาลูกที่มีผีสิงมาหาศิษย์ของพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถไล่ผีออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่ แต่ก่อนพวกเขาเคยทำได้ เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรที่แตกต่างในเด็กคนนี้?
ที่เราเห็นชัดคือ เด็กถูกผีทำให้เป็นใบ้ และหูหนวกด้วย ตามด้วยอาการชักอย่างรุนแรง ล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน ตัวเกร็ง และยังตกน้ำ ตกในไฟตลอดมา เป็นอันตรายกับชีวิตของเขามาก พ่อมีความเห็นว่าผีต้องการให้เด็กตาย
พ่อคนนี้ทูลว่า ถ้าพระองค์ช่วยได้.. เป็นเพราะศิษย์ของพระองค์ไม่อาจช่วยเขา ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลง แต่พระเยซูกลับทรงให้กำลังใจตรัสว่า ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเห็นใจเขา และรู้ดีว่าเขาต้องการความเชื่อที่มาจากพระองค์ พ่อคนนี้ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและทูลขออย่างไม่อายใคร
ก่อนที่ผู้คนจะวิ่งเข้ามามุง พระเยซูก็ทรงไล่ผีออกไปจากตัวเด็ก เขานิ่งสงบจนคนคิดว่าตาย … แต่ไม่ใช่ พระเยซูทรงจับมือเด็กช่วยให้เขาลุกขึ้นมา ..กลายเป็นเด็กอีกคนที่จะเป็นพยานเรื่องของพระองค์ต่อไปอีกตลอดชีวิตของเขา ทั้งพ่อและเด็กไม่ต้องกลัวการปองร้ายจากมารอีกต่อไป
และที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ผีที่เข้าสิงและทำให้คน ๆ หนึ่งต้องเผชิญกับอาการมากมายที่เป็นอันตรายอย่างนี้ ต้องการให้ผู้ที่ช่วยขับผีทั้งอธิษฐาน และอดอาหารขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (* ในบางเล่มไม่มีคำว่าอดอาหาร) การอดอาหารอธิษฐานช่วยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มุ่งมั่น และเต็มด้วยความเชื่อ พึ่งพาพระเจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่
เราจะเห็นเหตุการณ์แบบข้อ 28 บ่อย ๆ คือ ศิษย์และพระเยซูสนทนากันในเรื่องที่คนอื่นจะไม่ได้รับรู้ด้วย ในสมัยนั้น รับบีกับศิษย์ก็มักจะสนทนาเรื่องที่คนทั่วไปได้ยินแล้วอาจตีความผิดไป พวกเขาจึงมักสอนกันเป็นส่วนตัว
มาระโก 9:30-32
ครั้งที่สองแล้วที่พระเยซูตรัสเรื่องการสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ ช่วงเวลานี้ทรงอยู่กับศิษย์และสอนพวกเขาหลายอย่าง เตรียมไว้สำหรับวันที่พระองค์ไม่ทรงอยู่กับเขา พวกเขาเข้าใจดีว่า เมื่อตรัสถึงบุตรมนุษย์ นั้นมีความหมายถึงตัวพระองค์เอง ส่วนมนุษย์ที่ว่า พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าเป็นศัตรูของพระองค์ที่คอยจับผิด และคอยทำร้ายพระองค์เมื่อมีโอกาส แต่ยังมีบางอย่างที่ศิษย์ ไม่กล้าถามอะไรทั้ง ๆ ที่สงสัยเหลือเกิน
มาระโก 9: 33-40
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พวกเขาก็เดินกันโดยไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่มีการถกเถียงกันว่า ใครจะเป็นใหญ่ที่สุดในหมู่ศิษย์ทั้งสิบสองคนนี้ ถ้าเราคนนอกมองไป ก็อาจคิดว่าเป็นเปโตร ยอห์น ยากอบ เพราะพระองค์ทรงพาเขาไปให้เห็นพระสิริยิ่งใหญ่ คนในกลุ่มอาจมองไม่เหมือน แต่ที่สำคัญคือพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่า ผู้นำ หัวหน้า มากกว่าการที่จะรับใช้ แต่พระเยซูกลับให้ความสำคัญกับชีวิตที่ถ่อมตน และพระองค์เองก็ทรงบอกไว้แล้วว่า พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ (มัทธิว 11:29) พระองค์เอาเด็กเล็กมาเป็นสื่อของการถ่อมตนว่า ถ้าหากพวกเขาต้อนรับคนที่ต่ำต้อยเพราะเห็นแก่พระเยซูเท่ากับเขาได้ต้อนรับพระองค์ด้วย
ในโลกโบราณนั้น เด็กเป็นผู้ที่ต้องให้คนอื่นช่วย และพวกเขาไม่ได้มองเด็กสำคัญอย่างพระเยซู แม้จะมีบ้านที่รักเด็ก ๆ แต่โดยรวมพ่อแม่ที่ยากจน เลี้ยงลูกไม่ไหว ก็จะทิ้งลูกตามถนน เด็กจึงถูกมองว่า ไร้ค่า ไม่มีอำนาจ คนที่ใหญ่โตคือคนที่เป็นวีรบุรุษ นายทหาร ผู้ปกครอง ธรรมาจารย์
ในตอนต่อมาที่ศิษย์ไปเห็นคนที่ไล่ผีในพระนามของพระองค์ กลับไปห้ามเขาทั้งที่ตนเองก็ไล่ผีไม่ออก อันนี้น่าสนใจมาก ศิษย์ไม่เห็นตัวเอง แต่เห็นความผิดของคนอื่น พระเยซูกลับตอบอย่างที่เขาไม่คาดว่า คนที่ไม่ต่อต้านพระองค์เท่ากับเป็นคนฝ่ายพระองค์แล้ว ศัตรูแท้คือคนที่ต่อต้านพวกเขา ไม่ใช่คนที่เดินตามอย่างพวกเขา ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะต้องแยกคนที่เป็นมิตรกับศัตรูให้ออก
มาระโก 9:42-48
คำสอนตอนนี้ พระเยซูทรงใช้การเปรียบเทียบที่ค่อนข้างใหญ่ และทำให้เกิดความเข้าใจได้ทันที พระองค์ไม่ได้หมายความจะให้คนที่ทำผิดควักตา ตัดแขนขาของเขา แต่พระองค์กำลังตรัสถึงความหนักหนาสาหัสของโทษบาปที่พวกเขาควรจะกลัว พระเจ้าจะทรงเอาผิดกับคนที่หลอกล่อให้คนอื่นที่รู้น้อยกว่าทำผิดบาป ซึ่งในโลกปัจจุบันของเรา เราจะเจอกับการหลอกลวงทั้งวัน ไม่ว่าจากการโฆษณาสินค้า หรือข่าวปลอมต่าง ๆ ที่ส่งผลกับการตัดสินใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
พระเยซูทรงใช้คำว่า สะดุด หลงผิดไป นั่นคือ สะดุดไปจากความจริงของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยการหลอกล่อแบบใด คนที่นำผู้อื่นอยู่จึงต้องรู้จักความจริง มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นหลงผิดไปด้วยความเข้าใจผิดของตนก็เป็นได้
การถูกหินโม่ถ่วงคอ การตายในน้ำนั้น สำหรับคนยิวแล้วเป็นความตายที่น่ากลัวเป็นที่สุด เพราะไม่มีพิธี ไม่มีการฝัง
มาระโก 9:49-50
สมัยโมเสส เขาใช้เกลือกับธัญญบูชา จะมีการปรุงเครื่องบูชาด้วยเกลือและเผาไปพร้อมกัน (เลวีนิติ 2:13) เกลือบริสุทธิ์ที่มีรสเค็ม จึงมีความหมายในตัวของมันมากมาย ตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ไปถึงความสามารถในการรักษาสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้เน่าไป
พระเยซูทรงสอนให้เราหนีจากความบาป และตามด้วยการที่พวกเราจะต้องเป็นคนที่มีเกลือคือมีความดีของพระเจ้าอยู่ในตัว ความดีดังกล่าวจากความหมายของเกลือ นั้นคือความบริสุทธิ์ในชีวิต ความสามารถที่จะช่วยให้สังคมที่ผิดศีลธรรม ทำบาปได้กลับมาหาพระเจ้า เป็นผู้ที่สร้างสันติ เป็นเกลือที่จะช่วยให้สังคมได้รับ สัมผัสความรักมั่นคงและความดีงามของพระเจ้า
พระคำเชื่อมโยง
1* ลูกา 9:27; มัทธิว 24:30
2* มัทธิว 17:1-8
3* ดาเนียล 7:9
7* อพยพ 40:34; สดุดี 2:7; อิสยาห์ 42:1; มาระโก 1:11; ลูกา 1:35 ; กิจการ 3:22
9* มัทธิว 17:9-13
10* ยอห์น 2:19-22
11* มาลาคี 4:5
12* อิสยาห์ 53:3; ฟีลิปปี 2:7
13* ลูกา 1:17
14* มัทธิว 17:14-1917* ลูกา 9:38
19* ยอห์น 4:48
20* มาระโก 1:26
23* ยอห์น 11:40
24* ลูกา 17:5
25* มาระโก1:25
28* มัทธิว 17:1929* ยากอบ 5:1631* ลูกา9:44; มัทธิว 16:21; 27:50; ลูกา 24:46; 1โครินธ์ 15:4
32* ลูกา 2:50; 18:34
33* มัทธิว 18:1-5
34* สุภาษิต 13:10; ลูกา 22:24; 23:46; 24:46
35* ลูกา 22:26-2736* มาระโก 10:13-16
37* มัทธิว 10:40
38* กันดารวิถี 11:27-29
39* 1โครินธ์ 12:3
40* มัทธิว 12:30
41* มัทธิว 10:4242* ลูกา 17:1-243* มัทธิว 5:29-30; 18:8-9
44* อิสยาห์ 66:24
46* อิสยาห์ 66:2448* อิสยาห์ 66:24; เยเรมีย์ 7:20
49* มัทธิว 3:11; เลวีนิติ 2:13
50* มัทธิว 5:13; โคโลสี 4:6; โรม 12:18; 14:19
มาระโก 8 ตามพระเยซูกันดีกว่า
พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
1 เวลานั้น มีฝูงชนมารวมตัวกันกันอีก และพวกเขาไม่มีอะไรกิน พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาและตรัสว่า
2“เราสงสารคนมากมายเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเราสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินเลย
3 ถ้าเราส่งพวกเขากลับบ้านไปทั้งที่หิวโหยอยู่ พวกเขาจะเป็นลม หมดแรงกันไปตามทาง เพราะบางคนก็มาจากที่ไกลมาก”
4ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
5“เจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน?” พระเยซูตรัสถาม “เจ็ดก้อนขอรับ” พวกเขาตอบ
6 และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็แบ่งให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก
7 พวกเขายังมีปลาเล็ก ๆ สองสามตัว และพระเยซูก็ทรงอวยพระพร
และทรงสั่งให้พวกเขาเอาไปแจกเช่นกัน
8 ประชาชนได้กินจนอิ่มและศิษย์ของพระองค์
ได้เก็บเศษที่เหลือได้ถึงเจ็ดตะกร้าพูน
9 มีผู้ชายสี่พันคนอยู่กันที่นั่นและเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขากลับไป
10 พระองค์ก็ทรงลงเรือกับศิษย์และเดินทางไปยังเขตเมืองดาลมานูธา
ถามหาหมายสำคัญ
11 แล้วฟาริสีก็มาและเริ่มโต้แย้งกับพระเยซู ต้องการทดสอบพระองค์โดยขอให้พระเยซูแสดงหมายสำคัญจากสวรรค์
12พระเยซูทรงถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า
“เหตุใดคนยุคนี้จึงเรียกร้องหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า จะไม่มีการให้หมายสำคัญกับคนยุคนี้”
13 แล้วพระองค์ทรงละจากพวกเขา ทรงลงเรือและข้ามไปอีกฝั่ง
เชื้อของฟาริสีและเฮโรด
14 ตอนนี้ศิษย์ของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย ยกเว้นแค่หนึ่งก้อนเดียวที่อยู่ในเรือ
15 “จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา
“จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด”
16 พวกเขาจึงคุยกันเองว่า พวกเขาไม่มีขนมปังเลย
17 พระเยซูทรงทราบว่าเขาคุยอะไรกัน ทรงถามพวกเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงโต้กันเรื่องไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่เห็น ไม่เข้าใจอีกหรือ?
ทำไมพวกเจ้าจึงใจแข็งนัก?
18 ..เจ้ามีตา แต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
และเจ้าจำไม่ได้หรือว่า
19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน มีเศษขนมปังเหลือกลับมากี่กระบุง?” พวกเขาตอบว่า “สิบสองกระบุงขอรับ”
20 “ แล้วตอนที่เราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคนนั้น เจ้าเหลือเศษขนมปังมากี่ตะกร้า?” “เจ็ด ขอรับ” พวกเขาตอบ
21 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
22 เมื่อพวกเขามาถึงเบธไซดา มีบางคนนำชายตาบอดคนหนึ่งมา และทูลขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเขา
23 พระองค์จึงทรงจูงมือเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงบนดวงตาทั้งสองข้าง และวางพระหัตถ์ทั้งสองบนเขา “เจ้าเห็นอะไรบ้างไหม?” ทรงถามเขา
24 ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวว่า “ข้าเห็นคน แต่พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่เดินไปมาขอรับ”
25 พระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และเมื่อเขาเปิดตา สายตาของเขาก็เป็นปกติ และเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน
26 พระเยซูทรงส่งเขาให้กลับบ้าน ตรัสว่า “อย่ากลับเข้าไปในเมืองเลย อย่าเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองฟัง”
เปโตรสารภาพว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)
27 แล้วพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ก็เดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ แถบซีซาริยาห์ฟีลิปปี
ระหว่างทาง พระองค์ทรงถามศิษย์ว่า “ผู้คนกล่าวว่า เราเป็นใคร?”
28 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าทรงเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าทรงเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่า พระองค์ทรงเป็นผู้กล่าวพระคำคนหนึ่ง”
29“ แต่เจ้าล่ะ? เจ้าว่าเราเป็นใคร?” พระเยซูตรัสถาม เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ขอรับ”
(นั่นหมายถึงทรงเป็นผู้ที่ถูกเจิมจากพระเจ้าลงมาในโลก หรือที่ยิวเรียกพระนามว่า พระเมสสิยาห์)
30 และพระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องพระองค์
บอกล่วงหน้าเรื่องการทนทุกข์
31 แล้วพระองค์จึงทรงสอนพวกเขาว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และเหล่าผู้ใหญ่ หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะถูกประหาร อีกสามวันจะทรงคืนชีพขึ้นมา
32 พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และเปโตรจึงดึงพระองค์ไป
และทูลต่อว่าพระองค์
33 แต่พระเยซูทรงหันมามองดูศิษย์ทั้งหลาย ทรงตำหนิเปโตรและตรัสว่า “จงถอยออกไป ซาตาน เพราะในหัวของเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
ในหัวของเจ้า
ไม่ได้
คิดอย่างพระเจ้า
แต่
คิดอย่างมนุษย์
จงแบกกางเขนตามเรามา
34 แล้วพระเยซูทรงเรียกประชาชนมาหาพระองค์พร้อมกับศิษย์และทรงบอกพวกเขาว่า “หากใครต้องการติดตามเรามา เขาจะต้องปฏิเสธตนเอง และรับกางเขนของตน และตามเรามา”
35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการรักษาชีวิตของตนไว้ จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐจะรักษาชีวิตนั้นไว้
36 มีประโยชน์อะไรกับคนหนึ่งหากว่าเขาได้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียวิญญาณของตนไป?
37 หรือใครคนหนึ่งจะเอาอะไรมาแลกกับวิญญาณของตนได้?
38 หากคนใดละอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในโลกที่ชั่วช้า บาปหน้า บุตรมนุษย์ก็จะละอายเพราะเขา เมื่อพระองค์เสด็จมาในพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 8:1-10
เปรียบเทียบครั้งนั้น(ตอนเลี้ยง 5000 คน) กับครั้งนี้ (การเลี้ยง 4000 คน)
ในมาระโกบทที่หก คนอยู่กับพระเยซูเพียงหนึ่งวัน แต่ในครั้งนี้ อยู่ถึงสามวันแล้วพวกเขาก็หิวมากด้วย
ครั้งนั้นบันทึกว่าห้าพันคน ครั้งนี้นับสี่พันคน (ซึ่งนับผู้ชายเท่านั้น ยังไม่มีผู้หญิงกับเด็ก)
ครั้งนั้น พวกเขาได้นั่งบนทุ่งหญ้าเขียวในแถบตะวันตกของกาลิลี มีคนยิวหนาแน่น แต่ครั้งนี้พวกเขานั่งบนพื้นดินในเขตแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าทศบุรี เป็นเวลาห่างจากครั้งแรกหลายเดือน และผู้คนแถบทศบุรีส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ เป็นเมืองที่โรมสร้างไว้
ครั้งก่อนเลี้ยงจาก ขนมปัง 5 ก้อน ปลาสองตัว ครั้งนี้จากขนมปัง 7 ก้อนกับปลาสองสามตัว
ครั้งที่แล้วเหลือขนมปัง 12 กระบุงเล็ก ๆ แต่ครั้งนี้เหลือ 7 ตะกร้าใหญ่มาก
ที่เหมือนกันคือทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญ และคงจะมีกลับไปบ้านด้วย
สิ่งที่ควรสังเกต….
**ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นพระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคนมาแล้ว ทำไมพวกเขายังไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอีกครั้ง? อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ พวกเขาไม่คิดว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงคนเหล่านี้ แต่พระเยซูกลับทรงเลี้ยงดูด้วยความสงสาร (ข้อ 2) ครั้งนี้ศิษย์ของพระองค์ได้รับความเข้าใจชัดว่า พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นกัน
** และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็มอบให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก คำเดียวที่บ่งบอกว่า เป็นกริยาที่ต่อเนื่องในภาษากรีกคือคำว่า มอบ(ให้ศิษย์ ) จึงพอสรุปได้ว่า การขยายตัวของขนมปังอย่างอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซู..เมื่อเลี้ยงเสร็จก็เดินทางข้ามทะเลมายังเมืองดาลมานูธา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี ห่างเมืองคาเปอร์นาอูมมาทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร
มาระโก 8:11-13
แม้ว่าฟาริสีทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมากมาย แต่พวกเขายังไม่พอใจ คนยิวกำลังรอคอยพระเมสสิยาห์หรือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อมาไถ่บาปพวกเขา แต่คนยิวไม่ได้มองพระเมสสิยาห์เช่นนั้น พวกเขามองว่า พระองค์ต้องเป็นนักรบที่จะมาปล่อยพวกเขาจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม
หมายสำคัญที่พวกเขาต้องการคือ σημεῖον เซมีออน เป็นลักษณะของหมายสำคัญพิเศษจากพระเจ้าโดยตรงเพื่อจะได้สนับสนุน และรับรองว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้ที่มาจริง แต่พระเจ้าได้ให้หมายสำคัญมากมายแก่พวกเขาแล้ว ในเมื่อจะไม่เชื่อก็ต้องหาวิธีการที่จะให้พระเยซูเสียหาย แต่พระเยซูทรงถอนพระทัยเพราะรู้ว่าในใจของพวกเขาคืออะไร และทรงเดินออกไปจากพวกเขา โดยไม่ตรัสอะไรอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ ยอห์นเคยบอกว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อ (ยอห์น 20:30-31) แต่ในเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อ แต่ต้องการท้าทายพระองค์
มาระโก 8: 14-21
“จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา “จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด” นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูที่ทำให้เรารู้ว่า ความคดโกงของฟาริสีและพรรคพวกของเฮโรดนั้น แพร่ไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล มันเข้าแทรกซึมไปในสถาบันการปกครอง และศาลาธรรม รวมไปถึงในสังคมทั่วไป ซึ่งเด่น ๆ ก็คือ การสอนให้คนสนใจการกระทำเพื่อที่จะเป็นคนดี และไปสวรรค์ได้ อีกอย่างคือ การเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเฮโรดพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมยิวโดยใช้วิธีการทางการเมือง (ซึ่งเหมือนกับโลกปัจจุบัน)
พวกศิษย์ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซู แต่กลับไปคิดถึงเรื่องขนมปังเสียนี่ พระองค์ทรงกล่าวถึงความใจดื้อด้านของผู้นำยิว แต่ศิษย์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
มาระโก 8:22-26
การรักษาครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากที่คนที่เป็นเพื่อนของชายตาบอดพาเขามาหาพระเยซู ชายตาบอดไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่เพื่อนนั้นมีความเชื่อว่าเขาจะหายได้ และมาขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเพื่อเขาจะหายได้
ครั้งนี้มาแปลก มีหลายอย่างที่ทรงทำกับชายผู้นี้ 1 พระเยซูทรงจูงเขาออกนอกเมืองออกจาก 2 ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตา (ราวกับยาหยอดตา) 3 วางพระหัตถ์บนเขา 4 ทรงถามเขาเหมือนกับหมอถามคนไข้.. เห็นอะไร เขาเห็นคนเหมือนต้นไม้ ทรงให้เขามองเห็นแสง สีราง ๆ ทำให้เขามีความเชื่อ จากนั้น 5 พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ที่ตา ขณะนี้ชายตาบอดมีความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ 6 แล้วเขาก็มองเห็นได้ .. 7 แล้วที่สุดไม่ทรงอนุญาตให้กลับเข้าเมือง ไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใคร แต่ให้กลับบ้านไปทันที
เราอาจจะนึกแปลกใจว่าทำไมพระเยซูทรงทำเช่นนี้ ในมัทธิว 11:21–24 ได้บอกว่า พระองค์ทรงสาปเมืองนี้ไปพร้อมกับเมืองโคราซิน คาเปอร์นาอูม พระองค์ทรงรู้ว่าในใจของคนเมืองเหล่านี้เป็นใจที่กระด้างยิ่งนัก
มาระโก 8:27-30
จากนั้นพระเยซูกับศิษย์เดินทางต่อไปยังเมืองซีซารียาฟีลิปปี เป็นเมืองที่เฮโรดสร้างเพื่อให้เกียรติและซีซาร์ โดยมีแนวคิดว่าซีซาร์คือพระเจ้า เมืองนี้อยู่ห่างจากเบธไซดาประมาณ 40 กิโลเมตร อยู่ทางใต้ของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นทิวเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลาง เป็นพื้นที่ ๆ สวยงามมาก และเป็นที่ ๆ ต้นของแม่น้ำจอร์แดน แต่ มีการสลักรูปเคารพต่าง ๆ ลงบนหินภูเขาไว้ประปราย
ระหว่างการเดินทางนั้นเอง พระเยซูทรงถามศิษย์ว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไรกับพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ทำการสอนกับทั้งคนยิว และคนต่างชาติ ซึ่งคำตอบก็คือ ผู้คนซึ่งมาหาพระองค์เพื่อการรักษาโรค คำสอนคิดว่า พระองค์อาจเป็น ยอห์น เอลียาห์ หรือ ผู้เผยพระคำบางคน แล้วแต่จะคิด จากนั้นทรงขอความเห็นจากศิษย์เอง ว่า พวกเขาคิดอย่างไร
เปโตรเป็นคนเดียวที่ตอบอย่างมั่นใจว่าคือ พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ (พระคริสต์ ภาษากรีก) ซึ่งหมายถึงคนที่รับการเจิม ซึ่งในสังคมยิวนั้นมีแค่สามพวกเท่านั้นที่จะได้รับการเจิม คือ ปุโรหิต ผู้เผยพระคำ และกษัตริย์ เปโตรมองว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปลดปล่อยยิวจากโรม
แต่ถึงแม้รู้เช่นนั้น พระองค์ก็ทรงให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อน
มาระโก 8:31-33
เมื่อพระเยซูเล่าว่า พระเมสสิยาห์องค์นี้ จะต้องถูกประหาร
ไม่แปลกที่ เปโตรจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระเยซูตรัส เขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่พระเมสสิยาห์ของพระเจ้าจะถูกประหาร นั่นคือการแพ้นี่นา พระองค์จะต้องเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ต้องถูกประหาร ถึงจะคืนพระชนม์ก็เถอะ สำหรับเปโตรแล้วนี่เป็นเรื่องรับไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะถูกประหารเพราะบาปของเขาเอง
มาระโก 8:34-38
หากใครคนหนึ่ง ต้องการตาม..พระเยซู เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนมาแบก และตามพระองค์ไป
เราจะต้องการแค่ใช้ชีวิตที่มีอยู่หนึ่งชีวิต หรือว่าต้องการมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์??
การยอมให้พระเจ้ามาก่อนความคิดเห็น จิตใจของตนเองเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคน เพราะเราชินกับการที่ทำอะไรตามใจตัวเอง พระคำข้อนี้ พระเยซูทรงบอกว่า เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าจะปฏิเสธตนเองเพื่อเห็นแก่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะมาช่วยให้เราทำตามใจของตนเองสำเร็จ แต่เราจะต้องให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน นำทางชีวิตของเรา
สำหรับคนที่รักทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เงินทอง และมีชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราเห็นตัวอย่างได้รอบตัว คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน ไม่อาจที่จะเห็นแก่คนอื่นได้ ชีวิตมีไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วในที่สุด เขาก็จะจบแบบที่ไม่มีอะไรเหลือ แม้กระทั่งชื่อเสียงคนก็จะลืมไป พระคัมภีร์ตอนนี้ ให้เรายอมพระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต ไม่ละอายพระนามของพระองค์
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 15:32-39
2* มาระโก 1:41; 6:34
5* มาระโก 6:38
7* มัทธิว 14:19
10* มัทธิว 15:39
11* มัทธิว 12:38; 16:1
12* มาระโก 7:34; มัทธิว 12:39
14* มัทธิว 16:515* ลูกา 12:1
17* มาระโก 6:52; 16:14
19* มัทธิว 14:20
20* มัทธิว 15:37
21* มาระโก 6:52
22* ยอห์น 9:1; ลูกา 18:5
23* มาระโก 7:33
26* มาระโก 5:43; 7:36
27* ลูกา 9:18-20
28* มัทธิว 14:2; ลูกา 9:7-8
29* ยอห์น 1:41; 4:42; 6:69;11:27
30* มัทธิว 8:4; 16:20
31* มัทธิว 16:21; 20:19; มาระโก 10:33; 9:31;10:34; ลูกา 24:36
33* วิวรณ์ 3:19
34* ลูกา 14:27
35* ยอห์น 12:25
38* มัทธิว 10:33; 2 ทิโมธี 1:8-9; 2:12
สุภาษิต 7 เตือนเรื่องชู้
1 ลูกเอ๋ย จงรักษาคำของเราไว้
จงเห็นคุณค่าของคำสั่งของเรา สะสมไว้ในตัวเจ้า
2 จงทำตามคำสั่งของเรา และมีชีวิต
เอาใจใส่คำสอนของเราดั่งแก้วตาของเจ้า
3 จงพันไว้รอบนิ้วมือของเจ้า
และจารึกมันไว้บนแผ่นแห่งใจของเจ้า
4 จงกล่าวแก่ปัญญาว่า “เธอเป็นพี่สาวของฉัน”
และเรียกความเข้าใจว่าเป็นญาติของเจ้า
5 เพื่อสิ่งเหล่านี้จะรักษาเจ้าให้พ้นจากหญิงเล่นชู้
จากคนแปลกหน้าที่มีคำเย้ายวนใจ
6 เพราะว่าตรงหน้าต่างบ้านเรา
เรามองลอดบาดเกล็ดออกไป
7 ดูเหล่าคนที่อ่อนต่อโลก
ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในพวกเขาที่ไร้วิจารณญาณ
8 เขาเดินข้ามถนนไป ใกล้หัวมุมบ้านของหญิงนั้น
เขาเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของนาง
9 ตอนเย็น แสงจางลง ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา
10 แล้วหญิงนั้นก็เข้ามาพบเขา
แต่งตัวตามแบบของหญิงขายตัว และใจเต็มด้วยเล่ห์
11 นางส่งเสียงดัง ท้าทาย อยู่ไม่ติดบ้าน
12 เดี๋ยวก็ไปที่ถนน เดี๋ยวไปที่ลานเมือง
นางคอยซุ่มอยู่แทบทุกหัวมุมถนน
13 นางคว้าตัวของเขาและจูบเขา พูดแบบไร้ยางอายว่า
14 “นี่แน่ะ ฉันเตรียมเครื่องสันติบูชาเอาไว้
วันนี้ ฉันทำตามคำที่ได้สาบานไว้
15 แล้วฉันจึงออกมาพบเธอ ตามหาเธอ และก็พบเธอแล้ว
16 ฉันปูผ้าบนที่นอน ด้วยผ้าป่านจากอียิปต์
17 และประพรมที่นอนด้วยมดยอบ กฤษณาและอบเชย
18 มาเถอะ มาเริงรักกันจนเช้า มาสนุกกับการเล้าโลมกันนะ
19 เพราะสามีของฉันไม่อยู่บ้าน เขาเดินทางไปไกล
20 เขาเอาเงินไปเป็นกระเป๋า
และจะไม่กลับมาจนกว่าวันที่จันทร์เต็มดวง”
21 นางชักชวนเขาให้หลงผิด นางล่อลวงเขาด้วยคำหวาน
22 เขาก็ตามนางไปทันที เหมือนวัวที่ถูกนำไปโรงฆ่า
เหมือนกับกวางที่ติดกับดัก
23 จนกระทั่งลูกธนูปักไปถึงตับ
เหมือนนกที่ถลำไปเข้ากับดัก
โดยไม่รู้เลยว่า การทำอย่างนี้เท่ากับเดินไปหาความตาย
24 บัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย ขอให้ฟังเรา
จงเอาใจใส่คำจากปากของเรา
25 อย่าปล่อยใจของเจ้าไปตามทางของนาง
อย่าได้หลงไปตามทางนั้น
26 เพราะนาง ได้นำคนไปสู่ความตายมากมาย
นางฆ่าคนจำนวนมากทีเดียว
27 บ้านของนางเป็นทางไปสู่แดนตาย
ลงไปยังโถงคนตาย
คำอธิบายเพิ่มเติม
สุภาษิต 7:1-5
จะแก้ปัญหาที่สืบเนื่องจากความไร้ศีลธรรมได้ก็โดย เอาใจใส่คำสอนของพระเจ้าราวกับเป็นแก้วตา รักษาอย่างดี เรารู้ไหมว่า พระเจ้าเองทรงรักษาเราไว้ดั่งที่เราเป็นแก้วตาของพระองค์เหมือนกัน ฉธบ 32:10
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง การรักษาคำของพระเจ้าจะทำให้เราพ้นจากการถูกหลอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรื่องเงิน เพศ งาน ฯลฯ
สุภาษิต 7:6-10
ชายหนุ่มที่กำลังจะถูกหลอกถูกเรียกว่า คนที่อ่อนต่อโลก (ซึ่งในความจริง คนเหล่านี้ไม่ได้คิดว่าตนอ่อนโลก แต่คิดว่าตนเองเป็นคนที่สามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายของผู้หญิงได้) เขาคิดว่าเขาฉลาดกว่าหญิงคนนั้น
สุภาษิต 7:11-15
เรามักเห็นผู้หญิงแบบนี้ทั่วไปหมด หญิงเด็กสาววัยรุ่น อยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่พูดเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องแบบนี้ ดังนั้น สำหรับพ่อแม่ที่จะเลี้ยงลูกสาว ให้งดงาม เป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรี และอยู่ในทางของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก ลูกชายก็เช่นกัน ที่จะเลี้ยงให้พวกเขามีความเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ ก็ยาก แต่หากทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนไว้ สอนตามทางของพระเจ้าให้คิดเป็น ไม่ถูกใครหลอกได้ ก็จะช่วยชีวิตของลูกได้ทีเดียว
สุภาษิต 7:16-20
เราจะเห็นภาพแบบนี้ในภาพยนต์ที่เด็กอาจผ่านตา การไม่ซื่อตรงในชีวิตคู่กลายเป็นเรื่องธรรมดา .. พ่อแม่เท่านั้นที่จะช่วยป้องกันลูกชายลูกสาวจากความบาปที่ปัจจุบันไม่มองเป็นบาป
สุภาษิต 7:21-23
คนที่หลงทางไป มักมองไม่เห็นตนเองในภาพนี้ ” เขาก็ตามนางไปทันที เหมือนวัวที่ถูกนำไปโรงฆ่าเหมือนกับกวางที่ติดกับดัก” คนใดก็ตามที่มองเห็นภาพนี้ก่อนล่วงหน้า จะปลอดภัยกว่า เขาจะได้รู้ว่าเป็นภาพที่โง่เขลาขนาดไหน
สุภาษิต 7:24-27
การปล่อยใจทำผิดเรื่องเพศ เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง เพราะท่านโซโลมอนเอง ยืนยันว่า มันเป็นทางแห่งความตาย
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 2:1
2* เลวีนิติ 18:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:8
5* สุภาษิต 2:16; 5:3
7* สุภาษิต 6:32; 9:4,16
9* โยบ 24:15
16* อิสยาห์ 19:9
21* สุภาษิต 5:3; สดุดี 12:2
23* ปัญญาจารย์ 9:12
26* เนหะมีย์ 13:26
27* สุภาษิต 2:8; 5:5; 9:18
เอเฟซัส 6 ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด
เอเฟซัส 6:1
ผู้ที่เป็นลูก จงเชื่อฟังพ่อแม่ของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เอเฟซัส 6:2-3
จงให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาพ่วงมาด้วยเพื่อเจ้าจะมีชีวิตอย่างเป็นสุข และเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวในโลก
เอเฟซัส 6:4
คนที่เป็นพ่อ ก็อย่ายั่วโมโหลูกของตนเอง แต่จงอบรม เลี้ยงดู
ฝึกฝนให้เขามีวินัย และสอนเขาตามทางของพระเจ้า
เอเฟซัส 6:5-6
ผู้ที่เป็นทาส จงเชื่อฟังนายฝ่ายโลกด้วยความเคารพ และมีความจริงใจ
ให้เหมือนกับที่เชื่อฟังพระคริสต์ไม่ใช่เชื่อฟังเขาต่อหน้าเพื่อให้เขาพอใจ
เท่านั้น แต่ให้รับใช้เหมือนที่เป็นทาสผู้รับใช้พระคริสต์ ให้ท่านทำตามพระดำริของพระเจ้าจากใจของท่าน
เอเฟซัส 6:7-8
จงรับใช้อย่างเต็มใจ เหมือนกับที่ท่านรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่รับใช้มนุษย์ เพราะท่านรู้อยู่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้รางวัลแก่ทุกคนที่ทำสิ่งดี ไม่ว่าคนนั้นเป็นทาสหรือเป็นไท
เอเฟซัส 6:9
ผู้ที่เป็นนายก็จงปฏิบัติต่อทาสอย่างเดียวกัน อย่าข่มขู่เคี่ยวเข็ญเขา ในเมื่อรู้อยู่ว่าองค์เจ้านายของท่านและของเขานั้นประทับในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด
เอเฟซัส 6:10
สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ของพระองค์
เอเฟซัส 6:11
จงสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าให้ครบเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้กลลวงของมารได้
เอเฟซัส 6:12
เราไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้มีอำนาจ เทพผู้ครอบครองโลกแห่งความมืดนี้ และต่อสู้กับบรรดาวิญญาณชั่วในฟ้าอากาศ
เอเฟซัส 6:13
ดังนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะต้านทานในวันอันชั่วร้าย
และหลังจากที่ต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วท่านก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง
เอเฟซัส 6:14
ดังนั้นจงยืนมั่นด้วยความจริงที่คาดเอวและสวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรมป้องกันอก
เอเฟซัส 6:15-16
สวมรองเท้าที่ทำให้พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขนอกจากนี้แล้ว จงถือโล่แห่งความเชื่อเพื่อใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งสิ้นของมารร้าย
เอเฟซัส 6:17
จงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดและถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระดำรัสของพระเจ้า
เอเฟซัส 6:18
จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาด้วยการอธิษฐาน และการวิงวอนในทุกเรื่อง จงกระตือรือร้นมีความอดทน และทูลวิงวอนเพื่อวิสุทธิชนของพระเจ้าทุกคน
เอเฟซัส 6:19
และอธิษฐานเผื่อข้าด้วย เพื่อว่าครั้งใดที่ข้าพูดพระเจ้าจะประทานถ้อยคำ
ที่จะสำแดงข้อลี้ลับแห่งข่าวประเสริฐได้อย่างกล้าหาญ
เอเฟซัส 6:20
เพราะข่าวประเสริฐข้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ ขออธิษฐานให้ข้าได้ประกาศด้วยใจกล้าอย่างที่ควร
เอเฟซัส 6:21
ทีคีกัส น้องชายที่รักเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างให้ท่านรับทราบ ท่านจะได้ทราบว่า ข้าเป็นอยู่อย่างไรและกำลังทำอะไร
เอเฟซัส 6:22
ที่ข้าส่งเขาไปหาท่านก็เพื่อว่าให้ท่านทราบข่าวว่า พวกเราเป็นอย่างไร และ
เขาจะให้กำลังใจท่านด้วย
เอเฟซัส 6:23-24
ขอให้สันติสุขและความรักด้วยความเชื่อจากพระเจ้า องค์พระบิดา และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงอยู่เหนือท่านทั้งหลาย ขอพระคุณอยู่กับคนทุกคนที่รัก
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักที่ไม่มีวันเสื่อมสลายไป
เอเฟซัส 6:1
ที่จริงแล้วท่านเปาโลได้ทบทวนบัญญัติสิบประการให้กับพี่น้องคริสเตียนอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อฟังพ่อแม่จะทำให้ได้พรยิ่งใหญ่ และทำให้มีอายุยืนนานบนแผ่นดิน แต่เราสังเกตไหมว่า ท่านใช้คำว่าเชื่อฟังพ่อแม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากว่าพ่อแม่เราไม่ได้เชื่อพระเจ้า และขอให้ทำในสิ่งที่ผิด เราก็ต้องเชื่อฟังพระเจ้าก่อน…
เอเฟซัส 6:2-3
การให้เกียรติพ่อแม่เป็นเรื่องที่ลูกทุกคนต้องทำถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้เป็นคนที่เชื่อพระเจ้า การตัดสินใจที่จะเชื่อฟังหรือไม่เราตัดสินใจเองได้
แม้เราต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดใจพ่อแม่ แต่ถูกต้องกับพระเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เกียรติท่าน เราต้องฉลาดในการจัดการแต่ละสถานการณ์ แต่หากลูกให้เกียรติ ให้ความรักกับพ่อแม่ แม้มีความเชื่อไม่ตรงกัน ก็เป็นภาพที่งดงามมากเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย
เอเฟซัส 6:4
มีนักเทศน์ท่านหนึ่งเล่าว่า เคยเห็นพ่อล้อลูกเล่นจนกระทั่งลูกโกรธจัด หรือยั่วโมโหลูกแล้วยังรู้สึกสนุก บางทีเอาเรื่องไม่ดีของลูกไปเล่าให้เพื่อน
ฟังต่อหน้าเขา นั่นเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อกับลูก และทำลายสิทธิอำนาจในฐานะที่เป็นพ่อ หน้าที่ของพ่อแม่คือ การนำให้ลูกเดินตามทางของพระเจ้า โดยมีตัวเขาเป็นต้นแบบเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติมาก
เอเฟซัส 6:5-6
แม้ในโลกปัจจุบันไม่มีใช้คำว่า ทาสแล้ว แต่เราก็หมายความถึงลูกจ้างได้ ไม่ว่าจะทำอะไรที่เป็นการรับจ้าง ก็ถืออยู่ในกรณีที่ท่านอาจารย์เปาโลกำลังกล่าวถึงได้ จุดสำคัญของท่านคือ การที่เราจะรับใช้ในหน้าที่การงานเหมือนกับที่เรารับใช้พระคริสต์อยู่ เราทำหน้าที่อย่างดีไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าทำ แต่มีแนวคิดที่ชัดเจนว่ากำลังรับใช้พระเจ้า เจ้านายเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่มีในชีวิต
เอเฟซัส 6:7-8
การรับใช้อย่างซื่อสัตย์ และเต็มใจนั้น เราหาได้ไม่มากในโลกทุกวันนี้ ยิ่งมีโทรศัพท์มือถือติดตัว เราจะเห็นว่า แต่ละคนสามารถหลุดออกจากงานในมือหันไปหาโทรศัพท์ เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นที่สนใจได้อย่างรวดเร็วภายในวินาทีเดียวคนที่เป็นลูกจ้างจึงต้องมีจรรยาบรรณของตนเอง ไม่ว่าใครจะเห็นหรือไม่ เราก็ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานในเวลา เพราะผู้ที่ให้รางวัลไม่ใช่แค่เจ้านายเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินพระทัยหลัก
เอเฟซัส 6:9
ในโลกโบราณ ทาสเป็นเหมือนมนุษย์อีกพันธ์ุราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ที่กำลังรับใช้เจ้านายอยู่ การดูหมิ่นดูแคลนฐานะของทาสเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับผู้เชื่อ ท่านเปาโลได้สอนให้เจ้านายปฏิบัติต่อทาสอย่างยุติธรรม ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เห็นชัดว่า ความเชื่อคริสเตียนเป็นความเชื่อที่เปลี่ยนสังคม ให้คนที่เชื่อมองคนอื่น เท่าเทียมกับตนไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เพราะพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเป็นพิเศษ
เอเฟซัส 6:10
การเป็นผู้ที่ติดตามพระเจ้านั้่น ทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง กล้าหาญ และสามารถทำอะไรเกินได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะว่า ความเข้มแข็งที่แต่ละคนมีนั้น ไม่ได้มาจากตัวเอง แต่มาจากพระเจ้า เราเห็นคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ยังรับใช้พระเจ้าอย่างสดชื่น เห็นเด็กที่รักพระเจ้ากล้าหาญ ใครอยู่ใกล้ก็ได้กำลังใจไปด้วย ผู้รับใช้ต่างแดนที่ต้องอดทนอดกลั้นอย่างเหลือเชื่อ การเข้มแข็งในพระเจ้าในฤทธิ์ของพระอค์ …..เป็นหน้าที่ ๆ เราต้องทำ
เอเฟซัส 6:11
ทุกวันนี้การมุสา การหลอกลวงของมารเกิดขึ้นดาษดื่น เต็มโลกของเรา เวลาเราดูข่าว ดูเฟซบุ๊ค เอ็กซ์ ไอจี ติ๊กตอก ฯลฯ เราไม่รู้เลยว่าไหนจริง ไหนหลอก มารเป็นผู้ควบคุมโลกของการมุสาเหล่านี้ มันก้าวเข้าไปในโลกวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ศิลปะ ความเชื่อ ฯลฯ และสร้างกรอบความคิดบนพื้นฐานของการโกหกหลอกลวงขึ้นมาวิธีที่จะไม่ตกหลุมลวงของมารก็คือ การสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า
เอเฟซัส 6:12
เราต้องเข้าใจว่า เราไม่ได้แค่ต่อสู้กับมนุษย์ แต่ต่อสู้กับวิญญาณที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่เบื้องหลังบุคคลที่เป็นศัตรูของความจริง ที่โลกนี้ต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน ไม่อาจมีสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเจ้าประทานให้ก็เป็นเพราะมารครองโลกนี้อยู่และมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย มันจึงขยันที่จะหลอกลวงให้คนออกจากทางของพระเจ้าอย่างมากชีวิตในพระเจ้าไม่ใช่ชีวิตที่มีสันติสุขของพระเจ้าแต่อย่างเดียวแต่มีการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนด้วย
เอเฟซัส 6:13
ต้องชัดเจนว่า คนที่มีสิทธิจะใส่ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าได้นั้น ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ได้ในโลก แต่เขาต้องเป็นคนของพระองค์ และติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด ตามแบบหลุด ๆ รั่ว ๆ ก็ไม่ได้ด้วยเพราะการใส่ยุทธภัณฑ์นี้ มีความหมายถึงการที่เขาต้องเป็นทหารของพระคริสต์ เป็นผู้ที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อสู้เพื่อความจริง และเพื่อพี่น้องในพระคริสต์ และเพื่อตนเอง สำคัญคือ จะเห็นว่ามีทั้งการต้านทานและต่อสู้!
เอเฟซัส 6:14
สิ่งแรกคือความจริงที่เอว ความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก เสื้อผ้าสมัยก่อนเป็นเสื้อยาวที่ต้องการที่คาดเอวเพื่อไม่ให้เสื้อลุ่ยลงมาเดินลำบาก ความจริงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปโดยสะดวก ก้าวหน้า ชัดเจน ในฝ่ายวิญญาณเราต้องการความจริงจากพระคำเพื่อต่อต้านความเท็จที่ระบาดในสังคม การใช้ความชอบธรรมป้องกันจิตใจความคิดของเรา
เอเฟซัส 6:15-16
ความพร้อมที่จะกล่าวพระนาม ประกาศความรอดเป็นเหมือนรองเท้า และยังต้องถือโล่ที่ดับเพลิงแห่งศรความมุสา ความโหดร้ายต่าง ๆ ของมารที่พุ่งมายังเรา ท่านเปาโลใช้คำว่าศรเพลิงของมาร ไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่พร้อมที่จะจุดไฟเผาไหม้ศัตรูเราจะเห็นว่ายุทธภัณฑ์ทั้งหมดมีทั้งสำหรับป้องกันต้านรับ และสำหรับที่จะรุกไปข้างหน้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว
เอเฟซัส 6:17
อีกสองอย่างในยุทธภัณฑ์คือ ความรอด และพระดำรัสของพระเจ้า ความรอดทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปกป้องให้พ้นภัยต่าง ๆ คนที่มีความรอดแล้ว ก็จะไม่ตกไปในเงื้อมมือของมารง่าย ๆ ยกเว้นว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของความรอด และไม่รักษาความรอดนั้นไว้ ส่วนพระแสงของพระวิญญาณคือพระคำ เป็นส่วนที่จะบุกเข้าไปในเขตแดนของมาร ในหัวใจของคนที่ยังถูกมารครอบครอง
เอเฟซัส 6:18
แม้จะสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าแล้ว แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทหารต้องลงมือรบ ไม่ใช่แค่เข้าประจำการแล้วนั่งกันเฉย ๆ การอธิษฐานที่ท่านเปาโลสั่งครั้งนี้ น่าสนใจมากคือคำ ทุกเวลา ทุกเรื่อง ทุกคน ใช่แล้ว ทุกเวลาคือนอกจากที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐานแล้ว ยังต้องนำทุกเรื่องมาทูลต่อพระเจ้า และพร้อมที่จะอธิษฐานเผื่อทุกคนที่เรื่องราวของเขามาถึงเรา ไม่ว่าเราจะรู้จักเขาหรือไม่ เพราะพระเจ้าทรงรู้จักทุกคนดี
เอเฟซัส 6:19
ผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนที่ออกไปเป็นแนวหน้าต้องการและจำเป็นต้องมีคนที่อธิษฐานเผื่อในแนวหลัง จะปล่อยให้พวกเขาไปตามลำพังไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นเป้าของศัตรูที่พยายามทำลายทุกวิถีทาง โดยใช้ทุกอย่างที่จะล่อลวง ล่อหลอกให้พวกเขาล้มลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชื่อเสียง สุขภาพ ฯลฯ ท่านเปาโลเตือนให้เราเห็นตัวอย่างกว่าสองพันปีมาแล้ว …
เอเฟซัส 6:20
จากข้อความตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ท่านเปาโลมองตัวเองเป็นทูตแห่งข่าวประเสริฐที่ถูกจำจองก็เพราะการประกาศข่าวนั้น แต่ท่านไม่ได้มีกรอบความคิดแบบคนทั่วไป ท่านมองว่า ท่านคือทูตของพระเจ้าที่มีเครื่องประดับตัวที่งดงาม เพราะคำว่าโซ่นี้แม้จะหมายถึงโซ่ตรวน แต่หากเป็นทูตที่มีโซ่ความหมายกลับกลายเป็นเรื่องของเครื่องประดับที่ทูตมักสวมไปขณะที่ทำหน้าที่ของเขา
เอเฟซัส 6:21
ในการรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เราเห็นว่า ท่านเปาโลมีผู้ร่วมรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคน และในยุคของท่านเอง ยังมีผู้รับใช้ในท้องที่ต่าง ๆ แต่ละคนออกไปประกาศ เป็นพยานตั้งคริสตจักรอย่างไม่กลัวตายคนรุ่นแรกได้เป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา เป็นคนกลุ่มที่พระเจ้าจะตรัสกับเขาว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์” มัทธิว 25:21
เอเฟซัส 6:22
ขอบคุณพระเจ้าที่จดหมายของท่านเปาโลซึ่งเขียนจากเรือนจำ เขียนจากหลาย ๆ ที่ ได้กลายเป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้จักพระเจ้าอย่างมากมาย เป็วรรณกรรมจดหมายที่ขาดไม่ได้จริง ๆ งานของท่านทำให้เราทราบความหมายของการที่พระเยซูทรงมาบังเกิดในโลก ทำให้เราเห็นภาพของการรับใช้พระเจ้าในโลกโบราณ และเห็นความต่อเนื่องในการประกาศพระกิตติคุณ เห็นการติดต่อสื่อสารส่งกำลังใจ และการรับใช้ที่สู้ไม่ถอย
เอเฟซัส 6:23-24
คนที่รักพระเยซู เป็นคนที่ได้รับพรมากเหลือเกินเพราะในชีวิตของเขาจะมีทั้งพระคุณ ซึ่งเป็นความดีต่าง ๆ ของพระเจ้าที่เพิ่มมาจากพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานให้คนในโลก เขามีสันติสุข มีความรักและความเชื่อที่ช่วยทำให้เขารับใช้ได้โดยไม่บ่นเต็มใจรับใช้ เพราะเขาได้รับพลังพิเศษจากพระเจ้า คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยรักที่ไม่มีวันหายไปนั้นบอกได้ว่า พิเศษมาก
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:20-25; สุภาษิต 23:22, 6:20, 1:8
2* อพยพ 10:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 27:16; มัทธิว 15:4-6; สุภาษิต 20:20
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16;,4:40, 12:28, 12:25
4* โคโลสี 3:21; สุภาษิต 22:6, 29:15, 19:18 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7
5* 1 เปโตร 2:18-21; ทิตัส 2:9-10; โคโลสี 3:17-24; 1 ทิโมธี 6:1-3
6* โคโลสี 3:22-23; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กาลาเทีย 1:10; เอเฟซัส 5:17
7* โคโลสี 3:23; เอเฟซัส 6:5-6; 1 โครินธ์ 10:31
8* โคโลสี 3:24, 3:11; ลูกา 14:14; มัทธิว 16:27
9* โคโลสี 3:25-4:1; กิจการ 10:34; โรม 2:11; โยบ 31:13-15
10* ฟีลิปปี 4:13; อิสยาห์ 40:31; โยชูวา 1:9; 1โครินธ์ 16:1311* 2 โครินธ์ 10:4; โรม 13:12; 1 เธสะโลนิกา 5:8; เอเฟซัส 6:13
12* โคโลสี 1:13; 2 โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 2:2; กิจการ 26:18
13* 2 โครินธ์ 10:4; เอเฟซัส 6:11-17, 5:16; ลูกา 21:36; มาลาคี 3:2
14* อิสยาห์ 59:17, 11:5; 1 เธสะโลนิกา 5:8; ลูกา 12:35; 1 เปโตร 1:1315* อิสยาห์ 52:7; โรม10:15; 2 โครินธ์ 5:18-21
16* 1 เปโตร 5:8-9; 1 ยอห์น 5:4-5; สดุดี 56:3-4
17* ฮีบรู 4:12; อิสยาห์ 59:17, 49:2 ; วิวรณ์
19:15; 1 เธสะโลนิกา 5:8
18* 1 เธสะโลนิกา 5:17; โคโลสี 4:2; 1 ทิโมธี 2:1; ฟีลิปปี 4:6
19* โคโลสี 4:3; กิจการ 4:29; 2 เธสะโลนิกา 3:1
20* 2 โครินธ์ 5:20; โคโลสี 4:4; 2 ทิโมธี 2:9; ฟีลิปปี 1:7
21* กิจการ 20:4; 2 ทิโมธี 4:12; ทิตัส 3:12
22* โคโลสี 4:7-8; ฟีลิปปี 2:25; 2 เธสะโลนิกา 2:17
23* กาลาเทีย 6:16, 5:6; 1 เปโตร 5:14; 1 ทิโมธี 1:14; สดุดี 122:6-9
24* มัทธิว 22:37; ทิตัส 3:15, 2:7; 2 ทิโมธี 4:22
มาระโก 7 เหนือประเพณี ใจ เชื้อชาติ โรคร้าย
ประเพณีดังเดิมสืบจากบรรพบุรุษ
1 แล้วมีฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู
2 พวกเขาเห็นศิษย์ของพระองค์บางคนกินอาหารด้วยมือมลทินนั่นคือไม่ได้ล้างมือ
3 เพราะฟาริสีและพวกยิวจะไม่กิน จนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีบรรพบุรุษเสียก่อน
4 และหากกลับจากตลาด ก็จะไม่กินจนกว่าจะได้ล้างมือ และยังมีประเพณีอื่น ๆ ที่ต้องทำตามอีกเช่น การล้างถ้วย การล้างเหยือก กาน้ำ และภาชนะอื่น ๆ
5 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงถามพระเยซูว่า “เหตุใดศิษย์ของท่านจึงไม่ดำเนินตามประเพณีบรรพบุรุษ? แต่กลับกินอาหารด้วยมือมลทิน?
6 พระเยซูทรงตอบกลับว่า “อิสยาห์ได้กล่าวคำล่วงหน้าถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดอย่างถูกต้องที่เขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปาก แต่ใจของพวกเขาห่างจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย พวกเขาสอนกฎต่าง ๆ ของมนุษย์
8 เจ้าไม่ใส่ใจพระบัญชาของพระเจ้า และกลับไปถือรักษาประเพณีของมนุษย์”
9 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เจ้าได้หลบเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อจะได้รักษาประเพณีของตน
10เพราะโมเสสกล่าวว่า ..จงให้เกียรติบิดาและมารดาของเจ้า.. และ..คนใดที่ด่าแช่งพ่อแม่จะต้องรับโทษถึงชีวิต..
11 แต่เจ้ากลับกล่าวว่า ถ้าคนใดกล่าวแก่พ่อหรือแม่ว่า “สิ่งที่ท่านจะได้รับจากข้าพเจ้านั้น เป็น โกระบาน นั่นคือ ของถวายแด่พระเจ้าแล้ว”
12 พวกเจ้าก็ไม่อนุญาตให้เขาทำสิ่งใดให้กับพ่อ แม่อีกต่อไป
13 เท่ากับเจ้าได้ยกเลิกพระดำรัสของพระเจ้าด้วยประเพณีที่เจ้าทำสืบเนื่องกันต่อ ๆ มา
และเจ้ายังทำแบบนี้อีกหลายอย่างด้วย”
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
14 อีกครั้งที่พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามา และตรัสว่า
“ทุกคนจะฟังเรา และจงเข้าใจตามนี้
15ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในร่างมนุษย์แล้วจะทำให้เขาเป็นมลทิน
แต่สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
16 ใครมีหูก็จงฟังเถิด
17 หลังจากที่พระเยซูทรงละจากผู้คนและเข้ามาในบ้าน
ศิษย์ของพระองค์ก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น
18 “เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใด ๆ จากภายนอก ที่เข้าไปในร่างของมนุษย์ ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน
19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่เข้าไปในท้อง แล้วก็ออกจากร่างกายไป”
(พระองค์ทรงประกาศว่า อาหารทั้งสิ้น ไม่มีมลทิน)
20 แล้วตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
21 เพราะจากใจของมนุษย์ คือความคิดชั่ว ความผิดทางเพศ การขโมย ฆาตกรรม และการล่วงประเวณี
22 ความโลภ ความชั่วร้าย การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การสบประมาทผู้อื่น ความยโสจองหอง และความโง่เขลา
23ความชั่วเหล่านี้มาจากข้างในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ความเชื่อของหญิงซีเรียฟินิเชีย
24 แล้วพระเยซูทรงละจากที่นั่นเข้าไปยังเขตเมืองไทระโดยไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่นั่น ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แต่แล้ว ก็มีคนสังเกตเห็นพระองค์จนได้
25 มีหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ถูกวิญญาณโสโครกสิงอยู่ ได้ยินข่าวเรื่องพระองค์ เธอจึงเข้ามาหมอบแทบพระบาท
26 เธอเป็นหญิงชาวกรีก ที่เกิดในซีเรียฟินิเชีย และเธอเฝ้าอ้อนวอนขอให้พระเยซูทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของเธอ
27 “ต้องให้ลูก ๆ กินอิ่มก่อนนี่นา ไม่ถูกต้องเลยที่จะเอาขนมปังของลูกโยนให้ลูกสุนัข” พระองค์ตรัส
28“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า” เธอตอบ “แม้แต่สุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”
29 พระเยซูจึงตรัสกับเธอว่า “เพราะคำตอบนี้ เจ้าไปได้ ผีร้ายได้ออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
30 เธอจึงกลับบ้านไปพบว่า ลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีออกไปจากตัวเด็กน้อยแล้ว
ทรงรักษาคนหูหนวกเป็นใบ้
(Matthew 9:27–34)
31 แล้วพระเยซูทรงละจากแคว้นเมืองไทระและทรงเดินทางผ่านไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี เข้าไปในเขตทศบุรี
32 มีบางคนนำคนหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้มาหาพระองค์ และพวกเขาขอพระองค์ทรงวางมือบนเขา
33 ดังนั้น พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากฝูงชน อยู่เป็นส่วนตัว และทรงเอานิ้วพระหัตถ์แยงเข้าไปในหูของเขา จากนั้นทรงถ่มน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของช่ายคนนั้น
34 และทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งหมายความว่า จงเปิดออก
35 ทันใดนั้นเอง หูของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็เคลื่อนไปมาได้ และเขาก็เริ่มต้นพูดเป็นปกติ
36 พระเยซูทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใคร แต่ยิ่งสั่งพวกเขาก็ยิ่งประกาศโพทนาเรื่องนี้มากขึ้น ๆ
37 ผู้คนแปลกใจมาก และกล่าวว่า “พระองค์ทรงทำทุกอย่างดีมาก ดูสิ ทรงทำให้แม้แต่คนหูหนวกได้ยิน และคนใบ้พูดได้”
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 7:1-13
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีของบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก กฎเล็ก กฎน้อยเหล่านี้ เป็นกฎที่เล่าต่อกันมา พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ทำตามพระบัญญัติได้ และการทำได้ ก็จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาบังคับการใช้ชีวิตของผู้ึคน แม้การล้างมือ ก่อนกินอาหาร วิธีการกินฯลฯ และการทำตามกฎเหล่านี้ ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย มีความรู้สึกว่า ตนเองดีเหนือชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา และยังยกระดับกฎเล็กน้อยเหล่านี้เหนือพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส
พวกเขาถึงกับเข้าใจว่า การที่ทำตามประเพณีเช่นการล้างมือให้สะอาด เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ได้รับความรอดบางครั้งเราเองก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อหาเพราะสังคมเปลี่ยนไป
เราอาจจะบอกคนหนึ่งว่า คุณจะเข้าหาพระเจ้าได้ก็ต้องเลิกเหล้า บุหรี่เสียก่อน คุณต้องเป็นคนสะอาดก่อนจึงจะเข้าหาพระเจ้าได้ ซึ่งความจริงนั้น พระเยซูได้ทรงตายเพื่อคนบาปทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ การสนใจในพระบัญชาจริง ๆ ของพระเจ้า เงื่อนไขจริงของพระเจ้าสำคัญกว่าความคิดอันย้อนแย้งและสับสนของพวกเรา
ในข้อสิบสามพระเยซูได้กล่าวถึงการที่พวกเขายกเลิกพระดำรัสตรง ๆ ของพระเจ้า แล้ว เอาข้อบังคับทางประเพณีต่าง ๆ มาใช้แทนพระคำตอนนี้ เตือนเราว่า อย่าได้ถือเอาความเห็นของมนุษย์มาเหนือพระคำของพระเจ้าเด็ดขาด ทั้งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู ได้กลายเป็นศัตรูสำคัญของเหล่าปุโรหิต ฟาริสี และธรรมาจารย์ เพราะไม่ยอมให้กฎของพวกเขามาเหนือพระดำรัสของพระเจ้า!
มาระโก 7:14-23
สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า กฎต่าง ๆ ทำให้คนเราสะอาดขึ้นมาได้ ธรรมาจารย์ ฟารีสี ปุโรหิตทั้งหลายจึงระวังรักษากฎเพื่อที่จะให้ตนเองไม่เป็นมลทิน ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ศิษย์ของพระเยซูเองก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น พอพระเยซูตรัสบอกว่า ความสกปรกมาจากในตัวมนุษย์เอง ทำให้พวกเขาถึงงง ตั้งแต่เป็นเด็กมาก็รู้ว่า ต้องรักษากฎที่มาจากศาลาธรรมชีวิตจึงจะสะอาดนี่นา
เป็นอีกครั้งที่พระเยซูตรัสว่า ใครมีหูจงฟังเถิด ซึ่งจริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้สำคัญมาก บอกให้รู้ว่า คนแต่ละคนมีความสามารถในการฟัง และไตร่ตรอง และนำไปใช้ในชีวิตไม่เท่ากัน คนที่ฟังดี และคิดต่อได้ดี จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนและเจริญขึ้น คงจะต้องกลับไปหาเยเรมีย์ 17:9-10 ที่เตือนไว้ว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงและชั่วร้ายเหนืออื่นใด ดังนั้นการที่ใครคนหนึ่งจะสะอาดเฉพาะพระเจ้าได้ ต้องใช้เงื่อนไขกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า กฎการสำนึกผิด การกลับใจ การให้อภัยบาปจากพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยกฎที่เกิดจากการกระทำ ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตเป็นเรื่องของจิตใจที่เปลี่ยน ไม่ใช่การกระทำตามกฎใหม่ ๆ ที่คิดว่าใช้ได้
มาระโก 7:24-30
น่าเสียดายจริง ๆ ในขณะที่ผู้นำยิว ธรรมาจารย์คนอื่น ๆ และแม้แต่ศิษย์ของพระองค์เอง ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า พระองค์คือผู้ใด พวกเขาติดตามพระองค์และเห็นการอัศจรรย์มากมาย แต่ก็ยังขาดความเข้าใจในบางเรื่อง เราเห็นว่า แม้แต่ผีมาร (1:24; 5:7)และธรรมชาติยังยอมรับ (4:39) และเชื่อฟังพระองค์มากกว่าคนเสียอีก เป็นจริงอย่างที่ยอห์น 1:11 บันทึกไว้ว่า พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์แต่คนของพระองค์กลับไม่ต้อนรับพระองค์ นี่เป็นบันทึกเดียวที่กล่าวถึงการที่พระเยซูออกไปนอกเขตแดนอิสราเอล และเป็นการเดินทางออกไปไกลมาก
พระเยซูทรงประสงค์ที่จะพักผ่อน และทรงเข้าไปในบ้านของคน ๆ หนึ่งที่ต้อนรับพระองค์ แต่มีคุณแม่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว รู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ในบ้านนั้น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไม่ให้ใครรับรู้ และการพบปะครั้งนี้ ดูเหมือนพระเยซูทรงไม่สนพระทัยคนที่ตั้งใจมาหาพระองค์เสียด้วย
พระเยซูจะทรงทำอะไรกับหญิงต่างชาติที่มาขอให้ช่วยขับผีออกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งนอนซมอยู่ที่บ้าน?
จากเรื่องนี้ พระเยซูทรงทำเหมือนเมินเฉยต่อคำขอร้อง และยังเปรียบเธอเหมือนลูกสุนัขในบ้านที่คอยกินอาหารตกจากโต๊ะนาย แต่เธอยินดีที่จะเป็นลูกสุนัขตัวนั้น ขอเพียงพระเยซูทรงรักษาลูกสาวของเธอ
แล้วพระเยซูก็ทรงรักษาเพราะเธอตั้งใจมาหาพระองค์ คำตอบของเธอเป็นที่พอพระทัย แสดงถึงความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะเป็นคนต่างชาติที่ยิวไม่ชอบ จะเห็นภาพชัดเจนของความเชื่อที่ก้าวข้ามทั้งความเป็นหญิงต่างชาติ เป็นคนที่ดูต่ำต้อย ก้าวข้ามคำที่เหมือนดูถูก แต่ความเชื่อยิ่งใหญ่นัก เป็นคนที่ได้รับพระพรเหนือธรรมาจารย์ และศิษย์เสียด้วยซ้ำ
มาระโก 7:31-37
เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่ในแคว้นทศบุรีทางตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี เป็นถิ่นที่อยู่ของคนต่างชาติ มีคนนำพาชายหูหนวกและเกือบใบ้คนหนึ่ง มาหาพระเยซู คนที่ได้ยิน ได้รู้เรื่องของพระองค์มีน้ำใจพามา มีความเชื่อว่าเขาจะหายโรค
สำหรับชายคนนี้ พระองค์ทรงสัมผัสตัวเขา เอานิ้วของพระองค์แยงเข้าหู ทรงใช้น้ำลายของพระองค์แตะลิ้นเขาด้วย พระองค์ทรงช่วยทั้งหู และปากของเขาในเวลาเดียวกัน พระเยซูทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงติดต่อกับพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ แล้วถอนพระทัยที่บาปร้ายในโลกทำให้ชายคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วพระดำรัสสั่งของพระเยซูทำให้ชายหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้ มีหูที่เปิด และลิ้นสามารถขยับไปมาได้สามารถพูดเป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาพูดไม่ชัด เพราะหูไม่ได้ยินคำที่ถูกต้องเลย
จากเรื่องนี้ทำให้เรามั่นใจว่า ในวันนี้พระเยซูทรงทำให้คนที่หูหนวกฝ่ายวิญญาณได้ยินเสียงของพระเจ้าเป็นครั้งแรกได้ เช่นกัน เรามีความเชื่อเหมือนเพื่อนที่นำเขามาหาพระเจ้าได้
ดูสิ เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อิสยาห์บอกเราไว้ใน อิสยาห์ 35:5-6
4 จงกล่าวแก่คนที่ขลาดกลัวว่า “จงเข้มแข็ง อย่ากลัวไป พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่นี่ พระองค์เสด็จมาพร้อมกับการแก้แค้นการตอบสนองของพระองค์กำลังมาพระองค์จะทรงช่วยเจ้า 5 แล้วคนตาบอดจะมองเห็นคนหูหนวกจะได้ยิน
6 คนง่อยจะโลดเหมือนกวางและลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงแห่งความยินดี
การห้ามบอกใครเรื่องการหายโรคนี้ ไม่ได้ผล ชายหูหนวกเที่ยวประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาได้ยินแล้ว พูดได้แล้ว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต เมื่อเราได้เปิดหูฝ่ายวิญญาณของเรา ได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ก็จะมีความตื่นเต้น และต้องขอบอกให้โลกรู้อย่างชายคนนี้แหละ
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 15:1-20
2* มัทธิว 15:20
3* มาระโก 7:5, 8,9,13; กาลาเทีย 1:14; 1 เปโตร 1:18
5* มัทธิว 15:2
6* มัทธิว 23:13-29; อิสยาห์ 29:13
9* สุภาษิต 1:25; อิสยาห์ 24:5; เยเรมีย์ 7:23-24
10* อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; มัทธิว 5:4; อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9; สุภาษิต 20:20
11* มัทธิว 15:5; 23:18
14* มัทธิว 15:10; 16:9, 11, 1215* อิสยาห์ 59:3; ฮีบรู 12:15
16* มัทธิว 11:15
17* มัทธิว 15:15
18* อิสยาห์ 28:9-11; 1โครินธ์ 3:2; ฮีบรู 5:11-14
20* สดุดี 39:1 มัทธิว ยากอบ
21* ปฐมกาล สดุดี เยเรมีย์ มัทธิว กาลาเทีย 2 เปโตร 1 เธสะโลนิกา
22* ลูกา โรม 1 เปโตร วิวรณ์ 1ยอห์น
24* มัทธิว มาระโก
25* มาระโก ยอห์น วิวรณ์31* มัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา กิจการ 1โครินธ์
32* มาระโก ลูกา
33* มาระโก ยอห์น
34* มาระโก ยอห์น
35* อิสยาห์ 35:5-636* มาระโก 5:43
37* มาระโก 6:51; 10:26; มัทธิว 12:22
เอเฟซัส 5 พระคริสต์กับคริสตจักร
เอเฟซัส 5:1
ดังนั้น ขอให้ท่านเลียนแบบพระเจ้าสมกับที่เป็นบุตรที่รักยิ่งของพระองค์
เอเฟซัส 5:2
และให้ใช้ชีวิตในความรัก เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักเรา และทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นของถวายที่มีกลิ่นหอม เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
เอเฟซัส 5:3
อย่าให้มีพฤติกรรมผิดทางเพศและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสกปรกทุกชนิด อย่าให้มีความโลภในหมู่พวกท่านซึ่งไม่เหมาะแก่วิสุทธิชนของพระเจ้า
เอเฟซัส 5:4
อย่าให้มีการพูดหยาบโลนลามก ไร้สาระ คำตลกที่หยาบคายซึ่งไม่เป็นการสมควร แต่ควรมีการพูดขอบคุณพระเจ้ามากกว่า
เอเฟซัส 5:5
ขอให้แน่ใจได้เลยว่า คนที่ทำผิดทางเพศ คนที่ใช้ชีวิตสกปรกโสมม คนโลภและคนไหว้รูปเคารพ จะไม่มีส่วนรับมรดกในอาณาจักรของพระคริสต์และพระเจ้า
เอเฟซัส 5:6-7
อย่าให้ใครหลอกท่านด้วยคำที่ไร้สาระ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น การลงโทษของพระเจ้าจะมาถึงคนที่ไม่เชื่อฟัง ดังนั้น อย่ามีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนเหล่านั้นเลย
เอเฟซัส 5:8-9
เมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้….ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงใช้ชีวิตอย่างลูกของความสว่างเพราะผลของความสว่างพบได้ในความดี ความเที่ยงธรรมและความจริงทั้งสิ้น!
เอเฟซัส 5:10-12
จงค้นหาว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยสิ่งใดและอย่าเข้าไปมีส่วนกับการงานไร้ค่าของความมืด แต่ให้เปิดเผยการเหล่านั้นเพราะเป็นเรื่องน่าอายแม้จะพูดถึงสิ่งที่พวกเขาแอบทำ
เอเฟซัส 5:13-14
แต่ทุกสิ่งถูกเปิดเผยให้กระจ่างด้วยความสว่างนั้น เพราะความสว่างทำให้ทุกสิ่งเป็นที่รู้ชัด ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า “จงตื่นขึ้นเถิด ผู้ที่หลับอยู่ จงฟื้นขึ้นจากความตายและพระคริสต์จะทรงส่องสว่างให้แก่ท่าน”
เอเฟซัส 5:15-16
จงระวังในการใช้ชีวิต อย่าเป็นเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้ใช้ชีวิตอย่างคนมีปัญญา จงฉวยใช้เวลาให้ถูกต้องในทุกโอกาสเพราะทุกวันนี้ ชั่วช้านัก
เอเฟซัส 5:17-18
ดังนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่ให้เข้าใจพระดำริของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไรและอย่าเมามายด้วยเหล้า เพราะมันทำให้ชีวิตเสียไปได้ แต่จงเปี่ยมล้นด้วยองค์พระวิญญาณ
เอเฟซัส 5:19
จงสนทนากันโดยการใช้คำจากเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้องเพลงและสร้างทำนองเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
เอเฟซัส 5:20-21
จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาสำหรับทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราอยู่เสมอ จงยอมฟังกันและกันด้วยความยำเกรงในพระคริสต์
เอเฟซัส 5:22-23
ภรรยา จงเชื่อฟังสามี เหมือนที่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากสามีเป็นเหมือนศีรษะของภรรยา แบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายและพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรอีกด้วย
เอเฟซัส 5:24
คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีในทุก ๆ เรื่องอย่างนั้น
เอเฟซัส 5:25-26
ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตนเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและประทานชีวิตของพระองค์ให้แก่คริสตจักร เพื่อพระองค์จะทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ โดยการชำระด้วยน้ำผ่านทางพระคำของพระเจ้า
เอเฟซัส 5:27
เพื่อว่าพระองค์จะทรงได้รับคริสตจักรที่งดงามไร้มลทินมาเป็นของพระองค์ไร้ริ้วรอยและไร้ตำหนิใด ๆแต่เป็นคริสตจักรที่บริสุทธิ์ และไม่มีที่ติเลย
เอเฟซัส 5:28-29
เช่นกัน สามีควรรักภรรยาของตนเหมือนที่เขารักร่างกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาเท่ากับรักตนเอง
เพราะไม่มีใครเกลียดชังร่างกายของตนแต่จะเฝ้าดูบำรุงรักษาเหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร
เอเฟซัส 5:30-31
เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในพระกายของพระองค์ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจึงละบิดามารดาไปผูกสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาและทั้งสองก็เป็นเนื้อหนึ่งเดียวกัน
เอเฟซัส 5:32-33
นี่เป็นคำที่ลี้ลับซับซ้อน แต่ข้ากำลังพูดถึงพระคริสต์ และคริสตจักร
อย่างไรก็ตาม ทุกคนจงรักภรรยาของตนให้เหมือนกับที่รักตนเอง และ
ภรรยาก็จงเคารพให้เกียรติสามีของตน
เอเฟซัส 5:1
ท่านเปาโลไม่ได้ขอให้เราเลียนแบบมนุษย์ กลับขอให้เลียนแบบพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นต้นแบบที่ไม่มีข้อตำหนิเลยสักนิด ในการเลียนแบบพระเจ้านั้น เราต้องการพลังของพระวิญญาณที่จะทรงช่วยให้เราทำตามพระองค์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เอเฟซัส 5:2
การใช้ชีวิตในความรักของผู้เชื่อยังมีกันหลายระดับ บางคนก็ได้ใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น สละชีวิตสบาย ๆ เพื่อออกไปรับใช้ในที่ ๆ ยากลำบาก กันดาร ไม่สุขสบายเหมือนอยู่ในบ้านเมืองของตน แต่บางคนก็ยังสนใจแค่ตัวเอง ไม่เห็นคนข้างเคียงที่ต้องการกำลังใจ การสนับสนุนเพื่อให้ก้าวหน้าต่อไป แต่ความรักของพระเยซูที่มีต่อเรานั้นมหาศาล ไม่มีใครเทียบได้ เพราะพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดได้ทรงสละชีวิตให้เราเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
เอเฟซัส 5:3
หากเรารักใคร รักนั้นจะต้องปลอดความคิดชั่วพฤติกรรมที่ผิด ความคิดสกปรกทั้งหลาย เพราะหากมีความคิดอย่างนี้ เท่ากับเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายอย่างน่ากลัวน่าชังเป็นอย่างยิ่ง คนของพระเจ้าจะต้องมีชีวิตที่ปราศจากความคิดชั่วที่กล่าวมา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ คนของพระองค์ต้องมีชีวิตจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ มองข้ามไม่ได้เลย!
เอเฟซัส 5:4
คำพูดหยาบโลนก็มาจากใจที่ครุ่นคิดเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศทั้งหลายของมนุษย์ คนที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ก็จะไม่พูดหยาบคายที่โยงไปถึงเรื่องสกปรกต่าง ๆ ในชีวิตมนุษย์ มัทธิว 15:18 พระเยซูตรัสว่า ใจคิดอย่างไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้นสุภาษิต 4:23 จงรักษาใจด้วยสุดความพยายามเพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำ.. ก็ออกมาจากใจทั้งสิ้น การขอบพระคุณเป็นทางหนึ่งช่วยให้เราไม่คิดชั่ว
เอเฟซัส 5:5
อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้หมายถึงเฉพาะเมื่อเราตายไปแล้ว แต่การอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าคือ
การอยู่ใต้การครอบครอง การปกป้องดูแลจากพระเจ้าตั้งแต่ในชีวิตนี้ เมื่อเรามาเชื่อวางใจ รับพระเยซู
เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เท่ากับเราได้เข้ามาอยู่ในส่วนหนึ่งของอาณาจักรในโลกนี้ อาณาจักรของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และทรงบัญชาให้คนในอาณาจักรของพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์1 เปโตร 1:15-16
เอเฟซัส 5:6-7
ในสังคมคริสเตียน ยังมีคนสอนที่สร้างคำสอนขึ้นมาเอง ไม่ได้สอนตามพระคำอันบริสุทธิ์ ดังนั้น เราซึ่งเป็นผู้เชื่อจะต้องรู้และเข้าใจพระคำของพระเจ้า ต้องค้นหา จดจำใคร่ครวญ เพื่อเราจะไม่หลงเชื่อไปตามคำสอนที่ผิดจากพระคำ มีหลายคนวางกฎของพระเจ้าใหม่ตามใจตนเอง และทุกวันนี้ยังมีการสอนผิดกันอย่างดาษดื่นอย่างไม่มีความอายเลย ยิ่งในโลกใหม่บนโซเชียลมีเดีย ก็เกิดคนชักจูงผิดอีกมาก..วิบัติ!
เอเฟซัส 5:8
พระคำตอนนี้บอกเราว่าในอดีตเราอยู่โลกมืดแต่ตอนนี้เราอยู่ในพระเจ้า เป็นโลกแห่งความสว่าง พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ที่เราจะกลับไปสู่โลกมืดที่นำไปสู่ความตายอีกต่อไป การใช้ชีวิตทุกวัน ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกเดินทางไหน เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เพราะทางที่เราเดินไปในชีวิตนั้น จะมีหนทางซ้าย ขวา หน้า หลังที่เรา
ต้องเลือกเดิน ท่านเปาโลบอกเราชัดว่า ให้ใช้ชีวิตแบบคนในความสว่าง โปร่งใส สะอาด ชัดเจน
เอเฟซัส 5:9
ก่อนที่จะนึกถึงผลแห่งความสว่าง ลองมาคิดดูว่าผลของชีวิตที่มืดนั้นคืออะไร เราจะเข้าใจผลของความสว่างนั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สันติสุขที่ได้จากความสว่างนั้น สุดยอดจริง ๆ เพราะว่าชีวิตมนุษย์เรานั้นประกอบด้วยความทุกข์ใจ และปัญหามากมายซึ่งต้องการให้หมดไป แต่ของเหล่านี้มักไม่หมดไปจากเรา เราจึงต้องการชีวิตที่มีแสงสว่าง
ของพระเจ้านำทางให้เราฝ่าฟันไปได้ โดยไปพร้อมกับพระองค์
เอเฟซัส 5:10-12
มีคนหนึ่งพูดว่า “ผมกลัวที่จะเสียความโปรดปรานของพระเจ้าไป” นี่แสดงว่า เขามีความเกรงใจ มีความเข้าใจว่า การมีชีวิตอยู่กับพระเจ้านั้น ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่เป็นการทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย นั่นคือเป้าหมายของชีวิตที่ดำเนินตามความสว่าง คนในโลกนี้ชินชากับการพูดถึงสิ่งที่แอบทำในที่มืด แต่คนของพระเจ้าจะต้องเข้าใจว่าชีวิตตามความสว่างนั้น ต้องโปร่งใส ไม่ทำแอบทำสิ่งที่น่าละอาย จึงไม่มีอะไรที่จะต้องเอามาพูด
เอเฟซัส 5:13-14
นี่ไง ความสว่างทำให้ทุกสิ่งเป็นที่รู้…ชัด เพราะอะไร? เพราะมองเห็น ถ้ามืด ก็คือมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านเปาโลนำคำของท่านอิสยาห์ 60:1มากล่าวซ้ำว่า ให้คนที่หลับตื่นขึ้นมา เพื่อพระคริสต์จะส่องแสงมายังชีวิตเรา นั่นคือ พระเยซูทรงคืนชีวิตขึ้นมาและทรงเป็นแสงสว่างของโลก เราจึงต้องใช้ชีวิต ติดตามพระองค์ ไม่ให้ชีวิตของเรามืดอีกต่อไป แต่เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการคดโกง หรือความมืดใด ๆ แอบอยู่ต่อไป
เอเฟซัส 5:15-16
การฉวยโอกาสที่จะทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้านั้น ขอให้เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตเรา ฉวยโอกาสที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการลงมือช่วยเหลือ การอธิษฐานเผื่อ สมัยของท่านเปาโล ท่านยังกล่าวว่า เป็นยุคที่ชั่วช้านัก.. สมัยของเราสิ ยิ่งกว่าอีก เพราะความชั่วนั้นแพร่ไปได้อย่าง
รวดเร็ว อินเตอร์เน็ตแรงเท่าไร ความชั่วก็แพร่ไปได้เร็วเท่านั้น ระบาดเร็วราวกับโรคร้าย
ถอดความจาก เอเฟซัส 5:17-18
ท่านเปาโลเตือนพี่น้องในเมืองเอเฟซัสทุก ๆ ด้าน หากพี่น้องเข้าใจพระดำริของพระเจ้าชัด พวกเขาก็จะเป็นคนฉลาดในการใช้ชีวิตเมื่อเขาติดตามพระดำรินั้น แล้วยังเตือนไม่ให้เมาเหล้า เพราะการเมาเหล้าทำให้คนสติดีกลายเป็นคนขาดการยับยั้งชั่งใจดูไม่น่าเคารพอีกต่อไป คำสุดท้ายท่านให้เราเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณ
ซึ่งจะช่วยทั้งตัวเราและคนรอบข้างได้
เอเฟซัส 5:19
ท่านเปาโลกำลังบอกให้เราทำยิ่งกว่าพูดดีต่อกัน ท่านให้เราใช้พระคำของพระเจ้ามาเป็นคำสนทนา ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมกันและกัน ช่วยให้แต่ละคนได้เติบโตในพระเจ้า เข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นทั้งส่วนตัว และทั้งเป็นกลุ่ม การร้องเพลงคนเดียวถวายพระเจ้า กับการร้องเพลงพร้อม ๆ กันกับคนจำนวนมากถวายพระเจ้า คือส่วนประกอบสำคัญของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
เอเฟซัส 5:20-21
ชีวิตของเราทุกคนมีความยากง่ายไม่เท่ากัน โอกาสในชีวิตก็ไม่เท่ากัน และวิธีการ จัดการชีวิตก็แตกต่างกันไป แต่ยังมีสองสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับทุกสิ่งที่ประดังเข้ามาได้ นั่นคือ ใจที่ขอบพระคุณ และยอมฟังกัน การขอบคุณพระเจ้าทำให้เรามีพลังและการยอมฟังกันก็ช่วยให้เรามีทางออกที่ดีขึ้นด้วย
เอเฟซัส 5:22-23
เราจะเห็นได้ว่า สามีเป็นผู้ที่รับผิดชอบในชีวิตฝ่ายวิญญาณของครอบครัว รองลงมาจากพระคริสต์ทีเดียว บางคนเห็นพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วก็รับไม่ค่อยได้เพราะรู้อยู่ว่า คนเราที่เป็นทั้งสามีและภรรยาต่างมีข้อบกพร่องของตัวเองที่แตกต่างกันไป แต่ที่สุดนี่คือคำสั่งของพระเจ้าเพื่อทั้งภรรยาและสามี
เอเฟซัส 5:24
ที่คริสตจักรของพระคริสต์ผ่านการทำลายล้างการข่มเหง ตามฆ่า จำคุก เผาทั้งเป็น มีการต่อต้านความเชื่อในพระเจ้ามาตลอดทุกยุคตั้งแต่
คริสตจักรยุคแรกสมัยท่านเปาโลและมาถึงตอนนี้ ท่านเปาโลสอนให้ภรรยาเชื่อฟังสามีในทุกเรื่อง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถ้าสามีบอก
ให้เลิกติดตามพระเจ้า เธอควรจะทำตาม แต่..เรื่องเหล่านี้ พระเจ้าให้เราใช้สติปัญญา รู้ว่าพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง พระองค์จะทรงให้ทางออกแน่
เอเฟซัส 5:25-26
ส่วนสามี ได้รับคำสั่งให้รักภรรยาเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และไม่ได้แค่ตรัส แต่ทรงลงมือทำด้วยการประทานชีวิตของพระองค์
ให้แก่ผู้เชื่อ .. เป็นการทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์เราพบสามีของบางครอบครัว ก็เป็นผู้ที่ทำตามพระคริสต์ เขาเป็นคนที่น่านับถือ น่ายกย่อง แต่ก็มีสามีที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเปาโลได้สั่งไว้ และทำให้เกิดความสับสน มีจำนวนมากที่ภรรยากลายเป็นหัวหน้าครอบครัว…
เอเฟซัส 5:27
เป้าหมายของครอบครัวที่ดีคือ สามีจะได้มีภรรยาที่งดงาม ไร้มลทินมาเป็นของเขา เปรียบได้กับที่พระคริสต์ทรงได้คริสตจักรที่ไร้ตำหนิมาเป็นของ
พระองค์ ไม่ใช่อยู่ ๆ พระองค์จะได้่คริสตจักรที่งดงามมา แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงสละพระชนม์ของพระองค์ ทรงดูแลพวกเขา ผลของการที่ทรง
สละชีวิตนั้นคือ ทำให้คริสตจักรได้บริสุทธิ์ สะอาดได้รับการชำระ นี่เป็นเรื่องที่สามีต้องเข้าใจ และเขาจะรู้เองว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง
เอเฟซัส 5:28-29
การรักภรรยาของตนเหมือนที่รักร่างกายของตนเอง เป็นแนวคิดที่แปลกจากความคิดของคนในสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง เพราะใคร ๆ ก็คิด
ว่า ผู้หญิงมีฐานะเทียบเท่ากับสัตว์เลี้ยงเสียด้วยซ้ำคำของท่านเปาโลเป็นการปฏิวัติความคิดของผู้เชื่อให้เข้าใจว่า ผู้หญิงและผู้ชายเป็นคนที่มีความเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระเจ้า การรักภรรยาแบบพระคริสต์รักคริสตจักรเท่ากับเขาต้องยอมสละสิทธิส่วนตัวของเขาหลายอย่างเพื่อเธอ
เอเฟซัส 5:30-31
นี่เป็นอีกความคิดที่ผู้เชื่อในพระเจ้าสมัยก่อนนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลง คือภรรยากับสามีเป็นเนื้อเดียวกันเพราะตกลงกันแล้วว่าจะใช้ชีวิตด้วยกัน
ผู้ชายที่เคยเป็นลูกชายของพ่อแม่ ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันกับผู้หญิงอีกคน ไม่ได้อยู่เป็นลูกชายในบ้านเหมือนเดิม แต่ไปสร้างบ้าน สร้าครอบครัว
ใหม่ เขาทั้งสองต่างเป็นอวัยวะในพระกายของพระเจ้า เขาทั้งสองต้องเป็นหนึ่งเดียวในฝ่ายกายฝ่ายวิญญาณ และความคิด
เอเฟซัส 5:32-33
พระเยซูทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อคริสตจักรและคริสตจักรก็เชื่อฟัง ติดตามพระองค์จนกระทั่งทุกวันนี้่ ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับ
ผู้เชื่ออยู่ทั่วทุกประเทศ และความสัมพันธ์นี้เป็นต้นแบบของความสัมพันธ์ในครอบครัว พระเจ้าทรงประสงค์ให้สามีภรรยาได้มีความสัมพันธ์ที่เต็มด้วยความรัก เห็นใจและเป็นคู่ทุกข์คู่ยากตลอดชีวิตในโลก สรุปใจความว่า สามีรักภรรยา และภรรยาก็ให้เกียรติแก่สามี …
พระคำเชื่อมโยง
1* ลูกา 6:36; 1 ยอห์น 4:11; 1 เปโตร 1:14-16
2* 1 เธสะโลนิกา 4:9; ยอห์น 13:34; โคโลสี 3:14
3* โคโลสี 3:5-7; ลูกา 12:15;
กาลาเทีย 5:19-21
4* มัทธิว 12:34-35; ทิตัส 3:9; โรม 1:28; ฟีลิปปี 4:6
5* โคโลสี 3:8; เอเฟซัส 4:29; 1 โครินธ์ 6:9-10
6โรม 1:18; มัทธิว 24:4; โคโลสี 2:8 7 วิวรณ์ 18:4; 1 ทิโมธี 5:22; เอเฟซัส 5:11
8* ยอห์น 8:12; 1 ยอห์น 1:7; กิจการ 26:18; โคโลสี 1:13
9* 1 ยอห์น 3:9-10 ; 3 ยอห์น 1:11 ; กาลาเทีย 5:22-23
10* โรม 12:1-2; ฮีบรู 12:28; สดุดี 19:14; 1 เปโตร 2:5
11* โรม 13:12; 1 ทิโมธี 5:20; 2 ยอห์น 1:10-11; 2 เธสะโลนิกา 3:6
12* เอเฟซัส 5:3; โรม 2:16; เยเรมีย์ 23:24 ; ปัญญาจารย์ 12:14
13* ยอห์น 3:20-21; 1โครินธ์ 4:5; โฮเชยา 2:10
14* อิสยาห์ 60:1;โรม 13:11-12; อิสยาห์ 26:19; เธสะโลนิกา 5:615* โคโลสี 4:5; ยากอบ 3:13; ฟีลิปปี 1:27; 1 โครินธ์ 14:20
16* โคโลสี 4:5; อาโมส 5:13; ยอห์น 12:35; เอเฟซัส 6:13
17* โรม 12:2; 1 เธสะโลนิกา 5:18; โคโลสี 1:9; เอเฟซัส 5:15
18* สุภาษิต 20:1; โรม 13:13; ลูกา 1:15; กาลาเทีย 5:21-25
19* โคโลสี 3:16; 1 โครินธ์ 14:26; สดุดี 95:2; ยากอบ 5:13
20* โคโลสี 3:17; 1 เธสะโลนิกา 5:18; ฮีบรู 13:15; ฟีลิปปี 4:6
21* ฟีลิปปี 2:3; เอเฟซัส 5:24, 5:22; 1 เปโตร 5:5
22* โคโลสี 3:18-4:1; 1 เปโตร 3:1-6; ทิตัส 2:5; ปฐมกาล 3:16
23* 1โครินธ์ 11:3-10; โคโลสี 1:18; เอเฟซัส 4:15, 1:22-23
24* เอเฟซัส 5:33; ทิตัส 2:7; โคโลสี 3:20
25* 1 เปโตร 3:7; โคโลสี 3:19; เอเฟซัส 5:28; ปฐมกาล 2:24
26* ยอห์น 15:3; ฮีบรู 10:22; ยอห์น 17:17-19; 3:5 เอเสเคียล 36:25
27* โคโลสี 1:22; ฮีบรู 9:14; 1 เปโตร 1:19; เอเฟซัส 1:4
28* เอเฟซัส 5:25; มัทธิว 19:5; ปฐมกาล 2:21-2429* เอเฟซัส 5:31; เอเสเคียล 34:14-15; ยอห์น 6:50-58
30* 1โครินธ์ 6:15, 12:12-27; โรม 12:531* ปฐมกาล 2:24; มัทธิว 19:5; มาระโก 10:7-8
32* วิวรณ์ 21:2; 2 โครินธ์ 11:2; อิสยาห์ 54:5
33* 1 เปโตร 3:2-7; เอเฟซัส 5:22, 25; โคโลสี 3:19
เอเฟซัส 4 ชีวิตที่เปลี่ยนจริง
เอเฟซัส 4:1-2
ดังนั้น ข้าซึ่งเป็นนักโทษเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอร้องให้ท่านใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับมา ด้วยความถ่อมตนความสุภาพอ่อนโยน ด้วยความอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
เอเฟซัส 4:3
ให้มุ่งรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ด้วยสันติสุขที่ผูกพันเราไว้
เอเฟซัส 4:4-6
มีเพียงกายเดียว และพระวิญญาณเดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งผ่านทะลุทั้งสิ้น และอยู่ในทั้งหมด
เอเฟซัส 4:7-8
แต่ว่า พระเจ้าประทานพระคุณแก่เราแต่ละคนตามที่พระคริสต์ทรงดำริมอบให้
ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อพระองค์เสด็จสู่ที่สูง พระองค์ทรงนำเหล่าเชลยไปและทรงให้ของประทานแก่มนุษย์
เอเฟซัส 4:9-10
คำว่า“พระองค์เสด็จสู่ที่สูง”นั้นมีความหมายครอบคลุมถึงอะไร ก็คือ ได้เสด็จลงสู่เบื้องล่างของโลกด้วย
พระองค์ผู้ทรงลงไปยังเบื้องล่างคือผู้ทรงขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์สูงสุด เพื่อจะทรงเติมให้เต็มทั้งจักรวาล
เอเฟซัส 4:11-12
และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเผยพระคำ บางคนประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นผู้เลี้ยงและครูอาจารย์ เพื่อเตรียมวิสุทธิชนของพระเจ้าสำหรับการรับใช้ในการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:13
จนกระทั่งเราทุกคนได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ
และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า คือชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ ถึงระดับความบริบูรณ์ของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:15
แต่พูดความจริงด้วยความรัก ให้เราเติบโตในทุกด้าน
สู่พระคริสต์พระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ
เอเฟซัส 4:16
จากพระองค์นั้นร่างกายทุกส่วนยึดต่อสานสัมพันธ์กัน
โดยเส้นเอ็นที่พระองค์ทรงมอบให้เพื่อสร้างตัวเองขึ้นในความรัก โดยแต่ละส่วนทำงานอย่างเหมาะสม
เอเฟซัส 4:17
บัดนี้ ข้าขอบอกและยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ต่อจากนี้ไป ท่านไม่ควรใช้ชีวิตอย่างคนต่างชาติ ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ
เอเฟซัส 4:18
ความเข้าใจของเขานั้นมืดมัวและแยกออกจากชีวิตของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรและเพราะจิตใจของ
พวกเขานั้นแข็งกระด้างนัก
เอเฟซัส 4:19
พวกเขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจปล่อยตัวให้กับแรงกิเลส
หัวใจเร่าร้อนที่จะทำสิ่งสกปรกทุกอย่าง
เอเฟซัส 4:20-21
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านเรียนรู้จากพระคริสต์
เมื่อท่านได้ยินเรื่องแท้จริงของพระองค์
และได้รับคำสอนตามความจริงในพระเยซู
เอเฟซัส 4:22-23
ขอให้ท่านถอดชีวิตเดิมออก คือตัวเก่าที่คดโกงเสื่อมโทรมจากความใฝ่ต่ำที่หลอกลวงเพื่อรับการสร้าง
ความคิดใหม่จิตใจใหม่
เอเฟซัส 4:24
ให้ท่านสวมตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนที่รับการสร้างตามอย่างพระเจ้าในความเที่ยงธรรมและความบริสุทธิ์แท้
เอเฟซัส 4:25
ดังนั้น ท่านจะต้องละทิ้งสิ่งที่เป็นความเท็จและให้พูดความจริงต่อเพื่อนบ้านของเราเพราะเราต่างเป็น
อวัยวะของกายเดียวกัน
เอเฟซัส 4:26-27
“ท่านโกรธได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ความโกรธยังคงค้างอยู่เมื่อตะวันตกดิน” อย่าให้โอกาสแก่มาร
เอเฟซัส 4:28
คนที่เคยขโมย ก็อย่าขโมยอีกแต่ต้องทำงานใช้มือของตนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อว่าจะมีสิ่งที่แบ่งปัน
ให้กับคนที่ขัดสน
เอเฟซัส 4:29
อย่ายอมให้คำหยาบคายออกมาจากปากของท่าน
แต่จงพูดสิ่งที่ดีเพื่อเสริมสร้างคนที่ต้องการเป็นคุณความดีแก่คนที่ได้ยิน
เอเฟซัส 4:30
และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ท่านได้รับการประทับตราโดยพระองค์
สำหรับวันที่ทรงไถ่
เอเฟซัส 4:31-32
ท่านจะต้องกำจัดทั้งความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด
การตะโกนใส่กัน การใส่ร้ายคนอื่น รวมไปถึงการมุ่งร้ายทุกแบบ
จงมีใจเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและให้อภัยกันและกันเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยท่านในพระคริสต์
เอเฟซัส 4:1-2
แล้วท่านเปาโลที่เน้นว่าตัวท่านเองเป็นนักโทษเพื่อพระเจ้า..ขอร้องให้พี่น้องในคริสตจักรได้ใช้ชีวิตอย่างดี.. นั่นคือมีการสำรวจชีวิตของตน มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเสมอ ทำตัวให้เหมาะกับที่พระเจ้าได้ทรงเรียก และรับเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ ทำอย่างไรหรือ? ท่านบอกง่าย ๆ ถึงการมีความสัมพันธ์ต่อคนอื่นด้วยใจถ่อม
สุภาพ อดทน อดกลั้นต่อกันด้วยความรัก นี่เป็นชีวิตที่น่าอยู่ด้วย…
เอเฟซัส 4:3
การที่เราจะมีความถ่อมตน ความสุภาพอ่อนโยนและความอดทนที่กล่าวมา ทำให้เราสามารถรักษาให้พี่น้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ความอดทนนั้นสำคัญยิ่ง เพราะนั่นคือการยอมรับว่าทุกคนมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข ช่วยเหลือกันจนเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ มีสันติต่อกัน ไม่ทำร้ายกันและกัน การมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้ไหมว่า…ในพระวิญญาณเป็นความสัมพันธ์ดีที่สุดในโลก
เอเฟซัส 4:4-6
ความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนั้นล้ำลึก มีมิติที่เราไม่คาดฝัน เพราะเป็นหนึ่งเดียวในพระกาย พระวิญญาณ ความหวัง องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน (พระเยซูคริสต์) รวมไปถึงความเชื่อ บัพติศมา พระบิดาองค์เดียวกันการเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นนี้ ทำให้ผู้เชื่ออยู่ในสถานะที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในพระกาย เป็นหนึ่งในพระเจ้าองค์ตรีเอกานุภาพ!
เอเฟซัส 4:7
พระคุณแก่เราที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ความรอดแก่ทุกคนที่เชื่อ พระคุณนี้ผ่านมาทางไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ เพื่อเราทั้งหลายทรงให้เราซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้าได้มาคืนดีกับองค์พระบิดาโดยที่พระเจ้าทรงใช้ท่านเปาโลและผู้รับใช้คนอื่น ๆ ให้ประกาศพระคุณแก่คนต่างชาติ แต่เพิ่มขึ้นจากนั้นคือพระคุณเฉพาะที่พระเจ้าประทานแก่แต่ละคนตามที่พระองค์ทรงดำริ
เอเฟซัส 4:8
พระคำตอนนี้เอามาจาก สดุดี 68:18 กล่าวเรื่องพระคุณของพระเยซูอยู่ แล้วมาพูดเรื่องพระเยซูเสด็จสู่ที่สูง ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ทรงรบชนะบนไม้กางเขน จากนั้นทรงนำสิ่งที่ริบได้กลับไปยังบ้านเมือง นั่นคือพระองคฺ์ทรงนำเชลยที่ทรงไถ่แล้ว กลับไปยังแผ่นดินสวรรค์ จากนั้นทรงแจกจ่ายสิ่งที่ริบคืนมานั้นให้กับทั้งอาณาจักรของพระองค์นั่นคือ ของประทานฝ่ายวิญญาณที่ทรงให้กับคริสตจักร (John Acarthur’s commentary)
เอเฟซัส 4:9-10
ตรงนี้ท่านเปาโลบอกเราว่า พระเยซูทรงลงมาในโลก และเสด็จสู่สวรรค์ (กิจการ2) พระองค์เป็นผู้เดียวที่ทรงทำเช่นนี้ ชีวิตของพระองค์เป็นจริงตามที่มีคำบอกล่วงหน้าถึงพระองค์ทุกประการทรงเกิด ทำการของพระเจ้า สิ้นชีพและคืนชีพมาจึงทรงมีสิทธิปกครองเหนือคริสตจักรทุกประการ บัดนี้พระองค์ทรงอยู่ทั่วในจักรวาล เต็มด้วยฤทธิ์ สิทธิอำนาจสูงสุด และสิทธิที่จะประทานแก่คริสตจักรตามที่ทรงพอพระทัย
เอเฟซัส 4:11-12
เราน่าจะตั้งคำถามว่า ทำไมของประทานที่กล่าวถึงนี้จึงสำคัญมาก… ร่างกายจะเติบโตได้ต้องมีการกินอาหาร ใช้กำลังพักผ่อน … ร่างกายก็จะเติบโตอย่างที่สมควร ของประทานที่พระเจ้าได้ให้แก่คริสตจักรที่ชัดเจนคือ การที่จะให้มีผู้ให้อาหารฝ่ายวิญญาณที่ดีเป็นอาหารสุขภาพ ไม่ใช่อาหารเน่าเสียที่จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย เราต้องรู้ว่า ผู้ที่มีของประทานนี้ก็จะช่วยให้คริสตจักรของพระเจ้าเติบโตไปได้ดี
เอเฟซัส 4:13
อาหารฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง จะต้องช่วยให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แตกแยก มีความถ่อมตน สุภาพ ความรักอย่างที่เคยกล่าวมา นอกจากนั้น เป้าหมายที่สำคัญคือ พระกายนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะเกิดผล ส่งผลช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นต่อไปอีก ให้ถึงระดับอย่างที่พระคริสต์ทรงประสงค์ นั่นคือผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นคง สร้างพระกายให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นคนสร้างปัญหา หรือทำลายคนอื่น
เอเฟซัส 4:15
การพูดความจริงนั้น มักมาพร้อมกับความเจ็บปวดของฝ่ายที่ถูกแก้ไข ดังนั้น การพูดความจริงด้วยความถ่อม สุภาพ ความอดทนด้วยความรัก จากเอเฟซัส 4:1-2 จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งและจะพูดความจริงด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็ต้องมีการฝึกด้วย พยายามเข้าใจอีกฝ่ายว่า เขาคิดเห็นอย่างไรอยู่ เพราะว่า ทุกคนจะตอบโต้ความจริงต่างกันไป บางคนก็รับฟังได้อย่างรวดเร็ว เป็นคนฉลาดเปิดใจ แต่บางคนก็ใจปิด.. คนพูดความจริงจึงต้องคอยระวัง
เอเฟซัส 4:16
การสร้างคริสตจักรที่แข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน ๆ เดียว ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นพระกายที่มีอวัยวะหลายส่วน แต่ละส่วนต้องทำงาน ถามหน้าที่ของตน เช่นหากเป็นหัวใจ นึกจะเลิกเต้น ก็เลิกตามใจตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพี่น้องในความเชื่อ จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแผ่นดินของพระเจ้า ถ้าหากว่าเราเข้าใจหน้าที่ของตนเองไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ซึ่งมีคนเห็นหรือไม่ แต่พระบิดาทรงเห็นเสมอว่าเราทำอะไรอยู่
เอเฟซัส 4:17
ในเมื่อผู้เชื่อมีส่วนในพระกายพระคริสต์ การใช้ชีวิตจึงแตกต่าง การคิดจึงแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อในเรื่องฝ่ายวิญญาณ โดยที่จะไม่คิดแต่สิ่งไร้สาระเหมือนคนทั่วไป คำว่าไร้สาระของท่านเปาโลนั้น อาจดูแรง แต่หากเราพิจารณาดี ๆเราจะเห็นความคิดที่โลกพยายามยัดเยียดใส่ให้คนในสังคมคิดเหมือนแม้ว่ามันอันตราย และเป็นคำโกหก ความคิดเหล่านี้ไม่เคยหยุด มีมาตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน ในภาพยนต์ เพลง podcast รายการต่าง ๆ มีทั้งใช้ได้และไร้สาระ ต้องระวัง!
เอเฟซัส 4:18
ลองสังเกตดี ๆ นะว่า ความคิดของคนในโลกที่อยู่ในโซเชียลมีเดียชัดเจนมาก (เราพูดถึงความคิดของคนที่ไร้สาระจริง ๆ เราก็จะเห็นชัด) อย่างแรกคือ คิดกลับทาง ความจริงกลายเป็นเท็จ ความดีกลายเป็นชั่ว ชั่วกลายเป็นดี สองคือ ถ้าใครไม่คิดเหมือนเขา ก็จะลงมือทำลายคนนั้นด้วยวิธีต่าง ๆทั้งชื่อเสียง การงาน และอะไรที่ทำลายได้ พวกนี้ต้องการเป็นผู้นำความคิดทั้งที่ตัวเองไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ได้เลย
เอเฟซัส 4:19
ความที่ใจแข็งกระด้าง มีความตั้งใจที่จะฝืนความรักของพระเจ้า ฝืนไม่ยอมรับว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของมนุษย์ทุกคน พวกเขากลับใช้ความชั่วของตนปิดกั้นความจริง โรม 1:18-20 พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่เหนือชีวิตเพราะอยากทำตามใจของตน ตามความเร่าร้อนที่มีอยู่ในตัว ไม่ต้องการควบคุมตนเอง บางคนก็ดูเป็นปัญญาชนน่าจะเข้าใจ แต่การที่เขาไม่ต้องการอยู่ใต้พระเจ้าทำให้เขาปฏิเสธพระองค์
เอเฟซัส 4:20-21
ท่านเปาโลเปรียบเทียบว่า คนที่เดินตามทางโลก ใช้ชีวิตตามใจตนเอง เป็นชีวิตที่ไร้ค่า มืดมน ไปตามใจปรารถนาทางเพศอย่างสุด ๆ ซึ่งเป็นจริงในหมู่ชาวเอเฟซัส ไม่มีความละอาย มโนธรรมหายไป ชีวิตไม่มีพระเจ้า ท่านเปาโลย้ำเตือนว่า เมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม ไม่มีพฤติกรรมเลวร้ายอย่างเดิมอีก และเราทุกคนมีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนชีวิต
เอเฟซัส 4:22-23
ที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในการสร้างความคิด ชีวิตใหม่นั้น ท่านเปาโลบอกเราว่า ให้เราถอดชีวิตเดิมออก ใช้คำเหมือนกับถอดเสื้อผ้าเก่า โสโครกออกเราต้องมีความพยายามที่จะเลิกพฤติกรรมเดิมไม่ใช่ปล่อยไปเฉย ๆ ไม่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนชีวิต ก่อนที่จะได้ชีวิตความคิดใหม่ ต้องมีการโละของเก่าทิ้งก่อน จะมีทั้งดีและเลวอยู่ด้วยกันไม่ได้ เวลาของเน่า เอาไว้ในที่ดี ก็จะพาของดีเสียตามกันไป
เอเฟซัส 4:24
เมื่อถอดชีวิตเดิมออกแล้ว ก็ให้สวมชีวิตใหม่ของเก่าที่เน่าเสียของชีวิตต้องทิ้งไป แล้วรับชีวิตใหม่ของพระเจ้าเข้ามา เป็นชีวิตที่ตรงกันข้ามกับของเดิม เพราะเป็นชีวิตที่ได้รับการสร้างด้วยความเที่ยงธรรม และความบริสุทธิ์ของพระเยซูด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อทำให้เราเป็นคนเที่ยงธรรม คำเปรียบเทียบของท่านเปาโลง่าย ชัดเจน และเราคงไม่ลืม เปลี่ยนเสื้อทุกวันก็เปลี่ยนนิสัยใจคอ และชีวิตทุกวันด้วย
เอเฟซัส 4:25
เสื้อตัวหนึ่งที่จะต้องถอดทิ้งคือ เสื้อของการโกหกชีวิตที่ชินกับการพูดโกหกนั้น ก็จะชินกับการโกหกโดยไม่ได้สำนึกเลยว่า ตนเองกำลังกล่าวเท็จอยู่เราอาจไม่ทราบว่า หากในที่ทำงานมีคนหลายชาติทำงานด้วยกันอยู่ พี่ไทยของเรานั้นจะได้ชื่อเสียอย่างหนึ่งคือ พูดอ้อมค้อม ไม่ตรงความจริงบอกว่าจะได้งานวันนี้แน่ แต่ที่จริงเพื่อนยังไม่ได้เริ่มต้นงานเลย บอกว่างานโอเค ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้จับสักนิด ทำให้เจ้าของงานเสียหายมาไม่น้อย
เอเฟซัส 4:26-27
มาถึงอารมณ์โกรธบ้าง การโกรธมีหลายแบบพระเจ้าเองทรงโกรธที่มนุษย์โง่เง่า ไม่ฟังพระองค์สิ่งดีที่พระองค์ทรงยื่นให้ พวกเขาก็เมิน แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงความโกรธของมนุษย์ซึ่งมีทั้งความโกรธที่พลุ่งพล่าน โกรธขมขื่น โกรธแบบแค้นฝังลึก โกรธแบบว่าคนที่เราโกรธตายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่เลิกโกรธ เมื่อมีอารมณ์โกรธที่ไม่เลิกราเท่ากับเรากำลังเปิดช่องให้มารเข้ามาทำร้ายชีวิต ท่านเปาโลจึงให้เราระงับความโกรธ
เอเฟซัส 4:28
นอกจากความโกรธที่ต้องถอดออกจากชีวิต ก็ยังมีเรื่องการขโมยด้วย ซึ่งการขโมยสมัยก่อน อาจเป็นการขโมยข้าวของ ทรัพย์สิน วัวควาย ฯลฯแต่สมัยนี้มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา มีการขโมยข้อมูล เอาข้อมูลที่สำคัญไปขายทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นข้อมูลของตนเอง แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ก็คือรูปแบบการขโมยสมัยใหม่ที่ล้ำยุคขึ้นไปอีก ที่สำคัญท่านเปาโลให้เราทำงานด้วยมือ ด้วยตัวเองเพื่อจะเป็นประโยชน์กับตัวและคนอื่น
เอเฟซัส 4:29
ท่านเปาโลละเอียดมาก รู้ว่า สิ่งสกปรกโสโครกในชีวิตของเรานั้น มันอยู่ชิดตัวเรา ออกจากใจออกจากปากของเรา คำโกหก คำหยาบคายและความโกรธมักไปด้วยกัน คำเหล่านี้รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี พยานเท็จ เป็นของที่มักมาเป็นชุดเดียวกัน บางคนเห็นการพูดหยาบคายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมาเป็นคนของพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป ทั้งต้องขอพระเจ้าทรงช่วย และมีความตั้งใจ พยายามหลุดจากสิ่งนี้
เอเฟซัส 4:30
จากที่เราอ่านมาและกำลังจะอ่านต่อไป เราน่าจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัยก็คือชีวิตเดิมที่ไม่สะอาด พระองค์ทรงประทับตราเราไว้ ทรงให้เราเป็นพระวิหารที่พระองค์สถิตอยู่ ชีวิตที่สกปรกจึงไม่สมควรที่จะอยู่ในเรา ต้องถอดทิ้ง และสวมชีวิตใหม่ ให้สมกับเป็นคนที่พระเจ้าทรงจองไว้ให้ถึงวันของพระองค์ที่การไถ่จะสมบูรณ์จะเป็นของพระองค์ร้อยเปอร์เซนต์ ช่วงนี้ก็ต้องมีความพยายามต่อไปที่จะก้าวสู่เป้าหมายชีวิตแท้
เอเฟซัส 4:31
นี่ไงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัย ชีวิตของผู้เชื่อต้องหยุดความข่มขื่นใจที่มีต่อคนอื่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะรังควาญไม่เลิกบางครั้งเราจะเห็น คนที่อ้างว่าตนเชื่อพระเจ้า แต่กลับยังมีบาปมลทินทางปากเช่นนี้ หรือว่าถ้าเราเป็นเสียเอง ก็พอจะประเมินได้ว่า ยังไม่ยอมสยบให้กับพระเจ้าจริง ๆ ยังต้องการเก็บนิสัยชั่วร้ายเหล่านี้ไว้คริสเตียนแท้จริงจะต้องหยุดจากพฤติกรรมที่กล่าวมานี้ทั้งหมด
เอเฟซัส 4:32
และการจะหยุดพฤติกรรมร้าย ๆ ทางปาก ใจที่คอยคิดร้ายต่อคนอื่นนั้น แล้วไม่มีสิ่งดีใส่เข้าไปก็เหมือนกับการถอดเสื้อสกปรกออก แต่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อแห่งการยกโทษ การไถ่ของพระเจ้ายังเปลือยอยู่ ดังนั้น เมื่อหยุดนิสัยร้าย ก็ต้องสวมนิสัยดีเข้าไป โดยเอาพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบของตน พระเจ้าทรงอภัยให้เราอย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิที่จะถือโทษใครอีกต่อไป เพราะว่าเราได้รับการยกโทษบาปที่หนักหนาจากพระองค์แล้ว
พระคำเชื่อมโยง
1* 1 เธสะโลนิกา 2:12; โคโลสี 1:10; ฟีลิปปี 1:27
2* โคโลสี 3:12-13; 1 โครินธ์ 13:7
3* โคโลสี 3:14; 1 โครินธ์ 1:10
4* โรม 12:5; เอเฟซัส 2:18;
1โครินธ์ 12:2-13
5* 1โครินธ์ 8:6; 1 เปโตร 3:21;
ยูดา 3; ฮีบรู 6:6
6* มาลาคี 2:10; โรม 11:36
7* 1โครินธ์ 12:7, 11; โรม 12:3;
1 เปโตร 4:10
8* สดุดี 68:18; โคโลสี 2:15
9* ยอห์น 3:13; 20:17; มัทธิว 12:40; ยอห์น 6:33
10* กิจการ 1:9; ฮีบรู 7:26
11* เยเรมีย์ 3:15; 1โครินธ์ 12:28-29; เอเฟซัส 2:20
12* 1 เธสะโลนิกา 5:11-14; ; เอเฟซัส 4:16; 1โครินธ์ 12:27
13* โคโลสี 2:2; 1:28; ยอห์น 17:21; 1โครินธ์ 14:20
14* 1โครินธ์ 14:20; ฮีบรู 13:9; โรม 16:17-1815* เอเฟซัส 1:22; 4:25; เศคาริยาห์ 8:16; 2 เปโตร 3:18
16* โคโลสี 2:19; ยอห์น 15:5
17* โรม 1:21; 1 เปโตร 4:3-4; 1 เธสะโลนิกา 4:1-2
18* มัทธิว 13:15; เอเฟซัส 2:12; โรม 1:21-23; ยอห์น 12:40
19* 1 ทิโมธี 4:2; โคโลสี 3:5; โรม 1:24-26
20* ทิตัส 2:11-14; ยอห์น 6:45; มัทธิว 11:29
21* 1 ยอห์น 5:20; เอเฟซัส 1:13; ฮีบรู 3:7-8
22* โรม 6:6; ฮีบรู 12:1; ยากอบ 1:21
23* โรม 12:2; 8:6; สดุดี 51:10; โคโลสี 3:10
24* โคโลสี 3:10-14; 2 โครินธ์ 5:17; โรม 6:4, 7:6; 12:2
25* เศคาริยาห์ 8:16; สุภาษิต 12:22; โคโลสี 3:9
26* ยากอบ 1:19; สดุดี 4:4; 37:8
27* ยากอบ 4:7; 1 เปโตร 5:8;
เอเฟซัส 6:16
28* 1 เธสะโลนิกา 4:11-12; 1 ทิโมธี 6:18; กาลาเทีย 6:1029* โคโลสี 3:8; 1 เธสะโลนิกา 5:11; ปัญญาจารย์ 10:12
30* อิสยาห์ 7:1331* โคโลสี 3:8, 19; ยากอบ 4:11; ทิตัส 3:3
32* 2 โครินธ์ 6:10; มาระโก 11:25
เอเฟซัส 3 เผยความลี้ลับ
เอเฟซัส 3:1-2
ด้วยเหตุนี้ ข้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านคงได้ยินถึงภาระแห่งพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ข้าเพื่อท่านทั้งหลายแล้ว
เอเฟซัส 3:3-4
คือ สิ่งลี้ลับที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าตามที่ข้าได้เขียนไว้สั้น ๆ ก่อนหน้านี้ เมื่อท่านอ่านข้อความนี้ ท่านจะเข้าใจกระจ่าง ถึงความหยั่งรู้ของข้าในเรื่องสิ่งลี้ลับของพระคริสต์
เอเฟซัส 3:5
ซึ่งในยุคก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการเปิดเผยให้มนุษย์รู้ เหมือนอย่างตอนนี้ที่พระวิญญาณทรงสำแดงแก่เหล่าอัครทูตและผู้กล่าวพระคำผู้บริสุทธิ์
เอเฟซัส 3:6
สิ่งลี้ลับนั้นคือคนต่างชาติได้เข้ามาเป็นผู้ร่วมรับมรดกพร้อมกับคนอิสราเอล ได้เป็นสมาชิกในกายเดียวกันและเป็นผู้มีส่วนร่วมกับพระสัญญาในพระเยซูคริสต์ ผ่านทางข่าวประเสริฐ
เอเฟซัส 3:7
ข้าเองได้รับเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่ข้า โดยราชกิจแห่งฤทธิ์เดชของพระองค์
เอเฟซัส 3:8
แม้ข้าเป็นคนต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่วิสุทธิชนของพระเจ้าข้าก็ได้รับพระคุณนี้ คือ ได้มีโอกาสประกาศให้คนต่างชาติได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่อนันต์ที่ไม่อาจหยั่งถึงของพระคริสต์
เอเฟซัส 3:9
และที่จะแสดงให้คนทั้งหลายเห็นถึงแผนการอันลี้ลับที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งไม่ได้ทรงเปิดเผยให้ใครทราบในหลายยุคที่ผ่านมา
เอเฟซัส 3:10-11
เพื่อว่าบัดนี้ หมู่เทพผู้ครอง และเทพผู้มีอำนาจในสวรรค์จะได้ตระหนักถึงพระปัญญามากมายรอบด้านของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร ตามพระดำรินิรันดร์
ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
เอเฟซัส 3:12
ในพระองค์เราจึงกล้าและมั่นใจที่จะเข้ามาถึงพระเจ้าด้วยความเชื่อในพระองค์
เอเฟซัส 3:13
ดังนั้น ข้าจึงขอให้ท่านไม่ท้อใจเพราะมาเห็นว่า ข้าต้องทุกข์ยากเพื่อท่าน ซึ่งนี่ก็เป็นศักดิ์ศรีของท่านเอง
เอเฟซัส 3:14-15
เพราะเหตุนี้ ข้าจึงคุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระบิดาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ทรงเป็นที่มาของทุกครอบครัวทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก
เอเฟซัส 3:16
ข้าอธิษฐานว่า จากพระสิริที่มั่งคั่ง พระเจ้าจะทรงให้ชีวิตภายในของท่านเข้มแข็งด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์
เอเฟซัส 3:17
เพื่อว่าพระคริสต์จะสถิตภายในท่านผ่านทางความเชื่อ
และข้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านได้หยั่งรากลึก และมั่นคงในความรักแล้ว……
เอเฟซัส 3:18
ท่านก็จะมีความเข้าใจพร้อมกับวิสุทธิชนถึงความยาว และความกว้าง ความสูงและความลึกของความรักของพระเจ้า
เอเฟซัส 3:19
และที่จะรู้ถึงความรักของพระคริสต์ที่อยู่เหนือความรู้ เพื่อว่าท่านจะได้เติมเต็มด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า
เอเฟซัส 3:20
บัดนี้ แด่พระองค์ ผู้ทรงสามารถกระทำการมหาศาลเกินกว่าที่เราจะทูลขอ
หรือคาดคิดได้ตามฤทธิ์เดชที่ทำการในชีวิตของเรา
เอเฟซัส 3:21
ขอพระสิริตระการจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ทุกชั่วอายุคน สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
เอเฟซัส 3:1-2
จากข้อความตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ท่านเขียนจดหมายถึงพี่น้องในเวลาที่ถูกจองจำ ท่านถูกจำในโรมและที่ถูกจับก็เพราะท่านตั้งหน้าตั้งตาประกาศพระกิตติคุณให้กับคนต่างชาติตามพระบัญชาแต่ต้นท่านได้รับใช้ในเมืองเอเฟซัสถึงสามปี พี่น้องจะรู้ดีว่า พระเจ้าทรงใช้ให้ท่านทำอะไรบ้าง และรู้ว่าพระเจ้าทรงเตือนล่วงหน้าว่า ท่านจะต้องได้รับทุกข์เข็ญเพื่อพระนามของพระองค์อย่างไร
เอเฟซัส 3:3-4
ท่านเปาโลได้กล่าวถึงความลี้ลับที่พระเจ้าทรงเผยให้ท่านทราบใน 1:9-10, 2:11-22 นั่นคือ การที่คนทุกชาติพร้อมกับยิวจะเป็นผู้เข้ามีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าเท่า ๆ กัน น่าแปลกที่ความลี้ลับอันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราอาจไม่ได้รู้สึกลึกซึ้ง ไ่ม่เข้าใจเท่าไร เพราะพระเจ้าทรงอวยพระพรที่ให้พวกเราได้มีโอกาสพบพระองค์โดยที่ไม่ได้ต้องต่อสู้กับเรื่องเชื้อชาติเหมือนในสมัยก่อน
เอเฟซัส 3:5
ลักษณะที่คนยิวและคนต่างชาติที่เชื่อในพระเยซูจะได้มีฐานะ สภาพ มรดกเท่าๆ กันอย่างที่กล่าวมา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใคร ๆ คาดหวัง ไม่มีใครคิดว่าพระเจ้าจะทรงวางแผนให้เป็นอย่างนี้ เพราะยิวเองคิดเสมอว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แม้มาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ความแตกต่างของเชื้อชาติก็ยังเป็นประเด็นที่แรงเสมอ จำได้ไหมพระเจ้าทรงเริ่มบอกกับเปโตรตอนที่เขาในภวังค์ ได้เห็นสัตว์ไม่สะอาดมากมายแล้วพระเจ้าทรงสั่งให้กิน
เอเฟซัส 3:6
ต่อจากนี้เป็นต้นไป ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติในแผ่นดินของพระเจ้า คนต่างชาติก็เป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาแห่งความรอดที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อพวกเขาเชื่อ เมื่อท่านเปาโลไปประกาศในเอเฟซัสนั้น ตอนแรกท่านก็ไปประกาศในศาลาธรรม แต่แล้วยิวขัดขวาง ท่านก็ออกไปสอนในสถานที่ของทีรันนัส ซึ่งมีคนทั้งยิวและคนต่างชาติ ปนกันอยู่ พวกเขาได้รับข่าวประเสริฐแบบเดียวกันและต้องเชื่อเหมือน ๆ กัน (กิจการ19)
เอเฟซัส 3:7
ท่านเปาโลเองยอมรับชัดเจนว่า ท่านมาเป็นผู้รับใช้เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนี้ก็ด้วยพระคุณพระเจ้า เพราะท่านเองรู้ดีว่า ท่านเป็นคนที่เคยข่มเหงยิวที่เชื่อพระเจ้าอย่างรุนแรง ไม่น่าจะเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงใช้ให้ประกาศพระนาม สิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น พระเจ้าทรงมีไว้ให้กับคนที่ยอมจำนนต่อพระองค์อย่างเปาโล อย่างที่ท่านเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 2:9 สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยินคือสิ่งที่ทรงเตรียมให้คนที่รักพระองค์
เอเฟซัส 3:8
เราทั้งหลายทุกคนที่มาพบพระเจ้าแล้ว จะได้รับพระคุณอย่างท่านเปาโลด้วย คือได้โอกาสประกาศให้เพื่อน ๆ พี่น้องของเราได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่อาจเข้าใจได้หมดเราต้องไม่คิดว่า เรารู้เรื่องพระเจ้าหมดแล้ว เพราะความรู้ในพระเจ้านั้นมีมากมาย ที่เรายังไม่อาจเข้าใจได้หมดในชีวิตนี้เสียด้วยซ้ำ สิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราเข้าใจ คือสิ่งที่ต้องรักษาไว้และให้เกิดผล และแสวงหาต่อไป
เอเฟซัส 3:9
ความลี้ลับที่ว่า ทั้งยิว คนต่างชาติได้รับความรอดผ่านพระเยซูคริสต์เหมือนกัน (ข้อ 3-6) เป็นเรื่องที่ท่านเปาโลบอกว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยให้ทราบมาก่อน เมื่อเราย้อนกลับไปดูในพระคัมภีร์เดิม เราก็ไม่ได้พบเรื่องนี้จริง ๆ อย่างที่ท่านเปาโลว่า แม้จะมีคำของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์ทรงให้อับราฮัมเป็นพรกับคนต่างชาติทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้พูดอย่างเฉพาะเจาะจงถึงคริสตจักร หรือพระกายพระคริสต์ ฯลฯ
เอเฟซัส 3:10-11
จากคำของท่านเปาโลที่กล่าวถึงเทพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ หรือ ทูตที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน คริสตจักรเป็นความล้ำลึกที่ไม่มีใครคาดคิด แม้กระทั่งในหมู่ผู้เชื่อ ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขารู้บางอย่างที่พระเจ้าทรงให้เขารู้ พระดำริที่เป็นนิรันดร์ที่พระองค์ทรงดำริมานานแล้ว และเปิดเผยผ่านพระเยซูคริสต์!
เอเฟซัส 3:12
การที่ใครคนหนึ่งจะเข้ามาอธิษฐาน มาเข้าเฝ้า มาทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านั้น ถ้าเรามีใจหวาดกลัว และไม่มั่นใจที่จะทูลต่อพระองค์ ก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เพราะคนที่มาหาพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ ทรงยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง ความกล้าและความมั่นใจพร้อมกับความเชื่อจึงทำให้พี่น้องคริสเตียน แตกต่างกัน
เอเฟซัส 3:13
เพราะความกล้าหาญ และมั่นใจด้วยความเชื่อที่บัดนี้พี่น้องคริสเตียนสามารถเข้าหาพระเจ้าด้วยตนเอง ท่านเปาโลขอให้พี่น้องไม่ท้อใจเมื่อเห็นผู้รับใช้ต้องลำบากเพื่อพระกายพระคริสต์ ท่านต้องเข้าคุกไม่ใช่เพราะทำผิด แต่เป็นเพราะประกาศพระนาม ทำให้คนเป็นอันมากได้กลับมาเชื่อพระเจ้า ความทุกข์ยากแลกกับแผ่นดินของพระเจ้าขยายกว้างไกล อ่าน ..ฟีลิปปี 1:12-13
เอเฟซัส 3:14-15
หลังจากที่ได้อธิบายเรื่องความลี้ลับที่ถูกปิดบังมานาน คือคริสตจักร ตอนนี้ท่านเปาโลได้หันมาอธิษฐาน ท่านถ่อมตัวลงด้วยการคุกเข่าลง ต่อพระผู้ทรงเป็นต้นของทุกครอบครัวในโลกและในสวรรค์ ซึ่งท่านเปาโลให้เราได้รู้ว่า ทุกครอบครัวสมควรจะได้มีคุณพ่อเหมือนพระบิดาไม่ว่าจะเป็นครอบครัวในอดีตหรือปัจจุบันในภาษากรีกคำว่า พ่อ คือ พาเทรา ส่วนคำว่าครอบครัวคือ พาทริอา
เอเฟซัส 3:16
ท่านเปาโลเริ่มต้นคำอธิษฐานจากพระสิริมั่งคั่งของพระเจ้า พระสิรินี้คือ ศักดิ์ศรีตระการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่านเข้าไปขอแบ่งสิ่งดีจากพระสิรินี้ เพื่อพี่น้องจะมีความมั่นคงในชีวิต ชีวิตภายในคือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคน ๆ หนึ่ง ท่านเปาโลขอให้พวกเขาได้เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช้ความพยายามสุดกำลังของมนุษย์แต่ด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ! ซึ่งจะทำให้ได้ความเข้มแข็งที่ถาวร ยืนนาน
เอเฟซัส 3:17
เมื่อมีความมั่นคงภายใจ หรือชีวิตฝ่ายวิญญาณยืนมั่น ไม่หลงไปง่าย ๆ ไม่ถูกพัดไปด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ท่านเปาโลก็ขอต่อไปให้พี่น้องได้หยั่งรากลึกในชีวิต และมั่นคงในความรักที่มีต่อพระเจ้าและพี่น้อง …ซึ่งนี่จะเป็นพื้นฐานของสิ่งที่ท่านจะขอพระเจ้าต่อไป (โคโลสี 2:7 กล่าวทำนองเดียวกันว่า หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นตามความเชื่อ)
เอเฟซัส 3:18
ในจดหมายฝากไปยังเอเฟซัส ท่านเปาโลกล่าวถึงกลุ่มวิสุทธิชนบ่อย ๆ ซึ่งอ่านไปก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงพี่น้องทุกคนที่เชื่อ ที่บอกว่าเป็นวิสุทธิชน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาใหญ่โตเป็นคนดี เที่ยงธรรมกว่าผู้อื่น แต่ท่านมีความหมายถึงพี่น้องที่เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน ซึ่งควรจะสัมผัสถึงมิติด้านต่าง ๆของความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน อีกข้อที่พูดคล้ายกันมากคือ โรม 8:38-39
เอเฟซัส 3:19
คำแห่งชีวิตจากพระคัมภีร์นี้ เป็นคำที่สร้างกำลังใจให้กับคนอ่าน ไม่เหมือนคำสอนอื่น ๆ ที่สั่งให้เราทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความเชื่อในพระเจ้าได้ย้ำเน้นถึงความรักระหว่าง พระเจ้า ตัวเราและคนอื่น ในสมัยของท่านเปาโล เราจะพบทั้งศาสนายิวศาสนาชาวต่างชาติที่ต่างมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายไม่ได้สนใจความรัก ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องได้รู้ว่า เมื่อเป็นคนของพระเจ้า ความรักของพระองค์ จะเติมเต็มในตัวเรา ทำให้เราก้าวต่อไปได้
เอเฟซัส 3:20
นอกจากความรักที่เต็มล้นแล้ว พระเจ้ายังทรงฤทธิ์ที่จะทำการในชีวิต เป็นชีวิตที่ดำเนินไปด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้า เป็นชีวิตที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน (ซึ่งเราเองจะต้องรู้จักสังเกตด้วยว่าพระเจ้าทรงทำการอะไรในชีวิตของเราในแต่ละวัน)ใครก็ตามที่ได้ใส่ใจมองดูในชีวิตว่า พระเจ้าทรงทำอะไรให้บ้างในแต่ละวัน จะมีความสุขและความมั่นใจ ความเชื่อก็เพิ่มพูน อย่าลืมว่า “พระดำริในชีวิตนั้นยิ่งใหญ่นัก” สดุดี 139:17
เอเฟซัส 3:21
นี่เป็นคำสรรเสริญพระเจ้าสั้น ๆ แต่ยาวนานตลอดไป หัวใจของท่านเปาโลเต็มด้วยการสรรเสริญยกย่องพระเจ้า พระสิริของพระเจ้าหรือศักดิ์ศรีของพระองค์จะปรากฏชัดในพระกายคือคริสตจักรและในองค์พระเยซูคริสต์ ใช่แล้ว คนทั้งหลายควรจะเห็นพระเกียรติของพระเจ้าในชีวิตคริสเตียนในคริสตจักร และเป็นสิ่งที่จะต้องเห็นตลอดไปไม่มีวันจบสิ้น สดุดี 33:11 บอกว่า แผนการของพระเจ้ายั่งยืน พระประสงค์ดำรงทุกชั่วอายุ!
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 1:24
2* กิจการ 9:15;โคโลสี 1:25-27; 1 ทิโมธี 1:11
3* กิจการ 22:17,21; 26:16;โรม 11:25; 16:25; เอเฟซัส 3:4,9; 6:19; โคโลสี 1:26; 4:3
4* โคโลสี 4:3; 1โครินธ์ 4:1
5* ยูดา 1:17
6* กาลาเทีย 3:28-29
7* โรม 15:16,18; 1:5
8* 1โครินธ์ 15:9; โคโลสี 1:27; 2:2-3
9* ยอห์น 1:3;โคโลสี 1:16; ฮีบรู 1:2
10* 1 เปโตร 1:12; 1 ทิโมธี 3:16; เอเฟซัส 1:21; 6:12; โคโลสี 1:16; 2:10, 15
11* เอเฟซัส 1:4, 11
12* 2 โครินธ์ ฮีบรู ยอห์น
13* ฟีลิปปี 1:14; 2 โครินธ์ 1:6
14* เอเฟซัส 1:315* เอเฟซัส 1:10
16* เอเฟซัส 1:7; 2:4; ฟีลิปปี 4:19; 1โครินธ์ 16:13; ฟีลิปปี 4:13; โคโลสี 1:11;โรม 7:22
17* ยอห์น 14:23; โรม 8:9; 2 โครินธ์ 13:5; เอเฟซัส 2:22;โคโลสี 1:23
18* เอเฟซัส 1:18; โรม 8:39
19* เอเฟซัส 1:23
20* โรม 16:25; 1โครินธ์ 2:9; โคโลสี 1:29
21* โรม 11:36
เอเฟซัส 2 มาเป็นหนึ่งเดียวกัน
เอเฟซัส 2:1-2
ถึงแม้ว่าท่านได้ตายแล้วเพราะทำการล่วงละเมิดและทำบาปสารพัด ซึ่งแต่ก่อน ท่านเคยเดินตามทางของโลก และทางของเทพผู้ครองในฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่กำลังทำการในชีวิตของคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เอเฟซัส 2:3
แต่ก่อนเราทุกคนก็อยู่ท่ามกลางพวกเขาโดยใช้ชีวิตตอบสนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนังและความคิดของตนเหมือนกับคนเหล่านั้น โดยกำเนิดแล้ว เราจึงเป็นลูกหลานที่อยู่ภายใต้พระพิโรธเหมือนกับคนอื่น ๆ
เอเฟซัส 2:4
แต่พระเจ้า!พระองค์ทรงเต็มด้วยพระเมตตาและเป็นเพราะความรักยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อเรา
เอเฟซัส 2:5
พระองค์ทำให้เราได้มีชีวิตขึ้นมาใหม่กับพระคริสต์ แม้ว่าเราได้ตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด ท่านจึงได้รอดด้วยพระคุณ
เอเฟซัส 2:6-7
พระองค์ทรงให้เราคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับพระองค์และให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าในยุคที่กำลังมาถึงพระองค์จะทรงแสดง พระคุณที่มั่งคั่งอนันต์ซึ่งทรงกรุณาต่อเราในพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 2:8-9
เพราะว่าท่านได้รับความรอดโดยพระคุณซึ่งเกิดจากความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้รับมาด้วยการกระทำของท่านเอง แต่พระเจ้าประทานให้ ไม่ได้เป็นความรอดที่เกิดจากการประพฤติตน เพื่อจะไม่มีใครเอามาโอ้อวดได้
เอเฟซัส 2:10
เพราะเราเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เพื่อทำการดีที่พระเจ้าทรงเตรียมล่วงหน้าไว้ให้เราได้ทำ
เอเฟซัส 2:11-12a
ดังนั้น จงระลึกว่า แต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติโดยกำเนิดและถูกพวกที่ “เข้าสุหนัต” (ซึ่งทำบนกายโดยมือมนุษย์)เรียกว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” จงระลึกด้วยว่า ในเวลานั้น พวกท่านถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่เป็นประชากรในอิสราเอล
เอเฟซัส 2:12b-13
แต่เป็นคนต่างชาตินอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ท่านไม่มีความหวังและท่านอยู่ในโลกอย่างไร้พระเจ้า แต่ในพระเยซูคริสต์ ท่านที่เคยอยู่ห่างไกล เวลานี้กลับได้เข้ามาใกล้แล้วโดยพระโลหิตของพระคริสต์
เอเฟซัส 2:14
เพราะพระองค์เองทรงเป็นสันติสุขของเรา ทรงเป็นผู้ที่ทำให้สองฝ่ายกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและทรงทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กั้นสองฝ่ายนี้ลง
เอเฟซัส 2:15
โดยทรงล้มเลิกบัญญัติทั้งสิ้นของยิวซึ่งเต็มด้วยข้อบังคับสารพัด เพื่อให้คนทั้งสองฝ่ายได้ถูกสร้างขึ้นเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ ทำให้เกิดสันติสุข
เอเฟซัส 2:16
และเพื่อจะทำให้เราทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าในพระกายเดียว ผ่านไม้กางเขนเป็นการทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดไป
เอเฟซัส 2:17-18
เมื่อพระองค์เสด็จมา ประกาศสันติสุขให้กับผู้ที่อยู่ไกลและอยู่ใกล้โดยผ่านพระองค์ เราทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงพระบิดาได้โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน
เอเฟซัส 2:19-20
ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้เป็นคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าอีกต่อไป แต่เป็นประชากรของพระเจ้าพร้อมกับวิสุทธิชนและเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก
เอเฟซัส 2:21-22
ในพระองค์ อาคารทั้งหลังถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันสนิท และประกอบขึ้นเป็นพระวิหารบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและในพระองค์ พวกท่านก็กำลังถูกสร้างขึ้นเชื่อมโยงกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณของพระองค์
เอเฟซัส 2:1-2
พระคำในบทที่หนึ่งจบด้วยความยิ่งใหญ่อลังการขององค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ทรงเป็นศีรษะเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร. แต่เมื่อหันมามองมนุษย์เราที่ไม่มีพระเจ้า จึงพบว่า พวกเราคือคนที่ตายไปแล้ว เพราะทำบาปสารพัด เป็นลูกหลานของคนบาป แม้ว่าจะเกิดในครอบครัวของผู้เชื่อ ต่างก็เป็นแกะที่หลงหายไป ไม่มีใครที่เป็นคนปราศจากบาป เป็นเหมือนคนที่พลัดหลงทางเร่ร่อนไปไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ว่าที่สุดท้ายคือที่ไหนทุกคนเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ยังไม่พอ พวกเรายังถูกชักจูงให้หลง เดินตามวิญญาณที่เป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า วิญญาณนี้ ทำงานอย่างหนัก ขะมักเขม้นเพื่อที่จะให้ชีวิตของทุกคนหลุดจากพระเจ้าไป
เอเฟซัส 2:3
ท่านเปาโลชี้ให้เห็นว่า ชีวิตของคนที่ไม่มีพระเจ้านั้นก็เหมือน ๆ กันคือ ถูกมารชักจูง ถูกเนื้อหนังของตนเองเรียกร้องให้เราทำตามความต้องการของมัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกาย หรือวิญญาณไม่ได้ตามพระเจ้า สภาพของชีวิตที่อยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้านั้นน่ากลัว และไม่มีใครต้องการอยู่ในสภาพดังกล่าวแต่ความที่มนุษย์เราต้องการทำตามใจตัวเองเราจึงเป็นเหมือนคนตายที่เดินได้ไปมาในโลกนี้
เอเฟซัส 2:4
ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป ถูกมารชักจูงให้หลงและยังหลงไปด้วยความต้องการของตนเอง ขณะที่เราทุกคนอยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้า ไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นจากคำแช่งสาปของบาปคือความตาย ด้วยพระเมตตาความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงสร้าง(คือมนุษย์ทุกคนที่ทรงอนุญาตให้เกิดมา) พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ .. ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเข้ามาแทรกแซง เราทุกคนจะพินาศสิ้น
เอเฟซัส 2:5
สิ่งที่ไม่มีใครทำให้ได้คือ การทำให้คนที่ตายไปแล้วมีชีวิตขึ้นมาใหม่ … นั่นคือให้ฟื้นคืนชีพฝ่ายวิญญาณนั่นเอง และการมีชีวิตใหม่ครั้งนี้ ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการอยู่กับพระคริสต์พระองค์ทรงปลุกเราขึ้นมาจากความตายฝ่ายวิญญาณด้วยพระคุณที่มากมาย สูงส่ง พระคุณที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตอบแทนพระคุณนั้น ทุกคนที่ได้รับการมีชีวิตใหม่ต่างจากชีวิตเดิมที่ติดตามมาร รู้ดีว่าพระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไร
เอเฟซัส 2:6-7
เป็นไปได้หรือ? แต่พระเจ้าจะทรงให้เราได้ทั้งการคืนชีพจากความตายเพราะการล่วงละเมิด เมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว ยังจะให้เราได้นั่งในสวรรค์กับพระเยซูด้วย … นี่มันอะไรกัน? เหตุใดพระเจ้าประทานให้เรามากเพียงนี้? จะมีใครบ้างที่มอบชีวิตให้กับคนที่เคยเป็นศัตรู และยังมอบสิ่งดี ๆที่สุดซึ่งไม่มีใครให้ได้ นี่บอกเราว่า เรามีที่อยู่ใหม่ในขณะที่เราติดตามพระองค์ในโลกนี้ เราก็เป็นชาวสวรรค์ด้วยในเวลาเดียวกัน (ฟีลิปปี 3:20)
ท่านเปาโลบอกเราว่า ในอดีต เราเป็นอย่างไร ในปัจจุบัน พระเจ้าทรงช่วยเราอย่างไร และในยุคที่กำลังมาถึง พระเจ้าก็ยังจะไม่ทรงยับยั้งพระคุณให้กับผู้ที่อยู่กับพระองค์นี่เป็นพระเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงแสดงให้กับมนุษย์ พระคุณนี้มากล้น ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจนับได้ ยากที่เราจะเข้าใจถึงพระคุณดังกล่าว เพราะสมองของเรา ความเข้าใจของเรานั้นยังไม่อาจรับและเข้าใจได้หมด
เอเฟซัส 2:8-9
ความรอดที่พระเจ้าประทานให้เรานั้นไม่ได้เกิดจากการทำดีของเรา (การทำดีนั้นเป็นสิ่งที่มีเกียรติ แต่ไม่สามารถเป็นตัวแลกเปลี่ยนความรอดมาได้) ความเท่าเทียมกันของมนุษย์เราอยู่ตรงนี้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สูงส่ง ต่ำต้อยแค่ไหนแต่ละคนจะได้รับความรอดจากพระเจ้าด้วยเงื่อนไขอันเดียวกัน พระคุณคือ ความโปรดปรานที่พระเจ้าประทานให้กับทั้งคนดีและคนชั่ว ไม่อาจซื้อได้ และไม่มีใครสมควรได้รับนอกจากพระเยซู!
เอเฟซัส 2:10
ความหมายคือ เราเป็นผลงานศิลปะ เหมือนกับว่าเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแกะสลักให้งดงาม ทรงมีพระดำริสำหรับชีวิตของมนุษย์ทุกคนให้เขาได้ทำสิ่งดีงดงามในโลกนี้ งานดีดังกล่าวเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะได้ทำสิ่งดีที่เหมาะสมกับชีวิตของเขา นี่เป็นเหตุให้เรามีของประทานหลาย ๆ อย่างในคริสตจักร ให้ทุกคนได้มีโอกาสทำการดีที่ทั้งเหมาะกับเราและเป็นการเตรียมล่วงหน้าจากพระองค์
เอเฟซัส 2:11-12a
ตอนนี้ท่านเปาโลหันมาพูดเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้เชื่อ แม้ว่าคนที่ท่านเขียนจดหมายถึง มีหลายคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตแบบชาวยิว แต่ก็มีคนยิวที่ใช้เรื่องนี้เอามาดูแคลนผู้เชื่อใหม่ พวกเขามองเห็นว่าการทำพิธีเข้าสุหนัตสำคัญยิ่งกว่าความรอดที่พระเจ้าประทานเสียอีกพี่น้องต่างชาติเหล่านี้ถูกกัน และถูกตราหน้าว่าเป็นชนต่างชาติ ไม่ใช่คนในครอบครัวของพระเจ้า ท่านจึงย้ำว่าความคิดเช่นนี้มาจากมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า
เอเฟซัส 2:12b-13
เอาล่ะ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนนอกพันธสัญญาของบรรพบุรุษอย่างเช่นอับราฮัม โมเสส ดาวิด แต่ท่านเปาโลได้ทำให้พวกเขาเข้าใจว่า การแยกกันระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติในเรื่องการเข้าสุหนัตนั้น ไม่มีผลต่อไป! ทั้งนี้เป็นเพราะว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อพวกเขา พวกเขาจึงเป็นคนของพระเจ้าผ่านความเชื่อไปแล้วคนที่เคยอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้แล้ว พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับคนยิว
เอเฟซัส 2:14
กำแพงที่กั้นสองฝ่ายคือ ความเกลียดชังที่คนยิวมีต่อคนต่างชาติและคนต่างชาติมีต่อคนยิว แต่คนใดที่ได้เชื่อในพระเยซูแล้ว ความเกลียดชังที่มีต่อกันก็ถูกทำลายลงไป คนที่เคยเกลียดกันอย่างกินเลือดกินเนื้อก็กลายเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้าเหมือนกัน ผู้ที่อยู่คนละฝั่งของกำแพงก็ได้มาอยู่ในบริเวณเดียวกันโดยพระเยซูผู้ทรงเป็นสันติสุข ซึ่งตอนนี้โลกต้องการเหลือเกิน จะยอมรับหรือไม่? ทุกคนในโลกจึงต้องการพระคริสต์!!
เอเฟซัส 2:16
ความโกรธแค้นแบบต่อเนื่องมาจากรุ่นสู่รุ่นที่เราพบเห็นในโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดยังอยู่เต็มโลก แม้กระทั่งคนในชาติเดียวกันก็ถูกสร้างกระแสให้เกิดความเกลียดชังกัน พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้มนุษย์ได้เป็นพี่น้องหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันในพระคริสต์เราจึงเห็นได้ว่า เมื่อคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าได้พบเจอกัน แม้ในสังคมบอกว่า สองเชื้อชาตินี้เข้ากันไม่ได้ แต่พวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
เอเฟซัส 2:17-18
ท่านเปาโลยืนยันว่า พระเยซูเสด็จมาประกาศสันติสุข ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระเยซูทรงเป็นราชาแห่สันติสุข อิสยาห์ 9:6 และทรงสัญญาจะให้สันติแก่คนของพระองค์ เป็นสันติที่ไม่เหมือนโลกให้ อีกประการหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเป็นคนชาติไหนในโลก เรามาถึงพระบิดาได้โดยเชื่อวางใจในพระเยซู ซึ่งทรงมอบพระวิญญาณให้กับเราเป็นผู้ประทับอยู่ด้วยตลอดชีวิตและนำชีวิตเราเข้าสนิทกับองค์พระบิดา
เอเฟซัส 2:19-20
บัดนี้ คนต่างชาติผู้ที่เชื่อกับยิวที่เชื่อ ก็เป็นประชากรในอาณาจักรเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วย การเป็นประชากรของพระองค์ คือมีสิทธิ หน้าที่ และประโยชน์ที่ได้รับอย่างที่เจ้าอาณาจักรนั้นกำหนดไว้ การเป็นคนในครอบครัวจะได้มีความสัมพันธ์ สิทธิ หน้าที่และสิ่งดี ๆ จากครอบครัว ซึ่งในที่นี้บอกว่า มีรากฐานจากอัครทูตและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้แรก เป็นเสาเอกของครอบครัวนี้
เอเฟซัส 2:21-22
ผู้เชื่อทุกคนเป็นประชากร ครอบครัวของพระเจ้าและยังเป็นเหมือนส่วนต่าง ๆ ในอาคารที่มีพระเยซูเป็นเสาเอกด้วย ท่านเปาโลได้เปรียบเทียบชุมชนผู้เชื่อเป็นสามอย่างนี้ และภาพของอาคารทำให้เรารู้ว่า ทุกคนเชื่อมต่อกันอย่างสนิท เป็นที่สถิตขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงเห็นว่าการสถิตอยู่ของพระวิญญาณมิใช่แค่ในร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น แต่พระองค์สถิตในหมู่ผู้เชื่อที่เป็นส่วนของกันและกัน เชื่อมโยงกันสนิท
พระคำเชื่อมโยง
เอเฟซัส 2
1* โคโลสี 2:13; 1:21; เอเฟซัส 4:18 ; ลูกา 15:24
2* เอเฟซัส 4:17, 22; 5:8; โคโลสี 3:7; โรม 11:30; 1โครินธ์ 6:11; เอเฟซัส 6:12; วิวรณ์ 9:11; ยอห์น 12:31; เอเฟซัส 5:6; 1 เปโตร 1:14
3* กาลาเทีย 5:16; สดุดี 51:5; โรม 5:12; 2 เปโตร 2:14
4* เอเฟซัส 2:7; ทิตัส 3:5; โรม 2:4; ยอห์น 3:16
5* เอเฟซัส 2:1; โรม 5:6, 8,10; โคโลสี 2:12-13; ยอห์น 14:19;
วิวรณ์ 20:4; เอเฟซัส 2:8; กิจการ 15:11
6* เอเฟซัส 1:20
7* เอเฟซัส 2:4; ทิตัส 3:4
8* เอเฟซัส 2:5; 1 เปโตร 1:5; โรม 4:16; 2 โครินธ์ 3:5; ยอห์น 4:10; ฮีบรู 6:4
9* 2 ทิโมธี 1:9; ทิตัส 3:5;โรม 3:20; 1โครินธ์ 1:29; ผู้วินิจฉัย 7:2
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:6, 15; สดุดี 100:3; เอเฟซัส 3:9; 4:24; โคโลสี 3:10; เอเฟซัส 4:24; 1:4;
โคโลสี 1:10
11* โรม 2:26, 28; โคโลสี 2:11,13
12* 1โครินธ์ 12:2; เอเฟซัส 5:8; โคโลสี 3:7; เอเฟซัส 4:18; โคโลสี 1:21; เอเสเคียล 14:5; กาลาเทีย 2:15; 4:8; โรม 9:4; 1 เธสะโลนิกา 4:13; เอเฟซัส 1:18
13* เอเฟซัส 2:17;กิจการ 2:39; โคโลสี 1:20;โรม 3:25
14* สดุดี 72:7; มีคาห์ 5:5; เศคาริยาห์ 9:10; โคโลสี 3:15; ลูกา 2:14; กาลาเทีย 3:28; โคโลสี 1:21-22;โรม 7:4
15* โคโลสี 2:14,20; โรม 6:4
16* โคโลสี 1:20-22; 1โครินธ์ 12:13
17* อิสยาห์ 57:19; เอเฟซัส 2:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7; สดุดี 148:14
18* ยอห์น 14:6; เอเฟซัส 3:12; ยอห์น 10:7,9; โรม 5:2; เอเฟซัส 4:4; 1โครินธ์ 12:13
19* เอเฟซัส 2:12; ฮีบรู 11:13; 13:14; ฟีลิปปี 3:20; ฮีบรู 12:22-23; กาลาเทีย 6:10
20* เยเรมีย์ 12:16; 1 โครินธ์ 3:9; มัทธิว 16:18; วิวรณ์ 21:14; 1โครินธ์ 3:11; สดุดี 118:22; อิสยาห์ 28:16
21* เอเฟซัส 4:15-16; 1 โครินธ์ 3:16-17
22* 1 เปโตร 2:5; เอเฟซัส 3:17; 2 โครินธ์ 6:16; 1 ทิโมธี 3:15
เอเฟซัส 1 องค์ผู้สูงสุด
เอเฟซัส 1:1
ข้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระดำริของพระเจ้า ถึงวิสุทธิชนของพระเจ้าในเมืองเอเฟซัส ซึ่งเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ในพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 1:2
ขอให้พระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลายด้วยเถิด
เอเฟซัส 1:3
ขอถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่างจากสวรรค์สถาน ให้แก่พวกเราผู้อยู่ในพระคริสต์
เอเฟซัส 1:4
เหตุว่า พระองค์ได้ทรงเลือกเราผู้อยู่ในพระคริสต์ ไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อพวกเราจะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ติในสายพระเนตร
เอเฟซัส 1:5
พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก เพื่อจะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านพระเยซูคริสต์ตามพระดำริและความโปรดปรานของพระองค์
เอเฟซัส 1:6
ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าเนื่องจากพระคุณที่เต็มด้วยพระสิริซึ่งประทานแก่เราโดยไม่คิดราคาใด ๆ ผ่านพระบุตรที่พระองค์ทรงรัก
เอเฟซัส 1:7
ในพระองค์เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ได้รับการยกโทษบาปทั้งสิ้นตามพระคุณอันมั่งคั่งของพระองค์
เอเฟซัส 1:8-9
ซึ่งพระองค์ประทานแก่เราอย่างเหลือเฟือด้วยสติปัญญาและความหยั่งรู้ทั้งสิ้น พระองค์ทรงทำให้เรารู้ถึงความลี้ลับของพระดำริตามความโปรดปรานที่ทรงมุ่งหมายในพระคริสต์
เอเฟซัส 1:10
และเมื่อถึงเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้นพระเจ้าจะทรงรวบรวมสรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนโลก ให้มาสยบอยู่ใต้องค์พระคริสต์
เอเฟซัส 1:11
ในพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเลือกเราให้รับมรดกโดยทรงกำหนดเราล่วงหน้าตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงให้ทุกสิ่งบรรลุผลตามพระดำริของพระองค์
เอเฟซัส 1:12
เพื่อว่าพวกเราที่ได้เชื่อวางใจในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะถวายสรรเสริญแด่พระสิริตระการของพระองค์
เอเฟซัส 1:13
ในพระองค์เช่นกัน เมื่อพวกท่านได้ยินถ้อยคำแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่านและเชื่อวางใจในพระองค์ ท่านก็ได้รับการประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสัญญาไว้
เอเฟซัส 1:14
พระวิญญาณทรงเป็นผู้ค้ำประกันว่าเราจะได้รับมรดก จนถึงวันที่คนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่อันเป็นการสรรเสริญพระสิริตระการของพระองค์
เอเฟซัส 1:15-16
เป็นเพราะข้าได้ยินถึงความเชื่อที่ท่านมีต่อองค์พระเยซูเจ้า และความรักที่ท่านมีต่อวิสุทธิของพระเจ้าทุกคน
ข้าจึงไม่หยุดขอบคุณพระเจ้าเพราะพวกท่าน ยามที่ข้าระลึกถึงท่านในเวลาที่อธิษฐาน
เอเฟซัส 1:17
ข้าอธิษฐานขอพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริตระการว่าจะโปรดประทานวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดงเพื่อให้ท่านรู้จักพระองค์
เอเฟซัส 1:18
ข้าอธิษฐานว่า ตาใจของท่านจะมองเห็นกระจ่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่า อะไรคือความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน อะไรคือมรดกอันมั่งคั่งที่พระองค์ประทานให้วิสุทธิชนของพระองค์
เอเฟซัส 1:19
และรู้ว่าอะไรคือความยิ่งใหญ่ของฤทธิ์เดชอนันต์ของพระองค์ที่มีต่อเราผู้ที่เชื่อ ฤทธิ์เดชอนันต์ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนทำราชกิจด้วยอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์
เอเฟซัส 1:20
ซึ่งทรงกระทำให้กับพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย และทรงให้พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน
เอเฟซัส 1:21-22 ก
สูงเหนือเหล่าเทพผู้ครองและเทพที่มีอำนาจ เทพที่มีฤทธิ์เดช และเทพผู้ครองอาณาจักร และเหนือทุกชื่อที่ถูกเรียกขึ้นมา ไม่เฉพาะในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่กำลังเคลื่อนเข้ามาด้วย และพระเจ้าทรงกำราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระคริสต์
เอเฟซัส 1:22ข-23
และทรงตั้งให้พระองค์เป็นศีรษะเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ พระกายที่เต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้ทรงเติม ทุกสิ่งให้เต็ม ในทุกด้าน
เอเฟซัส 1:1
จดหมายสมัยใหม่นั้น มักจะกล่าวถึงคนรับก่อน แต่จดหมายโบราณจะพูดก่อนว่าใครเป็นคนเขียนส่งมาถึงใคร ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้คือท่านเปาโลเขียนถึงพี่น้องในเมืองเอเฟซัส ซึ่ง..ก็จะเป็นจดหมายเวียนที่เวียนอ่านกันในหมู่พี่น้องคริสตจักรต่าง ๆ ใกล้เคียง คำว่าอัครทูตคือ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งไปกล่าวพระคำของพระองค์ ท่านเปาโลเป็นผู้ที่พระเยซูทรงส่งไป (กิจการ 9:15) ส่วนคำว่าวิสุทธิชนนั้น คือคนที่เชื่อติดตามพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 1:2
ผู้ที่เป็นคนที่ติดตามพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีพระคุณและสันติสุขในชีวิตแม้ว่ารอบข้างจะมีปัญหาคำว่าพระคุณ ในภาษาเดิมคือ ความโปรดปรานมักใช้คำนี้เมื่อบอกว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยโปรดปรานมนุษย์ เรามีชีวิตอยู่ใต้พระคุณของพระเจ้าที่มีหลายด้าน ตั้งแต่ความรอดไปจนพระเมตตาในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นพระคุณที่ยั่งยืนดังนั้นเราต้องไม่ลืมว่าพระคุณมาใหม่ทุกเวลาเช้า
เอเฟซัส 1:3
คนที่อยู่ในพระคริสต์จริง ๆ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าเราได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณมากมาย จริง ๆแล้วหนังสือเอเฟซัสบทที่ 1 นี้ มีเรื่องที่ต้องพูดถึงอย่างลึกซึ้ง แต่เบื้องต้นนี้ เพียงเราทบทวนว่าพระพรฝ่ายวิญญาณของเราที่พระเจ้าประทานให้เราก็พูดกันได้ไม่จบ … ทั้งความรอด พระคุณสันติสุข องค์พระวิญญาณที่ประทับภายในชีวิตพระคำที่หล่อเลี้ยงชีวิต ชุมชนผู้เชื่อ เพื่อน ๆ ที่เป็นกำลังใจ เราลองมาค้นดูสิ มากจริง ๆ
เอเฟซัส 1:4
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ข้อ 3-14 เป็นประโยคยาวประโยคเดียวแต่พวกเราต้องค่อย ๆ เคี้ยวพระคำตอนนี้เพราะล้ำลึก และสำคัญต่อชีวิตของเรา เป้าหมายของพระเจ้าก่อนที่จะทรงสร้างโลกคือคนที่เป็นคนของพระองค์นั้น มีเป้าหมายคือการเป็นคนที่บริสุทธิ์ และไร้ตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งเราเองก็รู้ว่า หากยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มันเป็นเรื่องยากมาก ชีวิตบริสุทธิ์ไร้ตำหนิจึงต้องเกิดจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น
เอเฟซัส 1:5
พระบิดาทรงกำหนดไว้ว่า มนุษย์เราจะได้เป็นบุตรของพระองค์ต้องผ่านพระเยซูคริสต์ การที่พระเจ้าทรงรับใครเป็นบุตรนั้น ยังขึ้นอยู่กับพระดำริ และความพอพระทัยของพระองค์ คน ๆหนึ่งจะเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของพระองค์ที่กล่าวมา พระดำริที่ชัดเจนคือ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ทุกคนได้รับความรอดและมารู้จักกับความจริง 1 ทิโมธี 2:3-4
เอเฟซัส 1:6
เรามักไม่รู้ว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับพระเจ้าทุกวินาทีอากาศที่หายใจ อาหาร สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ และ ยังมีเรื่องฝ่ายวิญญาณที่ประทานอีกมากมาย ถ้าพระเจ้าจะมอบสิ่งต่าง ๆ ให้มนุษย์โดยคิดค่าคิดราคาแล้ว ก็ไม่มีใครจะจ่ายไหว พระองค์ทรงให้อย่างไม่คิดค่า ทำให้หลายคนไม่ได้เห็นคุณค่าของพระพร พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อมนุษย์ อย่างไม่คิดค่า เพราะรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจ่ายได้เลย
เอเฟซัส 1:7
ในประโยคยาว ๆ ของท่านเปาโลนี้ ท่านกล่าวถึงพระคุณบ่อยมาก และตรงนี้ เราได้เห็นพระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้สองอย่างที่
สำคัญยิ่ง คือ ทรงไถ่บาปเรา และทรงยกโทษให้เรา สองสิ่งนี้ เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่มีพระพรฝ่ายวิญญาณอีกมากมายรออยู่ ไม่ว่าจะ
เป็นการเติบโตในพระเจ้า พระคัมภีร์ที่ประทานให้ชุมชนพี่น้องที่จะทำให้ชีวิตมีมิติหลากหลายขึ้น ฯลฯ
เอเฟซัส 1:8-9
นอกจากได้รับการไถ่และการยกบาปแล้ว เรายังได้รับทราบถึงความลี้ลับของพระดำริที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์ด้วย ถ้าเราอ่านหนังสือเอเฟซัสนี้ต่อไป เราจะทราบว่า สิ่งนั้นคืออะไร พระคัมภีร์ NTV แปลภาษาไทยใช้คำว่า ความลึกลับซับซ้อนของความประสงค์ของพระองค์ เป็นการเปิดเผยที่พระเจ้าทรงให้กับท่านเปาโลก่อน จากนั้นท่านจึงอธิบายความให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้เข้าใจพระดำริ
ของพระเจ้าในเรื่องนี้
เอเฟซัส 1:10
นี่เป็นแผนการที่พระเจ้าทรงวางไว้ และถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม เราก็จะเห็นว่า พระเจ้าทรงทำตามแผนการของพระองค์มาตั้งแต่ต้นเลย พระองค์ทรงทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เราเพิ่งจะมาเห็นและเข้าใจ แผนการลับของพระเจ้าเพื่อมนุษย์นั้น ก็คือ การที่จะให้ทุกอย่างในโลกและจักรวาลมารวมเป็นหนึ่งเดียวและสยบ ยอมจำนนกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์!
เอเฟซัส 1:11
เมื่อเราได้มาเชื่อ ติดตามพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็ทรงให้เราได้รับมรดกจากพระองค์ ข้อ 7 ตามพระคุณอันมั่งคั่ง ข้อ 8 ประทานอย่างเหลือเฟือทั้งสติปัญญาความรู้ ข้อ 9 ทรงทำให้เราตามความโปรดปราน ข้อ 11 ทรงให้ตามพระดำริทั้งหมดในชีวิตของเรา เหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นเช่นนี้ วนเวียนอยู่ที่พระดำริหรือพระประสงค์ของพระองค์มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เมื่อใดที่ใคร เข้ามาอยู่ในพระองค์ก็จะได้ตามพระประสงค์นี้
เอเฟซัส 1:12
ในข้อ 11-12 คำว่าพวกเราในที่นี้หมายถึงคนยิวที่รอคอยพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)มาตั้งนานและเขาก็ได้พบพระองค์ และได้ตอบรับพระองค์เขาเหล่านี้จะเป็นพวกแรกที่จะได้ถวายสรรเสริญพระนามของพระองค์ พระสิริของพระองค์ ก่อนใคร ๆ พวกเขาเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกให้ประกาศพระนามของพระองค์ แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ยอมมีคนบางส่วนที่ตอบรับพระองค์
เอเฟซัส 1:13
พวกท่านในข้อนี้ แตกต่างจากข้อ 12 ซึ่งหมายถึงยิวคริสเตียน แต่ตอนนี้ พวกท่านที่ได้ยินข่าวประเสริฐทั้งยิวและต่างชาติ และยอมรับเชื่อวางใจก็จะได้พระวิญญาณประทับตราชีวิตของเราไว้ที่เรารู้ชัดเพราะเมื่อเราเชื่อวางใจพระเจ้าจริง ๆพระองค์ทรงมาในชีวิตให้บังเกิดใหม่ ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป พระวิญญาณในชีวิตไม่ใช่พระองค์ที่ล่องลอย แต่เป็นพระองค์ผู้ทรงประทับตราชีวิตเราไว้
เอเฟซัส 1:14
นอกจากพระเจ้าจะทรงประทับตราในชีวิตของผู้เชื่อแล้ว นอกจากที่พระองค์จะทรงให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงจากชีวิตเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งนิสัยใจคอ ความรู้สึกที่มีต่อผู้อื่น ความห่วงใยอย่างพระเจ้า การประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากชีวิตเดิมแล้ว…. พระวิญญาณยังทรงเป็นผู้ประกันว่า เมื่อถึงวันของพระเจ้า วันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เราจะได้รับมรดกที่พระองค์ทรงสัญญาอย่างแน่นอน
เอเฟซัส 1:15-16
ท่านเปาโลทราบดีว่า พี่น้องชาวเอเฟซัสทั้งรักพระเจ้าและรักกันและกัน ท่านหนุนใจพวกเขาให้รู้ว่า ถึงแม้ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่กับเขา แต่ยังระลึกถึงพวกเขาตลอดเวลา และอธิษฐานขอพระเจ้าเพื่อพวกเขาด้วย นี่เป็นตัวอย่างอันดีที่พี่น้องคริสเตียนจะอธิษฐานเผื่อกันและกัน ความจริงแล้ว ผู้ที่รู้ดีว่าเราอธิษฐานเผื่อคือองค์พระเจ้าผู้ทรงฟังและตอบคำอธิษฐานการที่ได้รับรู้ว่ามีคนอธิษฐานเผื่อก็เป็นกำลังใจมาก
เอเฟซัส 1:17
ท่านเปาโลได้เน้นว่า ท่านทูลขอต่อองค์พระบิดาผู้ทรงพระสิริเพื่อพี่น้อง พระบิดาคือผู้ที่จะประทานความเข้าใจ สติปัญญาฝ่ายวิญญาณให้กับพี่น้องชาวเอเฟซัส เราเข้าใจว่าท่านกำลังหมายถึงองค์พระวิญญาณที่อิสยาห์ได้กล่าวถึงในอิสยาห์ 11:2ยิ่งเป็นพวกเราทุกวันนี้ ยิ่งต้องการทั้งความรู้ความเข้าใจเพราะว่าเราอยู่ท่ามกลางคำโกหกตั้งแต่เช้าจนค่ำ เราต้องการความรู้ในพระเจ้าที่จะต่อต้านและนำให้คนของพระเจ้าเข้าใจความจริงถ่องแท้
เอเฟซัส 1:18
สิ่งที่ท่านเปาโลอธิษฐานสำคัญมาก คือทำให้ตาใจที่เคยมืดบอดนั้น ได้มองเห็นสิ่งดี ๆ ฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ มีสามอย่างในข้อ 18-19สองอย่างแรก คือ ความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกเรากับความมั่งคั่งของมรดก ตาใจตรงนี้คือความเข้าใจจะขยายมองเห็นว่าความหวัง ความมั่งคั่ง นั้นมีมากมายแต่ที่สุด ๆคือการที่เราได้อยู่ใต้พระคุณพระเจ้าใกล้ชิดพระองค์ทั้งวันนี้และตลอดไป
เอเฟซัส 1:19
อย่างที่สามคือ ให้เราเข้าใจถึงฤทธิ์เดชอนันต์ที่มีต่อพวกเรา เปลี่ยนจากคนที่ตายแล้ว วิญญาณแยกจากพระองค์ กลับได้มาเป็นคนของพระองค์ ในข้อต่อไปเราจะเห็นฤทธิ์อนันต์นี้ ได้ทำสิ่งใดบ้างอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ฤทธิ์เดชอนันต์ของพระเจ้านี้เป็นฤทธิ์ยิ่งใหญ่ที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้เลย เพราะก่อนที่จะเข้าใจได้ คน ๆ นั้นต้องมีความเชื่อในพระเจ้าก่อน แล้ว พระวิญญาณในเขาจะทำให้เขาเข้าใจได้
เอเฟซัส 1:20
ท่านเปาโลอธิษฐานขอให้เรามองเห็นความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกเรา รู้จักมรดกที่ทรงเตรียมไว้และเข้าใจถึงฤทธิ์เดชอนันต์ของพระเจ้าสุดยอดมาก.. พระเจ้าทรงฤทธิ์ทรงทำให้พระเยซูองค์เมสสิยาห์คืนชีพจากความตาย และบัดนี้ทรงอยู่เบื้องขวาของพระองค์ นั่นคือพระเยซูทรงรับสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ผู้ทรงลงมาเป็นมนุษย์ทรงใช้ชีวิตแบบมนุษย์ในโลก บัดนี้กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล
เอเฟซัส 1:21-22ก
ความยิ่งใหญ่ อำนาจสูงสุดของพระเยซูไม่ได้มีเฉพาะเหนือมนุษยชาติ เหนือจักรวาลที่ทรงสร้างขึ้นมา แต่ท่านเปาโลได้บอกเราชัดเจนว่า ทรงอยู่สูงเหนือเทพต่าง ๆ ที่กำลังพยายามทำลายโลกอยู่ทุกวันนี้ เหนือทุกวิญญาณทั้งหลายที่มนุษย์ในโลกนับถือ
เราผู้อยู่ใต้พระคุณของพระเจ้าจึงจะได้รับชัยชนะ เพราะว่า ผู้ที่อยู่ในเรานั้นทรงใหญ่กว่าบุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณ เพราะทรงอยู่ข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว
เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงให้พระเยซูทรงอำนาจสูงสุด ทุกอย่างอยู่ใต้พระองค์ ทรงเป็นความหวังเดียวของเรา ทุกสิ่งในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างมาซึ่งหมายถึงมนุษย์ด้วยต่างคร่ำครวญที่จะได้รับการไถ่จากพระเจ้าพ้นจากผลของบาปทุกอย่างในชีวิต (โรม 8:22-23) เราจึงไม่ต้องไปหาวิธีอื่นที่จะพ้นทุกข์ของชีวิตเลย … มาหาพระเยซูเป็นพอ
เอเฟซัส 1:22ข-23
และที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงเตรียมให้พระเยซูทรงดำรงตำแหน่งที่สูงสุดในคริสตจักร คริสตจักรคือพระกายของพระองค์ ที่ต้องการผู้นำ ผู้สั่ง ผู้ที่คอยบอกว่าร่างกายต้องไปทางไหน อยู่อย่างไร คริสตจักรใดติดตามพระคริสต์ พวกเขาจะเต็มด้วยพระองค์ในทุก ๆ ด้าน
พระคำเชื่อมโยง
เอเฟซัส 1
3* 2 โครินธ์ 1:34* โรม 8:28; 1 เปโตร 1:2; ลูกา 1:75
5* โรม 8:29; ยอห์น 1:12; 1โครินธ์ 1:21
6* โรม 3:24; มัทธิว 3:17
7* ฮีบรู 9:12; โรม 3:24-25
9* โรม 16:25; 2 ทิโมธี 1:9
10* กาลาเทีย 4:4; 1โครินธ์ 3:22; โคโลสี 1:16, 20
11* โรม 8:17; อิสยาห์ 46:10
12* 2 เธสะโลนิกา 2:13; ยากอบ 1:18
13* ยอห์น 1:17; 2 โครินธ์ 1:22
14* 2 โครินธ์ 5:5; โรม 8:23; กิจการ 20:28; 1 เปโตร 2:915* โคโลสี 1:4
16* โรม 1:9
17* ยอห์น 20:17;โคโลสี 1:9
18* กิจการ 26:18; เอเฟซัส 2:12
19* โคโลสี 2:12
20* กิจการ 2:24; สดุดี 110:1
21* ฟีลิปปี 2:9-10 โรม 8:38-39
22* สดุดี 8:6; 110:1; ดาเนียล 7:13-14; มัทธิว 28:18; ฮีบรู 2:7
23* โรม 12:5;โคโลสี 2:9; 1โครินธ์ 12:6
2 โครินธ์ 13 พิสูจน์ตนเอง
2 โครินธ์ 13:1-2
นี่เป็นครั้งที่สามที่ข้ามาเยี่ยมท่าน “ข้อกล่าวหาใด ๆ ต้องมีพยานสองสาม
ปากขึ้นไป” จึงจะเป็นหลักฐานเชื่อถือได้ ตอนที่ข้ามาเยี่ยมท่านครั้งที่สองนั้น
ข้าได้เตือนคนที่ทำบาปก่อนหน้านั้นรวมทั้งพวกที่เหลือ เวลานี้ข้าขอเตือน
ขณะที่ข้าไม่ได้อยู่ด้วยว่า หากข้ากลับมาอีกครั้งข้าจะไม่ งดโทษให้ใครเลย
2 โครินธ์ 13:3
เพราะท่านต้องการได้หลักฐานพิสูจน์ว่า พระคริสต์ตรัสผ่านข้า พระองค์ไม่ได้
ทรงอ่อนแอต่อท่านแต่ทรงมีฤทธิ์เดชมากในหมู่พวกท่าน
2 โครินธ์ 13:4
เพราะแม้ว่า พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพราะทรงยอมอ่อนแอ แต่
พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ในแบบเดียวกัน คือเรา
อ่อนแอด้วยกันกับพระองค์ แต่เพื่อรับใช้พวกท่าน เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกัน
กับพระองค์ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
2 โครินธ์ 13:5-6
จงพิจารณาตนเองว่า พวกท่านมีความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตนเอง พวกท่านไม่ตระหนักเลยหรือว่า พระเยซูคริสต์สถิตในตัวท่าน? นอกจากว่า ท่านจะไม่ผ่านการพิสูจน์ ข้าหวังว่า ท่านจะตระหนักว่า เราผ่านการพิสูจน์แล้ว
2 โครินธ์ 13:7
เราอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อว่า ท่านจะไม่ทำชั่ว มิใช่เพื่อให้เห็นว่าเราผ่านการพิสูจน์แล้วแต่เพื่อให้พวกท่านได้ทำตัวอย่างถูกต้องแม้จะดูราวกับว่า เราเองไม่ผ่านการพิสูจน์ก็ตาม
2 โครินธ์ 13:8-9
เพราะว่า เราไม่อาจทำอะไรที่ขัดกับความจริง แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น
เพราะเมื่อเราเองอ่อนแอ และพวกท่านเข้มแข็ง เราก็ยินดี เราอธิษฐานเพื่อว่า
พวกท่านจะสมบูรณ์เพียบพร้อม
2 โครินธ์ 13:10
เพราะเป็นอย่างนี้ ข้าจึงเขียนเรื่องต่างๆเหล่านี้ ในระหว่างที่ข้าไม่ได้อยู่กับท่านเพื่อว่า เมื่อมาถึง ข้าจะไม่ต้องเข้มงวดกับท่านในการใช้สิทธิอำนาจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ เพราะข้าได้รับมอบมาเพื่อสร้างเสริมท่านขึ้น
ไม่ใช่เพื่อทำลาย
2 โครินธ์ 13:11
ในที่สุด พี่น้องเอ๋ย จงยินดี และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ที่มีความดีพร้อมทุกประการ
ทำตามที่ข้าขอร้อง และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อยู่ด้วยกันอย่างสันติ แล้ว
พระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะสถิตกับท่าน
2 โครินธ์ 13:12-14
จงทักทายกันโดยแตะแก้มอย่างบริสุทธิ์พี่น้องในพระเจ้าฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน ขอพระคุณแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักของพระเจ้าและสัมพันธ์สนิทในพระวิญญาณบริสุทธิ์จงอยู่กับท่านทุกคน อาเมน
2 โครินธ์ 13:1-2
การมาสองครั้งแรกของท่านเป็นเหมือนคำพยานสองคน ท่านได้เห็นบาปหลายอย่างเกิดขึ้นในคริสตจักร และท่านเลยเตือนเขาล่วงหน้าว่า ต่อไปนี้ไม่ใช่แค่เตือนแล้ว แต่จะลงมือเอาจริงกับคนที่ไม่ฟังคำเตือนและยังหลงกับการทำบาปไม่มีการกลับใจ ท่านจะไม่ยอมให้คนทำบาปมาทำร้ายชุมชนของพระเจ้าอีกต่อไป จากข้อสุดท้ายที่ผ่านมา ท่านไม่แน่ใจว่าจะเจออะไรในชุมชนนี้
2 โครินธ์ 13:3
พวกเขายังไม่เข้าใจว่า พระเจ้าทรงเอาจริงเช่นกันแม้ว่าพระองค์จะทรงเต็มด้วยพระคุณ ความรักเต็มด้วยการให้อภัย พระองค์ทรงทำการในคริสตจักรผ่านพระดำรัสที่ทรงสอนตักเตือนโดยปากของผู้รับใช้ แต่หากเตือนแล้วยังไม่มีการสำนึก พระเจ้าก็จะทรงจัดการกับพวกเขาอย่างที่ไม่คาดคิด แต่ยังมีคนที่กังขาในสิทธิอำนาจของอัครทูตในตัวท่านเปาโล
2 โครินธ์ 13:4
พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนเรา ทรงกอบเอาความอ่อนแอต่อบาปของเราไปและตายแทนเรา ดังนั้น แม้ว่าท่านเปาโลจะดูว่าอ่อนแอ แต่เมื่อท่านอธิบายความแห่งพระดำรัสของพระเจ้า เวลานั้นท่านเข้มแข็ง บางครั้งคนมองความถ่อมตนของผู้รับใช้ว่าเป็นความอ่อนแอ ไม่เก่ง สู้พวกเขาไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องจัดการกับบาป ความอ่อนแอนั้นจะกลายเป็นฤทธิ์เดชที่สู้กับบาปอย่างไม่ถอย
2 โครินธ์ 13:5-6
ท่านเปาโลกำลังบอกให้พี่น้องที่ถูกครูสอนผิดปั่นหัวอยู่ให้รู้จักสำรวจตัวเองว่าเป็นอย่างไรให้นำสิ่งที่ท่านสอนแล้วสอนอีกเข้ามาช่วยวัดว่า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของตนอยู่ในสภาพร่อแร่ไหมเชื่อพระเจ้าจริง ๆ หรือเปล่า ให้มองเข้าไปในชีวิตว่ามีการเปลี่ยนแปลงพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตหรือไม่ ถ้าเห็นว่าชีวิตไม่เปลี่ยนก็แสดงว่า ยังไม่เชื่อพระเจ้าจริง ยังไม่เกิดใหม่จริงท่านเปาโลพูดทำนองนี้หลายครั้ง
2 โครินธ์ 13:7
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครเชื่อจริง ใครเชื่อปลอมอย่างนี้ ท่านเปาโลยังคงอธิษฐานเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำบาปผิดใด ๆ การสำรวจตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของเราปลอดภัย เราจะได้รู้ว่า ตัวเองยังอยู่ในความเชื่อไหม ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า บางคนตกอยู่ในความบาป แต่หลงเข้าใจว่าตนเองเชื่ออย่างถูกต้อง การรู้จักตัวเองจะช่วยให้เราได้รู้ว่าใช่ตัวเองหรือเปล่าที่เป็นอุปสรรคไม่ให้เติบโต
2 โครินธ์ 13:8-9
หากพวกเขากลับใจ หากได้สำรวจตัวเองแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เข้มแข็งขึ้น ท่านเปาโลก็จะยินดีมาก เพราะว่าท่านได้อธิษฐานให้พวกเขาคืนสู่สภาพที่เป็นคนของพระเจ้าสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เปลี่ยนความคิดไปมาตามคำสอนของเหล่าครูสอนผิด แม้ว่าพวกเขายังคิดว่าท่านอ่อนแอ ไม่เก่ง เป็นคนไม่ได้ความ ท่านยังไม่ว่าเลย ขอให้เขาใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า.. นั่นคือเป้าหมายของท่าน
2 โครินธ์ 13:10
ท่านเปาโลคาดหวังว่า เมื่อท่านมาเยี่ยมพวกเขาจะไม่มีสิ่งใดที่ต้องแก้ไขอีก หวังว่าพวกเขาจะกลับมาหาความจริงแห่งข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูใช้ชีวิตติดตามพระองค์เต็มร้อย ถูกต้องไม่ใช่หลงไปตามคำสอนของครูสอนผิดที่พยายามชี้นำพวกเขา ท่านอยากเสริมสร้างพวกเขาต่อ
ทำให้พวกเขาเติบโตต่อไปบนรากฐานที่ถูกต้อง แทนที่จะต้องมาใช้เวลากับการปรับชีวิต ความคิดความเชื่อ
2 โครินธ์ 13:11
ทั้งดุ ทั้งเตือน ทั้งปลอบใจ หนุนใจ สอนให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มาท้ายสุด ท่านเปาโลขอให้เขามีความยินดีในพระเจ้า มีเป้าหมายห้าอย่างที่สำคัญตั้งใจใหม่เป็นคนดีพร้อม ทำตามคำสอน มีใจเดียวกับพี่น้อง มีสันติร่วมกัน ไม่ใช่มีแต่การทะเลาะทุ่มเถียง หากคริสตจักรใดขาดสิ่งเหล่านี้คงต้องมาทบทวนกันใหม่ หากมีการอิจฉาตาร้อนมีการชิงดีชิงเด่น เหล่านี้เป็นสิ่งตรงข้ามที่พระเจ้าแห่งสันติสุขจะอยู่ในหมู่เราไม่ได้
2 โครินธ์ 13:12-14
เรายังเห็นการทักทายในตะวันออกกลางที่สองฝ่ายจะแตะแก้มกันและกัน นี่เป็นการทักทายคล้าย ๆ สวัสดี หรือจับมือกัน ที่สำคัญคือเรามีความเป็นมิตรกันในหมู่พี่น้อง นี่เป็นการขอพรที่ครบถ้วนจากองค์ตรีเอกานุภาพในที่อื่นไม่ได้เป็นอย่างนี้ ท่านเปาโลได้ย้ำชัดเจนถึงพระพรที่มาจากองค์พระเจ้า เป็นพระพรที่สมบูรณ์แบบ และทำให้ชีวิตของคนที่ได้รับนั้นเต็มล้นจริง ๆ
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 โครินธ์ 12:14;
เฉลยธรรมบัญญัติ 17:6; 19:15
2* 2 โครินธ์ 10:2; 12:21; 1:23; 10:11
3* มัทธิว 10:20; 1โครินธ์ 9:2
4* 1 เปโตร 3:18; โรม1:4; 6:4;
2 โครินธ์ 10:3-4
5* กาลาเทีย 4:19; 1โครินธ์ 9:27
7* 2 โครินธ์ 6:9
9* 1โครินธ์ 4:10; 1 เธสะโลนิกา 3:10
10* 1โครินธ์ 4:21; 2 โครินธ์ 10:8
11* โรม 12:16, 18; 15:33
12* โรม 16:16
14* โรม16:24; ฟีลิปปี 2:1
2 โครินธ์ 12 เข้มแข็งด้วยพระคุณ
2 โครินธ์ 12:1-2
ข้าจำต้องอวดต่อ แม้ว่าไม่เกิดประโยชน์แต่ข้าจะพูดถึงนิมิต และการสำแดงของพระเจ้าต่อไป คือข้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสาม ซึ่งเขาไปทั้งร่างหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่พระเจ้าทรงทราบ
2 โครินธ์ 12:3-4
ข้ารู้ว่าเขาคนนี้ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ แต่จะไปทั้งร่างหรือไม่ข้าไม่ทราบแต่พระเจ้าทรงทราบ เขาได้ยินถ้อยคำที่บอกคนอื่นไม่ได้ เป็นคำที่ไม่อนุญาตให้มนุษย์พูดถึง
2 โครินธ์ 12:5-6
ข้าจะอวดเรื่องของเขาคนนี้ แต่ข้าจะไม่อวดเรื่องตัวเอง นอกจากจะอวดเรื่องความอ่อนแอของข้า แม้ว่าข้าอยากจะอวด ข้าก็ไม่ใช่คนโง่เพราะ ข้าจะพูดความจริง แต่ข้าจะไม่อวด เพื่อจะไม่มีใครยกข้าเกินกว่าที่เขาได้เห็นสิ่งที่ข้าทำหรือได้ยินสิ่งที่ข้าพูด
2 โครินธ์ 12:7-8
และเพื่อว่าข้าจะไม่ยกตัวจนเกินไป เนื่องจากการสำแดงที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าในหลาย ๆ สิ่ง ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้า เป็นทูตจากซาตานคอยรังควาญ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้ายกตน ข้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าถึงสามครั้ง ให้หนามนี้หลุดออกไป
2 โครินธ์ 12:9
แต่พระองค์ตรัสกับข้าว่า “พระคุณที่เรามีให้เจ้านั้นเพียงพอแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธิ์เดชของเราก็เต็มบริบูรณ์ ณ ที่นั้น” ดังนั้นข้าจึงจะอวดความอ่อนแอทั้งหลายของข้ามากขึ้น เพื่อว่าฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้า
2 โครินธ์ 12:10
เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าจึงพอใจกับความอ่อนแอ การถูกดูหมิ่น ความทุกข์ยากลำบากการถูกข่มเหง และในภัยพิบัติ เพราะว่าครั้งใดที่ข้าอ่อนแอ ครั้งนั้น ข้าก็จะเข้มแข็งขึ้น
2 โครินธ์ 12:11
ข้าเป็นคนโง่ไปแล้วสินะที่อวดอย่างนี้ที่เป็นไปเพราะพวกท่านบังคับให้เป็น ข้าสมควรได้รับการยกย่องจากท่าน ข้าไม่ได้ด้อยกว่าพวกอัครทูตพิเศษเหล่านั้น แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนวิเศษมาจากไหน
2 โครินธ์ 12:12
สิ่งที่พิสูจน์ความเป็นอัครทูตแท้ของข้า ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดในหมู่พวกท่านแล้ว นั่นคือ ข้ามีความทรหดอย่างสูง ทำหมายสำคัญต่าง ๆ การอัศจรรย์ และงานแห่งฤทธิ์เดชทั้งหลาย
2 โครินธ์ 12:13
ข้าได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ทัดเทียมคริสตจักรอื่นอย่างไรหรือ? มีสิ่งเดียวคือ ข้าไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระของท่าน ถ้าเป็นความผิดนี้ ข้าก็ขออภัยด้วย
2 โครินธ์ 12:14
ตอนนี้ข้าเตรียมตัวที่จะมาเยี่ยมท่านเป็นครั้งที่สาม และจะไม่ให้เป็นภาระของท่าน เพราะข้าไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกท่าน แต่ที่ต้องการคือตัวท่าน เพราะว่า ไม่สมควรที่ลูกจะจัดหาให้พ่อแม่ แต่พ่อแม่ต่างหากที่ควรจัดหาให้ลูกๆ
2 โครินธ์ 12:15-16
ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่ง และมอบตัวเองจนหมดเพื่อเห็นแก่ท่าน ในเมื่อข้ารักพวกท่านมากขึ้น พวกท่านจะรักข้าน้อยลงหรือ? พวกท่านเห็นว่า ข้าไม่ได้เป็นภาระของท่าน แต่ยังมีคนบางคนพูดว่า ข้าเป็นคนเจ้าเล่ห์
และใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อลวงท่าน
2 โครินธ์ 12:17-18
ข้าจะเอาเปรียบพวกท่านผ่านคนที่ข้าส่งไปเยี่ยมพวกท่านหรือ?ข้าขอให้ทิตัสไปพร้อมกับพี่น้องอีกคน
ทิตัสเอาเปรียบท่านหรือ? ทั้งเราและเขาได้ปฏิบัติด้วยจิตใจที่มีเป้าหมายเดียวกัน วิธีการเดียวกันมิใช่หรือ?
2 โครินธ์ 12:19
ท่านอาจคิดอยู่ตลอดมาว่า เราแก้ตัวกับท่าน แต่ที่จริง เราพูดต่อพระพักตร์ของพระเจ้าในฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ว่า ทุกสิ่งที่เราทำ ก็เพื่อประโยชน์ของพวกท่าน
2 โครินธ์ 12:20
ข้าเกรงว่า เมื่อข้ามาถึงท่าน อาจพบว่าพวกท่านไม่เป็นอย่างที่ข้าอยากให้เป็นและพวกท่านพบว่า ข้าไม่เป็นอย่างที่ท่านอยากให้เป็น คือ อาจมีการทะเลาะริษยากัน ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ว่าร้ายนินทา ทั้งหยิ่งจองหอง ก่อความวุ่นวาย
2 โครินธ์ 12:21
ข้ากลัวว่า เมื่อข้ามาอีก พระเจ้าอาจจะทรงทำให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าพวกท่าน และอาจจะต้องเสียใจที่หลายคนได้ทำผิดและไม่กลับใจจากความสกปรก เรื่องการล่วงประเวณี และความลามกที่พวกเขาจมปลักอยู่นั้น
2 โครินธ์ 12:1-2
ตอนนี้ท่านเปาโลยังอยู่ในเรื่องของการอวด ยังไม่จบ และถึงแม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร แต่ก็ขออวดต่อไป .. พระคำตอนนี้แปลกมาก เพื่อเห็นแก่ชาวโครินธ์ ท่านจะชี้แจงว่า ท่านแตกต่างจากเหล่าครูสอนผิดที่พวกเขาหลงตามไปอย่างไรที่เคยอวดเรื่องภัยต่าง ๆ ความรักที่ท่านมีต่อพวกเขา คราวนี้ขออวดเรื่องนิมิต การสำแดงที่พระเจ้าทรงให้กับท่าน แล้วแทนที่จะบอกว่าเป็นตัวเอง กลับว่าท่านรู้จักชายคนหนึ่ง สิบสี่ปีมาแล้ว..
2 โครินธ์ 12:3-4
ตรงนี้ ท่านน่าจะหมายถึงตนเอง เนื้อหาของนิมิตไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ท่านเปาโลพยายามบอกคือ พระเจ้าทรงให้ได้ยินคำที่บอกต่อไม่ได้ เป็นความลับ เขาคนนี้ได้ไปถึงสวรรค์ พบกับพระเจ้าตรง ๆ ท่านต้องการสื่ออะไร? ..”อันที่จริง ข้าได้ไปพบพระเจ้าในสวรรค์แล้วด้วย
2 โครินธ์ 12:5-6
เขาคนนี้ คือ ท่านเปาโลเองตอนนี้ สิ่งที่ท่านเปาโลกำลังอธิบายคือ การที่ท่านเห็นนิมิต เห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดง ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกว่าตัวเองเหนือคนอื่น แต่กลับทำให้ได้เห็นตัวเองว่า อ่อนแอเพียงไรมากขึ้นอีก ประสบการณ์ที่ท่านมีกับพระเจ้า ความใกล้ชิดกับพระองค์นั้นได้ทำให้ท่านเห็นตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว เป็นคนที่ยิ่งต้องการพระเจ้ามากกว่าที่เคยอีก นี่เป็นตัวอย่างของคนพบพระเจ้าจริง
2 โครินธ์ 12:7-8
และพระเจ้าก็ทรงช่วยให้ท่านไม่เป็นคนที่จะมองคนอื่นต่ำกว่า หรือรู้สึกตนเองเป็นคนพิเศษของพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงให้มีบางอย่างในร่างกายของท่าน ทำให้เจ็บปวด หรือเป็นอุปสรรค แม้ว่าท่านเองขอให้พระเจ้าเองออกไป แต่ก็ไม่ได้พระเจ้ายังทรงให้มีขวากหนามเล็ก ๆ นี้ในตัว ดังนั้น ผู้ที่เชื่อพระเจ้าจึงต้องมองทุกอย่างให้ทะลุว่าบางครั้ง อะไรที่เป็นลบ มันอาจเป็นเครื่องมือช่วยให้เราไม่ทำผิดต่อพระเจ้าก็เป็นได้
2 โครินธ์ 12:9
ท่านเปาโลไม่ได้บอกเราว่าหนามที่ท่านมีอยู่ในตัวนั้นคืออะไร แต่มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้ซาตานทำในตัวท่านเพื่อเป้าหมายที่สูงกว่านั้น และพระองค์ยังทรงอธิบายด้วยว่า พระคุณที่ทรงให้กับท่านนั้นพอเพียงที่จะทำให้ใช้ชีวิตต่อไปได้. พระคำข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ช่วยคริสเตียนจำนวนมากผ่านความทุกข์ยากต่าง ๆ มาได้
2 โครินธ์ 12:10
พระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านเปาโลเจอกับอุปสรรคบางอย่างในตัวท่าน ที่จะช่วยให้ท่านไม่กลายเป็นคนเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองยอดกว่าใคร (จากที่ท่านอวดให้พี่น้องได้เห็นเพื่อสู้กับครูสอนผิดทั้งหลาย)
เราเห็นชัดว่า ท่านเหนือชั้นกว่าพวกนั้นมากแต่พระเจ้าทรงใช้หนามนี้ กั้นไม่ให้ท่านยกตัว ให้ท่านมีมุมมองแตกต่างจากคนทั่วไป ท่านพอใจที่จะอ่อนแอ และขอบพระคุณสำหรับสิ่งนั้น นี่เป็นกุญแจแห่งความเข้มแข็ง
2 โครินธ์ 12:11
ท่านเปาโลถูกบังคับให้อวด เนื่องจากพี่น้องไม่เข้าใจว่า ท่านคือผู้รับใช้ตัวจริงที่พระเจ้าทรงส่งมาสิ่งที่ท่านเปาโลกำลังทำคือ การทำเป็นตัวอย่างให้ พวกเราเห็นว่า ปัญญาแห่งไม้กางเขน ไม่ได้อยู่ที่ ความเก่งของผู้รับใช้ ท่านยอมเป็นคนที่ดูโง่ และอ่อนแอ เพื่อพี่น้องจะได้เห็นว่า พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ใหญ่สุด
2 โครินธ์ 12:12
การที่ท่านเปาโลมีความอดทนอย่างสูงต่อความยากลำบาก และยังมีการทำหมายสำคัญ มีฤทธิ์ของพระเจ้าประกอบในคำสอน (ดูจากกิจการ 9 เป็นต้นไป) พิสูจน์ว่าท่านเป็นคนของพระเจ้าตัวจริง
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:13
ท่านเปาโลลงท้ายว่า ทุกอย่างที่ทำให้คริสตจักรอื่น ๆ ท่านทำกับพี่น้องในโครินธ์เหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำอย่างเดียวคือการรับเงิน รับความช่วยเหลือจากพวกเขา (เป็นเพราะพวกเขามัวแต่ไปให้เงินกับพวกครูสอนผิดเหล่านั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นการส่งเสริมให้ความรู้ผิดเข้ามาในคริสตจักร)ในสมัยโครินธ์ หากใครสอนเก่ง พูดดีมีโวหารน่าฟังก็จะร่ำรวยจากเงินบริจาคของผู้ฟัง
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:14
เวลานี้ ท่านเปาโลได้ย้ำความรักความห่วงใยของท่านต่อพี่น้องอีก เตรียมจะมาเยี่ยม และขอไม่เป็นภาระแก่พวกเขาเลย ท่านมองว่า ตนเองเป็นเหมือนพ่อแม่ที่ต้องจัดหาให้ลูก ครั้งแรกที่มาก็คือ การสร้างชุมชนคริสเตียนเป็นคริสตจักรโครินธ์ ครั้งที่สองมาแล้ว มีเรื่องเสียใจ แต่แล้วเตรียมมาครั้งที่สาม ท่านต้องการตัวพวกเขาให้มารู้จักพระเจ้ามาขึ้น กลับมาหาพระองค์ไม่ได้ต้องการสิ่งของใด ๆ
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:15-16
ในขณะที่พี่น้องชาวโครินธ์ เชื่อข่าวลือว่าท่านเปาโลไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวท่านเองกลับเลือกที่จะทุ่มเทชีวิตให้กับพวกเขาอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าจะมีผู้รับใช้คนหนึ่งยอมเสียหน้า ยอมเสียใจยอมอวดตัวทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการอวด ยอมเป็นคนโง่ในสายตาของคนทั้งเมือง ท่านยอมสละทุกสิ่ง มอบตัวให้หมดเพื่อจะให้พี่น้องได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ได้พ้นจากคนที่หลอกลวงพวกเขา นี่คือผู้รับใช้พระเจ้าตัวจริง!
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:17-18
แม้แต่คนที่ท่านเปาโลส่งไปคือทิตัสและอีกคนที่จะไปช่วยสอนเรื่องของพระเจ้า และดูแลเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทน ท่านเปาโลเน้นย้ำเลยว่า ท่านและผู้รับใช้ที่ท่านส่งไปไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องการเงินเหมือนคนอื่น ๆ ที่ทำกับพวกเขา แม้จะมีคนกล่าวหาว่าท่านล่อลวงพวกเขา ท่านก็ยังพยายามที่จะให้พวกเขาเข้าใจ
ให้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร “รักแท้มีแต่จะให้”
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:19
ท่านเปาโลพอจะมองออกว่า พวกเขาจะคิดอะไรบ้าง ท่านก็คิดไปล่วงหน้าให้แล้วเช่นกัน ท่านกำลังบอกชัดเจนว่า นี่ไม่ได้แก้ตัวในเรื่องใดๆแต่ต้องการให้พี่น้องเข้าใจว่า ท่านทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขาจริง ๆ น่าแปลกที่ท่านเปาโลถูกมองไร้ค่า ไม่เหมือนกับคนที่มาคิดราคาค่าพูดแบบแพง ๆ บางทีคนเราในโลกโบราณหรือวันนี้เหมือนกัน ตรงที่ว่า เห็นของฟรีเป็นของไม่มีค่า
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:20
สิ่งที่อยู่ในหัวใจของท่านเปาโลก็คือ ต้องการสร้างคริสตจักรให้เป็นเจ้าสาวที่ไร้มลทิน ถวายแด่พระเจ้า แต่ความจริงที่อาจเจอคือ ความเละเทะ วุ่นวายในคริสตจักร ท่านกลัวว่า สถานการณ์ต่าง ๆ ในคริสตจักรอาจจะไม่ได้ดีขึ้น แต่เป็นแย่ลง ที่ท่านเป็นห่วงขนาดนี้เพราะหัวใจของท่านเป็นห่วงเหมือนที่พ่อแม่เป็นห่วงชีวิตของลูก ๆ ที่เดินออกนอกทางดี แต่หันไปทำตามใจตัวเองอย่างที่เขาพอใจและคิดว่าให้ความสุข
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 12:21
ท่านกังวลไปถึงว่า อาจมีหลายคนไม่ได้กลับใจเลยทั้ง ๆ ที่ท่านเองเฝ้าบอกแล้วบอกอีกให้เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนนิสัย เดินตามทางของพระเจ้า ไม่ใช่ตามทางชีวิตเดิม สิ่งที่ท่านเขียนในจดหมายสิ่งที่ท่านเป็นห่วงอาจไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพี่น้องเลย แต่กลับกลายเป็นว่า งานที่ท่านทำลงไปนั้น ไม่ส่งผลดี เสียเวลา เสียความรู้สึก ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจะรู้สึกทั้งอับอายและเสียใจพร้อม ๆ กันไป
พระคำเชื่อมโยง
1* กิจการ 16:9; 18:9; 22:17-18; 23:11; 26:13-15; 27:23; กาลาเทีย 1:12; 2:2
2* โรม 16:7 ; กิจการ 22:17
4* ลูกา 13:43
5* 2 โครินธ์ 11:30
7* เอเสเคียล 28:24; โยบ 2:7
8* มัทธิว 26:44
9* 2 โครินธ์ 11:30 ; 1 เปโตร 4:14
10* โรม 5:3; 8:35; 2 โครินธ์ 13:4
11* 2 โครินธ์ 5:13; 11:1, 16; 12:6; 11:5; 1โครินธ์ 3:7; 13:2; 15:9
12* โรม 15:18; กิจการ 15:12; 14:8-10; 16:16-18; 19:11-12; 20:6-12; 28:1-10
14* 2 โครินธ์ 1:15; 13:1-2; 1โครินธ์ 10:24-33; 4:14
15* 2 ทิโมธี 2:10; 2 โครินธ์ 6:12-13
16* 2 โครินธ์ 11:9
18* 2 โครินธ์ 8:18
19* 2 โครินธ์ 5:12; โรม 9:1-2 ; 1โครินธ์ 10:33
20* 1โครินธ์ 4:21
21* 2 โครินธ์ 2:1, 4; 13:2; 1โครินธ์ 5:1
2 โครินธ์ 11 มาแข่งกันอวด
2 โครินธ์ 11:1-2
ข้าขอให้พวกท่านอดทนต่อความเขลาของข้า แต่ความจริงคือ ท่านกำลังทนให้อยู่แล้ว เพราะข้านั้น หวงท่านอย่างที่พระเจ้าทรงหวง เพราะข้าได้หมั้นหมายท่านไว้กับสามีคนเดียว เพื่อจะถวายพวกท่านเป็นพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์
2 โครินธ์ 11:3
แต่ข้ากลัวนักว่า จากที่งูเคยใช้อุบายล่อลวงเอวาอย่างไรความคิดของท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปจากการอุทิศถวายตัวที่จริงใจและบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์เช่นกัน
2 โครินธ์ 11:4
ถ้าหากว่า มีใครคนหนึ่งมาและประกาศเรื่องพระเยซูแบบที่เราไม่ได้ประกาศนั้น หรือหากท่านได้รับวิญญาณอื่นซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับหรือหากท่านรับข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับ ท่านก็ยังอดทนฟังได้ดีจริง ๆ
2 โครินธ์ 11:5-6
เพราะข้าเองก็รู้ว่า ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าคนสอนที่ท่านเรียกว่า “อัครทูตเหนือชั้น” เหล่านั้นแม้ว่าข้าไม่ได้มีโวหารดี แต่ข้าก็มีความรู้แน่นตามที่ท่านเองก็เห็นจากเราในทุกเรื่องที่เราทำอยู่แล้ว
2 โครินธ์ 11:7-8
ข้าทำผิดอะไรไปหรือ? ที่ได้ถ่อมตัวลงเพื่อยกท่านขึ้น ในการที่ข้าประกาศ
ข่าวประเสริฐของพระเจ้าโดยไม่คิดเงิน ข้าเองได้ทำตัวเหมือนปล้นคริสตจักรอื่นเพราะข้าได้รับเงินถวายจากเขามาเพื่อรับใช้พวกท่าน
2 โครินธ์ 11:9
เมื่อข้าอยู่กับท่านและขัดสนต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระกับใคร เพื่อพี่น้องจากมาซิโดเนียได้จัดหาสิ่งที่ขาดให้ ข้าทำตัวไม่ให้เป็นภาระของท่านในเรื่องใด ๆ และจะทำตัวอย่างนี้ต่อไป
2 โครินธ์ 11:10-11
เท่าที่ความจริงของพระคริสต์ดำรงในข้าเช่นไร ก็จะไม่มีใครในแคว้นอาคายามาปิดปากไม่ให้ข้าอวดเรื่องนี้เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร?
ข้าพเจ้าไม่รักพวกท่านหรือ? พระเจ้าทรงทราบดีว่า ข้ารักพวกท่าน
2 โครินธ์ 11:12-13
งานที่ข้าทำอยู่ ข้าจะทำต่อไป เพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนช่างฉวยโอกาส
โอ้อวดว่า เขาก็ทำงานในลักษณะแบบเดียวกับพวกเรา เพราะคนพวกนี้เป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่ไม่ซื่อตรง ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์
2 โครินธ์ 11:14-15
ที่จริงการทำอย่างนี้ไม่แปลก เพราะซาตานเองยังปลอมตัวเป็นทูตแห่ง
ความสว่าง ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คนของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ความเที่ยงธรรม ท้ายสุด พวกเขาจะได้รับสนองตามการกระทำของตนเอง
2 โครินธ์ 11:16-17
ข้าขอย้ำเตือนว่า ใครอย่าคิดว่าข้าโง่แต่หากท่านคิดเช่นนั้น ก็ขอให้ยอมรับข้าอย่างคนโง่เถิด เพื่อข้าจะได้อวดบ้างเวลาที่ข้าอวดเช่นนี้ ข้าไม่ได้พูดตามแบบขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่พูดอย่างคนโง่ที่อวดดี
2 โครินธ์ 11:18-19
เพราะคนทั้งหลายมากมายต่างพากันอวดตามเนื้อหนัง ข้าก็จะอวดบ้าง
การที่ท่านยินดีอดทนต่อคนโง่ เป็นเพราะพวกท่านฉลาดสินะ
2 โครินธ์ 11:20
เพราะว่า เมื่อมีใครทำให้ท่านเป็นทาส หรือใครมาทำให้ท่านเป็นเหยื่อ หรือมีใครยกตัวขึ้นเหนือคนอื่น หรือตบหน้าท่าน ท่านช่างยอมอดทนต่อพวกเขาจริง ๆ
2 โครินธ์ 11:21
ข้าเองละอายใจจริง ๆ ว่าพวกเราอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้แต่หากใครกล้าอวดเรื่องใด ข้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน นี่ข้าพูดในฐานะเป็นคนโง่
2 โครินธ์ 11:22
พวกเขาเป็นคนเชื้อชาติฮีบรูรึ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน
พวกเขาเป็นชนชาติอิสราเอลหรือ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน
เขาเป็นลูกหลานอับราฮัมหรือ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน
2 โครินธ์ 11:23-24
เขารับใช้พระคริสต์หรือ?ข้าทำได้ดีกว่าพวกเขาเสียอีก นี่ข้าพูดเหมือนคนเสียสติ ข้าเองถูกจำคุกมากกว่า ถูกโบยนับครั้งไม่ถ้วนเกือบตายหลายครั้ง พวกยิวเฆี่ยนข้าห้ารอบ รอบละ สามสิบเก้าครั้ง
2 โครินธ์ 11:25-26
ข้าถูกตีด้วยท่อนไม้สามครั้ง ถูกหินขว้างรอบหนึ่ง ต้องเจอกับเรือแตกสามครั้งลอยคอกลางทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่งข้าเดินทางเสมอ เจอภัยในแม่น้ำ จากโจร จากคนชาติเดียวกันเอง แล้วยังเจอภัยจากคนต่างชาติ ข้าเจอกับภัยพิบัติทั้งในเมือง ในป่า ในทะเล รวมถึงพี่น้องจอมปลอม
2 โครินธ์ 11:27-28
ข้าทำงานตรากตรำ ทนต่อความลำบากอดหลับอดนอนเสมอ บ่อยครั้ง ไม่มีกินต้องทนความหนาว เปลือยกาย ยิ่งกว่านั้น ยังมีความกดดันอื่น ๆ คือ
ข้าห่วงใยคริสตจักรเป็นประจำทุกวัน
2 โครินธ์ 11:29-30
แล้วข้าไม่รู้สึกอ่อนแอตามไปด้วย ?ใครบ้างที่ถูกชักชวนให้หลงทาง
แล้วข้าไม่เดือดร้อนใจ?ถ้าข้าจำต้องอวด ข้าก็จะอวดถึงสิ่งที่แสดงว่าข้าอ่อนแอ
2 โครินธ์ 11:31-33
พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ทรงทราบว่า ข้าไม่ได้มุสา ผู้ว่า-ราชการเมืองดามัสกัสของกษัตริย์อาเรทัสให้คนเฝ้าเมืองไว้เพื่อจับกุมข้า แต่มีคนเอาข้าใส่กระบุงใหญ่และหย่อนลงทางช่องหน้าต่างกำแพงเมือง ข้าจึงพ้นเงื้อมมือของเขามาได้
อธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 11:1-2
ท่านเปาโลรู้ดีว่า พี่น้องชาวโครินธ์มองท่านอย่าง เหยียดๆ อยู่แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อที่จะเลิกเตือนสติ สั่งสอนพวกเขา ท่านบอกตรง ๆ ว่า
ท่านหวงแหนพวกเขายิ่งนัก ไม่ต้องการให้เขาตกอยู่ในการล่อลวงใด ๆ จากเหล่าครูสอนผิดทั้งหลาย พวกเขากำลังเผชิญกับคำสอนผิดอย่าง
อย่างไม่รู้ตัว ท่านบอกตรง ๆ ว่าต้องการถวายพวกเขาแด่พระเจ้าอย่างไม่มีมลทินใด ๆ เลยหวังให้พวกเขาอยู่ในคำสอนที่ถูกต้องที่สุด
2 โครินธ์ 11:3
การที่ผู้เชื่อที่เคยถวายตัวอย่างจริงใจในความบริสุทธิ์จะถูกล่อลวงให้หลงไปนั้น ไม่ได้ยาก หากเขาคนนั้นไม่ได้มีพื้นฐานในพระคำของพระเจ้า
อย่างมั่นคง เขาจะมองไม่ออกว่าใครเป็นคนพูดจริง หรือพูดเท็จ คนที่หลอกลวงมักมีโวหารดีน่าเชื่อถือ ทำให้หลงตามไปได้ง่าย ๆ แล้วยุคนี้
ก็มีนักเทศน์ นักพูดให้ติดตามมากมายในแพลทฟอร์มต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย ที่จะสังเกตว่าใครเป็นใครยากยิ่งกว่าสมัยก่อนเสียอีก!!
2 โครินธ์ 11:4
ตอนนี้ ท่านเปาโลจะต้องเผชิญกับความโง่เขลาของพี่น้องที่ชอบฟังคนสอนผิด เราจะเห็นว่าท่านก็มักใช้คำประชดประชันแต่ในเวลาเดียวกันก็บอกให้รู้ว่าท่านเป็นห่วงเพียงไร พี่น้องชาวโครินธ์มักถูกหลอกจากคนที่พูดเก่ง โวหารดีแต่ เป็นพวกที่บิดเบือนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ความที่พวกเขาดูดีนี่เองทำให้พี่น้องตกหลุมพรางทั้ง ๆ ที่พวกเขาสอนแตกต่างไปจากท่านเปาโล
2 โครินธ์ 11:5-6
อย่าลืมว่าวัฒนธรรมพื้นฐานของชาวโครินธ์คือยกย่องคนพูดเก่ง ท่านเปาโลต้องชี้แจงว่าแม้ท่านพูดไม่น่าฟัง พูดตรงไปตรงมา แต่ท่านมีความรู้เรื่องของพระเจ้าอย่างถูกต้อง มั่นคง รู้จริง รักจริง ไม่ใช่เป็นคนหลอกลวง สิ่งที่พิสูจน์คือทุกอย่างที่ท่านทำลงไปเพื่อพวกเขาท่านยืนยันกับพวกเขาว่า ท่านไม่ด้อยไปกว่าคนที่เป็น “อัครทูตที่เหนือชั้น” ดังนั้น เราทุกคนต้องระวังที่จะไม่ตกหลุมพรางอย่างพี่น้องโครินธ์
2 โครินธ์ 11:7-8
ความพยายามของท่านเปาโลที่จะช่วยพี่น้องชาวโครินธ์นี้ดูเหมือนจะพลิกกลับ ทำให้ท่านด้อยค่าทั้ง ๆ ที่ท่านประกาศคำของพระเจ้าโดยไม่ได้ค่าจ้าง เงินถวายใด ๆ จากพวกเขา กลับกลายว่าที่ไม่ต้องเสียเงิน กลายเป็นของตาย ไร้ค่า ( โลกกรีกโรม จะยกย่องและจ่ายเงินให้กับนักพูดเก่งๆ)ซึ่งท่านเปาโลมองว่า พรกิตติคุณเป็นสิ่งที่เราได้มาเปล่า ๆ ต้องให้เปล่า ๆ ความคิดของท่านสวนกระแสนิยมในสมัยนั้น
2 โครินธ์ 11:9
ท่านเปาโลมีผู้ที่สนับสนุนเป็นอย่างดีคือ พี่น้องจากคริสตจักรในมาซิโดเนียซึ่งอยู่ทางเหนืออย่างเช่นคริสตจักรฟีลิปปี เธสะโลนิกาเป็นต้น (โครินธ์อยู่ในแคว้นอาคายาตอนใต้) ส่วนพี่น้องในโครินธ์กลับมองไม่เห็นความเอื้อเฟื้อของพี่น้องในมาซิโดเนีย และความตั้งใจดีของเปาโล กลับมองเป็นคนไม่มีค่าเสียอย่างนั้น และให้ความสำคัญกับเหล่าคนที่ต้องการประโยชน์จากตนเวลาไม่เข้าใจอะไร คนเราก็ไม่เข้าใจจริง ๆ
2 โครินธ์ 11:10-11
ท่านเปาโลไม่รับเงินจากคนโครินธ์เพื่อช่วยในการเดินทางใช้ชีวิตในการประกาศ เพราะท่านไม่ต้องการเป็นเหมือนพวกที่เข้ามาสอนเพื่อเห็นแก่เงิน เห็นแก่ตัวเอง อีกอย่างการที่ท่านจะรับเงินจากคนบาปทำให้สิทธิอำนาจในการตักเตือนพวกเขานั้นลดลงไป (ความเห็นของ Ambrosoaster จากCommentary on Paul’s Epistles) ท่านกำลังบอกว่า การท่านไม่ได้เอาเงินจากเขา ไม่ได้หมายความว่าท่านขาดความรัก
2 โครินธ์ 11:12-13
คนที่เป็นครูเดินทางเข้าไปสอนในคริสตจักรโครินธ์ เร่ร่อนมาจากที่ต่าง ๆ เป็นพวกที่ไม่ได้มีหลักการเดียวกับท่านเปาโล ท่านจะไม่ปล่อยให้พวกเขาโอ้อวดได้ หลักการในการทำงานรับใช้ของท่านเปาโลนั้นชัดเจนและแตกต่างจากคนเหล่านั้นมาก ท่านจึงกล่าวว่า ท่านจะทำแบบนี้ต่อไปทำไปเรื่อย ๆ จนพี่น้องเห็นว่า ใครเป็นใคร ใครคือผู้รับใช้แท้จริงของพระเจ้า ใครคือคนที่เข้ามาหลอก
2 โครินธ์ 11:14-15
ท่านเปาโลพยายามชี้แจงให้พี่น้องได้เห็นว่าในเมื่อซาตานยังทำตัวเป็นคนดีได้ ทำไมลูกน้องของมันจึงจะทำไม่ได้ แต่คนที่หลอกลวงคนอื่นจะต้องรับผลตอบสนองตามการกระทำของตนเรื่องนี้ คนไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยเชื่อ ซาตานเองไม่ค่อยมาหาเราในหน้าตา ท่าทางแบบอย่างของซาตานหรอก มันมาหาเราด้วยการ
ปลอมตัวเสมอ
2 โครินธ์ 11:16-17
คำพูดของท่านเปาโลตอนนี้ ประหลาดพอควรท่านกำลังต้องการอวดแบบคนโง่เสียด้วย ดูเหมือนว่า ไม่มีทางอื่นแล้วที่จะช่วยให้พี่น้องเข้าใจความจริงนอกจากวิธีนี้ ท่านกำลังบอกว่า หากพวกครูสอนผิดคิดว่าท่านไร้ปัญญา ก็ขอให้รับท่านอย่างนั้น พวกเจ้าเป็นพวกขี้อวด ข้าก็จะอวดให้ฟังสักนิด เราจะมาดูกันว่า การอวดของท่านเป็นอวด หรือเป็นการพูดตามความเป็นจริง
2 โครินธ์ 11:18-19
ที่ท่านเปาโลต้องอวด ก็เป็นเพราะนี่เป็นวัฒนธรรมกลุ่มของพี่น้องโครินธ์ พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากผู้คนยุคใหม่ที่ชอบโชว์ ชอบอวดขึ้นไปบน
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าตัวเองจะมีแบบนั้นจริงหรือไม่ ก็ไม่สนใจ เพราะคนอื่นที่ดูเขาจะเชื่อตามที่เราอวด ในเมื่อพวกเขาฟังครูสอนผิดโอ้อวดโน่นนี่ได้ท่านเปาโลก็จะอวดให้ดูสักประเดี๋ยวหนึ่ง
2 โครินธ์ 11:20
แปลกมาก ที่พี่น้องยอมต่อครูสอนผิดเหล่านั้น ทั้งที่ พวกเขาทำตัวเหนือพี่น้อง ทำตัวเป็นคนที่ดีกว่า ถึงกับตบหน้าพวกเขา ต่อว่าพวกเขาอย่างรุนแรง แต่พี่น้องก็ยอมให้อย่างประหลาด ที่จริง โลกทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น มีพวกที่พยายามให้เราคิดตามพวกเขา ข่มขู่ให้พูดเหมือนกัน คิดอย่างเดียวกัน เราเห็นแบบนี้ทั่วโลกเลย
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 11:21
สิ่งที่ท่านเปาโลจะกล่าวต่อไป เป็นสิ่งที่ท่านรู้สึกว่าเป็นความโง่เง่าที่ท่านจะพูดอย่างนั้น แต่มันไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้พี่น้องชาวโครินธ์เข้าใจแล้ว ครั้งนี้เป็นการสอนอย่างที่ครูเองรู้สึกโง่เง่ามากไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีทางอื่น ท่านจึงพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ข้าพูดในฐานะคนโง่ท่านรู้สึกละอายใจที่ท่านอ่อนแอเกินไปที่จะเอาเปรียบพี่น้องอย่างที่พวกครูสอนผิดกระทำ เป็นวิธีการที่อันตรายพอสมควรทีเดียว
2 โครินธ์ 11:22
ไม่ว่าครูสอนผิดจะอวดอ้างว่าเขามีส่วนดี ส่วนสำคัญตรงไหน ท่านเปาโลก็มีเช่นกัน ไ่ม่ด้อยกว่า ท่านเริ่มจากเชื้อชาติ ชนชาติ ความเป็นลูกหลาน
อับราฮัม เราซึ่งอยู่ในยุคใหม่ที่ไม่มีความผูกพันกับตระกูลมากเท่ากับคนสมัยก่อนอาจไม่เข้าใจว่าในสังคมยิวนั้น ที่มา ครอบครัว เชื้อชาติของแต่ละคน เป็นตัวกำหนดสถานะในสังคมของพวกเขาจะรู้จักคนหนึ่งต้องถามว่ามาจากครอบครัวไหนนามสกุลอะไร สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น
2 โครินธ์ 11:23-24
ถ้าจะพูดถึงการรับใช้ ท่านเปาโลบอกว่าท่านเหนือชั้นกว่ามาก พวกครูสอนผิดไม่ได้เจอการถูกโบย การถูกเฆี่ยนอย่างที่ท่านพบเจอตรงนี้เป็นการอวดแบบว่า ท่านเปาโลเองเจอมามากกว่า (ที่เป็นอย่างนั้นเพราะท่านซื่อตรงต่อพระคำของพระเจ้า ไม่มีการยอมพูดในสิ่งที่ผิดต่อน้ำพระทัย) ส่วนพวกครูสอนผิดนั้นสามารถ
กล่าวคำที่ลื่นไหล ฉธบ. 25:1-3 นี่เป็นจำนวนครั้งที่จะลงโทษสูงสุดในการเฆี่ยน ยิวลดไปหนึ่งเผื่อทำเกิน
2 โครินธ์ 11:25-26
เหตุการณ์ที่ท่านเปาโลกล่าวมานี้ เป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้โดยท่านลูกาในหนังสือกิจการ 27 พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์รวมทั้งตัวท่านเปาโลเอง และเราจะเห็นภาพชัดเจนในกิจการว่า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะเป็นที่ต้อนรับของคนจำนวนมาก แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่รับพระคำของพระเจ้าไม่ได้ และต้องตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรง การต่อต้านไม่ว่าจะเกิดอย่างไร ท่านเปาโลเจอมาหมด
2 โครินธ์ 11:27-28
ความทุกข์ยากทั้งปวงนั้น ไม่ได้ทำให้ท่านเปาโล เดือดร้อนเป็นส่วนตัวเลย ท่านพร้อมที่จะรับแบกความรุนแรงเหล่านั้น โดยถือว่า เป็นกางเขนที่ต้องแบก เป็นสิ่งที่คู่กันกับการประกาศพระนาม แต่สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์คือ ชีวิตของพี่น้องผู้เชื่อพวกเขาเป็นผู้ที่มีค่าในสายตาของท่าน เป็นผู้ที่ท่านต้องการถวายพระเจ้าอย่างมีเกียรติ นี่เป็นความแตกต่างของท่านกับครูสอนผิดเหล่านั้นไม่ทราบว่าพวกเขาตระหนักสิ่งนี้ไหม
2 โครินธ์ 11:29-30
ข้อความตอนนี้ทำให้เราได้เห็นความห่วงใยของท่านเปาโลที่มีต่อคริสตจักรแบบว่า ยอมทุกอย่าง อย่าลืมว่าท่านเคยเป็นฟาริสีที่เก่งระดับต้น ๆ ของยิวมาก่อน ท่านเคยข่มเหงคนของพระเจ้ามาก่อน แต่ตอนนี้ยอมที่จะให้ใครๆ มองว่า เป็นคนอ่อนแอ ไร้ค่าก็ได้ ขอเพียงให้พี่น้องได้กลับมาคืนดี รักพระเจ้า ติดตามพระองค์ ดำเนินชีวิตเป็นที่พอพระทัยท่านแลกทุกอย่างในชีวิตได้กับชีวิตของพี่น้อง
2 โครินธ์ 11:31-33
ถ้าเรากลับไปอ่านกิจการบทที่ 9เราจะเห็นว่า ความกระตือรือร้นของท่านเปาโลทั้ง ๆ ที่เป็นผู้เชื่อใหม่นั้น ทำให้ท่านเองต้องเสี่ยงชีวิตมาตั้งแต่แรกที่เข้ามารู้จักพระเจ้า การที่ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านยังยืนยันด้วยว่า ท่านพูดตามความจริงที่เกิดขึ้น คงยังไม่มีครูสอนผิดคนไหนที่กำลังสู้กับท่านเปาโลสามารถอวดได้ถึง
ขนาดนี้ เพราะไม่มีคนไหนที่จะยอมให้ตนเองตกในอันตรายเพราะพูดความจริงอย่างท่านเปาโล
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 โครินธ์ 11:4, 16, 19
2* กาลาเทีย 4:17; โฮเชยา 2:19; โคโลสี 1:28; เลวีนิติ 21:13
3* ปฐมกาล 3:4, 13; เอเฟซัส 6:24
4* กาลาเทีย 1:6-8
5* 2 โครินธ์ 12:11
6* 1 โครินธ์ 1:17; เอเฟซัส 3:4; 2 โครินธ์ 12:12
7* 1 โครินธ์ 9:18
9* กิจการ 20:33; ฟีลิปปี 4:10
10* โรม 1:9; 9:1;1 โครินธ์ 9:15
11* 2 โครินธ์ 6:11; 12:15
12* 1 โครินธ์ 9:12
13* ฟีลิปปี 1:15; 3:2
14* กาลาเทีย 1:8
15* ฟีลิปปี 3:19
17* 1 โครินธ์ 7:6
19* 1 โครินธ์ 4:10
20* กาลาเทีย 2:4; 4:3, 9; 5:1
21* 2 โครินธ์ 10:10; ฟีลิปปี 3:4
22* ฟีลิปปี 3:4-6
23* 1 โครินธ์ 15:10; กิจการ 9:16; 1 โครินธ์ 15:30
24* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:3; 2 โครินธ์ 6:5
25* กิจการ 16:22-23; 21:32; 14:5, 19; 27:1-44
26* กิจการ 9:23-24; 13:45, 50; 17:5, 13; 14:5, 19; 19:23; 27:42
27* กิจการ 20:31; 1 โครินธ์ 4:11; กิจการ 9:9; 13:2-3; 14:23
28* กิจการ 20:1829* 1 โครินธ์ 8:9, 13; 9:22
30* 2 โครินธ์ 12:5,9,1031* 1 เธสะโลนิกา 2:5; โรม 9:5
32* กิจการ 9:19-25
มาระโก 6 อัศจรรย์ที่เกิดแล้วเกิดอีก
ชาวเมืองเดียวกัน
1 จากที่นั่น พระเยซูเสด็จไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
โดยมีศิษย์ไปกับพระองค์ด้วย
2 พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสอนในศาลาธรรม คนที่ได้ฟังพระองค์มากมายรู้สึกประหลาดใจ กล่าวกันว่า “ผู้นี้ได้สิ่งที่พูดมาจากไหนกัน? สติปัญญาของเขานั้นเป็นแบบไหนนะ? และเขาทำการอัศจรรย์แบบนั้นได้อย่างไร?
3 เขาเป็นช่างไม้ไม่ใช่หรือ? เป็นลูกชายของมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส กับซีโมนนี่นา พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?” แล้วพวกเขาก็เริ่มขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระคำของพระเจ้านั้น จะขาดการนับถือเฉพาะในหมู่ญาติพี่น้อง และเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา”
5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำการอัศจรรย์ใด ๆ ยกเว้นทรงวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยสองสามคนให้หาย
6 และทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ แล้วทรงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านรอบ ๆ นั้น
การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
7 แล้วพระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองมาหาพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว
8 พระองค์ทรงสั่งไม่ให้นำสิ่งใดไปนอกจากไม้เท้าเพื่อช่วยเดินทาง ไม่ต้องนำอาหาร ย่าม หรือเงินติดเอวไป
9 ให้สวมรองเท้าไปด้วยแต่ไม่ให้เอาเสื้ออีกตัวไป
10 และพระองค์ตรัสกับพวกเขา “เมื่อเจ้าเข้าไปในครอบครัวใด ก็จงอยู่กับเขาจนกว่าเจ้าจะออกจากพื้นที่นั้น
11 หากใครไม่ตอนรับเจ้า ไม่ฟังเจ้า ก็จงสลัดผงจากเท้าของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปจากที่นั่น เพื่อเป็นพยานต่อต้านเขา”
(** เราขอบอกเจ้าว่า โทษของเมืองโสโดม และโกโมราห์ยังจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น)
12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และประกาศให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรกลับใจเสียใหม่
13 พวกเขายังขับผีมากมาย และรักษาโรคให้กับคนป่วยโดยการเจิมด้วยนำ้มัน
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องที่กล่าวมานี้ เพราะผู้คนรู้จักพระนามของพระองค์ไปทั่ว
และพวกเขาพูดกันว่า “ท่านคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย ดังนั้นท่านจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ได้15 ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ท่านคือเอลียาห์”บางคนกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้กล่าวพระคำเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านยอห์นที่ข้าตัดหัวไป ฟื้นขึ้นมาจากตาย!”
17 เพราะเฮโรดเอง ได้สั่งจับยอห์น ล่ามโซ่และขังเขาไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ภรรยาของน้องชายที่เฮโรดแต่งงานด้วย
18 เพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาภรรยาของน้องมาเป็นของตน!”
19 เป็นเพราะอย่างนี้ นางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น ต้องการที่จะฆ่าเขา แต่นางทำไม่ได้
20 เนื่องจากเฮโรดเองกลัวยอห์น และปกป้องเขาไว้ เฮโรดรู้ว่ายอห์นเป็นผู้เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์ เมื่อท่านได้ยินคำของยอห์น ท่านจะรู้สึกประหลาดใจ งุนงงมาก แต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเสมอ
21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง วันนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดของเฮโรด มีการเลี้ยงขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเหล่าผู้นำในแคว้นกาลิลี
22 เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ ทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจมาก กษัตริย์จึงตรัสกับเธอว่า “ให้เธอขอสิ่งที่ต้องการมา แล้วเราจะให้เธอ”
23 กษัตริย์สัญญาว่า “ไม่ว่าเธอจะขอสิ่งใด เราจะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาว่า “หนูควรขออะไรดี?” มารดาตอบว่า “ขอหัวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
25 เด็กสาวรีบกลับมาหากษัตริย์ ทูลว่า “หม่อมฉันต้องการศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
26 กษัตริย์เป็นทุกข์ใจนัก แต่เป็นเพราะเขาสาบานแล้วต่อหน้าแขกเหรื่อ จึงไม่อาจขัดใจเธอได้
27 ท่านจึงสั่งให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นเข้ามาทันที โดยส่งเขาไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
28 เขานำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็เอาไปให้มารดา
งานเลี้ยงที่ไม่คาดฝัน
30 ในช่วงเวลานั้น อัครทูตก็รวมตัวกันรอบ ๆ พระเยซู และเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาไปทำ และสั่งสอน
31 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมากับเรา ไปหาที่พักสงบ และให้เราพักผ่อนสักหน่อย” เนื่องจากว่ามีคนไป ๆ มา ๆ มากมายและพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร
32 ดังนั้นพวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน ไปยังที่สงบ
33 แต่มีหลายคนเห็นพวกเขาลงเรือไป และจำได้ว่าเป็นใคร พวกเขาจึงวิ่งออกจาเมืองต่าง ๆ และไปถึงที่หมายก่อนเสียอีก34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ ก็ทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงสงสารพวกเขานัก เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนเขาหลาย ๆ อย่าง
35 เวลาล่วงเลยไปนาน ดังนั้นศิษย์จึงมาหาพระเยซูทูลว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก และตอนนี้ก็เย็นแล้ว
36 ขอพระองค์ทรงปล่อยผู้คนไปตาม เมืองและหมู่บ้านรอบๆ จะได้ซื้ออาหารกินขอรับ”
37 แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เขาทูลถามว่า “จะให้เราออกไป และจ่ายเงินสองร้อยเดนาริอันเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขาหรือขอรับ?”
38 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปดูสิว่า มีขนมปังสักกี่ก้อน”หลังจากที่ไปตรวจดู พวกเขากลับมา “มีขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขอรับ”
39 พระเยซูจึงทรงสั่งให้เขาจัดให้ประชาชนนั่งเป็นกลุ่ม ๆ บนทุ่งหญ้าเขียวสด
40 ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งกันเป็นกลุ่ม ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
41พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และเงยพระพักตร์ไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และฉีกขนมปังออก จากนั้นทรงส่งต่อให้กับศิษย์ เพื่อแจกให้กับประชาชน แล้วทรงแบ่งปลาทั้งสองตัวให้ทุกคนได้จนทั่วถ้วนหน้า
42 พวกเขาได้กิน และอิ่มกันทุกคน
43 พวกศิษย์ได้เก็บเศษขนมปังและปลาได้ถึงสิบสองตะกร้า
44 มีผู้ชายรับประทานขนมปังทั้งสิ้นห้าพันคน!
เดินมาแบบนี้ได้อย่างไร?
45 จากนั้นทันที พระเยซูทรงให้ศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดาล่วงหน้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งให้ประชาชนกลับไป
46 หลังจากที่ลาพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 ค่ำแล้ว เรืออยู่กลางทะเล และพระเยซูทรงอยู่ผู้เดียวบนฝั่ง
48 พระองค์ทรงเห็นพวกศิษย์พยายามที่จะกรรเชียงเรือต้านลมที่มาปะทะ ประมาณช่วงใกล้เช้า (ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า) พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขา ทรงเดินบนน้ำ พระองค์กำลังจะทรงเดินผ่านพวกเขาไป
49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนน้ำ พวกเขาก็ร้องลั่นออกมา คิดว่า พระองค์เป็นวิญญาณตนหนึ่ง
50 ทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัวกัน แต่พระองค์ตรัสทันทีว่า “กล้าเข้าไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวไปเลย!”
51 จากนั้นทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมแรงก็ผ่อนลง พวกศิษย์ต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และพวกเขายังใจแข็งนัก
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
53 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว ก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเกนเนซาเร็ธ
54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระเยซูได้
55 พวกเขาจึงวิ่งไปทั่วแคว้น แล้วแบกคนป่วยมาบนที่นอน ไปยังที่ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์เสด็จไป
56 และไม่ว่าพระองค์ทรงไปที่ไหน จะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทพวกเขาจะเอาคนป่วยมาที่ย่านตลาด และทูลขออนุญาตแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ และคนที่ได้แตะก็หายป่วยทั้งหมด
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 6:1-6
ใคร ๆ ก็ปฏิเสธพระเยซู
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซทรงกลับไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
เมื่อทรงสอนในธรรมศาลา พวกที่มาฟังกลับประหลาดใจว่าทรงมีปัญญาล้ำเลิศนัก แต่..กลับมีกิริยาวาจาดูหมิ่นเมื่อนึกได้ว่าเป็นลูกชายของคนรู้จัก เป็นลูกชายมารีย์ซึ่งเป็นแม่บ้านกับโยเซฟช่างไม้ พระเยซูไม่ใช่ผู้ที่ ไม่ร่ำเรียนมาแบบธรรมาจารย์ โดยประเพณีแล้ว ไม่น่าจะมาสอนได้ในศาลาธรรมเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตนรู้จักพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย
พระคำตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่ใครคนหนึ่งมารับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังถูกเพื่อนบ้านพี่น้องไม่ยอมรับ พระองค์ถึงกับประหลาดพระทัยกับการที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ จริงสิ พระองค์ทรงมีฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเต็มด้วยสติปัญญาล้ำ แต่มนุษย์เดินดินกลับไม่เชื่อในพระองค์ น่าประหลาดใจจริง ๆ
มาระโก 6:7-13 การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
พระเยซูทรงใช้ศิษย์ออกไปเป็นคู่ และประทานสิทธิอำนาจเหนือผี
ไม่อนุญาตให้เอาของพะรุงพะรังไป แต่มุ่งหน้าประกาศ ชวนให้คนกลับใจจากบาป พวกเขาจะต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู ซึ่งในสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ประกาศก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ได้รับประโยชน์จากการประกาศนั้นทรงให้เขาขับผี รักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมาก ในสมัยนั้น ศัตรูสำคัญของการมีชีวิตคือ ทั้งบาป ผี และโรคร้ายและถ้าใครไม่ต้อนรับก็สลัดผงที่เท้าตอนจากมา เป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นความผิดของพวกเขาเองที่เขาไม่ยอมที่จะกลับใจ
มาระโก 6:14-28
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาระโกได้บรรยายเรื่องความตายของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นการถูกประหารที่ดูเหมือนไร้เหตุผลอันสมควรอย่างมาก เพราะเกิดจากความอาฆาตแค้นของเฮโรเดียส ที่ยอห์นกล่าวว่า เฮโรดทำผิดที่มาเอาเธอซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย มาเป็นของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงที่มีผู้ชายเต็มงานและมีผู้หญิงสาวคอยปรนเปรอ ทุกคนเมาเหล้า และเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย
และแล้วเฮโรดก็ตกปากสัญญากับสาวน้อยลูกสาวนางเฮโรเดียสว่าจะให้รางวัลถึงครึ่งอาณาจักร (มีความหมายว่าให้ได้มาก แต่ก็จำกัด) เพราะเธอเต้นรำเร้าใจมาก
รางวัลที่เธอต้องการจากเขานั้น ไม่ใช่จากความต้องการจริง ๆ ของเธอแต่เป็นของมารดา นั่นคือศีรษะของยอห์น และความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าแขกทั้งหลาย เฮโรดจำต้องให้ตามที่เธอขอ
มาระโก 6:30-44
แล้วอัครทูตต่างรายงานตนหลังจากที่ออกไปประกาศและรักษาคนให้หายโรคตามที่พระเยซูทรงส่งออกไป พวกเขาตื่นเต้นที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น และคนธรรมดาอย่างเขาก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิษฐานรักษาโรคให้คนด้วย
เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ก็ควรจะมีการรายงานให้รับรู้ เพื่อแนวหลังจะได้อธิษฐานเผื่อ เพื่อทราบความก้าวหน้า
แต่แล้วจากนั้นพระเยซูกลับชวนพวกเขาให้หนีออกไปพัก .. พระองค์ทรงรู้ดีว่า พวกเขาเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว พวกเขาอาจตื่นเต้น แต่การพักผ่อนก็สำคัญ ทรงชวนให้พักสักหน่อย… พระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาทำงานต่อ แต่ให้พัก
การหนีออกไปจากประชาชนครั้งนี้ไม่เป็นผล เพราะมีคนเห็นจึงพากันไปจากเมืองต่าง ๆ โดยวิ่งไปจนถึงอีกฝั่ง เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้น โอกาสที่จะพักจึงไม่มีอีก ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ยากจน เจ็บป่วย มีผีเข้า ถูกรังควาญโดยเหล่ามาร เขาถูกเอาเปรียบจากพวกธรรมาจารย์ ที่สั่งสอนสิ่งที่ไม่จำเป็น สั่งสอนสิ่งที่เป็นคำของมนุษย์ไม่ใช่คำจากพระเจ้า
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างแรกคือ ทรงสอนพวกเขา… เราอย่าลืมว่า ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน คนที่หลงทางต้องการคำสอน คำหนุนใจ คำแนะนำอย่างถูกต้อง
หากเราดูการอัศจรรย์ของพระเยซู การเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์นกล่าวถึง เพราะเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ต้องจดจำจริง ๆ ทรงมีคนห้าพัน ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว ขณะที่คนห้าพัน (ซึ่งยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) กำลังหิว พระเยซูทรงเปลี่ยนอาหารจำนวนที่น้อย กลายเป็นจำนวนมากมหาศาลแล้วยังมีเหลืออีกสิบสองตะกร้า นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดไป เพราะพวกเขากินอิ่มจริง ๆ จากจำนวนห้าพันคนเหล่านี้ วันหนึ่งข้างหน้า จะมีบางคนที่กลายเป็นคนที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระนามต่อไป
ก่อนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้น มีการคุยกันระหว่างพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ คนหนึ่งเสนอให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารเอง พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาเลี้ยง แต่อีกคนกลับพูดทำนองว่า จะให้จ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อเลี้ยงพวกเขาหรือ ซึ่งคำพูดนี้ถ้าเราฟังเผิน ๆ จะรู้ว่า คนพูดรู้สึกเสียดายเงิน รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องจ่ายขนาดนี้กับอาหารมื้อเดียว
แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือความคิดความเข้าใจทั้งหมด
ทรงให้เขาไปตามหาอาหารที่มีอยู่.. แน่นอนที่มีบางคนเอาอาหารมา แต่คนนั้นก็ต้องยอมให้ด้วย
เมื่อได้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา เมื่อทุกคนนั่งเป็นระเบียบ
พระเยซูทรงรับอาหารนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ไปหาองค์พระบิดาในสวรรค์ …. พระบิดา กับพระบุตรจะทรงทำการยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนนับหมื่น ..ทรงขอบพระคุณด้วยรู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงฉีกขนมปังออก และแบ่งปลาออกไป ใช้เวลาที่ทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ ได้กล่าวขาน ได้รับขนมปังและปลา ได้อิ่มพุง
เหตุการณ์ตอนนี้ สมกับคำในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของฉัน… พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะให้ฉัน …
และอาหารที่แจกยังเหลืออีกทำให้พวกศิษย์ได้กินต่ออีกมื้อหรือสองมื้อ
พระพรของพระเจ้าเกินความเข้าใจ เกินคาด และหากเราอยู่ใกล้ ๆ พระเจ้า เดินไปกับพระองค์ เราก็จะมีประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ด้วยได้ไม่หยุดเหมือนกัน
มาระโก 6:45-52
พระเยซูทรงเดินบนน้ำ
หลังจากที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์แบบทำให้ตาลุกวาวไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน พระเยซูทรงสั่งให้ศิษย์ลงเรือไปก่อน โดยที่ยังทรงส่งคนทั้งหลายแทนพวกเขาด้วย แต่แล้ว เมื่อคนไปหมด
พระเยซูก็ทรงขึ้นภูเขาเพื่อไปอธิษฐาน
แน่นอนที่ว่าทรงเหนื่อยมาก ถ้าเป็นเราก็ขอพักก่อนแล้วกัน แต่พระเยซูคงมีสิ่งที่อยากจะสนทนากับพระบิดาตามลำพังแน่นอน เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง .. พระองค์มีพลังมากแต่ไม่ทรงลืมที่จะหันกลับไปสนทนากับพระบิดาเลย เชื่อว่าพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อทั้งศิษย์ ประชาชน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ทรงเห็นศิษย์ที่พยายามกรรเชียงเรือต้านลม ทรงมองเห็นจากที่ไกล หรือทรงเห็นด้วยวิธีพิเศษเราไม่ทราบ แต่ทรงตั้งพระทัยเดินบนน้ำไปหาพวกเขาสบาย ๆ เหมือนเดินบนดิน
เวลาพวกเราเจอปัญหาหนัก ๆ ก็อย่างนี้แหละ และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเห็น
เมื่อศิษย์บนเรือเห็นพระเยซูดำเนินมาบนน้ำ ก็ตกใจมาก คิดว่าเป็นผี… แต่พระองค์ทรงปลอบใจว่าเป็นพระองค์เอง .. ดูสิว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้น้ำสงบก่อนเสียอีก ทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขาลมจึงสงบ
มาระโกได้เขียนว่า เมื่อพระเยซูขึ้นเรือไป ลมก็เบาลง พวกศิษย์อัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง เพราะใจแข็งนัก ทำไมจึงเขียนคำคอมเม้นท์เช่นนี้?
พวกศิษย์ยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องที่พระเยซูทรงทำ เขายังมองไม่เห็นว่า การเลี้ยงคนมากมายนั้น คือการที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามที่จำเป็น ตามที่ผู้คนมีความต้องการ เป็นเราเองก็อาจจะตื่นเต้น แต่ไม่เข้าใจพระดำริของพระเจ้าทั้งในเรื่องขนมปังและการดำเนินบนน้ำ
คำว่าเข้าใจ ภาษากรีกว่า ซูนนีเอมี .. หมายถึงวิเคราะห์ หาความเข้าใจ สรุปผล ส่วนคำว่าใจแข็งนั้นคือ โพโรโอ หมายถึงแข็ง ทำให้แข็งเป็นหิน เท่ากับมีกรอบความคิดที่ขยายออกมาใหม่ได้ยาก เพราะยังมีความคิดเก่า ๆ ที่ติดแน่นอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนได้
มาระโก 6:53-56
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
ตอนแรก ตั้งใจไปที่เบธไซดา แต่แล้วการมีพายุทำให้พวกเขาไปจอดเรือที่เกนเนซาเรธซึ่งอยู่อีกด้าน (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกาลิลี) เป็นเมืองที่ทำการเกษตรเป็นหลัก
มาระโกได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพบประชาชนว่า พวกเขาจำพระองค์ได้ทันที แล้วก็พากันวิ่งไปป่าวร้องให้รู้ว่า พระเยซูกำลังไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไป
พระเยซูทรงไปทั้งตามหมู่บ้าน เมือง ชนบท และตลาด ทุกแห่งมีคนมารุมล้อมพระองค์
ที่สำคัญ แค่ขอแต่เพียงชายเสื้อ พวกเขาก็หายโรคแล้ว มหัศจรรย์เหลือเกิน!
พระคำเชื่อมโยง
1* ลูกา 4:16-30; มัทธิว 13:54-58
2* ยอห์น 6:42; 7:15 กิจการ 4:13-14;
3* มัทธิว 12:46; 11:6
4* ยอห์น 4:44
5* ปฐมกาล 19:22; 32:25
6* อิสยาห์ 59:16; มัทธิว 9:35
7* มาระโก 3:13-14; ปัญญาจารย์ 4:9-10
9* เอเฟซัส 6:15
10* มัทธิว
11* มัทธิว 10:14;
13* ลูกา 9:7-9
14* ลูกา 19:3715* มาระโก 8:28; มัทธิว 21:11
16* ลูกา 3:19
18* เลวีนิติ 18:16; 20:21
20* มัทธิว 14:5; 21:26
21* มัทธิว 14:6; ปฐมกาล 40:20
23* เอสเธอร์ 5:3, 6; 7:2
26* มัทธิว 14:929* 1 พงศ์กษัตริย์ 13:29-30
30* ลูกา 9:1031* มัทธิว 14:13; มาระโก 3:20
32* มัทธิว 14:13-21
33* โคโลสี 1:6
34* มัทธิว 9:36; 14:14; กันดารวิถี 27:17; ลูกา 9:11
35* มัทธิว 14:15
37* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
38* ยอห์น 6:9
39* มัทธิว 15:35
41* ยอห์น 11:41-42; มัทธิว 15:36; 26:26
45* ยอห์น 6:15-21
46* ลูกา 5:16
48* ลูกา 24:28
49* มัทธิว 14:26
50* มัทธิว 9:2; อิสยาห์ 41:10
51* สดุดี 107:29; มาระโก 1:27; 2:12; 5:42; 7:37
52* มาระโก 8:17-18; 3:5; 16:14
53* มัทธิว 14:34-36
56* มัทธิว 9:20; กันดารวิถี 15:38-39
2 โครินธ์ 10 อวดพระเจ้า
2 โครินธ์ 10:1-2
ข้า เปาโล ขอร้องพวกท่านด้วยพระทัยอ่อนโยนและพระเมตตาของพระคริสต์ แม้ท่านคิดว่า ข้าเป็นคนถ่อมตัวต่อหน้า แต่กลับใจกล้าเมื่ออยู่ห่างไกล.. คือข้าขอร้องท่านว่า เมื่อข้ามาอยู่ต่อหน้าท่านก็อย่าให้ข้าต้องใจกล้าอย่างที่คิดไว้เพื่อจัดการคนที่ใส่ร้ายว่า เราใช้ชีวิตตามโลกเหมือนคนทั่วไป
2 โครินธ์ 10:3-4
เพราะแม้ว่าเราใช้ชีวิตในเนื้อหนัง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบโดยวิธีเดียวกับโลกเพราะอาวุธที่เราใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่อาวุธแบบโลก แต่เป็นอาวุธที่เต็มด้วยฤทธิ์เดชจากพระเจ้าซึ่งสามารถทำลายป้อมแข็งแกร่งของศัตรูได้
2 โครินธ์ 10:5-6
คือทำลายเหตุผลโต้แย้งและความเห็นที่เย่อหยิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบ
ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านความรู้ของพระเจ้า และปราบให้ความคิดทุกอย่างให้สยบลงเพื่อมาเชื่อฟังพระคริสต์ เราก็พร้อมลงโทษการกระทำที่ไม่เชื่อฟังทุกอย่าง เมื่อท่านเชื่อฟังครบถ้วนแล้ว
2 โครินธ์ 10:7
ท่านมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามที่เห็นด้วยตา หากใครมั่นใจว่า เขาเป็นคนของพระคริสต์ เขาก็ควรคิดย้ำอีกทีว่าเราก็เป็นคนของพระคริสต์เท่ากับเขา
2 โครินธ์ 10:8-9
ถึงแม้ว่าข้าจะอวดมากไปหน่อยถึงสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานแก่เรา
เพื่อเสริมสร้างท่านไม่ใช่ที่จะฉุดท่านให้ต่ำลง ข้าไม่ละอายในเรื่องนั้นข้าไม่อยากให้ดูเหมือนว่า ข้ากำลังขู่ท่านด้วยจดหมาย
2 โครินธ์ 10:10-11
เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นหนักแน่นมีพลังมากจริง แต่ตัวเขาดูอ่อนแอ พูดก็ไม่เก่ง” ขอให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่า เราพูดในจดหมายเมื่อเราอยู่ไกลอย่างไรเราก็จะทำอย่างนั้นเมื่อเราอยู่กับท่าน
2 โครินธ์ 10:12
เราไม่กล้าพอที่จะแบ่งชั้น หรือเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเป็นเครื่องวัดและเปรียบเทียบกันเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีสติปัญญา
2 โครินธ์ 10:13-14
อย่างไรก็ดี เราจะไม่อวดเกินขอบเขต แต่เราจะอวดเท่าที่อยู่ในวงจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เรา ท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย เราไม่ได้อวดเกินไปเพราะเราเป็นพวกแรกที่นำข่าวประเสริฐของพระคริสต์มายังพวกท่าน
2 โครินธ์ 10:15
เราไม่อวดเกินเขตจำกัดนั้น ไม่ได้อวดเรื่องงานของคนอื่น แต่เราหวังว่า เมื่อความเชื่อของท่านเจริญขึ้น งานของเราจะขยายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่พวกท่าน
2 โครินธ์ 10:16
เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในพื้นที่นอกเหนือไปจากพื้นที่ของท่านเพราะเราไม่ประสงค์ที่จะอวดถึงงานที่คนอื่นได้ทำสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น
2 โครินธ์ 10:17-18
ให้คนที่อวด จะอวดเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะไม่ใช่การอวดตัวเองจะทำให้คนอื่นยอมรับ แต่เป็นคนที่พระเจ้าทรงชมเชย
อธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 10:1-2
พี่น้องชาวโครินธ์กล่าวหาว่า ท่านเปาโลเป็นคนที่มีสองมาตรฐาน และยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไป ท่านขอร้องให้พี่น้องยอมรับในสิทธิอำนาจการเป็นอัครทูตของท่าน ในส่วนที่ท่านจะสามารถสอน เตือนสติพวกเขา พวกเขาเข้าใจท่านตามใจคิด โดยไม่ได้พิจารณาว่าท่านเป็นอย่างไรจริง ๆ ศัตรูของเปาโลคือพวกที่สอนผิด พยายามทำให้พี่น้องหลงเชื่อว่า ท่านเมื่ออยู่ไกลกล้าเขียนโน่นนี่ แต่พอมาใกล้ ๆ ก็หงอ
2 โครินธ์ 10:3-4
ท่านเปาโลไม่ได้ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ใส่ร้ายท่านแบบคนทั่วไป โลกอาจใช้วิธีการแก้แค้น การประจานขู่ให้กลัว แต่พระเจ้าทรงมี
วิธีให้เราจัดการกับเหตุการณ์ผิดปกติด้วยอาวุธที่มาจากพระองค์ ท่านมีอาวุธจากพระเจ้าที่จะสยบความคิดต่าง ๆ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางพระเจ้านั่นคือท่านใช้ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องทำลายอาวุธของศัตรู (ข่าวประเสริฐนี่คือทุกอย่างที่มาจากพระคำของพระเจ้า)
2 โครินธ์ 10:5-6
พระคำตอนนี้ มีสำหรับโลกปัจจุบันที่เต็มด้วยความวุ่นวายสับสน การชี้นำชีวิตให้หลงไปจากทางที่ดี ด้วยสื่อต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาหาเราแต่ละคนอย่างมากมาย ไม่มีการหยุด ความคิดของโลกค่อย ๆ กร่อนชีวิตของมนุษย์ไปทุกวันโรงเรียนกลายเป็นที่เด็ก ๆ ได้รับความคิดที่ต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าทุก ๆ วัน แต่เราต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างเข้าใจ ไม่ใช่ใช้การตอบโต้ที่มีแต่จะสร้างความเกลียดชัง
2 โครินธ์ 10:7
คนที่เป็นครูสอนผิดที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักรจะมีภาพลักษณ์ข้างนอกดูดี ในขณะที่ท่านเปาโลไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาดี หรือคำพูดเอาใจใคร แต่
เป็นคำแห่งความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ท่านเป็นคนที่ใคร ๆ มองแล้ว ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นอาจารย์ที่ควรเคารพ แต่ว่า พวกเขามองท่านแค่เปลือกนอกเท่านั้น ท่านจึงบอกคนเหล่านั้นว่าถ้าหากตัวเองคิดว่าเป็นคนของพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนกัน ไม่ด้อยไปกว่าเขา
2 โครินธ์ 10:8-9
ท่านเปาโลไม่ต้องการให้พี่น้องคิดว่า ท่านเขียนจดหมายมาขู่พวกเขาเรื่องความเชื่อ แต่ที่ท่านต้องเน้นย้ำเรื่องสิทธิอำนาจแห่งอัครทูต ก็เพื่อให้เขา
รู้ว่า ท่านไม่ได้พูดเล่น ๆ แต่ท่านมีสิทธิอำนาจแห่งอัครทูตก็เพื่อสอน แนะนำ หนุนใจให้พวกเขาได้จำเริญขึ้นในทางของพระเจ้า ให้เขามีความมั่นใจในข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนแปลงชีวิต พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนชีวิตจากการประกาศข่าวประเสริฐที่มีฤทธิ์เปาโล
2 โครินธ์ 10:10-11
การรับใช้ของเปาโลนั้น ตรงไปตรงมา ไม่มีการพูดกลับไปกลับมา ไม่ว่าพูดตอนอยู่ต่อหน้า หรือเมื่อเขียนจดหมายมา ก็ยังคงเรื่องเดิม ความ
ห่วงใยเดิม ความรักเดิม มีคนกล่าวหาว่าท่านเขียนอย่าง ทำอย่าง ในจดหมายดูขึงขัง แต่เมื่อเจอกันต่อหน้ากลับไม่ได้เรื่อง … ท่านกำลังตอบโต้คนเหล่านั้นว่าท่านไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา เราทุกคนเช่นกัน ต่อหน้าลับหลังต้องเหมือนกัน ..ตรงไปตรงมา
2 โครินธ์ 10:12
การรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่เป็นการแข่งกันรับใช้ แต่เป็นการทำหน้าที่ต่าง ๆ กันเพื่อแผ่นดินของพระองค์ การรับใช้ที่มีการเปรียบเทียบ โบสถ์ใคร
ใหญ่กว่า โบสถ์ใครมีกลุ่มเซลมากกว่า เซลไหนใหญ่สุด อะไรแบบนี้ ไม่มีในหัวใจของท่านเปาโลและจะต้องไม่มี เพราะเป็นเรื่องของการไร้ปัญญาเราอยากให้พระเจ้ามองเรามาและชื่นชมในการรับใช้ไปด้วยกัน หรือขุ่นพระทัยที่เราแข่งกัน?
2 โครินธ์ 10:13-14
สิทธิอำนาจของผู้รับใช้พระเจ้ามีขอบเขตจำกัดไม่ใช่นึกจะใช้สิทธิไปทั่วได้ ที่ท่านเปาโลมีสิทธิเหนือพี่น้องชาวโครินธ์ เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่
ตั้งคริสตจักรนี้ขึ้นมาโดยการทรงนำของพระเจ้าท่านจึงมีสิทธิในการตักเตือน สั่งสอน ดูแลชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา พี่น้องในคริสตจักร
เองก็ต้องรับรู้ว่า ใครเป็นผู้ที่ดูแลปกป้องพวกเขาใครเป็นผู้ที่รับผิดชอบพวกเขา อย่างนี้จึงเป็นคริสตจักรที่แข็งแรง
2 โครินธ์ 10:15
ท่านเปาโลจึงไม่ได้ไปยุ่งเรื่องงานรับใช้ของผู้รับใช้ท่านอื่น ไม่ได้ไปอวดงานของคนอื่น เราจะเห็นจากข้อเขียนของท่านว่า ใจจริงของท่านเปาโลคือ
ต้องการให้พี่น้องรู้จักพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น ต้องการให้มีคนได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่เดิม ปัญหาในคริสตจักรที่เกิดขึ้นคือ มีคนที่คอยทำให้คนขาดความเชื่อถือในตัวท่านไม่หยุดหย่อนแต่ที่นี่ก็เป็นที่รักของท่านไม่ว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้เพียงไร
2 โครินธ์ 10:16
ตรงนี้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า จะไม่มีการล้ำเส้นกัน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการช่วยเหลือกันระหว่างคริสตจักร ความตั้งใจของท่านในการประกาศคือ เพื่อให้คนได้รู้จักพระเจ้าได้กลับใจใหม่ โดยขยายออกไปจากคริสตจักรโครินธ์เอง ไม่ใช่ไปแย่งพี่น้องของคนอื่น ๆ ไม่ใช่ไปเอาความสำเร็จของผู้รับใช้ท่านอื่นมาเป็นของตน ความสำเร็จของคริสตจักรในยุคแรกนั้นมีหลายคนช่วยกันทำไม่ใช่ท่านเปาโลคนเดียว
2 โครินธ์ 10:17-18
แล้วท่านก็มาจบที่พระคำจากพระคัมภีร์เดิมที่ว่า ให้อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้อวดว่า เรารู้จักพระองค์จาก เยเรมีย์ 9:24 เราต้องมาคิดกันดูว่า เราอยากให้พระองค์ตรัสคำนี้กับเราหรือไม่ ..ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ซื่อตรง ให้มาร่วมยินดีกับนาย… ( มัทธิว 25:23 ) สรุปคือ อยากให้คนชมหรืออยากให้พระเจ้าชม
เราเตรียมได้แต่ตอนนี้
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 12:1; 1 เธสะโลนิกา 2:7
2* 1โครินธ์ 4:21
4* เอเฟซัส 6:13; 1 ทิโมธี 1:18; กิจการ 7:22; เยเรมีย์ 1:10
5* 1โครินธ์ 1:19
6* 2 โครินธ์ 13:2, 10; 7:15
7* ยอห์น 7:24; 1โครินธ์ 1:12; 14:37; 1:23
8* 2 โครินธ์ 13:10; 7:14
10* กาลาเทีย 4:13; 2 โครินธ์ 11:6
12* 2 โครินธ์ 5:12
13* 2 โครินธ์ 10:15
14* 1 โครินธ์ 3:5-6
15* โรม 15:20
17* เยเรมีย์ 9:24
18* สุภาษิต 27: 2;โรม 2:29
2 โครินธ์ 9 กฎการหว่าน
2 โครินธ์ 9:1-2
ข้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเรื่องการช่วยคนของพระเจ้าในด้านนี้ เพราะข้ารู้ดีว่าท่านทั้งหลายตั้งใจพร้อมอยู่ ข้ายังได้พูดอวดพวกท่านกับพี่น้องในมาซิโดเนียว่า พี่น้องในอาคายาพร้อมที่จะให้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และความกระตือรือร้นของท่านเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขามาก
2 โครินธ์ 9:3-4
แต่ข้าส่งพี่น้องมาเพื่อว่าที่เราเคยอวดเรื่องท่านจะไม่เสียเปล่า และท่านจะได้จัดเตรียมให้พร้อมตามที่ข้าบอกไปแล้ว ดังนั้น หากพี่น้องชาวมาซิโดเนียบางคนมากับเรา และพบว่าท่านไม่พร้อม เท่ากับว่าทั้งท่านและเราต้องขายหน้า ที่มั่นใจในพวกท่านขนาดนั้น
2 โครินธ์ 9:5
ดังนั้นข้าคิดว่า จำเป็นต้องขอให้พี่น้องไปหาพวกท่านก่อน เพื่อให้ท่านเตรียมสิ่งที่จะถวายตามที่สัญญาไว้ ซึ่งการเตรียมพร้อมอย่างนี้ แสดงถึงการให้อย่างเต็มใจไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ
2 โครินธ์ 9:6-7
ข้าขอบอกว่า คนที่หว่านน้อยย่อมเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย และคนที่หว่านมากจะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนควรให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ ไม่ใช่ด้วยความเสียดายหรือจำเป็นต้องให้ เพราะว่า พระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี
2 โครินธ์ 9:8-9
พระเจ้าประทานพรทุกอย่างให้แก่ท่านได้อย่างเต็มที่ เพื่อท่านจะได้มีเพียงพออยู่เสมอ และยังจะมีเกินพอที่จะทำการดีทุกอย่างด้วย ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
“เขาได้แบ่งปันแก่คนยากจนความเที่ยงธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์”
2 โครินธ์ 9:10
พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชให้แก่คนที่หว่าน อาหารให้แก่คนที่กินจะประทานเมล็ดพืชให้แก่ท่าน และจะทรงเพิ่มผลให้เมล็ดที่ท่านนำไปหว่านทั้งจะทรงให้ท่านได้เก็บเกี่ยวความเที่ยงธรรมอย่างเพิ่มพูน
2 โครินธ์ 9:11
พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกสิ่งเพื่อจะได้ใจกว้างแบ่งปันทุกโอกาส
และทำให้หลายคนได้ขอบคุณพระเจ้าผ่านเรา
2 โครินธ์ 9:12-13
ในการรับใช้แบบนี้ ไม่ใช่เป็นการจัดหาให้กับผู้เชื่อที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังทำให้มีคำขอบพระคุณอย่างมากด้วย การปรนนิบัตินี้จะส่งผลให้พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟัง สมกับที่ท่านกล่าวยอมรับข่าวประเสริฐของพระคริสต์และในน้ำใจที่ท่านมีต่อเขาและคนทั่วไป
2 โครินธ์ 9:14-15
และเขาจะทูลขอเพื่อท่านและระลึกถึงท่านอย่างจริงใจ เพราะพระเจ้าทรงมีพระคุณต่อท่านอย่างเหลือล้น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทานจากพระองค์ที่เกินคาดหมาย
อธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 9:1-2
พี่น้องในมาซิโดเนียอยู่ท่านเหนือ และอาคายาเป็นที่ตั้งของเมืองโครินธ์อยู่ทางใต้ จดหมายของท่านเปาโลทำให้รู้ว่า พี่น้องในคริสตจักรอื่น ๆ ที่ อยู่ไกลออกไป ไม่ได้อยู่เฉย แต่มีความกระตือรือร้น. ในการรับใช้พระเจ้า ซึ่งการรับใช้พระเจ้านี้ มีวิธีการหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำดีให้ผู้อื่น การประชุมร่วมกัน การถวายเพื่อช่วยพี่น้อง รวมถึงการประกาศ การเป็นพยาน การนมัสการพระองค์ชีวิตคริสเตียนจริง ๆ นั้น ไม่ใช่เป็นชีวิตอยู่เฉย ๆ
2 โครินธ์ 9:3-4
ตอนนี้ ท่านเปาโลกำลังสอนให้พี่น้องในโครินธ์ ได้เตรียมตัวให้พร้อมในกิจกรรมที่ดี และการถวายท่านเปาโลเคยเอาพี่น้องโครินธ์ไปชมเชยกับพี่น้องในที่อื่น ๆ ด้วย ทำให้เราเห็นว่า แม้จะมีปัญหาในคริสตจักร แต่ท่านเปาโลก็เห็นสิ่งดีในตัวพี่น้องเสมอ ท่านไม่ได้เอาเขาไปนินทา แต่เอาไปชมเชย นี่เป็นสิ่งที่สมควรทำตาม ไม่ว่าเราจะเห็นใครมีปัญหามากเพียงไร แต่หากดูให้ดี แต่ละคนก็ยังมีสิ่งดีในชีวิตที่เราอวดได้ ถ้าไม่อธิษฐานเผื่อก็อย่า
เอาเขาไปพูดลับหลัง
2 โครินธ์ 9:5
ท่านเปาโลไม่ยอมให้มีความผิดพลาดในด้านของชื่อเสียงของพี่น้องและตัวท่านเองเกิดขึ้น ในสมัยก่อนนั้น ใครก็ตามที่เคยสัญญาว่าจะให้อะไร ก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ มากลับคำง่าย ๆ ไม่ได้การไม่ทำตามสัญญาจะเป็นเรื่องที่ขายหน้าเอามาก ๆ เป็นเรื่องที่เสียเครดิตจริงๆ และเรื่องนี้ในสังคมของคนยิวเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสังคมที่หน้าตา ฐานะ ขึ้นอยู่กับศักดิ์ศรีและความอับอาย
2 โครินธ์ 9:6-7
นี่เป็นหลักการธรรมดาที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้คนที่ให้มากก็จะได้ผลมาก ตอนนี้ท่านเปาโลกำลังพูดถึงการให้กับพี่น้องคนอื่น ๆ ซึ่ง ในเมื่อพระเจ้าเป็นผู้ให้เกิดผล ผลที่ได้อาจไม่ได้เกิดกับคนที่ให้โดยตรงอย่างเดียว แต่ไปเกิดผลขึ้นในอาณาจักรของพระเจ้า ดังนั้น การให้จะต้องมีท่าทีอย่างถูกต้องไม่ใช่เป็นเพราะต้องการเอาคืนที่เห็นแก่ตัว อยากมีมากกว่าเดิม ฝึกการให้ไปบ่อย ๆ เราจะสัมผัสเองว่าผลในอาณาจักรของพระเจ้าดีกว่าผลส่วนตัว
2 โครินธ์ 9:8-9
ขออย่าแปลความในข้อนี้ผิดไปจากความตั้งใจของท่านเปาโลเพียงเพราะว่า เราอยากมีมากขึ้นพระสัญญาของพระเจ้านี้ มีให้กับคนจริงเท่านั้นไม่ใช่คนที่แสร้งให้เพื่อจะรับผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เขาเชื่อวางใจพระสัญญานี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาหรืออาจารย์ แต่เป็นสำหรับพี่น้องทุกคน ที่ถวายแด่พระเจ้าแม้ไม่มีใครเห็น คนถวายจริง ด้วยใจจริงด้วยความคิดถูกต้องจะเห็นผลแน่นอน
2 โครินธ์ 9:10
เมล็ดพืช เป็นที่เริ่มต้นของพืชพันธ์ุ ต้นไม้ต่าง ๆแต่เบื้องหลังของเมล็ดพืชที่จะงอกเป็นผลหลากชนิดนั้น คือ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ดังนั้น คิดแล้ว การให้ของเราเกี่ยวพันกับท่าทีที่เรามีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมาก การถวายคืนแด่พระเจ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในคริสตจักร หรือทำกับคนทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องได้รับการอวยพรให้ผลผลิตฝ่ายวิญญาณนี้ เพิ่มพูน ทวีคูณจากพระเจ้า … ทุกอย่างจึงจะยั่งยืนและเกิดผลมาก
2 โครินธ์ 9:11
พระเจ้าจะทรงให้มั่งคั่งเพื่อให้มีใจกว้างแบ่งปันให้คนอื่น วิธีการที่จะอยู่ร่วมกันได้ดีที่สุด คือทุกคนได้มีโอกาสที่จะก้าวต่อไป ไม่ใช่เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ในโลกธุรกิจมีแนวคิดว่า ต้องขายให้มากสุด ต้องโกยส่วนแบ่งการตลาดมาให้มากเท่าที่มากได้ แต่ธุรกิจของพระเจ้ากลับแปลก พระองค์ให้คนของพระองค์มั่งคั่ง (ในรูปแบบต่าง ๆ) เพื่อช่วยให้คนอื่นได้ก้าวต่อไป
2 โครินธ์ 9:12-13
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้คนของพระองค์มั่งคั่งไม่ใช่เพื่อให้เขาเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว แต่เพื่อเขาจะมีใจกว้างขวาง แบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย เมื่อเราได้เห็นการให้และการรับในหมู่พี่น้อง ด้วยความปรารถนาดี เราก็จะเกิดใจขอบพระคุณ ดังนั้น การให้นอกจากจะเป็นการแบ่งเบาภาระเป็นการช่วยให้อีกคน หรือหลายคนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีสันติสุข ยังเป็นเหตุให้พระเจ้าได้รับพระเกียรติจากทุกหัวใจที่ขอบพระคุณ
2 โครินธ์ 9:14-15
ใจกตัญญูต่อพระเจ้าที่เกิดขึ้นในคนที่รับนั้นไม่ได้มีต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ต่อคนที่ตั้งใจช่วยเหลือคำขอบพระคุณเหล่านี้เป็นที่ถวายพระเกียรติทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยที่พี่น้องต่างมีความรักจริงใจต่อกัน ยิ่งขอบพระคุณ ชีวิตก็ยิ่งเกิดผลยิ่งก่อให้เกิดการขอบพระคุณมากขึ้นอีกไปเรื่อย ๆแต่หากคนรับไร้การขอบพระคุณล่ะ … คนที่ให้ก็ยังได้รับพระพรที่จะทำการดีต่อไปได้ ไม่ต้องห่วงไม่มีการขัดสนเลย ….
พระคำเชื่อมโยง
1* กาลาเทีย 2:10
2* 2 โครินธ์ 8:10
3* 2 โครินธ์ 8:6, 17
6* สุภาษิต 11:24; 22:9
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:4; โรม 12:8
8* สุภาษิต 11:24
9* สดุดี 112:9
10* อิสยาห์ 55:10; โฮเชยา 10:12
11* 2 โครินธ์ 1:11
12* 2 โครินธ์ 8:14
13* มัทธิว 5:16; ฮีบรู 13:16
14* 2 โครินธ์ 8:1
15* ยากอบ 1:17
2 โครินธ์ 8 ให้โปร่งใส
2 โครินธ์ 8:1-2
พี่น้องทั้งหลาย เวลานี้ เราอยากให้ท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้คริสตจักรทั้งหลายในแคว้น มาซิโดเนีย
ขณะที่พวกเขากำลังเผชิญกับความทุกข์สาหัส แต่ความยินดี และความยากจนข้นแค้นอย่างที่สุดนั้น กลับกลายเป็นความเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นอย่างมาก
2 โครินธ์ 8:3-5
ข้ายืนยันว่า พวกเขาได้ถวายตามความสามารถ ที่จริง เกินความสามารถด้วยความเต็มใจ พวกเขาเฝ้าขอร้องเรา ที่จะได้มีส่วนในการช่วยเหลือคนของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำอย่างที่เราคาด แต่กลับ
ถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงทุ่มเทกับเราตามพระประสงค์
2 โครินธ์ 8:6-7
เหตุนี้ เราจึงขอให้ทิตัสไปช่วยท่าน เพื่อทำสิ่งดีนี้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เพราะเขาเป็นผู้ที่เริ่มงานนี้ ดังนั้น ในเมื่อท่านเพียบพร้อมไปด้วยความเชื่อ ความสามารถในการพูด ความรู้ ความกระตือรือร้น และความรักที่มีต่อเรา ก็ขอให้ท่านเต็มด้วยพระคุณในการให้เช่นกัน
2 โครินธ์ 8:8
ข้าไม่ได้ออกคำสั่ง แต่เพียงต้องการพิสูจน์ความรักของท่านว่าจริงใจหรือไม่เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของคนอื่น
2 โครินธ์ 8:9
เพราะว่า พวกท่านต่างรู้ถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง แต่ทรงยอมเป็นคนยากจนเพื่อเห็นแก่ท่านเพื่อพวกท่านจะได้กลายเป็นคนมั่งคั่งเนื่องจากความยากจนของพระองค์
2 โครินธ์ 8:10-11
เรื่องนี้ ข้ามีความเห็นที่เป็นประโยชน์กับท่านว่า ปีที่แล้วท่านเป็นคนกลุ่มแรกที่ลงมือทำการนี้ ทั้งยังมีน้ำใจที่จะทำด้วย
บัดนี้ ท่านควรทำให้สำเร็จ ในเมื่อมีใจพร้อม ท่านก็จะได้ทำให้สำเร็จตามความสามารถของท่าน
2 โครินธ์ 8:12
เพราะหากมีน้ำใจพร้อมอยู่แล้วพระเจ้าจะทรงรับเท่าที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี
2 โครินธ์ 8:13-14
เพราะข้าไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะงานเบาลง ส่วนท่านมีภาระหนักขึ้น แต่เป็นเรื่องของการเอื้อเฟื้อต่อกัน การที่ท่านมีเกินพอในเวลานี้ ท่านควรจะไปช่วยคนที่ต้องการและเมื่อเขามีเกินพอเขาจะได้ช่วยท่านเมื่อท่านขัดสน
2 โครินธ์ 8:15
ตามที่มีบันทึกว่า “คนที่เก็บไว้มากก็ไม่มีเหลือส่วนคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขัดสน”
2 โครินธ์ 8:16-18
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ใจทิตัสมีพลังใจห่วงใยท่านเหมือนที่เรามีต่อท่านเพราะไม่เพียงแต่เขาตอบรับคำขอร้องจากเราเท่านั้น แต่เขาไปหาท่านด้วยใจกระตือรือร้นของเขาเอง และเราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการประกาศข่าวประเสริฐตามคริสตจักรไปกับเขาด้วย
2 โครินธ์ 8:19
ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขาได้รับการแต่งตั้งจากคริสตจักรต่าง ๆ เพื่อให้เดินทางไปกับเรา เป็นผู้ร่วมงานในขณะที่เราทำการแห่งพระคุณนี้ เพื่อถวายพระเกียรติสิริแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อแสดงถึงความปรารถนาดีของเรา
2 โครินธ์ 8:20-21
เราจำเป็นต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ใครติเตียนได้ ในเรื่องของเงินถวาย
มากมายที่รับมาเพื่อจัดการส่งต่อนั้นเพราะเรามีเป้าหมายที่จะเป็นคนซื่อตรงไม่ใช่ในสายพระเนตรพระเจ้าเท่านั้นแต่ในสายตาของมนุษย์ด้วย
2 โครินธ์ 8:22
และเราให้พี่น้องคนหนึ่งมากับเขาทั้งสองคนนี้ เราได้ทดสอบบ่อย ๆ ว่า
เขากระตือรือร้นในหลาย ๆ เรื่องและตอนนี้เขายิ่งเอาจริงเอาจังมากขึ้น
เพราะเขามั่นใจในพวกท่านมาก
2 โครินธ์ 8:23-24
ส่วนทิตัสเอง เขาเป็นคู่หู เพื่อนร่วมงานของข้าเพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลายส่วนพี่น้องทั้งสองนั้นเป็นผู้สื่อสารจากคริสตจักรทั้งหลายเพื่อพระเกียรติของพระคริสต์ ดังนั้น จงแสดงความรักของท่าน และความภูมิใจของเราที่มีต่อท่านแก่พวกเขา เพื่อคริสตจักรต่าง ๆ จะได้เห็น
2 โครินธ์ 8:1-2
ข่าวประเสริฐจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่พบพระเจ้าจริง ๆ แต่ก่อนนี้ พี่น้องในเยรูซาเล็มได้ส่งคนของพระเจ้าออกไปประกาศในมาซิโดเนีย
พวกเขาเป็นคนยากจนมาก แต่เมื่อพวกเขาพบพระเจ้าจริง ๆ แล้ว เขาก็กลับเป็นคนใจกว้าง สนใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่แค่สนใจเรื่องของตนเองนี่ทำให้รู้ว่า พวกเขากลับใจใหม่จริง เมื่อรู้ว่าพี่น้องในเยรูซาเล็มกำลังลำบากพวกเขาก็ยินดีจะช่วยเหลือ
2 โครินธ์ 8:3-5
สิ่งที่พี่น้องมาซิโดเนีย คือพี่น้องในเมืองฟีลิปปีเมืองเธสะโลนิกา และเบเรีย ทำคือ ถวายตามความสามารถ ถวายเกินความสามารถ
ถวายด้วยความเต็มใจ และสิ่งที่ท่านเปาโลคาดไม่ถึงคือ การที่พวกเขาถวายชีวิตให้กับพระเจ้าก่อนที่จะมีการถวายดังกล่าวเท่ากับพวกเขารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในการถวาย
2 โครินธ์ 8:6-7
ก่อนหน้านี้ ทิตัสเองได้ชักชวนให้พี่น้องโครินธ์ได้ถวายเพื่อช่วยพี่น้องในเยรูซาเล็มที่กำลังลำบาก การถวายครั้งนี้ของพวกเขา เหมาะสมยิ่งเพราะพวกเขามีทั้งความเชื่อความรู้ การพูดดี กระตือรือร้นและที่สำคัญ พวกเขารักท่านเปาโลด้วย ถ้ามีทุกอย่างแบบนี้ ก็จะเป็นการให้ที่ดีมาก จากข้อความตอนนี้ เราเห็นได้ชัดว่า พี่น้องชาวโครินธ์มีฐานะหน้าที่การงานดีพอสมควร ถึงแม้จะไม่ทุกคนก็ตาม
2 โครินธ์ 8:8
การชวนให้ถวายครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการบังคับใจพี่น้อง แต่เป็นการสนับสนุนให้เกิดความรักและเอาใจใส่กันระหว่างคริสตจักรต่างเมือง อันที่จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นนับได้ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคริสตจักรในปัจจุบันด้วย ที่จะมีการช่วยเหลือกันและกันอย่างจริงจัง ไม่ได้เกิดเพราะเป็นหน้าที่ ๆ
ต้องทำแต่เกิดจากหัวใจที่เป็นห่วง และเข้าใจว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ลูกของพระเจ้าจะทำเพื่อกัน
2 โครินธ์ 8:9
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของทั้งจักรวาลได้เสด็จลงมาเป็นมนุษย์ เติบโตในบ้านของชายหญิงที่เป็นชาวบ้านธรรมดา พระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด
ปัญญาสูงสุด ฤทธิ์เดชทั้งสิ้นเป็นของพระองค์แต่เมื่อทรงมาเป็นคนเดินดิน พระองค์ก็ทรงใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป พระองค์ทรงถ่อมพระองค์เป็นที่สุด
แล้วพระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์เยี่ยงอาชญากรทั้งหมดนี้ เพื่อจะให้คนที่เชื่อในพระองค์ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้ครอบครองและเป็นผู้มั่งคั่งกับพระองค์
ถอดความจาก 2 โครินธ์ 8:10-11
สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพี่น้องโครินธ์คือ การให้ของพวกเขาเป็นเรื่องที่จะทำให้พระเจ้าทรงให้ตอบแทนแก่พวกเขานอกจากจะเป็นในชีวิตนี้ อย่างที่ฟีลิปปี 4:17 กล่าวไว้ ก็ยังจะเกิดผลดีในวันของพระเจ้าด้วย พระเจ้าจะทรงให้รางวัลกับคนที่ใส่ใจคนยากจน คนลำบาก อีกอย่างการที่เริ่มต้นสิ่งดีอะไรแล้วทำให้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ นั่นเป็นนิสัยของคนที่จะประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต
2 โครินธ์ 8:12
นี่ทำให้เรานึกถึงหญิงม่ายที่ถวายเงินเพียงเล็กน้อยแต่พระเยซูกลับทรงมองว่า เธอเป็นคนที่ให้มากที่สุด (มาระโก 12:41-44) ดูเหมือนว่าจำนวนที่
ให้นั้น สัมพันธ์กับความสามารถที่จะให้ หากไม่มีแต่พยายามไปหยิบยืมเพื่อให้มีถวาย หรือเพื่อทำตามเทรนด์ ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ และในทางของพระเจ้า พระคัมภีร์ก็บอกชัดว่า ให้น้อยที่สุดประมาณเท่าไรจึงจะดี นั่นคือ สิบลดหนึ่ง แต่ถ้ามากกว่านั้น ประโยชน์จะเกิดกับคนถวายเอง
2 โครินธ์ 8:13-14
ในการมีชีวิตกับพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าจะจนเสมอไป หรือรวยเสมอไป แต่การอยู่ในชุมชนนั้นเป็นเรื่องของการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างชัดเจนพระเจ้าไม่ได้ให้เรารวยหรือจนเพื่อตนเอง แต่เมื่อเรามีที่จะเผื่อแผ่ ก็ให้ทำเป็นนิสัยเพื่อว่า เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะไม่รู้สึกลำบากใจ หนักใจหรือไม่กล้าเพราะทำอยู่แล้วเป็นประจำ และได้ประสบการณ์การให้ การรับจากพี่น้องเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
2 โครินธ์ 8:15
ช่วงเวลาที่ท่านเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่พี่น้องในเมืองต่าง ๆ เผชิญกับความยากลำบากที่แตกต่างกันไป บางที่เป็นเรื่องของคนสอนผิด
บางที่เป็นเรื่องความอดอยาก บางที่ก็เป็นเรื่องของบาปที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง บ้างก็ถูกข่มเหง แต่สำหรับเรื่องฐานะ ความเป็นอยู่แล้ว หลักการ
ของพระเจ้าคือ ทุกคนมีอย่างเพียงพอ ทำให้ใช้ชีวิตไปได้อย่างไม่ลำบากเกินไป ที่เพียงพอได้เพราะแบ่งปันกัน
2 โครินธ์ 8:16-18
ทิตัสเต็มใจที่จะเดินทางไปรับเงินถวายเพื่อพี่น้องที่เดือดร้อนในเยรูซาเล็ม ไม่ต้องให้ใครใช้ไป แต่เขาอาสาที่จะทำเรื่องนี้ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยในเครดิตของทิตัสเองท่านเปาโลได้ให้อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงดี เป็นที่วางใจของพี่น้องไปกับทิตัสด้วย คนนี้ไม่ได้ถูกออกชื่อ แต่เป็นคนที่ไว้ใจได้จริง เราไม่ทราบว่าเป็นใครแต่สิ่งสำคัญคือ ความรอบคอบในการทำงานเรื่องการเงินของท่านเปาโลเอง
2 โครินธ์ 8:19
พี่น้องท่านนี้ ไม่ได้เป็นคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้แต่เป็นคนที่ใคร ๆ ในคริสตจักรรู้จักดี และยังมีความเชื่อถือในตัวเขาจนถึงกับช่วยกันแต่งตั้ง
ให้เขาเดินทางไปกับทิตัส ถือเงินไปยังกรุงเยรูซาเล็มเราจะเห็นถึงความชัดเจนในการเลือกผู้รับใช้ให้ถูกที่ถูกงานของท่านเปาโล การเลือกคนถูก
กับงาน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความตั้งใจดี และผลงานที่ออกมาก็จะถวายพระเกียรติด้วย
2 โครินธ์ 8:20-21
การระวังตัวที่จะให้การทำงานโปร่งใส เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำอย่างซื่อตรง และตรวจสอบได้ทั้งในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตาของมนุษย์
ท่านเปาโลบอกเราว่า เงินถวายมีเป็นจำนวนมากแสดงว่า พี่น้องชาวมาซิโดเนียได้ถวายอย่างเต็มใจเพื่อพี่น้องในเยรูซาเล็ม คนที่ทำงานระหว่างทางทุกคนจะต้องไว้ใจได้และไม่ทำให้งานของพระเจ้าเสียชื่อเสียง ทั้งในสมัยโบราณ ทั้งในสมัยนี้
2 โครินธ์ 8:22
ดูเหมือนว่า สองคนยังไม่เป็นที่สบายใจในสายตาของท่านเปาโล ท่านยังให้พี่น้องอีกคนมากับทั้งสองด้วย นับได้ว่า ท่านระมัดระวังและรอบคอบจริง ๆกับเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลเรื่องเงินถวายในคริสตจักร ให้ไปถูกที่ ให้ถึงครบจำนวนให้เป็นที่ชื่นชม ไม่มีใครครหาได้ เราอาจไม่คาดว่าท่านเปาโลจะจริงจังในเรื่องการเงินถึงเพียงนี้ แต่ท่านยังมีเรื่องที่จะคุยต่อไปอีก เราต้องติดตามกันต่อไป
2 โครินธ์ 8:23-24
เอาล่ะ ทีนี้ เราเห็นว่า ท่านเปาโลได้ให้ความรับผิดชอบต่อทั้งผู้รับใช้ซึ่งเป็นตัวแทนของท่าน และกับพี่น้องในคริสตจักรด้วย ทั้งสองฝ่ายต่างต้องให้เกียรติกันและกัน ร่วมมือกันเพื่องานของพระเจ้า การทำงานด้วยกันนั้น ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจและการนับถือกันและกัน ตัดทิ้งเรื่องใครเก่งกว่า ใครดีกว่าออกไป ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนั้น ท่านบอกให้พี่น้องทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะถ้าเราย้อนกลับไปดู 1 โครินธ์เราจะเห็นว่า น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
พระคำเชื่อมโยง
2* มาระโก 12:44
4* โรม 15:25-26
5* โรม 12:1-2; เอเฟซัส 6:6
6* 2 โครินธ์ 8:17; 12:18
7* 1 โครินธ์ 1:5; 12:13; 2 โครินธ์ 9:8
8* 1 โครินธ์ 7:6
9* ฟีลิปปี 2:6-7; โรม 9:23
10* 1 โครินธ์ 7:25, 40; ฮีบรู 13:16;
2 โครินธ์ 9:2
12* มาระโก 12:43-44
15* อพยพ 16:18
18* 2 โครินธ์ 12:1819* 1 โครินธ์ 16:3,4 ; 2 โครินธ์ 4:15
21* โรม 12:17
23* 2 โครินธ์ 7:13-14; ฟีลิปปี 2:25
24* 2 โครินธ์ 7:4, 14; 9:2
2 โครินธ์ 7 เสียใจให้ถูกวิธี
2 โครินธ์ 7:1
ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อเราได้รับพระสัญญาอย่างนี้ ก็ขอให้เราชำระตัวเองให้ไร้สิ่งที่เป็นมลทินทุกอย่างของร่างกายและวิญญาณ
ให้ชีวิตบริสุทธิ์ด้วยความยำเกรงพระเจ้า
2 โครินธ์ 7:2-3
เปิดห้องหัวใจรับเราเถิด เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร เราไม่ได้คดโกงใคร
และมิได้เอาเปรียบใครเลย ข้าไม่ได้พูดอย่างนี้เพื่อกล่าวโทษใคร เพราะข้าพูดมาก่อนแล้วว่า พวกท่านอยู่ในใจของเราไม่ว่าจะอยู่หรือจะตายด้วยกันกับท่าน
2 โครินธ์ 7:4
ข้าพูดกับท่านด้วยความมั่นใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก ข้าภูมิใจในตัวท่านมากและข้ามีกำลังใจเต็มที่ และมีความยินดีในความลำบากทั้งสิ้น
2 โครินธ์ 7:5
เมื่อเรามายังแคว้นมาซิโดเนียนั้นร่างกายเราไม่ได้พักเลย เราพบกับความลำบากรอบด้าน ต่อสู้ภายนอกและมีความกลัวอยู่ข้างใน
2 โครินธ์ 7:6-7
แต่พระเจ้าผู้ทรงปลอบใจคนที่ท้อใจได้ทรงปลอบใจเรา โดยให้ทิตัสมาหาเราไม่เฉพาะการมาของเขาเท่านั้น แต่เขายังได้รับการหนุนใจจากพวกท่านเขาเล่าว่าท่านอาลัย และห่วงใยข้าเป็นเหตุให้ข้ามีความสุขมากขึ้น
2 โครินธ์ 7:8
แม้ว่าจดหมายฉบับแรกของข้าทำให้ท่านเศร้าใจ ข้าก็ไม่เสียใจ
(แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะไม่สบายใจเพราะเห็นว่า จดหมายฉบับนั้น
ทำให้ท่านเป็นทุกข์เพียงชั่วขณะหนึ่ง)
2 โครินธ์ 7:9
เวลานี้ข้ายินดีเป็นเพราะท่านเสียใจจนถึงได้กลับใจ เพราะว่าท่านได้เสียใจตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้รับผลเสียใด ๆ จากเราเลย
2 โครินธ์ 7:10
เพราะความเสียใจตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก่อให้เกิดการกลับใจ
ซึ่งนำไปสู่ความรอด และไม่ทำให้เศร้าใจแต่ความเสียใจอย่างโลกนั้น
นำไปสู่ความตาย
2 โครินธ์ 7:11
ดูสิ ความเสียใจตามน้ำพระทัยพระเจ้าเช่นนี้ทำให้ท่านเกิดความแน่วแน่เอาจริงเอาจังขนาดไหน และทำให้ท่านพยายามพิสูจน์ตนเอง เกิดความไม่พอใจ ความเกรงกลัวความเร่าร้อน ความห่วงใย มุ่งที่จะให้เกิดความยุติธรรม ท่านได้พิสูจน์ตัวเองรอบด้านว่า ท่านไม่มีความผิดในเรื่องเหล่านี้
2 โครินธ์ 7:12
แม้ข้าเขียนจดหมายครั้งนั้นถึงท่านไม่ใช่เพื่อคนที่ทำผิด หรือเพื่อคนที่ต้องมาทนทุกข์เพราะการกระทำของเขา แต่เพื่อท่านเองจะได้มองเห็นชัดว่าท่านจริงจังต่อเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแค่ไหน
2 โครินธ์ 7:13-14
ดังนั้น เราจึงได้รับการหนุนน้ำใจ ยิ่งกว่านั้น เรายังดีใจมากขึ้น เพราะเห็นว่า ทิตัสเป็นสุขนัก เพราะท่านทำให้เขาใจสงบ เวลาที่ข้าอวดเรื่องของท่านกับทิตัส ข้าไม่ต้องอายเลย ทุกสิ่งที่เราได้บอกท่านเป็นความจริงอย่างไร สิ่งที่เราอวดกับทิตัสก็เป็นความจริงอย่างนั้น
2 โครินธ์ 7:15-16
เมื่อเขานึกถึงการที่พวกท่านเชื่อฟังและการที่พวกท่านทุกคนต้อนรับเขาด้วยความเกรงกลัวตัวสั่นเขาจึงรักท่านมากขึ้น ข้ายินดีเพราะข้ามั่นใจในพวกท่านได้อย่างเต็มที่
2 โครินธ์ 7:1
จากประโยคข้อสุดท้ายของบทที่ 6 คือ พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อแยกตัวออก ไม่ใช้ชีวิตอย่างคนในโลก เพื่อว่าพวกเขาจะได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระสัญญาโดยตรงจากพระเจ้า อิสยาห์ 52:11, 2 ซามูเอล 7:14, โรม 8:14 ท่านเปาโลหนุนใจให้พี่น้องชำระตัวเองจากทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตสกปรก .. น่าสนใจที่ท่านกล่าวถึงทั้งทางร่างกาย และวิญญาณ ไม่ใช่ทางวิญญาณแต่อย่างเดียว
2 โครินธ์ 7:2-3
ท่านเปาโลกลับไปพูดเหมือนใน 6:11-13 เราไม่ทราบว่าใครให้ร้ายว่าท่านคดโกงเงินใคร หรือมีการใส่ร้ายว่าท่านเอาเปรียบคนโน้นคนนี้ เพื่อ
ประโยชน์ของตนเอง ท่านไม่ได้กล่าวว่าใครเป็นคนต้นเรื่อง แต่ท่านกำลังปกป้องตนเองว่า ไม่ได้ทำผิดอย่างที่คนพวกนั้นกล่าวหาตอนนี้พี่น้องเปิดใจแล้วยังเราไม่รู้ แต่ท่านเปาโลเองมีชีวิตที่พร้อมตายเพื่อพี่น้องอยู่แล้ว .. พวกเขาควรมองเห็นชีวิตที่ทุ่มเทของท่าน
2 โครินธ์ 7:4
อ่านจดหมายมาตั้งแต่ต้น เราจะรู้สึกถึงความทุกข์ใจ ที่ท่านปรารถนาให้พี่น้องเดินไปกับพระเจ้าอย่างถูกต้อง ท่านเปาโลเฝ้าสอน เฝ้าเตือนพี่น้องจริงจังมาก แต่พอมาถึงประโยคนี้ เราเริ่มเห็นว่าท่านมีกำลังในการปรนนิบัติพี่น้อง แม้ว่าจะมีศัตรูคอยว่าร้าย พูดลับหลัง พยายามทำให้ท่านไม่ได้รับความเชื่อถือ พยายามทำลายความเชื่อใจกันท่านยินดีในความยากลำบากเพื่อพี่น้องจริง ๆ และอารมณ์ของจดหมายเริ่มเปลี่ยนเป็นความยินดี
2 โครินธ์ 7:5
ท่านเริ่มเล่าให้พี่น้องรู้ว่า ท่านพบเจออะไรบ้างเมื่อท่านมายังคริสตจักรนี้ ในบทที่ 2:12-13 ท่านกล่าวว่าท่านทุกข์ใจมาก ๆ เพราะว่า ไม่พบ
ทิตัสที่เมืองโตรอัส และพยายามหาว่าเขาอยู่ที่ไหนจะเห็นว่า ท่านต้องต่อสู้กับคนที่ไม่เชื่อ และกับคนที่เชื่อด้วย และใครจะคิดบ้างว่า คนกล้าอย่างท่านเปาโลจะกล่าวเปิดใจว่า ท่านมีความกลัวอยู่ข้างในท่านคงจะกังวัลใจว่า ทิตัสปลอดภัยหรือเปล่า เขาจะเผชิญกับความยากลำบากอย่างไร
2 โครินธ์ 7:6-7
ตอนแรกท่านเปาโลเป็นกังวลมากที่ไม่พบทิตัสในแคว้นมาซิโดเนีย การเดินทางสมัยก่อนไม่ใช่นึกจะไปก็ขึ้นเครื่องบิน หรือขึ้นรถไป โทรศัพท์ก็ไม่มีการที่จะพบเพื่อนสักคนก็ต้องรอ ว่าเมื่อไรเขาจะมาถึง เพื่อนอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือไม่ ถ้าไม่มีการติดต่อด้วยจดหมาย หรือม้าเร็วก็ต้องรออย่างเดียวแต่ท่านบอกว่า พระเจ้าทรงปลอบใจท่านด้วยการให้ทิตัสมาเจอกับท่านจนได้ และยังส่งข่าวดี ๆ ของพี่น้องในโครินธ์ให้ด้วย
2 โครินธ์ 7:8
ใช่แล้ว จดหมายฉบับแรกของท่านเปาโลนั้นพูดตรง ไม่อ้อมค้อม ตรงประเด็นทุกเรื่อง ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไปตามนั้น ท่านเองรู้ดีว่า การเตือน
สติเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และหากพี่น้องกลับใจเมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว นับว่าเป็นสิ่งดีที่สุด ได้ผลตามที่ท่านต้องการ คำว่า เป็นทุกข์ชั่วขณะก็คือ
ทุกคนที่อ่านและรู้สึกผิด ก็จะไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจอยู่แล้ว แต่หากได้มีโอกาสกลับตัว นั่นก็ช่วยให้ทั้งชุมชนคริสเตียนได้เติบโตขึ้น
2 โครินธ์ 7:9
การเสียใจตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร? เมื่อมีการทำผิดเกิดขึ้น เมื่อมีการเสียใจอาจเป็นไปได้หลายแบบ เสียใจแล้วโทษคนโน้นคนนี้ว่าตนเองไม่ได้ผิด อย่างเช่นที่อาดัมทำผิดแล้วโทษเอวา ซึ่งเป็นนิสัยที่เราทุกคนก็ได้รับกันมาเต็ม ๆ หรือเสียใจแล้วไม่หาทางออก หนีปัญหาด้วยวิธี
ต่าง ๆ ไม่พูดถึง ไม่แก้ไข ไม่เปลี่ยนตัวเอง หรือถึงขนาดทำลายชีวิตตัวเอง การเสียใจตามน้ำพระทัยก่อให้เกิดการกลับใจใหม่.. ดีที่สุด
2 โครินธ์ 7:10
บางครั้งดูเหมือนว่า คำพูดของท่านเปาโลนั้น ตรงกับใจท่านและใจคนฟังจนกระทั่งเหมือนไม่มีความเกรงใจ ท่านเตือนสติอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกว่า ท่านกระแทกมากเกินไปท่านเปาโลเองก็รู้ว่า จดหมายฉบับแรกของท่านนั้นอาจทำให้คนรู้สึกแย่ ไม่สบายใจ แต่เมื่อทราบจากทิตัสว่า มีการกลับใจขึ้นในหมู่พี่น้อง และพวกเขายังรักและคิดถึงท่าน ท่านเปาโลจึงชี้แจงให้เขาเห็นว่าการเสียใจมีแบบทั้งบวกและทั้งทางลบ
2 โครินธ์ 7:11
ความเสียใจอย่างถูกต้อง ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าก่อให้เกิดการกลับใจไปสู่ความรอด สิ่งที่ท่านเปาโลพูดในตอนนี้ดูงง นิด ๆ แต่เมื่อเกิดการกลับใจจริงสิ่งเหล่านี้จะตามมาคือ ความแน่วแน่ในทางของพระเจ้า พยายามพิสูจน์ว่าตนได้หลุดจากทางบาปแล้ว ไม่พอใจต่อการที่ตนเองเคยโง่ไปทำบาปเกิดความยำเกรงพระเจ้า เพื่อจะไม่ตกในบาปเดิมอีก หัวใจที่ต้องการหลุดจากบาปจริง ๆ และพิสูจน์ออกมาเป็นการกระทำ
2 โครินธ์ 7:12
ที่ท่านเขียนจดหมายเตือนสติพี่น้องชาวโครินธ์เรื่องบาปคือบาป ถ้าทำผิดก็ต้องเปลี่ยนตัวเองกลับใจ แต่ที่ท่านเขียนครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการย้ำเรื่อง
เดิม ๆ เป้าหมายของท่านคือ ตัวพี่น้องเองจะได้มองเห็นตัวเองว่า เป็นอย่างไร เดินอย่างไรกับพระเจ้า กลับใจจริงไหม ชีวิตกับชุมชนพี่น้อง
คริสเตียนเป็นอย่างไร
2 โครินธ์ 7:13-14
การสื่อสารกับพี่น้องอย่างตรงไปตรงมาด้วยความรัก บนพื้นฐานแห่งพระวจนะ ทำให้ท่านเปาโลได้รับผลกลับมาเป็นที่น่าพอใจ ผู้รับใช้ของพระเจ้าคือทิตัส ก็ได้รับการหนุนใจ มีความสดชื่นที่ได้จากพี่น้อง สิ่งที่เคยบอกกับทิตัสว่าพี่น้องจะกลับใจเมื่ออ่านจดหมายก็เป็นจริง
2 โครินธ์ 7:15-16
ทิตัสเองได้รายงานความเป็นไป การกลับใจของพี่น้องหลังจากที่ได้อ่านจดหมายฉบับแรกนั้นทำให้ท่านเปาโลสบายใจขึ้น และทิตัสเองก็รู้สึก
รัก ห่วงใยพี่น้องมากขึ้นด้วย ท่านเปาโลแสดงความมั่นใจว่า พี่น้องชาวโครินธ์กลับใจจริง ๆ จากการตอบสนองของทิตัสเอง
ท่านรู้แล้วว่า จดหมายของท่านไม่เสียเปล่า ไม่ได้พูดล่องลอยไปตามลม แต่เกิดผลขึ้นจริง ๆ ในชีวิตของพี่น้อง
พระคำเชื่อมโยง
1* 1 ยอห์น 3:3
2* กิจการ 20:33
3* 2 โครินธ์ 6:11-12
4* 2 โครินธ์ 3:12; 1 โครินธ์ 1:4;
ฟีลิปปี 2:17
5* 2 โครินธ์ 2:13; 4:8;
เฉลยธรรมบัญญัติ 32:25
6* 2 โครินธ์ 1:3-4; 2:13; 7:13
8* 2 โครินธ์ 2:2,4
10* มัทธิว 26:75; สุภาษิต 17:22
11* เอเฟซัส 5:11; 2 โครินธ์ 2:5-11
12* 2 โครินธ์ 2:4
13* โรม 15:3215* 2 โครินธ์ 2:9
16* 2 เธสะโลนิกา 3:4
2 โครินธ์ 6 อาวุธของท่านเปาโล
2 โครินธ์ 6:1
ในฐานะที่เราทำงานกับพระเจ้า เราจึงขอร้องท่านว่า อย่ารับพระคุณของพระเจ้าเปล่า ๆ อย่างไร้ประโยชน์
2 โครินธ์ 6:2
เพราะพระองค์ตรัสว่า“ในเวลาที่โปรดปราน เราฟังเสียงเจ้า
ในวันแห่งความรอด เราได้ช่วยเจ้าไว้”
บัดนี้ เป็นเวลาแห่งความโปรดปราน บัดนี้ เป็นวันแห่งความรอด
2 โครินธ์ 6:3-5
เราไม่ได้วางสิ่งกีดขวางบนทางของใครเพื่อว่า การรับใช้นี้จะไม่ถูกตำหนิติเตียนเราอยู่ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าให้เห็นในทุกด้าน โดยเราอดทนเป็นอย่างยิ่งกับความยากลำบาก และความขัดสนและในวิบัติต่าง ๆ กับการถูกโบยตี ถูกจำจอง กับเหตุวุ่นวาย กับการตรากตรำทำงาน การอดนอน ความหิวโหย
2 โครินธ์ 6:6-7
โดยความบริสุทธิ์ โดยความรู้ ความอดทนความเมตตา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยรักแท้ โดยคำแห่งความจริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยใช้อาวุธแห่งความชอบธรรม ทั้งมือขวาและมือซ้าย
2 โครินธ์ 6:8
ทั้งเวลาที่มีเกียรติและไร้เกียรติ เวลาที่ถูกดูหมิ่น และถูกยกย่อง
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวงแต่ก็ยังเป็นคนจริงที่ซื่อตรง
2 โครินธ์ 6:9-10
ทั้งในเวลาที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่ใครๆ รู้จักดี
เป็นเหมือนคนตายแล้วแต่ดูเถิด เรายังมีชีวิตอยู่
เป็นคนที่ถูกลงทัณฑ์ แต่ยังไม่สิ้นใจ ทั้งที่โศกเศร้า
แต่เรายังยินดีเสมอ ทั้งยากจน แต่ทำให้คนมากมายมั่งคั่ง ทั้งเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่กลับมีทุกสิ่ง
2 โครินธ์ 6:11-13
โอ ชาวโครินธ์เอ๋ย เราได้เปิดใจกว้าง และกล่าวแก่ท่านอย่างไม่มีอะไรปิดบังเราไม่ได้ปิดใจของเราต่อท่าน ท่านต่างหากที่ใจปิด ขอท่านตอบเราในแบบเดียวกัน ข้าพูดในฐานะที่ท่านเป็นลูกของข้าว่า จงเปิดใจให้กว้างเถิด
2 โครินธ์ 6:14
อย่าเทียมแอกร่วมกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะว่าความชอบธรรมจะมีส่วนอะไรกับความอธรรม? และความสว่างจะมีสัมพันธ์สนิทกับความมืดได้อย่างไร?
2 โครินธ์ 6:15
พระคริสต์กับเบลีอัล จะตกลงใจร่วมกันได้อย่างไร
หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าจะมีส่วนใด ๆกับคนที่ไม่เชื่อได้หรือ?
2 โครินธ์ 6:16
พระวิหารของพระเจ้าจะมีข้อตกลงใดกับรูปเคารพ? เพราะว่าเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าได้ตรัสว่า“เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา และเดินไปในหมู่พวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา”
2 โครินธ์ 6:17-18
“ดังนั้น จงออกมาจากคนเหล่านั้นแยกตัวออกจากพวกเขา อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด แล้วเราจะต้อนรับเจ้าไว้”
“เราจะเป็นพ่อของเจ้า และเจ้าจะเป็นลูกชายลูกสาวของเรา”
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้กล่าวไว้
2 โครินธ์ 6:1
พระคัมภีร์บางเล่มแปลว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า เราคิดดูสิในประเทศของเรานั้นการข่มเหงในเรื่องพระเจ้ามีน้อยที่อื่น ๆ เรายังมี
โอกาสเข้าไปประกาศในโรงเรียน ในสถานที่กักกันในที่ต่าง ๆ ได้ ในขณะที่หลายประเทศทำไม่ได้ เรามีเสรีภาพในการรับใช้พระเจ้า เป็นพระเมตตาที่ทรงให้เรารับใช้พระองค์ ท่านเปาโลรับใช้พระเจ้าสุดตัว สุดหัวใจ รับพระคุณมาเพื่อเชื่อ เพื่อรับใช้ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ได้รับพระคุณเปล่า ๆ
2 โครินธ์ 6:2
ท่านเปาโลกล่าวถึงอิสยาห์ 49:8 เพื่อให้เห็นว่าเวลานี้ บัดนี้ เป็นเวลาที่เราต้องเอาจริงเอาจังกับความเชื่อของเรา รับใช้พระเจ้าด้วยพระคุณของ
พระองค์ ไม่ใช่ด้วยกำลังหรือความเร่าร้อนใจของตนเอง จากคำของอิสยาห์ เราประเมินได้ว่า เวลาแห่งความโปรดปราน และเวลาแห่งความรอดมีที่สิ้นสุด เราจึงต้องพิจารณาตัวเองว่า ใช้ชีวิตอย่างไรอยู่ในเวลานี้ เผื่อว่า วันแห่งโอกาสรับใช้มันอาจจะหมดไปเมื่อไรก็ไม่รู้
2 โครินธ์ 6:3-4
ในการรับใช้ของท่านเปาโลนั้น ท่านพยายามที่สุดเพื่อไม่ให้ใครเข้าใจผิด สะดุดไป เต็มใจที่จะทำงานหนัก และเผชิญกับอุปสรรคนา ๆ ที่เกิดขึ้นตามทางขออย่าให้การรับใช้ของตัวท่านเป็นที่ตำหนิในสายตาของพี่น้อง (ถึงแม้มีคนคอยให้ร้ายป้ายสี พูดจาถากถางจากครูสอนผิด และแม้พี่น้องในโครินธ์เอง)ท่านยืนอยู่อย่างถูกต้องกับพระเจ้า แม้จะโดนใส่ร้าย การรับใช้ของท่านไม่มีตำหนิตามที่คนใส่ร้าย ท่านแน่ใจว่าถูกต้องกับพระเจ้าเสมอ
2 โครินธ์ 6:5
ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือกิจการตอนชีวิตของท่านเปาโล เราจะเห็นว่า ท่านต้องเผชิญกับศัตรูทั้งที่เป็นคนยิวและคนต่างชาติ ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่จะข่มขู่ ข่มเหงท่านในวิธีที่โหดร้าย ท่านเปาโลเองรู้อยู่แล้วว่า ต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เริ่มต้นรับใช้ท่านเองก็เคยข่มเหงผู้เชื่อมาก่อน สิ่งที่ท่านต้องมีคือ ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งได้มาจากพลังแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า
2 โครินธ์ 6:6-7
แล้วท่านเปาโลใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการสู้กับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น? น่าสนใจที่ท่านมีเครื่องมือหลายอย่างที่นำมาช่วยให้ผ่านวิกฤติ และทำให้ท่านอดทนสู้จนมีชัยชนะ ความอดทนที่ท่านมีนั้นไม่ใช่ความอดทนแบบนิ่งเฉยแต่เป็นการสู้ผ่านไปโดยไม่ยอมแพ้ นับดูแล้วเครื่องมือของท่านมีแปดประการที่เราเองก็ต้องมีเช่นกัน …พระคำข้อนี้คือเคล็ดลับของชัยชนะในชีวิตแห่งการรับใช้
2 โครินธ์ 6:8
ท่านเปาโลรับใช้พระเจ้าโดยไม่ได้สนใจว่า จะหยุดเมื่อมีคนต่อว่า ดูหมิ่น ถูกกล่าวหาต่าง ๆ ท่านรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสิน ท่านมีชีวิตอยู่โดยความมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งดำรงอยู่นิรันดร์ ความมั่นคงในการรับใช้นี้ เป็นตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า ไม่ต้องไปห่วงหาเวที หรือความนิยมจากผู้คน แต่เฝ้าประกาศความจริงของพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
2 โครินธ์ 6:9-10
ความย้อนแย้งในการรับใช้ของท่านเปาโลเป็นตัวอย่างของเราว่า จะต้องมั่นคงในการทรงเรียกของพระเจ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีหรือร้ายใน
สายตาของมนุษย์ก็ไม่ใช่ข้อที่นำมาตัดสิน ท่านมองทุกอย่างกลับด้านกับพี่น้องชาวโครินธิ์ซึ่งคอยตัดสินการทำงานของท่านตลอดเวลา ท่านมองเห็นด้วยว่า สิ่งที่ดูเหมือนร้าย แต่อีกด้านดูดีจริง ๆ ด้านที่มองเห็นเป็นแบบหนึ่ง แต่ด้านที่มองไม่เห็นเป็นอีกแบบ
2 โครินธ์ 6:11-13
ถ้าเป็นสมัยใหม่ ก็ต้องเรียกว่า กรอบความคิดที่ไม่ยอมเปลี่ยน พวกเขาไม่ได้รักท่านเปาโลพอที่จะเปิดใจหรือเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิดให้เข้ากันได้กับท่าน ท่านขอร้องพวกเขาแบบตรงไปตรงมาให้พวกเขาเปิดใจ การอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนของพระเจ้า เป็นคริสตจักรเป็นอวัยวะเดียวกันในพระคริสต์นั้น ทั้งสองฝ่ายต้องเปิดใจ เข้าใจกัน และยอมรับกันเพื่อจะเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน
2 โครินธ์ 6:14
แม้ว่าเราจะใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ มาพูดถึงการที่ว่าคริสเตียนไม่ควรแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อ พื้นฐาน คำของท่านเปาโลนี้อยู่ที่เฉลยธรรมบัญญัติ 22:9เป็นคำสั่งห้ามไม่ให้สัตว์สองชนิดเข้ามาเทียมแอกเดียวกัน อย่าเอาสองสิ่งที่ไม่ควรคู่กันมาอยู่ด้วยกัน พี่น้องชาวโครินธ์คบคนที่ไม่เชื่อ ทำให้พวกเขาไม่อาจคืนดีกับท่านได้ พวกเขามีกรอบความคิดของคนไม่เชื่ออยู่ … เวลาเราทำงานทั่วไป เราก็จะเจอความคิดแบบของโลกที่ไม่ใช่ทางพระเจ้าเสมอ
2 โครินธ์ 6:15
สิ่งที่พี่น้องโครินธ์ทำคือ พวกเขายอมรับความอธรรมได้ ยอมรับความคิดที่ผิดต่อพระเจ้าได้ ในโลกทุกวันนี้ มีความคิดที่ผิดต่อพระดำริของพระเจ้ามากมาย เป็นความคิดที่ต่อต้านพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนเพศ การทำแท้งเสรี การเหยียดเชื้อชาติ เรานึกว่า เราต้องรักทุกคน และรับทุกคนอย่างที่เขาเป็น ต้องรับความชั่วของมนุษย์ได้โดยไม่ต่อต้าน เราก็เลยไปยอมรับความคิดที่ผิดเพี้ยนคิดว่าไม่เป็นไร นี่อันตรายมาก!
2 โครินธ์ 6:16
พี่น้องชาวโครินธ์ ได้เข้าไปมีส่วนในเรื่องของการไหว้รูปเคารพของชาวเมือง พวกเขายังมีปัญหาเรื่องนี้ อย่างที่ท่านเปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินธ์
8-10 การเข้าสนิทเป็นเพื่อนกับผู้ที่ไหว้รูปเคารพจนยอมรับความคิดการกระทำของพวกเขาว่าไม่เป็นไรนั้น มีอิทธิพลต่อความคิดของคนของ
พระเจ้าอย่างแน่นอน เราเป็นวิหารของพระเจ้าพระเจ้าดำเนินท่ามกลางเรา เราเป็นคนของพระเจ้าจึงอย่าสยบให้มาร
2 โครินธ์ 6:17-18
ถ้าจะติดตามพระเจ้า ก็ต้องเลิกชีวิตบาปสารพัดเราไม่อาจคืนดีกับพระเจ้าได้ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตบาป พระเจ้าทรงหวงคนของพระองค์ ไม่ให้เข้าไปพัวพัน
กับรูปเคารพซึ่งมาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นรูปปั้นอย่างสมัยก่อน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือพระองค์ผู้ที่พระหัตถ์อยู่เหนือทุกสิ่งในโลก เป็นคำที่มักใช้ในวิวรณ์ พระองค์พอพระทัยที่จะเป็นพ่อของทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ จึงมีพระคำที่บอกว่า ทรงรับเราเป็นบุตร ยอห์น 1:12
พระคำเชื่อมโยง
1* 1โครินธ์ 3:9; 2 โครินธ์ 5:20
2* อิสยาห์ 49:8
3* โรม 14:13
4* 1โครินธ์ 4:1
5* 2 โครินธ์ 11:23
7* 2 โครินธ์ 7:14; 1 โครินธ์ 2:4;
2 โครินธ์ 10:4
9* 2 โครินธ์ 4:2; 5:11; 1 โครินธ์ 4:9, 11; สดุดี 118:18
10* 2 โครินธ์ 8:9
11* 2 โครินธ์ 7:3
12* 2 โครินธ์ 12:15
13* 1 โครินธ์ 4:14
14* 1 โครินธ์ 5:9; เอเฟซัส 5:6, 7, 11
16* 1โครินธ์ 3:16-17; 6:19; เอเสเคียล 37:26-2717* อิสยาห์ 52:11
18* 2 ซามูเอล 7:14; โรม 8:14
2 โครินธ์ 5 คนที่ถูกสร้างใหม่
2 โครินธ์ 5:1
เพราะเรารู้ว่า ถ้าเต็นท์ซึ่งเป็นกายดินของเราถูกทำลายไป เราก็จะได้ที่อยู่อาศัยจากพระเจ้า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ และดำรงอย่างยั่งยืนในสวรรค์
2 โครินธ์ 5:2-3
เพราะกายดินของเราโหยหาต้องการสวมใส่ที่อยู่อาศัยซึ่งมาจากสวรรค์ยิ่งนักเพราะเมื่อสวมใส่แล้ว จะไม่มีใครเห็นว่าเราเปลือยกายอยู่
2 โครินธ์ 5:4
ขณะที่เราอยู่ในเรือนกายนี้เราก็โหยหา เรามีภาระหนัก ซึ่งไม่ใช่เป็น
เพราะเราต้องการจะอยู่ตัวเปล่าเปลือย แต่เราต้องการจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อว่าชีวิตอมตะจะกลืนกินกายที่ต้องตาย
2 โครินธ์ 5:5
พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราเพื่อการนี้และพระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นประกันแก่เรา
2 โครินธ์ 5:6-7
ดังนั้น เราจึงมั่นใจเสมอ และตระหนักว่าขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เท่ากับเราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยการเห็นด้วยตา
2 โครินธ์ 5:8-9
และเรามั่นใจและอยากที่จะจากร่างกายนี้ เพื่อไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าดังนั้น เราตั้งเป้าไว้ว่า ไม่ว่าเราจะอาศัยในร่างกายนี้ก็ดี หรือจากไปก็ดีเราก็จะทำตนเป็นที่พอพระทัย
2 โครินธ์ 5:10
เพราะว่า เราทุกคนจะต้องไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อว่าแต่ละคนจะได้รับการตอบแทนตามการกระทำในร่างกายนี้ไม่ว่าจะดีหรือไร้สาระ
2 โครินธ์ 5:11
ดังนั้น เพราะเรายำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงชักชวนคนอื่น ๆ เราเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นที่ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าหวังว่า จะปรากฏชัดในมโนธรรมของท่านด้วย
2 โครินธ์ 5:12
เราไม่ได้ยกตัวเองกับท่านทั้งหลายอีกแต่จะให้ท่านมีเหตุที่จะอวดพวกเราได้เพื่อพวกท่านจะสามารถตอบโต้เหล่า คนที่มักอวดถึงสิ่งที่มองเห็นภายนอก แต่ไม่ได้อวดสิ่งที่อยู่ในจิตใจ
2 โครินธ์ 5:13
ถ้าเราเป็นเหมือนคนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ก็เป็นไปเพื่อพระเจ้าแต่หากเราเป็นเหมือนคนปกติก็เพื่อประโยชน์ของท่าน
2 โครินธ์ 5: 14
เพราะความรักของพระคริสต์ควบคุมเราอยู่ เพราะเราได้สรุปว่า เนื่องจากผู้หนึ่งได้ตายเพื่อทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงตายแล้ว
2 โครินธ์ 5:15
พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน ดังนั้น ทุกคนที่มีชีวิตจึงจะไม่อยู่เพื่อ
ตนเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ขึ้นมาเพื่อพวกเขา
2 โครินธ์ 5:16
ดังนั้น จากนี้ไปเราจะไม่ออกความเห็นเรื่องคนใดตามแนวคิดของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยออกความเห็นเรื่องพระคริสต์ตามแนวคิดโลกก็จริงแต่มาวันนี้ เราไม่มีความเห็นเรื่องพระองค์ อย่างนั้นอีกแล้ว
2 โครินธ์ 5:17
ดังนั้น ถ้าคนใดอยู่ในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว
สิ่งเก่า ๆ ก็ล่วงไปและมีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่
2 โครินธ์ 5:18-19
สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ พระองค์ไม่ทรงถือโทษใน
ความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องของการคืนดีนี้ให้เราประกาศ
อธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 5:1
เต็นท์เป็นที่อาศัยชั่วคราว ดังนั้นเต็นท์ซึ่งเป็นกายดินของเราซึ่งมีความหมายถึงร่างกายมนุษย์ที่ต้องตาย ส่วนที่อยู่อาศัยจากพระเจ้านั้น ก็คือร่างกายใหม่ที่ฟื้นคืนมาจากตาย นี่เป็นเรื่องยิ่งกว่าหนังไซไฟที่ใคร ๆ จะคิด แต่เป็นเรื่องจริงจึงมหัศจรรย์มากคนที่เร่ร่อนในสมัยก่อนจะใช้เต็นท์เป็นส่วนใหญ่ ร่างใหม่ที่เราจะได้จากพระเจ้านั้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย หรือตายไปอย่างที่เป็นอยู่ในโลกนี้
2 โครินธ์ 5:2-3
ตัวท่านเปาโลเองอยากที่จะออกจากกายดินนี้ ไม่เหมือนพวกเราที่อยากอยู่ในกายดินนี้นานเท่าที่
จะทำได้ เพราะไม่ได้เชื่อว่าจะมีกายที่เป็นอมตะจากพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้เราไว้ ความหวังในกายใหม่ของเรานั้น คือร่างกายที่ฟื้นคืนจากตาย ไม่ใช่เป็นกายวิญญาณเท่านั้น แต่เป็นกายอย่างพระเยซูที่ทรงฟื้นคืนมา 1 ยอห์น 3:2
บอกว่า เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซู!
2 โครินธ์ 5:4
เราโหยหาที่จะสวมใส่กายใหม่ นั่นคือเวลานี้ท่านเปาโลมีความปรารถนาที่จะได้รับกายที่มีศักดิ์ศรี อยู่กับพระคริสต์ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า กายนี้ของท่านเทียบไม่ได้กับกายใหม่สักนิดตัวเปล่าเปลือยที่ว่าน่าจะหมายถึงสภาพปัจจุบันของผู้เชื่อที่วิญญาณจิตอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แต่ร่างกาย
ยังไม่ได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซึ่งเป็นกายที่เหนือกว่ากายที่ต้องตายมากนัก
2 โครินธ์ 5:5
การที่ผู้เชื่อจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์จะคิดขึ้นมาและทำเองได้ พระเจ้าทรง
กำหนดให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกจะได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ (โรม 8:29) เพราะพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกมอบให้พระเยซูด้วยพระองค์เอง (ยอห์น 6:37) หลักประกันว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นคือพระเจ้าทรงให้พระวิญญาณประทับในร่างกายของผู้เชื่อ
2 โครินธ์ 5:6-7
แม้ว่าเราจะมีพระวิญญาณอยู่ในชีวิตของเรา แต่การที่อยู่ในโลกนี้ เท่ากับเราอยู่ห่างจากความเต็มบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าในแผ่นดิน
สวรรค์ ท่านเปาโลมีความรู้สึกว่า ตอนที่ท่านอยู่ในโลก เทียบไม่ได้กับการอยู่เบื้องพระพักตร์ความเชื่อ ความหวังใจที่จะอยู่กับพระเจ้านี้ เป็น
สิ่งที่ยังมองไม่เห็นด้วยตา ต้องใช้ความเชื่อแบบที่ไม่เห็นแต่เชื่อ (ฮีบรู 11:1) เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าที่มีให้ไว้ (2 โครินธ์ 4:18, 5:1)
2 โครินธ์ 5:8-9
ในเมื่อสวรรค์นั้นเป็นที่ ๆ ดีกว่าโลกเป็นไหน ๆ ท่านเปาโลจึงอยากที่จะไปอยู่ที่นั่นกับพระเจ้ามากกว่าเป้าหมายของท่านจึงแตกต่างไปจากคนในโลกนี้คนละขั้วเลย.. ดังนั้น วิธีการของท่านที่เชื่อว่าจะทำให้ท่านได้สมปรารถนาคือ การทำตัวเองให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าในทุก ๆ ด้าน
ทุก ๆ แห่งที่อยู่ และนี่ควรเป็นเป้าหมายของเราทุกคนเช่นกัน เป็นเหมือนทาสที่ต้องการทำให้นายพอใจทุกอย่าง (ทิตัส 2:9)
2 โครินธ์ 5:10
ที่สุดของชีวิตคือเราจะต้องให้การกับพระเจ้าในการกระทำทุกอย่างของเรา ไม่ว่าคนจะเห็นหรือไม่ ถึงเวลานั้นก็ไม่มีการปกปิดแล้ว ที่บัลลังก์นั้น
เป็นบัลลังก์แห่งการพิพากษาซึ่งพระเจ้าจะทรงดูว่าใครทำอะไร จะมีรางวัลอะไรให้ ไม่ได้เป็นเรื่องของบาปเพราะว่า บาปของเรานั้น พระเยซูทรงกำจัดให้แล้วที่ไม้กางเขน แต่เป็นเรื่องของการกระทำหลังจากที่เราเชื่อในพระเจ้า เราต้องถามตัวเองว่า ได้ใช้ชีวิตในการที่จะทำสิ่งที่มีคุณค่านิรันดร์บ้างหรือไม่
2 โครินธ์ 5:11
เพราะความยำเกรงพระเจ้า ทำให้ท่านเปาโลตั้งใจใช้ชีวิตเป็นที่พอน้ำพระทัยพระเจ้า และเพิ่มรางวัลให้กับตนเองในวันของพระองค์ ท่านจึงชักชวนพี่น้องให้คิดอย่างนี้ ให้พวกเขาระวังที่จะเชื่อและทำในสิ่งที่ถูกต้องสถานภาพฝ่ายวิญญาณหรือมโนธรรมของท่านเปาโลนั้น คือความจริงใจ จริงจัง และถูกต้องท่านหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ จะเป็นที่เห็นชอบของพี่น้องด้วย
2 โครินธ์ 5:12
เหล่าคนที่ต่อต้านท่านเปาโลในคริสตจักรโครินธ์ พวกที่พยายามกวน ปลุกปั่นให้คริสตจักรสั่นคลอน พวกที่สอนผิด ต้องใช้การโอ้อวดภายนอกเพื่อให้คนเชื่อถือ อวดความดี อวดว่าตนเองเป็นคนเที่ยงธรรมเหนือผู้อื่น หากเรากลับไปอ่าน 4:2 เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนว่า ท่าน
รับใช้พระเจ้าอย่างไร ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่บิดเบือนแต่กล่าวพระคำของพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาตามพระประสงค์ของพระเจ้า
2 โครินธ์ 5: 14
ความรักพระคริสต์เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของท่านเปาโล ความจริงที่ว่า “พระคริสต์ได้ตายเพื่อรับโทษบาปแทนเรา พระองค์ทรงเป็นผู้รับการแช่งสาปแทนเรา”(กาลาเทีย 3:13) นี้ เป็นพลังที่ทำให้ท่านเปาโลเองถวายชีวิตให้กับพระเจ้าทั้งหมดทุกคนที่เชื่อในพระเยซูเท่ากับพวกเขาได้ตาย
เหมือนกับพระองค์ไปแล้วด้วย พระเจ้าทรงถือว่าชีวิตเก่าของพวกเขาจบไปแล้ว พวกเขาพ้นโทษแล้ว
2 โครินธ์ 5:13
การควบคุมตัวเองไม่ได้ในภาษาเดิมว่า “บ้าไปแล้ว”หรือ“เสียสติ” ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านทุ่มเทให้กับความจริงอย่างสุดตัว ท่านถูกคนที่ต่อต้านกล่าวหาว่าบ้า เสียสติ เป็นอย่างนั้นก็ได้เพราะท่านทำเพื่อพระเจ้า แต่หากท่านควบคุมตนเองได้ก็คือ ไม่ทำตัวสุดโต่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านทำเพื่อเห็นแก่พี่น้อง จะได้เกิดความเข้าใจในขณะที่ท่านแก้ต่างให้ตนเอง และสอนความจริงให้กับพวกเขา
2 โครินธ์ 5:15
ด้วยชีวิตใหม่ที่ได้รับมา ผู้เชื่อจึงไม่มีชีวิตเพื่อตัวเองอย่างที่เคยอีกต่อไป เนื่องจากชีวิตเดิมนั้นผ่านไปแล้ว ชีวิตบาปไม่มีอีกต่อไป พวกเขาจึงเป็นอิสระจากโทษบาปที่รอทุกคนที่ยังบาปอยู่ อำนาจบาปที่เคยมีเหนือชีวิตคน ๆ หนึ่ง (จากปฐมกาล 3:1-7) ถูกทำลายไปสิ้นเมื่อเขามาเชื่อวางใจพระเยซู (โรม 6:1-14) พวกเขาเป็นเหมือนท่านเปาโลคือ มีความรักของพระคริสต์ควบคุมชีวิต
2 โครินธ์ 5:16
จำได้ไหมว่า เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นหนุ่มแน่นเป็นฟาริสีสุดโต่ง ท่านเปาโลมองว่า การที่มาเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่กัดกร่อนความมั่นคงของศาสนา
ยิวโดยตรง และสิ่งที่ทำคือ พยายามทำลายผู้เชื่อให้สิ้นซากไปเลย แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูด้วยตนเองจริง ๆ แล้ว เป้าหมายก็เปลี่ยนไป เป็นความต้องการให้ยิวทุกคนได้รอดพ้นบาป (โรม 10:1,9:1-3) การมองคนเปลี่ยนจากภายนอกเป็นการมองไปข้างในชีวิต
2 โครินธ์ 5:18-19
การคืนดี…เป็นราชกิจสำคัญที่พระเจ้าทรงให้พระเยซูลงมาทำในโลกนี้ ท่านเปาโลเองได้รับประสบการณ์ในการคืนดีนี้ชัดเจนมาก เมื่อท่านได้คืนดีกับพระเยซูคริสต์ สยบต่อไม้กางเขนของพระเยซู เลิกชีวิตที่เข่นฆ่าผู้อื่น แล้วกลับกลายเป็นผู้ที่อธิบายความหมายของไม้กางเขนให้ชาวโลกเข้าใจท่านบอกว่านี่เป็นการคืนดีกับพระเจ้า ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์จะพ้นโทษบาป พ้นอำนาจบาปพบแล้ว เชื่อแล้ว ก็บอกต่อให้ทุกคนได้รู้
2 โครินธ์ 5:17
ท่านเปาโลมองภาพใหม่ จากคริสเตียนที่ต้องถูกกำจัด เป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่ พวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าจะดูจากชีวิตท่านเปาโล
จะเห็นชัดมาก คนเดิม เป้าหมายเดิมไม่อยู่ต่อไปท่านรับการสร้างใจใหม่จากพระเจ้า สิ่งเก่า ๆแนวคิดเก่า ความเชื่อเก่าหายไปหมด ไม่ตกค้าง
ให้รำคาญเป็นอุปสรรคอีกต่อไป นี่เป็นผลแห่งพระวิญญาณ (ดู 2 โครินธ์ 3:3, 3:6, 3:18)
พระคำเชื่อมโยง
1* โยบ 4:19; มาระโก 14:58
2* โรม 8:23
3* วิวรณ์ 3:18
4* 1โครินธ์ 15:53
5* โรม 8:23
7* ฮีบรู 11:1
8* ฟีลิปปี 1:23
10* โรม 2:16; 14:10, 12; เอเฟซัส 6:8
11* ฮีบรู 10:31; 12:29
12* 2 โครินธ์ 3:1; 1:14
13* 2 โครินธ์11:1; 16; 12:11
14* โรม 5:15; 6:6
15* โรม 6:11
16* 2 โครินธ์ 10:3; มัทธิว 12:50
17* ยอห์น 6:63; โรม 8:9; อิสยาห์ 43:18; 65:17; โรม 6:3-10
18* โรม 5:10
19* โรม 3:24
20* เอเฟซัส 6:20
21* อิสยาห์ 53:6, 9; โรม 1:17; 3:21
2 โครินธ์ 4 สิ่งที่ไม่เห็นดำรงนิรันดร์
2 โครินธ์ 4:1-2
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับใช้ในพันธกิจนี้ โดยที่พระเจ้าทรงเมตตาเรา เราจึงไม่ท้อแท้เราไม่ทำแอบทำการลับ ๆ ที่น่าอับอายไม่หลอกลวงใคร ไม่บิดเบือนพระดำรัสของพระเจ้า แต่ประกาศความจริงอย่างเปิดเผย เราแสดงตัวของเราต่อมโนธรรมของทุกคน ในสายพระเนตรพระเจ้า
2 โครินธ์ 4:3-4
แต่หากว่า ข่าวประเสริฐที่เราประกาศยังถูกปิดบังไว้อีก ก็คือถูกปิดบังไว้จากคนที่กำลังจะพินาศเท่านั้น เจ้าแห่งยุคนี้ได้ปิดตาใจไว้ ทำให้เขาไม่เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐแห่งสง่าราศีของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า
2 โครินธ์ 4:5
เพราะว่า เราไม่ได้ประกาศตัวเราเองแต่ประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่า เราเป็นทาสของพวกท่านเพราะเห็นแก่องค์พระเยซู
2 โครินธ์ 4:6
เพราะพระเจ้าผู้ได้ตรัสว่า“ความสว่าง จงส่องออกมาจากความมืด”
คือพระองค์ผู้ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเราเพื่อให้เราได้รู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์
2 โครินธ์ 4:7
แต่เรามีสมบัติล้ำค่าอยู่ในภาชนะดินเพื่อให้รู้ว่า ฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่นี้มาจากพระเจ้า และไม่ได้มาจากตัวของเราเอง
2 โครินธ์ 4:8-9
เราเผชิญความทุกข์ยากรอบด้านแต่ก็ไม่แตกสลาย เรารู้สึกสับสนงงงัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้เราถูกกดขี่ข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้งเราถูกฟาดจนล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลายไป
2 โครินธ์ 4:10
เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายของเราทุกเวลาเพื่อว่า ชีวิตของพระเยซูจะเป็นที่ประจักษ์ในร่างกายของเรา
2 โครินธ์ 4:11-12
เพราะว่า เราซึ่งมีชีวิตอยู่นี้ ก็ถูกยื่นให้กับความตายอยู่เสมอ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราที่ต้องตายดังนั้น ความตายจึงทำงานอยู่ในตัวเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานในตัวพวกท่าน
2 โครินธ์ 4:13-14
แต่ในเมื่อเรามีวิญญาณความเชื่อเดียวกันตามที่มีเขียนไว้ว่า “ข้าเชื่อดังนั้นข้าจึงพูดออกมา” เราเองก็เชื่อ ดังนั้นเราจึงพูดออกมาด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นกับพระคริสต์ และจะทรงนำเราไปเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พร้อมกับพวกท่าน
2 โครินธ์ 4:15
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน เพื่อว่า เมื่อพระคุณได้เข้ามาแตะต้องคนเป็นจำนวนมากก็จะทำให้เกิดการขอบพระคุณมากด้วยเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
2 โครินธ์ 4:16
ดังนั้น เราจึงไม่ท้อแท้หมดหวัง ถึงแม้ว่าร่างกายของเรากำลังเสื่อมไป แต่ภายในของเรานั้นกำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุก ๆ วัน
2 โครินธ์ 4:17-18
เพราะความทุกข์ยากเบา ๆ ชั่วขณะหนึ่งนั้น ส่งผลให้เรามีสง่าราศีนิรันดร์ซึ่งไม่มีอะไรมาเปรียบได้ เพราะเราไม่ได้เฝ้ามองสิ่งที่มองเห็น แต่เฝ้ามองสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นได้ก็อยู่ชั่วคราวแต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ดำรงนิรันดร์
คำอธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 4:1-2
ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่า หากเราได้มีชีวตที่รับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการรับใช้แบบไหน ต้องถือว่าเป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ให้เราทำการนั้น สิ่งที่ทำให้เราเป็นผู้รับใช้ที่เหมาะสมคือ ทำงานโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ทำโดยรู้ว่า เราเองไม่สมควรที่จะได้พระเมตตาให้รับใช้เสียด้วยซ้ำ ทำอย่างเปิดเผย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ มีหลายคน ที่ทำงานอย่างมีเจตนาอื่น พวกเขาจึงบิดเบือนพระคำของพระเจ้าให้เข้ากับเป้าหมายของตน
2 โครินธ์ 4:3-4
การประกาศพระนามของพระเจ้าอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งดีที่สุด เพราะพระนามของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์ความรักที่พระเจ้าจะทรงเปิดใจของหลาย ๆ คนให้ได้พบพระองค์ แต่.. ยังมีอุปสรรคอีกอย่างที่ทำให้คนไม่เห็นความสว่าง คือ มารพยายามปิดตาใจของเขา ทำให้เขาเห็นแต่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ เห็นแต่ความมั่งคั่ง ความสบาย ความสุขเล็กน้อยที่โลกมีให้ ไม่อาจเห็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์
2 โครินธ์ 4:5
การประกาศพระนามของพระเจ้านั้น จะต้องไม่มีเรื่องของตนเองเข้าไปผสมปนเป เราสังเกตได้ว่า นักเทศน์ท่านใดประกาศพระเจ้า หรือประกาศตัวเองเราต้องระมัดระวังด้วยในเรื่องนี้ ตัวเราเองก็ต้องระวังว่า เวลาประกาศพระนามพระเจ้า เรามักพูดเรื่องของตัวเองหรือเปล่า น่าสนใจที่ท่านเปาโลมองว่า ท่านเองเป็นผู้รับใช้พี่น้อง ไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจเหนือพี่น้อง และที่ท่านเป็นอย่างนั้นก็เพราะเห็นแก่พระนามพระเยซู
2 โครินธ์ 4:6
ในปฐมกาล 1:3 บอกชัดว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกนั้น อย่างแรกที่ทรงทำคือ ให้ความสว่างออกมาจากความมืด ใช่แล้ว เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตคนบาปอย่างเรา สิ่งแรกที่ทรงทำคือ ทรงส่องความสว่างนิรันดร์เข้ามาในใจ ทำให้เราพบพระองค์ ในอิสยาห์ 9:2 พระเจ้าให้ความสว่างแก่เหล่าคนต่างชาติที่เดินในความมืด ทำให้พวกเขาได้หันกลับมาหาพระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เมื่อพระเจ้าทรงฉายแสงของพระองค์ลงมา ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิม
2 โครินธ์ 4:7
ท่านเปาโลกล่าวว่า ชีวิตเรานั้นเป็นเพียงภาชนะดินเป็นผู้ที่อ่อนแอ แตกได้ พังได้ ยับเยิน แต่ที่ผู้เชื่อทุกคนแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อคือ เขามีสมบัติล้ำค่าในชีวิต ที่คนอื่นขาดอยู่มีความสว่างของพระเจ้าจึงมองเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข มีพลังของพระเจ้าที่เป็นฤทธิ์ยิ่งใหญ่ช่วยแก้ไขชีวิตซึ่งเป็นภาชนะดินท่านเปาโลไม่ได้มองการอ่อนแอ เป็นสิ่งที่น่าอายแต่มองว่า เป็นโอกาสที่คน ๆ หนึ่งจะถ่อมตนและได้สัมผัส รับฤทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต
2 โครินธ์ 4:8-9
ในหนังสือกิจการ เราจะเห็นว่า สิ่งที่ท่านกล่าวข้างบนเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านถูกหมายหัว มีคนต้องการเอาชีวิต เพราะท่านประกาศพระนามพระคริสต์หรือ พระเมสสิยาห์ที่คนยิวเกลียดชังนักชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างให้ผู้เชื่อในเวลาต่อมา พวกเขาอดทน อดกลั้น และเชื่อว่า พวกเขาไม่อาจถูกมนุษย์หรือมารทำลายได้แม้พยายามจะขู่เข็ญ กดขี่ขนาดไหนก็ตาม ทั้งนี้เพราะในชีวิตมีฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้สามารถทนทานขนาดนั้น
2 โครินธ์ 4:10
ท่านเปาโลกำลังบอกอะไรเรา? ท่านต้องการให้ชีวิตของท่านมีพระเยซูปรากฏชัดเสมอ เมื่อคนพูดคุยด้วย เมื่อคนทั้งหลายได้ฟังท่านสอน ก็เหมือนกับว่าได้พบปะกับพระเยซูเองเลยทีเดียวการแบกความตายของพระเยซูในร่างกายเราคือเราตระหนักในการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเราเสมอ เพื่อเราจะไม่เพลี่ยงพล้ำตกในความบาปง่าย ๆ อีก ฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตของเรา เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู
2 โครินธ์ 4:11-12
การรับใช้ของท่านเปาโล และผู้รับใช้จำนวนมากในโลกนี้จำเป็นต้องผ่านความทุกข์ยาก ผ่านอันตรายเพื่ออาณาจักรของพระเจ้าจะได้ตั้งอยู่ในแผ่นดินโลกนี้ เรานึกถึงมิชชันนารีที่เข้ามาในรัชกาลที่สี่ ที่ห้า อย่างเช่นหมอเฮาส์ หมอบรัดเลย์ นึกถึงอะโดนิราม จัดสันที่เข้าไปทำงานในพม่า และผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อยู่ในประเทศที่ห้ามเชื่อพระเจ้าอย่างเกาหลีเหนือ ประเทศในตะวันออกกลางดู แล้วเราจะเข้าใจว่า พระคำข้อนี้เป็นจริงเพียงไร
2 โครินธ์ 4:13-14
ท่านเปาโลเชื่อว่า ความทุกข์ยากของผู้รับใช้เป็นส่วนหนึ่งที่นำชีวิตให้กับผู้ที่เข้ามาเชื่อ ท่านรู้ว่า ความทุกข์ยากเป็นส่วนของการรับใช้อยู่แล้ว และผู้ที่ทำให้เกิดความรอดต่อคนเป็นอันมากก็คือพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ยังจะให้ท่านเปาโลและพี่น้องได้ฟื้นคืนชีวิต ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ด้วย เห็นได้ว่า ท่านเปาโลรักพี่น้องทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความหวังของท่านในการคืนชีพนั้นแน่นอน มั่นคง และส่งต่อให้กับพี่น้องด้วย
2 โครินธ์ 4:15
ท่านเปาโลมีความหวังใจว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแผ่นดินของพระเจ้าที่ได้ขยายออกไปตามพื้นที่ต่างๆทำให้ผู้คนได้สัมผัสแตะต้องพระคุณของพระเจ้า ได้ประโยชน์ทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตหน้า สุดท้ายคือ ผู้คนได้ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ไม่เฉพาะในเยรูซาเล็ม สะมาเรีย โครินธ์ และแว่นแคว้นอื่น ๆ แต่ทั้งโลกจะได้ขอบพระคุณพระเจ้า นี่คือการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เป็นเป้าหมายสำคัญของการรับใช้ของท่านเปาโล
2 โครินธ์ 4:16
นี่คือสุดยอดของความคิดที่โตไม่หยุด พวกเราผู้อาวุโสก็มักจะคิดถึงการเกษียณ แล้วก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ดูจอดำ สไลด์ไปเรื่อยไม่มีเป้าหมาย จากนั้น ออกไปทำต้นไม้นิดหน่อย ตื่นมาแล้วกิน แล้วนอนในบั้นปลายของชีวิต แต่ชีวิตแห่งความเชื่อไม่ใช่เช่นนั้น เป็นชีวิตที่โตไม่หยุดหย่อน เพราะรู้ว่า ภายในจิตวิญญาณของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน ร่างจะเป็นอย่างไร หัวใจยังเติบโต…
2 โครินธ์ 4:17-18
ความทุกข์ยากที่ท่านเปาโลเผชิญนั้น ท่านมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เบา เปรียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์กับพระเจ้าที่กำลังจะได้รับ พระคำ 2 โครินธ์ 4 จบด้วยความหวังใจที่ทำให้ผู้เชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่มีโอกาสจะซึมเศร้า เป็นทุกข์ เพราะมีแนวคิดว่าเราเติบโตภายในโดยตลอด เรามีสิ่งที่มองไม่เห็นรอเราอยู่ในนิรันดร์กาล คนส่วนใหญ่แก่แล้วจะเริ่มรู้สึกเก่า แต่คนของพระเจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้นเขารู้ว่า ภายในเจริญขึ้นเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวัน
พระคำเชื่อมโยง
1* 1โครินธ์ 7:25; ลูกา 18:1; 2โครินธ์ 4:16; กาลาเทีย 6:9;
เอเฟซัส 3:13; 2 เธสะโลนิกา 3:13
2* 2โครินธ์ 5:11
3* 1 โครินธ์ 1:18
4* ยอห์น 12:31; 12:40; 2โครินธ์ 3:8-9; ยอห์น 1:18
5* 1 โครินธ์ 1:13; 9:19
6* ปฐมกาล 1:3; อิสยาห์ 9:2; 2 เปโตร 1:19
7* 1 โครินธ์ 2:5
8* 2 โครินธ์ 1:8; 7:5
9* ฮีบรู 13:5; สดุดี 37:24
10* ฟีลิปปี 3:10;โรม 8:17
11* โรม 8:36
13* 2 เปโตร 1:1; สดุดี 116:10
14* โรม 8:1115* โคโลสี 1:24; 2โครินธ์ 1:11
16* 2โครินธ์ 4:1; อิสยาห์ 40:29, 3117* โรม 8:18
18* ฮีบรู 11:1,13
สุภาษิต 6 ชีวิตหลายด้านที่ต้องระวัง
เตือนว่าอย่าสัญญาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
1 ลูกเอ๋ย หากเจ้าได้เอาตัวไปค้ำประกันให้เพื่อนบ้านของเจ้า
หากเจ้าให้คำสัญญากับคนแปลกหน้า
2 หากเจ้าติดกับคำจากริมฝีปากของเจ้าเอง
และติดบ่วงด้วยคำจากปากของเจ้า
3 เจ้าจงทำสิ่งนี้ เพื่อปลดปล่อยตนเอง
ในเมื่อเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเพื่อนบ้าน
ไปสิ ถ่อมตัวลงเสีย และอ้อนวอนขอร้องเขา
4 อย่าปล่อยให้ตาของเจ้าหลับ
อย่าปล่อยให้เปลือกตาปิดลงมา
5 จงช่วยตัวเองให้รอด
เหมือนกับกวางที่หนีจากเงื้อมมือของนายพราน
เหมือนกับนกที่หนีจากกับดักของนักล่านก
ดูมดเป็นตัวอย่าง
6 โอ เจ้าคนสันหลังยาว
จงไปทำตามอย่างมด
ให้เจ้าสังเกตทางของมันและจงฉลาดขึ้น
7 มันไม่มีผู้บัญชาการ
ไม่มีใครมาควบคุม ไม่มีใครปกครอง
8 แต่มันเตรียมอาหารไว้ในฤดูร้อน
มันรวบรวมอาหารในฤดูเก็บเกี่ยว
9 เจ้าจะนอนอยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าไร?
เจ้าคนสันหลังยาว เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ?
10 นอนอีกนิด ง่วงอีกหน่อย
กอดอกนอนอีกสักประเดี๋ยว
11 แล้วความยากจนจะโถมเข้ามาหาเจ้าเหมือนขโมย
ความขัดสนจะเข้ามาหาเจ้าอย่างโจร
ระวังคนแบบนี้ อย่าเข้าไปใกล้
12 คนไร้ค่า คนชั่วร้าย ใช้ชีวิตด้วยปากที่พูดวกวน
13 เขาขยิบตา เขาขยับเท้า และชี้นิ้วควบคุม
14เขาวางแผนทำสิ่งชั่วร้ายจากใจคด
และหว่านการแตกร้าวไม่หยุดหย่อน
15 ดังนั้น ความหายนะจะมาถึงเขาอย่างทันควัน
เขาจะแตกแหลกไป โดยไม่อาจรื้อฟื้นคืนมาได้
สิ่งที่พระเจ้าทรงชัง 7 อย่าง
16 มีหกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงชัง
เจ็ดสิ่งที่ทรงรังเกียจ คือ
17 สายตาที่เย่อหยิ่ง ลิ้นที่พูดปด
มือที่ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องหลั่งเลือด
18 ใจที่วางแผนชั่วร้าย
เท้าที่วิ่งไปทำความชั่ว
19 พยานเท็จที่ให้การเท็จ
และคนที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง
เตือนว่าอย่าผิดประเวณี
20 ลูกของเราเอ๋ย จงรักษาคำสั่งของพ่อ
และอย่าละทิ้งคำสอนของแม่
21จงจารึกมันไว้บนใจของเจ้า ผูกมันไว้รอบคอของเจ้า
22 เมื่อเจ้าเดินไป มันจะนำทางให้เจ้า
เมื่อเจ้านอนลง มันจะเฝ้าเจ้าไว้ เมื่อเจ้าตื่นขึ้น มันจะพูดกับเจ้า
23 เพราะคำสั่งนี้เป็นเหมือนตะเกียงและคำสอนเป็นแสงสว่าง
คำเตือนสอนให้มีวินัยเป็นหนทางแห่งชีวิต
24 มันจะช่วยเจ้าให้พ้นจากหญิงชั่ว
จากลิ้นอ่อนหวานของหญิงเล่นชู้
คำเตือนในระดับต่อไป
25 อย่าให้ใจของเจ้าเฝ้าฝันถึงความงามของเธอ
อย่าให้ตัวเองตกเป็นทาสเพราะสายตาของเธอ
26 เพราะหญิงแพศยานั้นพอใจแลกตัวกับอาหารมื้อเดียว
และหญิงเล่นชู้จะตามไล่ล่าชีวิตของเจ้า
27 ชายคนหนึ่งจะกอดไฟไว้ในอก
โดยที่เสื้อผ้าไม่ไหม้ได้หรือ?
28 ชายคนหนึ่งจะเดินบนถ่านไฟ
โดยที่เท้าของเขาไม่ไหม้ได้หรือ?
29 ชายใดที่ไปนอนกับภรรยาของผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้
ใครที่แตะต้องเธอจะหนีการลงโทษไปไม่ได้
สิ่งที่ได้ตอบแทนจากการเล่นชู้
30 ผู้คนยังไม่ดูหมิ่นคนขโมยหากเขา
จำต้องขโมยเพราะหิวโหย
31 แต่หากถูกจับได้ เขาจะต้องใช้คืนเจ็ดเท่า
อาจจะต้องยกทุกอย่างที่มีในบ้านให้
32 คนที่ล่วงประเวณีนั้นเป็นคนไม่รู้จักคิด
การทำเช่นนั้นเป็นการทำลายชีวิตของตนเอง
33 สิ่งที่ได้รับคือบาดแผลและความอัปยศ
และไม่อาจลบทิ้งความอับอายไปไปได้
34 เพราะความหึงหวงจะทำให้สามีโกรธเกรี้ยว
และเขาจะไม่แสดงความปราณีในวันแห่งการแก้แค้น
35 เขาจะไม่ยอมรับค่าชดใช้ใด ๆ
แม้ว่าคนที่ทำผิดจะให้ทรัพย์สมบัติอย่างมากมาย
คำอธิบายเพิ่มเติม
สุภาษิต 6:1-5
เตือนว่าอย่าสัญญาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
ในสมัยของโซโลมอนนั้น คนที่ไปค้ำประกันให้กับเพื่อนที่ไว้ใจไม่ได้ อาจจะต้องเสียทั้งหมดที่มี ครอบครัวด้วย และต้องกลายเป็นทาสของเจ้าหนี้
ในสมัยนี้ก็เช่นกัน อย่าได้ใจดีกับความรับผิดชอบที่เราไม่อาจรับได้ เพราะมันจะทำให้ชีวิตพังไปได้ เราเจอมาเยอะแล้วที่รักเขาแล้วช่วยประกันให้เขา แต่แล้วเขาก็หักหลังไม่ใยดี กลายเป็นเราต้องใช้หนี้ไปตลอดชีวิต ที่แย่กว่านั้นคือ ใจขมขื่นก็จะหยั่งรากลงไป หลายคนถึงกับพยายามฆ่าตัวตาย แต่เมื่อเราพลาดไปแล้ว สิ่งที่ต้องรีบทำสุด ๆ คือการไปเจรจาต่อรอง ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ รอให้เรื่องบานปลาย นี่เป็นนิสัยของคนที่จะเอาตัวรอดได้ คือ ต้องจัดการกับประเด็นต่าง ๆ ให้จบแต่ต้นทาง
สุภาษิต 6:6-11
ดูมดเป็นตัวอย่าง
กษัตริย์โซโลมอน ทรงสั่งให้คนเกียจคร้านไปสังเกตว่า มดใช้ชีวิตอย่างไร เพราะท่านเห็นคนไม่น้อยที่ขี้เกียจสันหลังยาว มีนิสัยไม่ยอมทำงาน เอาแต่เผาเวลาแต่ละวันให้หมดไปโดยไม่ได้เห็นคุณค่าของเวลา หากคนเกียจคร้านยอมให้มดสอน ชีวิตของเขาก็จะดีขึ้น… แปลกจัง กษัตริย์ผู้ทรงปัญญา ทรงให้คนไปเรียนจากเจ้ามดตัวน้อย
สุภาษิต 6:12-15
ระวังคนแบบนี้ อย่าเข้าไปใกล้
การคบคนที่วาจาร้าย มุสา วกวน มีใจที่คอยวางแผนชั่ว คนที่คอยหว่านความแตกร้าวในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว ในหมู่บ้าน หรือแม้แต่ประเทศชาติ คนเหล่านั้น อาจคิดว่า ตนเองมือหนึ่ง อยู่เหนือคนอื่น แต่พระราชาผู้ปกครองประเทศที่เขียนสุภาษิต ทรงบอกชัดว่า แล้วพวกเขาจะเจอจุดจบอย่างไร
สุภาษิต 6:16-19
สิ่งที่พระเจ้าทรงชัง 7 อย่าง
สังเกตไหมว่า ความยุ่งยากในโลกปัจจุบันนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร เริ่มจากสงครามจากนั้น ก็แบ่งฝ่ายเป็นขั้ว ๆ ในโลกนี้ ทั้งหมดเกิดจากนิสัยเจ็ดอย่างของมนุษย์ที่กษัตริย์โซโลมอนเรียงรายการเอาไว้ คนที่หว่านความแตกร้าย และพยานเท็จจะเป็นคนที่กระพือให้ความโกลาหลในโลกของเรายิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เราแทบไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนเลย สงครามความแตกร้าวอยู่ต่อหน้าต่อตาของเราทุกหัวระแหง
สุภาษิต 6:20-24
เตือนว่าอย่าผิดประเวณี
จากนั้น องค์กษัตริย์ได้หันมาพูดกับชายหนุ่มโดยตรงว่า การฟังคำของพ่อแม่จะทำให้พ้นจากเรื่องทางเพศ ท่านไม่ได้ขอให้เขาแค่ฟังเฉย ๆ แต่ขอให้จำในใจ คิดใคร่ครวญเสมอ ยามตื่น ยามหลับ ก็ให้คำสอนดี ๆ เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต
สุภาษิต 6:25-29
คำเตือนในระดับต่อไป
องค์กษัตริย์ทรงทราบดีว่า หากชายคนหนึ่งไปหลงผู้หญิงเข้าให้แล้วจะเกิดอะไรในใจของเขา เพราะท่านเองได้ตกอยู่ในสภาพนั้นมาก่อน
การที่เล่นกับไฟแบบนี้ ตอนเล่นอยู่นั้น มันสนุก ท้าทาย เย้ายวน แต่แล้วมันก็กลายเป็นเหมือนนรกในเวลาต่อมา เพราะโทษรออยู่ข้างหน้า ท่านได้กล่าวถึงทั้งการเล่นชู้และการเที่ยวเล่นกับหญิง ในสมัยของเราวันนี้ เรื่องที่ท่านกล่าวไม่เจาะจงชายหญิงแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องที่ชุลมุนมาก เพศสภาพที่พยายามสร้างกันขึ้นมา ทำให้เรื่องแบบนี้ซับซ้อนขึ้นไปอีก
สุภาษิต 6:30-35
สิ่งที่ได้ตอบแทนจากการเล่นชู้
ไม่ว่าอะไรที่กษัตริย์โซโลมอนได้เตือนเอาไว้ในโลกโบราณ ผ่านมาหลายพันปี ความจริงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่เฉพาะความอับอายที่เกิดขึ้นกับตน แต่มีพ่อเป็นจำนวนมากที่ทิ้งลูก ๆ ไปเพื่อหาความสุขส่วนตน จำนวนของครอบครัวที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้นจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไปแล้ว แต่ทั้งหมด มันก็เกิดจากการทำตามใจปรารถนาของตนเอง … เสียดายเด็ก ๆ ที่ขาดพ่อหรือแม่ไปโดยไม่จำเป็น และทำให้พวกเขาเติบโตมาอย่างยากขึ้นไปอีก
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 11:5
4* สดุดี 132:4
6* โยบ 12:7
9* สุภาษิต 24:33-34
11* สุภาษิต 10:4
13* โยบ 15:12
14* มีคาห์ 2:1; สุภาษิต 6:19
15* อิสยาห์ 30:13; เยเรมีย์ 19:11; 2 พงศาวดาร 36:16
17* สดุดี 101:5; 120:2; อิสยาห์ 1:15
18* ปฐมกาล 6:5; อิสยาห์ 59:7
19* สดุดี 27:12; สุภาษิต 6:14
20* เอเฟซัส 6:1
21* สุภาษิต 3:3
22* สุภาษิต 3:23; 2:11
23* สดุดี 19:8
24* สุภาษิต 2:16
25* มัทธิว 5:28
26* สุภาษิต 29:3
31* อพยพ 22:1-4
32* สุภาษิต 7:7
34* บทเพลงโซโลมอน 8:6
2 โครินธ์ 3 เสรีภาพในพระวิญญาณ
2 โครินธ์ 3:1
นี่เรากำลังจะต้องแนะนำตัวเองอีกหรือ? หรือว่า เราต้องมีจดหมายรับรองมาให้ท่าน หรือว่า ต้องมีจดหมายรับรองมาจากท่าน อย่างที่บางคนเขาทำอยู่?
2 โครินธ์ 3:2-3
พวกท่าน เป็นจดหมายรับรองที่เขียนไว้ในใจของเรา ให้ทุกคนได้รู้ ได้อ่านพวกท่านเป็นจดหมายจากพระคริสต์ส่งออกไปโดยพวกเรา ซึ่งไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นหินแต่จารึกไว้บนแผ่นหัวใจมนุษย์
2 โครินธ์ 3:4-5
เรามีความมั่นใจอย่างนี้ในพระเจ้าผ่านองค์พระคริสต เราไม่อาจจะอ้างได้ว่า ความสามารถนั้นมาจากตัวเราเอง แต่ความสามารถทั้งหมดมาจากพระเจ้า
2 โครินธ์ 3:6
ผู้ทรงทำให้เรามีศักยภาพที่จะเป็นผู้รับใช้ของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้มาจากข้อบัญญัติ แต่มาจากพระวิญญาณ เพราะบัญญัตินั้น นำความตายมาแต่พระวิญญาณประทานชีวิต
2 โครินธ์ 3:7-8
แต่หากบัญญัติที่จารึกบนแผ่นหินซึ่งนำความตายมาให้นั้น ยังนำมาซึ่งสง่าราศี
ทำให้คนอิสราเอลไม่อาจมองดูใบหน้าที่เต็มด้วยรัศมีของโมเสสได้ ทั้งที่จางลงไปแล้วการปรนนิบัติรับใช้ตามพระวิญญาณจะไม่มีสง่าราศียิ่งกว่านั้นหรือ?
2 โครินธ์ 3:9-10
เพราะหากว่า การปรนนิบัติรับใช้ที่นำมาซึ่งการกล่าวโทษ ยังมีสง่าราศี
การปรนนิบัติรับใช้ที่ให้ความเที่ยงธรรมจะมีสง่าราศีกว่านั้นสักเท่าใด? ความจริงคือ สิ่งที่เคยมีสง่าราศี บัดนี้ไร้สง่าราศีเพราะถูกสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่ามาปิดบัง
2 โครินธ์ 3:11
เพราะหากว่าสิ่งที่จางหายไปได้ยังมีสง่าราศีมากขนาดนี้ สิ่งที่ยั่งยืนจะยิ่งมาพร้อมกับสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่าขนาดไหน
2 โครินธ์ 3:12-13
ดังนั้น ในเมื่อเรามีความหวังเช่นนี้ เราจึงกล่าวออกมาด้วยใจกล้าเราไม่เป็นเหมือนโมเสสผู้ที่ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะเพื่อไม่ให้คนอิสราเอลจ้องมองไปยังสง่าราศีที่กำลังจางหายไป
2 โครินธ์ 3:14
แต่ในเวลานั้น ใจของเขาแข็ง ปิดตายเพราะจนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินคำอ่านจากพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดใจเขาอยู่ ผ้าคลุมไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะว่ามีพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้ผ้าคลุมเปิดออกได้
2 โครินธ์ 3:15-16
แต่จนกระทั่งวันนี้ เมื่อไรมีการอ่านสิ่งที่โมเสสบันทึกไว้ ก็ยังมีผ้าคลุมปิดบังใจของพวกเขา แต่เมื่อคนหันเข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็ถูกเปิดออก
2 โครินธ์ 3:17
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและที่ใดมีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าที่นั่นก็มีเสรีภาพ
2 โครินธ์ 3:18
และเราทุกคนกำลังรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เหมือนพระฉายของพระองค์โดยมีสง่าราศีขึ้นเป็นลำดับมากขึ้นไปเหมือนอย่างสง่าราศีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ
คำอธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 3:1
ท่านเปาโลกำลังบอกให้รู้ถึงความจริงใจของท่านในการรับใช้พี่น้องในเมืองโครินธ์ ทั้งนี้เป็นเพราะมีคนงานปลอม ครูสอนผิดที่พยายามโจมตี ทำให้คน
ไม่เชื่อถือเปาโล ท่านจึงตั้งคำถามสองอย่างชัด ๆคือต้องให้ท่านมีจดหมายรับรองเหมือนกับผู้รับใช้ทั่วไปในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก ที่ส่วนใหญ่จะมี
จดหมายรับรองมาจากผู้ที่เชื่อถือได้ และครูสอนผิดเหล่านี้ก็มักเขียนจดหมายรับรองตนเองเพื่อให้ตัวเองน่าเชื่อถือ
2 โครินธ์ 3:2-3
ชีวิตของพี่น้องเป็นจดหมายจากพระคริสต์แท้ ๆไม่ต้องใช้ตัวหนังสือเขียน แต่การเปลี่ยนชีวิตอย่างมหัศจรรย์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนลงในหัวใจของ
มนุษย์ ดังนั้น จดหมายจากชีวิตของพี่น้องจึงเป็นพยานให้เห็นว่า ท่านเป็นอัครทูตของแท้พระเจ้าเคยตรัสว่า ทรงเขียนบัญญัติของพระองค์ไว้
ในใจของมนุษย์ ในเยเรมีย์ 31:33 ที่ท่านต้องย้ำเรื่องนี้ก็เพราะว่า ครูสอนผิดจะเน้นให้คนทำตามบัญญัติเพื่อจะได้รับความรอด”
2 โครินธ์ 3:4-5
ท่านเปาโลมั่นใจว่าพระคริสต์จะเป็นผู้ทำให้งานเปลี่ยนชีวิตพี่น้องนี้ เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ดู 2:16 ใครจะเหมาะกับงานรับใช้นี้ นอกจากพวกเราที่ประกาศอย่างจริงใจด้วยการพึ่งพระเจ้า ต่อพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้คนหนึ่งมีความสามารถรับใช้พระองค์ได้ ท่านเปาโลรู้ดี
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรา เราจึงมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานความสามารถให้เพียงพอกับงานนั้น ดู 2 เธสะโลนิกา 2:13
2 โครินธ์ 3:6
พันธสัญญาใหม่..คือพันธสัญญาที่พระเจ้าอภัยบาปเราผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู มัทธิว 26:28 พันธสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนี้ มีความสำคัญที่เราต้องเข้าใจ เพราะที่ว่าบัญญัตินำความตายก็คือ บัญญัติแค่บอกเราว่า ความถูกต้อง และความผิดคืออะไร แต่บัญญัติไม่ได้ให้พลังที่เราจะทำตามได้อย่างครบถ้วน ยิ่งอ่านบัญญัติยิ่งชี้ให้เห็นว่าเราไม่อาจเป็นคนชอบธรรมเต็มร้อยได้เลย บัญญัติจึงบอกเราว่า เราสิ้นหวัง
2 โครินธ์ 3:7-8
ขนาดบัญญัติที่นำความตาย ยังทำให้ใบหน้าของโมเสสเต็มด้วยราศีในเวลาที่เขาไปรับบัญญัติจากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:10-25) ที่
เป็นเช่นนั้นเพราะโมเสสได้อยู่กับพระเจ้านานจนหน้าของเขาสะท้อนพระสง่าราศีของพระองค์ เจิดจ้าจนคนทนมองไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เราจ้องมอง
ดวงอาทิตย์ไม่ได้ แต่การรับใช้ตามพระสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนั้น มีราศีที่ทำให้มนุษย์ได้รับความเที่ยงธรรมจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เหนือบัญญัติ
2 โครินธ์ 3:9-10
ตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง การรับใช้ตามบัญญัติ กับการรับใช้โดยพระวิญญาณ ว่าการรับใช้ทั้งสองแบบต่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่มีไม่เท่ากัน
เพราะบัญญัติทำให้เราตาย แต่พระวิญญาณทรงทำให้คนเรามีชีวิต มีเกียรติ ศักดิ์ศรีมากเกินกว่าคนที่เอาแต่ติดตามบัญญัติ และท่านเปาโลก็
เห็นว่า บัญญัตินั้น แม้เคยเป็นที่นับถือว่าเป็นหนึ่ง ก็ด้อยกว่าการรับใช้พระเจ้าโดยพระวิญญาณมากนัก
2 โครินธ์ 3:11
สง่าราศีที่จางหายไปของกฎบัญญัติหรือพูดให้ชัดคือพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าประทานให้ก่อนที่พระองค์จะประทานพันธสัญญาใหม่โดยพระเยซูคริสต์เพราะว่า พระเยซูคริสต์ผู้ที่มาพร้อมกับพันธสัญญาใหม่นั้น ทรงฤทธานุภาพให้ชีวิตนิรันดร์ แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เปรียบได้กับเราจุดเทียนในสวนมืด เทียนนั้นสว่างในความมืดจริง ๆ แต่เมื่อเช้ามา แสงอาทิตย์ก็จะทำให้แสงของเทียนหมดความหมายไปเลย ….นี่คือสิ่งที่ท่านเปาโลต้องการสื่อ
2 โครินธ์ 3:12-13
เรามีความหวังที่ว่า เรามีพันธสัญญาที่สว่างสุกใสกว่าธรรมบัญญัติที่ชาวยิวยึดถืออย่างเคร่งครัดท่านเปาโลจึงมีความกล้าที่จะบอกพี่น้องให้ทราบว่า
พันธสัญญาเดิมนั้นผูกมัดทำให้คนติดกับ และยังแยกพวกเขาออกจากพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ไม่มีทางที่ทำให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ได้เลย มีแต่ความ
ผิดหวังเพราะไม่อาจเข้าใกล้พระเจ้าได้ พันธสัญญาใหม่โดยไม้กางเขนทำให้เราไปหาพระเจ้าได้เพราะพระเยซูทรงเป็นทางเดียวที่จะไปหาพระบิดา
2 โครินธ์ 3:14
ท่านเปาโลมั่นใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงอยู่เหนือบัญญัติทั้งหลายในอดีต ท่านรู้ว่า คนยิวไม่เห็นว่างานรับใช้ของท่านโมเสสนั้นเทียบงานของพระเยซู
ไม่ติด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาเขาอ่านพันธสัญญาเดิม พวกเขาก็ยังถือว่า พันธสัญญานั้นยิ่งใหญ่มากและพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเยซูพวกเขาควรมองที่พระเยซูได้แล้ว แต่ยังติดกับของความเป็นบัญญัติอยู่ ผ้าคลุมหน้าโมเสส กลายมาเป็นผ้าคลุมใจของพวกเขา ไม่ให้เห็นความจริง
2 โครินธ์ 3:15-16
“แม้จนกระทั่งวันนี้” ไม่ได้เป็นแค่ในสมัยท่านเปาโลเท่านั้น แต่หมายถึงปัจจุบันด้วย ที่คนอิสราเอลไม่ได้พบพระเยซูได้ง่าย ๆ เพราะมีบางอย่างที่ปิดบังใจ
เอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจพบพระเยซูเลย คนโบราณติดที่บัญญัติ คิดว่า เขาจะรอดได้ด้วยการทำดีตามบัญญัติ ไม่ทำสิ่งชั่วที่บัญญัติห้าม โดยลืมว่าไม่มีใครสามารถทำดีได้เต็มร้อย แถมทุกคนยังเป็นคนบาปติดตัวมาแต่เกิดด้วย ส่วนคนสมัยใหม่ก็มีเหตุผลที่จะไม่เอาพระเจ้าแตกต่างไปอีก
2 โครินธ์ 3:17
เสรีภาพจากอะไร ? อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เราตกอยู่ในที่จองจำฝ่ายวิญญาณ? ลองคิดดูดี ๆ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์ตรีเอกานุภาพคือพระเจ้าองค์เดียวกัน คนที่ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าเท่ากับชีวิตของเขาเป็น “ทาสบาป” อยู่ออกมาไม่ได้ อำนาจที่จะช่วยปล่อยเขาให้พ้นจากสภาพนั้นมายังพระสง่าราศีของพระเจ้าก็โดยผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
2 โครินธ์ 3:18
การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจนเป็นเหมือนพระเจ้าขึ้นเป็นลำดับนั้น ไม่ได้เป็นเพราะนั่งเฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆแต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อเราประกาศพระนาม แบ่งปันพระองค์ให้กับผู้อื่น เมื่อมีการเปิดเผยการสำแดงให้รู้จักพระเยซูคริสต์ ทั้งคนพูดและคนฟังก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเผยพระเจ้าให้ผู้อื่นรู้ เมื่อมีการหลุดพ้นจากบาปด้วยความเชื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 โครินธ์ 5:12; 10:12, 18; 12:11; กิจการ 18:27
2* 1โครินธ์ 9:2
3* 1โครินธ์ 3:5; อพยพ 24:12; 31:18; 32:15 ; สดุดี 40:8
5* ยอห์น 15:5; 1โครินธ์ 15:10
6* 1โครินธ์ 3:5; เยเรมีย์ 31:31; โรม 2:27; กาลาเทีย 3:10; ยอห์น 6:63
7* โรม 7:10; อพยพ 34:1; 34:29
8* กาลาเทีย 3:5
9* โรม 1:17; 3:21
12* เอเฟซัส 6:19
13* อพยพ 34:33-35; กาลาเทีย 3:23
14* อิสยาห์ 29:10; กิจการ 28:26
16* โรม 11:23; อิสยาห์ 25:717* 1โครินธ์ 15:45; กาลาเทีย 5:1, 13
18* 1โครินธ์ 13:12; 2โครินธ์ 4:4, 6; โรม 8:29-30
2 โครินธ์ 2 กลิ่นแห่งชีวิต
2 โครินธ์ 2:1-2
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่า จะไม่มาหาท่านให้ทุกข์ใจอีก เพราะหากข้าทำให้ท่านเป็นทุกข์ ใครเล่าจะทำให้ข้ายินดีนอกเหนือไปจาก คนที่ข้าเองทำให้เป็นทุกข์?
2 โครินธ์ 2:3-4
ข้าเขียนข้อความนั้นมาเพื่อว่า เมื่อข้ามาถึง พวกเขาที่ควรทำให้ข้ายินดีจะไม่ทำให้ข้าทุกข์ใจ ข้ามั่นใจในตัวท่านทุกคนว่า ทุกท่านจะมีส่วนร่วมในความยินดีของข้า เพราะข้าทุกข์ระทม ทรมานใจ
ข้าจึงเขียนถึงท่านด้วยน้ำตา ไม่ใช่เพื่อทำให้ท่านต้องเสียใจ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าข้ารักพวกท่านมากเพียงไร
2 โครินธ์ 2:5-6
หากว่ามีใครทำให้เกิดความทุกข์ใจ เขาไม่ได้ทำให้ข้าเป็นทุกข์เพียงคนเดียว แต่ยังทำให้พวกท่านเป็นทุกข์ไปด้วย ข้าเองไม่ต้องการพูดเกินจริง การลงโทษที่ได้รับจากคนส่วนมากนั้นก็น่าจะพอแล้ว
2 โครินธ์ 2:7-9
ท่านจึงควรยกโทษ และหนุนใจเขามากกว่าเพื่อว่าเขาจะไม่จมในความทุกข์มากจนเกินไป ดังนั้น ข้าจึงขอให้ท่านยืนยันความรักที่มีต่อเขานี่เป็นเหตุที่ทำให้ข้าเขียนถึงท่าน เพื่อจะทดสอบว่า ท่านยอมเชื่อฟังทุกเรื่องหรือไม่
2 โครินธ์ 2:10-11
ถ้าพวกท่านยกโทษผู้ใด ข้าจะยกโทษให้เขาด้วย และถ้าข้ายกโทษเรื่องใดข้าทำต่อพระพักตร์พระคริสต์เพื่อเห็นแก่พวกท่าน เพื่อไม่ให้ซาตานฉวยโอกาสสำเร็จเพราะเรารู้ทันกลวิธีของมันแล้ว
2 โครินธ์ 2:12-13
เมื่อข้าไปถึงเมืองโตรอัส เพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์นั้น แม้ว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เปิดโอกาสให้ข้า แต่ข้ายังกังวลเพราะตามหาน้องของข้าคือทิตัสไม่พบ ข้าจะลาพวกเขาและเดินทางต่อไปยังแคว้นมาซิโดเนีย
2 โครินธ์ 2:14
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงนำให้เรามีชัยชนะในพระคริสต์เสมอ และทรงให้เราประกาศความรู้เรื่องพระคริสต์เปรียบเหมือนกลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่ว
2 โครินธ์ 2:15-16
เพราะเราเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์เพื่อพระเจ้าท่ามกลางคนที่กำลังรอด
และท่ามกลางคนที่กำลังพินาศ สำหรับคนพวกหนึ่งเป็นกลิ่นแห่ง
ความตาย นำไปสู่ความตาย สำหรับคนอีกพวก เป็นกลิ่นของชีวิต นำไปสู่ชีวิต
ใครล่ะ ที่จะเหมาะกับงานเหล่านี้ ?
2 โครินธ์ 2:17
เพราะว่า เราไม่เหมือนคนอื่น ๆ มากมายที่เอาพระคำของพระเจ้ามาหากินแต่เราพูดต่อพระพักตร์ของพระเจ้าในพระคริสต์ ด้วยความจริงใจ
ในฐานะคนที่พระเจ้าทรงส่งมา
คำอธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 2:1-2
คราวที่แล้ว ท่านเปาโลไปเยี่ยมคริสตจักรโครินธ์แต่ก็เกิดความขัดแย้ง และมีคนที่พยายามจับผิดท่าน มีปัญหาในคริสตจักรหลายอย่าง ท่านเปาโล
ต้องจัดการกับความผิดเหล่านั้น กลายเป็นการเยี่ยมที่เป็นทุกข์ ท่านจึงเปลี่ยนแผนไม่มาเยี่ยมอย่างที่เคยตั้งใจ จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เราเห็น
ว่า ความยุ่งยากในคริสตจักรเกิดขึ้นได้จากคนที่มีนิสัยสร้างความแตกร้าว จึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง
2 โครินธ์ 2:3-4
ท่านเปาโลไม่ต้องการที่จะคอยตักเตือน สอน ต่อว่าพวกเขาตลอดเวลา แต่ให้พวกเขามีโอกาสคิดเองว่าควรทำอย่างไรในการมีชีวิตร่วมกันฐานะพระกาย
ของพระคริสต์ ท่านจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปเป็นพี่เลี้ยงตลอดเวลา จดหมายนี้จึงเป็นตัวแทนของท่านเพื่อย้ำถึงความรักที่ท่านมีต่อพวกเขา ท่านเขียน
จดหมายนี้ด้วยน้ำตา ไม่ต้องการให้พวกเขากับท่านกลายเป็นคนเข้าใจผิดกันไม่ว่าด้วยสาเหตุใด
2 โครินธ์ 2:5-6
มีบางคนในพวกเขาที่ได้ทำบาป และทำให้ท่านเปาโลและคนในคริสตจักรไม่สบายใจเอามาก ๆ ท่านใช้คำว่า ทำให้เสียใจ ทุกข์ใจ แต่ท่านก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของเขาไว้ คนส่วนใหญ่ได้จัดการชายคนนี้เมื่ออ่านไป เรารู้สึกว่า ชายคนนี้ถูกสังคมในคริสตจักรลงวินัย เราไม่ทราบว่า วิธีไหน อาจจะเป็นการไล่ออกจากคริสตจักร (ดู 1 โครินธ์ 5:4-5)แต่จากข้อความนี้ดูเหมือนว่า เขากลับใจ ท่านจึงกล่าวว่า การถูกลงโทษน่าจะพอ จบได้
2 โครินธ์ 2:7-9
หากคนที่ทำผิด ถูกลงโทษจากคริสตจักรแล้วกลับใจ ท่านเปาโลได้ขอให้พวกเขายกโทษ ยอมรับเขากลับเข้ามาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ชายคนนั้นเจอกับการโกรธที่ไร้การอภัยสิ่งที่ท่านขอคือ ยกโทษให้คนที่ทำผิดและกลับใจ ทั้งขอให้หนุนน้ำใจ ปลอบใจเขาด้วย หากไม่มีการยกโทษให้ คนที่อยู่ในคริสตจักรเองก็จะทำผิดกับพระเจ้า กลายเป็นบาปที่ต่อเนื่องไม่หยุด อีกอย่างคือคนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ถูกโลกประณามและอาจจะไม่ได้กลับมาหาพระเจ้าผู้ไถ่บาปของเขาอีกเลย
2 โครินธ์ 2:12-13
แม้มีโอกาสมากในการประกาศพระกิตติคุณ แต่ท่านเปาโลก็ไม่สบายใจที่ไม่พบทิตัสที่เมืองโตรอัสจากข้อความตอนนี้ เราพอจะมองเห็นว่า ท่านไม่
ต้องการทำงานคนเดียว แต่ต้องการมีเพื่อนร่วมงาน ในพระกิตติคุณด้วย ระหว่างข้อนี้ ไปจนถึงบทที่ 7:4 ก่อนที่จะเล่าว่าท่านทำอะไรต่อไป
ท่านก็ได้พูดถึงการเป็นอัครทูตของท่าน ให้พี่น้องเข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร
2 โครินธ์ 2:10-11
หลักการของชีวิตคริสเตียนแท้ ๆ คือ เมื่อมีการทำผิดต่อกันและกัน เมื่อพี่น้องทำบาป ก็ให้ เตือนสติด้วยความรัก และตระหนักว่า เราเองก็อาจเป็นคน ๆ นั้นได้ เมื่อเขาสำนึกผิดและกลับใจ ก็ต้องยกโทษให้ อย่าให้ความโกรธ ความแค้นครองใจเราเพราะนั่นเป็นการเปิดประตูให้กับศัตรูของพระเจ้า
เข้ามาเล่นกลในใจของเรา ทำให้เรากลับทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการเก็บความขมขื่นไว้ในใจ
2 โครินธ์ 2:14
เอาล่ะ ทีนี้ ท่านก็เริ่มอธิบายให้พี่น้อง เข้าใจถึงสิ่งที่ยากขึ้น ข้อความนี้ ทำให้เรามั่นใจว่า เมื่อเราประกาศพระนาม เราทำด้วยการติดตามพระคริสต์
เหมือนกับทหารที่ตามผู้บังคับบัญชาทุกอย่าง เราจึงเป็นเหมือนกลิ่นน่าชื่นใจที่หอมกระจายไปทั่วมีพระคริสต์นำทางไป ไม่ว่าจะประกาศด้วยการพูด
หรือการกระทำที่แตกต่างจากชาวโลก เห็นจากข้อนี้ว่า ในการประกาศ พระคริสต์ทรงนำท่าน
2 โครินธ์ 2:15-16
ท่านเปาโลกำลังเขียนเปรียบเทียบผู้เชื่อกับทหารโรมการที่พระคริสต์นำผู้เชื่อ พระองค์ทรงเป็นดั่งผู้บังคับบัญชา เมื่อมีชัยชนะก็เดินขบวนเข้ามาใน
เมือง มีการจุดเครื่องหอมเป็นกลิ่นแห่งชัยชนะแต่สำหรับเชลยที่ต้องเดินเข้ามา ถูกล่าม และยังไม่รู้อนาคตของตนเองกลิ่นนี้จึงกลายเป็นเหมือนกลิ่น
แห่งความตายสำหรับพวกเขา เมื่อชาวโครินธ์อ่านจดหมายจะเข้าใจทันที ตอนนี้เราก็คงเข้าใจเช่นกัน
2 โครินธ์ 2:17
ที่ท่านเปาโลพูดเช่นนี้ เพราะมีผู้สอนเท็จมากมายเพื่อหาผลประโยชน์จากผู้ฟัง อ้างว่ามีการอัศจรรย์อ้างโน่นนี่เพื่อจะได้เงิน พวกเขาอวดความรู้ คิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญา เขาไม่ได้ถูกส่งมาจากพระเจ้า(ดู 1 โครินธ์ 1:19-20) การเอาคำของพระเจ้ามาขายกินนั้น มีความหมายว่าเอาของปลอมมาอ้างว่าเป็นของแท้ ทุกวันนี้ก็มีผู้สอนเท็จเป็นจำนวนมากเช่นกันเราจึงต้องระวังให้มาก
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 โครินธ์ 1:23
2* 2 โครินธ์ 7:8
3* 2 โครินธ์ 12:21; กาลาเทีย 5:10
4* 2 โครินธ์ 2:9; 7:8, 12
5* 1 โครินธ์ 5:1; กาลาเทีย 4:12
6* 1 โครินธ์ 5:4-5
7* กาลาเทีย 6:1
9* 2 โครินธ์ 7:15; 10:6
12* กิจการ 16:8;1 โครินธ์ 16:9
13* 2 โครินธ์ 7:6, 13; 8:6
15* 1โครินธ์ 1:18; 2 โครินธ์ 4:3
16* ลูกา 2:34; 1โครินธ์ 15:10
17* 2 เปโตร 2:3; 2โครินธ์ 1:12
2 โครินธ์ 1 พระเจ้าแห่งการหนุนใจ
2 โครินธ์ 1:1
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับทิโมธีน้องชาย เขียนส่งมายังคริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ และวิสุทธิชนของพระเจ้าทุกท่านที่อยู่ทั่วแคว้นอาคายา
2 โครินธ์ 1:2
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
2 โครินธ์ 1:3
สรรเสริญองค์พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงเป็นพระบิดาผู้เมตตา องค์พระเจ้าแห่งการหนุนใจ
ทุกด้าน
2 โครินธ์ 1:4
พระองค์ทรงหนุนใจเรายามยากลำบากทั้งสิ้น เพื่อว่าเราจะได้หนุนใจเหล่าคนที่ตกอยู่ในความยากลำบากได้ เนื่องจากเราได้รับการหนุนใจจากพระองค์มาก่อน
2 โครินธ์ 1:5
เพราะเมื่อเรามีส่วนในการทนทุกข์ของพระคริสต์มากเพียงไร
พระองค์ก็ทรงหนุนใจเรามากเพียงนั้น
2 โครินธ์ 1:6
หากว่าเราต้องทนทุกข์ยาก ก็เป็นไปเพื่อท่านจะได้รับการหนุนใจ และรับความรอดหากว่าเราได้รับการหนุนใจ ก็เป็นไปเพื่อท่านจะได้รับการหนุนใจในยามที่ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแบบเดียวกับที่เราเผชิญอยู่นั้น
2 โครินธ์ 1:7
ความหวังของเราที่มีในตัวท่านนั้นมั่นคง เพราะเรารู้ว่า ในขณะที่ท่านรับทุกข์ยากร่วมกับเรา ท่านจะได้รับการหนุนใจ ร่วมกับเราด้วย
2 โครินธ์ 1:8-9
เราอยากให้พี่น้องได้รู้ถึงความยากเข็ญที่เกิดขึ้นกับเราในแคว้นเอเชีย เราถูกบีบคั้นอย่างหนักจนเกือบไม่มีหวังที่จะรอดชีวิต เรารู้สึกว่า เราถูกตัดสินประหารชีวิต ที่เป็นอย่างนี้เพื่อเราจะไม่วางใจในตัวเราเองแต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงโปรดให้คนตายได้ฟื้นคืนชีพ
2 โครินธ์ 1:10
พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดตายมาแล้ว และพระองค์ทรงช่วยเราและเราหวังในพระองค์ว่า จะทรงช่วยเราต่อไป
2 โครินธ์ 1:11
ในเมื่อพวกท่านต่างมีส่วนช่วยในการอธิษฐานทูลขอเพื่อเรา เพื่อคนเป็นจำนวนมากจะได้ขอบพระคุณแทนเรา สำหรับพระคุณของขวัญที่ประทานแก่เราผ่านคำอธิษฐานของคนจำนวนมาก!
2 โครินธ์ 1:12
สิ่งที่เราอวดได้คือ คำพยานจากมโนธรรมของเราที่ว่า เราได้ประพฤติตัวในโลกด้วยความเรียบง่ายบริสุทธิ์ และความจริงใจจากพระเจ้า ไม่ใช่จากปัญญาของโลกแต่โดยพระคุณของพระเจ้า และเราประพฤติเช่นนั้นต่อท่านมากกว่านั้นอีก
2 โครินธ์ 1:13-14
เพราะเราไม่ได้เขียนสิ่งอื่นใดมาให้ท่านนอกจากสิ่งที่ท่านอ่านและเข้าใจได้ บัดนี้ ข้าเชื่อว่า ท่านจะเข้าใจกระจ่างจนจบอย่างที่ท่านพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น พวกเราจะภูมิใจในตัวท่านเหมือนอย่างที่ท่านภูมิใจในเรา
2 โครินธ์ 1:15-16
เพราะมั่นใจอย่างนี้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมท่านก่อน เพื่อท่านจะได้รับพระคุณสองต่อ โดยจะแวะเยี่ยมท่านตอนที่เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย และเมื่อกลับจากที่นั่นก็จะแวะมาหาท่านอีก แล้วให้ท่านช่วยส่งข้าเดินทางต่อไปยังแคว้นยูเดีย
2 โครินธ์ 1:17-18
เมื่อข้าวางแผนเช่นนี้ ข้าทำด้วยความลังเลใจ หรือว่าทำอย่างขอไปที ข้าวางแผนตามใจตัว เดี๋ยวมาเดี๋ยวไม่มาอย่างนั้นหรือ?พระเจ้าทรงซื่อตรงฉันใด คำของเราที่มีมายังท่านก็ซื่อตรงฉันนั้น
2 โครินธ์ 1:19
เพราะว่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่ข้า สิลวานัส และทิโมธีประกาศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่อาจจะจริงหรือไม่จริงแบบขอไปทีแต่ในพระองค์นั้น มีแต่ความจริงทั้งสิ้น!
2 โครินธ์ 1:20
เพราะว่าคำที่พระเจ้าทรงสัญญาผ่านพระเยซู เป็นจริงทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวคำว่า “อาเมน” เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์
2 โครินธ์ 1:21-22
พระเจ้าทรงให้เราและท่านยืนมั่นคงในพระคริสต์ และทรงเจิมเรา พระองค์ทรงประทับตราแสดงกรรมสิทธิ์ในตัวเราและประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจเราเป็นหลักประกันของสิ่งที่จะมาในอนาคต
2 โครินธ์ 1:23-24
ยิ่งกว่านั้น ข้าขออัญเชิญพระเจ้ามาเป็นพยานถึงสิ่งที่อยู่ในใจว่าที่ข้าไม่กลับมายังโครินธ์ ก็เพื่อท่านจะไม่ต้องลำบากใจ
ข้าไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดความเชื่อของท่าน แต่เราเป็นผู้รับใช้กับท่านเพื่อความยินดีของท่าน เพราะท่านมั่นคงในความเชื่อ
อธิบายเพิ่มเติม
2 โครินธ์ 1:1
จดหมายฉบับนี้เขียนเพื่อให้พี่น้องตามคริสตจักรในแคว้นอาคายาได้อ่านกันถ้วนหน้า เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ในประเทศกรีซ ท่านย้ำว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะส่งออกไปประกาศพระนาม ท่านไม่ได้แต่งตั้งตนเองขึ้นมา (อัครทูตมีความหมายว่าผู้ที่ถูกส่งออกไป) การเขียนครั้งนี้ มีทิโมธีเป็นผู้ที่อยู่กับท่านใด้วย ทิโมธีเองเป็นคนที่ชาวโครินธ์รู้จักเพราะอยู่กับท่านเปาโลเมื่อท่านตั้งคริสตจักรดูกิจการ 18:1-5
2 โครินธ์ 1:2
ทำไมท่านเปาโลจึงขอพระคุณ และสันติสุข? ทำไมท่านไม่ขอให้ร่ำรวย มั่งคั่งอยู่ดีกินดีเหมือนที่บ้านเราชอบอวยพรกันนัก?พระคุณจากพระบิดาและพระคริสต์มีให้เราอยู่แล้วและเมื่อเราพบพระองค์ ได้รับชีวิตใหม่ นั่นคือพระคุณพิเศษที่ต่อเนื่องไม่หยุด คริสเตียนทุกยุค ทุกแห่งต้องการสองสิ่งนี้จากพระเจ้ามาก ลองคิดถึงชีวิตที่ขาดพระคุณ และสันติสุขดู เราจะอยู่ต่อไปได้หรือ? เราจะมีความหวังอะไรเหลืออยู่บ้าง?
2 โครินธ์ 1:3
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หนุนใจและปลอบใจมานานแล้ว อิสยาห์ได้กล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงปลอบใจหลายครั้ง (อิสยาห์ 40:1, 51:3 เป็นต้น) ท่านเปาโลไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงสำแดงว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงหนุนใจ ทรงปลอบใจเสมอมา. ในยามที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางผู้คน พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นไม่ขาด คำว่าพระเจ้าแห่งการหนุนใจหรือปลอบใจนี้ มีความหมายรวมไปถึงการทำให้
สบายใจขึ้น ให้กำลัง ช่วยให้เข้มแข็งและกล้าหาญ
2 โครินธ์ 1:4
เวลาเรามีความทุกข์ใจ เดือดร้อน ยุ่งยาก จะมาจากการประกาศพระนามพระเจ้า หรือจะเป็น ปัญหาใดๆ ท่านเปาโลบอกแล้วว่าทุกเรื่อง ทุกด้านเรามาหาพระเจ้า พระองค์จะทรงหนุนให้เรามีกำลังสู้ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วเหตุการณ์นั้นยากเกินที่จะฝ่าฟัน ความลำบากในที่นี้ ภาษาเดิมหมายถึงการถูกบีบคั้น ทำให้จนตรอก คนที่ต้องเผชิญความทุกข์ร้อนอย่างที่ท่านเปาโลกล่าวถึง นี้ รู้สึกว่าไม่สามารถหนีออกไปได้
2 โครินธ์ 1:5
พระคำข้อนี้ มีผู้แปลบางสำนักแปลว่า “ยิ่งความทุกข์ยากของพระคริสต์ไหลล้นสู่ชีวิตเรามากเท่าไร การปลอบโยน การหนุนใจจากพระองค์ก็ไหลล้นสู่ชีวิตเรามากขึ้นเพียงนั้น” ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนจึงแตกต่าง เพราะว่าความทุกข์ยากในชีวิตกลับจะทำให้ได้รับการปลอบโยนใจจากพระเจ้ามากขึ้น นี่เป็นเหตุให้ผู้เชื่อที่ทุกข์ยากที่ถูกข่มเหงจึงอดทนได้ ด้วยการปลอบโยนจากพระเจ้าโดยตรง
2 โครินธ์ 1:6
ท่านเปาโลต้องทนทุกข์ ทนการข่มเหง การถูกลอบทำร้าย เผชิญภัยนานาก็เพื่อว่า คนต่างชาติที่ท่านพบเจอจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า และพวกเขายังได้รับการปลอบประโลมใจจากพระองค์ด้วยพี่น้องโครินธ์ในเวลานั้นมองข้ามความสำคัญของการทนทุกข์และการปลอบใจจากพระเจ้า ท่านจึงเน้นย้ำให้รู้ถึงเป้าหมายของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าพวกเขาจะได้มีมุมมองที่ถูกต้องว่า การทนทุกข์และการปลอบใจจากพระเจ้าเป็นของคู่กัน
2 โครินธ์ 1:7
ความทุกข์ยากทั้งหลายที่ท่านเปาโลต้องเผชิญนั้น ท่านตระหนัก มั่นใจว่า เป็นความทุกข์ยากของพระคริสต์ ไม่ใช่ของตัวท่านแต่อย่างเดียวพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราอดทนจนผ่านความทุกข์ยากไป แต่ไ่ม่ใช่แค่ก้มหน้ารับความทุกข์ เป็นความอดทนแบบที่เราจะก้าวข้ามความเจ็บปวดและความทุกข์เพื่อไปถึงเป้าหมายของเรา คล้าย ๆ กับนักกีฬาที่สู้จนได้ชัย การเป็นผู้เชื่อกับการที่ต้องเจอความทุกข์ยากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
2 โครินธ์ 1:8-9
ท่านเปาโลได้เผชิญกับความลำบากนา ๆประการอย่างที่ไม่น่าจะรอดชีวิตมา แต่ท่านก็รอดมาเสมอเพื่อจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ท่าน เฉียดกับความตายมาหลายรอบมากจนกระทั่งรู้สึกว่า นี่เป็นโทษประหารสำหรับตัวท่านเอง และแล้วท่านก็เข้าใจว่า ท่านอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ เอาแค่ต้องเจอกับความวุ่นวายในเอเฟซัส (กิจการ19:21-41) การถูกโบย (2 โครินธ์ 11:24) ก็สาหัสแล้ว
2 โครินธ์ 1:10
เมื่อเราอ่านพระคำตอนนี้ ทำให้นึกถึง ฮีบรู 11:32-38 คนของพระเจ้าต้องเจอกับความยากลำบากมากมาย แต่พระเจ้าก็ทรงจัดคำตอบให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน ที่สุดคือชีวิตนิรันดร์ที่ทรง เตรียมไว้ให้ พระเจ้าทรงวางแผนไว้ให้แต่ละคน
ดังนั้นในชีวิตของเรา เราหันไปดูอดีตที่พระเจ้าทรงช่วยเรา ดูในวันนี้ และมีความมั่นใจต่อไปในอนาคต
2 โครินธ์ 1:11
พระคัมภีร์ข้อนี้ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยที่พี่น้องจะอธิษฐานเผื่อกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. การขอให้เพื่อนอธิษฐานเผื่อ การขอจากพี่น้องคริสเตียนที่เราอาจไม่รู้จักเป็นส่วนตัว เราไม่ต้องกังวลใจ เราไม่รู้จักเขาแต่พระเจ้าทรงรู้จักคนที่เรา อธิษฐานเผื่อเป็นอย่างดี เมื่อพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน ทุกคนที่มีส่วนก็จะยินดีกันถ้วนหน้าเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงตอบคำทูล
2 โครินธ์ 1:12
ท่านเปาโลได้ยืนยันว่า มโนธรรมของท่าน ก็คือส่วนที่บอกมนุษย์ว่า อะไรผิด อะไรถูก ส่วนที่คอยดูว่า แรงจูงใจจริง ๆ นั้นมาจากไหน มโนธรรมของท่านบอกตัวท่านว่า ท่านจริงใจ ท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และประพฤติอย่างดีต่อพี่น้องชาวโครินธ์ที่ท่านต้องกล่าวเช่นนี้เพราะมีบางคนที่กล่าวหาว่าท่านเป็นคนหยิ่งยะโส เห็นแก่ตัว เชื่อไม่ได้ ท่านจึงบอกให้มั่นใจว่า เมื่อท่านพิจารณาตัวเองด้วยมโนธรรมแล้ว ท่านผ่าน ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด
2 โครินธ์ 1:13-14
คนบางคนในคริสตจักรโครินธ์ อ่านจดหมายของท่านเปาโลแล้วตีความไปว่าท่านมีความหมายอื่น ๆแฝงอยู่ แต่ท่านยืนยันว่า การเขียนของท่านชัดเจนตรงไปตรงมา เข้าใจได้อยู่แล้ว แม้จดหมายของท่านบางตอนอาจจะยากที่จะเข้าใจ มีการใช้คำเปรียบเทียบ แต่ท่านจะไม่เขียนอย่างหนึ่งเพื่อให้มีความหมายไปอีกอย่าง และท่านปรารถนาที่จะภูมิใจในตัวพบเขาต่อพระพักตร์ของพระเจ้าจริง ๆ
2 โครินธ์ 1:15-16
แม้ท่านเปาโลตั้งใจจะเดินทางไปหาพี่น้องชาวโครินธ์สองครั้ง แต่เราไม่พบว่ามีการเดินทางแบบนั้น ในบันทึกจากพระคัมภีร์ ท่านเองกลับเดินทางจากเอเฟซัสไปทางเมืองโตรอัสแทนเมืองโครินธ์(2:13)
จากข้อความตอนนี้ จะเห็นว่า คริสตจักรแต่ละแห่งควรมีหน้าที่ต่อกันและกัน ช่วยเหลือกัน ช่วยส่งผู้รับใช้ออกไปเพื่อสร้างเสริมพี่น้อง การพบปะกันทุกครั้งของผู้เชื่อคือเพิ่มพระคุณให้ทั้งสองฝ่ายดูการเดินทางของท่าน 7:5, 8:1, 9:2,4
2 โครินธ์ 1:17-18
การตั้งคำถามแบบนี้ของท่านเปาโล เท่ากับคำตอบควรจะเป็นว่า “ไม่” ความตั้งใจของท่านเปาโลนั้นชัดเจน แต่ท่านกลับทำตามนั้นไม่ได้ คนที่เป็นศัตรูก็เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่จะชักชวนให้พี่น้องเลิกฟังคำของท่าน แต่ท่านเปาโลก็ยังยืนยันว่าท่านตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าแผนการเดินทางต้องถูกเปลี่ยน แต่หลักการที่ท่านประกาศ และคำสอน เป็นความจริงเสมอ
2 โครินธ์ 1:19
เวลานี้ เปาโลเน้นย้ำว่า ความจริงเรื่องพระเยซูคริสต์เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท่านเปาโลเป็นห่วงมากที่สุดคือ พี่น้องจะไม่มั่นคง หันเหความคิดไปตามคนที่พยายามทำลายความเชื่อถือของพวกเขาที่มีต่อท่าน แต่ปัจจุบันเราก็เห็นการใส่ร้ายผู้รับใช้ การพูดเท็จเกี่ยวกับคน ๆ หนึ่งโดยอาจจะเอาคำของเขา การกระทำของเขาที่พลาดจริงๆ มาเป็นประเด็นทำให้คนขาดความเชื่อถือในผู้รับใช้
2 โครินธ์ 1:21-22
ข้อความนี้ บอกว่าพระเจ้าทรงทำสี่อย่างกับเราทำให้มั่นคง ทรงเจิม ทรงประทับตราแจ้งว่าเราเป็นของพระองค์ และประทานพระวิญญาณเพื่อเรา
จะได้รับการสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทุกอย่าง โรม 8:11 บอกเราว่า พระเจ้าประทานชีวิตให้แก่เราโดยพระวิญญาณ ผู้ประทับในเรา ชีวิตที่สมบูรณ์
อยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์นั้น จะมีให้กับคนที่มีหลักประกันคือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตซึ่งก็เป็นผลจากการที่คนนั้นยอมรับเชื่อพระเยซูคริสต์
2 โครินธ์ 1:23-24
การขอพระเจ้ามาเป็นพยาน การพูดอย่างนี้คล้าย ๆ กับว่า “ขอสาบานต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า” ในเมื่อพี่น้องที่โครินธ์คิดว่า ท่านเห็นแก่ตัวที่ไม่มาเยี่ยม ท่านจึงบอกเหตุผล และยังยืนยันว่า อย่างไรก็ดีท่านไม่ได้เป็นเจ้านายบังคับให้ใครเชื่ออะไร แต่เป็นผู้ร่วมงานในการรับใช้พระเจ้าด้วยกัน
ท่านปรารถนาให้พวกเขาเข้าใจอย่างถูกต้อง พระคำตอนนี้ ถ้าไม่ทราบบริบทก็จะเข้าใจยากอยู่
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 ทิโมธี 1:1; 1โครินธ์ 16:10; โคโลสี 1:2
2* โรม 1:7
3* 1 เปโตร 1:3
4* อิสยาห์ 51:12; 66:13
5* 2 โครินธ์ 4:10
6* 2 โครินธ์ 4:15; 12:15
7* โรม 8:17
8* กิจการ 19:23
9* เยเรมีย์ 17:5,7
10* 2 เปโตร 2:9
11* โรม 15:30; 2 โครินธ์ 4:15; 9:11
12* 2 โครินธ์ 2:17; 1 โครินธ์ 2:4
14* 2 โครินธ์ 5:12; ฟีลิปปี 2:16
15* 1 โครินธ์ 4:19; โรม 1:11; 15:29
16* 1 โครินธ์ 16:3-6
17* 2 โครินธ์ 10:2; 11:18
18* 1 ยอห์น 15:20
19* มาระโก 1:1; 1 เปโตร 5:12; 2โครินธ์ 1:1; ฮีบรู 13:8
20* โรม 15:8-9
21* 1 ยอห์น 2:20; 27
22* เอเฟซัส 4:30; 1:14
23* กาลาเทีย 1:20; 1 โครินธ์ 4:21
24* 1 เปโตร 5:3; โรม 11:12
กิจการ 28 จบที่โรม
อธิบายเพิ่มเติม
กิจการ 28:1
เรือแตกใกล้เกาะมอลตา ทางใต้ของเกาะซิซิลี ไม่มีใครเคยมาแถบนี้ เป็นเกาะที่อยู่ 60 ไมล์ทางใต้ของเกาะซิซีลี ทุกคนรอด นายทหารได้คุมนักโทษครบทุกคน ถ้ามองด้วยสายตาของคนนอกแล้ว เป็นเรื่องแปลกมากที่นักโทษไม่หายไปสักคนเดียว!
อ่าวนี้ในปัจจุบันเรียกกันว่า อ่าวเซนท์พอล
กิจการ 28:2-4
พวกเขาพบชาวเกาะที่ใจดีมาช่วยก่อกองไฟ แต่เมื่อเกิดมีงูกัดเปาโล ทุกคนก็คิดว่า เปาโลเป็นนักโทษฉกรรจ์ ชาวเกาะคิดว่า เทพลงโทษเปาโล เรื่องนี้สำคัญมากเพราะเกี่ยวพันกับคำสัญญาของพระเยซูในหนังสือมาระโก 16:18
กิจการ 28:5-6
แต่เปาโลกลับสลัดงูลงกองไฟ แล้วไม่ตาย ไม่มีอาการใด ๆ ชาวเกาะก็กลับคิดว่าเขาเป็นเทพเสียเอง ตอนแรกคิดอย่างต่อมาคิดอีกอย่าง ขึ้นกับสถานการณ์ ทำให้เรารู้ว่า คนในสมัยโบราณ แปลความทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับความเชื่อทั้งสิ้น
กิจการ 28:7-8ก
เปาโลรู้ว่า ปูบลิอัส ซึ่งเป็นผู้นำที่เป็นตัวแทนดูแลหมู่ชาวเกาะ มีพ่อที่ไม่สบาย เป็นบิด เปาโลจึงขอไปเยี่ยมอาการของเขานั้นน่าจะเป็นจากการกินอาหารที่ไม่สะอาด ตัวปูบลิอัสเองน่าจะเป็นผู้ที่โรมแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลเกาะนี้
กิจการ 28:8ข-10
เขาอธิษฐานและพ่อก็หายป่วย ชาวเกาะจึงพากันมาอธิษฐาน และหายป่วยไปตาม ๆ กัน ชาวเกาะจึงดีใจและให้เกียรติกับพวกเขามาก เป็นอันว่าตอนนี้อยู่กันอย่างสันติ ทั้งนักโทษ ทหาร ชาวเกาะและเปาโลกับเพื่อน
กิจการ 28:11-12
เมื่อมีเรือมา พวกเขาจึงได้ลงเรือออกจากมอลตา ไปยังเมืองไซราคิวส์ ซึ่งอยู่ริมฝั่งเกาะซิซีลี เชื่อกันว่าเปาโลได้ตั้งคริสตจักรที่เมืองนี้ด้วย
กิจการ 28:13-14
พอมาถึงเมืองเรยีอุมซึ่งอยู่ทางใต้ เรือก็รออีกวันให้ลมดีเสียก่อน ผ่านเข้าไปทางช่องแคบเมสินา ซึ่งแยกเกาะซิซีลีจากแผ่นดินใหญ่ มีการขออนุญาตอยู่ต่อเพื่อพบ และสนทนากับพี่น้องซึ่งนายร้อยก็อนุญาตทันที เราจึงเห็นว่า นายร้อยกับเปาโลมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกอย่าง เท่ากับลดภาระที่ต้องดูแลนักโทษคนนี้ด้วย
กิจการ 28:15
ย่านอัปปีอัสอยู่ทางใต้ของโรม ห่างประมาณ 43 ไมล์ ส่วนบ้านสามโรงแรมนั้น ห่างจากโรมประมาณ 30 ไมล์
กิจการ 28:16
เมื่อถึงโรม มีคำสั่งขังเปาโลในบ้าน ไม่ได้เข้าคุก โดยดูจากเรื่องราวแล้ว อาจประเมินได้ว่า นายร้อยยูเลียอาจเป็นผู้ขอให้เปาโลได้รับการขังในบ้าน โดยมีทหารผลัดกันมาเฝ้า (เท่ากับผลัดกันมาฟังพระคำของพระเจ้านั่นเอง) จะเห็นว่า ถึงตอนนี้ นายร้อยยูเลียสมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเปาโลเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนได้สนทนาเมื่ออยู่บนเรือด้วยกัน จนกลายเป็นเพื่อนสนิท
กิจการ 28:17
นี่เป็นเวลาเริ่มต้นงานใหม่ ในเมืองใหม่ เขาเริ่มต้นจากการพบผู้นำชาวยิว โดยที่เชิญพวกเขามาพบที่บ้านซึ่งเขาถูกจำจองอยู่ อธิบายพระกิตติคุณให้พวกเขาฟัง
กิจการ 28:18-19
เปาโลได้อธิบายว่า ไม่ได้มีเรื่องกับคนยิว แต่คนยิวต่างหากที่ฟ้องร้องเขา จึงต้องถวายฎีกามาพบซีซาร์
กิจการ 28:20-22
การพบกันครั้งนี้ ทำให้พี่น้องชาวยิวได้เข้าใจเรื่องราวที่แท้จริงจากปากของเปาโลโดยตรงกิจการ 28:23-24
จากนั้นก็มีการเชิญคนอื่นมาที่บ้าน เพื่อสนทนากันเรื่องพระเยซูคริสต์
กิจการ 28:25
มีทั้งคนที่เห็นด้วย และคนที่ไม่ยอมเชื่อ เปาโลจึงเข้าใจแล้วว่า คำที่อิสยาห์กล่าวเป็นความจริงกิจการ 28:26-27
นั่นคือ อย่างไร ๆ ยิวก็มักจะไม่เชื่อว่าพระเมสสิยาห์มาแล้ว และพระองค์คือ พระเยซูคริสต์ อิสยาห์บอกล่วงหน้าว่า ยิวจะไม่ยอมรับพระเยซู
กิจการ 28:28-29
ดังนั้นข่าวประเสริฐจึงต้องไปหาคนต่างชาติที่จะรับฟัง และเชื่อพระนามพระเยซู
กิจการ 28:30-31
สองปีที่เปาโลอยู่ในโรม ไม่ไร้ผล เพราะเขาได้ประกาศพระนามอย่างกล้าหาญ และไม่มีใครมาต่อต้านหรือลุกฮือขึ้นเหมือนอย่างที่เกิดในหมู่ชาวยิวที่ผ่านมาเลย
พระคำเชื่อมโยง
1* กิจการ 27:26
2* กิจการ 28:4; โรม 1:14; 1โครินธ์ 14:11; โคโลสี 3:11
5* มาระโก 16:18; ลูกา 10:19
6* กิจการ 12:22; 14:11
8* กิจการ 9:40; ยากอบ 5:14-15; มัทธิว 9:18; มาระโก 5:23; 6:5; 7:32; 16:18; ลูกา 4:40; กิจการ 9:11-12; 1โครินธ์ 12:9,28
10* มัทธิว 15:6
11* กิจการ 27:6
14* โรม 1:8
16* กิจการ 23:11; 24:25; 27:3
17* กิจการ 23:29; 24:12-13; 26:31
18* กิจการ 22:24; 24:10; 25:8; 26:32
19* กิจการ 25:11, 21,25
20* กิจการ 26:6-7; 26:29; เอเฟซัส 3:1; 4:1; 6:20; 2 ทิโมธี 1:8, 16; ฟิเลโมน 10,13
22* ลูกา 2:34; กิจการ 24:5, 14; 1 เปโตร 2:12;; 3:16; 4:14,16
23* ลูกา 24:27; กิจการ 17:3; 19:8; 26;6, 22
24* กิจการ 14:4; 19:9
26* อิสยาห์ 6:9-10; เยเรมีย์ 5:21; เอเสเคียล 12:2; มัทธิว13:14-15; มาระโก 4:12; ลูกา 12:40; โรม 11:8
28* อิสยาห์ 42:1, 6; 49:6;มัทธิว 21:41; ลูกา 2:32; โรม 11:1131* กิจการ 4:31; เอเฟซัส 6:19
วีดิทัศน์ เรื่องจากพระคัมภีร์
คำสอนและเรื่องราวจากพระคัมภีร์ใหม่ ออกแบบมาเพื่อผู้ใหญ่กับเด็กจะดูด้วยกัน เพื่อผู้ที่สนใจ จะได้คุ้นเคยกับพระเยซู และคำตรัสของพระองค์ ช่วยให้เด็กในบ้าน เด็กเพื่อนบ้าน ได้เข้าใจความรัก และพระเมตตา การอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำ
มาเรียนรู้จัก สัมผัสความรักของพระเจ้า และรักพระองค์ตามทางแห่งพระคำ
และยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณเข้าไปค้นได้ใน youtube : prakham
กิจการ 27 เรือแตก!
คำอธิบายเพิ่มเติม
กิจการ 27:1-2
ลูกา ผู้เขียนได้กล่าวว่า มีการตัดสินใจให้ “เรา” แล่นเรือไปอิตาลี แสดงว่า นอกจากเปาโลแล้วก็มีลูกาและนักโทษคนอื่น ๆ อีกด้วย เมืองอัดรามิททิยุมอยู่ชายฝั่งทะเลอีเจียนทางเหนือขึ้นไป แผนการคือ เรือจะมารับพวกเขาแล้วเลียบฝั่งเอเชีย
กิจการ 27:3
วันแรกของการเดินทาง ไปถึงไซดอน ซึ่งนายร้อยยูเลียสอนุญาตให้เปาโลไปหาคนรู้จักเพื่อช่วยหาสิ่งจำเป็นให้ แสดงว่า ในไซดอนมีคริสเตียนอยู่จำนวนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของเปาโล
กิจการ 27:4-6 เปลี่ยนเรือ
เรือออกเดินทางต่อไป แต่แทนที่จะไปตามที่บอก กัปตันเดินทางเลียบเส้นทางปลอดลมของเกาะไซปรัสแทนที่จะเลียบฝั่ง ดังนั้น นายร้อยจึงต้องให้นักโทษขึ้นเรือที่มุ่งหน้าไปอิตาลี เป็นเรือที่มีเป้าหมายที่โรม
เรือจากอเล็กซานเดรียเป็นเรือขนส่งพวกธัญพืชจากอียิปต์ไปโรม
กิจการ 27:7-8
เรือดังกล่าวแล่นในช่วงปลายของฤดูเดินเรือ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาที่กัปตันเองก็รู้ดี ท่างามไม่ได้เป็นที่เหมาะจะพักเรือช่วงฤดูหนาว เพราะว่าท่าเรือนั้นเปิดสู่ทะเลกว้าง
กิจการ 27:9-12
เปาโลได้กล่าวคำเตือนกัปตันและนายร้อยว่า การเดินทางครั้งนี้อันตราย ควรหยุดรอก่อน เราไม่ทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่คำของท่านเป็นเหมือนคำพยากรณ์
แต่กัปตันเองไม่เห็นด้วย เขาอยากจะไปจากที่ตรงนี้ ด้วยเหตุผลว่าต้องการแล่นเรือให้ถึงเกาะครีตทันฤดูหนาว เขาคงคิดว่า ไม่เห็นต้องฟังคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการเดินเรือ .. ความเห็นของเขาต้องดีกว่า
กิจการ 27:13-15
กัปตันเรือมองว่า ในเมื่อมีลมทะเลใต้เบา ๆ ก็น่าจะเลียบไปตามฝั่งเกาะครีตได้ … แต่แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีลมประจำถิ่นจากทางตะวันออกเฉียงเหนือพัดมาอย่างแรง ทำให้เรือไปตามลมจากเมืองโฟนิกซ์ออกไปยังทะเลกว้าง
กิจการ 27:16-17
เรือลอยไปจนใกล้เกาะคาลดา กัปตันตัดสินใจปล่อยเรือลอยไปตามลมแรงนั้น
กิจการ 27:19-20
กัปตันเห็นทีจะอันตรายเกินไปจึงให้ทิ้งเครื่องมือหนักลงทะเลไปให้หมด ในเมื่อฟ้ามืดทั้งเช้าเย็น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน มองไม่เห็นดาวบนฟ้าที่จะบอกทิศทาง เขาอาจจะรู้แค่ว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนโดยเดาเอาจากความสว่างราง ๆ ของเวลากลางวัน
กิจการ 27:21-22
แทนที่จะตำหนิกัปตัน เปาโลกลับเตือนสติและให้กำลังใจว่า จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่เรือจะจมแน่นอน
กิจการ 27:23-24
ที่เปาโลรู้ก็เพราะทูตสวรรค์มาบอกว่า อย่างไร จะได้พบซีซาร์แน่ และพระเจ้าจะทรงเมตตาให้ทุกคนรอดชีวิต
นี่เป็นการเห็นนิมิตครั้งสุดท้ายของเปาโล ที่ถูกบันทึกไว้
กิจการ 27:25-26
เปาโลรู้แน่ว่า พระเจ้าตรัสอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น และยังกล่าวคำล่วงหน้าว่า เรือจะเกยตื้นด้วย
กิจการ 27:27-29
ทะเลอาเดรียติคที่กล่าวถึงนี้ หมายถึงท้องทะเลไอโอเนียนที่อยู่ระหว่างเกาะครีต มอลตา อิตาลีและกรีซ
กลาสีเรือลองหยั่งความลึกได้ประมาณ 120 ฟุต ต่อมาเป็น 90 ฟุต พวกเขาทิ้งสมอท้ายเรือ ช่วยให้เรือไม่หมุนเคว้ง
กิจการ 27:30-32
ถึงตรงนี้ มีกลาสีหลายคนคิดว่าจะหนีจากเรือเอาชีวิตรอด แต่.. เปาโลเตือนนายร้อยทันทีว่า หากพวกเขาหนีไป คนที่อยู่บนเรือจะไม่รอด เปาโลรู้ว่า ทุกคนต้องเชื่อสิ่งที่เขากล่าว ไม่ใช่คิดเอาแต่ตัวรอด เพราะในเวลาต่อมา ทุกคนต้องช่วยเหลือกันยามที่เรือแตก
กิจการ 27:33-34
การที่พวกเขาอดอาหารมาถึง 14 วันทำให้ทุกคนหมดแรง เปาโลจึงขอให้ทุกคนกินอาหารบ้าง และยังคงให้กำลังใจพวกเขาต่อไป ก่อนหน้านี้ทั้งอาเจียน เมาเรือ พวกเขาก็งดอาหาร การเตรียมอาหารน่าจะลำบากมากเพราะพายุพัดไม่หยุดหย่อน
กิจการ 27:35-38
เปาโลกล่าวคำอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า … เมื่อกินอาหารเสร็จก็ให้ทิ้งข้าวสาลีลงให้หมด เชื่อแน่ว่าระหว่างที่อยู่ในเรือก่อนหน้านี้ เปาโลได้ใช้เวลากล่าวพระคำของพระเจ้าให้แก่เหล่ากลาสีเรือ และนักโทษสองร้อยกว่าคน ไม่หยุดหย่อน เปาโลน่าจะมีความสุขไม่น้อย
กิจการ 27:39-40
ตอนนี้ทางเลือกเดียวเมื่อเห็นฝั่ง คือ ไปให้ใกล้ฝั่งมากที่สุด
กิจการ 27:41-42
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรือแตก! นายทหารที่คุมนักโทษจึงคิดว่า จะฆ่านักโทษ เพราะหากนักโทษหนีไปได้พวกเขาจะโดนลงทัณฑ์แน่นอนตามกฏของโรม โดยต้องรับโทษของนักโทษที่หนีหายไปด้วยตัวเอง
กิจการ 27:43
แต่นายร้อยไม่ยอม เขาไม่ยอมให้ใครฆ่าเปาโลเด็ดขาด
กิจการ 27:44
ในที่สุด เรือแตกจริง ๆ แต่แล้ว พวกเขาก็รอดตายทุกคน
พระคำเชื่อมโยง
1* กิจการ 25:12,25
2* กิจการ 19:29
3* กิจการ 24:23; 28:16
6* กิจการ 28:11
7* กิจการ 2:11; 27:12,21; ทิตัส 1:5,12
9* เลวีนิติ 16:29-31; 23:27-29; กันดารวิถี 29:7
19* โยนาห์ 1:5
23* กิจการ 18:9; 23:11; 2 ทิโมธี 4:17; ดาเนียล 6:16; โรม 1:9; 2 ทิโมธี 1:3
25* ลูกา 1:45;โรม 4:20-21; 2 ทิโมธี 1:12
26* กิจการ 28:1
34* 1 พงศ์กษัตริย์ 1:52; มัทธิว 10:30; ลูกา 12:7,21:18
35* 1 ซามูเอล 9:13; มัทธิว 15:36; มาระโก 8:6; ยอห์น 6:11; 1 ทิโมธี 4:3-4
37* กิจการ 2:41; โรม 13:1; 1 เปโตร 3:20
41* 2 โครินธ์ 11:25
44* กิจการ 27:22,31
กิจการ 26 คำพยานต่อหน้าอากริปปา
คำอธิบายเพิ่มเติม
กิจการ 26:1-3
นี่เป็นการแก้ต่างครั้งที่สามของเปาโล เป็นเพราะไม่มีผู้ฟ้องในศาลครั้งนี้ เฮโรด อากริปปาจึงอนุญาตให้เปาโลแก้ต่างได้เลย เปาโลจึงเริ่มต้นด้วยการกล่าวยกย่องผู้ตัดสินว่า เขาคุ้นเคยกับชาวยิว ประเพณี และกฏบัญญัติ เป็นอย่างดี ดังนั้น เขาจะตัดสินได้อย่างดีที่สุด
แต่เป้าหมายแท้จริงของเปาโลไม่ใช่การแก้ต่างให้ตัวเอง เขาต้องการให้อากริปปาได้ยินพระกิตติคุณชัด และตัดสินใจรับเชื่อพระเยซู รวมไปถึงคนอื่น ๆ ในศาลด้วย
กิจการ 26:4-8
จากคำพูดของเปาโลทำให้รู้ว่า คนฟาริสีรู้จักเปาโลเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเปาโลอุทิศตนให้กับกฎเกณฑ์ของฟาริสีมาตั้งแต่ต้น พูดอย่างนี้ทำให้อากริปปารู้ว่า เปาโลเป็นคนแบบไหน และแล้ว เปาโลก็เล่าหักมุมว่า การที่เขาวางใจในพระสัญญาของพระเจ้า เรื่องการคืนชีวิตขึ้นมาทำให้ชาวยิวไม่พอใจ
เรื่องที่ยิวไม่พอใจมากที่สุดคือ เรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซูที่เปาโลยืนกรานไม่ยอมเปลี่ยนใจ และเปาโลก็เฝ้าประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ในอดีต และเขาก็มีความหวังใจในพระองค์ ไม่น่าเลยที่เหล่าธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับเรื่องนี้
กิจการ 26:9-11
แล้วเปาโลก็เล่าเรื่องราวที่เขาเคยต่อต้านพระเยซูคริสต์ให้ทุกคนได้รับฟัง สิ่งที่น่าชังมากคือ การที่บังคับให้พี่น้องทั้งปฏิเสธพระเจ้าและกล่าวคำหมิ่นประมาทพระองค์
กิจการ 26:12-15
คิดถึงภาพของผู้คนในศาลที่มารวมตัวกัน เพื่อฟังพยานของเปาโล .. พยานนี้มีพลังเปลี่ยนชีวิตแน่นอน ผู้คนมากมายได้รู้จากปากของเปาโลเองว่า เกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องฟังจากข่าวเล่าลือ
นี่เป็นครั้งที่สามซึ่งเปาโลได้มีโอกาสเป็นพยานเรื่องการกลับใจ
กิจการ 26:16-18
เปาโลได้ขยายความให้รู้เลยว่า หน้าที่ของเขาคือ การเป็นพยานถึงสิ่งที่เห็นในวันที่ตกม้า เขาบอกทุกคนให้รู้ว่า พระเจ้าจะทรงช่วยให้พ้นอันตรายจากคนยิวและคนต่างชาติ และพระองค์เองเป็นผู้ส่งเขาออกไปประกาศพระนามแก่คนต่างชาติ ซึ่งพวกเขาคือคนที่ตามืดบอด ต้องเปิดตาให้เห็นความสว่างของพระเจ้า เปาโลได้บอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงทำอะไรให้กับคนที่มาหาพระองค์… เขาพูดให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน
กิจการ 26:19-21
เปาโลเองรับว่า เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งอะไร เขาก็ยินดีทำ และได้ออกไปประกาศเพื่อใหคนได้กลับใจ และนี่เป็นสาเหตุแท้จริงที่ยิวจับเขามาขึ้นศาล และยังพยายามที่จะลอบฆ่าด้วย
กิจการ 26:22-23
และก็มาถึงตอนที่สำคัญมาก เขาโยงไปถึงคำของผู้กล่าวพระคำในอดีต รวมถึงโมเสสที่ได้กล่าวคำพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ว่า พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมาจะต้องทนทุกข์ และจะสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ขึ้นมา (อ่าน อิสยาห์ 52:13-53-12) สิ่งที่เปาโลพูดนี้คือพระกิตติคุณล้วน ๆ
กิจการ 26:24-26
คนที่รับฟังต่อไปไม่ได้คือ เฟสทัสเอง เขาไม่เชื่อเรื่องการคืนชีวิตจากตาย แต่เปาโลยังยืนกรานว่า การคืนพระชนม์นั้น ใคร ๆ ก็รู้เรื่อง เป็นข่าวที่รู้กันไปทั่ว เปาโลต้องการยืนยันให้อากริปปาได้เห็นความจริงข้อนี้
เฟสทัสเป็นชาวโรม ยากมากที่เขาจะเชื่อเรื่องการคืนพระชนม์! ทั้ง ๆที่เป็นเรื่องรู้กันไปทั่วในแผ่นดิน
กิจการ 26:27-29
และแล้ว เปาโลก็หันไปถามอากริปปาซึ่งรู้เรื่องของยิวเป็นอย่างดี ดูเหมือนเขาจะเป็นยิวด้วย เปาโลถามว่า เชื่อคำที่กล่าวมานี้หรือไม่
เปาโลถามเอาตรง ๆ แต่อากริปปาเหมือนรู้ตัว ไม่ยอมให้คำของเปาโลทำให้เปลี่ยนใจเปลี่ยนชีวิต
กิจการ 26:30-32
แล้วในที่สุด ข้อสรุปคือ เปาโลไม่ผิด .. อากริปปา กับเฟสทัสน่าจะคุยกัน และตัดสินใจร่วมกัน แต่เปาโลยังมีงานที่ต้องทำ ดังนั้น เขาจึงพอใจที่จะเดินทางไปพบซีซาร์มากกว่าที่จะได้รับการปล่อยตัว
พระคำเชื่อมโยง
1* 1 เปโตร 3:14-16; 4:14;
กิจการ 21:28; 24:5-6
5* กิจการ 22:3; 23:6; 24:15; ฟีลิปปี 3:5
6* กิจการ 23:6; ปฐมกาล 3:15; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:5; สดุดี 132:11; อิสยาห์ 4:2; เอเสเคียล 34:23; กิจการ 13:32
7* ยากอบ 1:1; ลูกา 2:37; 1 เธสะโลนิกา 3:10; 1ทิโมธี 5:5; ฟีลิปปี 3:11
9* ยอห์น 16:2; 1โครินธ์ 15:9; 1 ทิโมธี 1:12-13; กิจการ 2:22; 10:38
10* กิจการ 8:1-3; 9:13; กาลาเทีย 1:13; กิจการ 9:14
12* กิจการ 9:3-8; 22:6-11; 26:12-18
16* กิจการ 22:15; เอเฟซัส 3:6-8
17* กิจการ 22:21
18* อิสยาห์ 35:5; 42:7,16; ลูกา 1:79; ยอห์น 8:12; 2 โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 1:18; 1 เธสะโลนิกา 5:5; 2 โครินธ์ 6:14; เอเฟซัส 4:18; 5:8; โคโลสี 1:13; เปโตร 2:9; ลูกา 1:77; เอเฟซัส 1:11; โคโลสี 1:12; กิจการ 20:3220* กิจการ 9:19-22; 11:26; มัทธิว 3:8
22* ลูกา 24:27; กิจการ 24:14; 28:23 ; โรม 3:21; ยอห์น 5:46
23* ลูกา 24:26; 1โครินธ์ 15:20,23; โคโลสี 1:18; วิวรณ์ 1:5; อิสยาห์ 42:6; 49:6; ลูกา 2:32; 2 โครินธ์ 4:424* 2 พงศ์กษัตริย์9:11; ยอห์น 10:20; 1โครินธ์ 1:23; 2:13-14; 4:10
26* กิจการ 26:329* 1โครินธ์ 7:731* กิจการ 23:9, 29; 25:25
32* กิจการ 28:18; 25:11
1 โครินธ์ 15 การคืนพระชนม์..สำคัญมาก!
การคืนพระชนม์ของพระเยซู
1 โครินธ์ 15:1-2
พี่น้องเอ๋ย บัดนี้ ข้าได้ฟื้นความทรงจำของท่านถึงข่าวประเสริฐที่ข้าเคยประกาศแก่พวกท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้ และได้ยืนมั่นอยู่ในข่าวนั้น และท่านได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐ หากท่านยึดมั่นในคำที่ข้าได้ประกาศไป ไม่เช่นนั้นแล้วความเชื่อของท่านจะไร้ประโยชน์
1 โครินธ์ 15:3-4
เพราะว่า ข้าได้มอบสิ่งที่ข้าได้รับมาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นั่นคือ พระคริสต์ได้ทรงสิ้นชีวิตเพราะบาปของเราตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ทรงถูกฝังไว้ และวันที่สามทรงถูกทำให้คืนพระชนม์ขึ้นมาตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้
การปรากฏพระองค์ที่เห็นกันชัดเจน
1 โครินธ์ 15:5-6
ทรงปรากฏพระองค์แก่เคฟาสและแก่อัครทูต ทั้งสิบสองคน
หลังจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคน ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ แม้ว่าจะมีบางคนล่วงหลับไป
1 โครินธ์ 15:7-9
ต่อมาจากนั้น พระองค์ได้ทรงปรากฏต่อยากอบและอัครทูตทั้งหมด ท้ายสุดยังทรงปรากฏต่อข้าพเจ้า เหมือนทารกซึ่งคลอดก่อนกำหนด เพราะข้าเป็นคนเล็กน้อยสุดในกลุ่มอัครทูต และไม่สมควรจะให้ใครเรียกว่าเป็นอัครทูต เพราะข้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า
1 โครินธ์ 15:10
แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าจึงได้เป็นอยู่อย่างที่เห็นนี้ พระคุณที่ประทานแก่ข้าไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้ามข้าทำงานตรากตรำมากกว่าพวกเขาทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่เป็นด้วยตัวข้าเองแต่เป็นพระคุณที่อยู่ในข้าที่ทำให้
1 โครินธ์ 15:11
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวข้าหรือพวกเขาก็ดี เราต่างประกาศแบบนี้และท่านก็เชื่อตามคำที่ได้ประกาศ
พระเยซูผู้คืนพระชนม์เป็นความหวังเดียวของเรา
1 โครินธ์ 15:12-13
ก็เราได้ประกาศว่า พระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว เหตุใดพวกท่านบางคนจึงพูดว่า ไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย? ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เท่ากับพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์
1 โครินธ์ 15:14-15
และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์เท่ากับการประกาศของเรานั้นไร้ค่า และความเชื่อของท่านก็ไร้ค่าด้วย ยิ่งกว่านั้น ผู้คนจะมองว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระองค์ได้ทรงทำให้พระคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์ แต่ถ้าคนตายไม่ได้ฟื้นคืนมาจริงแล้ว เท่ากับพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์
1 โครินธ์ 15:16-17
เพราะถ้าเหล่าคนตาย ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต เท่ากับพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์ด้วยและถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์ ความเชื่อของท่านก็ไร้ค่า เท่ากับท่านยังคงตกอยู่ในความบาปของตนเอง
1 โครินธ์ 15:18-19
และเมื่อเป็นอย่างนั้น เหล่าคนที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วยสิ ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์แค่ช่วงชีวิตในโลกนี้ เราก็เป็นคนที่น่าเวทนาที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง
ศัตรูตัวสุดท้ายที่ถูกทำลาย
1 โครินธ์ 15:20-21
แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว ทรงเป็นผลแรกของ
เหล่าคนที่ล่วงหลับไปเพราะเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนเดียว การฟื้นจากความตาย ก็เกิดขึ้นจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน
1 โครินธ์ 15:22-23
เพราะทุกคนตายสืบเนื่องจากอาดัมฉันใดทุกคนก็จะได้รับชีวิตเพราะการสืบเนื่องจากพระคริสต์ฉันนั้น แต่ว่าจะเรียงตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรกต่อจากนั้นก็คือ คนที่เป็นของพระคริสต์ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา
1 โครินธ์ 15:24-25
แล้วต่อมาคือเวลาสิ้นยุค เมื่อพระองค์ทรงถวายอาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดาหลังจากที่ทรงทำลายเหล่าผู้มีสิทธิปกครอง ผู้มีสิทธิอำนาจและอานุภาพทั้งหลายเพราะพระคริสต์ จะต้องทรงครอบครองจนกว่าพระองค์จะทำลายศัตรูทั้งหมดให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
1 โครินธ์ 15:26-27
ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะต้องถูกทำลายคือความตาย เพราะ “พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์แล้ว”แต่เมื่อมีการกล่าวว่า “ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์” นั้น ก็เป็นที่รู้ชัดเจนว่า เป็นการยกเว้นพระเจ้าผู้ทรงกำราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจพระคริสต์
1 โครินธ์ 15:28
เมื่อทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์แล้วพระบุตรเองก็จะทรงเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงกำราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงเป็นใหญ่เหนือสรรพสิ่ง
ผลของการปฏิเสธความจริงเรื่องการคืนจากตาย
1 โครินธ์ 15:29
ถ้าไม่มีการฟื้นขึ้นมาจากตายแล้วเหล่าคนที่รับบัพติศมาเพื่อคนตายจะทำอย่างไร? และทำไมจึงมีการให้รับบัพติศมาเพื่อคนตาย?
1 โครินธ์ 15:30-31
ทำไมเราจึงต้องเสี่ยงอันตรายทุกชั่วโมง? พี่น้องเอ๋ย ข้าเองเผชิญกับความตายอยู่ทุกวัน ข้ายืนยันด้วยความภูมิใจใน
ตัวท่าน ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1 โครินธ์ 15:32
พูดตามเหตุผลของมนุษย์ ข้าจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าข้าต้องต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส หากไม่มีการฟื้นขึ้นจากตาย “ให้เรากินและดื่มเถิดเพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย”
1 โครินธ์ 15:33-34
อย่าหลงผิดไป “การคบคนชั่วเป็นการทำให้นิสัยดี เสียไป”จงมีสติ … อย่าทำบาปอีก เพราะว่ามีบางคนไม่รู้จักพระเจ้า ที่ข้าพูดเช่นนี้เพื่อทำให้ท่านรู้จักละอายใจ
ร่างกายที่เต็มด้วยศักดิ์ศรี
1 โครินธ์ 15:35-36
แต่จะมีคนถามว่า “คนตายนั้นจะฟื้นคืนชีวิตมาได้อย่างไร? และพวกเขาจะมีร่างกายแบบไหน?” โอ เจ้าคนเขลา สิ่งที่ท่านหว่านนั้น กว่าจะงอก มีชีวิตขึ้นมาได้ มันต้องตายเสียก่อน
1 โครินธ์ 15:37-38
สิ่งที่ท่านหว่านไม่ได้หว่านเป็นรูปร่างต้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอย่างอื่น ท่านหว่านแค่เป็นเมล็ดเท่านั้นพระเจ้าทรงให้แต่ละต้นมีรูปร่างตามที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ประทานรูปร่างของต้นตามชนิดของมัน
1 โครินธ์ 15:39-40
ร่างกายนั้น ไม่เหมือนกันทั้งหมดร่างมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ก็อีกอย่างนกก็อีกอย่าง ปลาก็อีกอย่าง ดังนั้นมีร่างกายสำหรับสวรรค์และมีร่างกายสำหรับโลก ความงาม
สง่าของร่างกายสวรรค์ก็อย่างหนึ่งความงามสง่าของโลกก็อีกอย่าง
1 โครินธ์ 15:41
ความงามสง่าของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกอย่าง ดวงดาวก็อีกอย่าง ที่จริงแล้วความงามสง่าของดาวแต่ละดวงนั้นก็แตกต่างกัน
1 โครินธ์ 15:42-44
ร่างกายที่ถูกหว่านลงไปนั้นเน่าไปได้แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นมานั้นไม่เน่าเปื่อย. สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้น ไม่มีเกียรติแต่เมื่อฟื้นคืนชีวิตก็มีเกียรติศักดิ์ศรี
สิ่งที่ถูกหว่านนั้นอ่อนกำลัง แต่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาก็มีพลัง สิ่งที่ถูกหว่านลงไปเป็นกายมนุษย์ แต่สิ่งที่คืนชีวิตขึ้นมาเป็นกายวิญญาณถ้ามีกายมนุษย์ก็มีกายวิญญาณด้วย
อาดัมแรกกับอาดัมที่สอง
1 โครินธ์ 15:45-46
ดังที่มีเขียนไว้ว่า “อาดัม มนุษย์คนแรกมาเป็นผู้มีชีวิต”
กายแรกนั้น ไม่ใช่กายวิญญาณ แต่เป็นกายมนุษย์แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นกายวิญญาณ
1 โครินธ์ 15:47-49
มนุษย์คนแรกมาจากผงคลีดิน และเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินคนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์ผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์คนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้นและที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน เราก็จะมีลักษณะที่เหมือนมนุษย์สวรรค์เช่นกัน
ชัยชนะสุดท้ายของเรา
1 โครินธ์ 15:50
พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอบอกว่า เนื้อและเลือดไม่อาจมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าได้ หรือสิ่งที่เน่าผุพังก็ไม่อาจมี
ส่วนในสิ่งที่ไม่ผุพัง
1 โครินธ์ 15:51-52
ดูเถิด ข้ากำลังจะบอกเรื่องล้ำลึกให้เราจะไม่ล่วงหลับไปทุกคน แต่เราทุกคนจะถูกเปลี่ยนใหม่ในชั่วขณะ ในพริบตาเมื่อมีการเป่าแตรครั้งสุดท้าย เมื่อมีเสียงแตร คนตายก็จะฟื้นคืนชีวิตไม่เน่าไปแล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนใหม่
ความตายพ่ายแพ้
1 โครินธ์ 15:53-54
เพราะสิ่งที่เน่าผุพัง ต้องสวมด้วยสิ่งที่ไม่เน่า และสภาพที่ตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เน่าผุพังสวมด้วยสิ่งที่ไม่เน่าและสภาพที่ตายสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระคำที่บันทึกไว้จะสำเร็จเป็นจริงว่า “ความตายพ่ายแพ้ถูกกลืนหายไปด้วยชัยชนะ”
1 โครินธ์ 15:55-57
โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?
โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?
บาป เป็นเหล็กในของความตาย บัญญัติเป็นอำนาจของบาปแต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เหล่าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1 โครินธ์ 15:58
ดังนั้น พี่น้องที่รักของข้า จงมั่นคงไม่หวั่นไหว จงทำงานของพระเจ้าอย่างเต็มกำลังทุกเวลา ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าการลงแรงในการรับใช้ของท่านจะไม่เสียเปล่า
อธิบายเพิ่มเติม
การคืนพระชนม์ของพระเยซู
1 โครินธ์ 15:1-2
และแล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปยังสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศไปแล้ว และพี่น้อง ก็ได้ใช้ชีวิตติดตามข่าวนั้น ข่าวประเสริฐทำให้พี่น้องมีจุดยืนที่ชัดเจน มั่นคง จากคำเขียนของท่านทำให้เรารู้ว่า มีบางคนไม่ได้ยึดมั่นในคำที่ท่านสอน และทำให้ชีวิตของเขาขาดความเชื่อ
ข่าวประเสริฐไม่มีประโยชน์สำหรับชีวิตของคนแบบนั้นเลย
1 โครินธ์ 15:3-4
พระคำข้อนี้เป็นข่าวประเสริฐแบบย่อสุด สั้น ได้ใจความ เรียบง่าย ไม่คดเคี้ยวไปมา สมควรที่ เราจะจำไว้ให้ได้ต่อจากยอห์น 3:16 เป็นคำที่
บอกถึงแก่นของความเชื่อคริสเตียน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการสิ้นพระชนม์ การถูกเก็บในถ้ำเก็บศพ และการคืนพระชนม์เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์
ได้เขียนล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่ใช่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น แต่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าให้รู้ว่า พระเยซูองค์นี้คือ พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก
การปรากฏพระองค์ที่เห็นกันชัดเจน
1 โครินธ์ 15:5-6
การคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้น มิได้เป็นเรื่องเล่ามาเป็นตำนาน แต่พระองค์ทรงพิสูจน์ว่า ทรงคืนพระชนม์จริง เพราะทรงได้พบกับพี่น้องทั้งที่ใกล้ชิดและพี่น้องคนอื่น ๆ หลายร้อยคนให้เห็นเป็นประจักษ์พยานเพื่อพวกเขาจะได้เล่าคำพยานจากชีวิตจริงด้วยความมั่นใจว่า พระเยซูทรงคืน
พระชนม์มาแล้ว ด้วยว่ามีคนที่พยายามจะบิดเบือนการคืนพระชนม์มาโดยตลอดแม้กระทั่งทุกวันนี้
1 โครินธ์ 15:7-9
พระเจ้าพระบิดามิได้ทรงปล่อยให้เรื่องนี้ขาดพยานบุคคล พระเยซูผู้คืนพระชนม์จึงได้ปรากฏพระองค์ และสนทนากับอัครทูต น้องของพระองค์เองเช่นท่านยากอบ ซึ่งได้กลับใจมาเชื่อทีหลัง (ยากอบไม่ได้เชื่อพระเยซูในตอนที่ท่านยังอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเยซู)ในที่สุด พระเยซูทรงปรากฏพระองค์แก่ท่านเปาโลบนถนนสู่เมืองดามัสกัสด้วย (กิจการ 9:3-20)
1 โครินธ์ 15:10
ท่านเปาโลได้พบกับพระเยซูหลังจากอัครทูตและคนอื่น ๆ นานมาก ถึงกระนั้นท่านเองรู้ชัดว่า พระเจ้าทรงตั้งให้ท่านรับใช้พระองค์จริง ๆ ท่านได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคุณของพระเจ้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ได้เป็นคนเดิมที่ข่มเหงคริสตจักรอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นคนที่สร้าง
คริสตจักรและดูแล สร้างเสริมพระกายพระคริสต์ และเป็นคนที่ถูกข่มเหงจากพวกยิวอย่างรุนแรง
1 โครินธ์ 15:11
จะเป็นท่านเปาโลหรืออัครทูตท่านอื่น ๆ ต่างก็มีเนื้อหาข่าวประเสริฐเดียวกัน และเรียกร้องให้ผู้ฟังเชื่อและเชื่อฟังทำตาม คำที่ท่านบอกว่า
เราต่างประกาศแบบนี้ คำเดิมมีความหมายว่าเราประกาศแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้หยุด การประกาศดังกล่าวได้พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
ชีวิตมาจากพระเจ้า ผู้ฟังได้รับการเปลี่ยนชีวิตโดยพระคุณของพระเจ้า ทรงเปลี่ยนความคิด การกระทำของเราให้สอดคล้องกับพระทัยพระองค์
พระเยซูผู้คืนพระชนม์เป็นความหวังเดียวของเรา
1 โครินธ์ 15:12-13
เริ่มมีปัญหาแล้ว มีความคิดต่างออกไปจากข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศไป มีพี่น้องบางคนเชื่อว่า ในอนาคต จะไม่มีการฟื้นจากตายทั้ง ๆ ที่พระเยซู
ทรงคืนพระชนม์มาให้เห็นกับตา บางคนอาจคิดว่าพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ แต่คนอื่น ๆ จะไม่ฟื้นคืนชีวิต คนที่รับอิทธิพลกรีกรู้สึกว่า ถ้าจะเชื่อเรื่องการฟื้นจากตายของพี่น้องดูจะมากไป จึงตัดสินใจไม่เชื่อเสียดีกว่า แต่ท่านเปาโลไม่ยอม เพราะถ้าไม่เชื่อ เท่ากับไม่เชื่อเรื่องการคืนพระชนม์เช่นกัน
1 โครินธ์ 15:14-15
รู้ไหมว่า ความเชื่อของคริสเตียนนั้นเท่ากับศูนย์ หากพระเยซูคริสต์ไม่ได้คืนพระชนม์ เท่ากับเราติดตามคำบอกเล่าที่ไร้ค่า สิ่งที่ท่านเปาโลและอัครทูตประกาศ กลับกลายเป็นเรื่องโกหก ท่านกลายเป็นพยานเท็จเท่ากับไม่มีพระคริสต์ที่ฟื้นคืนพระชนม์ ตอนนี้ท่านกำลังจะสู้กับความเชื่อที่ทำลายตัวเองของพี่น้องในโครินธ์
1 โครินธ์ 15:16-17
การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นหลักประกันว่า เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ หากพระองค์ไม่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา เท่ากับพระองค์ไม่สามารถช่วยเราให้รอดได้ ดังนั้น การคืนพระชนม์ของพระเยซูจึงบอกเราว่า ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ ทรงชนะความตายแล้ว และพระองค์ทรงถวายชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชา ทรงจ่ายค่าจ้างของความบาปให้ผู้เชื่อทุกคนแล้ว และเราไม่อยู่ในบาปของเราอีกต่อไป บาปจึงไม่มีอำนาจเหนือเราอีก
1 โครินธ์ 15:18-19
เคยมีคนถามว่า ทำไมพระเยซูต้องคืนพระชนม์ขึ้นมาด้วย? เราจะเชื่อพระองค์เหมือนอย่างเชื่อเหล่าศาสดาในศาสนาอื่นไม่ได้หรือ? ไม่ได้เลย เพราะหากพระเยซูไม่คืนพระชนม์ เท่ากับพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พวกเราก็น่าเวทนาที่สุด ความจริงเรื่องการคืน-พระชนม์จึงสำคัญยิ่งต่อเรา พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตหลังความตายให้เราด้วย ชีวิตของเราไม่ได้จบอยู่เพียงแค่โลกนี้
ศัตรูตัวสุดท้ายที่ถูกทำลาย
1 โครินธ์ 15:20-21
โดยไม่ต้องพิสูจน์ด้วยเหตุผลใด ๆ อีก (อย่างในข้อที่บอกว่า พระองค์ทรงปรากฏแก่คนเป็นจำนวนมากและแก่อัครทูต และแก่ท่านเปาโลเอง)
ท่านจึงประกาศว่า พระเยซูทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว ความบาปที่อาดัมทำ ส่งผลให้มนุษยชาติต้องตายฉันใด การคืนพระชนม์ของพระเยซู ก็จะ
ทำให้ผู้เชื่อที่ตกในความบาป ซึ่งเหมือนคนตายแล้วได้ฟื้นชีวิตฝ่ายวิญญาณขึ้นมา และหากเขาตายไป วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงให้เขาได้ชีวิตคืนมาด้วย
1 โครินธ์ 15:22-23
อาดัมเป็นคนต้นของมนุษยชาติที่ทำให้คนทั้งโลกตกอยู่ในความตายเนื่องจากบาป พระเยซูคริสต์ทรงเป็นดั่งอาดัมคนที่สอง ซึ่งก็เป็นคนต้นของ
มนุษยชาติเช่นกัน และพระองค์ทรงทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้พระองค์ได้มีการคืนชีวิตขึ้นมาแม้ว่าทุกคนจะได้คืนชีพ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคืนชีพ
มาเพื่อได้ชีวิต เพราะคนที่ไม่เชื่อจะคืนชีวิตขึ้นมาเพื่อรับโทษ และยังมีชีวิตต่อไปในบึงไฟ อ่าน ยอห์น 5:29 และ โรม 5:12-13
1 โครินธ์ 15:24-25
สุดท้ายของวาระโลกเราก็คือ พระเจ้าจะทรงให้ทุกสิ่งในเอกภพมาสยบใต้พระคริสต์ (เอเฟซัส 1:10) พระเยซูจะทรงทำลายศัตรูทั้งสิ้นของพระบิดา ศัตรูที่พยายามจะเป็นหนึ่งเหนือพระองค์จะถูกพระบุตรทำลายสิ้น และพระบุตรได้ทรงปลดอำนาจของศัตรูจากการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน การต่อสู้ยังคงมีต่อไป แต่ผู้ชนะศึกครั้งนี้ทรงปรากฏพระองค์ให้เห็นชัดแล้ว (โคโลสี 2:15)
1 โครินธ์ 15:26-27
ท่านเปาโลทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่า ความตายคือศัตรู ทำไมล่ะ? เพราะมันทำให้เราไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้า หากพระเยซูไม่ชนะความ
ตายโดยการฟื้นคืนพระชนม์ เท่ากับความตายชนะ แต่.. มันไม่ชนะ ผู้ชนะคือพระเยซูคริสต์ ความตายเป็นศัตรูของมนุษยชาติ และพระเยซู
เสด็จมาเพื่อทำลายความตายนั้นโดยการสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ขึ้นมา และพระองค์จะทรงให้ผู้เชื่อในพระองค์ทุกคนฟื้นคืนชีวิตด้วย
1 โครินธ์ 15:28
ในขณะที่ศัตรูต้องการเป็นใหญ่เหนือพระเจ้า แต่พระบุตรของพระองค์ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือทุกสิ่งในเอกภพ กลับทรงเข้ามาอยู่ใต้พระดำริของพระบิดา นี่เป็นพระประสงค์ของพระบุตร จนกระทั่งพระองค์ทรงปราบศัตรูร้ายคือความตายแล้ว พระบุตรผู้มีความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระบิดา ทรงประสงค์ที่จะอยู่ใต้พระบิดา โดยยกพระบิดาสูงส่ง สูงสุด
ผลของการปฏิเสธความจริงเรื่องการคืนจากตาย
1 โครินธ์ 15:29
พี่น้องชาวโครินธ์มีพิธีที่ทำบัพติศมาให้กับคนตายทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่เชื่อในการคืนชีพ นับเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความเชื่อ เป็นพิธีของคนไม่
เชื่อพระเจ้า (ที่เขาทำพิธีบัพติศมาให้คนตายเพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้จะคืนชีวิตขึ้นมา) ท่านเปาโลไม่ได้เห็นด้วยกับพิธีนี้ แต่ท่านชี้ให้เห็นว่า
คริสเตียนชาวโครินธ์ขัดแย้งในตัวเองคนที่ตายไปนั้น ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว! (ลูกา 16:19-31)
1 โครินธ์ 15:30-31
ท่านเปาโลยอมเสี่ยงชีวิตไม่ว่าจะไปประกาศที่ใด ท่านเผชิญอันตราย ความเป็นความตายอยู่ทุกวัน เป็นเพราะว่า ท่านเชื่อว่า พระเยซูทรงคืน
พระชนม์ และการคืนพระชนม์นั้น ทำให้ท่านและพี่น้องผู้เชื่อจะได้ฟื้นจากตายในวันที่ พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที และความมั่นใจนี้ คือพื้นฐานความเชื่อของพวกเรา พระเยซูทรงพระชนม์ และสัมพันธ์กับเราทุกเวลา
1 โครินธ์ 15:32
การที่ท่านเปาโลเผชิญความยากลำบากต่าง ๆ ในการประกาศพระนามพระเยซูคริสต์อย่างเต็มใจ เพราะท่านรู้ว่า ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ยังไงถึง
ตายไปแล้ว วันหนึ่งจะฟื้นขึ้นมาอีกแน่ ไม่ใช่ตายแล้วตายเลย ท่านกล่าวถึงเหตุการณ์ในเมืองเอเฟซัส (กิจการ 19:21-41) คนที่ไม่มีความหวังใจในพระสัญญาของพระเจ้าก็ไม่ต้องสนใจการใช้ชีวิตเพราะมันไม่มีค่าอะไรนัก แค่กิน ดื่ม แล้วก็ตาย จบกัน
1 โครินธ์ 15:33-34
การที่ท่านเปาโลต้องใช้เวลามากในการให้เหตุผลว่าคริสเตียนควรมั่นใจในการคืนชีวิตเพื่อจะได้อยู่กับพระจ้าเป็นนิตย์ก็เพราะ พี่น้องในโครินธ์ไปคบคนที่ไม่เชื่อ คบคนที่เชื่อพระเจ้าแบบตามใจตัวเองเรื่องไหนชอบก็เชื่อ เรื่องไหนไม่ถูกใจก็ไม่เชื่อ การคบสนิทสนมกับคนเหล่านั้นทำให้ความเชื่อคริสเตียนอันหนักแน่นกลายเป็นอ้อลู่ลมคำเตือนของท่านยังเหมาะกับเราทุกวันนี้ด้วย
ร่างกายที่เต็มด้วยศักดิ์ศรี
1 โครินธ์ 15:35-36
คำถามที่เกิดขึ้นทำให้ท่านเปาโลต้องใช้คำว่า เจ้าคนโง่ กับคนที่ถาม และเป็นคำที่รุนแรงมากแล้วท่านก็ให้เหตุผลว่า สิ่งใดก็ตามที่จะงอกขึ้น
มาใหม่ได้นั้น มันต้องตายก่อน คำตอบชัดเจนคือมันต้องเน่าไปเสียแล้วจึงทำปฏิกริยาต่าง ๆทางชีวเคมี กับดิน อากาศ แล้วต้นใหม่ก็งอกขึ้นมา
ก่อนที่คริสเตียนจะได้คืนชีวิตขึ้นมา ก็ต้องตายเสียก่อน ด้วยวิธีการอย่างไร พระเจ้าเท่านั้น ทรงทราบ
1 โครินธ์ 15:37-38
ท่านเปาโลเปรียบเทียบร่างกายของคนเราว่าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ ซึ่งจงอกขึ้นมาตามชนิดของมัน เมื่อใดที่เราฝังผู้เชื่อในพระเจ้าก็เป็นคล้ายกัน
เรากำลังฝังร่างเมล็ดพันธุ์ที่จะงอกขึ้น ฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นร่างที่คืนชีพ! เราไม่ทราบว่า พระเจ้าจะทรงให้ร่างที่ฟื้นของเรานั้น เป็นอย่างไร
ขบวนการและปลายทางเป็นเรื่องของพระองค์ที่จะทรงทำอย่างเหนือธรรมชาติที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
1 โครินธ์ 15:39-40
จากข้อนี้ทำให้ราเข้าใจมากขึ้นตามการอธิบายของท่านเปาโลว่า ในบรรดาสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั้น (แม้ร่างของทุกร่างเมื่อตาย
กลายเป็นดิน หรือถูกเผาเป็นเถ้า และมีส่วนประกอบของแร่ธาตุต่าง ๆที่เหมือนกัน) แต่พระองค์ทรงให้ความแตกต่างของรูปร่างอย่างเห็นได้ชัดว่า คน นก ปลา ไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ร่างของสวรรค์ ก็แตกต่างจากร่างที่ใช้ในโลกนี้ด้วย
1 โครินธ์ 15:41
สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างให้นั้น ต่างมีเอกลักษณ์มีความงามในตัวของมันเอง ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น และนี่คือความมหัศจรรย์ที่พระเจ้าประทาน
ให้กับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง นี่เองทำให้เรารู้ว่า ความงามสง่าของร่างกาย มนุษย์ สัตว์ พืช ก็มีความแตกต่างกันไปด้วย เพราะพระเจ้าของเราทรงปัญญาเลิศล้ำ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความหลากหลายในธรรมชาติ
1 โครินธ์ 15:42
แล้วสิ่งมหัศจรรย์กว่าความงามสง่าของสิ่งต่าง ๆก็คือ ร่างที่เปื่อยเน่าไปแล้ว จะกลับคืนฟื้นใหม่โดยที่ไม่เน่าเปื่อยอีกต่อไป ร่างกายที่เติบโตและ
มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากคนที่แข็งแรงกลายเป็นคนหลังโกง เดินเชื่องช้า ร่างที่ขึ้นมาใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มันจะไม่มีการแก่ลงไป ไม่ทรุดโทรมไปแต่เป็นร่างที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา
1 โครินธ์ 15:43-44
อุปมาเรื่องเมล็ดนี้ ทำให้รู้ว่าร่างกายของมนุษย์นั้น เป็นสรีระแบบที่ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน และต้องตาย คำว่าหว่านนี้หมายถึงร่างบาปที่ถูกฝังดิน สำหรับผู้เชื่อแล้วเมื่อร่างนี้ตายไป สิ่งที่จะคืนชีพขึ้นมานั้นเป็นร่างที่แตกต่างออกไป ไม่เป็นเหมือนร่างกายที่อยู่ในดิน ท่านเปาโลกล่าวว่า ร่างที่ฟื้นคืนมาใหม่นั้นเป็นร่างที่เป็นกายวิญญาณ ไม่ใช่กายเดิมมีเกียรติศักดิ์ศรี ต่างจากร่างเดิมที่เน่าเปื่อยไป
อาดัมแรกกับอาดัมที่สอง
1 โครินธ์ 15:45-46
ร่างที่ฟื้นคืนชีวิตมาใหม่ของผู้เชื่อนั้น ไม่เหมือนร่างของอาดัมที่เป็นกายมนุษย์อีกต่อไป เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาอีกครั้งนั้น เราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นกายวิญญาณและไม่ตายอีกเลย ร่างใหม่นี้ไม่มีการอ่อนล้า หมดเรี่ยวแรงเหมือนกายมนุษย์ของเราในวันนี้ แต่เป็นกายที่ไม่มีอะไรจะทำร้ายได้ โรคต่าง ๆ ไม่อาจมาวอแวเวลาก็ไม่ทำให้ชราลง
1 โครินธ์ 15:47-49
ร่างเดิมแบบอาดัมนั้นมาจากผงคลีดินจริง ๆ ดูง่าย ๆ ว่าเมื่อฝังไป มันก็กลายเป็นดินชัดเจน แต่พระเยซูทรงมาจากสวรรค์ และพระองค์จะทรง
เปลี่ยนกายดินของเราให้เป็นกายสวรรค์ ซึ่งอย่างน้อยเราก็รู้บ้างว่าร่างแบบนั้นเป็นอย่างไร เมื่อพระเยซูคืนพระชนม์นั้น ดูเหมือนว่า กำแพงห้อง ประตูที่ปิดก็ไม่อาจกั้นพระองค์ให้เข้ามาในห้องได้ แล้วการเดินทางของพระองค์ ก็ไม่น่าจะเหมือนคนทั่วไป ลองไปอ่านเรื่องราวหลังคืนพระชนม์
ชัยชนะสุดท้ายของเรา
1 โครินธ์ 15:49-50
ทุกคนในกายมนุษย์ต้องตายไป ร่างแบบนี้ ชีวิตจิตใจที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในที่ ๆ มีแต่ผู้ที่รับการไถ่ พ้นจากบาป ซึ่งเป็น
อาณาจักรที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับคนที่รักและติดตามพระองค์
1 โครินธ์ 15:51-52
ข้อความนี้ เป็นเหมือนข้อสรุปของทั้งหมดในจดหมายถึงชาวโครินธ์ฉบับแรก เราหวังใจว่า ชีวิตร่างกายเราทุกคนจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น ผู้เชื่อในพระเจ้าจะคืนชีพขึ้นมาอะไรที่เกิดขึ้นกับพระเยซูก็จะเกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ด้วย เมื่อพระองค์ชนะความตาย เราก็จะชนะด้วย วันที่พระองค์เสด็จมานั้น ยังจะมีผู้เชื่อที่ยังไม่ได้เสียชีวิตไดัรับการเปลี่ยนเช่นกัน
ความตายพ่ายแพ้
1 โครินธ์ 15:53-54
ในอนาคต ร่างกายที่ต้องยอมต่อความตาย ต่อการเน่าเปื่อยนั้น จะไม่มีอีกต่อไป สิ่งที่มาแทนที่คือร่างกายอมตะที่มีเกียรติจากพระเจ้า เป็นร่างที่จะอยู่กับพระองค์ตลอดไปไม่จบสิ้นคำของท่านเปาโลนี้เอามาจากอิสยาห์ 25:8 ว่า“พระองค์จะทรงกลืนความตายเสียเป็นนิตย์” นี่เป็นขบวนการเปลี่ยนร่างเนื้อหนังให้เป็นร่างวิญญาณเพื่อว่าจะได้มีส่วนในอาณาจักรพระเจ้า
1 โครินธ์ 15:55-57
ความตายเป็นเหมือนแมลงที่เข้ามาต่อย ปล่อยเหล็กในเอาไว้ เหล็กในนั้นคือบาปที่ติดตัวมนุษย์ทุกคนอยู่ บัญญัติเป็นอำนาจของบาป บัญญัติ
ช่วยบอกให้เรารู้ว่า ไม่มีคนไหนเชื่อฟังพระเจ้าได้เต็มร้อย ธรรมชาติของมนุษย์คือ ทำบาปอยู่ร่ำไป เราทุกคนจึงสมควรที่จะต้องตายไป (โรม 6:23) โดยไม่มีการคืนชีพอีก แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระคำข้อนี้ย้ำว่า เราได้ชัยชนะความตายโดยพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 15:58
และด้วยความเชื่อมั่นที่ว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง ทำให้เรารับใช้พระองค์อย่างเต็มกำลัง ความท้อแท้ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่อาจเปรียบได้กับคำสัญญาที่ว่า การรับใช้ไม่มีเสียเปล่า. เราจึงยังยืนมั่น ไม่ยอมหวั่นไหว และในชีวิตให้ได้รับใช้พระเจ้าอยู่เสมอ ไม่ว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยใน
สายตาของมนุษย์หรือไม่ การงานของพระเจ้าที่ลงมือทำไปนั้น พระเจ้าทรงประกันว่าจะยั่งยืนไปถึงนิรันดรกาล
พระคำเชื่อมโยง
1* กาลาเทีย 1:11; โรม 5:2; 11:20
2* โรม 1:16; กาลาเทีย 3:4
3* 1โครินธ์ 11:2, 23; กาลาเทีย 1:12; สดุดี 22:15
4* สดุดี 16:9-11; 68:18; 110:1 อิสยาห์ 53:10 ลูกา 24:26; กิจการ 2:25
5* ลูกา 24:34; มัทธิว 28:17
7* กิจการ 1:3-4
8* กิจการ9:3-8; 22:6-11; 26:12-18
9* เอเฟซัส 3:7-8; กิจการ 8:3
10* อเฟซัส 3:7-8; ฟีลิปปี 2:13
13* 1เธสะโลนิกา 4:1415* กิจการ 2:24
17* โรม 4:25
18* โยบ 14:12
19* 2 ทิโมธี 3:12
20* 1 เปโตร 1:3; กิจการ 26:23
21* โรม 5:12; 6:23; ยอห์น 11:25
22* ยอห์น 5:28-29
23* 1 เธสะโลนิกา 4:15-17
24* ดาเนียล 2:44; 7:14,27
25* สดุดี 110:1; กิจการ 2
:34-35
26* 2 ทิโมธี 1:10; วิวรณ์ 20:14
27* สดุดี 8:6
28* ฟีลิปปี 3:2; 1โครินธ์ 3:23; 11:3; 12:6
30* 2โครินธ์ 11:26
31* 1 เธสะโลนิกา 2:19; โรม 8:36
32* 2 โครินธ์ 1:8; อิสยาห์ 22:13; 56:12
33* 1โครินธ์ 5:6
34* โรม 13:11; 1 เธสะโลนิกา 4:5; 1โครินธ์ 6:5
35* เอเสเคียล 37:336* ยอห์น 12:2442* ดาเนียล 12:343* ฟีลิปปี 3:21
45* ปฐมกาล 2:7; โรม 5:14; ยอห์น 5:21; 6:57
47* ยอห์น 3:31; ปฐมกาล 2:7; 3:19; ยอห์น 3:13
48* ฟีลิปปี 3:20
49* ปฐมกาล 5:3; โรม 8:29
50* ยอห์น 3:3,5
51* 1เธสะโลนิกา 4:15; ฟีลิปปี 3:21
52* มัทธิว 24:31
53* 2โครินธ์ 5:4
54* อิสยาห์ 25:8
55* โฮเชยา 13:4
56* โรม 3:20; 4:15; 7:8
57* โรม 7:25; 1ยอห์น 5:4
58* 2 เปโตร 3:14; 1โครินธ์ 3:8