1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด

ยอห์น 19 การตรึงที่กางเขน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
ทุกคนไม่รู้ว่า พวกเขากำลังทำอะไรกับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว

คำสั่งโบย!

พระเยซู.. ไม้กางเขน

สิ้นพระชนม์

เก็บพระศพ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำสั่งโบย
ยอห์น 19:1-2
สิ่งที่ปีลาตทำแล้วเหล่ายิวพอใจก็คือ สั่งเฆี่ยน การที่เขาสั่งเฆี่ยนอาจเป็นเพราะเขาต้องการปล่อยพระองค์ คือลงโทษแล้วก็ปล่อยได้ แต่เหล่าผู้นำยิวไม่ได้ต้องการอย่างนั้น การเฆี่ยนนี้จะใช้ทหารหลายคน คนหนึ่งโบยจนหมดแรงก็จะใช้อีกคนโบยต่อ ผู้ที่ถูกโบยจะเจ็บปวดมาก เพราะการเฆี่ยนอย่างนี้ จะใช้แส้ที่มีลูกเหล็กอยู่ตรงปลาย บางครั้งเหยื่อจะตายคาแส้เลย
ทหารสวมมงกุฎหนามให้พระองค์ ไม่ได้สวมดี ๆ แต่กดหนามเข้าไปให้แน่น หนามจะแทงเนื้อของพระเยซูอย่างแรง สวมเสื้อคลุมสีม่วงให้ ..​เป็นการเยาะเย้ยอย่างที่สุด กษัตริย์ที่มีมงกุฎเป็นหนาม
ยอห์น 19:3-5
พวกเขาเยาะว่า ขอต้อนรับกษัตริย์ชาวยิว แล้วยังตบพระพักตร์ ! ในเวลาเดียวกันปีลาตนำพระเยซูออกมาและประกาศว่า พระเยซูไม่มีความผิดอย่างที่ถูกฟ้อง นี่เป็นการประกาศซ้ำอีกครั้งว่า พระเยซูไม่มีความผิด สภาพของพระเยซูเวลานี้บอบช้ำอย่างหนัก แต่ยังไม่เป็นที่พอใจของพวกผู้นำศาสนาเหล่านั้น
ยอห์น 19:6-7
พวกเขา ร้องลั่นเมืองว่า ให้ตรึงพระเยซู ไม่ใช่พวกเขาเท่านั้นยังพาคนอื่น ๆ มาช่วยกันตะโกนเสียงดังด้วย ปีลาตเองไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เลย ..​ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่า เขาถูกใช้เป็นเครื่องมือให้สั่งประหารพระเยซู ขอแลกตัวนักโทษก็ไม่ยอม ทั้งโบยให้แล้วก็ไม่พอใจ การสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระเยซูอาจจะเป็นการยั่วเย้าเหล่าผู้นำเหล่านั้นเข้าไปอีก
จริง ๆ แล้ว พระเยซูทรงยืนยันว่า ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า และยังตรัสด้วยว่า ทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์เองตรัสก่อนหน้านี้ ในที่ต่าง ๆ หลายครั้ง
แต่ที่พวกเขานำข้อกล่าวหานี้มาใช้ เพราะพวกเขากำลังหลอกปีลาต เนื่องจากว่า ซีซาร์ถูกเรียกว่า เป็น บุตรของพระเจ้า ดังนั้นถ้าใครอ้างว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้าเท่ากับท้าทายองค์จักรพรรดิซีซาร ผู้นำศาสนาพยายามเร้าให้ปีลาตเห็นว่า พระเยซูควรถูกประหาร
ยอห์น 19:8-10
คราวนี้ปีลาตเห็นชัดว่า เขาจะปล่อยพระเยซูไปง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว พวกนี้เอาจริง และคงจะหาเรื่องจนตัวเขาเองอาจถูกปลดก็เป็นได้
เขาหันกลับมาถามพระเยซูจริงจังว่า พระองค์มาจากไหน… คงต้องการรู้ว่า มาจากพื้นที่ ๆ เป็นที่ซ่องสุมพวกก่อกบฎหรือไม่ หรือเขาอาจจะสนใจว่าพระองค์เป็นคนมาจากไหนจริง ๆ ..แต่พระเยซูไม่ทรงตอบ
เขาจึงโกรธและยังอ้างว่าเขามีสิทธิจะให้พระองค์เป็นอิสระหรือตายก็ได้
ยอห์น 19:11-12ก
แล้วพระเยซูในฐานะนักโทษ กลับทรงพิพากษาผู้ที่จับพระองค์มา รวมทั้งปีลาตเองด้วย พระองค์บอกให้เขารู้ว่า เขากำลังทำบาปอยู่ แต่เหล่าผู้นำยิวนั้นก็มีโทษบาปหนักกว่าปีลาต …​ และพวกเขาจะไม่พ้นโทษจากพระเจ้าแน่นอน
ตัวปีลาตเองต้องเข้าใจทุกอย่างที่พระเยซูตรัส เขาเข้าใจด้วยว่า พระเยซูไม่ได้ทำผิดอะไร อีกอย่างคือเขาอาจคิดว่า พระเยซูอาจเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ และสามารถจัดการกับเขาด้วยฤทธิ์ของพระองค์ ทางเดียวคือ เขาพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกครั้ง
ยอห์น 12ข
แต่เหล่าผู้นำยิวก็ไม่ยอมเช่นกัน พวกเขาขู่ปีลาตว่า หากปีลาตปล่อยพระเยซูเท่ากับเป็นศัตรูของซีซาร์ พวกนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องเอาชีวิตของพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ เพราะครั้งหน้าอาจจะยากกว่านี้อีก พวกเขายังยึดมั่นประเด็นที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ว่าเป็นการต่อต้านซีซาร์โดยตรง
ที่จริงแล้วปีลาตก็ไม่ได้ถูกกับซีซาร์สักเท่าไร เขาเองเคยก่อเรื่องมาแล้ว จากความโอหังของเขาเอง ตอนนี้ เขาก็เลยตกเป็นเบี้ยล่างของเหล่าผู้นำยิว…
ยอห์น 19:13-14
แล้วปีลาตจึงต้องถอย .. สั่งเอาพระเยซูไปตัดสินที่ลานซึ่งมีบัลลังก์พิพากษาตั้งอยู่ เป็นลานใหญ่ในป้อมอันโตเนีย วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา วันนี้ คือวันศุกร์(ดูข้อ 31)
ปีลาตกำลังจะต้องพิพากษาองค์พระเจ้ายิ่งใหญ่ที่วันหนึ่งจะกลับมาพิพากษาเขาอีกครั้ง … น่ากลัวจริง
คำที่ปีลาตกล่าวว่า นี่ไง กษัตริย์ของพวกเจ้านั้น เป็นคำประชดประชัน เพราะพระเยซูทรงสวมมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วง…​ และพระองค์ทรงอยู่ในสภาพที่เต็มด้วยเลือด รอยแผลเฆี่ยนและ รอยช้ำตามตัวมากมาย
ยอห์น 19:15-16
ถึงตอนนี้ ปีลาตจำเป็นต้องยกพระเยซูให้กับผู้นำยิว ทั้งที่รู้ว่า พระเยซูทรงบริสุทธิ์ เพราะว่า เขาอาจจะถูกผู้นำยิวเหล่านี้เล่นงานทีหลัง เอาไปฟ้องซีซาร์อีก เรื่องจะใหญ่โต เขาเองอาจต้องออกจากงาน ดังนั้น ชีวิตของพระเยซูจึงไม่สำคัญเท่ากับอาชีพการงานของเขา
เห็นไหมว่า ผู้นำยิวยินดีจะยอมรับกษัตริย์ต่างชาติเป็นกษัตริย์ของเขา มากกว่าที่จะยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็น องค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา

พระเยซู.. ไม้กางเขน
ยอห์น 19:17-18
พระเยซูจะต้องแบกกางเขนที่แสนหนักไปยังแดนประหารด้วยพระองค์เอง ทรงแบกลากไม้กางเขนไปถึงประตูเมือง แล้ว ซีโมนชาวซีรีน ได้มารับแบกไม้กางเขนต่อจากพระองค์ (มัทธิว 27:32)
แดนประหารอยู่ที่โกละโกธา เป็นพื้นที่ ๆ เหมือนกระโหลกคน ขบวนการตรึงนักโทษบนไม้กางเขน เป็นอีกช่วงเวลาที่เจ็บปวดสุดแสน ทั้งถูกตอกตะปูลงที่มือ เท้า และเมื่อเอาตั้งขึ้นก็มีการกระแทกที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นอยู่ในระดับที่ตายได้เลย.. เมื่อนักโทษจะหายใจก็ต้องขยับตัวขึ้นมาเพื่อจะได้อากาศเข้าไปในปอดได้ เป็นการเพิ่มความเจ็บปวดจากบาดแผลตะปูย้ำ ซ้ำ เข้าไปอีก
การประหารแบบนี้เป็นการคิดขึ้นของโรม เพื่อจะทรมานนักโทษให้ได้มากที่สุด นอกจากจะถูกประจาน โดยให้นักโทษเปลือยกายแล้ว พวกเขายังคิดว่าจะต้องให้ตายในความร้อนของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา
อาจใช้เวลาเป็นวันกว่าจะสิ้นใจ
เหมือนว่ายอห์นเป็นผู้เดียวในหมู่อัครทูตที่ได้อยู่ในการประหารครั้งนี้ ท่านไม่ได้เล่าอะไรที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากว่า ยังมีโจรอีกสองคนถูกตรึงข้างพระองค์ด้วย
ยอห์น 19:19-20
ปีลาตรู้ดีว่า เขาถูกมัดมือชก ดังนั้น เขาจึงเอากลับคืนบ้าง เป็นการแก้แค้นส่วนตัว โดยการเขียนป้ายบนไม้กางเขนว่า พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิว และก็ได้ผลเพราะยิวมาโวยวายอีก ขอเปลี่ยนคำ
ยอห์น 19:21-22
การทำป้ายเขียนข้อหาและชื่อนักโทษ เป็นประเพณีของโรม พวกยิวไม่พอใจเลยที่ปีลาตเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว เขียนอย่างนั้นเป็นการให้เกียรติมากกว่าประจาน พวกเขามายื่นคำขาดอีก แต่ทีนี้ปีลาตไม่สนใจแล้ว ไม่ตามใจต่อไป ที่ทำให้ขนาดนี้ก็มากเกินพอ ในหนังสือมาระโก 15 เล่ารายละเอียดว่า พระเยซูทรงถูกหยามอย่างไรบ้าง
ยอห์น 19:23-24
ตามประเพณีแล้ว เสื้อคลุมและเสื้อชั้นในของนักโทษ จะกลายเป็นของผู้ที่ประหารเขา แสดงว่า มีคนประหารพระเยซู 4 คน รายละเอียดนี้ ยังมีการพยากรณ์มาล่วงหน้าด้วย
สดุดี 22:18 บันทึกว่า พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้า… แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป คำเขียนนี้ ได้เกิดขึ้นจริงหลายร้อยปีต่อมา นี่คือพระคำของพระเจ้าที่มีพระเจ้าเป็นผู้เขียนจริง ๆ ดาวิดจะทราบได้อย่างไรว่า วันหนึ่งจะมีวิธีการประหารแบบนี้ด้วย
เราจะรู้ได้ว่า พระเยซูทรงคิดทรงอธิษฐานอย่างไรก็อ่านได้จากสดุดีบทนี้เช่นกัน
ยอห์น 19:25-26
การถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นความเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัสทั้งกับผู้ถูกตรึงและญาติพี่น้องที่เข้ามาอยู่ในแดนประหารนั้น ระหว่างอยู่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงแสดงความรักและห่วงใยมารีย์ ด้วยการให้ยอห์นรับเธอไปดูแล น้องชายของพระองค์ คงไม่ได้อยู่ที่นั่น และพระองค์ก็ทรงไว้ใจยอห์นมาก
ยอห์น 19:27-28
ยอห์นตอบรับคำขอของพระเยซูทันที เขาช่วยดูแลมารีย์ราวกับเธอเป็นมารดาของเขาเอง และคำตรัสที่ว่า เรากระหายน้ำ ก็ทำให้คำพยากรณ์ของดาวิดสำเร็จด้วย (สดุดี ​22:15, 42:2)

สิ้นพระชนม์
ยอห์น 19: 29-30
พระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์จะต้องดื่มจากถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้า พระองค์ถูกตรึงใกล้สิ้นพระชมน์ และได้ดื่มน้ำส้มนี้ลงไปด้วยจริง ๆ ตามที่เคยตรัสไว้
คำว่า สำเร็จแล้วที่พระองค์ตรัส เป็นคำที่มักจะเจอในใบเสร็จที่ประชาชนเสียภาษี สำเร็จแล้ว คือ ได้จ่ายค่าครบถ้วน เป็นคำที่แสดงด้วยว่า พระเยซูทรงมอบชีวิตของพระองค์ด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง ไม่ได้เกิดจากการบังคับของมนุษย์คนใด ถ้าพระองค์เป็นเพียงเหยื่อของเหล่าผู้นำยิว พระองค์จะไม่ตรัสคำแบบนี้แน่นอน
ยอห์น 19:31-32
ความกังวลของเหล่าผู้นำยิวยังไม่จบ พวกเขาต้องการเอาศพนักโทษลงมา ต้องการหักขาของทุกคนเพื่อทำให้คนที่ยังหายใจแผ่ว ๆ อยู่ได้ตายเร็วขึ้น จะแน่ใจว่าตายสนิท พวกเขาคงกลัวว่า พระเยซูไม่สิ้นพระชนม์จริง ๆ การหักขาของโรม คือการใช้ท่อนเหล็กตีลงไปที่ขาให้กระดูกแตก นักโทษจะไม่สามารถยืดตัวขึ้นเพื่อหายใจอีก เขาจะตายอย่างรวดเร็วเพราะหายใจไม่ได้
ถ้าเป็นกฎทั่วไปของโรม เขาจะปล่อยให้นักโทษตายช้า ๆ บนกางเขน ทิ้งไว้เป็นหลายวัน และให้นกแร้ง เหยี่ยมมาจิกกินร่างของพวกเขา
แต่สำหรับยิวแล้ว จะไม่ให้มีการทิ้งศพไว้ข้ามคืน เพราะเป็นการทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน นี่เป็นกฎที่โมเสสให้ไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23
ยอห์น 19: 33-35
และเมื่อทหารมาถึงร่างของพระเยซู พวกเขาพบว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เพื่อให้แน่ใจ จึงเอาหอกแทงที่สีข้าง และน้ำกับเลือดก็ไหลออกมาให้เห็นว่า พระองค์สิ้นแล้วจริง ๆ
คนที่เห็นและเป็นพยานคือยอห์นนั่นเอง
ยอห์น 19:36-37
ยอห์นเองได้บอกเราตั้งแต่บทแรก ๆ ว่า พระองค์คือลูกแกะของพระเจ้าที่จะมาเอาบาปของชาวโลกไป (ยอห์น 1:29)
พระเยซูคือลูกแกะแห่งพิธีปัสกาที่ถูกห้ามไว้ว่า “อย่าหักกระดูกของมันเลย” (อพยพ 12​:46)
นี่เป็นอีกตอนที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจากพระคัมภีร์เดิม

เก็บพระศพ
ยอห์น 19:38
โยเซฟคนนี้ เป็นสมาชิกสภายิว เป็นคนมั่งคั่ง และเขาไม่เห็นด้วยกับการพยายามประหารพระเยซูในครั้งนี้ (ลูกา 23: 50) เขารีบไปขอพระศพ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับพระศพอีก เขาต้องการเก็บพระศพไว้อย่างดี
ยอห์น 19:39-40
ส่วนนิโคเดมัสที่เคยมาพบพระเยซูยามค่ำ ก็เป็นผู้ติดตามพระเยซูมาโดยตลอด แต่ไม่ได้ออกตัวชัดเจน
เวลานี้ เขาเตรียมเครื่องหอมและสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ชโลมศพ เขาตั้งใจจะใช้ทั้งหมดนี้กับพระศพของพระเยซู ดูแล้วเป็นจำนวนมากมายทีเดียว
โดยจะมีการวางเครื่องหอมกระจายลงไปบนร่างของพระเยซู และใส่ลงบน แถบผ้ายาว ๆ เพื่อพันพระศพ
มียางเรซินที่ช่วยยึดผ้าให้ไม่หลุดออกมา
ยอห์น 19:41-42
อิสยาห์ 53:9 เขียนล่วงหน้าไว้หลายร้อยปีว่า “เขาถูกฝังร่วมกับเศรษฐี” เราทราบมาจากมัทธิวว่า ถ้ำเก็บศพแห่งนี้เป็นของโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย (มัทธิว 27:60)
ถ้ำเก็บศพนี้อยู่ใกล้ ๆ กับที่ ๆ เขาตรึงพระเยซู ทำให้พวกเขาสามารถเก็บพระศพได้ทันก่อนที่จะมีวันสะบาโตซึ่งเริ่มต้นตอนเย็นวันศุกร์พอดี โยเซฟเป็นคนจัดการให้เอาหินที่พิงไว้กลิ้งปิดปากถ้ำ โดยมีทหารยามมาช่วยผนึกหินให้แข็งแรงและเฝ้ายามด้วย
(จากมัทธิว 27:60-66)

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 20:19; 27:26
3* อิสยาห์ 50:6
4* ยอห์น 18:33,38
6* กิจการ 3:13
7* เลวีนิติ 24:16; มัทธิว 20:18; 26:63-66
9* อิสยาห์ 53:7
11* ลูกา 22:53; โรม 13:1
12* ลูกา 23:2
13* 1 ซามูเอล 15:24
14* มัทธิว 27:62
15* อิสยาห์ 53:3; ปฐมกาล 49:10

16* ลูกา 23:24
17* มาระโก 15:21-22; กันดารวิถี 15:36
18* สดุดี 22:16-18; มัทธิว 20:19; 26:2; อิสยาห์ 53:12
19* มัทธิว 27:37
23* ลูกา 23:34
24* สดุดี 22:18
25* มาระโก 15:40; ลูกา 24:18
26 * ยอห์น 13:23; 20:2; 21:7, 20, 24; 2:4
27* ยอห์น 1:11; 16:32
28* สดุดี 22:15
29* มัทธิว 27:48, 50
30* เศคาริยาห์ 11:10,11; ยอห์น 17:4

31* มาระโก 15:42; เฉลยธรรมบัญญัติ21:23; อพยพ 12:16
33* สดุดี 34:20
34* 1 ยอห์น 5:6, 8
35* ยอห์น 21:24; 20:31
36*อพยพ 12:46; กันดารวิถี 9:12; สดุดี 34:20
37* เศคาริยาห์ 12:10; 13:6
38* ลูกา 23:50-56; ​ยอห์น 7:13; 9:22; 12:42
39* ยอห์น 3:1,2; 7:50; มัทธิว 2:11
40* ยอห์น 20:5,7
42* อิสยาห์ 53:9; มัทธิว 26:12; มาระโก 14:8; ยอห์น 19:14,31