สดุดี 28 ทูลขอพระเจ้าช่วย และทรงตอบจริง ๆ

สดุดีของดาวิด
คำร้องคร่ำครวญและเหตุผลที่ขอให้พระเจ้าไม่ทรงนิ่งเฉย
1 โอ พระยาห์เวห์ ข้าร้องทูลหาพระองค์ พระศิลาของข้า
ขออย่าทรงเงียบเฉย เพราะหากพระองค์ทรงนิ่งเฉยอยู่
ข้าจะเป็นเหมือนคนที่ลงไปยังหลุมลึกแดนตาย
2 ขอพระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของข้า
เมื่อข้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
เมื่อข้ายกมือขึ้นไปยังสถานที่บริสุทธิ์ยิ่งของพระองค์

คำขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนชั่วร้าย
3 ขออย่าทรงลากเอาตัวข้าออกไป
พร้อมกับคนชั่วร้าย หรือคนที่ทำการชั่ว
คนที่พูดถึงความสงบสันติกับเพื่อนบ้าน
แต่ในใจเต็มด้วยความโหดเหี้ยม
4 ขอพระเจ้าทรงตอบสนองพวกเขาตามการชั่ว
ขอทรงตอบสนองตามที่มือของเขากระทำ
ขอทรงตอบสนองเขาตามที่เขาควรได้รับ
5 เพราะพวกเขาไม่สนใจว่า พระยาห์เวห์ทรงกระทำสิ่งใดบ้าง
ไม่สนใจพระหัตถกิจของพระองค์
พระองค์จะทรงโค่นพวกเขาลง และไม่สร้างขึ้นมาใหม่

สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงฟัง
6 ถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงที่ข้าร้องทูล
7 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้า
ข้าวางใจในพระองค์ และข้าได้รับความช่วยเหลือ
ดังนั้น ใจของข้าจึงยินดียิ่งนัก
และข้าขอบคุณพระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ
8 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังของประชากรของพระองค์
พระองค์เองทรงเป็นที่หลบภัยให้รอดสำหรับคนที่ทรงเจิม
9 ขอทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด
ขอทรงอวยพระพรแก่คนที่เป็นมรดกของพระองค์
ขอทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของพวกเขา
และอุ้มชูพวกเขาขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 35:22, 39:12, 83:1, 88:4, 143:7,

2* สดุดี 5:7,138:2 , 1 ทิโมธี 2:8

3*สดุดี 12:2, 55:21,62:4, เยเรมีย์ 9:8

4* สดุดี 62:12, 2 ทิโมธี 4:14, วิวรณ์ 18:6, 22:12

5*อิสยาห์ 5:12, โรม 1:28, ยอห์น 12:37

6* สดุดี 107:19-22, 116:1-2, 69:33-34

7*สดุดี 18:2, 59:17, 13:5,112:7

8*สดุดี 20:6

9*ฉธบ. 9:29,32:9, 1 พงษ์กษัตริย์ 8:51, สดุดี 33:12,106:40,​ฉธบ 1:31, อิสยาห์ 63:9

ข้อ 1-2
คำร้องคร่ำครวญและเหตุผลที่ขอให้พระเจ้าไม่ทรงนิ่งเฉย
กษัตริย์ดาวิดกำลังมีใจเป็นทุกข์หนักมาก ท่านรู้ว่า ถ้าพระเจ้าทรงเมินเฉยกับท่าน ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วย ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่มีพระเจ้า การลงไปในหลุมลึก มีความหมายว่าตาย พระคำตอนนี้ เราเองเอามาร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ท่านบอกเราในคำอธิษฐานว่า ยกมือไปยังสถานที่บริสุทธิ์ เราจะมองเห็นภาพของคนที่ยื่นมือร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดหัวใจ

ข้อ 3-5
คำขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนชั่วร้าย
เป็นคำอธิษฐานที่แปลก อย่างแรก กษัตริย์ดาวิดขอพระเจ้าอย่าทรงลงโทษท่านไปพร้อมกับคนชั่ว
ท่านกล่าวถึงคนที่ “หน้าซื่อใจคด” โดยเฉพาะ อย่างที่สองของพระเจ้าตอบสนองตามที่พวกเขาได้ทำชั่วร้ายกับผู้อื่น คนเหล่านี้ ไม่สนใจพระเจ้าเลย ไม่สนใจว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง พวกเขาใช้ชีวิตเสมือนว่าไม่มีพระเจ้าครอบครองอยู่

ข้อ 6-9
สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงฟัง
สดุดีบทนี้ได้บอกเราว่า พระเจ้าทรงเป็นอย่างไรในชีวิตของผู้เชื่อบ้าง เมื่อเราอ่านและใคร่ครวญ เราจะเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในพระเจ้านั้น อยู่ในฐานะที่มีเกียรติเพราะมีพระเจ้าเป็นผู้ปกป้อง มีพระเจ้าเป็นหลาย ๆ อย่างในชีวิต สิ่งที่ดาวิดลงมือทำเมื่อพระเจ้าทรงฟังคำทูลของท่านคือ
1 ถวายพระพร 2 ขอบคุณด้วยบทเพลง 3 ทูลขอเพิ่มให้พระเจ้าทรงช่วยประชาชนในอิสราเอล
ให้พวกเขารอด ให้ได้รับการเลี้ยงดู รับการอุ้มชูตลอดไป

สดุดี 23 องค์พระผู้เลี้ยงดู

ภาพ Shepherd and Sheepวาดโดย Anton Mauve 1838-1888

สดุดีของดาวิด 23

พระเจ้าผู้ทรงนำทาง -ทุกวัน

1 พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้า ข้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
2 พระองค์ทรงทำให้ข้านอนลงบนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม
พระองค์ทรงนำข้าไปยังริมธารน้ำสงบ
3 พระองค์ทรงรื้อฟื้นกำลังจิตใจของข้าให้กลับคืนมา
ทรงนำข้าไปตามทางที่เที่ยงธรรม 
เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์

พระเจ้าผู้ทรงปกป้อง-ยามยาก

4 ถึงแม้ข้าจะต้องเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย
ข้าก็ไม่กลัวสิ่งชั่วร้ายใด ๆ
เพราะพระองค์ทรงยืนอยู่กับข้า
ไม้กระบองและไม้เท้าของพระองค์ทำให้ข้าอบอุ่นใจ

พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม-วันนี้และอนาคต

5 พระองค์ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงต่อหน้าข้า
ต่อหน้าต่อตาศัตรูทั้งหลาย
พระองค์ทรงเจิมศีรษะของข้าด้วยน้ำมัน 
จอกน้ำของข้าเต็มล้น
6 แน่นอน ที่ความดีและความรักมั่นคงของพระองค์
จะตามติดข้าไปตลอดชีวิตของข้า
และข้าจะอาศัยในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เป็นนิตย์

พระคัมภีร์อ้างอิง


1. สดุดี 78:52, 80:1, อิสยาห์ 40:11,
เอเสเคียล 34:11, 12, ยอห์น 10:11,
1 เปโตร 2:25, วิวรณ์ 7:16,17,สดุดี 34:9-10,
ฟีลิปปี 4:19,2

2.สดุดี 65:11-13, เอเสเคียล 34:14, วิวรณ์ 7:173

3. สดุดี 5:8, 31:3, สดุดี 8:204

4.โยบ 3:5, 10:21,22, 24:17, สดุดี 44:19, 3:6,27:1,16:8, อิสยาห์ 43:25

5.สดุดี 104:15, 92:10, ลูกา 7:466

6.สดุดี 27:4, 103:17, 2 ทิโมธี 4:18,

อธิบายเพิ่มเติม

ข้อ 1 ใครเลี้ยงดูผู้เขียน? สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้น พระเจ้าทรงเลี้ยงดูราวกับผู้เลี้ยงแกะ เป็นการดูแลที่ใกล้ชิดมาก ปกป้อง นำทาง หาอาหารให้ ทั้งเขาและพระองค์สนิทสนมกัน ไม่ได้ห่างกันเลย ผู้เลี้ยงที่ดีจะสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ (ยอห์น 10:11)กษัตริย์ดาวิดรู้สึกว่าท่านเองเป็นแกะของพระเจ้า และภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นชินของคนอิสราเอล พวกเขาเป็นฝูงแกะของพระองค์เราจะเข้าใจความสัมพันธ์ของผู้เลี้ยงและแกะได้ชัดจากข้อพระคัมภีร์อ้างอิงด้านบน

ข้อ 2-3 ผู้เขียนได้รับอะไรจากพระเจ้า? พระเจ้าทรงให้ความสดชื่นพระเจ้าทรงให้ความสงบสุขพระเจ้าทรงคืนกำลังให้เขา พระเจ้าทรงนำเขาไปตามทางที่เที่ยงธรรมเราอยู่ในโลกที่เหน็ดเหนื่อย ยากเข็ญ จิตใจของเราอ่อนล้าเราจึงต้องการพระผู้ทรงเลี้ยงดูผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
เจ้าแกะนั้นมักนอนสบาย ๆ ไม่ได้ มันต้องไม่กลัว ต้องมีเพื่อน ต้องอิ่มต้องไม่มีพยาธิหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ มากวนมัน มันจึงจะนอนลงได้อย่างสบายใจ ผู้เลี้ยงจึงต้องจัดการให้สิ่งที่รบกวนหมดไปแล้วมันก็จะนอนได้ เมื่ออ่านพระคำข้อนี้เรารู้สึกสบายใจ สดชื่นได้พักผ่อนอย่างจริงจัง และผู้เลี้ยงทำให้แกะอย่างดี นำพวกมันไปในทางที่ดี เพราะว่าชื่อเสียงของท่านนั้น เป็นประกันอยู่ ท่านมีชื่อเสียงดี ท่านทำงานนี้ได้ดีเยี่ยม

ข้อ4 สิ่งชั่วร้ายรอบข้างเขา ถึงจะมี แต่พระองค์ทรงทำอะไร? ถึงจะเดินในเงามืดของชีวิต พระเจ้าทรงยืนอยู่พระองค์ทรงมีอาวุธที่จะช่วยต่อต้านศัตรู และช่วยกู้เขาจากอันตราย เมื่อแกะถูกศัตรูรุมล้อม เมื่อมันหวาดหวั่นในสถานการณ์รอบข้าง มันยังไว้ใจได้เพราะผู้เลี้ยงยืนมั่นอยู่ข้าง ๆ พร้อมที่จะสู้ปกป้องมันไว้ เวลาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความตาย พวกเขาจะไม่กลัว เพราะเขารู้ว่าจะได้พบพระองค์แม้จะต้องตายจากโลกนี้

ข้อ 5 พระเจ้าทรงทำอะไรให้เขาบ้าง?พระองค์ทรงต้อนรับเขาให้ศัตรูได้เห็น นี่เป็นการมอบสิ่งดีให้อย่างล้นเหลือ ทรงเจิมด้วยน้ำมัน บ่งบอกความโปรดปรานพระองค์เติมน้ำในจอกมากมายเกินพอ. แม้มีศัตรู แม้อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็จะเห็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อคนของพระองค์ การได้กินอาหารกับพระองค์แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีไมตรีมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เมื่อพระเจ้าทรงเจิมด้วยน้ำมัน คนที่ได้รับจะสดชื่นยิ่งนัก น้ำที่พระเจ้าทรงเทให้ พระองค์ไม่ให้น้อย ๆ แต่พระพรนั้นล้นเหลือ

ข้อ 6 อะไรจะเกิดขึ้นชั่วชีวิตของเขา? ทั้งความดีและความรักมั่นคงจะไล่ตามชีวิตไปเขาจะได้อาศัยในพระนิเวศน์ของพระเจ้านิรันดร์เราอาจกล่าวได้ว่า ทั้งพระเมตตาและพระคุณของพระเจ้าจะติดตามเราไปตลอดชีวิต และนี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ น่าชื่นใจยิ่งนักมีอะไรที่ดีไปกว่านี้หรือ?

บรรณานุกรม

1 เปโตร 2 พระเกียรติ และหน้าที่ของคนของพระเจ้า

มาหาพระเจ้าโดยมาหาพระดำรัส

ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายละทิ้งความชั่วทั้งปวง อุบายล่อลวงทั้งสิ้นความหน้าซื่อใจคด ความริษยา และการใส่ร้ายทุกรูปแบบ
1 เปโตร 2:1

ฮีบรู 12:1, เอเฟซัส 4:31, ยากอบ 1:21

เหตุผลที่ท่านเปโตรให้ละทิ้งสิ่งชั่วร้าย ต้องกลับไปอ่านจากบทที่ 1 เราได้เกิดใหม่ มีความหวังใหม่แล้ว พระเจ้าทรงเรียกให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ พระเยซูทรง ไถ่เราด้วยพระโลหิตประเสริฐ เราได้เกิดจาก เมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต เราไม่ใช่คนที่ตายไปในบาป อีกต่อไป นี่ทำให้เรายิ่งต้องทิ้งความชั่วร้าย ไม่ให้มันมามีส่วนในชีวิตเราต่อไป

ให้ท่านมีความกระหายอยากได้น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเด็กทารกแรกเกิดเพราะโดยน้ำนมนั้น จะทำให้พวกท่านเติบโตไปถึงความรอด ในเมื่อท่านได้ลิ้มรสแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีเลิศ
1 เปโตร 2:2-3

มัทธิว 18:3,19:14, มาระโก 10:15, ลูกา 18:17, 1 โครินธ์ 14:20, 3:2, ฮีบรู 5:12-13, สดุดี 34:8, 63:5, ทิตัส 3:4, ฮีบรู 6:5

น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ ในบางเล่มใช้คำว่า น้ำนมแห่งพระคำบริสุทธิ์ ของพระเจ้า นั่นคือท่านเปโตรกำลังขอให้ผู้เชื่อใหม่ได้มีความ อยากที่จะรู้จักพระคำพื้นฐานที่ต้องรู้ เพื่อว่าชีวิตจะได้เติบโตไปถึงความรอด นี่เป็นการชี้ว่า เมื่อเข้ามาเชื่อแล้ว เราต้องร่วมมือกับพระองค์ ตามที่อัครทูตได้สอนไว้เพื่อเติบโต ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ

ศิลาที่ทรงเลือก และคนที่ทรงเลือก

จงมาหาพระองค์ผู้เป็นพระศิลาที่มีชีวิต แม้มนุษย์จะปฏิเสธพระองค์แต่กลับทรงเป็นพระศิลาที่พระเจ้าทรงเลือก และล้ำค่านักในสายพระเนตร
1 เปโตร 2:4

สดุดี 118:22, กิจการ 4:11-12,อิสยาห์ 28:16

พระเยซูทรงเป็นรากฐานที่มีชีวิต ซึ่งทำให้ผู้เชื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พระเจ้าทรงเลือกพระองค์ไว้
ในขณะที่คนของพระองค์ คือยิวทั้งหลายปฏิเสธ พระองค์ ทั้งยังได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขนด้วย พระคำตอนนี้จนถึงข้อ 10 มาจากพันธสัญญาเดิม ประเด็นสำคัญในข้อนี้บอกว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นรากฐานของคริสตจักร
สิ่งอื่นใดที่มนุษย์คิด ไม่ใช่รากฐานคริสตจักร

พวกท่านเองก็เป็นศิลาที่มีชีวิตกำลังถูกสร้างเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณเพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อเป็นผู้ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 2:5

เอเฟซัส 2:20-22, 1 โครินธ์ 3:9

คำว่าศิลาในที่นี้มีความหมายถึงหินที่ถูกสกัดไว้เพื่อ รับน้ำหนักของอาคาร ท่านเปโตรมองว่าชุมชนผู้เชื่อคือพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ มีชีวิต มีคนเชื่อใหม่เข้ามา ก็เหมือนมีศิลาเข้ามาสร้างเพิ่มเติมในพระนิเวศนี้ ผู้เชื่อจึง เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทั้งหมด พวกเขาทุกคน มีหน้าที่เป็นปุโรหิต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขาเป็นทั้งพระนิเวศ เป็นทั้งผู้นมัสการ เป็นศิลาที่มีชีวิตตามพระเยซูเจ้าของเขา

เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
“ดูเถิด เรากำลังวางศิลาก้อนหนึ่งใน ศิโยน เป็นศิลาหัวมุมที่เลือกไว้ และมีค่ายิ่งและใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ จะไม่ต้องอับอาย สำหรับ คนที่เชื่อ ศิลานี้ มีค่าล้ำเลิศ
1 เปโตร 2:6-7a

อิสยาห์ 28:16, โรม 9:32-33, 10:11, 1 เปโตร 2:8

ท่านเปโตรได้ใช้คำเปรียบเรื่องศิลานี้ มาจากพระคัมภีร์เดิม ท่านบอกว่า พระเยซูทรงอยู่ในฐานะเหมือนกับศิลามุมเอก ส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับ อาคารที่ก่อด้วยหิน พระองค์รับการแต่งตั้งมาจากพระเจ้าเพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแรงของอาคาร ฝ่ายวิญญาณของทุกชีวิต เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูทรงเป็นรากฐานแห่งความเชื่อของเราไม่มีรากอื่นใดนอกจากพระองค์

สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง .. “ศิลาซึ่งช่างก่อทิ้งแล้วนั้น ได้กลายเป็นศิลามุมเอก และ เป็นศิลาที่ทำให้คนสะดุด เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องหกล้ม ที่เขาสะดุด เป็นเพราะเขาไม่เชื่อฟัง พระคำของพระเจ้า ตามที่ถูกกำหนดไว้อย่างนั้น
1 เปโตร 2:7b-8

สดุดี 118:22, มัทธิว 21:42, ลูกา 2:34, อิสยาห์ 8:14, 1 โครินธ์ 1:23, กาลาเทีย 5:11, โรม 9:22

เมื่อคนยิวไม่ยอมรับพระเยซู พระเจ้าได้ทรงหันมา สร้างคริสตจักรที่ประกอบด้วยชนทุกชาติ ผู้ที่เชื่อพระเยซูจะได้รับแบ่งเกียรติยศจากพระองค์ ในขณะที่ผู้ไม่เชื่อฟังกลับพบว่า พระเยซู เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องล้มและพบความหายนะ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เขาไม่เชื่อ แต่หากไม่เชื่อ เขาก็จะสะดุด เสียดายโอกาสหลายชั่วอายุคน ที่คนยิวจำนวนมากมายเลือก ไม่เชื่อพระเยซู แต่ขอบพระคุณที่คนยิวยุคนี้ เริ่มหันมาหาพระองค์มากขึ้น

แต่ ท่านทั้งหลาย เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9a

อิสยาห์ 9:2, 42:16,กิจการ 26:18, 2 โครินธ์ 4:6,

ไม่มีใครอวดได้ว่า เขามาอยู่ในพระเจ้าเพราะตัว เขาตัดสินใจ เขาเข้ามาเอง ทุกคนที่เข้ามา อยู่ในร่มพระเมตตาของพระเจ้านั้น ได้รับการเลือกจากพระองค์ทั้งสิ้น เมื่อเข้ามาแล้ว ก็มี หน้าที่ชัดเจน เป็นปุโรหิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทูลขอพระเมตตาเพื่อคนอื่น ๆ เสียดายที่อิสราเอลได้ละทิ้งสิทธิพิเศษนี้ พระเจ้าได้เลือกคนอีกมากมายทั่วโลกมาเป็น กรรมสิทธิ์ของพระองค์​

เพื่อว่าท่านจะประกาศถึงความดีอันล้ำเลิศของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9b

วิวรณ์ 1:6,5:10, มัทธิว 5:16, โคโลสี 1:13

ตามพระประสงค์ คริสตจักรจะต้องทำหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขาทำ นั่นคือ ประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ออกไปทั่วโลก (มัทธิว 28:19-20) เขาจะต้องเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ให้ส่องสว่างไปยังหัวใจที่มืดมิดในโลกนี้ พวกเขาได้ผ่านกระบวนการที่พระเจ้าทรง เรียกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง ของพระองค์ เขาจึงมีคำพยานที่ชัดเจนให้กับ ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้า

แต่ก่อนท่านไม่ใช่ประชากร
แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า
แต่ก่อนท่านไม่ได้รับพระเมตตา
แต่บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว
1 เปโตร 2:10

โฮเชยา 1;9-10, 2:23, โรม 9:25, 10:19, 1 ทิโมธี 1:13

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระเจ้าตรัสว่าจะไม่เอาอิสราเอลที่ดื้อดึงอีกต่อไป แต่ต่อมาพระองค์ก็ยังทรงเรียกเขากลับมาหาพระองค์ คริสตจักรได้รับพระเมตตาของพระเจ้าเหมือนกับอิสราเอลได้รับ (อ่านโฮเชยา 1:6,9,10,2:23) พวกเราต้องเข้าใจและกตัญญูต่อพระเมตตานี้

เมื่อมาหาพระเยซู ..ต้องหลบหลีกอะไร?

พี่น้องที่รัก ข้าขอร้องท่านในฐานะที่อยู่ในโลกอย่างคนจร และคนแปลกถิ่น
1 เปโตร 2:11 a

โรม 8:13, กาลาเทีย 5:17, ยากอบ 4:1

ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ท่านเปโตรเตือน ให้มองตัวเองดี ๆ ว่า จริงแล้ว เราคือใคร ท่านบอกว่า เราคือ คนจร เข้ามาในโลก หรือเหมือนคนแปลกหน้าของโลกนี้ เป็นคนที่กำลังเดินทางมุ่งไปบ้านจริง ตอนนี้แค่มาแวะเฉย ๆ นี่เป็นตัวจริงของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์! เราเป็นเหมือนคนนอกโลก ท่านยอห์นจึงบอกเราว่า อย่ารักโลกหรือสิ่ง ของในโลก 1 ยอห์น 2:15

ให้ละเว้นจากความเร่าร้อนของเนื้อหนัง ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่านอยู่
1 เปโตร 2:11b

1 ยอห์น 2:15-17, 1 เปโตร 4:2, ฮีบรู 11:13

ในเมื่อเราเป็นประชากรของอาณาจักรพระเจ้า เป็นแค่คนจร กำลังเดินทางต่อไปยังบ้านเมืองแท้จริงของตนเอง ผู้เชื่อจึงต้องกล่าวปฏิเสธความเร่าร้อนของเนื้อหน้าที่ผิดต่อตัวเอง และผู้อื่นอย่างจริงจัง คำว่าต่อสู้ในที่นี้มีความหมายคือทำสงครามเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อตลอดชีวิตของผู้เชื่อ เท่ากับเราเดินทางอยู่ในเขตสงครามฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา

ให้ประพฤติดีท่ามกลางคนไม่เชื่อเพื่อว่าเมื่อเขากล่าวหาว่า ท่านทำชั่ว เขาจะได้เห็นการดีที่ทำและจะได้สรรเสริญพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาเยือน
1 เปโตร 2:12

มัทธิว 5:16, 9:8, 2 โครินธ์ 8:21, ฟีลิปปี 2:15, ทิตัส 2:8, 1 เปโตร 2:15, 3:16,ยอห์น 13:31, 1 เปโตร 4:11,16

ในเมื่ออยู่ในสงครามตลอดเวลา ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้ากำลังมองชีวิตการกระทำ น้ำใจ การทำงาน ทัศนคติของผู้เชื่ออยู่ โลกสมัยท่านเปโตรนั้น คริสเตียนมีน้อย และถูกจับจ้องตลอดเวลา
ส่วนโลกทุกวันนี้ คนชั่วสามารถกลายเป็นคนดูดีส่วนคนดีก็ถูกกล่าวหาให้กลายเป็นคนร้าย ได้อย่างง่ายดาย การเยี่ยมของพระเจ้านั้น ในพระคัมภีร์มีสองอย่าง มาเยี่ยมแล้วชม หรือมาเยี่ยมแล้วต้องลงโทษ!

นับถือผู้ปกครองตามที่เหมาะสม

เพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองที่มีอยู่ในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถือว่าสูงสุด หรือเป็นเจ้าเมืองที่ได้รับบัญชามาเพื่อลงโทษคนที่ทำชั่ว และยกย่องคนที่ทำดี
1 เปโตร 2:13-14

มัทธิว 22:21, ทิตัส 3:1, โรม 13:1-7, 1 ทิโมธี 2:1-2, ลูกา 20:25, มาระโก 12:17


ในช่วงที่ท่านเขียนจดหมายนั้น อาณาจักรโรมกำลังรุ่งเรือง จักรพรรดิไม่ถูกกับคริสเตียนเลย แต่ท่านเปโตรกลับให้พวกเขาเชื่อฟัง พวกเขาก็ยอมเชื่อฟังเสมอ แต่หากจักรพรรดิสั่งในสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมทันที อย่างเช่น จักรพรรดิสั่งให้พวกเขาเรียกจักรพรรดิว่าเป็นพระเจ้า พวกเขากลับกล่าวว่าท่านไม่ใช่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจึงถูกเผาทั้งเป็น ถูกโยนให้สิงโตกิน

เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ท่าน
ปิดปากที่ไม่รู้อะไรของคนชั่วด้วยการทำสิ่งที่ดี
ถอดความจาก 1 เปโตร 2:15

1 เปโตร 3:17, 2:12, ทิตัส 2:8

ความดีที่กล่าวถึงนี้ จะต้องเป็นความดีที่ตั้งอยู่บน รากฐานของน้ำพระทัยพระเจ้า มีความดีหลายอย่าง
ที่ไม่ใช่ดีจริง แค่ดูเหมือนดี ดูเหมือนโอเค แต่มันเป็นการกดขี่ เบียดเบียนคนอื่น บางคนทำดีกลบเกลื่อนความชั่วของตนความดีบางอย่างเป็นแค่ทำหลอกลวงฉาบฉวยความดีของผู้เชื่อขึ้นอยู่กับคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง และเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก

จงใช้ชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพเพื่อปกปิดความผิดจงใช้ชีวิตในฐานะทาสของพระเจ้า
1 เปโตร 2:16

โรม 6:14,20,22, 1 โครินธ์ 7:22, กาลาเทีย. 5:1,5:13

เสรีภาพ เสรีชน อิสระภาพนั้น คืออะไร
ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความว่า เป็นความสามารถที่จะกระทำการใด ๆ ได้ตามที่ตนปรารถนาโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา, ความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
แต่ทำไมท่านเปโตรชวนให้เรามีอิสรชนพร้อมกับเป็นทาสของพระเยซูพร้อม ๆ กัน เพราะนั่นหมายถึงเราทั้งมีเสรี และพร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นดั่งที่พระเยซูทรงรับสภาพทาสมาแล้วนั่นเอง

จงให้เกียรติแก่ทุกคน
จงรักพี่น้องในพระคริสต์
จงยำเกรงพระเจ้า
จงให้เกียรติแด่องค์กษัตริย์
1 เปโตร 2:17

โรม 12:10, สุภาษิต 24:21, โรม 13:7, 1 เปโตร 5:5,

การให้เกียรติกันนั้น โดยทั่วไปต้องเรียนรู้มาจากครอบครัว เริ่มต้นจากการที่สามีภรรยา
พ่อ แม่ ลูก ปู่ย่า ตายาย ให้เกียรติกันและกัน
ข้อความตอนนี้ พูดถึงการรักกัน จะเห็นว่าท่านได้กล่าวรวมไปถึงบุคคลทุกคนที่มีส่วนชีวิตของเรา ไม่เว้นใครเลย พระคำข้อนี้ อาจไม่เป็นที่ถูกใจของคนสมัยใหม่เท่าไร แต่หากเราทุกคนใช้คำพูดดีต่อกัน โลกก็จะสวยขึ้นมากเลย

ผู้ที่เป็นลูกน้อง ให้เคารพเชื่อฟังนาย ไม่ใช่แค่นายใจดีอ่อนโยนเท่านั้น แต่กับนายที่ร้ายด้วยเพราะคนที่ยอมทนทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเห็นแก่พระเจ้านั้น สมควรได้รับการยกย่อง
1 เปโตร 2:18-19

ทิตัส 2:9-10, 1 ทิโมธี 6:1-3, โคโลสี 3:22-25,มัทธิว 5:10-12, ลูกา 6:32, 1 เปโตร 3:14-17

ในมัทธิว 5:11 พระเยซูก็ตรัสเรื่องอย่างนี้เช่นกัน
คือการที่ถูกป้ายสี ทำร้ายเพราะพระนามของพระเจ้ากลับจะมีบำเหน็จในสวรรค์ จะเห็นได้ว่า เมื่อเป็นผู้เชื่อ วิธีการที่จะจัดการกับความไม่เป็นธรรมที่ตนโดนนั้น แตกต่างไป ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนที่ถูกทำร้าย และไม่มีปากเสียง เรา กลับต้องช่วยเขาเหล่านั้น อ่าน สุภาษิต 31:8-9 ให้ออกกฎที่เป็นธรรมแก่ผู้ยากไร้ขัดสน

หากว่าท่านถูกลงโทษเพราะทำผิด ถึงยอมทน จะถือว่าเป็นความดีความชอบได้อย่างไร แต่หากท่านทุกข์ยากเพราะทำดีและท่านอดทน นี่ถือเป็น
สิ่งที่น่ายกย่องในสายพระเนตรพระเจ้า
1 เปโตร 2:20

1 เปโตร 3:17, 4:14-16, 3:14, ฟีลิปปี 4:18,

แปลกที่พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อคนของพระองค์ไม่โวยวาย กระทืบเท้า ขัดขืน หาทางเอาคึนเมื่อเขา ถูกกระทำ แต่กลับฝากเรื่องนี้ไว้ให้กับพระองค์ เป็นผู้ตัดสินว่าจะทำอย่างไร เมื่อไร ซึ่งตรงนี้เท่ากับคน ๆ นั้น ได้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง และวิธีของพระองค์ก็ดีกว่า ถาวรกว่าวิธีของเขา เรื่องนี้ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่เบี้ยวบูด ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกวันในโลกที่แสนวุ่นวายนี้

ตัวอย่างจากพระคริสต์

พระเจ้าทรงเรียกท่านมาเพราะเหตุนี้ เพราะว่าพระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์เพื่อท่าน เป็นตัวอย่างให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท พระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใดๆ และไม่พบคำหลอกลวงออกมาจาก พระโอษฐ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:21-22

1 ยอห์น 2:6, ยอห์น 13:15, มัทธิว 16:24, อิสยาห์ 53:9, 2 โครินธ์ 5:21, ฮีบรู 4:15, 1 ยอห์น 3:5

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ใช่แล้ว ไม่อยากจะคิดอย่างนี้ แต่พระคำกลับ
บอกเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกเรามาเพื่อให้เรา
ทรหดอดทน เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์
เราจะได้พบเจอกับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมกับเราพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราไม่โวยวาย แต่ให้อดทนพระเยซูทรงเป็นตัวอย่างของการไม่ตอบโต้ทรงดูเหมือนพ่ายแพ้ ถูกตรึงบนกางเขน แต่แล้วพระองค์กลับคืนพระชนม์ ตามแผนการของพระเจ้า ทำให้คิดอย่างหนึ่งว่า ในทุกเหตุการณ์ที่เราต้องเผชิญ มันมีเป้าหมายชัดเจน คือชัยชนะอันมีเกียรติ

เมื่อพระองค์ถูกคนดูหมิ่น พระองค์ไม่ทรงดูหมิ่นตอบ เมื่อทรงทนทุกข์พระองค์ก็ไม่ข่มขู่ใคร แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม
1 เปโตร 2:23

อิสยาห์ 53:7, 1 เปโตร 4:19, ฮีบรู 12:3,

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ท่านเปโตรให้พี่น้องคริสเตียนเดินตามแบบอย่างของพระเยซู ชัดเจนมาก ว่าเป็นแบบไหน
พระเยซูทรงกล่าวความจริงตรงๆ ถามอย่างไร
ก็ตอบไปตามความจริงที่พระองค์ทรงยืนยัน
แต่ไหนแต่ไรมา ให้คิดถึงวันที่เหล่าปุโรหิต และ ผู้ใหญ่ของยิวพร้อมใจเต็มด้วยความเกลียดชัง และยืนกรานหัวชนฝาว่า ต้องกำจัดพระเยซูให้สำเร็จ พวกเขาเต็มด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว หยาบคาย เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่ยอมแพ้
แต่พระเยซูกลับทรงสงบนิ่งเพราะทรงวางพระทัยในพระบิดาเพียงผู้เดียว

พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้บน พระกายบนต้นไม้นั้น เพื่อว่า เราจะตายต่อบาป และมีชีวิตในความเที่ยงธรรม
ท่านทั้งหลายได้รับการบำบัดรักษาด้วยรอยแผลของพระองค์
1 เปโตร 2:24

อิสยาห์ 53:4-6, มัทธิว 8:17, วิวรณ์ 22:2

พระเยซูทรงเอาบาปของเราไป ความตายของ
พระองค์ทำให้เราถูกแยกจากบาปของเรา บาปไปอยู่ที่พระองค์บนกางเขนแล้ว ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้เรามีชีวิตที่เที่ยงธรรม ไม่ติดตามทางบาปเหมือนเดิมอีกต่อไป การบำบัดรักษาในที่นี้ มีความหมายถึงบำบัดรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณที่จะได้รับผลอันร้ายกาจของบาปนั่นคือความตาย อาจฟังยากแต่ความหมายของเปโตรคือแบบนี้

ภาพวาดโดย กุสตาฟ ดอเร (1832/1883)

เพราะพวกท่าน
เป็นเหมือนแกะที่หลงหาย
แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง
และผู้ปกป้องวิญญาณของท่าน
1 เปโตร 2:25

อิสยาห์ 53:6, 40:11, เอเสเคียล 34:6, ลูกา 15:4-6, มัทธิว 9:36

ภาพวาดโดย TG cooper 1836-1901)

อิสยาห์ 53:6 กล่าวว่าเราเป็นเหมือนแกะที่หลงทางไปจากพระเจ้า คิดดูว่า ในการหลงทางนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะพบสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ เราจะพบกับหมาป่า พบอันตราย พบสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ปลอดภัยเหมือนอยู่ในสายตาของผู้เลี้ยง และปลายทางของแกะที่หลงก็คืออยู่ในท้องสัตว์ป่าที่หิวโหย ปลายทางคือความตาย!
แต่หากแกะได้กลับมาหาผู้เลี้ยง มันจะปลอดภัย
เพราะผู้เลี้ยงจะดูแลให้อาหารและปกป้อง
และท่านได้ปกป้องแกะด้วยชีวิตของท่านเอง!