กิจการ 8 พระวิญญาณ ฟีลิป กับขุนนาง

จากร้ายกลายเป็นดี

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย

อธิบายเพิ่มเติม

ร้ายกลายเป็นดี
กิจการ 8:1-3
การสิ้นชีวิตของสเทเฟนส่งผลให้กับชุมชนคริสเตียนยุคแรกเป็นอย่างมาก ยังมีคนที่รักพระเจ้าซึ่งได้ช่วยทำศพของสเทเฟนอย่างมีเกียรติ
ศัตรูตัวร้ายสุดก็คือ เซาโลที่พยายามทำลายคริสตจักรของพระเจ้าเพราะความเชื่อมั่นว่า คริสเตียนกำลังทำผิดต่อพระเจ้าที่เขาเชื่ออยู่
เขาเห็นด้วยกับพวกยิวที่ประหารสเทเฟนโดยการใช้หินขว้างจนตาย ไม่ใช่ย่อยเลย เซาโลคนนี้ เขาน่าจะได้ยินคำอธิบายของสเทเฟนทั้งหมด (ในบทที่ 7) สิ่งที่เขาทำคือ การออกไปตามบ้านและลากตัวผู้เชื่อออกไปจำคุก ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้น แต่ทั้งผู้หญิงซึ่งต้องเป็นคนดูแลลูก ๆ ด้วย ได้ยินแค่ชื่อของเขาใคร ๆ ก็กลัวตัวสั่นแล้ว การข่มเหงของเซาโลและพรรคพวก ทำให้คริสเตียนหนีกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ประเทศอิสราเอล
กิจการ 8:4-8
แต่คนที่ย้ายถิ่นไปนั้น ไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปตามทาง ทั้ง ๆที่หนีออกมาเพราะกลัวตาย แต่กลายเป็นว่า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลับได้ถูกเผยแผ่ไปทั่วอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาหว่านพระคำของพระเจ้าไปทุกแห่งที่เขาหนีไปอยู่ ในขณะที่คนยิวทั่วไปมองคนสะมาเรียเป็นลูกครึ่งที่น่ารังเกียจ คริสเตียนกลับมองพวกเขาเป็นพี่น้องที่ต้องการพระเจ้าเหมือนกับพวกเขา
ที่สำคัญคือ ฟีลิป หนึ่งในอัครทูตก็ได้ไปประกาศที่สะมาเรียทางเหนือด้วย ปรากฏว่า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ผ่านเขามากมาย ผู้คนต่างตื่นเต้นและได้รับการช่วยเหลือมาก คิดดูสิ คนง่อยเดินได้ คนผีสิงก็เป็นอิสระ นี่เป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว พวกเขาไม่เคยเจออะไรที่มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะมีพวกพ่อมด หมอผีอยู่ในเมืองของพวกเขา ผู้คนในเมืองต่างพากันยินดียิ่งนักกับเหตุการณ์เหล่านี้
กิจการ 8:9-13
ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นคนทำวิทยาคม ซีโมนสนใจหมายสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติ ซีโมนคนนี้ถูกมองว่า เป็นคนมาจากพระเจ้า อำนาจของเขาที่ใคร ๆ เห็นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากศัตรูของพระองค์
ซีโมนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู เขาก็กลับใจพร้อมกับชาวเมืองหลายคน และรับบัพติศมาประกาศว่าเขารับเชื่อพระเยซูด้วย
กิจการ 8:14-17
เมื่อผู้ใหญ่ในชุมชนคริสเตียนได้ข่าวเรื่องการรับเชื่อของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ชาวยิวจงเกลียดจงชัง พวกเขาจึงส่งยอห์นและเปโตรให้ไปอธิษฐานเพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า .. เราไม่ทราบว่า การที่พวกเขารับพระวิญญาณนั้น มีอะไรเป็นเครื่องบอกว่า เขาได้รับแล้ว น่าจะเป็นของประทานฝ่ายพระวิญญาณต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างชุมชนคริสเตียนขึ้นในเขตสะมาเรีย
กิจการ 8:18-20
ต้องมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นจากการรับพระวิญญาณครั้งนี้ เพราะซีโมนได้เห็นว่า เมื่อคนรับพระวิญญาณชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาจึงอยากได้พระวิญญาณแบบที่อัครทูตมีด้วย ความต้องการดี แต่แรงจูงใจของซีโมนนั้นน่าชังมาก เป็นคนที่เฉียบแหลมในการหาเงิน เขาจึงมาขอลงทุนซื้อฤทธิ์แห่งพระวิญญาณจากอัครทูต!! เขาเข้าใจว่าพระวิญญาณเป็นพลังที่ซื้อขายได้ เขาต้องการเป็นผู้ควบคุมพระวิญญาณเพื่อจะได้กำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
ความเข้าใจผิดของซีโมนยังคงมีอยู่ในพี่น้องทุกวันนี้ หลายคนไม่เข้าใจว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือองค์พระเจ้าเอง พระองค์ไม่ใช่พลังทางฟิสิกส์ที่เราจะเอามาทดสอบ หรือควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ จึงมีการสร้างบรรยากาศการรับพระวิญญาณที่มาจากการปรุงแต่ง สร้างบรรยากาศที่ดูหวือหวาสารพัดแบบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรู้จักสังเกตว่า อะไรจริง อะไรเท็จ เมื่อพระวิญญาณทรงประสงค์จะทำให้ใครรู้จักพระเจ้า ให้เขาสำนึกผิด พระองค์จะทำตามพระทัยนั้นโดยที่เราไม่ทราบว่า พระองค์ทรงทำอย่างไร เมื่อไร อย่างที่พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณกับลม (ยอห์น 2:7-8)
เราได้รับพระวิญญาณและของประทานจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ในเวลาที่พระองค์ทรงเห็นสมควรสำหรับแต่ละคน
กิจการ 8:21-25
เปโตรจัดการเรื่องนี้ทันที ไม่ปล่อยให้มีการเล่าลือกันไปในหมู่พี่น้อง ท่านบอกซีโมนตรง ๆ ว่า เขาจะพินาศแน่ถ้าคิดอย่างนี้ …​
ใจของซีโมนไม่ถูกต้อง ..ในสายพระเนตรของพระเจ้า
 น่าสนใจคำนี้ เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า ใจของเราถูกต้องกับพระองค์หรือเปล่า
เราจำเป็นต้องสำรวจตัวเอง
แล้วเปโตรก็ให้โอกาสกับเขากลับใจใหม่ อธิษฐานขอพระเจ้าทรงยกโทษ ท่านสังเกตวิญญาณได้ว่า ในตัวของซีโมนนั้น แม้ว่าจะเข้ามาเชื่อพระเจ้า ติดตามฟีลิปอยู่ แต่ในใจของเขายังมี ความขมขื่นใจงอกอยู่ และยังความผิดบาปตกค้างอยู่ด้วย เป็นบาปและความขมขื่นที่ยังไม่ได้จัดการให้สิ้นซาก
ซีโมนได้รับบัพติศมา รับเชื่อและประกาศว่าเขาเป็นผู้เชื่อแล้วก็จริง เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขาติดตามพระเจ้าแล้วก็จริง แต่ไม่มีใครเห็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเขาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ที่ท่านลูกาได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ทำให้เราเองต้องสำรวจตัวเองด้วยว่า ยังมีความบาป ความขมขื่นที่ตกตะกอนอยู่ในชีวิตหรือไม่ เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระเจ้าเต็มร้อย
แล้วซีโมนก็ได้กลับใจอีกระดับ เขาเข้าใจแล้ว ..​ความรักเงินของเขา บาปที่ยังค้างคาอยู่จะทำให้เขาพินาศ เขาจึงขอที่จะกลับใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้
ดินแดนสะมาเรียที่ขาดพระกิตติคุณ ในเวลานี้ก็ได้รับฝนแห่งพระกิตติคุณโปรยลงในแผ่นดินเพราะการที่พี่น้องกระจัดกระจายออกไปเนื่องจากการข่มเหงของเซาโล

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย
กิจการ 8:26-28
พระวิญญาณทำการของพระองค์โดยทรงให้กำลังกายใจ โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียน ตามคำของพระเยซูในกิจการ 1:8 ที่พวกเขาจะได้ออกไปประกาศจากเยรูซาเล็มไป ยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดิน
จากสะมาเรีย พระวิญญาณทรงสั่งให้ฟีลิปออกไปตามถนนที่ลงไปทางใต้
บนถนนนั้น ฟีลิปพบขุนนางชาวเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ผิวดำ ในสมัยนั้น คนยิว คนโรมจะชื่นชอบคนเอธิโอเปียมาก ( จากหนังสือ Acts:John Knos Press, หน้า 72) เขาเป็นขุนนางและเป็นขันทีด้วย แต่เขาเป็นคนที่ในสายตาของยิวคือ คนสุดปลายแผ่นดิน … เขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ รถวิ่งไปก็ขยับขลุกขลักไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้เป็นอุปสรรคกับการอ่านเลย
กิจการ 8:29-31
พระวิญญาณทรงทำการของพระองค์ต่อไป ทรงสั่งให้ฟีลิปเข้าไปใกล้ ๆ จนได้ยินเสียงที่ขุนนางกำลังอ่าน .. โอ เป็นพระธรรมอิสยาห์นั่นเอง แสดงว่าท่านได้หนังสือม้วนนี้มาใหม่ จากเยรูซาเล็มแน่เลย ..
ฟีลิปถามท่านตรง ๆ ว่า อ่านแล้วเข้าใจไหม ..​เขาก็ไม่ได้อวดตัวสักนิด แต่ยินดีที่จะให้คนรู้ อธิบายให้ฟัง เขาคนนี้น่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเอธิโอเปีย เพราะทั้งฉลาดและพร้อมที่จะเรียน… ขุนนางผู้ดูแลการคลังในวังกำลังจะได้เรียนจากลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
เขาเป็นคนต่างชาติที่เพิ่งกลับจากการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็ม เขาเป็นหนึ่งในคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นขันทีด้วย ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นคนต้องห้ามในกฎของโมเสส คือชายที่ถูกตัดอวัยวะสืบพันธ์ุไม่ให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:1) ชายคนนี้ เป็นทั้งคนต่างชาติ เป็นคนที่มีอวัยวะผิดปกติ แต่พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับเขาเป็นลูกของพระองค์
กิจการ 8:32-34
สิ่งที่เขาสงสัยคือ ผู้เขียนอิสยาห์เขียนถึงตัวเองหรือเขียนถึงผู้อื่นกันแน่ แกะที่ไม่ปริปากนี้หมายถึงใคร ในสมัยโบราณ การเล่าเรื่องมีการใช้คำเปรียบเทียบเยอะมาก ซึ่งทำให้คนที่อ่านจะต้องไขปริศนาว่า ใครเป็นใครในเรื่อง เป็นโอกาสดีที่ฟีลิปจะบอกเขาว่า ท่านอิสยาห์กำลังพูดล่วงหน้าถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปไม่นานนี้ แล้วใครจะเป็นคนอธิบายพระกิตติคุณไปได้ดีกว่าคนที่อยู่กับพระเยซูมาหลายปีเช่นฟีลิป?
กิจการ 8:35-39ก
น่าประหลาดมาก พวกเขากำลังเดินทางในทะเลทราย แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูจับใจขุนนาง และเขาพร้อมที่จะรับเชื่อ พร้อมประกาศว่าเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู พระเจ้าได้จัดเตรียมบ่อน้ำให้เขาทั้งสองในเวลานั้น เป็นธารน้ำที่ร้างห่างไกล นี่เป็นการอัศจรรย์สำหรับการประกาศให้กับชาวอัฟริกันคนแรกนี้
กิจการ 8:39ข-40
พอรับบัพติศมาเสร็จ ทั้งสองขึ้นจากน้ำ พระเจ้าก็ทรงรับฟีลิปไปเลย ..​แน่นอน พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสอนขุนนางผู้แสวงหาพระเจ้าคนนี้ต่อไป ตามคำสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระวิญญาณจะทรงสอนให้รู้ทุกสิ่ง เขาเดินทางกลับประเทศอย่างมีความสุขล้น มีเรื่องราวนอกพระคัมภีร์เล่าต่อว่า เขาผู้นี้ได้ประกาศพระนามพระเจ้าให้กับคนในประเทศของเขาต่อไปด้วย 
ส่วนฟีลิป ไปโผล่ที่เมือง อาโซทัส ประกาศที่นั่น และเดินทางขึ้นเหนือจนถึงซีซาริยา

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 8:4; 11:19
2* ปฐมกาล 23:2
3* ฟีลิปปี 3:6
4* มัทธิว 10:23
5* กิจการ 6:5; 8:26,30
7* มาระโก 16:17
9* กิจการ 8:11; 13:6; 5:36
12* กิจการ 1:3; 8:4
14* กิจการ 5:12, 29, 40
15* กิจการ 2:38; 19:2

16* กิจการ 19:2; มัทธิว 28:19; กิจการ 10:48;19:5
17* กิจการ 6:6. ;19:6
20* มัทธิว 10:8; กิจการ 2:38; 10:45; 11:17
21* เยเรมีย์ 17:9
22* 2 ทิโมธี 2:25
23* ฮีบรู 12:15
24* ยากอบ 5:16
26* กิจการ 6:5

27* สดุดี 68:31; 87:4; ยอห์น 12:20
32* อิสยาห์ 53:7-8; ยอห์น 12:20
33* ลูกา 23:1-25; 213:33-46
35* ลูกา 24:27 
36* กิจการ 10:47;16:33
37* มาระโก 16:16; มัทธิว 16:16
39* เอเสเคียล 3:12,14
40* กิจการ 21:8

1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด

ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก

นิโคเดมัสกับการเกิดใหม่

พระเยซูทรงอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า

ยอห์นผู้ให้บัพติศมายกย่องพระเยซู

อธิบายเพิ่มเติม

ยอห์นบทที่ 3

1-10 การสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส
11-21  พระเยซูอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า               
22-36  คำพยานของยอห์นเรื่องพระคริสต์
ยอห์น 3:1-3
จาก ยอห์น 2:23 -24 เราจะเห็นว่า มีคนมากมายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูแล้วพวกเขาก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้วางพระทัยในคนเหล่านั้นเลย  นิโคเดมัสเป็นคนหนึ่งในนั้น  แต่เขาไม่อยู่นิ่งเฉย เขาต้องการรู้ ต้องการเข้าใจมากขึ้น   เพราะเขาเป็นฟาริสี เป็นคนใหญ่โต อยู่ในสภาปกครองของยิว  เขามาหาพระเยซูเวลากลางคืน
เขาเริ่มต้นด้วยคำที่บอกให้เรารู้ว่า มีฟาริสีคนอื่น ๆ ด้วยที่ยอมรับว่าพระเจ้าสถิตกับพระเยซูจริง เพราะว่าทรงทำการอัศจรรย์   เขาเรียกพระองค์ว่าอาจารย์  
แต่พระเยซูไม่ได้สนทนาตอบคำชมเชยของเขา  พระองค์กลับตรัสว่า หากคนใดไม่บังเกิดใหม่ ก็จะไม่อาจเห็นอาณาจักรพระเจ้า   นี่เป็นคำสนทนาแทงใจ  คำตรัสของพระเยซูพูดให้ชัดง่าย ๆ คือ “ นิโคเดมัส  ท่านต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนท่านใหม่  เปลี่ยนจากเบื้องบน ขุดรื้อถอนความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เอาออกไปให้หมดและใส่ความคิดของพระเจ้าเข้าไป”
ในฐานะที่เป็นฟาริสี เขามีพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเราต้องทำดีตามกฎพระเจ้าจึงจะพอใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้าซึ่งทรงเป็นเจ้าของอาณาจักร
 คำว่าเกิดใหม่ ในภาษากรีกว่า อะโนเทน มีสามความหมายคือ 
1.ทำใหม่อีกครั้ง  2.เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น 3.ยังมีความหมายว่า จากเบื้องบน 

ยอห์น 3:4-6
จากคำตอบของนิโคเดมัส แสดงว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส   นิโคเดมัสเข้าใจว่าการเกิดใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึง เป็นการเกิดใหม่ด้วยการเกิดในท้องแม่อีกครั้ง    แต่พระเยซูทรงมีความหมายว่า การเกิดใหม่นี้คือการเปลี่ยนชีวิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับการชำระให้สะอาดจนเหมือนเกิดใหม่    นิโคเดมัสทำเองไม่ได้  เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานชีวิต ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ การประพฤติอย่างสุดขีด แบบถอนรากถอนโคน
พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ทรงหมายถึง การเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ  น้ำในที่นี้หมายถึงการได้รับการชำระให้สะอาด    ดู เอเสเคียล 36:24-27  เราเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า เพื่อให้พ้นจากมลทิน เราจะใส่วิญญาณใหม่
ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ  ที่เขาเกิดมาจากท้องแม่จนเข้าวัยชรานี้ ยังเป็นเนื้อหนังอยู่   นิโคเดมัสต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณ    จะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณได้ 

ยอห์น 3:7-9
พระเยซูทรงอธิบายต่อว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าใหม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้ว่า มันเกิดอย่างไร รู้แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น   
มนุษย์ไม่สามารถควบคุมลมที่พัดมาได้ และมองไม่เห็นลม  แต่ก็จะเห็นผลที่ได้เมื่อลมพัดมา   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เราไม่อาจควบคุมพระองค์ หรือเห็นพระองค์ได้  
ความรอดของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  (เอเสเคียล 37)   เมื่อพระวิญญาณทรงทำราชกิจในชีวิตใครแล้ว  คนรอบข้างจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน  เป็นหลักฐานว่าพระเจ้าได้ทรงทำการในชีวิตของเขาแล้ว
ความรอดเป็นการเริ่มต้นจากพระวิญญาณ (ยอห์น 6:44-45)  และคนที่ตอบรับพระองค์ก็ตอบโดยการเชื่อและกลับใจสำนึกผิด  (ยอห์น 1:12, 3:16-18)
เมื่ออ่านหนังสือยอห์นต่อไป เราจะเห็นว่า ยอห์นเน้นพระวิญญาณและราชกิจของพระองค์ชัดเจนมาก  (ยอห์น 14:17,25-26, 16:7-15)

ยอห์น 3:10-11
ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล  แสดงว่า นิโคเดมัสเป็นอาจารย์มีชื่อเสียง ใหญ่โตทีเดียว  คำของพระเยซูทำให้เห็นว่า   พวกอาจารย์ชาวยิวทั้งหลายไม่มีความเข้าใจพระคัมภีร์เดิมเรื่องการชำระวิญญาณให้สะอาด
จาก เอเสเคียล 36:24-27 
แต่ที่เราไม่ค่อยเข้าการสนทนาครั้งนี้  พวกเราเป็นคนไทยเกิดมากับความคิดอีกแบบ พอได้ยินว่าเกิดใหม่ อาจไปคิดถึงการเกิดใหม่ในชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึง
แต่การที่นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระเยซู เป็นเพราะเขายังไม่เชื่อพยานของพระองค์จริงจัง
พวกท่านไม่รับคำพยานของเรา  นั่นคือ ทั้งนิโคเดมัสและฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ยอมรับพระองค์ 

ยอห์น 3:12-15# พระบุตร
ในหนังสือกันดารวิถี 21:4-9  ชาวยิวในถิ่นกันดารได้ประสบกับการพิพากษาของพระเจ้า  พวกเขาบ่นว่าโมเสส เกลียดมานา ไม่มีน้ำ ไม่มีขนมปัง พระเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดคนตายมากมาย  พวกเขาจึงขอให้โมเสสอธิษฐานขอพระเจ้าเอางูออกไป
พระเจ้าทรงให้โมเสสทำเสา และติดงูทำจากทองสัมฤทธิ์ไว้บนเสา  คนที่ถูกงูกัดเมื่อมองงูสัมฤทธิ์จะมีชีวิตอยู่
งูสัมฤทธิ์นั้น เป็นเครื่องหมายของบาปที่ถูกพระเจ้าจัดการ หลายพันปีต่อมาจากวันนั้นพระเยซูจะต้องแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกและถูกพิพากษาเพราะบาปนั้นโดยพระบิดา
ชีวิตนิรันดร์  ในกรีกคือ โซเอ  หมายถึงชีวิตที่ฟื้นขึ้นมา  ชีวิตในอนาคต ในยุคใหม่ เป็นชีวิตของพระเจ้า

ยอห์น 3:16-17  #พระบิดา
ยอห์น 3:36 มีความหมายเดียวกับยอห์น 3:16 
ในข้อนี้ ทุกคำสำคัญหมด  พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และส่งพระเยซูมาบังเกิด สิ้นพระชนม์บนกางเขน และคืนพระชนม์    เป็นความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้  เพราะมนุษย์ชั่วร้าย เลวชาติ   ปฏิเสธความจริง  คำของพระองค์อาจทำให้นิโคเดมัสผงะก็เป็นได้  เพราะยิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว  นี่เป็นคำที่ยิวไม่คาดว่าจะได้ยิน  รักของพระเจ้าเป็นอย่างนี้
                        พระเจ้าทรงรักโลก   พระเจ้าทรงรักคริสตจักร  พระเจ้าทรงรักฉัน 
ยอห์น 3:16               เอเฟซัส  5:25            กาลาเทีย 2:20
(กาลาเทีย 2:20 “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”)
พระเจ้าทรงรักเราโดยพระองค์ต้องจ่ายราคาแลกมาที่แพงสุดจักรวาล  คือพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  พระบุตรองค์นี้ สัมพันธ์สนิทกับพระบิดามาเป็นนิรันดรกาล  พระเจ้าทรงไม่ทรงโหดร้ายที่จะให้มนุษย์พินาศ แต่เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์   บาปเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาทรงธรรมจะต้องพิพากษาโทษ   พระองค์ทรงเปิดทางให้เราพ้นจากการลงโทษนั้น  โดยการตัดสินใจที่จะหนีเข้ามาทางพระเยซู
ความพินาศที่พูดถึงนี้คือ การพ้นไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดไป   แต่พระเจ้าเองไม่ได้ทรงต้องการเช่นนั้น ทรงยินดีที่คนชั่วร้ายกลับมาหาพระองค์ (เอเสเคียล 18:23) โลกตกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้าเพราะโลกตกจากเป้าหมายที่ควรจะไปให้ถึง (ยอห์น 3:36, โรม 1:18)
 เมื่อคนใดเชื่อพระเจ้า ก็จะได้เกิดใหม่ คือรับการเปลี่ยนแปลงใหม่  ได้รับชีวิตนิรันดร์ และความรอดพ้นบาป แต่ยังมีอีกทางเลือกคือ พินาศ (10:28)  เสียชีวิตของตน (12:25) และถูกทำลายไป (17:12)

ยอห์น 3:18-19 # มนุษยชาติ
คนที่เชื่อพระเยซูจะหนีจากการพิพากษาโทษได้  โรม 8:1 ยอห์น 5:24    แต่คนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินเสร็จแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีได้  3:36  การตัดสินไม่ได้รอจนเขาตายก่อน  เราทุกคนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินและถูกลงโทษไปแล้ว   เมื่อเราเดินทางผิด และเห็นป้ายให้เดินไปทางถูกแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง เท่ากับว่า ยังมุ่งหน้าไปหาปลายทางที่ไม่ใช่   หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังเดินทางผิด ยากสำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนทาง

คนยิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัมก็รอด แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสเช่นนั้น  จะได้ความรอดต้องเชื่อ!   หากไม่เชื่อในพระนามพระเยซูองค์นี้ ก็จะพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับคนที่ต้องตายเพราะงูพิษ    ตรงนี้มีความชัดเจน แตกต่างระหว่าง เชื่อกับไม่เชื่อ…
การปฏิเสธความสว่าง หรือความเข้าใจเรื่องพระบิดาและพระบุตรนี้  ก็เท่ากับปฏิเสธพระเยซูโดยตรง ที่พวกเขาไม่เลือกความสว่าง เพราะไม่ชอบสว่าง สว่างทำให้เห็นความชั่วของตน  มนุษย์ยังอยากรู้สึกดีทั้งที่บาป 

ยอห์น 3:20-21    # มนุษยชาติ
 คนทำชั่ว ไม่ใช่แค่รักความมืด แต่เขาเกลียดความสว่างด้วย  คำว่าคนชั่วในที่นี้หมายความถึงคนที่ไร้ค่า  เมื่อพระเยซูมา เมื่อความสว่างเข้ามา เขาจะเห็นความไร้ค่าของชีวิตตนเอง ไม่มีเป้าหมายชีวิต  ไม่มีอะไรดี ๆ รออยู่ในอนาคต  ชีวิตขึ้นอยู่กับยถากรรม ไปตามบุญตามกรรม เขาทนไม่ได้ที่สว่างจะมาบอกเขาอย่างนั้น 
ทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อพระเจ้า  อย่ามายุ่งกับพี่เลย พี่ขอไปตามทางเดิมนี้     โอย ฉันไม่ชอบพวกคริสเตียน   ฉันดีแล้ว ศาสนาที่มีอยู่ก็สอนให้ฉันเป็นคนดี    เฮ้ย ฉันเป็นคนไทยนะ  จะให้ไปเชื่ออย่างอื่นได้ไง       ไม่เอาหรอก ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เที่ยวอย่างเคย     จะเชื่อพระเจ้าได้ไง  ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความทุกข์ในโลกมากมาย  ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะซ่อนความดื้อดึงต่อพระเจ้า  เหตุผลแท้จริงคือ พวกเขาไม่ต้องการความสว่าง
แต่คนที่มาหาพระเจ้า เขาพร้อมที่จะให้คนเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเพราะพึ่งพระปัญญาของพระเจ้า พึ่งความมหัศจรรย์ พลังของพระองค์  ยอมถ่อมตนรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าชีวิตเขา  เขายอมรับว่า เป็นคนบาปต่อพระพักตร์ของพระเจ้า   เขาต้องการให้พระองค์อภัยบาปให้   ทัศนคติของคนที่มีต่อความสว่างนั้น  เป็นของคนใจถ่อมยอมรับว่าช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้

ยอห์นยกย่องพระเยซู

ยอห์น 3:22-24
พระเยซูทรงรับใช้ประชาชน และในเวลาเดียวกัน ทรงอยู่กับศิษย์ด้วย  ทรงใช้เวลากับพวกเขา เรารู้มาจากยอห์น 4:2 ว่า การให้บัพติศมานั้น ศิษย์ของพระเยซูเป็นผู้ทำให้ พระเยซูไม่ได้ทรงทำเอง การทำบัพติศมานี้ เป็นสัญลักษณ์ว่า บุคคลผู้นั้นกลับใจ และยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณที่ทรงสอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของยอห์นไม่ค่อยสบายใจตามประสามนุษย์   พระเยซูทรงมาทีหลังแต่ดูเหมือนจะดังกว่ายอห์น 

ยอห์น 3:25-26
อาจมีการทุ่มเถียงกันว่าพิธีชำระบาปแบบไหนมันใช้ได้ แบบยอห์นคือให้บัพติศมาหรือแบบของยิว
(เมื่อเป็นมลทินก็ไปอาบน้ำ ตามกฎบัญญัติโมเสส)   แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ยอห์นได้ทราบว่า พระเยซูทรงให้บัพติศมา และผู้คนหันไปหาพระองค์แทนที่จะมาหายอห์น  ศิษย์ของยอห์นตกใจเหมือนกันที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น  แต่ยอห์นไม่ได้กังวลสักนิดเขารู้หน้าที่  บทบาทของตนดี   ศิษย์ของยอห์นเคยได้ยินคำพยานของท่านที่ว่า พระเยซูทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:19)

ยอห์น 3:27-30   
พวกศิษย์คิดง่าย ๆ อย่างคนทั่วไป  แต่ยอห์นกลับดีใจ เพราะเขาไม่ใช่คู่แข่งของพระเยซู  พระองค์จะต้องเป็นหนึ่ง
เขาบอกให้รู้ว่า ทุกตำแหน่งในโลกนั้นมาจากพระเจ้าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยอห์นกล่าวชัดเจนว่า สถานภาพของทุกคนมาจากพระเจ้า!
เขาแจ้งให้ศิษย์รู้ว่า เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ถูกส่งมาเตรียมทางให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม องค์พระเมสสิยาห์หรือองค์พระคริสต์ เขาเป็นเสียงในถิ่นกันดารที่เตรียมทาง (อิสยาห์ 40:3)
สุดท้าย เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีใจมากเมื่อเห็นเจ้าบ่าว  เมื่อคนไปหาพระเยซูเขาดีใจเพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างพระองค์ เขาไม่อาจให้ความรอดกับผู้คนได้ ยอห์นดีใจที่เขาเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าว ที่คอยรับใช้ ยอห์นเป็นต้นแบบของชีวิตเราได้อย่างดี  จริงไหม  เราพูดได้ไหมว่า ฉันต้องต่ำลง ให้เธอสูงขึ้น?

ยอห์น 3:31-33
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา  บอกทุกคนชัดเจนว่า พระเยซูทรงมาจากเบื้องบน ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่คนเก่ง มีปัญญา มีฤทธิ์มาก แต่ทรงเป็นพระเจ้าจากสวรรค์ มาจากโลกที่มองไม่เห็น ไปไม่ถึง (1 ทิโมธี 6:16)  พระองค์ทรงมีความคิดและหนทางที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ (อิสยาห์ 55:8-9) 
ยังมีเรื่องราวของพระองค์ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เราไม่อาจอธิบายพระองค์ได้ด้วยภาษาที่จำกัดแบบมนุษย์ได้    
ยอห์นบอกด้วยว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน รวมไปถึงธรรมจารย์ทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดา
พระองค์ทรงเห็นอะไรในสวรรค์ ทรงได้ยินจากพระเจ้าอย่างไร ก็ทรงบอกตามนั้น  นี่เป็นเหตุผลที่คำของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าคำใด ๆ ในโลกนี้   พระองค์คือผู้ที่ได้ยินได้เห็นจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเอามาเล่า    แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่ฟังคำของพระองค์      นี่เป็นคำพยานของยอห์นถึงพระเยซูเพิ่มเติมจากที่ศิษย์เคยได้ยิน

ยอห์น 3:34-36
คำกล่าวของพระเยซูนั้น คือคำของพระเจ้าพระบิดา  พระองค์ทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบไม่จำกัด เหนือเหล่าธรรมาจารย์ที่เมื่อมาเทียบกับพระเยซูคือ พวกเขาไม่มีอะไรเลย  
และทรงให้สรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู คือ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์  ในอำนาจ ในการปกครองของพระเยซูก็เป็นเพราะพระบิดาทรงรักพระองค์มาก   พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระองค์  (โคโลสี 1:19)
ยอห์นพูดสองครั้ง พระบิดาทรงรักพระบุตร  3:35  กับ 5:20  ยอห์นกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคือ พระบุตร พระองค์ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าเจิมให้มารับใช้  แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยอห์นบอกทางเลือกสองทางให้ด้วย  จะไปดี หรือไปร้าย? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

*ฟาริสี มีความหมายว่า แยกออก เป็นคนบริสุทธิ์แยกตัวออกจากคนบาป  พวกเขาร้อนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ตามกฎของโมเสส ถือว่านี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แถมยังมีกฎของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย 
**นิโคเดมัสเป็นฟาริสีที่อยู่ในระดับผู้ปกครอง เราทราบว่า ต่อมาเขาเชื่อพระเยซู (7:50-52)  เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลเรื่องการเก็บพระศพจากไม้กางเขนด้วย (19:34-42)