ยอห์น 2 งานสมรสที่บ้านคานา
งานเลี้ยงสมรสที่บ้านคานา
ยอห์น 2:1-3
หมู่บ้านคานาอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากนาซาเร็ธประมาณ 14.5 กิโลเมตร เป็นบ้านเกิดของนาธานาเอล (21:2) งานเลี้ยงนี้พระเยซูและมารีย์มารดา น่าจะไปร่วมงานพร้อมกับศิษย์ซึ่งพระองค์ทรงเรียก ทรงไปร่วมงานนี้หลังจากที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น และกำลังจะเริ่มราชกิจของพระเจ้าที่ทรงใช้พระองค์มา
งานเลี้ยงแต่งงานสมัยนั้น จะใช้เวลาฉลองสองสามวัน ไปจนถึงเป็นสัปดาห์ และผู้ที่ต้องรับผิดชอบในงานเลี้ยงก็คือฝ่ายเจ้าบ่าว คนที่สำคัญในงานคือเจ้าบ่าว
สิ่งที่เจ้าบ่าวกลับไม่รู้คือ เหล้าองุ่นที่เลี้ยงนั้นกำลังจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่คนที่ไปรู้เรื่องกลับเป็นมารีย์ มารดาของพระเยซู เธอหันไปบอกพระเยซูถึงปัญหาที่เจ้าบ่าวกำลังจะเจอ คือถ้าไม่มีอาหาร เหล้าองุ่นเพียงพอให้แขก ผู้คนในหมู่บ้านจะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อ ๆ กันตลอดชีวิตเลย นี่เป็นความอับอายทางสังคมที่โลกโบราณถือเป็นเรื่องจริงจัง
ยอห์น 2:4-5
การที่พระเยซูทรงเรียกมารดาว่า หญิงเอ๋ย เป็นการเรียกอย่างเคารพ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงปรามเธอว่ายังไม่ถึงเวลาของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ช่วย
มารีย์ไม่ได้คะยั้นคะยอขอให้พระองค์ทรงช่วยในงานนี้ เธอรู้ดีว่า พระเยซูคือใคร พระองค์ทรงมีน้ำใจอย่างไร ดังนั้น เธอจึงแค่สั่งคนรับใช้ในงานให้ทำตามที่พระเยซูทรงสั่ง ลองคิดถึงตลอดสามสิบปีที่มารีย์อยู่กับพระเยซู มารีย์ได้ประสบการณ์ตรงมากมายที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าแน่นอน
ยอห์น 2:6-7
โอ่งน้ำที่วางอยู่นั้น ใส่น้ำใช้ชำระมือเท้าของพวกยิวก่อนกินอาหาร หรือชำระหลังจากที่ไปเจอกับคนต่างชาติซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นมลทิน และปกติแล้วคนจะไม่ดื่มน้ำจากโอ่งเหล่านั้น โอ่งแต่ละใบบรรจุน้ำได้มากพอสมควรทีเดียว พระเยซูทรงสั่งให้คนรับใช้ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็ม พวกเขาก็ทำตามทันทีไม่มีใครรีรอ หรือสงสัย
ยอห์น 2:8-9
เมื่อโอ่งมีน้ำเต็มปริ่มขอบปากโอ่ง พระองค์ก็ทรงสั่งให้ตักน้ำนั้นไปให้พ่องานชิม อัศจรรย์จริง ๆ ! มันเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี การเปลี่ยนแปลงของน้ำธรรมดาที่กลายเป็นเหล้าองุ่น ทำให้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่ต้องการเวลาหมักนาน ๆ เสียด้วย พระองค์ไม่ได้ทำการวางมือบนปากโอ่ง หรือเสก หรือทำพิธีอะไรเลย ง่ายสำหรับพระองค์ที่จะทรงทำการเหนือธรรมชาติ เพราะทรงเป็นพระเจ้าผู้อยู่เหนือธรรมชาติ
คนรับใช้คงยิ้มด้วยความสุข เมื่อเขาได้เห็นอัศจรรย์ครั้งนี้ ได้มีส่วนในการอัศจรรย์อันเหลือเชื่อจากการที่เขาทำตามคำสั่งของพระเยซู
ยอห์น 2:10-11
ผู้ที่เป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์นี้คือ คนรับใช้ มารีย์ พ่องานที่ไม่รู้เรื่องว่าเหล้าองุ่นมาจากไหนแต่บอกได้ว่าเหล้าองุ่นนี้เป็นเหล้าชั้นดีกว่าที่เลี้ยงกันอยู่ และศิษย์ของพระเยซูที่ได้เห็นขบวนการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และเป็นวันที่พวกเขาเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้นี้คือมนุษย์และพระเจ้าในบุคคลเดียวกัน เป็นการอัศจรรย์แรกหรือหมายสำคัญแรกที่บ่งบอกว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อชาวโลก
ชำระพระวิหาร
ยอห์น 2:12-13
จากบ้านคานา พระเยซูทรงไปทางเหนือพักที่เมืองคาเปอร์นาอูมริมทะเล จากนั้นก็เดินทาง
ไปร่วมเทศกาลปัสกาในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายชาวยิวอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจะต้องไปเข้าร่วมเทศกาลนี้ทุกปี เพื่อระลึกถึงวันที่พระเจ้าทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ( อพยพ 23:14-17, เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1-8)
ยอห์น ผู้เขียนได้กล่าวถึงเทศกาลปัสกาสามครั้ง นี่เป็นปัสกาครั้งแรกที่ท่านพูดถึงในหนังสือยอห์น (ครั้งที่สอง 6:4 ครั้งที่สาม 11:55 12:1 13:1 18:28,39 19:14) พระเยซูทรงชำระพระวิหารเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเจ้า
ยอห์น 2:14-17
ช่วงเวลานี้จะมียิวจากทุกหนแห่งมุ่งหน้ามายังเยรูซาเล็ม ทั้งจากต่างประเทศด้วย พวกนี้ไม่อาจจะหอบหิ้วสัตว์ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติของโมเสสมาได้ แถมยังใช้เงินของพื้นที่ต่าง ๆ จากโรม กรีก ซีเรีย ซึ่งไม่สามารถใช้สำหรับการถวาย หรือให้ภาษีพระวิหารได้ เพราะในพระวิหารรับเฉพาะเงินไทร์ (Tyrian coin) ซึ่งเป็นเหรียญเงินบริสุทธิ์
จากความจำเป็นเพื่อให้ความสะดวกกับคนที่เดินทางมาไกลนี้ กลายเป็นเรื่องของธุรกิจ ผลประโยชน์ของทั้งพ่อค้าสัตว์ คนแลกเงิน และเจ้าหน้าที่พระวิหารที่เรียกเก็บค่าที่ พวกเขาใช้พื้นที่ลานพระวิหารซึ่งเป็นลานส่วนนอกสำหรับคนต่างชาติ ไม่ใช่ในบริเวณพระวิหารด้านใน
ในช่วงเวลาเทศกาลปัสกา พระวิหารของพระเจ้าจึงกลายเป็นพื้นที่การค้าอันวุ่นวาย แน่นอนเมื่อพระเยซูทรงเข้าไปในสถานที่นั้น พระองค์ทรงโกรธจัด ถึงขนาดเอาเชือกทำเป็นแส้ ทรงเทถาดเงิน คว่ำโต๊ะคนแลกเงิน ไล่ทั้งสัตว์และคนออกไป คิดดูแล้วกันว่าเวลานั้น จะโกลาหล ชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน เมื่อสัตว์ทั้งหลายตกใจกับเสียงและแส้ของพระเยซู ผู้คนที่กำลังง่วนกับการซื้อขายต้องมาเจอพระเยซูที่ทรงเกรี้ยวสุดเหวี่ยง ที่เรารู้ว่าเป็นอย่างนั้น เพราะยอห์นได้อ้างถึงพระคัมภีร์ที่บอกล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะทรงชำระพระวิหารที่ถูกทำให้เป็นมลทิน
สดุดี 69:9 ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศได้เผาผลาญข้า
มาลาคี 3:1-3 พระองค์เสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน…ใครจะทนได้เมื่อพระองค์เสด็จมา
เศคาริยาห์ 14:21 ในวันนั้นจะไม่มีพ่อค้าในพระนิเวศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพอีกต่อไป
วันนั้น พระองค์ประกาศก้องว่า พระองค์คือพระบุตรขององค์พระบิดาเจ้า..!! ยิวทุกคนในพระวิหารนั้น ได้ยินกับหู
การกระทำของพระเยซูครั้งนี้เป็นการประกาศศึกกับพวกฟาริสี ปุโรหิตในพระวิหารอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง ไม่มีการเกรงกลัวอำนาจการเมืองใด ๆ …แต่การวุ่นวายครั้งนี้กลับไม่ได้มีปัญหากับโรมที่จะส่งทหารเข้ามา แสดงว่าก็ยังไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น
ยอห์น 2:18-22
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ พวกยิวที่มีอำนาจกลับมาท้าทายพระเยซูว่า ทรงใช้อำนาจใดที่ไล่พ่อค้าเหล่านี้
นี่เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดมานานจนไม่รู้ว่าตัวเองผิดต่อพระเจ้า คิดว่าตนเองทำถูกต้อง พวกเขาทำให้พระวิหารของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ ๆ คนจะเข้ามามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าให้กลายเป็นที่ ๆ แสวงหาผลประโยชน์ เอาพระวิหารมาบังหน้าเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น
พวกยิวต้องการหมายสำคัญแบบให้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า พระเยซูคือผู้ที่มีอำนาจจากพระเจ้า แต่พระองค์กลับไปตรัสถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นพระชนม์ พวกเขาจึงงง ไม่เข้าใจ
พระองค์กำลังตรัสแบบว่า “ฆ่าเราสิ เราจะฟื้นขึ้นมาภายในสามวัน จัดการเราสิ เราจะชนะ”
ยอห์น 2:23-25
คำพูดของพระองค์ ทำให้ต่อมาหลังจากที่พระเยซูคืนชีพขึ้นมา ศิษย์ของพระองค์จึงเข้าใจว่า ทรงหมายความว่าอย่างไร พระเยซูกำลังตรัสกับศิษย์ของพระองค์โดยตรง แต่ปิดความหมายไว้จากพวกยิว
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า เราได้ทำอะไรในชีวิตที่พระเยซูต้องไล่และชำระออกไหม ลองคิดดี ๆ พระเจ้าจะทรงให้ความเข้าใจแก่ทุกคน?
ยอห์น 2:23-25
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พระเยซูยังทรงพักในเยรูซาเล็ม และไม่ได้ทรงอยู่เฉย ๆ การอัศจรรย์ที่บ่งบอกว่า พระองค์มาจากพระเจ้านั้นเด่นชัด ทำให้หลายคนมาเชื่อพระนามของพระองค์ (พระนามเยซู มาจากเยชูวา แปลว่า ช่วยกู้ ช่วยให้รอดพ้น ) พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เห็นการรักษาโรค การไล่ผีสิงออกมา การสอนของพระองค์ น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่ธรรมาจารย์ทั้งหลายสอน
แต่พระเยซูไม่วางใจว่า จะไว้ใจพวกเขาว่าจะเชื่อพระองค์ อยู่ข้างพระองค์เสมอไป มีคนที่ต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ (6:15) มียิวที่เข้ามาเชื่อพระองค์ มีคนที่เชื่อแต่งุนงงกับคำสอนของพระองค์ (6:60) มีคนที่ปลีกตัวออกไป (6:66) เป็นศัตรูกับพระองค์ภายหลัง พระองค์ไม่สนใจความเห็นของมนุษย์ ทรงมุ่งที่น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าจริง ๆ