1 โครินธ์ 13 ความหมายแห่งรัก

1 โครินธ์ 13:1-3
แม้ว่าข้าจะพูดเป็นภาษาแปลกที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาของมนุษย์หรือของทูตสวรรค์ แต่ไม่มีความรัก ข้าก็เป็นแค่เสียงฆ้องหรือฉาบที่ส่งเสียงอยู่เท่านั้น
แม้ข้าจะเผยพระดำรัสของพระเจ้าได้มีความรู้ในสิ่งล้ำลึก รอบรู้ในทุกเรื่องมีความเชื่อจนเคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ตัวข้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าข้าแจกจ่ายสิ่งของที่มีแก่คนขัดสนและยอมเอาตัวไปเผาไฟ แต่หากไม่มีความรัก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

1 โครินธ์ 13:4-8
ความรักเริ่มต้นที่ความอดทนนานและใจเมตตาปราณี
ความรักไม่อิจฉา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งยโส ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกรธง่าย ไม่ช่างจำความผิด ไม่พอใจกับการทำผิด
แต่ยินดีกับความจริง
ความรักทนต่อทุกอย่าง เชื่อมั่นอยู่เสมอ มีความหวังใจ และมีหัวใจพากเพียร บากบั่นในทุกสิ่ง
ความรักนั้นยืนยงมั่นคงนิรันดร์
แม้การเผยพระคำจะเลิกไป หรือการพูดภาษาที่แปลกจะเลิกไป หรือความรู้ใด ๆ จะเสื่อมไป

1 โครินธ์ 13:9-11
เป็นเพราะว่า เรามีความรู้เพียงบางส่วนและเผยพระคำเพียงบางส่วนแต่เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมมาถึงความไม่สมบูรณ์นั้นจะสูญไป

เมื่อข้ายังเป็นเด็ก ข้าพูดอย่างเด็กคิดและหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็เลิกพฤติกรรมอย่างเด็ก

1 โครินธ์ 13:12-13
เพราะเวลานี้ เราเห็นภาพสะท้อนมัว ๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นเราจะเห็นภาพชัดตามความเป็นจริง
เวลานี้ข้ารู้เพียงบางส่วน แต่ในเวลานั้นข้าจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับที่พระองค์ทรงรู้จักข้า
และบัดนี้ สามสิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมด ก็คือความรัก

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 13:1-3
หนังสือ 1 โครินธ์บทที่ 13 นับได้ว่า เป็นข้อพระคำที่ผู้คนรู้จักกันมากที่สุด เพราะมีการนำมาร้องเป็นเพลงรัก และใช้อ่านในงานแต่งงานกันเสมอแต่พระคำข้อแรกนี้ กำลังแนะนำเราว่า การมีของประทานที่ปราศจากความรักนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น คน ๆหนึ่งที่มีของประทานจากพระเจ้า อาจสอนเก่ง เทศน์เกิดผล พูดและแปลภาษาที่แปลกได้ รักษาโรคได้ แต่หากไร้รัก ก็ไร้ค่าสำหรับตัวเขาเอง
จะเห็นว่าการใช้ของประทานนั้น บางคนอาจใช้โดยไม่ได้มีความรักเลย เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เผยพระคำ ให้แบ่งปันความรู้ ให้มีความเชื่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องแต่หากไร้ซึ่งความรัก สิ่งที่ทำสำเร็จกลับไม่มีค่าเป็นความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เต็มร้อย มีคนกล่าวว่า สัญญาณว่าคน ๆ หนึ่งเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ใช่การอัศจรรย์ต่าง ๆแต่เป็นความรัก
ท่านเปาโลยังอธิบายต่อไปว่า จะเป็นคนใจดีแจกจ่ายให้คนอื่นมากมาย ทำงานที่ทำให้คนอื่นได้ดี แถมยังยอมแม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง ยอมถูกทรมานเพื่อความเชื่อ ถึงขนาดนั้นแล้วท่านเปาโลยังมองว่าหากไม่ประกอบด้วยความรัก นั่นจะไม่มีค่าอะไรเลย
ทำให้เราย้อนไปถึงพระเยซู บนไม้กางเขน การที่พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์ยอมอับอาย ยอมทุกอย่างไม่ใช่เพื่อเป็นวีรบุรุษแต่เพราะพระองค์ทรงรักพระบิดาและชาวโลกนี้

1 โครินธ์ 13:4-8
เราอาจจะถามว่า แล้วรักคืออะไรล่ะสองสิ่งที่รักเป็น คืออดทนและเมตตา เมื่อเรามีความรัก สองสิ่งแรกที่เป็นส่วนประกอบของรักนั้น จะต้องปรากฏ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รัก ยังมีอีกแปดอย่างที่ไม่ใช่รัก ..คำอธิบายของสิ่งที่ไม่ใช่ความรักของท่านเปาโล ทำให้เรารู้เลยว่า ในชีวิตครอบครัว ในความสัมพันธ์กับเพื่อนของเรานั้น มันใช่ไหมว่าเป็นรักหรือเปล่า
ไม่เฉพาะอดทนนาน และเมตตาเท่านั้น แต่คนที่รักจะทนต่อทุกอย่าง มีความเชื่อหวังใจ บากบั่นพากเพียรแม้จะยากเพียงไร สิ่งที่เป็นของประทาน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามอาจเสื่อมไป แต่ความรักจะอยู่ตราบเท่าที่มีนิรันดร์กาล
สุดยอด พระคำตอนนี้ เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นส่วนที่อยู่ไปตลอดไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น

1 โครินธ์ 13:9-11
เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมจากพระเจ้ามาถึงของประทานก็จะหมดไป หยุดไปจากพระคำข้อนี้ เราพอจะสรุปได้ว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นสำคัญ แต่ของประทานนั้นมีวันที่จะสูญสิ้นไปด้วย มันจะสูญไปเมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมของพระเจ้ามาถึง นั่นคือ เมื่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์มาถึงเราครบถ้วน เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงชนะเหนือศัตรูทั้งปวง
ทำไมท่านเปาโลพูดเช่นนี้ ท่านกำลังจะบอกว่าเด็กก็เหมาะกับการเล่น การคิด การทำอะไรแบบเด็ก ๆ น่ารักบ้าง น่าโมโหบ้าง แต่ก็เป็นเด็ก
เมื่อเราเติบโตในพระเจ้า เราก็ไม่มีความคิดแบบเด็กอีกต่อไป เหมือนกับเมื่อคริสเตียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความหมกมุ่นวุ่นวายกับของประทาน
นั้นก็จะลดลง เพราะความรักมาเหนือสิ่งเหล่านั้นท่านไม่ต้องการให้พี่น้องเน้นเรื่องของประทานเกินความรักที่มีต่อกัน

1 โครินธ์ 13:12-13
เมื่อเราเห็นพระเยซูต่อพระพักตร์ ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นก็เหมือนจะเลือนไปเลยเพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อเรามีพระองค์อยู่ตรงหน้าเรา เราจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า ดังนั้นท่านเปาโลจึงมองว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นจะสูญไป แต่พระเจ้าและความรักของพระองค์จะยืนยง และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นพระองค์ชัด เราจะรู้ถึงพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เหมือนตอนนี้ที่รู้ไม่หมด
ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านเปาโลได้สรุปให้เราเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างที่เป็นความรู้ความสามารถ ของประทาน การอัศจรรย์
ฤทธิ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่หายไป ไม่มีอีก เมื่อมาถึงเส้นชัยสุดท้ายของโลกและจักรวาลเมื่อพระเจ้าเปลี่ยนโลกนี้เป็นอีกโลกสิ่งที่ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ ความรักและท่านเปาโลมองว่า รักนั้น สำคัญที่สุด

 พระคำเชื่อมโยง

2 ยอห์น 1 ต้อนรับด้วยความจริง

ทักทายสตรีที่พระเจ้าทรงเลือก

จดหมายฉบับนี้ มาจากข้าซึ่งเป็นผู้ปกครองอาวุโส เขียนถึงสตรีที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และลูกหลานของเธอที่ข้ารักในความจริง และไม่ใช่ตัวข้าเท่านั้น แต่คนทั้งหลายที่รู้จักความจริงก็รักด้วย
2 ยอห์น 1:1

1 ยอห์น 3:18; 1 ทิโมธี 2:4; ยอห์น 8:32;
โคโลสี 1:5

ผู้ที่รู้จักความจริง ก็รักคนที่มีความจริง คือมีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต ท่านยอห์นเน้นเรื่องความจริงอย่างมาก ในก่อนสุดท้ายบทที่แล้ว ท่านกล่าวถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นจริง สิ่งที่ผู้พันหัวใจคริสเตียนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันนั้นคือ องค์พระเยซูผู้ทรงเป็นความจริง

เพราะความจริงอยู่ในเรา
และจะอยู่กับเรา
ไปชั่วนิรันดร์
2 ยอห์น 1:2

1 ยอห์น 1:8; 2:14;2:17; 2 เปโตร 1:12

,มีคำที่พระเยซูเคยตรัสไว้ในยอห์น 14:16-17 พระองค์จะทูลขอพระบิดา ให้ประทานที่ปรึกษา เพื่อจะอยู่กับศิษย์ของพระองค์ตลอดไป คือองค์พระวิญญาณที่จะอยู่ในพวกเขา
ดังนั้นความจริงที่ท่านยอห์นกล่าวถึงก็คือการที่พระวิญญาณแห่งความจริงจะเข้ามาสถิตในผู้ที่เชื่ออย่างถาวร นี่เป็นสิ่งที่คนนอกความเชื่อไม่อาจมีได้

พระคุณ พระเมตตา และสันติสุข จากพระเจ้าองค์พระบิดา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระบุตรของพระบิดา จะอยู่กับเราในความจริงและในความรัก
2 ยอห์น 1:3

1 ทิโมธี 1:2; โรม 1:7; 1 ยอห์น 4:10

ท่านยอห์นไม่ได้แค่ขอให้ผู้อ่านรับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้า แต่ท่านเขียนราวกับว่า สิ่งดี ๆ เหล่านั้นจะอยู่กับพี่น้องที่อ่านจดหมายของท่าน
รู้ไหมว่า หากไม่มีความจริง และความรักจากพระบิดาและพระบุตรแล้ว เราก็จะมีพระคุณ พระเมตตา สันติสุขในชีวิตไม่ได้เลย พระเยซูเคยตรัสว่า สันติสุขที่เราให้แก่เจ้า ไม่เหมือนโลกให้ เป็นสันติในใจที่ต่างกันมากจากความสุขของโลกนี้

เดินตามคำบัญชาพระคริสต์

ข้ายินดีมากที่พบว่าลูกหลานของท่านบางคน เดินในความจริงตามที่พระบิดาทรงบัญชาไว้
2 ยอห์น 1:4

3 ยอห์น 1:3-4; เอเฟซัส 5:8; 5:2

มีลูกหลานบางคนเดินตามทางของพระเจ้าทำให้เรารู้ว่า บางคนอาจไม่เดินตามทางที่พระเจ้าทรงบัญชา ชีวิตที่เดินในความจริงของพระเจ้านั้น ไม่ใช่ชีวิตที่อยู่เฉย ๆ แต่เป็นชีวิตที่แสดงออกมาเป็นการกระทำอย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำตามที่พระเจ้าพระบิดาทรงบัญชาไว้ เราจะเห็นว่าคนเชื่อจริงและเชื่อแค่ปากนั้น แตกต่างกันมากขนาดไหน

และบัดนี้ สตรีทั้งหลาย
ข้ามิได้เขียนบัญญัติใหม่มาถึงท่าน แต่เป็นบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่ต้น คือ ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน
2 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11; 1 เธสะโลนิกา 4:9

ท่านยอห์นชัดเจนว่าต้องการ ย้ำเตือนให้พี่น้องรักกันและกัน
ชีวิตที่เต็มด้วยรักซึ่งกันและกัน จะทำให้สังคมนั้น ๆ มีความสุขและช่วยกันแก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหาให้กันและกัน ยิ่งยุคของเรานี้ เรายิ่งต้องการความรักมากขึ้นอีก เพราะความเกลียดมีท่วมท้นในสังคม และยังมีความพยายามสร้างความเกลียดชังทุกวัน

และความรักนี้คือ เราเดินตามพระบัญญัติของพระองค์ที่ท่านได้ยินมาแต่แรกเริ่ม พระบัญญัตินั้นคือให้ท่าน
ดำเนินชีวิตด้วยความรัก
2 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:5; 5:3; 1 ยอห์น 2:24; ยอห์น 15:4

พระบัญญัติแห่งรักที่ท่านยอห์นกล่าวถึง เป็นบัญญัติที่มีไว้ให้เราเชื่อฟัง ไม่ใช่วางตั้งไว้เฉย ๆ เป็นบัญญัติที่ เราต้องลงมือรักคนอื่นไม่ใช่รอความรักจากคนอื่น รักแค่ปากก็ไม่ได้ ต้องลงมือ และเมื่อเราเห็นคนอื่นรักเรา ก็อย่าลืมรักตอบ

ระวังคนหลอกลวง

เพราะมีคนล่อลวงมากมายออกไปในโลก คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวง เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ ท่านจงระวังให้ดี จะไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้มุ่งมั่นทำมา แต่เพื่อท่านจะได้รับรางวัลเต็มขนาด
2 ยอห์น 1: 7-8

1 ยอห์น 2:19; 4:1-2; 2:22
มาระโก 13:9; กาลาเทีย 3:4

คนที่ไม่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์
ได้เสด็จจากสวรรค์ลงมาในร่างของมนุษย์ ท่านยอห์นกล่าวว่า พวกเขาเป็นคนลวงโลก เราจึงต้องระวัง พิสูจน์ทุกอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักมาก่อนอย่าหลงเชื่อทันทีเพียงเขาหยิบข้อพระคัมภีร์มาพูดให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อเราจะไม่หลงทางไป

คนใดที่ก้าวเกินไปกว่านั้นและไม่ยึดอยู่ในคำสอนของพระคริสต์ ก็ไม่มีพระเจ้า
แต่คนที่ยึดมั่นอยู่ในคำสอนนั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร
2 ยอห์น 1:9

ยอห์น 7:16; 8:31

ชัดเจน..ไม่ให้เปลี่ยนคำสอนของพระเยซูไปตามใจของตนเอง คนไหนล้ำยุคคิดเกินเลย คนไหนคิดเอาเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีพระเจ้าในเรื่องของพระเยซู พระองค์คือผู้ใด
พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อเรา และจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น เราต้องเดินตามคำของพระเยซู ไม่ใช่วาดภาพนิมิตขึ้นมาเอง เราต้องระวังการเปิดเผยใหม่ ๆ ที่แต่งขึ้นมาแต่อ้างว่ารับมาจากพระเจ้า

และหากใครมาหาท่าน
โดยไม่นำคำสอนนี้มา
อย่ารับเขาไว้ในบ้าน
อย่าทักทายยินดีต้อนรับเขา เพราะใครก็ตามที่ทักทายเขาเท่ากับมีส่วนในความชั่วร้ายของเขาด้วย
2 ยอห์น 1:10-11

ทิตัส 3:10; โรม 16:17; 1 ทิโมธี 5:22; เอเฟซัส 5:11

สมัยก่อนนั้น อัครทูตมักจะเดินทางไปเยี่ยมตามคริสตจักรต่าง ๆ และท่านจะได้รับการต้อนรับจากสมาชิกที่เต็มใจต้อนรับท่านแต่ในเวลาเดียวกัน จะมีครูสอนผิดที่พยายามออกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อปอกลอกผู้เชื่อที่ ไม่รู้ประสีประสา ต้อนรับพวกเขาโดยคิดว่า เป็นอาจารย์แท้ สอนเรื่องพระเจ้าแท้ ท่านยอห์นจึงเตือนสติพี่น้องไว้ให้ระวังตัว เพื่อจะไม่หลงไป และไม่มีส่วนในความชั่วนั้น

คำส่งท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะข้าต้องการที่จะพูดกับท่านตัวต่อตัว เพื่อว่าความยินดีของเราจะได้เต็มบริบูรณ์ ลูก ๆ ของน้องสาวของท่านที่พระเจ้าทรงเลือก ฝากความคิดถึงมาด้วย
2 ยอห์น 12-13

3 ยอห์น 13; 14; ยอห์น 17:13; 1 เปโตร 5:13; ยอห์น 16:12

ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านยอห์นเขียนจดหมายนี้ เพราะเมื่อท่านพบกับพี่น้องและพูดกันต่อหน้าก็จะไม่มีบันทึกมาให้พวกเราอ่านจนทุกวันนี้
แต่การที่พวกเขาได้พบกัน ก็ทำให้พวกเขามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งในเวลานั้น จากคำของท่านทำให้เรารู้ว่า พี่น้องในคริสตจักรที่ท่านกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยนั้น ฝากความคิดถึงมาด้วย (เหมือนคำว่าคริสตจักรแม่ คริสตจักรลูก ทำนองนั้น)

1 ยอห์น 2 บัญญัติแห่งรัก

ผู้ที่ทูลแก้ต่าง

ลูกเล็ก ๆ ของข้าเอ๋ย
ข้าเขียนสิ่งเหล่านี้ถึงพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ทำบาป
แต่หากว่ามีใครสักคนทำบาป เราก็มีท่านผู้หนึ่ง ที่จะทูลแก้ต่างให้เราต่อพระบิดาพระองค์คือพระเยซูคริสต์
องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 2:1

โรม 8:34; 1 ทิโมธี 2:5; ฮีบรู 7:25; 9:24

ลูกเล็ก ๆ ในที่นี้หมายถึงคนที่เพิ่งเกิดมาท่านแสดงความอ่อนโยนแก่พี่น้องในความเชื่อ ท่านยอห์นเป็นห่วงพวกเขาที่จะมีชีวิตไม่ติดบาป แต่หากเราเกิดทำบาปขึ้นมา (1 ยอห์น 1:8-10) พระเยซูคริสต์จะทรงเป็นผู้ทูลแก้ต่างให้เรา ด้วยพระองค์เองในฐานะพระบุตรที่ จะทูลขอเพื่อมนุษย์ต่ององค์พระบิดา คำนี้ ในยอห์น 14 แปลว่า พระองค์ผู้ทรงปลอบใจ พระองค์ผู้ทรงหนุนกำลังใจ

และพระองค์ทรงเป็น
เครื่องบูชาลบบาปของพวกเรา
และไม่ใช่แค่บาปของพวกเราเท่านั้น
แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย
1 ยอห์น 2:2

โรม 3:25; ฮีบรู 2:17; 1 ยอห์น 4:10; ยอห์น 1:29

เมื่อพระเยซูทรงแก้ต่างให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราไร้ความผิด ไม่บาปแต่เป็นเพราะพระองค์ทรงยืน ณ ศาลสูงในสวรรค์ทรงยื่นไม้กางเขนที่เป็นเครื่องหมายของการ รับโทษแทนทั้งของมนุษย์ในโลก ท่านยอห์นใช้คำว่า “พวกเรา” จึงหมายถึงตัวท่านเองด้วยที่รู้ตัวว่าได้ทำผิดบาปไปแล้วไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้นอกจากพระเยซูคริสต์! 

ข้อพิสูจน์ว่าเรารู้จักพระเจ้า

บัดนี้ เราจึงรู้แน่ว่า เรารู้จักพระองค์
เมื่อเรากระทำตามพระบัญชา ของพระองค์
คนที่กล่าวว่า “ฉันรู้จักพระองค์”แต่ไม่ทำตามพระบัญชาเท่ากับเป็นคนมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนเช่นนั้น
1 ยอห์น 2:3-4

ยอห์น 14:15; 15:10, 1 ยอห์น 5:3, โรม 3:4, 1 ยอห์ฯ 1:6, ทิตัส 1:16

การทำตามพระบัญชาของพระเจ้าไม่น่ายาก แต่มันกลายเป็นยาก เพราะใจของเราใหญ่กว่าพระบัญชาของพระองค์ คนเราชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะทำตามคำขอร้องของคนอื่น ต่อไปนี้คือ ทำให้ใจของเราเป็นรอง รองจากพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์และอย่าคิดว่าตัวเรารู้จักพระองค์จริง ๆ เราต้องสำรวจใจของเราทุกวัน

แต่ถ้าใครรักษาพระดำรัสของพระองค์
ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์พร้อมในตัวเขาแล้ว
เรารู้ว่า เราอยู่ในพระองค์ ก็เพราะเรารักษาพระดำรัสของพระองค์
1 ยอห์น 2:5

ยอห์น 14:21,23, 1 ยอห์น 4:12; 3:24, ลูกา 11:28

การรักษาพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีความหมายลึกซึ้ง หมายถึงอ่าน เฝ้าระวังรักษาไว้ในใจ เฝ้าดู เป็นกิจกรรมที่พระเจ้า ทรงเตือนมาตั้งแต่สมัยโมเสส โยชูวาเลย จำได้ไหม ท่านโมเสสเคยบอกว่าให้ระวังที่จะทำตามคำแห่งพันธสัญญา ฉธบ.29:9 ครั้งหนึ่งท่านโยชูวากล่าวว่าให้ตรึกตรองบัญญัติของพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน นี่เป็นความหมายแบบเดียวกัน ยชว.1:8

คนใดยืนยันว่า เขาอยู่ในพระองค์
ก็ต้องเดินไปตามอย่าง
ที่พระเยซูทรงดำเนิน
1 ยอห์น 2:6

1 เปโตร 2:21, ยอห์น 13:15, 1 โครินธ์ 11:1, 1 ยอห์น 3:6

พระเยซูทรงคิดอย่างไรในเวลาที่ทรงอยู่ในโลก?
เราเห็นได้จากหนังสือยอห์น อย่างเช่น “อาหารของเราคือการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.4:34) “เราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.6:38) พระดำรัสนี้ชัดเจนมากว่าเราจะเดินตามพระเยซูอย่างไร

สุดยอดแห่งบัญญัติ

ท่านที่รัก ข้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน
แต่นี่เป็นบัญญัติเก่าที่ท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้ เป็นคำที่ท่านได้ยินมาแล้วตั้งแต่ต้น
1 ยอห์น 2:7

1 ยอห์น 3:11, 23; 4:21, เลวีนิติ 19:18,
มาระโก 12:29-34, 2 ยอห์น 1:5-6

เวลาเราอ่านข้อนี้เลยไปจนข้อ 8 เราอาจจะงุนงงว่า ท่านยอห์นกำลังหมายถึงอะไร ท่านบอกว่า ไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ หรือกฎใหม่ให้ทำตามแต่เขียนถึงกฎเดิมที่รู้มาแต่ต้น
แล้วกฎเดิมนั้นคืออะไรล่ะ? ก็คือสิ่งที่พระเยซูทรงสั่งไว้ในยอห์น 13:34-35ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน
เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซูแต่ต้น 

แต่จะว่าไป ก็เหมือนข้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในพวกท่าน เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไป และความสว่างแท้ก็ฉายแสงแล้ว
1 ยอห์น 2:8

ยอห์น 13:34; 15:12, โรม 13:12, ยอห์น 1:9; 8:12; 12:35, เอเฟซัส 5:8

แล้วท่านยอห์นเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนบัญญัติ ใหม่ด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะท่านได้เห็น ความรักที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง ความสว่างแท้ที่ฉายแสงนั้นคือพระเยซูคริสต์ ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงของโลก ได้ทำลายความมืด ความบาปที่อยู่ในโลกนี้ด้วยการสิ้นและคืนพระชนม์ และผู้เชื่อก็กำลังเป็นแสงสว่างของโลกต่อไป..

ผู้ที่ยืนยันว่าตนอยู่ในความสว่างแต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตนก็ถือได้ว่าเขายังคงอยู่ในความมืด
ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่างและไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้ใครสะดุดล้มได้
1 ยอห์น 2:9-10

1 โครินธ์ 13:2, 1 ยอห์น 4:20,
1 ยอห์น 3:13-17, 2 เปโตร 1:9-10

อีกแล้วที่ท่านยอห์นเขียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ต่างอะไรกับท่านเปโตรเลย อัครทูตทั้งสองมี ความห่วงในใจเป็นอย่างมาก พร้อมที่จะกล่าว คำเตือนสติ หนุนใจไม่หยุดหย่อน
จะเห็นได้ว่า เรื่องสำคัญในข้อนี้คือ ความสว่าง กับความมืด พี่น้องที่ท่านกำลังเตือนต้องเลือก จะรัก และอยู่ในความสว่าง หรือจะเกลียด แล้วอยู่ในความมืด !

แต่คนที่เกลียดชังพี่น้องของตนเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด เดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนเองกำลังเดินไปที่ไหน เพราะความมืดได้บดบังตาให้บอดไป
1 ยอห์น 2:11

1 ยอห์น 2:9; 3:15; 4:20, ยอห์น 12:35, วิวรณ์ 3:17

คนที่เกลียดชังพี่น้อง หรือไม่รัก ไม่ใส่ใจเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด (ข้อ 9) แต่ในข้อนี้พูดเพิ่มเติมว่า เขาเดินในความมืดด้วยนั่นคือยังคงสภาพบาปต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อชีวิตยังบาปอยู่ ทำผิดอะไรก็จะมองไม่ออกว่า ตัวเองทำผิดอยู่ ความเกลียดชังก็บดบังใจ ไม่ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร เขาก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี เขาไม่เห็นด้วยว่า จุดหมายปลายทางของเขาคือ ที่ไหน เพราะตาบอดอยู่ วิสัยทัศน์ก็บิดเบือน

ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย ข้าเขียนถึงเจ้าเพราะพระองค์ทรงยกโทษบาปให้เจ้าแล้ว
โดยพระนามของพระองค์
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:12-13ก

1 โครินธ์ 6:11, ลูกา 24:47; กิจการ 10:43; 13:38, ยอห์น 1:1, 1 ยอห์น 2:14; 1:1

ตอนนี้ท่านยอห์นกำลังบอกเหตุผลว่าทำไมท่านจึง เขียนจดหมายถึงพวกเขา ดูเหมือนท่านเขียนถึง คนที่กำลังเติบโตในพระเจ้าสามระดับคือ คนที่มาเชื่อใหม่ คนที่รู้จักพระเจ้ามานาน กับคนที่กำลังเติบโตระดับกลาง ทั้งสามกลุ่มต่างมีสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะที่เป็นขั้นเป็นตอน จากรับการยกบาป ก็มีชัยชนะเหนือมารและมีความรู้ในองค์พระเจ้ามากขึ้น ชีวิตผู้เชื่อจึงไม่อยู่กับที่ แต่โตขึ้นทุกวัน




ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย
ข้าได้เขียนถึงเจ้า
เพราะเจ้ารู้จักพระบิดาแล้ว
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าได้เขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย
ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านเข้มแข็ง และพระคำของพระเจ้าดำรงในท่าน และท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:13ข-14

กาลาเทีย 4:6, โรม 8:15, 1 ยอห์น 2:13, สดุดี 119:11, เอเฟซัส 6:10

ราวกับว่าลอกข้อ 12-13ก มาเลย มีความแตกต่างเล็กน้อย ทำไมท่านยอห์นถึงกล่าวคำที่ซ้ำเช่นนี้? มารร้ายในข้อ13 และ 14 นี้มาจากยอห์น 17:15พระเยซูทรงอธิษฐานให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้พ้นจาก ผู้ที่ชั่วร้าย คือมารร้ายนั่นเอง น่าสังเกตว่าในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวก ก็มีประโยคหนึ่งที่ว่า ขอให้พ้นจากมารร้ายเช่นกัน (มัทธิว 6:13)

อย่ารักโลก

อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก
ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนที่รักโลก เพราะทุกสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นความอยากของร่างกาย ความอยากของตา และความอวดหยิ่งในสิ่งที่ตนครอบครอง ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก
1 ยอห์น 2:15-16

ยากอบ 4:4, โรม 12:2, มัทธิว 6:24, โคโลสี 3:1-2, กาลาเทีย 1:4; 5:17, โรม 13:14, ปฐมกาล 3:6, สดุดี 119:36-37

พระคำข้อนี้ ตรงไปตรงมา บอกกับเราว่า ไม่ให้รัก หลง ตามหาความอยากของร่างกาย ไม่ให้เราคลั่งไคล้สิ่งที่ตาอยากมอง ไม่ให้เราภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ซึ่งเหล่านี้ เมื่อมันมีมาก เมื่อเราลุ่มหลง มันทำให้เราลืม สิ่งที่ถูกต้อง ลืมพระเจ้า แต่หลงไปปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น ท่านยอห์นบอกว่าทั้งสามสิ่งนั้น ไม่ได้มาจาก พระบิดา แต่มาจากโลกโดยตรง

โลกกับความอยากแบบของโลกจะสูญไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงตลอดไป
1 ยอห์น 2:17

1 โครินธ์ 7:31, 1 เปโตร 1:24, มัทธิว 24:35, ฮีบรู 10:36

การที่ท่านยอห์นกล่าวชัดเจนเช่นนี้เรารู้ว่าโลกและวิถีแบบโลกจะต้องจบสิ้นไปในวันหนึ่ง ความจริงแล้วสำหรับมนุษย์ทุกคน ความอยากแบบโลกนั้นมันก็จบลงที่ความตาย แต่คนที่ได้พบพระเจ้า และจบกับความอยาก นั้นก่อน จะมีสันติสุขในพระเจ้าเป็นอย่างมาก เป็นความสุขที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ได้มีประสบการณ์ เป็นชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าทั้งที่ยังอยู่ในโลกนี้

การหลอกลวงในเวลาสุดท้าย

ลูกที่รักทั้งหลาย นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็อย่างที่เคยได้ยินมาว่า
ผู้ต่อต้านพระคริสต์กำลังมา
บัดนี้
มีฝ่ายตรงข้ามพระคริสต์ปรากฏตัว ออกมาหลายคน เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย
1 ยอห์น 2:18

2 ทิโมธี 3:1; ยากอบ 5:3; 2 เปโตร 3:3; ยูดา 18; 1 ยอห์น 4:3; 2 ยอห์น 7; มัทธิว 24:5, 24
1 ยอห์น 4:1; มัทธิว 24:5; 1 ทิโมธี 4:1

“ผู้ต่อต้านพระคริสต์” เป็นลักษณะของคนที่ตรงตามที่เราเรียกเขา แต่คำ ๆ นี้อาจหมายความได้สองอย่างคือ มาต่อต้าน หรือ มาแทน คน ๆ นี้อาจดูดีมาก ๆ ไม่ได้ดูเป็นผู้ร้ายเลยก็ได้แต่เป็นผู้ที่จะมาแทนที่พระเยซูในใจของผู้เชื่อ อาจเป็นได้ทั้งบุคคล และเป็นทั้งระบบองค์กรโลกท่านยอห์นบอกเราว่า มีหลายคนเสียด้วย ดังนั้น เราต้องดูให้ดีว่า ใครเป็นใครในยุคนี้

แม้ว่าพวกเขาออกมาจากกลุ่มของเรา แต่กลับไม่ได้เป็นฝ่ายเรา เพราะหากเขาเป็นพวกเราจริง เขาคงจะอยู่กับเราต่อไป
แต่พวกเขาออกไปจากเรา
เพื่อจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครสักคนในพวกเขาเป็นฝ่ายเรา
1 ยอห์น 2:19

เฉลยธรรมบัญญัติ 13:13; กิจการ 20:30; ยอห์น 17:12; 1 โครินธ์ 11:19, ยูดา 19


จากข้อความตอนนี้ ทำให้เรารู้ชัดว่า คนที่กลายเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์นั้น แต่ก่อนเคยเป็นคนที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน ในเมื่อเขาตัดสินใจออกไป. จากชุมชนนี้ แสดงว่า เขาไม่คิดจะเป็นผู้เชื่อใน พระเจ้าอีกต่อไป
คนเหล่านี้คงไม่ได้เกิดใหม่จริง ๆ มาตั้งแต่ต้น พวกเขาแค่เพียงเกาะติดเหล่าผู้เชื่อ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจ รู้จักพระเจ้าจริงจัง ไม่ได้รับการเปลี่ยนเหมือนคนอื่น ๆ ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิต 

และพวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์และท่านรู้ทุกสิ่ง ที่เขียนมานี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และไม่มีความเท็จใดออกมาจากความจริง
1 ยอห์น 2:20-21

2 โครินธ์ 1:21; กิจการ 3:14; ยอห์น 16:13; 14:26; สุภาษิต ​28:5; อิสยาห์ 61:1; 2 เปโตร 1:12; ยูดา 5

คนที่หลีกตัวออกไปจากพี่น้องนั้น บ่งชัดว่า พวกเขาเป็นคนละฝ่ายกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ไม่รู้ ไม่รับความจริงของพระเจ้า ส่วนผู้ที่ท่านยอห์นเขียนถึง แตกต่างออกไป พวกเขารู้ความจริง การที่บอกว่าท่านรู้ทุกสิ่งหมายความว่า รู้ และต้อนรับ ยินดีในความจริงนั้น พวกเขายังได้รับการเจิมจากพระเจ้า พวกเขาไม่ยึดความเท็จในการใช้ชีวิต
แต่ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า

ใครเป็นคนพูดเท็จ คนพูดเท็จคือคนที่ปฏิเสธว่า พระเยซูคือพระคริสต์
เขาคนนี้คือผู้ที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นคนที่ปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร
1 ยอห์น 2:22

2 ยอห์น 7; 1 ยอห์น 4:3; 4:20

คำว่าพระคริสต์มาจากภาษากรีกว่า คริสโตส คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกกันว่า พระเมสสิยาห์ ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู ทั้งสองชื่อนี้
มีความหมายเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมาในโลกเพื่อสร้างอาณาจักรของพระเจ้า ในหัวใจของมนุษย์ ที่คนในโลกมากมายไม่ยอมรับพระคริสต์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ เป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของพวกเขา บางคนรุนแรงขนาดต่อต้านพระองค์ทุกครั้งที่ทำได้

ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร
ก็ไม่มีพระบิดา
คนที่ยอมรับพระบุตร
ก็มีพระบิดาด้วย
1 ยอห์น 2:23

ยอห์น 15:23-24; 8:9; 10:30; 1 ยอห์น 4:15; 5:23

เหมือนกับว่า ท่านยอห์นรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไร เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ เราจะเห็นผู้สอนผิดที่เอาแต่พระบิดา และปฏิเสธพระบุตร อย่างศาสนายิว พยานพระยะโฮวาห์ เป็นต้น คนเหล่านี้ เชื่อว่า ตนเองถูกต้องที่จะปฏิเสธพระบิดาหรือพระบุตร องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ความจริงแล้ว พระบิดากับพระบุตรทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางแยกพระองค์ออกจากกันแล้วจะโอเคได้

ให้ความจริงดำรงในชีวิต

จงรักษาสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ให้ดำรงอยู่ในตัวท่านถ้าหากว่าท่านดำรงในสิ่งนั้นก็คือท่านดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดา
1 ยอห์น 2:24

2 ยอห์น 6,7; ยอห์น 14:23; 15:9-10; วิวรณ์ 3:3, 1 ยอห์น 4:16

ในประโยคสั้น ๆ นี้ ท่านยอห์นมีคำว่า ดำรงอยู่ถึงสามครั้ง คำนี้มีความหมายคือ อาศัยอยู่ใน คงอยู่ เมื่อเรารักษาคำของพระเจ้าไว้ในใจ ในชีวิตดำเนินตาม และเอาใจใส่ เท่ากับว่า เราได้อยู่ในพระบุตรและพระบิดานี่เป็นกำไรสุดยอดของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่จะได้อยู่ในพระเจ้าเต็มบริบูรณ์อย่างนี้

บัดนี้ ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้เราที่ได้เขียนมานั้นข้าเขียนถึงท่านเกี่ยวกับคนที่พยายามนำท่านให้หลงทางไป
1 ยอห์น 2:25-26

ยอห์น 3:14-16; 6:40; 17:2,3; ทิตัส 3:7; ยูดา 21; 2 ยอห์น 1:7; 2 เปโตร 2:1-3; กิจการ 20:29-30

ท่านยอห์นเตือนสติคนอ่านว่า พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้กับเราที่ดำรงในพระองค์ คนที่มาเชื่อในพระองค์ ไม่ได้จบชีวิตไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีพระองค์ แต่พวกเขาพิเศษคือมีพระสัญญามั่นเหมาะว่าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ และถ้าเราย้อนกลับไปดู ข้อ 19 มีคนกลุ่มหนึ่งที่ ออกไป และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเราอีกต่อไป พวกนี้ยังชักชวนให้คนที่อยู่ออกไปด้วย ชวนให้หลงทางไปจากพระเจ้า

การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ดำรงในท่านจึงไม่ต้องให้ใครมาสอนท่านเพราะการเจิมจะสอนท่านทุกสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่เป็นเท็จ ให้ท่านดำรงในพระองค์ ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้
1 ยอห์น 2:27

ยอห์น 14:16; 16:13; เยเรมีย์ 31:33; 2 เปโตร 1:16-17

การเจิมดังกล่าวคืออะไรหรือ? จำได้ไหมว่า พระเยซูทรงสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสอนความจริงให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์​เมื่อเราเข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับการเจิม
ด้วยพระวิญญาณจากพระองค์ พระวิญญาณจะทรงสอนผู้เชื่อผ่านพระวจนะที่เขาอ่าน ที่เขาติดตาม เขาไม่ต้องไปเรียนรู้จากคนที่พยายามสอนคำลวงให้กับพวกเขา อ่านยอห์น 14:26,

บัดนี้ ลูกเล็ก ๆ จงดำรงอยู่ในพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะกล้าหาญ และไม่ละอายต่อพระพักตร์
เมื่อพระองค์เสด็จมา หากท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ย่อม
รู้ว่าคนที่ประพฤติเที่ยงธรรมก็บังเกิดจากพระองค์
1 ยอห์น 2:28-29

1 ยอห์น 3:21; 4:17; 5:14, มาระโก 8:38, กิจการ 22:14, ยอห์น 3:7,10

ท่านยอห์นเตือนสติให้พี่น้องดำรงอยู่ในพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระเยซูเคยตรัสให้เราดำรงใน พระองค์ในยอห์น 15:1-11 เป็นการอยู่ในกันและกัน สองทางเลย เราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ในเรา ใกล้ชิด มีพระคำในใจ แล้วชีวิตจะเกิดผลมาก
ดูสิว่า การอยู่ในพระเจ้าจะทำให้ชีวิตมีแต่ดีขึ้นน่าเสียดายที่เรากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น บทที่สองจบลงด้วยคำขอให้ดำรงในพระเจ้า