1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8

ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป. เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ
ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า!

ยอห์น 9 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำเชื่อมโยง

ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี

ยอห์น 9:1-3
ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?” (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7) ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้ เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง 
แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น 4:34, 5:19,36, 17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10

ยอห์น 9:4-6 ก
ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5** ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6** มาระโก 7:33, 8:23

ยอห์น 9:6ข-8 
ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้
อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14

ยอห์น 9:9-12
เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี
เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น 9

การสอบสวนโดยคนที่ไม่เชื่อ

ยอห์น 9:13-16
ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ
ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ
(ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39) แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ยอห์น 9:17-19
นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก

ยอห์น 9:20-23
แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา) ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22** ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2

ยอห์น 9:24-27
เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง
พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้
ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย. เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้ และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16

ยอห์น 9:28-31
แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย 
ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
มีให้เขา
29** อพยพ 19:19,20, 33:11, 34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
30** ยอห์น 3:10
31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9, อิสยาห์ 1:15,
เยเรมีย์ 11:11, 14:12, เอเสเคียล 8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13, ยากอบ 5:16
ยอห์น 3:2, 9:1634 สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2

ยอห์น 9:32-34
เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่ เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์

ตาดีแท้ ตาบอดแท้

ยอห์น 9:35-38
เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์ ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา เขาทำเองไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้ ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์
แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์… เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร เป็นใจที่พร้อม เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า
35** ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37** ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2

ยอห์น 9:39-41
คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ
คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร
39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24

เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
อิสยาห์ 43:8 กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
เยเรมีย์ 5:21 กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
อิสยาห์ 56:10 กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด
กิจการ 26:12-18 ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส
เอเฟซัส 4:18 กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด
วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่

2 โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย
ยอห์น 9:4 ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์

ยอห์น 8 คำอธิบายและพระคำอ้างอิง

ผู้หญิงที่ถูกจับมา

ยอห์น 8:1-2
เทศกาลอยู่เพิงเพิ่งเสร็จ    เรื่องที่เกิดขึ้นในพระวิหารคงยังเป็นเรื่องที่คุยกันในเมือง   รุ่งเช้าวันต่อมาพระเยซูเสด็จกลับมาที่พระวิหาร  หลังจากที่ไปพักที่ภูเขามะกอกเทศ ไปถึงก็ทรงนั่งสอน. ผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์มากมาย เวลาสอนนั้น อาจารย์ในสมัยโบราณจะนั่งและมีผู้คน รุมล้อมฟังอาจารย์… พระองค์ทรงสอนในพระวิหารบ่อย ๆ (5:19-47, 7:14-52)    ดูสิว่า พระเยซูทรงกล้าหาญที่จะกล่าวถึงพระบิดาของพระองค์ไม่หยุด..
1 **.มัทธิว 21:1, ลูกา 19:37. 2** ยอห์น 8:20, 18:20

ยอห์น 8:3-6
6 แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกให้ทุกคน  ธรรมาจารย์กับฟาริสี ไปจับผู้หญิงที่บอกว่ากำลังล่วงประเวณีมาให้พระเยซูตัดสินลงโทษ พวกเขาตั้งใจหาเรื่อง ต้องการหาจุดอ่อนเพื่อกล่าวโทษพระเยซู  ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม หรือการทำตามบัญญัติโมเสส. พวกเขาต้องการทำลายทั้งผู้หญิงและพระเยซูต่อหน้าสาธารณชน หลายคนเชื่อว่า พวกเขาจัดฉากให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายพระเยซูโดยเฉพาะ 
5 ในบัญญัติโมเสส เฉลยธรรมบัญญัติ   22:23,24. มีโทษสำหรับคนล่วงประเวณี   พวกที่จับผู้หญิงมา ต้องการให้พระเยซูพูดอะไร ๆ ที่ค้านบัญญัติของโมเสส. เขาถามพระเยซูชัดเจนว่า “ท่านจะว่าอย่างไร?” พวกเขาต้องการคำตอบทันที 6 ถ้าพระเยซูห้ามไม่ให้เอาหินขว้าง .. เท่ากับพระองค์ทรงทำผิดบัญญัติโมเสส.  และถ้าให้เอาหินขว้างก็เท่ากับขัดกับกฏหมายของโรมที่กุมอำนาจอยู่  เพราะโรมห้ามยิวจัดการลงโทษคนของตนเอง พระเยซูไม่ตรัสตอบทันที แต่กลับโน้มพระกายเขียนพื้นซึ่งคงเป็นพื้นทรายหรือดิน .. ไม่มีใครทราบว่า พระองค์ทรงเขียนอะไรที่พื้นดิน แต่คำกรีกที่ใช้นั้น เขียนว่า กราฟีอิน ซึ่งอาจหมายความว่า เขียนบันทึกกล่าวหา … ในพระคัมภีร์แปลบางเล่มมีคำ.. ราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงได้ยินพวกเขา
3- 4** อพยพ 20:14, 5** เลวีนิติ 20:10, เฉลยธรรมบัญญัติ 22:21-24  6* *มัทธิว 22:15,18, 19:3

ยอห์น 8:7-8
8 แต่พวกเขาก็ถามไม่หยุด  พระองค์จึงทรงยืน และมองพวกเขาตาต่อตา.  คำของพระองค์นั้น ทำให้ทุกคนตะลึง ใครจะไปคาดคำตอบเช่นนี้..
“ใครไม่บาปก็ขว้างเป็นคนแรกเลย” … แทนที่จะเอาผิดกับผู้หญิง พระเยซูทรงชี้ความผิดของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น !! คนที่เป็นพยาน เห็นความบาปของผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในบาป ก็เอาหินขว้างได้  พวกเขาต้องการให้พระเยซูติดกับดัก  แต่พระเยซูกลับทรงย้อนพวกเขาว่า ถ้าเขาไม่มีบาปแบบนี้จริง ๆ ละก็ เขาลงโทษเธอได้ 
8 แล้วพระเยซูทรงให้เวลาพวกเขาคิด..ได้อ่านสิ่งที่ทรงเขียนบนดิน 
7** ฉธบ. 17:7, โรม 2:1-3, 21-25,  8**-

ยอห์น 8:9-11
11 พวกเขาได้คิดจริง ๆ. เริ่มรู้ตัวว่าพระเยซูหมายความอย่างไร คนที่อายุมากกว่าก็เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสทันที  คนอื่น ๆ อาจจะยังเถียงกันไปมา แต่แล้ว ก็ไม่มีใครเหลืออยู่เลย.. ยกเว้นผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ยืนอยู่ตรงนั้น
10 ขณะที่พระเยซูทรงก้มเขียนดิน พวกเขาเดินออกไป พระเยซูทรงยืดพระกาย.. ถามเธอว่า ไม่มีใครเอาผิดหรือ?  ลองคิดดูว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกอย่างไร อาจตกใจมากอยู่… แต่แล้ว เธอก็ได้รับพระคุณยิ่งใหญ่..
11 พระเยซูไม่ได้เอาผิดหญิงคนนี้ แต่พระองค์ทรงยกโทษให้และขอให้เธอหยุดทำบาป  สมกับเป็นองค์พระเยซูที่ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา … เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อม มัทธิว  11:28,29. เราจะเห็นคนบาปสองแบบคือ คนที่ดูดีมีฐานะ มีความรู้ หรือเป็นคนดีมาก ๆ แต่หลบซ่อนบาปของตัวเองไว้    กับคนบาปที่ทำบาปให้เห็น  พวกแรกก็ชอบวิจารณ์  ชอบหาความผิด คอยกล่าวหาผู้อื่นไม่หยุดหย่อน คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ๆ 
พระเยซูทรงทำให้หญิงที่ถูกกล่าวหาได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเธอ พระองค์พร้อมที่ให้เธอกลับใจ การเปลี่ยนชีวิตของเธอเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่เธอเห็นความอ่อนโยนที่พระองค์ปฏิบัติต่อเธอ
9* โรม 2:22 , ปัญญาจารย์​ 7:22, 1 ยอห์น 3:20, 10** อิสยาห์. 41:11-12 11* ยอห์น 3:17, 5:14, อิสยาห์ 1:16-18

องค์ผู้เป็นแสงสว่างแห่งโลก

ยอห์น 8:12-14. คำสนทนาเรื่องความสว่างของโลก
12. กลับมาที่คำสนทนาระหว่างยิวฟาริสี ธรรมาจารย์กับพระเยซู เป็นคำสนทนาที่ยาวพอสมควร …. ครั้งที่สองที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็น…..” ก่อนหน้านี้ ตรัสว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต (6:35 ตอนที่ทรงเลี้ยงคน 5000 คน )  และก่อนหน้านี้ พระองค์ยังชวนให้คนเข้ามาหาน้ำแห่งชีวิต ซึ่งพระองค์หมายถึงองค์พระวิญญาณ  (7:37-38)
เมื่อไรที่มีการพูดถึงความสว่าง  คนยิวจะคิดถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นการทรงสร้างความสว่าง หรือการที่ทรงเป็นเสาไฟยามกลางคืนเมื่ออิสราเอลเดินในถิ่นกันดาร   ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่าทรงเป็นความสว่างเท่ากับ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้า” ชัดมาก   ทำให้พวกเขาโกรธที่พระองค์ยืนยันเช่นนี้(อิสยาห์เคยกล่าวไว้ว่า ผู้รับใช้ที่พระองค์จะส่งมา คือแสงสว่างของโลก อิสยาห์ 42:6, 49:6)  จริง ๆ แล้วเทศกาลอยู่เพิงเป็นเทศกาลแห่งไฟด้วย จะมีการจุดไฟสว่างเอาไว้ตลอดเทศกาลระลึกถึงการเดินในถิ่นกันดาร
13. เราก็อาจงงว่า ทำไมฟาริสีพูดเช่นนั้น หาว่า พระองค์เป็นพยานให้ตนเอง  คำของพระองค์จึงเชื่อถือไม่ได้ว่าทรงเป็นแสงสว่าง   ในระบบศาลของยิวจะต้องมีพยานสองปากขึ้นไป
14. พระองค์กำลังบอกว่าที่คำพยานของพระองค์เชื่อถือได้เพราะ  เป็นพยานเดียวก็ได้ แม้จะไม่ตรงตามบัญญัติของโมเสส    พระองค์ทรงรู้ว่าทรงมาจากสวรรค์ ทรงเป็นพระเจ้า ( 7:29, 33-34) แต่พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้
12** ยอห์น 1:4, 9:5, 12:35, 1 เธสะโลนิกา 5:5,อิสยาห์ 49:6 13** ยอห์น 5:31  14**  ยอห์น 7:28, 9:29

ยอห์น 8:15-18
15.พระเยซูบอกให้ฟาริสีรู้ว่า พวกเขาไม่ได้มีสิทธิจะตัดสินพระองค์เลย พระองค์ต่างหากที่เป็นพระเจ้าสามารถตัดสินพวกเขาได้  (อ่านดาเนียล 7:9-14)   พวกเขากำลังประเมินพระองค์แบบมนุษย์ การรู้จัก และความเห็นของตัวเองที่มีต่อพระองค์  พวกเขาเห็นว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ ไม่ได้เรียนในธรรมศาลาเหมือนพวกเขา
16. ถึงอย่างนั้น พยานของพระองค์มีสองท่านคือ ตัวพระองค์เอง และพระบิดา ดังนั้นจึงถูกต้อง
17.ตามธรรมบัญญัติที่วางไว้ว่าต้องมีพยานสองคนขึ้นไปจึงจะเชื่อถือได้. (ฉธบ.17:6)
18. (ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นนั้น พระบิดาได้ลงมาตรัสว่า  ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ ให้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็น รวมถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์บางคนที่ออกไปรับบัพติศมา).
ลูกา 3:21-22 พระบิดาทรงมาเยี่ยมเยี่ยนในวันที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น อ่านยอห์น 1:29-34, 3:22-35 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู
15** ยอห์น 7:24, 3:17,12:47, 18:36   16** ยอห์น 16:32  17** ฉธบ. 17:6, 19:15   18** ยอห์น 5:37

ยอห์น 8:19-20
19.  บิดาของท่านอยู่ที่ไหน? พวกเขาถามถึงบิดาที่เป็นมนุษย์ แต่พระเยซูกำลังตรัสถึงพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ ฟาริสีมองฝ่ายเนื้อหนัง พระเยซูทรงกล่าวถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ 
คนละมุมมอง เหมือนพูดกันคนละเรื่อง
เอากันจริง ๆ ฟาริสีและธรรมาจารย์รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ไม่เหมือนใคร อย่างไร พระองค์พิเศษอย่างไร   ถ้าเขารู้จักพระองค์จริง ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรู้จักพระบิดาด้วย … แต่ตอนนี้ฟาริสีและธรรมาจารย์ตามืด ตาบอด ขอเพียงแต่ได้ทำลายพระเยซูเป็นพอ  
ลองคิดถึงเปโตรในวันที่พระเยซูทรงถามเขาว่า ท่านว่าเราเป็นใคร เขาตอบอย่างชัดเจนเพราะเขารู้จักพระองค์ว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”. (มัทธิว 16:16)
20. ยอห์นได้บันทึกว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในที่สาธารณะ คลังพระวิหารนั้นอยู่ด้านหน้าสุดของพระวิหาร เป็นที่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าหน้าที่และยามพระวิหาร   ผู้คนไม่น้อยได้ฟังคำสนทนาที่เกิดขึ้น 
19** ยอห์น 16:3, 14:7,     20** มาระโก 12:41, 43, ยอห์น  2:4, 7:30, ยอห์น 7:8

ยอห์น 8:21-23
21. จากการที่ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้พยายามต่อต้านพระองค์ขนาดนี้ พวกเขาไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าส่งมา  พระเยซูจึงทรงบอกอนาคตของพวกเขารู้กันไปเลย  ว่าที่ ๆ พระองค์จะไปพวกเขาไปไม่ได้  พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นชีพ คืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์
22. แต่พวกเขากลับเห็นว่าพระองค์จะฆ่าตัวตาย และที่สุดก็ไปนรก (ในความเชื่อยิวนั้น นรกเป็นที่สุดท้ายของคนที่ฆ่าตัวตาย)
ดูสิ พระองค์ตรัสว่าจะทรงไปสวรรค์ แต่เขากลับเข้าใจว่าพระองค์จะไปนรก   เราจะเห็นได้ชัดว่าฟาริสีเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ ไม่รู้อะไรในเรื่องฝ่ายวิญญาณเลย
23. แล้วพระเยซูจึงสรุปให้เข้าใจจริงว่า อะไรเป็นอะไร พระองค์มาจากสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า มาจากเบื้องล่าง  ในภาษาเดิมเป็นการเล่นคำด้วย   ยอห์นบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ทรงเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงอยู่มาตั้งแต่ต้น ทรงเป็นความสว่างที่ลงมาในโลก  พวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
21** ยอห์น 7:34, 13:33, 8:24,  22** สดุดี 22:6   23** ยอห์น 3:31, 4:5

ยอห์น 8:24-26
24. แล้วพระเยซูทรงแจ้งตรงไปตรงมาว่า หากพวกเขาไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจะต้องตายเพราะบาป ในภาษาเดิมพูดว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่า เราคือ “เราเป็น” (อีโกอีไมซึ่งเป็นชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกพระองค์เองในวันที่พระองค์ทรงบอกชื่อของพระองค์แก่โมเสสที่พุ่มไม้ไฟ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนได้อีกลึกซึ้งมาก )   
25. ได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็โกรธยิ่งขึ้น  เอาอีกแล้ว ชายคนนี้ทำตัวเสมอพระเจ้าอีกแล้ว… “ท่านเป็นใครกัน?”  พวกเขาถามอย่างนี้บ่อย ๆ แต่เมื่อพระเยซูทรงตอบว่าทรงเป็นพระคริสต์ ก็ไม่ยอมรับ    (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:39)  พวกเขาต้องได้คำตอบแบบที่ตนต้องการจึงจะพอใจ
26.  พระเยซูกำลังตรัสแก่ยิวและแก่เราว่า หากไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงบอกแล้วละก็  เขาจะต้องตายเพราะบาปของเขา (ยอห์น16:9 บอกเราชัดว่า การไม่เชื่อคือการอยู่ในสถานะบาป)
24** ยอห์น 8:21, มาระโก 16:16  25** ยอห์น 4:26   26** ยอห์น 7:28, ยอห์น 3:32, 15:15

ยอห์น 8:27-30
27.  ความที่ไม่ยอมรับพระบุตรและพระบิดาตามที่พระเยซูตรัส พวกเขาจึงไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังบอกเขาว่า มีพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา และพระบิดาตรัสอะไร พระเยซูก็จะบอกตามนั้น
28. แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงอนาคตอันใกล้ว่า เมื่อไรที่ยิวยกพระองค์ขึ้น  (ไม่ได้หมายความว่ายกย่อง)  แต่เป็นการยกไม้กางเขนที่มีร่างของพระองค์ติดอยู่ แล้วตั้งขึ้น  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเขาจึงจะรู้ว่า พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระบิดาบัญชา
29. และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระบิดากับพระเยซูใกล้ชิดกันเสมอ เพราะเป็นพระบุตรที่ทำให้พระบิดาพอพระทัย    30. แปลกที่เวลานั้น มียิวหลายคนตัดสินใจเชื่อพระองค์ !  แต่เชื่อแบบไหนกัน เราดูต่อไป
27** อิสยาห์ 6:9 , 2 โครินธ์ 4:3-4   28** ยอห์น 3:14, 12:32, 19:18,  โรม 1:4, ยอห์น 5:19,30, 3:11    29** ยอห์น 14:10, 8:16, 16:32, 4:34,5:30,6:38   30** ยอห์น7:31, 10:42, 11:45

ลูกอับราฮัมหรือลูกมาร ?

ยอห์น 8:31-34
31-32   แทนที่พวกเขาเชื่อ แล้วพระองค์จะเอาใจ  พระองค์กลับตรัสสิ่งที่แรงมาก   นั่นคือพระองค์ตรัสสื่อว่า พวกเขาเป็นทาสอยู่  เมื่อไรที่เขารู้ความจริง เขาจะเป็นอิสระ ความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ที่ช่วยให้เราไม่ตกไปเป็นทาสคำโกหกของใคร 
33. พวกเขาโกรธและคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นทาสใคร  (พวกเขาลืมไปว่า  ในทางการเมืองแล้วพวกเขาเป็นทาสโรม  ในทางความเชื่อ พวกเขาเป็นทาสกฎบัญญัติอย่างสุดโต่ง  พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นทาสบาป)
34. อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนพระทัยฝ่ายวิญญาณ ทรงบอกเขาว่าถ้าเขาทำบาป เขาก็เป็นทาสของบาป  พอได้ยินอะไรแบบนี้ที่เหมือนจะดูถูกตัวพวกเขา พวกเขาก็จะรับไม่ได้เลย
พระเยซูทรงยื่นชีวิตอิสระที่มาจากการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และการถูกลบบาปโดยพระองค์เอง แต่พวกเขารับคำของพระองค์ไม่ได้เลย 
31**  ยอห์น 14:15,23,  32**  ยอห์น 1:14,17,  14:6  โรม 6:14,18,22,   33** เลวีนิติ 25:42, มัทธิว 3:9, ลูกา 3:8   34** สุภาษิต  5:22, โรม 6:16, 2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:35-38
35. คนยิวคิดว่าตนเองเป็นลูกในครอบครัวของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูกลับทรงแจ้งให้พวกเขารู้ว่าเขาเป็นเพียงทาสไม่ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้านาน ๆ หรอก พระบุตรเท่านั้นที่อยู่ตลอดไป  
36. การเป็นอิสระจริง ๆ ที่พระเยซูกล่าวถึง คือการเป็นอิสระจากภาวะทาสบาป 
37 พระเยซูทรงรู้ว่าพวกเขาเป็นยิวแท้ เป็นลูกหลานของอับราฮัม ที่พระองค์ตรัสว่า เจ้าไม่มีคำของเราในตัว ความหมายคือ คำของพระเยซูไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเดิมของพวกเขา ถ้าเป็นอับราฮัม เขาจะไม่คิดฆ่าพระเยซู
38.  และเมื่อพระองค์ตรัสว่า เจ้าทำสิ่งที่เจ้าฟังมาจากพ่อของเจ้า พระองค์ทรงหมายถึงมาร แต่พวกเขาคิดว่าพ่อของพวกเขาคืออับราฮัม   เป็นการสนทนาที่น่างุนงง ดูไปดูมา การสนทนานี้เหมือนว่า พระบิดาทรงสนทนากับเหล่าฟาริสีโดยตรง เพราะพระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์ตรัสตามที่พระบิดาทรงสอนไว้ (ข้อ 28)
35** ปฐมกาล 21:10; กาลาเทีย 4:30, ลูกา 15:31  36** โรม 8:2, 2 โครินธ์ 3:17, กาลาเทีย 5:1
37**  ยอห์น  7:19   38**  ยอห์น 3:32, 5:19,30, 14:10    

ยอห์น 8:39-41
39 บางคนเริ่มสับสนแล้ว ยังยืนกรานว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูก็ทรงยืนยันว่า อับราฮัมจะไม่ทำอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำอยู่    พวกเขาเป็นลูกหลานอับราฮัมแค่เชื้อสาย แต่ไม่ใช่ด้วยความเชื่อ
40. “แต่เจ้าพยายามฆ่า คนที่บอกความจริง” ในฐานะมนุษย์พระองค์เป็นคนที่ได้รับทุกสิ่งมาจากพระเจ้า ก่อนที่มาจากเป็นมนุษย์ 
41 ตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาว่า พระเยซูเป็นลูกนอกสมรสของมารีย์   เวลาอีกฝ่ายไม่สามารถต่อสู้ความในศาล หรือในการโต้แย้งได้ สิ่งที่มักทำกันคือ การกล่าวหาทำให้อีกฝ่ายหมดความน่าเชื่อถือ. คำตอบของพวกเขาทำให้เรารู้สึกว่า เขาภูมิใจที่เชื่อพระเจ้าองค์เดียว ไม่ได้เป็นเหมือนคนต่างชาติที่มีพระมากมาย  เวลาพวกเขาพูดถึงพระเยซูว่าเป็นชาวสะมาเรีย (ข้อ 48) หรือกล่าวว่าพระองค์จะไปหาคนต่างชาติ (7:35)  พวกเขาพูดด้วยความรู้สึกดูถูกคนเหล่านั้น    พวกเขารู้สึกจริง ๆ ว่าเขาเหนือชนชาติอื่น ๆ เพราะพวกเขาเป็นคนของพระเจ้า
39** มัทธิว 3:9, ยอห์น 8:37, โรม 2:28, กาลาเทีย 3:7,29   40** ยอห์น 8:37,26,   41** ฉธบ 32:6, อิสยาห์ 63:16, มาลาคี 1:6

ยอห์น 8:42-44 ก
42. คำตรัสของพระเยซูตอนนี้ เด็ดจริง ๆ  ถ้าพวกเขาเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะรักพระองค์ พระองค์ไม่ได้มาเอง แต่พระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก 
43. พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นคนละองค์  ทรงออกมาจากแก่นแท้ของพระเจ้า มาอยู่ในโลกมนุษย์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง !
คำสนทนาตอบโต้กันนี้ แรงตลอด … สิ่งที่พระเยซูตรัสชัดเจน  พวกเขาไม่มีอาจรับสิ่งที่พระองค์ตรัสได้เลย 
44 ก.พระองค์ทรงถามเขา แล้วพระองค์ทรงตอบให้ว่า อาการจริง ๆ ของการไม่ยอมรับพระองค์มาจากไหน  ไม่ใช่แค่ ว่าพวกเขาเป็นทาสบาปเท่านั้น  แต่เป็นเพราะ พวก เขาเป็นของลูกของมาร และพวกเขากำลังทำตามความต้องการของมารอยู่  ถ้าเขาเป็นลูกอับราฮัมจริง ๆ เขาจะไม่ทำเช่นนี้
42** 1 ยอห์น 5:1, ยอห์น 16:27, 17:8, 25, 5:43, กาลาเทีย 4:4  43**  ยอห์น 7:17, 44ก**  มัทธิว 13:38, 1 ยอห์น 3:8, 2:16, 3:8-10, 15

ยอห์น 44ข- 47
44ข. จากนั้นพระเยซูก็ทรงอธิบายให้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์อธิบายนิสัยใจคอของมาร พ่อของพวกเขาคือมารได้โกหก และฆ่ามนุษย์มาตั้งแต่แรก   มารไม่ยืนในความจริง  มันเป็นพวกมุสาไปเสียทุกเรื่อง ถึงจะพูดจริงบางส่วนก็เพียงเพื่อเอาไว้ล่อให้คนตายใจ   มันเรียกดีว่าชั่ว เรียกชั่วว่าดี  มันเป็นผู้สนับสนุนความชั่วร้ายทุกรูปแบบ
45. คนที่เชื่อคำโกหกมานาน ๆ เมื่อเจอกับความจริงกลับทำใจให้เชื่อไม่ได้    
46. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทำบาปเลย  แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพระองค์ 
น่าแปลกที่คนยิวที่กำลังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่า เขาต้องการฆ่าพระองค์
47.  พระองค์สรุปว่า คนของพระเจ้าจะฟังพระดำรัส  ทรงถามเขา และทรงตอบให้อีก
44 ข**  ยูดา 6   45** 2 ทิโมธี 4:3-4, 2  เธสะโลนิกา 2:10   46**  มาระโก 11:31   47** ลูกา 8:15, ยอห์น 10:26, 1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 8:48-51
48. คราวนี้พวกเขาทนแทบไม่ได้ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธคำของพระเยซู ดังนั้นจึงเลี่ยงไปกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ยิวทั้งดูหมิ่นและเกลียดชัง  ไม่แค่นั้น หาว่าพระองค์ถูกผีสิงด้วย! พวกเขาใช้วิธีกล่าวหาอีกฝ่ายเมื่อไม่สามารถสู้คำของพระองค์ได้
49-50 เมื่อพระองค์ตรัสว่า เราถวายเกียรติพระบิดา ไม่ได้หาเกียรติให้ตัวเอง และพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง  เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มีผีสิงแน่นอน เพราะผีจะไม่ถวายเกียรติพระเจ้า  พวกเขาต่างหากที่เป็นลูกมาร
51. การทำตามคำของพระองค์ มีความหมายว่า เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นความตาย  คือจะไม่ตกนรกไป 
48** ยอห์น 7:20, 10:20,  49** ยอห์น   5:41   50**  ยอห์น 7:18,  ฟีลิปปี 2:6-8  51** ยอห์น 5:24, 11:26

ยอห์น 8:52-54
52. ความตายในที่นี้ พระเยซูทรงหมายถึงความตายของจิตวิญญาณ
53. แต่ฟาริสีคิดถึงความตายฝ่ายร่างกาย   พวกเขามองว่าพระเยซูยกตัวเองใหญ่กว่าอับราฮัม
54. เกียรติของพระเยซูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนเหล่านี้. แต่พระเจ้าต่างหากทรงให้เกียรติพระเยซูอย่างสูงส่งที่สุด 
52** ยอห์น 7:20, 10:20, เศคาริยาห์ 1:5, ฮีบรู 11:13  53**  ยอห์น 10:33, 19:7  54**  ยอห์น 5:31,32,41, กิจการ 3:13

ยอห์น 8:55-56
55. อับราฮัมยินดีที่เห็นวันของเรา นั่นคือ อับราฮัมได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าว่า จะให้เชื้อสายของเขาได้เป็นพระพรต่อโลก  พระเยซูคือเชื้อสายอับราฮัมที่ทำให้ทั้งโลกได้รับพรจริง ๆ  แต่ยิวไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการเป็นพระเจ้าของพระองค์ 
56. เป็นไปได้อย่างไรที่อับราฮัมจะเห็นวันนี้ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว แต่พระเยซูกลับกล่าวถึงอับราฮัมราวกับว่า เขามีชีวิตอยู่  
55** ยอห์น 7:28,29, 15:10  56** ลูกา 10:24, มัทธิว 13:17, ฮีบรู 11:13

ยอห์น 8:57-59
57-58 คนในพระวิหารที่คุยอยู่กับพระเยซู​โกรธมากที่พระองค์ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสชัดเจนต่อหน้าพวกเขาว่าพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมเสียอีก  ดังนั้น ถ้ามีใครมาพูดว่า พระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก็ต้องมาดูพระคัมภีร์บทนี้  พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ยืนยันอยู่ตลอดเวลา 
59. ในที่สุดความโกรธของยิวถึงระดับที่จะเอาหินขว้างพระองค์ ! ซึ่งเป็นวิธีการลงโทษที่ไม่ต้องใช้การพิจารณาคดีเลย  เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ยิวเมื่อเห็นใครท้าทายบทบัญญัติของโมเสสหรือประเพณีที่สืบต่อกันมา พวกเขาเห็นว่าพระเยซูดูหมิ่นพระเจ้า แถมยังบอกว่าอยู่มาก่อนอับราฮัม ดังนั้นจึงพร้อมที่จะขว้างพระองค์ด้วยตัวเอง  
เราเริ่มต้นบทนี้ด้วยการพยายามจะเอาหินขว้างหญิงล่วงประเวณี แต่แล้วกลับหันมาต้องการขว้างใส่พระเยซู
57-    58** มีคาห์ 5:2, ยอห์น 17:5, ฮีบรู 7:3, วิวรณ์ 12:13, อพยพ 3:14, อิสยาห์ 43:13, ยอห์น 17:5, 24, โคโลสี 1:17, วิวรณ์ 1:8   59 ยอห์น 10:31, 11:8, ลูกา 4:30, ยอห์น 10:39