สดุดี บทที่ 22 เป็นสดุดีที่บรรยายเหตุการณ์ล่วงหน้าหนึ่งพันปีก่อนที่จะเกิดจริงโดยกษัตริย์ดาวิด ด้วยการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และที่น่าทึ่งอย่างยิ่งคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์นั้น ตรงกับสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ หลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น ยังไม่มีการคิดค้นการลงโทษด้วยไม้กางเขนเลย
เมื่อเราอ่านสดุดีบทนี้ ราวกับว่า พระเยซูเป็นผู้เขียนเอง เพราะความเจ็บปวดแบบที่เกิดขึ้นซึ่งบรรยายไว้ กษัตริย์ดาวิดไม่ได้ประสบในชีวิตของท่าน
สดุดีบทนี้แบ่งเป็นสองตอนใหญ่ ๆ คือ จากข้อ 1-21 และ 22-31
ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง กวางรุ่งอรุณ สดุดีของดาวิด
คำทูลอธิษฐานขอความช่วยเหลือ
1 พระเจ้าของข้า พระเจ้าของข้า
เหตุใดพระองค์ทรงละทิ้งข้าไป?
เหตุใดทรงอยู่ห่างเกินที่จะช่วยกู้ ?
เหตุใดทรงห่างจากคำคร่ำครวญของข้า?
2 โอ พระเจ้าของข้า ข้าร้องทูลทั้งวัน
แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
ข้าร้องทั้งคืนและข้าไม่อาจสงบนิ่งได้
3 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์
ประทับเหนือการสรรเสริญของอิสราเอล
4 บรรพบุรุษของเราวางใจในพระองค์
พวกเขาวางใจ และพระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกเขา
5 พวกเขาร้องทูลต่อพระองค์ และได้รับการช่วยกู้
พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ต้องอับอายเลย
6 แต่ตัวข้าเป็นเหมือนหนอนและไม่ใช่คน
มนุษย์ก็ดูหมิ่น ผู้คนก็เหยียดหยาม
7 ทุกคนที่เห็นข้าก็เยาะเย้ย แสยะปากและสั่นหัวกล่าวว่า
8 “เขาวางใจว่าพระยาห์เวห์จะทรงช่วยเขา ก็ให้พระองค์
มาช่วยสิ ในเมื่อพระองค์ทรงพอพระทัยเขา”
9 พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าออกจากครรภ์
ทรงทำให้ข้าวางใจยามที่ข้าอบอุ่นในอกแม่
10 ข้าถูกมอบไว้ให้พระองค์มาตั้งแต่เกิด
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ตั้งแต่ที่ข้าอยู่ในครรภ์มารดา
11 ขออย่าทรงอยู่ไกลจากข้า
เพราะความทุกข์ใจอยู่ใกล้และไม่มีใครช่วยได้
12 เหล่ากระทิงอยู่ล้อมรอบข้า
วัวป่าที่แข็งแรงแห่งบาชานรุมล้อมข้าไว้
13 พวกมันอ้าปากกว้างใส่ข้า
ราวกับสิงโตที่กระหายเหยื่อและกำลังขู่คำราม
14 ข้าถูกเทลงเหมือนน้ำ และกระดูกทั้งสิ้นก็หลุดจากข้อ
ใจของข้าเป็นเหมือนขี้ผึ้ง มันหลอมละลายอยู่ภายในข้า
15 กำลังของข้าแห้งเหือดไปราวกับดินที่ถูกเผา
ลิ้นก็ติดแน่นกับขากรรไกร
และพระองค์ทรงวางข้าลงบนฝุ่นแห่งความตาย
16 เหล่าสุนัขรุมล้อมข้า คนชั่วทั้งหลายก็โอบล้อมข้าไว้
พวกเขาแทงมือ และเท้าของข้าจนทะลุ
17 ข้านับกระดูกของข้าได้ทุกท่อน
เหล่าศัตรูมองดูและจ้องมาที่ข้า
18 พวกเขาแบ่งเสื้อผ้าของข้า
และจับฉลากเอาเสื้อคลุมของข้าไป
19 โอ พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงอยู่ห่างไกล
โอ พระกำลังของข้า ขอทรงรีบมาช่วยข้าด้วย
20 ขอทรงช่วยกู้วิญญาณจิตของข้าจากดาบ
ขอทรงช่วยกู้ชีวิตเดียวของข้า
จากอำนาจของสุนัขเหล่านั้น
21 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากปากของสิงโต
พระองค์ทรงช่วยข้ามาแล้วจากเขาของเหล่าวัวป่า
พระคัมภีร์อ้างอิง
1. มัทธิว 27:46, มาระโก 15:34
2. ลูกา 18:7, สดุดี 42:3
3. ฉธบ. 10:21, สดุดี 148:14
4. ฮีบรู 11:8-32, อพยพ 14:13-14
5. อิสยาห์ 49:23
6. อิสยาห์ 41:14, 53:3
7. มัทธิว 27:39,
8. มัทธิว 27:43, สดุดี 91:14
9 . สดุดี 71:5-6
10. อิสยาห์ 46:3, 49:1
11. สดุดี 71:12,72:12, 10:1
12. สดุดี 22:21, 66:30, ฉธบ. 32:14
13. โยบ 16:10, สดุดี 35:21, 1 เปโตร 5:8
14. ดาเนียล 5:6,สดุดี 31:10
15. สุภาษิต 17:22, ยอห์น 19:28
16 . มัทธิว 27:35, ยอห์น 19:37
17. ลูกา 23:27,35, อิสยาห์ 52:14
18. มัทธิว 27:35, ลูกา 23:34
19. สดุดี 40:17, 70:5
20.สดุดี 35:17, 40:13,17,21:1
21. 2 ทิโมธี 4:17,อิสยาห์ 34:7
พระเจ้าทรงช่วยแล้ว!
22 ข้าจะบอกถึงพระนามของพระองค์ให้แก่พี่น้อง
ในที่ประชุม ข้าจะสรรเสริญพระองค์
23 ผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระองค์เถิด!
วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เถิด
และยืนด้วยความสะพรึงต่อพระพักตร์
เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล!
24 เพราะพระยาห์เวห์ ไม่ทรงดูหมิ่นหรือรังเกียจความทุกข์
ของคนที่รับความทรมาน พระองค์ไม่ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา
แต่ทรงฟังเมื่อเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือ
25 คำสรรเสริญของข้าในที่ประชุมใหญ่นั้น มาจากพระองค์
ข้าจะทำตามคำปฏิญาณต่อหน้าคนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์
26 คนที่ทนทุกข์จะได้กินอิ่มอย่างพึงพอใจ
คนที่แสวงหาพระยาห์เวห์จะสรรเสริญพระองค์
ขอให้พระทัยของพระองค์ดำรงต่อไปเป็นนิตย์!
27 ทุกคนจนสุดปลายแผ่นดินโลกจะระลึกได้
และหันมาหาพระยาห์เวห์
และทุกครอบครัวในชาติต่าง ๆ จะนมัสการต่อพระพักตร์
28 เพราะพระราชอาณาจักรเป็นของพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงปกครองเหนือชาติต่าง ๆ
29 คนร่ำรวยในโลกจะกินและนมัสการพระองค์
เหล่าคนที่ลงไปยังผืนดินจะคุกเข่าต่อพระพักตร์
ไม่เว้นแม้คนที่ไม่อาจรักษาชีวิตของตนไว้
30 วงศ์วานของเขาจะรับใช้พระองค์
คนรุ่นต่อไปจะได้ฟังเรื่องราวขององค์เจ้านาย
31 พวกเขาจะมาและประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์
ให้กับเหล่าคนที่กำลังจะเกิดมาว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด
22. ฮีบรู 2:12, โรม 8:29
23. สดุดี135:19,20
24. ฮีบรู 5:7, อิสยาห์ 50:6-9
25. สดุดี 35:18, 40:9,10,
สดุดี 61:8,ปญจ.5:4
26. สดุดี 69:32, อิสยาห์ 65:13
27. สดุดี 86:9, 2:8, วิวรณ์ 7:9-12
28.สดุดี 47:7,โอบาดีย์ 21, เศคาริยาห์ 14:9, มัทธิว 6:13
29. สดุดี 17:10, 45:12, ฮาบากุก 1:16, สดุดี 28:1, อิสยาห์ 26:19
30. 1 เปโตร 2:9, สดุดี 78:6
31. สดุดี 86:9, 102:18
สดุดี 22 คำอธิบายเพิ่มเติม
ข้อ 1-2 พระผู้ที่ถูกทอดทิ้งคร่ำครวญ
ภาพของพระเยซูที่ทรงทนทุกข์โดดเดี่ยวบนไม้กางเขนชัดเจนมาก ขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้า เหตุใดพระองค์จึงละทิ้งข้าพระองค์?” พระบิดาเจ้าทรงละทิ้งพระบุตรของพระองค์ในขณะที่ทรงเทพระพิโรธเพราะบาปของมนุษย์ลงบนพระบุตรจริง ๆ พระเยซูทรงรับโทษบาปแทนทุกคนที่เชื่อ เป็นการละทิ้งพระบุตรชั่วระยะหนึ่ง คำถามนี้ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำบอกความเจ็บปวด และความทุกข์ใจสุดทนทาน ไม่มีคำตอบจากสวรรค์เมื่อพระองค์ร้องทูล
จนพระเยซูตรัสว่า “โอ พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ลูกา 23:46.
ข้อ 3-5 ระลึกถึงพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ และวันที่พระเจ้า
เคยช่วยเหลือ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และทรงสั่งให้คนของพระองค์บริสุทธิ์ด้วย บริสุทธิ์นี้คือการถูกแยกออกมาจากสิ่งที่เป็นมลทิน และด้วยความบริสุทธิ์นี้ พระองค์จึงทรงต้องแยกจากพระบุตรบนไม้กางเขน เป็นสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่านรก สำหรับพระเยซู. เพราะพระองค์ต้องถูกแยกจากพระบิดาที่เคยรักและอยู่ใกล้ชิดมาไม่เคยห่าง และพระเยซูยังต้องรับเอาพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์มาไว้บนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
แต่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงรู้ว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงตอบคำร้องทูลเหมือนอย่างที่เคยทรงตอบคนอิสราเอล
ข้อ 6-8. ตัวข้าเป็นเหมือนหนอน ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนกางเขนนั้น พระองค์ถูกโบยมาก่อน เลือดโชก ร่างของพระองค์บอบช้ำจนแทบจำไม่ได้ “เขาถูกดูหมิ่นและทอดทิ้ง” อิสยาห์ 53:3 นอกจากโบยแล้ว พระองค์ยังถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกตบพระพักตร์ มีคำหยาบคายโอหังพรั่งพรูมาที่พระองค์ ร่างของพระองค์ดูไม่เหมือนมนุษย์ อิสยาห์ 52:14
คนรอบ ๆ ไม้กางเขนวันนั้น มีแต่ความเกลียดชังที่รุนแรงเกินมนุษย์. ดูเหมือนการถูกตรึงยังไม่พอสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงเยาะเย้ยพระเยซู และยังเยาะไปถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย พวกเขานำหายนะมาสู่ตัวเอง.
ข้อ 9-11 พระเยซูทรงรำลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้าตั้งแต่ที่พระองค์ทรงมาเกิดในโลก ทรงระลึกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์มาตั้งแต่ที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารีย์ พระเยซูทรงมั่นใจในความซื่อตรงของพระเจ้าตลอดเวลาที่ทรงดำเนินในโลกในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทรงทูลขอพระเจ้าอย่าอยู่ห่างไกล เพราะไม่มีใครช่วยพระองค์ได้นอกจากพระเจ้าพระบิดาเท่านั้น
ข้อ 12-18 ความรู้สึกของพระเยซูบนไม้กางเขน ขณะที่โดดเดี่ยวบนกางเขน ศัตรูก็ขู่เข็ญคำรามอยู่รอบด้าน ความเกลียดชังสุดขีดเต็มอยู่ในบรรยากาศอันหดหู่ น่ากลัว โหดเหี้ยมอย่างดิบที่สุด คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า เป็น กระทิง วัวป่า สุนัข สิงโต
เป็นภาพของคนต่อต้านพระเจ้า ที่ทำตัวเหมือนสัตว์กระหายเลือด
เวลานั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต ทรงกระหายน้ำ กำลังหายไปหมด พระทัยข้างในสลายเหมือนขี้ผึ้ง และพระเจ้าทรงวางให้พระองค์อยู่ในความตาย. พระคำตอนนี้ทำให้เราได้สัมผัสว่า พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร
ข้อ 19-21 คำอธิษฐานให้พ้นจากความตาย. จากข้อ 1-21 เราเห็นภาพชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์อย่างชัดเจน และพระเยซูก็ทรงร้องเรียกให้พระเจ้ามาช่วย ขอทรงช่วยให้พ้นจากมือของคนที่เปรียบเหมือนสัตว์ร้ายเหล่านั้น และจากนี้ไป เราจะได้เห็นว่า คำแห่งชัยชนะได้เกิดขึ้นแล้ว
ข้อ 22-23 พระเจ้าทรงช่วย ข้อความต่อจากนี้ มีเนื้อหาแตกต่างจากคำคร่ำครวญขอให้ช่วย เพราะเป็นเนื้อหาที่บอกว่า พระเจ้าทรงช่วยแล้ว พระเยซูทรงบอกถึงการช่วยเหลือให้กับพี่น้อง ชนชาติอิสราเอล เมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ไม่ได้เสด็จสู่สวรรค์ทันที แต่ทรงอยู่กับศิษย์และผู้เชื่ออีกถึงสี่สิบวัน. ในสี่สิบวันนั้น เราพอจะรู้แล้วว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด. ทรงย้ำเตือนให้พวกเขาได้รู้จักพระเจ้า ทรงสอนถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า สี่สิบวันนั้นเพียงพอสำหรับการวางรากฐานการเริ่มต้นคริสตจักรของพระองค์ แม้ต่อไปพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลก. แต่พระกายของพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้น
ข้อ 24-25.นี่เป็นชัยชนะของพระเยซู พี่น้องที่อยู่กับพระเยซูในช่วงนั้นได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงอยู่กับพระบุตรและพวกเขา พระเยซูกับทุกคนได้มีเวลาที่จะสรรเสริญ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่ทรงคืนชีพขึ้นมา พระเจ้าทรงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงฤทธิ์ และเมื่อพระบุตรทรงร้องขอ พระองค์ก็ทรงช่วย
ข้อ 26-30 ความดีของพระเจ้าได้ขยายขอบเขตไปจนสุดโลก. ไม่เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้นที่จะได้หันมาหาพระเจ้า แต่ทุกชาติจะมีโอกาสได้รับพระคุณเหมือนกับศิษย์ของพระเยซู ..พระเจ้าทรงปกครองชาติต่าง ๆ และทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทั่วใต้ฟ้าได้รู้จักพระองค์ เราจะเห็นพันธกิจแห่งการประกาศพระนามในสดุดีบทนี้อย่างชัดเจน พระเยซูไม่ได้ทนทุกข์ แบกบาปเพื่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่เพื่อทุกคนในโลกด้วย ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย และก่อนพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระมหาบัญชาที่ทรงมีต่อทุกคนก็ยังสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้.
ข้อ 30-31 พระเจ้าทรงครอบครองเหนือทุกชาติ ทุกยุค และคนรุ่นที่กำลังจะเกิดมา พันธกิจที่พระเยซูทรงสั่งนั้น ไม่เฉพาะสำหรับสองพันปีก่อน แต่สำหรับคนทุกยุคที่จะตามมา และเราก็เห็นคนชาติต่าง ๆ จำนวนมากได้หันกลับมาหาพระเจ้า แม้คนที่อยู่ในวัฒนธรรม ศาสนาที่เคร่งครัด. คำสุดท้ายที่ว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด… ในภาษาเดิมมีความหมายชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำสำเร็จ เหมือนกับคำตรัสของพระเยซูบนกางเขนที่ว่า “สำเร็จแล้ว!”
เป็นคำ ๆ เดียวกัน